ย้อนคิดกันนิดเกี่ยวกับการรับน้องใหม่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 29, 2005 3:17 pm
โศกนาฏกรรมจากการรับน้องใหม่จะไม่เกิดขึ้นถ้า... เสียงสะท้อนจากกำแพงมหาวิทยาลัย: วิทยา เศรษฐวงศ์
ในปี ค.ศ.2005 นี้ โศกนาฏกรรมจากพิธีกรรมรับน้องใหม่ ดูจะสั่นขวัญ สะท้านวิญญาณคนไทยในยุคไทยรักไทยครองประเทศอย่างต่อเนื่องและชวนสลดหดหู่ เริ่มต้นตั้งแต่ กรณี น้องหญิง ปี 1 ของมหาวิทยาลัยบูรพาที่พลัดตกลงมาจากการเล่นกายกรรมต่อตัวที่รับอิทธิพลจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศมาเต็มๆ โดยที่ขณะนี้มารดาหมดหวังที่จะให้น้องหญิงกลับมามีสภาพปกติเยี่ยงสามัญชนทั่วไปแล้ว เนื่องจากเธอกลายสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรามาตลอดนับแต่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา
ตามมาด้วย นายโชคชัย รุ่งเรืองศรีศักดิ์ อายุ 19 ปี นิสิตปี 1 คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต โดยคาดว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความเครียดที่ถูกรับน้อง และถูกบังคับจากรุ่นพี่ให้เต้น "ไก่ย่าง" ซึ่งส่ออนาจาร รวมทั้งไม่ให้พกโทรศัพท์มือถือ ซึ่งน้องหมูได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ด้วย (เสียชีวิต 5 มิถุนายน ค.ศ.2005)
หลังจากนั้นก็ปรากฏข่าว เหยื่อชักเย่ออวัยวะเพศรับน้อง เข้าพบ "หมอทศพร" กรณีที่ นายปฏิภาณ อินยะโพธิ์ ถูกรุ่นพี่ในแผนกวิชาช่างจักรกลหนัก คณะวิชาเครื่องกล ระดับ ปวส. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา รับน้องด้วยวิธีวิตถารและรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่งจนเป็นข่าว (17 มิถุนายน ค.ศ.2005)
แล้วก็ปรากฏกรณีนักศึกษาสาวถูกรุ่นพี่หลอกไปข่มขืนโดยอ้างว่ารับน้องในยามวิกาล เหยื่อน้องใหม่ถูกข่มขืนช้ำขอไม่เผยตัว เกรงไม่สามารถเรียนอยู่สถาบันเดิมได้ ยืนยันไม่ต้องการเยียวยาใดๆ
ล่าสุดนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลูกของทันตแพทย์ที่ทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์กลายเป็นเจ้าชายนิทราตามน้องหญิงแห่งมหาวิทยาลัยบูรพาไปอีกคน เมื่อเศษอาหารเข้าไปติดคอหลังจากนิสิตรุ่นพี่มอมเหล้าจนไม่ได้สติ
โศกนาฏกรรมต่างกรรมต่างวาระที่เกิดขึ้นถี่ยิบในช่วงการเปิดภาคการศึกษาใหม่นี้ (ค.ศ.2005) ชวนให้ผู้เขียนพยายามหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษา โดยเฉพาะระบบอุดมศึกษาไทยในปัจจุบัน ทำไมจึงมีแต่ข่าวในเชิงลบมากมายเหลือที่จะรับได้จากพิธีกรรมรับน้องของแต่ละมหาวิทยาลัย
แน่นอนที่สุดผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปในวันเวลาที่ตนเองเป็นนิสิตใหม่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพุทธศักราช 2518 ยังจำได้ว่าไม่มีเหตุการณ์ชวนสลดแบบที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ทั้งนี้เพราะนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นพุ่งความสนใจทั้งหมดของรุ่นไปที่ปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา ชาวไร่ ผู้เสียเปรียบในสังคม มุ่งที่จะเข้าไปมีบทบาทในการแก้ปัญหาสังคมที่หมักหมมมายาวนาน ทั้งนี้เพราะนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นถือเป็นรุ่นประวัติศาสตร์ที่ผ่านการต่อสู้กับอำนาจรัฐในวันที่ 14-16 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนประสบชัยชนะในระดับหนึ่ง วิญญาณขบถคือ จุดยืนของเยาวชนคนหนุ่มสาวในยุคนั้นที่ปฏิเสธงานรับน้อง ปฏิเสธงานปาร์ตี้ ปฏิเสธค่านิยมไร้สาระ ไร้เหตุผลของระบบโซตัส (SOTUS Seniority Order Tradition Unity Spirit) ผู้นำนักศึกษารุ่น 14 ตุลา "16 ระดับหัวขบวน เช่นเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ถึงกับชกต่อยกับรุ่นพี่หัวเก่าที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยากร เชียงกูล ถึงกับเขียนบทกวีขบถแห่งสถาบันเพื่อปลุกเร้าให้นักศึกษาแสวงหาความหมายของการศึกษาที่แท้จริง
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
ซ้ำยังมีบทกวีที่สะท้อนอุดมคติรับใช้ประชาชนผู้เสียเปรียบที่อุโฆษไปทั่วแผ่นดินไทยในยุค 30 ปีที่แล้ว เช่น
เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤาจึงมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤา
แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ
รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน
แม้แต่ผู้เขียนเองก็เคยมีปัญหากับรุ่นพี่ร่วมคณะที่หัวเก่า ยึดมั่นถือมั่นในระบบโซตัสจนถึงกับรุ่นพี่คนนั้นพาอันธพาลจากนอกสถาบันเข้ามาหวังทำร้ายผู้เขียนเพียงเพราะการที่ผู้เขียนเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับประเพณี ความเชื่อ ที่ตนเองไม่เห็นด้วย เพียงเพราะผู้เขียนเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง คิดเอง ทำเองอย่างอิสรชน เพราะไม่เคยไปขอข้าวจากรุ่นพี่คนไหนมากิน
แน่นอน รุ่นพี่ที่ดีก็มีมาก ดังที่ผู้เขียนก็ยังประทับใจตราบจนทุกวันนี้อยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่พงษ์ (พงษ์ องค์วรรณดี) พี่พงษ์ศักดิ์ และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเข้ามาบังคับ ขู่เข็ญ หรือโน้มน้าวให้ผู้เขียนเชื่อ หรือปฏิบัติตามความคิดของรุ่นพี่เหล่านั้นเลย
ในช่วงนั้นหนังสือ "วิญญาณขบถ" ของคาลิล ยิบราน ที่แปลโดย ศ.ระวี ภาวิไล เป็นหนังสือที่เยาวชนคนหนุ่มสาวหลงใหลได้ปลื้มที่ได้อ่านอย่างดื่มด่ำ แม้กระทั่งข้อความบางตอนในหนังสือปรัชญาชีวิตของคาลิล ยิบราน ก็กึกก้องอยู่ในมโนสำนึกของนิสิตนักศึกษายุคนั้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง บุพการีกับบุตรของตน "บุตรของเธอไม่ใช่บุตรของเธอ พวกเขาเหล่านั้นเป็นบุตรธิดาแห่งชีวิต เขามาทางเธอ แต่เขามิได้มาจากเธอ" (คาลิล ยิบราน : เขียน/ ระวี ภาวิไล : แปล)
ในเมื่อนิสิตนักศึกษาในยุค 3 ทศวรรษที่แล้วมีสายตาที่กว้างไกล ไม่หมกมุ่นอยู่กับความสุข สนุกส่วนตัว ไม่มัวเมาคลั่งไคล้ ใหลค่านิยม หลงคณะ บ้าสถาบัน บ้าสี บ้าพวก เช่นทุกวันนี้ มองไปไกลถึงความทุกข์ยากของประชาชนผู้ยากไร้ในชนบทอันห่างไกล โดยเฉพาะภาคอีสาน สนใจแต่การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหลักของกระดูกสันหลังของชาติไทย ทั้งยังถูกหล่อหลอมด้วยจิตสำนึก และวิญญาณขบถจากบทกวี หนังสือปรัชญา ดนตรีเพื่อชีวิต เช่นนี้เอง จะให้นักศึกษาเมื่อ 30 ปีก่อน มามีปัญหาการรับน้องแบบนิสิตนักศึกษายุคนี้ได้อย่างไรกัน เพราะวิธีคิดหลักของนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นมุ่งไปที่การรับใช้ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ชาวไร่ ชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพ ผู้เสียเปรียบในสังคม
ผู้เขียนได้ตั้งชื่อบทความนี้ในเชิงเงื่อนไขว่า "โศกนาฏกรรมจากการรับน้องใหม่จะไม่เกิดขึ้นถ้า........" คำตอบมิได้อยู่ที่การย้อนอดีตกลับไป 3 ทศวรรษ เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คำตอบมิได้อยู่ที่การเลียนแบบนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นที่มองเห็นส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนตัว แต่น่าจะอยู่ที่การมีวิญญาณขบถ มีวิญญาณเสรี รู้จักคิด ดำเนินชีวิตด้วยตัวของตัวเอง รู้จักปฏิเสธความไร้สาระของพิธีกรรมรับน้องอย่างมั่นใจ
ฉะนั้นถ้านิสิต นักศึกษาปัจจุบันมีวิญญาณขบถอยู่ในชีวิตจิตใจบ้าง ผู้เขียนมั่นใจว่า ปัญหาจากการรับน้องจะลดลงอย่างมาก เพียงแค่การปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมไร้สาระเท่านั้น ปฏิเสธที่จะทำตัวเป็นวัว ควาย ให้รุ่นพี่มาสนตะพายจูงไปซ้าย จูงไปขวา เลือกที่จะเป็นอิสรชน เสรีชน ที่ยืนอยู่บนหนึ่งสมอง สองเท้าของตนเอง
(ข้อมูลประกอบบทความมาจาก manageronline.co.th)
ที่มา : บทความพิเศษจากหนังสืออุดมสาร ฉบับวันที่ 17 - 23 กรกฎาคม 2548
ในปี ค.ศ.2005 นี้ โศกนาฏกรรมจากพิธีกรรมรับน้องใหม่ ดูจะสั่นขวัญ สะท้านวิญญาณคนไทยในยุคไทยรักไทยครองประเทศอย่างต่อเนื่องและชวนสลดหดหู่ เริ่มต้นตั้งแต่ กรณี น้องหญิง ปี 1 ของมหาวิทยาลัยบูรพาที่พลัดตกลงมาจากการเล่นกายกรรมต่อตัวที่รับอิทธิพลจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศมาเต็มๆ โดยที่ขณะนี้มารดาหมดหวังที่จะให้น้องหญิงกลับมามีสภาพปกติเยี่ยงสามัญชนทั่วไปแล้ว เนื่องจากเธอกลายสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทรามาตลอดนับแต่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา
ตามมาด้วย นายโชคชัย รุ่งเรืองศรีศักดิ์ อายุ 19 ปี นิสิตปี 1 คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต โดยคาดว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความเครียดที่ถูกรับน้อง และถูกบังคับจากรุ่นพี่ให้เต้น "ไก่ย่าง" ซึ่งส่ออนาจาร รวมทั้งไม่ให้พกโทรศัพท์มือถือ ซึ่งน้องหมูได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ด้วย (เสียชีวิต 5 มิถุนายน ค.ศ.2005)
หลังจากนั้นก็ปรากฏข่าว เหยื่อชักเย่ออวัยวะเพศรับน้อง เข้าพบ "หมอทศพร" กรณีที่ นายปฏิภาณ อินยะโพธิ์ ถูกรุ่นพี่ในแผนกวิชาช่างจักรกลหนัก คณะวิชาเครื่องกล ระดับ ปวส. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา รับน้องด้วยวิธีวิตถารและรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่งจนเป็นข่าว (17 มิถุนายน ค.ศ.2005)
แล้วก็ปรากฏกรณีนักศึกษาสาวถูกรุ่นพี่หลอกไปข่มขืนโดยอ้างว่ารับน้องในยามวิกาล เหยื่อน้องใหม่ถูกข่มขืนช้ำขอไม่เผยตัว เกรงไม่สามารถเรียนอยู่สถาบันเดิมได้ ยืนยันไม่ต้องการเยียวยาใดๆ
ล่าสุดนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลูกของทันตแพทย์ที่ทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์กลายเป็นเจ้าชายนิทราตามน้องหญิงแห่งมหาวิทยาลัยบูรพาไปอีกคน เมื่อเศษอาหารเข้าไปติดคอหลังจากนิสิตรุ่นพี่มอมเหล้าจนไม่ได้สติ
โศกนาฏกรรมต่างกรรมต่างวาระที่เกิดขึ้นถี่ยิบในช่วงการเปิดภาคการศึกษาใหม่นี้ (ค.ศ.2005) ชวนให้ผู้เขียนพยายามหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษา โดยเฉพาะระบบอุดมศึกษาไทยในปัจจุบัน ทำไมจึงมีแต่ข่าวในเชิงลบมากมายเหลือที่จะรับได้จากพิธีกรรมรับน้องของแต่ละมหาวิทยาลัย
แน่นอนที่สุดผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปในวันเวลาที่ตนเองเป็นนิสิตใหม่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีพุทธศักราช 2518 ยังจำได้ว่าไม่มีเหตุการณ์ชวนสลดแบบที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ทั้งนี้เพราะนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นพุ่งความสนใจทั้งหมดของรุ่นไปที่ปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา ชาวไร่ ผู้เสียเปรียบในสังคม มุ่งที่จะเข้าไปมีบทบาทในการแก้ปัญหาสังคมที่หมักหมมมายาวนาน ทั้งนี้เพราะนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นถือเป็นรุ่นประวัติศาสตร์ที่ผ่านการต่อสู้กับอำนาจรัฐในวันที่ 14-16 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนประสบชัยชนะในระดับหนึ่ง วิญญาณขบถคือ จุดยืนของเยาวชนคนหนุ่มสาวในยุคนั้นที่ปฏิเสธงานรับน้อง ปฏิเสธงานปาร์ตี้ ปฏิเสธค่านิยมไร้สาระ ไร้เหตุผลของระบบโซตัส (SOTUS Seniority Order Tradition Unity Spirit) ผู้นำนักศึกษารุ่น 14 ตุลา "16 ระดับหัวขบวน เช่นเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ถึงกับชกต่อยกับรุ่นพี่หัวเก่าที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยากร เชียงกูล ถึงกับเขียนบทกวีขบถแห่งสถาบันเพื่อปลุกเร้าให้นักศึกษาแสวงหาความหมายของการศึกษาที่แท้จริง
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
ซ้ำยังมีบทกวีที่สะท้อนอุดมคติรับใช้ประชาชนผู้เสียเปรียบที่อุโฆษไปทั่วแผ่นดินไทยในยุค 30 ปีที่แล้ว เช่น
เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง ฤาจึงมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดเท่านั้นฤา
แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ
รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน
แม้แต่ผู้เขียนเองก็เคยมีปัญหากับรุ่นพี่ร่วมคณะที่หัวเก่า ยึดมั่นถือมั่นในระบบโซตัสจนถึงกับรุ่นพี่คนนั้นพาอันธพาลจากนอกสถาบันเข้ามาหวังทำร้ายผู้เขียนเพียงเพราะการที่ผู้เขียนเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับประเพณี ความเชื่อ ที่ตนเองไม่เห็นด้วย เพียงเพราะผู้เขียนเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง คิดเอง ทำเองอย่างอิสรชน เพราะไม่เคยไปขอข้าวจากรุ่นพี่คนไหนมากิน
แน่นอน รุ่นพี่ที่ดีก็มีมาก ดังที่ผู้เขียนก็ยังประทับใจตราบจนทุกวันนี้อยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่พงษ์ (พงษ์ องค์วรรณดี) พี่พงษ์ศักดิ์ และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเข้ามาบังคับ ขู่เข็ญ หรือโน้มน้าวให้ผู้เขียนเชื่อ หรือปฏิบัติตามความคิดของรุ่นพี่เหล่านั้นเลย
ในช่วงนั้นหนังสือ "วิญญาณขบถ" ของคาลิล ยิบราน ที่แปลโดย ศ.ระวี ภาวิไล เป็นหนังสือที่เยาวชนคนหนุ่มสาวหลงใหลได้ปลื้มที่ได้อ่านอย่างดื่มด่ำ แม้กระทั่งข้อความบางตอนในหนังสือปรัชญาชีวิตของคาลิล ยิบราน ก็กึกก้องอยู่ในมโนสำนึกของนิสิตนักศึกษายุคนั้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง บุพการีกับบุตรของตน "บุตรของเธอไม่ใช่บุตรของเธอ พวกเขาเหล่านั้นเป็นบุตรธิดาแห่งชีวิต เขามาทางเธอ แต่เขามิได้มาจากเธอ" (คาลิล ยิบราน : เขียน/ ระวี ภาวิไล : แปล)
ในเมื่อนิสิตนักศึกษาในยุค 3 ทศวรรษที่แล้วมีสายตาที่กว้างไกล ไม่หมกมุ่นอยู่กับความสุข สนุกส่วนตัว ไม่มัวเมาคลั่งไคล้ ใหลค่านิยม หลงคณะ บ้าสถาบัน บ้าสี บ้าพวก เช่นทุกวันนี้ มองไปไกลถึงความทุกข์ยากของประชาชนผู้ยากไร้ในชนบทอันห่างไกล โดยเฉพาะภาคอีสาน สนใจแต่การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหลักของกระดูกสันหลังของชาติไทย ทั้งยังถูกหล่อหลอมด้วยจิตสำนึก และวิญญาณขบถจากบทกวี หนังสือปรัชญา ดนตรีเพื่อชีวิต เช่นนี้เอง จะให้นักศึกษาเมื่อ 30 ปีก่อน มามีปัญหาการรับน้องแบบนิสิตนักศึกษายุคนี้ได้อย่างไรกัน เพราะวิธีคิดหลักของนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นมุ่งไปที่การรับใช้ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง ชาวไร่ ชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพ ผู้เสียเปรียบในสังคม
ผู้เขียนได้ตั้งชื่อบทความนี้ในเชิงเงื่อนไขว่า "โศกนาฏกรรมจากการรับน้องใหม่จะไม่เกิดขึ้นถ้า........" คำตอบมิได้อยู่ที่การย้อนอดีตกลับไป 3 ทศวรรษ เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คำตอบมิได้อยู่ที่การเลียนแบบนิสิตนักศึกษาในยุคนั้นที่มองเห็นส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนตัว แต่น่าจะอยู่ที่การมีวิญญาณขบถ มีวิญญาณเสรี รู้จักคิด ดำเนินชีวิตด้วยตัวของตัวเอง รู้จักปฏิเสธความไร้สาระของพิธีกรรมรับน้องอย่างมั่นใจ
ฉะนั้นถ้านิสิต นักศึกษาปัจจุบันมีวิญญาณขบถอยู่ในชีวิตจิตใจบ้าง ผู้เขียนมั่นใจว่า ปัญหาจากการรับน้องจะลดลงอย่างมาก เพียงแค่การปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมไร้สาระเท่านั้น ปฏิเสธที่จะทำตัวเป็นวัว ควาย ให้รุ่นพี่มาสนตะพายจูงไปซ้าย จูงไปขวา เลือกที่จะเป็นอิสรชน เสรีชน ที่ยืนอยู่บนหนึ่งสมอง สองเท้าของตนเอง
(ข้อมูลประกอบบทความมาจาก manageronline.co.th)
ที่มา : บทความพิเศษจากหนังสืออุดมสาร ฉบับวันที่ 17 - 23 กรกฎาคม 2548