มีเรื่องราวอยากจะมาแบ่งปันครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 09, 2013 1:41 pm
สวัสดีครับ พี่น้องทุกท่านนะครับ
เรื่องที่ผมอยากจะมาแบ่งปัน และ อาจจะรวมถึงขอคำภาวนา และ อาจจะรวมถึงอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย
ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะแบ่งปันเรื่องราวของผมให้พี่น้องทุกท่านได้รับรู้ดีไหม นั่งคิด นอนคิดมาวันสองวัน จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจที่จะแบ่งปันให้พี่น้องทุกท่านได้รับรู้ เผื่อมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เรื่องของผมอาจจะยาวสักหน่อย ทนๆอ่านกันหน่อยนะครับ
ผมรู้จักพระเจ้าและรู้จักเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ครั้งแรก ตอนผมเรียนอยู่ม.3 (ตอนนี้ปี2แล้วนะครับ) ตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่าอยากจะเป็นคริสตชนคาธอลิคเสียเต็มประดา เริ่มจากการปรึกษาครูต่างชาติซึ่งเป็นชาวอังกฤษในขณะนั้น อาจารย์ก็ใจดีและยินดีที่จะช่วยผม โดยการหาบทข้าแต่พระบิดา ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ มาให้ผมเริ่มสวด และ แนะนำอะไรต่อมิอะไรให้ผมอีกหลายอย่าง ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ด้วยความที่อยากรู้ผมจึงลองโทรไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อจะสอบถามเรื่องการเรียนคำสอน จำได้ว่าเป็นคุณพ่อชาวต่างชาติที่รับสาย คุยกันซะดิบดี กะว่าจะไปในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ แต่ก็คงจะด้วยความบังเอิญ บ่ายวันเสาร์วันนั้นเมื่อผมรู้ว่าแถวบ้านที่ผมอยู่ก็มีโบสถ์ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคริสตศาสนาแบ่งออกเป็น3นิกาย) ด้วยความที่ไม่รู้ว่ามันคิอโบสถ์โปรแตสเตนท์ ผมก็เดินเข้าไปถามศิษยาภิบาลถึงคุณพ่อบาทหลวง แบบที่ผมเคยเห็นในหนังฝรั่ง และ นั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า ศาสนาคริสต์ถูกแบ่งออกเป็น3นิกาย วันอาทิตย์นั้นผมก็ได้ไปลองนมัสการพระเจ้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับผมตอนนั้นก็เถอะ แต่ผมก็ได้ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และ เริ่มรู้สึกว่า โปรเตสแตนท์คงไม่ใช่ทางของเรา หลังจากนั้นไม่นานก่อนที่ผมจะรู้จักคาธอลิคมากขึ้น ผมก็ได้ไปคริสตจักรนนทบุรี กับ อาจารย์ในโรงเรียนที่เป็นคริสเตียนท่านหนึ่ง ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจตัวเองอยู่มากนัก และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ไปโบสถ์คาธอลิคครั้งแรก ก็ตอนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปีถัดมา ผมได้เริ่มรู้ว่า อะไรเป็นอะไรมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลองเข้ามิสซาสักครั้ง ผมเริ่มเรียนคำสอนตั้งแต่ครั้งนั้น เรียนไปเรื่อยๆจนถึงประมาณเดือนกรกฎา หรือ สิงหา ปี2009 แล้วผมก็เริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้า(เหมือนเริ่มเรียนตอนปลายเทอมถึงกลางเทอมถัดไปแล้วลาออก) เพราะผมรู้สึกว่า พระเจ้าไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ผมไม่มีเพื่อนเลย เพราะผมย้ายโรงเรียนเข้ามาเรียนตอนม.4 ผมทรมาน อธิษฐานขอพระเจ้าทุกวันให้มารับผมไปอยู่กับพระองค์เสียทีเถิด ผมไม่อยากทรมานอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว ผมออกห่างจากพระองค์
แต่มันน่าขำตรงที่ว่า หลังจากนั้นไม่นาน ปลายปี2009 ผมก็เริ่มมีความรู้สึกอยากกลับไปวัดอีกครั้ง อยากไปมิสซา และผมก็ได้ไปมิสซาครั้งแรก ซึ่งเป็นมิสซารอบภาษาอังกฤษ ที่วัดอัสสัมชัญ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเข้าวัดมากขึ้น จนกระทั่ง ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี2010 ที่ผมเริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง และ หันไปศึกษาศาสนาอิสลามมากขึ้น และเช่นเคยที่ผมรู้สึกศรัทธาตามแนวทางแบบมุสลิมเสียเหลือเกิน ผมเกือบที่จะเข้ารีตเป็นมุสลิมเสียอยู่แล้ว แต่เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจผมเสียก่อน ทำให้ผมไม่ได้เลือกเดินในเส้นทางนั้น หลังจากนั้นก็ออกห่างจากพระอีกครั้ง และ เริ่มกลับมาหาพระเจ้าอีก ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2010 และครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินไปทางโปรเตสแตนท์อีกครั้งหนึ่ง ผมได้ไปคริสตจักสาธร ผมได้เรียนรู้อะไรอีกพอสมควร และผมก็ออกห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง คราวนี้ผมศึกษาทางพุทธศาสนา คราวนี้ผมได้เริ่มปฎิบัติธรรมในแบบพุทธ เริ่มหาอาจารย์ทางพุทธมากมายหลายท่าน มันเหมือนจะเติมเต็มอะไรบางอย่างให้ผมได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เหมือนกับว่า ผมกำลังหลอกตัวเองอยู่มากกว่า ผมปฎิบัติธรรมเรื่อยมา จนจบม.6 ในช่วงเวลาที่ผมปฎิบัติธรรม มันก็มีบ้างที่ผมถวิลหาอะไรบางอย่างที่จะมาเติมเต็มให้ผมได้ ผมเคยคิดจะกลับไปหาพระองค์ แต่เหมือนมีเสียงคอยบอกผมว่า ' พระเจ้ามีที่ไหนกัน ไม่มีหรอก ปฎิบัติสิ่งที่ทำไปอยู่ให้ดีก็พอแล้ว ' และในช่วงที่ผมปฎิบัติธรรมนี้เอง ที่ผมโละศาสนภัณฑ์ สายประคำ บทภาวนาต่างๆ และ อื่นๆ ที่ผมสะสมมาตั้งแต่ช่วงปลายปี2009(แต่ถือว่าโชคยังดีที่ผมยังเก็บ สายประคำ และ พระคัมภีร์เอาไว้) นอกจากนั้น ผมยังให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับทางบ้านและญาติพี่น้องว่า ผมจะไม่มีวันกลับเป็นนับถือคริสต์อีกเด็ดขาด แต่เหมือนกับว่า ผมกำลังจะผิดคำพูดของตัวเองที่ได้เคยพูดเอาไว้...
เวลาผ่านพ้นไป ผมได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านสังคมศาสตร์ ผมก็กลายเป็นคนที่ไม่มีแก่นสารไปชั่วขณะ เพราะหลังจากจบม.6 ผมก็เริ่มละเลยการปฎิบัติธรรม และหันเหไปทำอย่างอื่นแทน แต่ในช่วงเวลานั้นจนถึงเวลานี้ ก็มีบ้างที่ผมถวิลหาพระเจ้า แต่เหมือนกับว่า ผมไม่สามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้นานมากนัก เพราะทุกครั้งที่ผมคิดจะกลับมาหาพระองค์ ผมกลับมาได้เพื่อน 3-4 วัน เท่านั้น และก็เริ่มตีตัวออกห่างจากพระองค์ (ความรู้สึกเหมือนเห่อของเล่นใหม่ พอเลิกเห่อก็ทิ้งมันไว้ที่ไหนสักแห่ง) แต่มันก็เป็นอะไรที่น่าแปลกอีกเช่นกันที่ผมกลับรู้สึกพอใจที่จะบูชาเทพเจ้าฮินดู แต่ผมก็บูชาได้อีกไม่นานเช่นกัน และหลังจากนั้นมาผมก็กลายเป็นคนที่ไร้แก่นสารอีกครั้งหนึ่ง และถึงจะเรียนมหาลัยแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่มีเพื่อนอยู่ดี มันเหงาและว้าเว่ และจู่ๆวันนั้นก็มาถึง...
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่จู่ๆผมก็รู้สึกอยากจะไปมิสซาเย็นที่วัดอัสสัมชัญ ที่นึกถึงวัดอัสสัมชัญ คงเป็นเพราะว่าผมมีความทรงจำอะไรบางอย่างกับที่นี้ สิ่งที่ผมได้รับจากการมิสซาเย็น ใน วันเสาร์ ที่ 7 ธันวาคม 2013 มันเป็นความสงบร่มเย็นแบบที่ผมถวิลหามานาน และมันก็คงจะเป็นความบังเอิญกระมัง เพราะผมได้ร่วมมิสซานพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ด้วย มันเป็นมิสซาที่ผมหวังว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมอยากจะร่วม มันเป็นความฝันที่ผมลืมไปนานแล้ว แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกลับมาได้ร่วมมิสซาอีกครั้ง หลังจากจบมิสซา สิ่งที่ผมถามตัวเองอีกครั้งหนึ่งก็คือ ตกลงแล้วชีวิตนี้จะเอายังไงต่อไปดีกันแน่ เราเคยให้คำมั่นสัญญากับครอบครัวและญาติพี่น้องไปแล้วว่าเราจะไม่มีวันกลับไปนับถือคริสต์อีก ตอนนี้เหมือนผมยืนอยู่บนทางแยก ความเชื่อครึ่งๆกลางๆของผมที่ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมไม่กล้าตัดสินใจอะไรอีกแล้ว.. เพราะถ้าผมตัดสินใจไปแล้ว การตัดสินใจในครั้งนี้(อีกครั้ง)ของผมมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอด ผมอาจจะโดนตัดหางปล่อยวัด โดนบอยคอด หรือ อาจจะโดนแซงก์ชั่นให้เปลี่ยนความเชื่อและความคิดความอ่าน จิตใจของผมไม่ได้เข้มแข็งแบบบุญราศีที่สองคอน และ นักบุญอัครสาวกทั้ง12คน ผมเลยเป็นแบบนี้กระมังครับ และอีกสาเหตุหนึ่งมันน่าจะมาจากสังคมที่ผมอยู่ และถุกปลูกฝังมาแต่แนวความคิดแบบพุทธผสมพรามหณ์ผสมวิถีแบบจีน
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ เป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะครับ ไม่ได้เสริมเติมแต่งแต่อย่างใด เจตนาของผมมีเพียงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองให้ทุกๆท่านได้อ่าน คิดซะว่าอ่านไปเพื่อบันเทิงใจก็ได้นะครับ ผมไม่ว่าอะไร
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอคำแนะนำรวมถึงคำภาวนาด้วยครับ
เรื่องที่ผมอยากจะมาแบ่งปัน และ อาจจะรวมถึงขอคำภาวนา และ อาจจะรวมถึงอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย
ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะแบ่งปันเรื่องราวของผมให้พี่น้องทุกท่านได้รับรู้ดีไหม นั่งคิด นอนคิดมาวันสองวัน จนสุดท้าย ก็ตัดสินใจที่จะแบ่งปันให้พี่น้องทุกท่านได้รับรู้ เผื่อมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เรื่องของผมอาจจะยาวสักหน่อย ทนๆอ่านกันหน่อยนะครับ
ผมรู้จักพระเจ้าและรู้จักเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ครั้งแรก ตอนผมเรียนอยู่ม.3 (ตอนนี้ปี2แล้วนะครับ) ตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่าอยากจะเป็นคริสตชนคาธอลิคเสียเต็มประดา เริ่มจากการปรึกษาครูต่างชาติซึ่งเป็นชาวอังกฤษในขณะนั้น อาจารย์ก็ใจดีและยินดีที่จะช่วยผม โดยการหาบทข้าแต่พระบิดา ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ มาให้ผมเริ่มสวด และ แนะนำอะไรต่อมิอะไรให้ผมอีกหลายอย่าง ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ด้วยความที่อยากรู้ผมจึงลองโทรไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อจะสอบถามเรื่องการเรียนคำสอน จำได้ว่าเป็นคุณพ่อชาวต่างชาติที่รับสาย คุยกันซะดิบดี กะว่าจะไปในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ แต่ก็คงจะด้วยความบังเอิญ บ่ายวันเสาร์วันนั้นเมื่อผมรู้ว่าแถวบ้านที่ผมอยู่ก็มีโบสถ์ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคริสตศาสนาแบ่งออกเป็น3นิกาย) ด้วยความที่ไม่รู้ว่ามันคิอโบสถ์โปรแตสเตนท์ ผมก็เดินเข้าไปถามศิษยาภิบาลถึงคุณพ่อบาทหลวง แบบที่ผมเคยเห็นในหนังฝรั่ง และ นั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า ศาสนาคริสต์ถูกแบ่งออกเป็น3นิกาย วันอาทิตย์นั้นผมก็ได้ไปลองนมัสการพระเจ้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับผมตอนนั้นก็เถอะ แต่ผมก็ได้ไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และ เริ่มรู้สึกว่า โปรเตสแตนท์คงไม่ใช่ทางของเรา หลังจากนั้นไม่นานก่อนที่ผมจะรู้จักคาธอลิคมากขึ้น ผมก็ได้ไปคริสตจักรนนทบุรี กับ อาจารย์ในโรงเรียนที่เป็นคริสเตียนท่านหนึ่ง ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจตัวเองอยู่มากนัก และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ไปโบสถ์คาธอลิคครั้งแรก ก็ตอนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปีถัดมา ผมได้เริ่มรู้ว่า อะไรเป็นอะไรมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลองเข้ามิสซาสักครั้ง ผมเริ่มเรียนคำสอนตั้งแต่ครั้งนั้น เรียนไปเรื่อยๆจนถึงประมาณเดือนกรกฎา หรือ สิงหา ปี2009 แล้วผมก็เริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้า(เหมือนเริ่มเรียนตอนปลายเทอมถึงกลางเทอมถัดไปแล้วลาออก) เพราะผมรู้สึกว่า พระเจ้าไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ผมไม่มีเพื่อนเลย เพราะผมย้ายโรงเรียนเข้ามาเรียนตอนม.4 ผมทรมาน อธิษฐานขอพระเจ้าทุกวันให้มารับผมไปอยู่กับพระองค์เสียทีเถิด ผมไม่อยากทรมานอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว ผมออกห่างจากพระองค์
แต่มันน่าขำตรงที่ว่า หลังจากนั้นไม่นาน ปลายปี2009 ผมก็เริ่มมีความรู้สึกอยากกลับไปวัดอีกครั้ง อยากไปมิสซา และผมก็ได้ไปมิสซาครั้งแรก ซึ่งเป็นมิสซารอบภาษาอังกฤษ ที่วัดอัสสัมชัญ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเข้าวัดมากขึ้น จนกระทั่ง ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี2010 ที่ผมเริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง และ หันไปศึกษาศาสนาอิสลามมากขึ้น และเช่นเคยที่ผมรู้สึกศรัทธาตามแนวทางแบบมุสลิมเสียเหลือเกิน ผมเกือบที่จะเข้ารีตเป็นมุสลิมเสียอยู่แล้ว แต่เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจผมเสียก่อน ทำให้ผมไม่ได้เลือกเดินในเส้นทางนั้น หลังจากนั้นก็ออกห่างจากพระอีกครั้ง และ เริ่มกลับมาหาพระเจ้าอีก ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2010 และครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินไปทางโปรเตสแตนท์อีกครั้งหนึ่ง ผมได้ไปคริสตจักสาธร ผมได้เรียนรู้อะไรอีกพอสมควร และผมก็ออกห่างจากพระเจ้าอีกครั้ง คราวนี้ผมศึกษาทางพุทธศาสนา คราวนี้ผมได้เริ่มปฎิบัติธรรมในแบบพุทธ เริ่มหาอาจารย์ทางพุทธมากมายหลายท่าน มันเหมือนจะเติมเต็มอะไรบางอย่างให้ผมได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เหมือนกับว่า ผมกำลังหลอกตัวเองอยู่มากกว่า ผมปฎิบัติธรรมเรื่อยมา จนจบม.6 ในช่วงเวลาที่ผมปฎิบัติธรรม มันก็มีบ้างที่ผมถวิลหาอะไรบางอย่างที่จะมาเติมเต็มให้ผมได้ ผมเคยคิดจะกลับไปหาพระองค์ แต่เหมือนมีเสียงคอยบอกผมว่า ' พระเจ้ามีที่ไหนกัน ไม่มีหรอก ปฎิบัติสิ่งที่ทำไปอยู่ให้ดีก็พอแล้ว ' และในช่วงที่ผมปฎิบัติธรรมนี้เอง ที่ผมโละศาสนภัณฑ์ สายประคำ บทภาวนาต่างๆ และ อื่นๆ ที่ผมสะสมมาตั้งแต่ช่วงปลายปี2009(แต่ถือว่าโชคยังดีที่ผมยังเก็บ สายประคำ และ พระคัมภีร์เอาไว้) นอกจากนั้น ผมยังให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับทางบ้านและญาติพี่น้องว่า ผมจะไม่มีวันกลับเป็นนับถือคริสต์อีกเด็ดขาด แต่เหมือนกับว่า ผมกำลังจะผิดคำพูดของตัวเองที่ได้เคยพูดเอาไว้...
เวลาผ่านพ้นไป ผมได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านสังคมศาสตร์ ผมก็กลายเป็นคนที่ไม่มีแก่นสารไปชั่วขณะ เพราะหลังจากจบม.6 ผมก็เริ่มละเลยการปฎิบัติธรรม และหันเหไปทำอย่างอื่นแทน แต่ในช่วงเวลานั้นจนถึงเวลานี้ ก็มีบ้างที่ผมถวิลหาพระเจ้า แต่เหมือนกับว่า ผมไม่สามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้นานมากนัก เพราะทุกครั้งที่ผมคิดจะกลับมาหาพระองค์ ผมกลับมาได้เพื่อน 3-4 วัน เท่านั้น และก็เริ่มตีตัวออกห่างจากพระองค์ (ความรู้สึกเหมือนเห่อของเล่นใหม่ พอเลิกเห่อก็ทิ้งมันไว้ที่ไหนสักแห่ง) แต่มันก็เป็นอะไรที่น่าแปลกอีกเช่นกันที่ผมกลับรู้สึกพอใจที่จะบูชาเทพเจ้าฮินดู แต่ผมก็บูชาได้อีกไม่นานเช่นกัน และหลังจากนั้นมาผมก็กลายเป็นคนที่ไร้แก่นสารอีกครั้งหนึ่ง และถึงจะเรียนมหาลัยแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่มีเพื่อนอยู่ดี มันเหงาและว้าเว่ และจู่ๆวันนั้นก็มาถึง...
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่จู่ๆผมก็รู้สึกอยากจะไปมิสซาเย็นที่วัดอัสสัมชัญ ที่นึกถึงวัดอัสสัมชัญ คงเป็นเพราะว่าผมมีความทรงจำอะไรบางอย่างกับที่นี้ สิ่งที่ผมได้รับจากการมิสซาเย็น ใน วันเสาร์ ที่ 7 ธันวาคม 2013 มันเป็นความสงบร่มเย็นแบบที่ผมถวิลหามานาน และมันก็คงจะเป็นความบังเอิญกระมัง เพราะผมได้ร่วมมิสซานพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์ด้วย มันเป็นมิสซาที่ผมหวังว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมอยากจะร่วม มันเป็นความฝันที่ผมลืมไปนานแล้ว แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกลับมาได้ร่วมมิสซาอีกครั้ง หลังจากจบมิสซา สิ่งที่ผมถามตัวเองอีกครั้งหนึ่งก็คือ ตกลงแล้วชีวิตนี้จะเอายังไงต่อไปดีกันแน่ เราเคยให้คำมั่นสัญญากับครอบครัวและญาติพี่น้องไปแล้วว่าเราจะไม่มีวันกลับไปนับถือคริสต์อีก ตอนนี้เหมือนผมยืนอยู่บนทางแยก ความเชื่อครึ่งๆกลางๆของผมที่ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมไม่กล้าตัดสินใจอะไรอีกแล้ว.. เพราะถ้าผมตัดสินใจไปแล้ว การตัดสินใจในครั้งนี้(อีกครั้ง)ของผมมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอด ผมอาจจะโดนตัดหางปล่อยวัด โดนบอยคอด หรือ อาจจะโดนแซงก์ชั่นให้เปลี่ยนความเชื่อและความคิดความอ่าน จิตใจของผมไม่ได้เข้มแข็งแบบบุญราศีที่สองคอน และ นักบุญอัครสาวกทั้ง12คน ผมเลยเป็นแบบนี้กระมังครับ และอีกสาเหตุหนึ่งมันน่าจะมาจากสังคมที่ผมอยู่ และถุกปลูกฝังมาแต่แนวความคิดแบบพุทธผสมพรามหณ์ผสมวิถีแบบจีน
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ เป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะครับ ไม่ได้เสริมเติมแต่งแต่อย่างใด เจตนาของผมมีเพียงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองให้ทุกๆท่านได้อ่าน คิดซะว่าอ่านไปเพื่อบันเทิงใจก็ได้นะครับ ผมไม่ว่าอะไร
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอคำแนะนำรวมถึงคำภาวนาด้วยครับ