การหัวเราะครั้งสุดท้ายของคุณแม่
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 27, 2017 9:26 am
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
...........การหัวเราะครั้งสุดท้ายของคุณแม่.........
.....ดิฉันเศร้าโศกเสียใจมากจนไม่รู้สึกถึงความแข็งกระด้างของม้านั่ง
ในวัดที่นั่งอยู่ ดิฉันมาร่วมพิธีศพคุณแม่ผู้เป็นสหายที่ดิฉันรักมากที่สุด
คุณแม่จากไปหลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งอยู่นานมาก ดิฉันรู้สึกเศร้ามาก
จนแทบหายใจไม่ออกในบางครั้ง
....เมื่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนที่ตบมือดังที่สุด เมื่อตอนที่ดิฉันเล่น
ละครโรงเรียน ท่านเป็นคนถือกล่องกระดาษทิชชู่ให้ดิฉันเช็ดน้ำตา และปลอบ
ดิฉันตลอดเวลาเมื่อคราวที่คุณพ่อจากไป ท่านให้กำลังใจขณะที่ดิฉันเรียนอยู่
ในระดับมหาวิทยาลัย และสวดให้ดิฉันมาตลอดชีวิต
.....เมื่อตอนที่ตรวจพบว่าท่านเป็นมะเร็ง พี่สาวดิฉันให้กำเนิดลูกคนแรกพอดี
ขณะที่น้องชายดิฉันก็เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ดิฉันจึงเป็นลูกคนกลางที่ไม่มีพันธะ
ใดๆ และยินดีทำหน้าที่ดูแลคุณแม่ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ ที่มีเกียรติมาก
...ดิฉันตั้งคำถามในใจขนาดที่นั่งอยู่ในวัดว่า “แล้วตอนนี้ดิฉันมีหน้าที่อะไรหรือ
พระเจ้าข้า” ดิฉันคิดถึงวันข้างหน้าที่ดูมืดมนราวกับกำลังเดินอยู่ในเหวลึก น้อง
ชายดิฉันกำลังนั่งนิ่ง มองตรงไปที่กางเขน มือข้างหนึ่งกุมมือของภริยาไว้แน่น
ส่วนพี่สาวดิฉันก็นั่งอิงไหล่ของสามี ที่ใช้แขนทั้งสองโอบกอดเธอราวกับกำลัง
ปลอบเธออยู่ทุกคนต่างกำลังเศร้า จนไม่มีใครสังเกตว่าดิฉันกำลังนั่งอยู่ตาม
ลำพังอย่างเดียวดาย นี่ฉันเคยมีแม่อยู่เคียงข้างเสมอทุกวัน ดิฉันเตรียมอาหาร
ทุกมื้อให้ท่าน ช่วยพยุงขณะเดินไปด้วยกัน หรือไม่ก็พาท่านไปหาหมอให้ยากิน
ตามกำหนดเวลา และอ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน แต่ตอนนี้ท่านไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว
ดิฉันไม่มีอะไรทำอีกแล้วต้องอยู่คนเดียวต่อไป ....
...........การหัวเราะครั้งสุดท้ายของคุณแม่.........
.....ดิฉันเศร้าโศกเสียใจมากจนไม่รู้สึกถึงความแข็งกระด้างของม้านั่ง
ในวัดที่นั่งอยู่ ดิฉันมาร่วมพิธีศพคุณแม่ผู้เป็นสหายที่ดิฉันรักมากที่สุด
คุณแม่จากไปหลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งอยู่นานมาก ดิฉันรู้สึกเศร้ามาก
จนแทบหายใจไม่ออกในบางครั้ง
....เมื่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นคนที่ตบมือดังที่สุด เมื่อตอนที่ดิฉันเล่น
ละครโรงเรียน ท่านเป็นคนถือกล่องกระดาษทิชชู่ให้ดิฉันเช็ดน้ำตา และปลอบ
ดิฉันตลอดเวลาเมื่อคราวที่คุณพ่อจากไป ท่านให้กำลังใจขณะที่ดิฉันเรียนอยู่
ในระดับมหาวิทยาลัย และสวดให้ดิฉันมาตลอดชีวิต
.....เมื่อตอนที่ตรวจพบว่าท่านเป็นมะเร็ง พี่สาวดิฉันให้กำเนิดลูกคนแรกพอดี
ขณะที่น้องชายดิฉันก็เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ดิฉันจึงเป็นลูกคนกลางที่ไม่มีพันธะ
ใดๆ และยินดีทำหน้าที่ดูแลคุณแม่ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ ที่มีเกียรติมาก
...ดิฉันตั้งคำถามในใจขนาดที่นั่งอยู่ในวัดว่า “แล้วตอนนี้ดิฉันมีหน้าที่อะไรหรือ
พระเจ้าข้า” ดิฉันคิดถึงวันข้างหน้าที่ดูมืดมนราวกับกำลังเดินอยู่ในเหวลึก น้อง
ชายดิฉันกำลังนั่งนิ่ง มองตรงไปที่กางเขน มือข้างหนึ่งกุมมือของภริยาไว้แน่น
ส่วนพี่สาวดิฉันก็นั่งอิงไหล่ของสามี ที่ใช้แขนทั้งสองโอบกอดเธอราวกับกำลัง
ปลอบเธออยู่ทุกคนต่างกำลังเศร้า จนไม่มีใครสังเกตว่าดิฉันกำลังนั่งอยู่ตาม
ลำพังอย่างเดียวดาย นี่ฉันเคยมีแม่อยู่เคียงข้างเสมอทุกวัน ดิฉันเตรียมอาหาร
ทุกมื้อให้ท่าน ช่วยพยุงขณะเดินไปด้วยกัน หรือไม่ก็พาท่านไปหาหมอให้ยากิน
ตามกำหนดเวลา และอ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน แต่ตอนนี้ท่านไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว
ดิฉันไม่มีอะไรทำอีกแล้วต้องอยู่คนเดียวต่อไป ....