อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ (1)
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:14 pm
.........การนัดหมายกับคู่รัก.........
เรื่องจริงเล่าโดย Pete Vere เมือง Nokomis รัฐฟลอริด้า จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “An Engaging Encounter”
ในโลกปัจจุบัน เป็นการยากอยู่ไม่น้อยที่จะพบนักศึกษาสาวที่กำลังหาคู่ครองและเจริญชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักร ตั้งแต่การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ของเรา ผมทราบดีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ “ใช่เลย” สำหรับผม แต่ก็ติดอยู่ที่ปัญหาหนึ่งคือเธอไม่เป็นคาทอลิก แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยทุกประการกับคำสอนของพระศาสนจักรรวมทั้งหลักเกณฑ์ศีลธรรมในเรื่องเพศ แต่เธอก็ไม่สนใจคิดเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก หรือศึกษาข้อความเชื่อของคาทอลิกใด ๆ
เมื่อคบกันใหม่ ๆ ผมเคยคิดว่าคงไม่เป็นเรื่องยากกับการทำให้เธอกลับใจ ดังนั้นผมจึงสานความสัมพันธ์กับเธอเรื่อยมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูใจกันมานานพอควรแล้ว ผมรู้สึกว่านับวันเธอยิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อคาทอลิกและความสัมพันธ์ของเราก็ไม่หวานชื่นดังเดิม ผมเริ่มตั้งคำถามว่า เราทั้งสองยังคงจะแต่งงานกันต่อหน้าพระหรือไม่ ตามแผนที่วางไว้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ปัญหาเรื่องศาสนาที่สำคัญเนื่องจากเธอมีพื้นเพเป็นโปรเตสแตนท์ “เอวังเจลิคัล” และอีกปัญหาหนึ่งคือขณะนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของสันตะสำนักเพื่อเตรียมตัวเป็นนักกฎหมายพระศาสนจักร (canonist) ซึ่งหมายถึงอนาคตผมคงจะทำงานเกี่ยวกับระบบกฎหมายของพระศาสนจักร
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นระหว่างเรา ผมมักจะคำนึงถึงแต่เรื่องกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักร ทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องการใช้พระพรของพระในการพูดคุยกันในเรื่องข้อความเชื่อ และดังนั้นคู่รักของผมจึงมีทัศนคติเป็นลบต่อศาสนาคาทอลิก
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักและรู้สึกได้ถึงปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในใจ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองว่า ผมควรจะวางมือเรื่องกฎหมายพระศาสนจักรสักหนึ่งวันและเดินทางไปสักการสถานแม่พระที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในชนบท ที่มีคริสตังจากต่างถิ่นมาแสวงบุญสวดสายประคำกันทุกวันสุดสัปดาห์ และผมก็น่าจะเชิญคู่รักไปพักผ่อนด้วยกันด้วยในวันนั้น
เป็นเรื่องแปลกที่เธอแทบไม่ลังเลใจเลยในการตอบตกลง ผมจึงตัดสินใจทันทีที่จะเช่ารถและขับไปรับเธอที่ห้องเช่าที่เธอพักอยู่ เราขับรถไปตามภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาของประเทศแคนาดาและเปิดเพลงฟังระหว่างการเดินทาง ซึ่งมีทั้งเพลงทางโลกและเพลงทางศาสนา เราหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันในโรงเตี๊ยมชนบทที่แปลกตา สรุปคือการขับรถไปตามถนนชนบทในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีของเช้าวันนั้นเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์ทีเดียว
กระนั้นก็ดี ลึก ๆ แล้วเราทั้งสองยังคงมีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องศาสนาคาทอลิกอยู่ แม้จะไม่มีการพูดออกมาก็ตาม เมื่อขับรถไปถึงสักการสถานแม่พระ ผมรีบสวดสั้น ๆ ในใจขอความช่วยเหลือจากพระแม่ และรู้สึกมั่นใจว่าความตึงเครียดของเราทั้งสองจะสิ้นสุดลงก่อนค่ำวันนั้น
เราเริ่มออกเดินแสวงบุญไปยังบริเวณข้อรำพึงแรก ผมออกเสียงสวดบทวันทามารีย์ เมื่อสวดเสร็จ เธอก็บอกให้ผมหยุด และถามขึ้นว่า “ฉันว่า ฉันเคยได้ยินข้อความเหล่านี้มาแล้วนะ”
ผมจึงตอบเธอว่า “คุณคงจะเคยอ่านพบในตอนต้นของพระคัมภีร์โดยนักบุญลูกา เพราะตอนต้นของบทสวดนี้เป็นคำกล่าวของเทวทูตคาเบรียล เมื่อเริ่มทักทายพระนางมารีย์ ต่อด้วยคำกล่าวของเอลิซาเบธญาติของพระนางมารีย์”
เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำตอบของผมและถามขึ้นว่า “จริงหรือนี่ คุณหมายถึงว่า บทสวดนี้มาจากพระคัมภีร์หรือ?”
ผมตอบเธอว่า “ถูกต้องแล้ว ที่จริงบทวันทามารีย์ก็คือการมีพระคัมภีร์ฉบับจิ๋วติดตัวไว้ บทสวดส่วนใหญ่ก็เป็นบทวันทามารีย์และบทข้าแต่พระบิดาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนอัครสาวกให้รู้จักสวดนั่นเอง ส่วนข้อรำพึงต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสวงบุญก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระชนมชีพของพระเยซูคริสต์ตามพระวรสาร”
เธอครุ่นคิดถึงคำตอบของผม ขณะที่ผมกำลังรำพึงถึงการรับเอากายเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความงดงามของบทสวดที่กำลังถูกนำลงปลูกฝังอยู่ในหัวใจของเธอ เมื่อเราเดินไปถึงบริเวณข้อรำพึงที่สองของภาคชื่นชมยินดี เธอหันหน้ามาและขอให้ผมช่วยสอนเธอสวดบทวันทามารีย์
ขณะนั้นผมตระหนักได้ทันทีเลยว่าหัวใจของเราทั้งสองกำลังคลายความเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างการรำพึงในภาคชื่นชมยินดีตามเส้นทางที่เหลือ ผมสวดช้า ๆ เพื่อให้เธอสวดตามได้ และเมื่อเราเข้าร่วมกลุ่มนักแสวงบุญจากที่อื่น ในการรำพึงตามภาคมหาทรมาน เธอก็สามารถสวดบทวันทามารีย์ได้อย่างคล่องแคล่ว ราวเป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เกิด ไม่มีนักแสวงบุญสักคนในกลุ่มนั้นทราบว่าเธอไม่ได้เป็นคาทอลิก
เมื่อเราแสวงบุญเสร็จถึงภาคสิริรุ่งโรจน์ก็เป็นเวลาเย็นพอดี เมฆฝนตั้งเค้า เราทั้งสองเดินไปหาที่หลบฝนในรถ และกำลังจะขับรถต่อเพื่อไปหาอาหารเย็นในภัตตาคารดี ๆ ในเมือง ก่อนออกรถ เธอขอไปที่ร้านขายของที่ระลึกในบริเวณสักการสถานก่อนร้านปิด... เธอรีบตรงเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกและชี้ไปยังสายประคำคริสตัลสีน้ำเงินที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่ในตู้โชว์ จากนั้นก็ส่งบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย... ขณะที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยในรถ เธอบอกผมว่า “ตอนนี้ฉันสามารถสวดพร้อมกับคุณและลูก ๆ ในอนาคตของเราได้แล้ว”
ผมร้องไห้ออกมา ผมเพิ่งเป็นพยานถึงอัศจรรย์ที่เกิดจากพลังแห่งสายประคำและการเสนอคำวิงวอนของพระนางพรหมจารี นี่มิใช่อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการรักษาโรคทางกาย แต่เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะหัวใจของเธอเปิดต้อนรับชีวิตจิตตามแนวทางของพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว นี่คือการที่สายประคำช่วยให้ชีวิตแต่งงานของผมราบรื่น ตั้งแต่ก่อนวันแต่งงานของเรา!
เกือบสี่ปีผ่านไปนับแต่วันที่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในหัวใจของเรา พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตแต่งงานของเรา ลูกสาวคนแรกของเราน่ารักมาก และตั้งแต่วันที่เกิดอัศจรรย์กับเธอในหัวใจ เธอไปวัดเคียงข้างผมทุกวันอาทิตย์และในวันฉลองบังคับ เพราะเราสวดภาวนาเป็นครอบครัวด้วยกันเสมอ
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
เรื่องจริงเล่าโดย Pete Vere เมือง Nokomis รัฐฟลอริด้า จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “An Engaging Encounter”
ในโลกปัจจุบัน เป็นการยากอยู่ไม่น้อยที่จะพบนักศึกษาสาวที่กำลังหาคู่ครองและเจริญชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักร ตั้งแต่การเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ของเรา ผมทราบดีว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ “ใช่เลย” สำหรับผม แต่ก็ติดอยู่ที่ปัญหาหนึ่งคือเธอไม่เป็นคาทอลิก แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยทุกประการกับคำสอนของพระศาสนจักรรวมทั้งหลักเกณฑ์ศีลธรรมในเรื่องเพศ แต่เธอก็ไม่สนใจคิดเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก หรือศึกษาข้อความเชื่อของคาทอลิกใด ๆ
เมื่อคบกันใหม่ ๆ ผมเคยคิดว่าคงไม่เป็นเรื่องยากกับการทำให้เธอกลับใจ ดังนั้นผมจึงสานความสัมพันธ์กับเธอเรื่อยมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูใจกันมานานพอควรแล้ว ผมรู้สึกว่านับวันเธอยิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อคาทอลิกและความสัมพันธ์ของเราก็ไม่หวานชื่นดังเดิม ผมเริ่มตั้งคำถามว่า เราทั้งสองยังคงจะแต่งงานกันต่อหน้าพระหรือไม่ ตามแผนที่วางไว้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ปัญหาเรื่องศาสนาที่สำคัญเนื่องจากเธอมีพื้นเพเป็นโปรเตสแตนท์ “เอวังเจลิคัล” และอีกปัญหาหนึ่งคือขณะนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของสันตะสำนักเพื่อเตรียมตัวเป็นนักกฎหมายพระศาสนจักร (canonist) ซึ่งหมายถึงอนาคตผมคงจะทำงานเกี่ยวกับระบบกฎหมายของพระศาสนจักร
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นระหว่างเรา ผมมักจะคำนึงถึงแต่เรื่องกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักร ทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องการใช้พระพรของพระในการพูดคุยกันในเรื่องข้อความเชื่อ และดังนั้นคู่รักของผมจึงมีทัศนคติเป็นลบต่อศาสนาคาทอลิก
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักและรู้สึกได้ถึงปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในใจ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองว่า ผมควรจะวางมือเรื่องกฎหมายพระศาสนจักรสักหนึ่งวันและเดินทางไปสักการสถานแม่พระที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในชนบท ที่มีคริสตังจากต่างถิ่นมาแสวงบุญสวดสายประคำกันทุกวันสุดสัปดาห์ และผมก็น่าจะเชิญคู่รักไปพักผ่อนด้วยกันด้วยในวันนั้น
เป็นเรื่องแปลกที่เธอแทบไม่ลังเลใจเลยในการตอบตกลง ผมจึงตัดสินใจทันทีที่จะเช่ารถและขับไปรับเธอที่ห้องเช่าที่เธอพักอยู่ เราขับรถไปตามภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาของประเทศแคนาดาและเปิดเพลงฟังระหว่างการเดินทาง ซึ่งมีทั้งเพลงทางโลกและเพลงทางศาสนา เราหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันในโรงเตี๊ยมชนบทที่แปลกตา สรุปคือการขับรถไปตามถนนชนบทในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีของเช้าวันนั้นเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์ทีเดียว
กระนั้นก็ดี ลึก ๆ แล้วเราทั้งสองยังคงมีความเครียดเกี่ยวกับเรื่องศาสนาคาทอลิกอยู่ แม้จะไม่มีการพูดออกมาก็ตาม เมื่อขับรถไปถึงสักการสถานแม่พระ ผมรีบสวดสั้น ๆ ในใจขอความช่วยเหลือจากพระแม่ และรู้สึกมั่นใจว่าความตึงเครียดของเราทั้งสองจะสิ้นสุดลงก่อนค่ำวันนั้น
เราเริ่มออกเดินแสวงบุญไปยังบริเวณข้อรำพึงแรก ผมออกเสียงสวดบทวันทามารีย์ เมื่อสวดเสร็จ เธอก็บอกให้ผมหยุด และถามขึ้นว่า “ฉันว่า ฉันเคยได้ยินข้อความเหล่านี้มาแล้วนะ”
ผมจึงตอบเธอว่า “คุณคงจะเคยอ่านพบในตอนต้นของพระคัมภีร์โดยนักบุญลูกา เพราะตอนต้นของบทสวดนี้เป็นคำกล่าวของเทวทูตคาเบรียล เมื่อเริ่มทักทายพระนางมารีย์ ต่อด้วยคำกล่าวของเอลิซาเบธญาติของพระนางมารีย์”
เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำตอบของผมและถามขึ้นว่า “จริงหรือนี่ คุณหมายถึงว่า บทสวดนี้มาจากพระคัมภีร์หรือ?”
ผมตอบเธอว่า “ถูกต้องแล้ว ที่จริงบทวันทามารีย์ก็คือการมีพระคัมภีร์ฉบับจิ๋วติดตัวไว้ บทสวดส่วนใหญ่ก็เป็นบทวันทามารีย์และบทข้าแต่พระบิดาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนอัครสาวกให้รู้จักสวดนั่นเอง ส่วนข้อรำพึงต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสวงบุญก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระชนมชีพของพระเยซูคริสต์ตามพระวรสาร”
เธอครุ่นคิดถึงคำตอบของผม ขณะที่ผมกำลังรำพึงถึงการรับเอากายเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความงดงามของบทสวดที่กำลังถูกนำลงปลูกฝังอยู่ในหัวใจของเธอ เมื่อเราเดินไปถึงบริเวณข้อรำพึงที่สองของภาคชื่นชมยินดี เธอหันหน้ามาและขอให้ผมช่วยสอนเธอสวดบทวันทามารีย์
ขณะนั้นผมตระหนักได้ทันทีเลยว่าหัวใจของเราทั้งสองกำลังคลายความเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างการรำพึงในภาคชื่นชมยินดีตามเส้นทางที่เหลือ ผมสวดช้า ๆ เพื่อให้เธอสวดตามได้ และเมื่อเราเข้าร่วมกลุ่มนักแสวงบุญจากที่อื่น ในการรำพึงตามภาคมหาทรมาน เธอก็สามารถสวดบทวันทามารีย์ได้อย่างคล่องแคล่ว ราวเป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เกิด ไม่มีนักแสวงบุญสักคนในกลุ่มนั้นทราบว่าเธอไม่ได้เป็นคาทอลิก
เมื่อเราแสวงบุญเสร็จถึงภาคสิริรุ่งโรจน์ก็เป็นเวลาเย็นพอดี เมฆฝนตั้งเค้า เราทั้งสองเดินไปหาที่หลบฝนในรถ และกำลังจะขับรถต่อเพื่อไปหาอาหารเย็นในภัตตาคารดี ๆ ในเมือง ก่อนออกรถ เธอขอไปที่ร้านขายของที่ระลึกในบริเวณสักการสถานก่อนร้านปิด... เธอรีบตรงเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกและชี้ไปยังสายประคำคริสตัลสีน้ำเงินที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่ในตู้โชว์ จากนั้นก็ส่งบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย... ขณะที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยในรถ เธอบอกผมว่า “ตอนนี้ฉันสามารถสวดพร้อมกับคุณและลูก ๆ ในอนาคตของเราได้แล้ว”
ผมร้องไห้ออกมา ผมเพิ่งเป็นพยานถึงอัศจรรย์ที่เกิดจากพลังแห่งสายประคำและการเสนอคำวิงวอนของพระนางพรหมจารี นี่มิใช่อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการรักษาโรคทางกาย แต่เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะหัวใจของเธอเปิดต้อนรับชีวิตจิตตามแนวทางของพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว นี่คือการที่สายประคำช่วยให้ชีวิตแต่งงานของผมราบรื่น ตั้งแต่ก่อนวันแต่งงานของเรา!
เกือบสี่ปีผ่านไปนับแต่วันที่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในหัวใจของเรา พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตแต่งงานของเรา ลูกสาวคนแรกของเราน่ารักมาก และตั้งแต่วันที่เกิดอัศจรรย์กับเธอในหัวใจ เธอไปวัดเคียงข้างผมทุกวันอาทิตย์และในวันฉลองบังคับ เพราะเราสวดภาวนาเป็นครอบครัวด้วยกันเสมอ
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ