เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ ชุด (1)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 20, 2021 5:24 pm

🙏โรงเรียนแห่งความหวัง🙏

ตอนที่ (1)จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2546/2003,
โดย Marc Lerner รวบรวมและเพิ่มเติมจาก Google 2021 โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หมู่บ้านอาข่า ดอยแม่สลอง เป็นหนึ่งในหมู่บ้านชนกลุ่มน้อยยากจนซึ่งกระจัดกระจาย
อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า มีปัญหาเรื่องยาเสพติดและเด็กสาวมักถูกพ่อแม่บังคับ
ให้ออกจากโรงเรียน​ หลังเรียนได้แค่ 2-3 ปี​ ก่อนถูกนายหน้านำไปขายให้เครือข่าย
ค้าประเวณี

เมื่อ​ ’สมภพ จันทรากา’ ได้ยินเรื่องนายหน้ามาสัญญากับเด็กสาววัยเพียง 12 ขวบซึ่ง
เป็นลูกสาวของผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ว่า จะให้ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟและทำงานในโรงงาน
เขารู้ความจริงว่า ที่สุดแล้วเด็กเหล่านี้จะถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศที่บาร์,
ร้านคาราโอเกะ หรือสถานอาบอบนวด

ครูสมภพและนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งขณะนั้นวัย 36 ปี (กุมภาพันธ์ 2536) รีบขี่จักรยานยนต์
คันเก่าไปที่หมู่บ้านนี้และพูดกับผู้นำหมู่บ้านว่า “ลูกน่าจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ ถ้าเรียนจบเด็ก
จะมีโอกาสทำงานและสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ตามสมควร” จากนั้นสมภพก็เล่า
ให้ผู้นำหมู่บ้านฟังถึงศูนย์การเรียนของเขาที่แม่สายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เขาบอกว่า ที่ศูนย์ฯ
เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ทักษะที่สามารถนำไปสร้างอนาคตได้อย่างแท้จริงผู้นำหมู่บ้านยัง
คลางแคลงใจอยู่​ แต่สมภพก็ไม่ละความพยายาม เขาแวะเวียนไปเยี่ยมที่หมู่บ้านนั้นอีก
หลายครั้งในช่วง 2-3 เดือนต่อมา ในที่สุดผู้นำหมู่บ้านก็ส่งลูกสาวคนเดียวของเขาไปเรียน
ที่ศูนย์การเรียนของสมภพ ปีต่อมามีเด็กสาวเข้าเรียนเพิ่มอีกกว่า 10 คน

สมภพกำลังต่อสู้กับปัญหาของสังคมไทยที่มีมานาน นั่นคือการล่อลวงเด็กสาวมาขายบริการ
ทางเพศ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า มีผู้หญิงทำงานในสถานค้าประเวณีทั่วประเทศ
กว่า 200,000 คน

นายหน้าจ่ายเงินค่าตัวให้เด็กสาวพื้นราบหน้าตาดีในราคาคนละ 20,000 บาทเป็นอย่างน้อย
ขณะที่เด็กสาวชาวดอย​ เช่นชาวอาข่าจะได้ค่าตัวประมาณ 8,000 – 10,000 บาทเนื่องจากไม่
สามารถพูดเจรจาต่อรองกับนายหน้าได้และต้องการดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความยากจน
“พ่อแม่เด็กมักไม่รู้หนังสือและเป็นคนซื่อ ๆ” สมภพบอก “ส่วนใหญ่รู้ว่าลูกสาวไม่ได้ทำงานจริง
อย่างที่นายหน้าอ้าง แต่ก็จำต้องขายลูกให้ทั้งที่รู้”

สมภพกับศูนย์การเรียนของเขาช่วยให้เด็กสาวบางคนในหมู่บ้านมีโอกาสใช้ชีวิตที่ดีกว่า
ศูนย์ฯ ที่อำเภอแม่สายเป็นตึก 3 หลังและมีหอประชุมเปิดโล่งขนาดใหญ่ซึ่งปัจจุบันรองรับ
เด็กได้กว่า 200 คนตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็กแบบเช้าไปเย็นกลับ
และโรงเรียนระดับประถม ต่อมาเปิดรับเด็กชายด้วย ที่นี่เด็กจะได้เรียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
เลขคณิต และทักษะพื้นฐานอื่น ๆ มีเด็กสาวในวัยที่เสี่ยงต่อการถูกล่อลวง 65 คน​
พักอยู่ที่หอพักของศูนย์แม่สายและอีกแห่งที่ศูนย์ดอยหลวง

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ธ.ค. 20, 2022 9:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 7 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ย. 21, 2021 8:57 pm

😘คืนสู่สัมผัส

จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2546/2003,
โดย Sarah Ban Breathnach รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ฉันไม่เคยรู้คุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัวจนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน​ เมื่อ 20 ปีก่อน
ขณะที่กำลังกินอาหารอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ฝ้าเพดานแผ่นใหญ่ในร้านก็
ตกลงมาที่ศีรษะจนฉันหัวคะมำกับโต๊ะ แต่คนอื่น ๆ ในร้านไม่เป็นอะไรเลย
ฉันไม่ถึงกับสลบเหมือดแต่ก็บาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนรักษาตัวเป็นเดือนด้วย
ความรู้สึกสับสนมึนงงและพิการอยู่ปีครึ่ง ช่วงพักฟื้น 2-3 เดือนแรก ประสาทสัมผัส
ในตัวผิดเพี้ยนไปหมด สายตาพร่ามัวและแพ้แสงจนต้องรูดม่านในห้องนอนให้ปิด
อยู่ตลอดเวลา ฟังเพลงไม่ได้​ เพราะเวียนศีรษะ กินอาหารก็ไม่รู้รสชาติ แม้แต่ดมผม
ลูกสาวหลังสระเสร็จใหม่ ๆ ก็ไม่รู้สึกว่าหอมสดชื่น
ความรู้สึกต่าง ๆ ในร่างกายที่ฉันไม่เคยสำนึกถึงคุณค่าหายไปหมด ฉันนอนซมบน
เตียงเป็นวัน ๆ ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว หรือดูแลลูกสาวซึ่งเพิ่งมีอายุครบ 2 ขวบ
ทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเองไปด้วย

ช่วงที่ไร้ความรู้สึกเหล่านี้ ช่วงแรก ๆ ฉันอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน
ทำไมต้องเกิดขึ้นตอนนี้ ทำไมพระเจ้าทรงเลือกฉันให้รับทุกขเวทนา” แต่ตอนนี้ฉัน
รู้แล้วว่า อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทำของพระเจ้า แต่เกิดจากสถานการณ์,
กรรม, โชคชะตา และความบกพร่องของมนุษย์เนื่องจากช่างซ่อมท่อแอร์ลืมขันตะปูควง
ล็อกฝ้าเพดานกลับเข้าที่

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฉันก็พบความจริงของชีวิตว่า เราอาจพบสิ่งไม่คาดฝันในสถานที่
และเวลาที่เราคิดไม่ถึงได้เช่นกัน ซอสสปาเก็ตตีคือกลิ่นแรกที่ฉันรับรู้ได้ สปาเก็ตตีที่เพื่อน
กำลังอุ่นอยู่ในครัวส่งกลิ่นหอมอบอวลไปถึงห้องนอน ฉันตื่นเต้นดีใจแทบไม่เชื่อจมูกตัวเอง
ฉันถึงกับเดินลงบันไดตรงไปยังห้องครัวรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนสวรรค์ในบ้านตัวเอง
จากวินาทีนั้นชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

ฉันหยิบช้อนขึ้นตักซอสขึ้นแตะริมฝีปาก แม้ยังไม่สามารถรับรู้รสซอส แต่ก็รับรู้ถึง
ความแตกต่างของอุณหภูมิและผิวสัมผัส แค่นี้ฉันก็ซาบซึ้งแล้วที่ได้สูดดมกลิ่นหอมของ
ชีวิตปกติที่เหินห่างไปนาน จากนั้นฉันก็เอาจมูกแนบเสื้อผ้าที่เพิ่งซักสะอาดเพื่อสูด
กลิ่นหอมของเสื้อเชิ้ตและข้าวของอื่น ๆ​ ในวันเวลาแห่งความสุขตลอด 2-3 สัปดาห์
จากนั้น ฉันค้นพบชีวิตที่น่าพิศวง ประสาทสัมผัสถัดมาคือรสชาติ, เสียง, ภาพ และสัมผัส
ประสาทสัมผัสที่กลับคืนมาแต่ละอย่างเกิดพร้อมกับความรู้สึกปลื้มปีติอย่างเหลือล้น
บางครั้งถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ การที่ได้กัดกินลูกท้อสุกฉ่ำ, ฟังเสียงดนตรี, เห็นลำแสง
อาทิตย์สาดสว่างเข้ามาทางหน้าต่าง, ได้ใส่เสื้อตัวโปรดและได้กอดลูกสาวไว้ในอ้อมแขน
อีกครั้งหนึ่งฉันแปลกใจและละอายใจที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยซาบซึ้งในสิ่งที่มีอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เรามักไม่ตระหนักว่า เราโชคดีขนาดไหนจนกว่าเราเสียมันไป ฉันสาบานว่าต่อไปนี้ฉันจะ
ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันพยายามทำให้ชีวิต
แต่ละวันเป็นประสบการณ์ที่เปี่ยมด้วยความรัก ใช้เวลาดื่มด่ำกับสัมผัสต่าง ๆ ในชีวิตทั้งผิว
สัมผัส รูป รส กลิ่น และเสียง ด้วยพลังอำนาจและความรู้สึกขอบคุณพระเจ้า
คุณเองก็ทำได้เช่นเดียวกันมิใช่หรือ

****************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ย. 22, 2021 10:40 pm

😜โรงเรียนแห่งความหวัง

ตอนที่(2)จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2546/2003,
โดย Marc Lerner รวบรวมและเพิ่มเติมจาก Google 2021
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

สมภพช่วยเปลี่ยนเส้นทางชีวิตให้เด็กมาแล้วหลายร้อยคน เช่น “ฝ้ายคำ’
!(ชื่อสมมุติ) วัย 16 ปี หน้าตาสวย​ ผิวพรรณดี เป็นชาวไทใหญ่ อพยพเข้าเมือง
ผิดกฎหมาย อยู่ในไทยพร้อมพ่อแม่เมื่อ 4 ปีก่อนโดยมาปลูกกระท่อมอยู่ท้าย
สวนลิ้นจี่ที่แม่สาย!

“หนูเห็นเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ มาเรียนที่ศูนย์ฯ ก็เลยขออนุญาตพ่อให้หนูมาเรียน
ที่นี่บ้าง” เธอเล่า แต่ช่วงปิดเทอมปี 1999 พ่อกลับส่งเธอซึ่งขณะนั้นอายุ 13 ปี
ให้นายหน้าที่มาหา “คนงาน” เพื่อแลกกับเงิน 5,000 บาท

พ่อของฝ้ายคำบอกกับสมภพว่า ลูกสาวจะไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ทั้งที่จริงฝ้ายคำ
ถูกส่งไปที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตอนแรกเจ้าของร้านให้เธอเป็น
เด็กเสิร์ฟ ไม่กี่วันต่อมาเธอถูกบังคับให้ทำงานขายบริการทางเพศ​ “หนูไม่รู้จะหลบหนี
ได้ยังไง เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพ่อที่รับเงินเขามาแล้ว”

2-3 เดือนต่อมา ตำรวจบุกค้นร้านคาเฟ่และช่วยเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปีจำนวน 9 คน
ให้เป็นอิสระซึ่งมีฝ้ายคำรวมอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ส่งเธอไปอยู่ที่สถานแรกรับ/คุ้มครอง
และพัฒนาอาชีพบ้านปากเกร็ดและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ จังหวัดนนทบุรี
ต่อมาเจ้าหน้าที่มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กได้ประสานงานมายังศูนย์ฯ ของสมภพ​
“หนูขอกลับบ้านได้ไหมคะ” ฝ้ายคำถามด้วยน้ำตานองหน้าเมื่อสมภพไปพบที่บ้าน
เกร็ดตระการ

“ได้สิ” เขาตอบ “เพราะหนูก็เป็นลูกสาวคนหนึ่งของครูเหมือนกัน”

โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ย. 22, 2021 10:55 pm

😄โรงเรียนแห่งความหวัง

ตอนที่ (3) จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมีนาคม 2546/2003,
โดย Marc Lerner รวบรวมและเพิ่มเติมจาก Google 2021
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น สมภพก็เชิญผู้ปกครองของเด็กสาวทุกคนที่เขาเห็นว่า
อยู่ในวัยเสี่ยงมาพบ “ถ้าพวกคุณขายลูก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ผมจะแจ้งความดำเนินคดีและคุณอาจต้องติดคุก”

ชีวิตวัยเด็กของสมภพยากจนแร้นแค้น พ่อแม่ทำงานเป็นกรรมกรรับจ้างล้าง
และหาเศษแร่จากท้ายเหมืองในจังหวัดสุราษฎร์ธานี​ หลังพ่อกับแม่แยกทางกัน
สมภพวัย 13 ปีถูกทิ้งให้อยู่กับตายายและญาติ ๆ โดยหลับนอนในเพิงกระท่อม
ไม้ไผ่ บางครั้งต้องขโมยไข่, ไก่ และฟักทองเพื่อยังชีพเมื่อเงินที่แม่ส่งมาขาดมือ

สมภพกลายเป็นเด็กมีปัญหาและเกเรเที่ยวยิงหลอดไฟฟ้าข้างถนนด้วยหนังสติ๊ก
หรือไม่ก็แกล้งทรมานสุนัข เขาไปโรงเรียนบ้างไม่ไปบ้าง แต่ต่อมาได้พบกับครู
อาสาสมัครชาวอเมริกันที่โรงเรียนนั่นเอง ครูผู้นี้อดทนและเอาใจใส่เขาอย่างจริงจัง
ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถสร้างชีวิตให้มีคุณค่าขึ้นได้

“ผมไม่เคยเจอผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติต่อเด็กยากจนอย่างผมเช่นนี้มาก่อน” สมภพบอก
เขาเข้าเรียนสม่ำเสมอและในปีเดียวก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ต่อมา
ได้เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “ถ้าไม่มีครูคนนี้ ชีวิตผมอาจเลวร้ายไปแล้ว”
เขาบอก

สมภพเรียนมหาวิทยาลัยนาน 8 ปีกว่าจะจบเนื่องจากจำต้องใช้เวลาบางช่วงไป
เป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวและเล่นดนตรีหาเงินส่งตัวเองเรียน หลังจบการศึกษา
เขาตกลงใจช่วยคุณ ‘มิชิโฮะ อินากากิ’ นักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นซึ่งมาทำวิจัยเรื่อง
การค้าประเวณีในไทยงานชิ้นนี้ช่วยให้สมภพมองเห็นเครือข่ายธุรกิจทางเพศ
ขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ เขากับมิชิโฮะ พูดคุยกับเด็กสาวในบาร์ในย่านพัฒน์พงษ์
และสถานอาบอบนวดย่านเยาวราช จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปเก็บข้อมูลที่พัทยา
และภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนชายทะเลขึ้นชื่อในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แสวงหาบริการ
ทางเพศก่อนขึ้นเหนือไปเชียงใหม่และเชียงราย พ่อแม่ของเด็กสาวในชนบทที่เชียงราย
บอกกับทั้งสองว่า “มีแต่เด็กที่ลงใต้ไปทำงานเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้”
แต่ทว่าบรรดาพี่สาวน้องสาวและเพื่อนๆ ของเด็กสาวที่ “ลงใต้” กลับพูดว่า
“พวกเราไม่อยากตามไปอยู่ในซ่อง ช่วยพวกเราด้วย”

โปรดติดตามตอนที่ (4)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 01, 2021 3:12 pm

บุรุษแห่งขุนเขา ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2546/2003,
โดย Peter Hillary

รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผม (Peter Hillary) ลูกชายของเซอร์ เอ็ดมุนด์ ฮิลลารี่
(Sir Edmund Hillary : 1919-2008)
นักสำรวจและนักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนแรกของโลกที่สามารถขึ้นถึง
ยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ในปี 1953 อีกคนหนึ่งคือ เทียนซิง (Tenzing Norgay)
ชาวเชอร์ปา ซึ่งเป็นคู่ปีนเขาของพ่อ พ่อผมแต่งงานกับแม่ซึ่งเป็นนักดนตรีหลังจากกลับ
จากพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ 3 เดือน

พ่อพาผมปีนเขาครั้งแรกเมื่อผมอายุได้ 10 ขวบกับหัวหน้าชาวเชอร์ปาซึ่งเป็นชนพื้นเมือง
ที่อยู่ตามไหล่เทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาล พ่อเป็นคนมุ่งมั่นและผูกพันเป็นพิเศษ
กับชาวพื้นเมืองในบริเวณนั้น พ่อเริ่มโครงการต่าง ๆ ในปี 1960 เพื่อพัฒนาชีวิต
ความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้น ช่วงที่พ่อเริ่มสร้างโรงพยาบาลแห่งที่สองที่นั่น ในปี 1975
เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับครอบครัวเรา เมื่อเครื่องบินเล็กที่แม่กับน้องสาวคนสุดท้องของผม
โดยสารเพื่อไปหาพ่อตกขณะบินขึ้นจากกรุงกาฐมาณฑุ (เมืองหลวงของเนปาล)

ขณะนั้นผมอยู่ที่รัฐอัสสัมในอินเดีย เมื่อทราบข่าวอุบัติเหตุแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าร้ายแรงเพียงไร
ผมก็รีบบินไปพบพ่อกับพี่สาวที่กาฐมาณฑุ ความหวังริบหรี่ที่ว่าแม่กับน้องสาวอาจมีชีวิตอยู่
ดับวูบทันทีเมื่อเห็นหน้าพ่อที่หมองคล้ำและหัวใจสลาย พ่อไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ผมเคยรู้จัก
ผมรู้ทันทีว่าแม่และน้องจากไปไม่มีวันกลับ

หลายปีกว่าที่พ่อจะผ่านพ้นช่วงเวลาโศกเศร้านั้นไปได้ การที่พ่อทุ่มเทเวลาให้กับโครงการต่าง ๆ
ในเนปาลช่วยให้พ่อผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ถึงขณะที่เขียนบทความนี้ พ่อสร้างโรงเรียนและ
โรงพยาบาลให้ที่นั่นรวม 42 แห่ง

ผมในวัย 48 ปี กลายเป็นคนภูเขาไปแล้ว ผมรักการปีนเขา รักที่จะอยู่ท่ามกลางภูเขาและชอบฝัน
ถึงภูเขา ผมร่วมเดินทางปีนเขามาแล้วกว่า 30 ครั้งตั้งแต่หิมาลัยจนถึงแอนตาร์กติก และแน่นอน
ผมเคยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์มาแล้ว 2 ครั้ง

เมื่อเผชิญหน้าเหตุการณ์คับขัน ผมคิดว่าตัวเองโชคดีกว่าคนส่วนใหญ่เพราะมีสิ่งที่พ่อสอนมา
เป็นทุน ประสบการณ์ที่จะกล่าวถึงนี้เกิดขึ้นในปี 1995 เป็นเครื่องยืนยันว่าคำสั่งสอนของพ่อ
ช่วยชีวิตผมไว้

ขณะนั้นผมอยู่ในกลุ่มนักปีนเขา 8 คนที่กำลังมุ่งหน้าพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์อีกครั้งหนึ่งและ
เหลือระยะที่ต้องปีนขึ้นอีกเพียง 400 เมตร จุดที่ผมอยู่สูง 8,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล
เมื่อมองไปทางทิศตะวันออกของเทือกเขาคาราโครัมไปยังที่ราบทิเบต ผมสังเกตเห็นกลุ่มเมฆ
ท่าทางไม่น่าไว้ใจเริ่มพัดเข้ามาและม้วนตัวเหนือยอดเขา

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 02, 2021 10:42 pm

()บุรุษแห่งขุนเขา ตอนที่ (2)(ตอนจบ)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2546/2003,
โดย Peter Hillary

รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผมเริ่มวิตกและไม่อยากปีนเขาต่อเมื่ออากาศเลวลง วินาทีนั้นผมได้ยินเสียงของพ่อ
ในใจว่า “ลงเขาไปก่อน เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองสิ ปีเตอร์” แล้วผมก็ได้ยินอีก
เสียงร้องดังขึ้น เป็นเสียงของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าผม “ขึ้นมาสิ ใช้เชือกสีแดง”
เอลิสัน เพื่อนนักปีนเขาในกลุ่มชวนให้ผมปีนตามเธอขึ้นไป

“ไม่นะ ปีเตอร์” เป็นเสียงของพ่อที่อยู่ในใจ ผมรู้สึกลังเลและกำลังต่อสู้อยู่ในใจที่
รุนแรงขึ้น ที่สุดผมบอก ’เจฟ’ คู่หูปีนเขาด้วยกันว่า ผมจะไต่ลง เขาเองก็ลังเลเหมือนกัน
แต่สุดท้ายตัดสินใจไปต่อ

ขณะที่ผมมุ่งหน้าลงเขา ผมหันไปมองเจฟ 2 ครั้งจนกระทั่งเมฆหนาทึบบดบังภาพ
ข้างหน้า ไม่ช้าเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วก้อนเดียวกันก็ปกคลุมทั่วยอดเขาและ
ฉุดผมลงสู่โลกอันโดดเดี่ยวของความกลัว ไม่ว่าจะเป็นรอยแยกในน้ำแข็งบนภูเขาและ
การหลงทิศ ผมตัดสินใจช้าไปหรือไม่ “อย่ากลัวที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่ากลัวที่จะ
ยืนหยัดตามลำพังด้วยตัวเอง” นั่นคือเสียงของพ่อ

ขณะไต่ลงเขา แม้ผมจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ความกลัวจู่โจมเข้ามาขณะที่
พายุฝนโหมกระหน่ำ ไหล่เขาบางจุดเริ่มพังทลายจากแรงปะทะซึ่งอยู่เหนือการควบคุมใด ๆ
ผมก็คงอยู่ในภาวะเช่นเดียวกัน

ความกลัวทำให้เราระมัดระวัง ความกลัวทำให้เราเก่งขึ้น พ่อบอกว่าความกลัวไม่ใช่สิ่งที่
เราควรปฏิเสธ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องจัดการให้ได้ ดังนั้น ผมจึงคว้าสิ่งที่ควบคุมได้ นั่นคือห่วง
ที่ยึดไว้อย่างดีเพื่อควบคุมความเร็วในการโรยตัวและเชือกที่ดึงจนตึง ผมไต่ตามเชือกลงไป
ทีละช่วงนานเป็นชั่วโมง ๆ แต่ละช่วงนำผมใกล้เชิงผาน้ำแข็งที่ค่ายหมายเลข 2 เข้าไปเรื่อย ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนในเต็นท์ รอบตัวมีแต่ความเงียบท่ามกลางแสงแดดจ้า
ทุกอย่างเงียบงัน
คืนที่ผ่านมา มีผมเพียงคนเดียวที่ลงจากยอดเขาเคทู (K2) ได้สำเร็จ
7 คนที่อยู่ข้างบนเสียชีวิตทั้งหมด

****************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ต.ค. 03, 2021 6:19 pm

เยียวยาด้วยรัก ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2546/2003,
โดย John Kohut

ย่อโดย กอบกิจ ครุวรรณ

‘หงเดียน’ อายุเกือบ 4 ขวบแล้วแต่ยังพูดไม่ได้ ‘ฮัน’ผู้เป็นย่ากับลูกชายและลูกสะใภ้
จึงพาหลานชายไปโรงพยาบาลตามเมืองใหญ่ ๆ ของจีนหลายแห่ง แต่ไม่มีหมอที่ไหน
รักษาเขาได้เลย

เมื่อหงเดียนอายุ 6 ขวบ ฮันพาเขาไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพียงแห่งเดียวที่มีชั้นเรียน
สำหรับเด็กพิการทางปัญญาในเมืองซูโจว แต่โรงเรียนก็ไม่รับเขาเข้าเรียน ฮันเล่าว่า
“พ่อแม่ของหงเดียนร้องไห้ทุกวัน” ฮันเฝ้าคิดว่าจะช่วยหลานได้อย่างไร “ยังไงเขาก็เป็น
หลานชายคนเดียวของฉัน ฉันรักเขาและอยากให้เขาหายพิการ” เธอบอก

ฮันหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กไอคิวต่ำและสอนหนังสือให้หงเดียนที่บ้าน
“แต่เขาเห็นฉันเป็นแค่ย่าที่เล่นด้วยเท่านั้น เขาไม่เรียนรู้อะไรเลย”

ฮันเริ่มอาชีพครูในปี 1951 โดยสอนชั้นประถม 1-6 เมื่อใกล้เกษียณจากโรงเรียน
ฮันสมัครเรียนหลักสูตรจิตวิทยาการศึกษาของเด็ก 2 ปีทางไปรษณีย์ เพราะตระหนัก
ดีว่าต้องมีความรู้เฉพาะทางจึงจะสอนหลานได้

หลังรับประกาศนียบัตรจากสถานศึกษาในปี ค.ศ. 1990 ฮันใช้เงินที่เก็บออมไว้เช่า
ห้องเล็ก ๆ ใกล้บ้าน นี่คือจุดเริ่มต้นของโรงเรียน “เผิงเช็ง” ที่มีสภาพเป็นเพียง “ห้องเล็ก ๆ”
และมีนักเรียนเพียงคนเดียวคือ หงเดียน ฮันพยายามติดต่อหาครอบครัวอื่นที่ลูกหลาน
มีปัญหาแบบเดียวกัน แต่พ่อแม่ของเด็กมักไม่ค่อยให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ฮันก็ได้
นักเรียนมาเพิ่มอีก 4 คนที่มีไอคิวเฉลี่ยเพียง 22 ฮันต้องหาทุนมาให้เด็กเพราะห้องเรียน
เล็กมาก และต้องขอยืมโต๊ะเก้าอี้จากโรงเรียนอื่น ตัวเธอเองก็ควักเงินซื้ออุปกรณ์การสอน
หลายอย่าง ความมุ่งมั่นของฮันส่งผลเป็นรูปธรรมในปี 1993 เมื่อห้องเรียนที่เช่าแปลง
สภาพเป็นโรงเรียนเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กปัญญาอ่อน

ที่โรงเรียนเผิงเช็ง นักเรียนทุกคนมีโอกาสเรียนอย่างจริงจังตามแนวคิดของฮันที่ใช้สูตร
ง่าย ๆ คือ ต้องมีศรัทธาว่าเด็กเรียนรู้ได้หากเราเอาใจใส่และให้กำลังใจ​เด็กแต่ละคน
ทั้งยังต้องมีความรักอย่างท่วมท้นเพราะ “ เราต้องการให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองได้”

เมื่อนักเรียนคนใดทำผิด ครูจะแก้ข้อผิดพลาดให้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น
เด็ก ๆ จะเข้าชั้นเรียนต่างกันไปตามระดับไอคิว วิชาที่เรียนมีทั้งดนตรี ศิลปะ
ทักษะการใช้ร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวันโดยเน้นการอ่าน เขียนและเลขคณิต

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 04, 2021 4:10 pm

เยียวยาด้วยรัก ตอนที่ (2) (ตอนจบ) จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2546/2003, โดย John Kohut

ย่อโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ฮันสอนตามหลักสูตรของโรงเรียนปกติ เธอกล่าวว่า
“ถ้าใช้ตำราสำหรับเด็กปัญญาอ่อน
เด็กก็จะปัญญาอ่อนอยู่อย่างนั้น” แม่ของหงเดียนซึ่งมาสอนที่โรงเรียนนี้ด้วยบอกว่า “
ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการช่วยลูกชาย แต่คิดว่าสังคมยังมีเด็กที่เป็นอย่างนี้อีกมาก
ฉันอยากช่วยพวกเขา” ครูของโรงเรียนเผิงเช็งได้รับเงินเดือนเพียง 400 หยวน
(ราว 2,000 บาท) ซึ่งไม่ถึงครึ่งของเงินเดือนที่โรงเรียนอื่นให้

ในฐานะครูใหญ่ ฮันต้องดูแลให้ทั้งครูและนักเรียนได้ในสิ่งที่ต้องการ เธอรู้จักนักเรียน
อย่างใกล้ชิด ส่วนใหญ่เป็นเพราะได้พูดคุยกับพ่อแม่ของเด็ก

เด็กหลายคนมีความพิการทางกายในระดับต่าง ๆ กัน ซึ่งฮันพยายามแก้ด้วยกายภาพ
บำบัด กายบริหาร โภชนาการและสมุนไพรจีน ทุกเช้าตั้งแต่ 8.00 น.​ เมื่อนักเรียนทยอย
มาถึงโรงเรียน เครื่องนวดไฟฟ้าจะเริ่มทำงาน “เป็นการกระตุ้นจุดต่าง ๆ และประสาทสัมผัส”
ฮันอธิบาย นอกจากนั้นโรงเรียนยังมีอาหารกลางวันที่มีข้าวกับเนื้อสัตว์และผักเป็นจานหลัก
เมื่อมีอาหารเหลือจากโรงแรมหรืองานสังคม ฮันไม่อายที่จะขอไปเป็นอาหารเสริม
ให้เด็กนักเรียน

“เด็ก ๆ ได้รับการยอมรับแม้คะแนนจะไม่ดีนัก” ‘อีลีน แม็กอินนิส’ กล่าว เธอเข้ามามีบทบาท
ในโรงเรียนตลอด 12 ปี โดยทำงานผ่านองค์การกุศลคริสเตียนที่ทำงานด้านพัฒนา
การศึกษาและให้การสนับสนุนโรงเรียนด้านการเงิน​ โรงเรียนเผิงเช็ง “ลดช่องว่างที่
หน่วยงานการศึกษาของรัฐเพิกเฉย” เลขาธิการของกาชาดแห่งซูโจวกล่าว เผิงเช็งเป็น
โรงเรียนสำหรับเด็กพิการทางปัญญาเพียงแห่งเดียวในเมืองซูโจวและอาจจะของทั้งภูมิภาค

หลังเข้าโรงเรียนเด็กปกติ 6 ปี ‘หลิว’ วัย 13 ปีกล่าวว่า เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย อักษรจีน
สักตัวก็อ่านไม่ออก แต่หลังจากเข้าเรียนที่เผิงเช็งเพียงเทอมเดียว หลิวจำอักษรจีนได้ถึง 200 ตัว
ในจำนวนเด็กนักเรียน 100 คนที่เคยเรียนจากที่นี่ 3 คนมีพัฒนาการจนสามารถกลับเข้าเรียน
ในโรงเรียนปกติได้ และ 12 คนหางานทำได้

ฮันบอกว่า เธอรักเด็กพวกนี้มากกว่าเด็กนักเรียนที่เคยสอนสมัยเป็นครูประถม “เพราะเด็ก ๆ
ที่นี่ต้องการความรักมากกว่าเด็กปกติ และความรักช่วยเยียวยาความป่วยไข้ได้”

****************************

จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 5:31 pm

……เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ ……

เรื่องจริงที่แปลจากนิตยสารคาทอลิก "Love One Another/ จงรักซึ่งกันและกัน
โดย: กอบกิจ ครุวรรณ. ( เรื่องเล่า มี (5)ตอน )

ตอนที่ (1):
สโตแจน อะดาเซวิก จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ตนเป็นนักศึกษา
แพทย์แผนกนรีเวชวิทยา กำลังจัดเอกสารในห้องที่มีแพทย์กำลังคุยกันถึงประสบการณ์ต่าง ๆ
ของแต่ละคนโดยไม่สนใจนักศึกษาแพทย์ที่กำลังจัดเอกสารทางการแพทย์กองใหญ่อยู่ข้างหน้า....
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ดร.ราโด อีญาโตวิก เล่าถึงคนไข้คนหนึ่งที่มาขอให้ตนช่วยทำแท้งทารก
ที่อยู่ในครรภ์ให้ ท่านทำไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถปรับตำแหน่งปากมดลูกให้ตรงได้
กลุ่มนรีแพทย์ในห้องก็ออกความเห็นต่าง ๆ นานาของปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาพูดกันมาถึง
ตอนหนึ่ง ซึ่งสโตแจนเมื่อได้ฟังก็รู้สึกตัวแข็งอยู่กับที่ เนื่องจากพวกเขากำลังพูดถึงทันตแพทย์หญิง
คนหนึ่งที่เคยมีที่ทำงานอยู่ในย่านนั้น เธอเป็นมาร ดาของเขาเองและเมื่อแพทย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า
"ตอนนี้เธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทารกคนนั้น ? "....สโตแจนไม่อาจทนฟัง
ได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นและพูดว่า "ผมคือทารกคนนั้นครับ ! " ทันทีที่พูดออกไป ทั้งห้องก็เงียบสงัด
จากนั้นแพทย์แต่ละคนก็ค่อย ๆ เดินออกไปนอกห้อง....
หลายปีผ่านไป บัดนี้สโตแจน กลายเป็นนายแพทย์อะดาเซวิก สโตแจนคงได้คิดทบทวน
อยู่หลายครั้งจนถึงบัดนั้นว่า ตนเป็นหนี้ชีวิตเพราะการทำแท้งไม่สำเร็จ ฉะนั้นตนจะไม่ยอมให้
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงอื่น ๆ อีก เขากลายเป็นแพทย์ทำแท้งที่มีฝีมือดีที่สุดในกรุงเบลเกรด
และมีฝีมือเหนือ ดร.ราโด อีญาโตวิก อาจารย์ผู้สอนที่เขาเป็นหนี้ชีวิตด้วย...
นายแพทย์อะดาเซวิก ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ได้ด้วยการฝึกฝนบ่อย ๆ"
ท่านอ้างสุภาษิตเยอรมันที่ว่า "การฝึกฝนทำให้เป็นผู้เชี่ยว ชาญ" ท่านฝึกทำวันละ 20-30 ราย
และเคยทำสูงสุดได้ถึง 35 รายในหนึ่งวัน นับจนถึงจุดเปลี่ยนเป็นเวลา 26 ปีต่อมาที่ท่านเป็น
นรีแพทย์คำนวณได้ว่าท่านได้ทำแท้งไปแล้วประมาณ 48,000 - 62,000 ราย....
ระหว่างช่วงเวลา 26 ปีที่ท่านทำแท้งนั้น ท่านเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจจากการเรียน และจากตำราว่า
การทำแท้งก็ไม่ต่างอะไรกับการผ่าไส้ติ่งอักเสบ ข้อแตกต่างมีเพียงอย่างเดียวคือการผ่าไส้ติ่ง
อักเสบเป็นการตัดชิ้นส่วนของลำไส้ออกไป ส่วนการทำแท้งคือการเอาเนื้อ เยื่อของตัวอ่อนออกไป
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงทศวรรษ 1980 วิทยาการ ด้านอัลตร้าซาวด์เข้ามามีบทบาทในประเทศ
ยูโกสลาเวีย ท่านจึงเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นครั้งแรก ภาพจากจอมอนิเตอร์ทำให้ท่าน
ทราบว่า ที่จริงในครรภ์สตรีที่มาทำแท้งนั้น มีตัวอ่อนที่มีชีวิตกำลังดูดนิ้วหัวแม่มืออยู่และสามารถ
ขยับเขยื่อนแขนขาได้ ซึ่งบ่อยครั้งท่านได้ใช้คีมคีบออกมาวางไว้บนโต๊ะขณะทำงาน ทุกวันนี้ท่าน
กล่าวถึงวันที่เห็นภาพดังกล่าวว่า "ผมได้มองเห็นโดยที่ไม่เห็นมาก่อน และนับแต่นั้นมาผมก็เริ่มมี
ความฝันแปลก ๆ....

พักเบรค ตอนที่ (1) พรุ่งนี้ติดตามตอนที่ (2) (ไว้เจอกันใหม่)
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 5:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 5:39 pm

…… เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ………

เรื่องจริงที่แปลจากนิตยสารคาทอลิก "Love One Another/ จงรักซึ่งกันและกัน
โดย: กอบกิจ ครุวรรณ. ( เรื่องเล่า มี (5)ตอน )

ตอนที่ (2): ความฝันของ ดร. สโตแจน อะดาเซวิก

เป็นความฝันซ้ำ ๆ ที่หลอกหลอนท่านอยู่ทุกคืนเป็นแรมเดือนหลังจากที่ทำงานแต่ละวัน
ท่านฝันเห็นตัวเองกำลังเดินอยู่บนสนามหญ้าที่มีแสงแดดส่อง มีดอก ไม้สวยงามอยู่ทั่วไป
อากาศอบอุ่นและน่ารื่นรมย์แต่ตัวเองกลับรู้สึกมีความกังวลอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็มีเด็กเล็กๆ
มากมายวิ่งกรูกันออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เบิกบานเด็กทุกคนกำลังเล่นลูกบอลกันอย่าง
สนุกสนาน พวกเขามีอายุตั้งแต่ 3-4ขวบไปจนถึงประมาณ 20 ปีท่านรู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด
กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง และเด็กผู้หญิงอีก 2 คน เมื่อท่านพยายามไปพูดด้วย เด็กทุกคนก็ส่งเสียง
กรีดร้อง และวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว เหตุ การณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้สายตา
ของบุรุษผู้หนึ่งสวม ชุดสีดำที่กำลังเฝ้ามองทุกสิ่งอยู่อย่างเงียบ ๆ...
ทุกคืน ดร.อะดาเซวิก จะตกใจตื่นและนอนไม่หลับจนถึงเช้า ท่านพยายามบำ บัดด้วยยา
ทุกชนิดทั้งสมุน ไพรและยาแผนใหม่แต่ก็ไม่เป็นผล อยู่มาคืนหนึ่งท่านรู้สึกหัวเสียมากในความฝัน
และเริ่มวิ่งไล่จับพวกเด็ก ๆท่านจับตัวเด็กมาได้คนหนึ่งที่ร้องตะโกนว่า "ช่วยด้วย ! ฆาตกร !
ช่วยด้วยอย่างให้ฆาตกรฆ่าหนู " ตอนนั้นเองที่บุรุษในชุดดำแปลงร่างเป็นก อินทรีบินโฉบลงมา
และคว้าตัวเด็กไปจากมือของท่าน ท่านตกใจตื่น หัวใจเต้นแรงเหมือนถูกค้อนทุบซี่โครง อากาศ
ในห้องก็เย็นดีอยู่แต่ท่านกลับรู้สึกร้อนจนเหงื่อไหลท่วมตัว เช้าวันนั้นท่านตัดสินใจไปพบจิตแพทย์
แต่ยังพบไม่ได้ทันที เพราะต้องจองคิวเพื่อการนัดหมาย....
อย่างไรก็ตาม ก่อนนอนคํ่าวันนั้น ท่านตั้งใจว่าท่านจะถามบุรุษที่เห็นในฝันผู้นั้นว่าเป็นใคร
และก็เป็นไป ตามที่ตั้งใจในฝันตอบท่าน ว่า "ถึงแม้จะบอกชื่อให้ก็คงไม่มีความหมายอะไรกับคุณ"
แต่เมื่อคุณยืนยันต้องการทราบ บุรุษผู้นั้นจึงตอบว่า "ฉันชื่อโทมัส อะไคว นัส"
(นักปราชญ์แห่งพระศาสนาจักร) ซึ่งเป็นชื่อที่ดร.อะดา เซวิก ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต บุรุษชุดดำ
จึงพูดต่อไปว่า "ทำไมคุณถึงไม่ถามล่ะว่าเด็กพวกนั้นเป็นใคร คุณจำพวกเขาไม่ได้หรือ?"...
เมื่อท่านตอบปฏิเสธไปว่าไม่รู้จักพวกเขา บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่า "ไม่จริงหรอก คุณรู้จักพวกเขาดีที่
เดียวเลย พวกเขาก็คือเด็ก ๆ ที่คุณฆ่าตอนทำแท้งไงล่ะ"..
ท่านจึงแย้งว่า "เป็นไปได้อย่างไร เด็กพวกนี้เป็นเด็กโต และฉันก็ยังไม่เคยฆ่าเด็กที่คลอดออกมา
แล้วแม้ แต่คนเดียว"...โทมัสจึงตอบว่า "คุณไม่รู้หรือว่าในดินแดนแห่งนี้เด็ก ๆ ยังโตต่อได้ ?....
ท่านยังไม่ยอมแพ้และกล่าวว่า "แต่ฉันไม่เคยฆ่าเด็กอายุ 20 ปีเลย"... คุณฆ่าเขาเมื่อ 20 ปี
ก่อนไงล่ะตอนนั้นเขาเพิ่งมีอายุ 3 เดือน "
ถึงตอนนี้ท่านจึงนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีอายุ 20 ปีและเด็กหญิง 2คนนั้นออก
พวกเขามีใบหน้าเหมือนกับคนที่ท่านรู้จักดีที่ท่านเป็นคนทำแท้งให้ เด็กหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าเหมือน
เพื่อนสนิทของเขาที่พาภรรยามาให้เขาทำแท้งให้เมื่อ 20 ปีก่อน ส่วนเด็กหญิง 2 คนนั้น ท่านรู้จัก
แม่ของทั้งสองดี และแม่ของคนหนึ่งก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านเอง เมื่อตื่นขึ้นมาท่านตัดสินใจว่า
จะเลิกทำแท้งอย่างเด็ดขาด.....

พักเบรค ตอนที่ (2) พรุ่งนี้ติดตาม ตอนที่ (3) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 5:43 pm

…… เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ ……

เรื่องจริงที่แปลจากนิตยสารคาทอลิก "Love One Another/ จงรักซึ่งกันและกัน
โดย: กอบกิจ ครุวรรณ. ( เรื่องเล่า มี (5)ตอน )

ตอนที่ (3): ผมกำหัวใจที่ยังเต้นได้อยู่ในมือ

ลูกพี่ ลูกน้องของท่านคนหนึ่งรอท่านอยู่กับเพื่อนสาวตอนที่ท่านไปถึงโรงพยาบาล
ที่ทำงานเช้าวันนั้น ทั้งสองมีนัดทำแท้งกับท่าน เธอท้องได้สี่เดือน และกำลังจะเอาเด็กออก
เป็นท้องที่เก้าติดต่อกัน ท่านปฏิเสธอย่างแข็งขันก็ทนถูกรบเร้าจนที่ สุดจำยอมตกลงทำราย
สุด ท้ายจริง ๆ
บนจอมอนิเตอร์ ท่านแลเห็นตัวอ่อนมีนิ้วหัวแม่มืออมอยู่ในปาก ท่านยืดมดลูกให้ตรง
และใส่ปากคีบเข้าไปจากนั้นก็คีบบางสิ่งและดึงออกมา เมื่อคลายที่คีบออกวางบนโต๊ะก็เห็น
เป็นรูปปลายแขนข้างหนึ่งของตัวอ่อนซึ่งเผอิญจุดที่วางมีไอโอดีนหยดเลอะอยู่ ทันใดนั้น
แขนนั้นก็หดและบิดตัว พยาบาลผู้ช่วยแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะดูคล้าย
ขากบในห้องทดลองวิชากายภาพ
ดร. อะดาเซวิก เองก็ต้องทำต่อไป และสอดปากคีบเข้าไปอีกเมื่อคีบได้แล้วก็ดึงออก
ครั้งนี้เป็นส่วนขา ท่านคิดไว้ก่อนแล้วว่า "จะต้องไม่ให้ไปสัมผัสกับแอลกอฮอล์" แต่ปรากฏว่า
พยาบาลผู้ช่วยเกิดทำถาดเครื่องมือหล่น ท่านตกใจคลายปากคีบ ทำให้ขาชิ้นนั้นตกลงไปอยู่
ข้างแขนชิ้นแรก และทั้งสองส่วนก็ขยับไปมาพยาบาลไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน
คือเป็นแขน ขา มนุษย์ที่ขยับไปมาบนโต๊ะ ดร.อะดาเซวิกจึงตัดสินใจทำลายส่วนที่เหลือ
ในมดลูกให้เละ และดึงออกมาเป็นก้อนที่มองไม่ออกว่าเป็นอวัยวะส่วนไหน ท่านเริ่มบดขยี้
ก้อนเนื้อ ทั้งหมดและเมื่อวางปากคีบลง สิ่งที่เห็นจากที่ท่านนำมากองรวมกันเป็นรูปหัวใจมนุษย์ !
หัว ใจที่เต้นได้ แต่เต้นอ่อนลงเป็นลำดับ และหยุดเต้นในที่สุด ณ บัดนี้ท่านทราบแล้วว่าสิ่งที่
ท่านทำไปก็คือการฆ่าคน....
ท่านรู้สึกว่าโลกโดยรอบตัวมืดลง และจำไม่ได้ว่าอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าใด ท่าน รู้สึกตัว
อีกครั้งเมื่อมีคนมาดึงแขนของท่าน และมีเสียงพูดอย่างตกใจกลัว ของพยา บาลว่า
"ดร.อะดาเซวิก ! "... คนไข้ตกเลือดท่านจึงสวดภาวนาเป็นครั้งแรกด้วยความร้อนรนว่า "พระเจ้าข้า!
ขอพระองค์โปรดอย่าช่วยชีวิตของลูก แต่โปรดช่วยชีวิตของหญิงคนนี้ด้วย " ปกติท่านใช้เวลา
ประมาณ 10 นาทีในการทำความสะอาดมดลูก แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องแปลกที่ท่านสอดอุป กรณ์
เพียง 2 ครั้งก็สำเร็จ และเมื่อถอดถุงมือออก ท่านก็แน่ใจเลยว่าจะไม่มีการทำ แท้งให้ผู้ใดอีก......

พักเบรค ตอนที่ (3) พรุ่งนี้ติดตามตอนที่ (4) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มี.ค. 19, 2022 10:37 am

…… เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ ……

เรื่องจริงที่แปลจากนิตยสารคาทอลิก "Love One Another/ จงรักซึ่งกันและกัน
โดย: กอบกิจ ครุวรรณ.
( เรื่องเล่า มี (5)ตอน )

ตอนที่ (4): ถังน้ำ / อุปกรณ์ทำแท้ง

เมื่อสโตแจน แจ้งการตัดสินใจของตนให้หัวหน้าของโรงพยาบาลทราบก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
กันทั่วไปเพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนว่ามีนรีแพทย์ในโรงพยาบาลที่ กรุงเบลเกรด ปฏิเสธการทำแท้ง
ทุกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ท่านเริ่มจากการตัดเงินเดือนเหลือเพียงครึ่งเดียว ลูกสาวถูกไล่ออกจากงาน
ลูกชาย สอบตก ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากนั้นท่านยังถูกสื่อโทรทัศน์ และวิทยุโจมตี
อย่างหนัก พวกเขากล่าวหาท่านว่า รัฐ บาลสังคมนิยมส่งท่านเรียนวิธีการทำแท้ง และตอนนี้ท่าน
กำลังทำลายประเทศของตนอยู่....
ท่านถูกกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี จนแทบจะประสาทเสีย และเกือบจะต้องไปขอ
ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบรรจุตนกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าในคืนที่ตัด
สินใจนั้นเอง โทมัส อะไควนัส ปรากฏตัวในความฝัน ตบไหล่ให้กำลังใจและพูดว่า
"ท่านเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน จงสู้ต่อไป" และดังนั้นท่านจึงไม่ได้ไปแจ้งขอ กลับทำหน้าที่เดิมใน
วันรุ่งขึ้น และต่อสู้เพื่อไม่ให้มีการทำแท้งอีกต่อไป.....
บัดนี้ ท่านเข้าร่วม "ขบวนการส่งเสริมการมีชีวิต" ท่านเดินทางไปทั่วสาธารณรัฐเซอร์เบีย
และบรรยายเรื่องการทำแท้ง ท่านสามารถนำเทปบันทึกเรื่อง "The Silent Scream" ออกใน
รายการโทรทัศน์ของรัฐ 2 ครั้งเป็นการทำ แท้งจริงที่ถ่ายทำจากจอมอนิเตอร์ เมื่อถึง
ต้นทศ วรรษ 1990 หลังจากที่ท่านจัดกิจกรรมมากมายรณรงค์ต่อต้านการทำแท้ง ที่สุดรัฐสภา
ประเทศยูโกสลาเวียได้ออกกฤษฎีกาคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ยังไม่ครบกำหนดคลอด ประธานาธิบดี
สโลโบดัน ไมโลเซวิก ไม่ยอมลงนามในกฤษฎีกา จากนั้นก็เกิดสงครามในประเทศ และกฤษฎีกา
ฉบับนี้ก็ถูกระงับไปชั่วคราว.....
ดร.อะดาเซวิก เชื่อว่าสงครามที่เกิดขึ้นในคาบ สมุทรบอลข่านนั้น น่าจะเป็นเพราะมนุษย์ออก
ห่างจากพระเจ้า และขาดความเคารพต่อชีวิตมนุษย์ ท่านอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใน เซอร์เบียว่า
กฏหมายคุ้ม ครองชีวิตเด็กตั้งแต่เด็กเริ่มหายใจเข้าปอดเป็นครั้งแรก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือกฏหมาย
คุ้มครองทันทีที่เด็กร้องไห้ ฉะนั้นการทำแท้งจึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายแม้ว่าตัวอ่อน
ในครรภ์จะมีอายุถึง 7, 8, 9 เดือนแล้วก็ตาม นอกจากนั้นทางการจะไม่ใช้คำว่า "ทำแท้ง" แต่จะเลี่ยง
ไปใช้คำว่า "แท้งลูก" ดังนั้นเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ข้างเตียงคลอดจึงมีถังใส่น้ำตั้งอยู่ และเมื่อ
เด็กคลอดออกมาก่อนที่จะมีโอกาสร้อง ก็มีการนำเด็กไปกดน้ำ นี่คือวิธีการทำแท้งอย่างเป็นทาง การ
อย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยสมบูรณ์ เพราะเด็กยังไม่ได้เริ่มหายใจ.....
ณ จุดนี้ ดร.อะดาเซวืก อยากจะกล่าวพาดพิงคำพูดของ คุณแม่เทเรซาแห่ง กัลกัตตา ที่ว่า
"หากผู้เป็นแม่สามารถฆ่าลูกของตนเองได้ ก็จะมีอะไรเหลืออีกทีขัดขวางมิให้คุณ หรือฉันฆ่าซึ่ง
กันเเละกัน?" ทุกวันนี้ การทำแท้งส่วนใหญ่ทำกันในคลีนิค เอกชนซึ่งไม่มีสถิติตัวเลขที่แน่ชัด
ท่านประ มาณว่าในการตั้งครรภ์ 25 ครั้ง จะมีเด็กที่คลอดจริง ๆ แทบจะไม่ถึง 1 คน ส่วนอีก 24 ชีวิต
ถูกทำลายไปก่อนที่จะมีโอกาสหายใจเป็นครั้งแรก.....

พักเบรค ตอนที่ (4) พรุ่งนี้ติดตามตอนที่ (5) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 21, 2022 11:17 pm

…… เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ ……

เรื่องจริงที่แปลจากนิตยสารคาทอลิก "Love One Another/ จงรักซึ่งกันและกัน
โดย: กอบกิจ ครุวรรณ.
( เรื่องเล่า มี (5)ตอน )

ตอนที่ (5): ตอนจบ

ดร.อะดาเซวิก อธิบายถึงการวิเคราะห์ ในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องซับซ้อนถึงสิ่ง หรือสารที่ทำให้เกิด
การแท้งอย่างเป็นทางการ เช่น IUD ( intrauterine device )คือ อุปกรณ์คุมกำเนิดที่ใช้สอดเข้าไป
ในมดลูก, และยา RU486 ชื่อทางการคือ MIFEPRISTONE ยานี้ทำหน้าที่ไปขวางกั้นฮอร์โมน
ธรรมชาติ ชื่อ Progesterone ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของครรภ์ เมื่อไม่มีฮอร์โมนนี้ออกมา
การตั้งครรภ์ก็สิ้นสุดลง....
ดร.อะดาเซวิก ปรึกษาเรื่องนี้กับนักพรตนิกายออร์โธดอกซ์ตะวันออกแห่งเขา เอธอส ซึ่ง
ให้ความเห็นว่า ท่านนักพรตแบ่งการคุมกำเนิดออกเป็น 2 ประเภทคือประเภทบาป
และประเภทซาตาน ประเภทบาปคือการกันมิให้มีการพบกันระหว่างไข่ และ ตัวอสุจิ ส่วนประเภท
ซาตานเป็นการฆ่าตัวอ่อนที่ใช้ IUD หรือใช้ยา RU 486 ขดลวดที่ใช้ทำหน้าที่เหมือนคมดาบที่กัน
มิให้มนุษย์ตัวจิ๋วได้รับอาหารขณะที่อยู่ในครรภ์ซึ่งเป็นการฆ่าชีวิตให้ตายอย่างโหดร้ายในสถานที่
มีอาหารอยู่อย่างอุดม.....
นี่คือสงครามที่แท้จริงระหว่างฝ่ายที่เกิดมาแล้วกับฝ่ายที่ยังไม่เกิด ในสงครามนี้ ดร.อะดาเซวิก
ได้อยู่ในแนวหน้ามาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเป็นฝ่ายที่ยังไม่เกิดที่ถูกฝ่ายที่เกิดมาแล้วกำหนดให้
ตายแต่ท่านรอดมาได้ ครั่งที่สองท่านเป็นฝ่ายที่เกิดมาแล้วและปฏิบัติงานในฐานะผู้ชำนาญการทำแท้ง
และบัดนี้ท่านเป็นสาวกของกลุ่มสนับสนุนชีวิตที่ต่อต้านการทำแท้ง...

ผู้เขียนสนใจชีวประวัติของโทมัส อะไควนัส ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงสงสัยว่าทำไมจึงต้อง
เป็นท่านในฝันแทนที่จะเป็นนักบุญองค์อื่น นอกจากนั้นโทมัส อะไควนัสเป็นนักบุญในศาสนาคาทอลิก
ส่วนผู้เขียนเป็นออร์โธดอกซ์ ผู้เขียนจึงได้ค้นคว้าข้อเขียนต่าง ๆ ของท่าน และสิ่งที่พบ สิ่งที่น่าสนใจ
ในเรื่องนี้คือ ท่านเขียนไว้ว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นหลังจากการปฏิสนธิแล้ว 40 วันสำหรับตัวอ่อนชาย
และ 80 วันสำหรับตัวอ่อนหญิง....
คำถามคือท่านเขียนว่าอย่างไรสำหรับตัวอ่อนที่มีชีวิตก่อน 40 หรือ 80 วัน?? ตัวอ่อนนั้นยัง
ไม่เป็นอะไรเลยหรือ?????
ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่ท่านเขียนไว้คงทำให้ท่านไม่มีความสงบในดินแดนที่ท่านอยู่ ทั้งนี้ขอให้
ผู้อ่านทราบด้วยว่า ท่านคงได้รับอิทธิพลในการเขียนจากทัศนะการมองสิ่งมีชีวิตของ อริสโตเติลซึ่ง
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทางวิชาการมากในสมัยนั้นและเพราะอิทธิพลที่ท่านได้รับมานี้เองทำให้งาน
เขียนของท่านผิดพลาด......
เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า ตัวอ่อนในครรภ์มารดามีชีวิต เพราะการมีชีวิตมิใช่เริ่ม
เมื่อมีลมหายใจครั้งแรกดังที่อาจารย์ในลัทธิคอมมิวนิสต์สอนไว้ แต่ความเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต
เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ ✍️ " ตัว อสุจิ เข้ามา อยู่ ใน เซลล์ ไข่ " 👌

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 20, 2022 9:44 pm

(*)โชคเสพย์ติด ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2542
โดย Matea Gold และ David Ferrell รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แม้ ’เร็กซ์ คอยล์’อายุจะล่วงเข้าปีที่ 54 แล้ว แต่โลกของเขาเหมือนกล่องแคบ ๆ
มืดมิดและปิดตายจนต้องถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร และจะมีโอกาส
หลุดพ้นออกไปได้หรือไม่ เขาไม่เคยเข้าโรงหนัง หรือเดินทางไปพักผ่อนตากอากาศ ไม่แม้แต่
อยู่กับครอบครัวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสสักครั้ง

เขาเลือกที่จะนอนรวมกับคนติดการพนันอื่น ๆ บนพื้นห้องโรงแรมราคาถูก พร้อมกับความฝัน
ลม ๆ แล้ง ๆ ว่า สักวันจะชนะพนันได้เงินก้อนใหญ่มาล้างหนี้ที่ก่อไว้ตลอด 30 ปี เขาเที่ยวไปมาตาม
สโมสรไพ่แถบแคลิฟอร์เนียใต้จนชีวิตแต่งงานพังทลาย ซ้ำยังสูญเสียบ้าน รถยนต์ และที่สำคัญคือ
ศักดิ์ศรีของตนเอง

แต่จนแล้วจนรอด คอยล์ก็ยังเดินเข้าออกบ่อนพนันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแทบนึกภาพไม่
ออกเลยว่า นัยน์ตาสีจางซีดไร้ความรู้สึกและเรือนผมบางออกสีดอกเลาคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นบรรณาธิการ
หนังสือผู้มีอนาคตสดใส

เวลา 23.00 น. วันอังคาร คอยล์นั่งอยู่ที่โต๊ะโป๊กเกอร์พร้อมเงินทั้งเนื้อทั้งตัวที่มีอยู่ 55 เหรียญ
ชิปหนึ่งเหรียญที่ตั้งเรียงเป็นแถวพร่องลงเรื่อย ๆ เมื่อหน้าตักเหลือ 30 เหรียญ เขาบอกตัวเองว่าจะเลิก
ตอนเที่ยงคืน ครั้นเที่ยงคืนผ่านไป คอยล์เริ่มเล่นได้ กองชิปเพิ่มพูนขึ้นเป็น 60 และ 70 เหรียญ
“น่าเสียดายนะถ้าต้องลุกไปตอนมือกำลังขึ้น” เขาบอก “ขออีกหน่อยน่า ตีสองรับรองไปแน่ ไม่ว่าจะได้
หรือเสีย หรือเท่าทุน”

แต่มือยังขึ้นอยู่เรื่อย เวลา 2.00 น. คอยล์เล่นได้ 97 เหรียญ เลยเปลี่ยนใจ “ขออีก 2-3 ตา”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 20, 2022 9:51 pm

(*)โชคเสพย์ติด ตอนที่ ( 2 )
จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2542
โดย Matea Gold และ David Ferrell รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)ต้นทุนสูง

การพนันกำลังเบ่งบานขยายตัวทั่วสหรัฐฯ จากย่านกาสิโนหรูหราในเมืองลาสเวกัส
ไปถึงบ่อนริมถนนในหมู่บ้านชนเผ่าอินเดียแดง และจากเรือโดยสารขึ้นล่องในแม่น้ำมิสซิสซิปปี
ไปถึงร้านขายล็อตเตอรีหัวมุมถนน

ปัจจุบันทางการสหรัฐฯอนุญาตให้ทุกรัฐเปิดบ่อนได้อย่างเปิดเผย ยกเว้น 3 รัฐคือ ฮาวาย ยูทาห์
และเทนเนสซี หลักฐานต่าง ๆ ชี้บ่งว่าสังคมโดยรวมต้องสูญเสียเงินมหาศาลไปกับเรื่องนี้

ปี 2540 นักพนันเอาเงินไปทิ้งที่บ่อนรวมทั้งสิ้น 5,090 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขในปี 2523
ประมาณ 5 เท่า ค่าใช้จ่ายในการเข้าชมภาพยนตร์ การแข่งขันกีฬา สวนสนุก ซื้อเทปหรือซีดีเพลง
ของชาวอเมริกันรวมกันแล้วยังน้อยกว่าด้วยซ้ำ ประมาณกันว่า เงินที่เสียไปในบ่อนนั้น 100 ละ 30
มาจากกระเป๋าของนักพนันที่มีปัญหา

รายงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า สหรัฐฯมีคนที่ผีพนันเข้าสิงถึง 4.4 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลข
ของกลุ่มผู้ใหญ่ที่เสพย์ติดเฮโรอีนและโคเคนทั่วประเทศ นับแต่ปี 2535 เป็นต้นมา กลุ่มช่วยเหลือ
นักพนันนิรนามเพิ่มจาก 700 กลุ่มเป็นกว่า 1,300 กลุ่มทั่วประเทศ ‘พอล แอซ’ประธานของสมาพันธ์
แห่งชาติด้าน ปัญหาการพนันให้ข้อสังเกตว่า

“การพนันเป็นโรคร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คนเล่นไพ่นั้นไม่มีร่องรอยให้เห็นเหมือน
รอยเข็มบนแขน และลูกเต๋าก็ไม่ส่งกลิ่นออกมากับลมหายใจ

คนที่ติดการพนันอาจเคยถูกรังแกเมื่อครั้งเป็นเด็ก หรือเติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีความรุนแรง
หรืออาจเผชิญกับความล้มเหลวทางธุรกิจ การฉ้อโกง และการกระทำที่เป็นอาชญากรรมอื่น ๆ
กลุ่มช่วยเหลือนักพนันนิรนามสอบถามสมาชิก 228 คน และพบว่า เกือบครึ่งยอมรับว่าเคยโกงเงิน
ประกัน ยักยอก หรือไม่ก็ลอบวางเพลิง

ทุกวันนี้ 37 รัฐในสหรัฐฯที่ออกล็อตเตอรีเองมีรายได้สุทธิเข้ารัฐเกือบ 12,000 ล้านเหรียญ
และใช้จ่ายเงินนับล้านเหรียญเป็นค่าโฆษณาล่อใจให้ประชาชนซื้อ “ผู้คนโวยวายกันใหญ่ตอน
ที่อุตสาหกรรมบุหรี่โหมโฆษณา”

‘ลอเรนซ์’ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์ช่วยเหลือผู้ติดการพนันในเมืองบัลติมอร์กล่าว
“แต่ตอนนี้รัฐบาลกลับทำเสียเอง”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 20, 2022 9:55 pm

(*)โชคเสพย์ติด ตอนที่ ( 3 )
จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2542
โดย Matea Gold และ David Ferrell รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)ชีวิตพังทลาย

ผู้ติดการพนันมีจุดเริ่มต้นคล้ายกัน นั่นคือ เคยเล่นได้กำไรก้อนใหญ่ จากนั้นก็หวังจะ
ทำให้ได้อีกจนรั้งไว้ไม่อยู่ ขณะที่สมาชิกในครอบครัวถูกทอดทิ้งให้ดิ้นรนตามลำพังและข้าวของ
เงินทองในบ้านก็เริ่มอันตรธานไปทีละน้อยจนแทบไม่เหลืออะไรที่มีค่า
สามีวัย 42 ปีของเจสซิกา (ชื่อสมมติ) เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีรายได้สูงพอสมควรจากตำแหน่ง
ผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรมในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่เจสซิกาเล่าว่า “เขาฝันเฟื่องเรื่องการใช้ชีวิต
หรูในเมืองมอนติคาร์โล”

สามีของเธอเริ่มหายใจเข้าออกเป็นเกมพนันล็อตเตอรี ทุกวันสุดสัปดาห์ตลอดช่อง 5 ปี เขาจะออก
จากบ้านตั้งแต่ 5.30 น.เพื่อไปร่วมเล่นเกมพนันกับขาประจำคนอื่น ๆ ที่ร้านโดนัทแห่งหนึ่งในเมือง
สายตาจ้องเขม็งดูตัวเลขที่วิ่งขึ้นจอมอนิเตอร์ในร้าน 2-3 ชั่วโมงต่อมา เขาเดินอ่อนระโหยกลับบ้าน
และไม่ยอมปริปากบอกว่าเล่นเสียไปเท่าไร

เจสซิกาพยายามดิ้นรนหาเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านเหมือนภรรยาของนักพนันผีสิงคนอื่น ๆ
อีกนับหมื่น เธอซ่อนเงินไว้ในกล่องอาหารเช้า แทรกไว้ตามหนังสือ หรือไม่ก็ซุกไว้ใต้เบาะโซฟา
ทุกครั้งที่เงินเดือนเข้าบัญชี เธอกับสามีจะแข่งกันไปเบิกเงินก้อนนี้จากธนาคาร เธอรีบไปที่สาขาหนึ่ง
ส่วนเขาไปอีกสาขาหนึ่ง ถ้าวันไหนเธอเบิกได้ก่อน ครอบครัวก็จะมีเงินจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่าย
จิปาถะสำหรับเดือนนั้น แต่ถ้าสามีเบิกได้ก่อนก็จะเอาไปเล่นการพนันที่สนามม้า บ่อนกาสิโน
หรือร้านโดนัทเจ้าประจำ

เจสซิกาหย่าขาดจากสามีในภายหลังและไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน หนี้ค้างจ่ายค่าผ่อนบ้าน 23,000 เหรียญ
กับคดีล้มละลายที่ค้างอยู่ในศาลทำให้บ้านถูกยึดและเธอต้องขนของย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
“เราต้องร้องต่อศาลขอเป็นบุคคลล้มละลายก็เพราะการพนันนี่แหละ” เจสซิกาบอก
“เรื่องแบบนี้คนอื่นก็คงเจอมาแล้วนับไม่ถ้วน”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 21, 2022 10:30 am

(*)โชคเสพย์ติด ตอนที่ ( 4 )
จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนสิงหาคม 2542
โดย Matea Gold และ David Ferrell รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)เหยื่อรายใหม่

ที่ผ่านมา นักพนันผีสิงมักเป็นชายวัยกลางคน แต่ตอนนี้ตัวเลขผู้หญิงติดการพนันเพิ่มสูงขึ้น
อย่างต่อเนื่อง คนสูงอายุเริ่มมาเป็นลูกค้าชั้นดีกลุ่มใหม่ ความรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวหลังสูญเสียคู่ชีวิต
หรือครบกำหนดเกษียณอายุทำให้คนวัยนี้มองว่าการพนันเป็นงานอดิเรกฆ่าเวลาที่ไม่มีพิษมีภัย

หญิงชาวฟลอริดาวัย 62 ปีคนหนึ่งเริ่มเข้าบ่อนการพนันในรัฐมิสซิสซิปปีหลังสามีเสียชีวิต
“ฉันเลิกหมดทุกอย่าง ยกเว้นการพนัน” เธอบอก “พอเข้าบ่อนก็หลุดโลกไปเลย และไม่มีใครคอยเตือนใจ
ให้คิดถึงสามี” อดีตครูโรงเรียนเอาเงินไปทิ้งที่บ่อนการพนันมากถึง 800,000 เหรียญในเวลาสองปีครึ่ง
ต่อมาเธอก็ถูกจับข้อหาเช็คเด้ง
นักพนันผีสิงที่กระจายอยู่ทั่วสหรัฐฯทุกวันนี้เป็นผู้หญิงประมาณหนึ่งในสาม เธอเหล่านี้ชอบเล่มเกม
ที่ไม่ต้องแข่งขันอย่างเครื่องโยกสล็อตแมชีนและตู้โป๊กเกอร์ ขณะที่ผู้ชายชอบเล่นเกมที่มีการแข่งขัน
อย่างโป๊กเกอร์และแบล็กแจ็ก

‘เฮนรี เลซิเออร์’ประธานของสถาบันด้านปัญหาการพนันในรัฐโรดไอแลนด์กล่าวว่า ผู้หญิงเล่นการพนัน
เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศ หนีความจำเจ หนีสภาพถูกรังแก และต้องการคลายความเศร้าโศก

‘แมรี่’ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟและมีลูกติดหนึ่งคน หลังดื่มแบบหัวราน้ำอยู่ในกาสิโนฮอลลีวู้ดพาร์ค 3 วัน
เธอเล่นพนันเสียทั้งเงินเดือนและเงินในบัญชีเงินฝากที่เพิ่งเปิดใหม่ แถมเล่นจนลืมไปทำงาน เธอต้อง
จ่ายค่าเช่าบ้านในเมืองลอสแอนเจลิสภายใน 4 วัน แต่ไม่รู้จะไปหาเงินจากไหน ทรัพย์สินของมีค่าที่มีอยู่
ก็จำนำเกือบทุกชิ้น จนต้องขอยืมเงินจากลูกชายวัย 15 อยู่บ่อยๆ และแอบนำของของลูกไปจำนำด้วย

คืนหนึ่งขณะขับรถกลับจากบ่อนกาสิโน แมรี่นึกอยากจะหักพวงมาลัยแหกโค้งให้จบเรื่อง
“ฉันไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว” เธอพึมพำ

ระหว่างที่ธุรกิจการพนันกำลังต่อสู้ขับเคี่ยวกับผู้ไม่เห็นด้วย คนอย่างแมรี่ต้องพยายามดิ้นรนลอยคอ
เหนือกระแสน้ำเชี่ยวโดยไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

หลายปีก่อน แมรี่ออกจากบ้านตั้งใจจะไปหาซื้อของสำหรับจัดงานเลี้ยงวันเกิดลูกชายครบ 10 ขวบ
แต่กลับไปนั่งเล่นไพ่อยู่ที่บ่อนกาสิโน แมรี่ถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ออกมาเล่นรวม 2,000 เหรียญ
ภายในไม่กี่ชั่วโมง ครอบครัวโทรฯเรียกเธอผ่านวิทยุติดตามตัวและลูกชายอ้อนวอนให้กลับบ้าน
“แม่ไม่มีของขวัญให้ผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” ลูกน้อยบอก
เมื่อเธอกลับบ้าน ลูกชายนั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้อง “ลูกนั่งรอเธออยู่ตรงนั้นทั้งวันเลย” น้องสาวบอกแมรี่
ด้วยน้ำเสียงสุดทน แมรี่เดินเข้าไปหาลูก “แม่ครับ” เด็กน้อยเอ่ยปากพร้อมกับเงยหน้าสบตาแม่
“ทำไมแม่ถึงไม่มางานวันเกิดผมล่ะครับ”

ความทรงจำครั้งนั้นยังปวดแปลบในหัวใจ “ฉันทำให้หลายคนเสียใจเพราะการพนัน” แมรี่สารภาพ
ทุกวันนี้ เธอเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มช่วยเหลือนักพนันนิรนาม “คนจำนวนไม่น้อยคิดว่า การพนันไม่มีพิษภัย
แต่ไม่รู้หรอกว่า มันบังคับให้คุณเป็นขโมยและทำร้ายจิตใจคนที่คุณรักได้แค่ไหน คนอีกมากไม่รู้ว่า
การพนันเป็นโรคร้ายที่ฆ่าคุณได้เลยทีเดียว”

**********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 28, 2022 8:24 pm

กุมารน้อยนี้คือผู้ใด ตอนที่ ( 1 )โดย Timothy S. Wight
รวบรวมและเรียบเรียงจากนิตยสารสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2541

ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถมห้า พอโรงเรียนเปิดภาคแรก ผมกับเพื่อน ๆ ก็เห็นใบหน้านักเรียน
ใหม่คนหนึ่งและรู้ตั้งแต่นั้นเลยว่า “รูธ” เจ้าของใบหน้านั้นจะไม่อยู่ในกลุ่มของพวกเราอย่างแน่นอน

พ่อของรูธเป็นกรรมกร ครอบครัวอาศัยอยู่ในย่านคนจน เธอใส่เสื้อสีน้ำตาลแดงเก่าซีดกับรองเท้าผ้า
ใบสีน้ำเงินหลวมโครก “ไปได้เสื้อชุดนี้มาจากถังขยะรึไง” พวกเราถาม

อาหารกลางวันที่รูธนำมามีแค่ขนมปังแผ่นเดียว แครอท หรือ มันฝรั่งไม่ปอกเปลือกหนึ่งหัว และนมสด
หนึ่งขวด ซึ่งเป็นอาหารแบบที่เราใช้เลี้ยงหนูทดลองทางวิทยาศาสตร์ เราจึงทำเสียงจี๊ด ๆ เหมือนหนู
เวลาเดินผ่านรูธในโรงอาหาร ตั้งแต่วันนั้น เธอก็ออกไปนั่งกินข้าวนอกโรงอาหารตามลำพัง แม้กระทั่ง
ในวันที่มีลมหนาวพัดแรง
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน มีการคัดเลือกตัวผู้แสดงละครคริสต์มาส ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองมาร่วมงาน
คริสต์มาสประจำปีของโรงเรียนของเรา นักเรียนชั้นอื่น ๆ แสดงการร้องเพลงและละครสั้นแนวตลก
แต่ละคริสต์มาสนั้นสงวนไว้สำหรับชั้นประถมห้า

ตัวละครในเรื่องคือพระแม่มารีย์และนักบุญยอแซฟ เมื่อครูประกาศรายชื่อผมเป็นผู้แสดงบทนักบุญ
ยอแซฟ ผมปลื้มมาก แต่ก็เกิดอาหารเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อนึกว่า เพื่อนผู้หญิงคนไหนจะเล่นบทเป็น
พระแม่มารีย์คู่กับผม. และเมื่อทราบต่อมาว่าครูเลือก “รูธ” รับบทแม่พระ ผมกับเพื่อน ๆ ก็ตกลงกันว่า
เราจะทำละครคริสต์มาสปีนี้ให้แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เมื่อถึงเวลาซ้อมด้วยกัน พวกเราจึงแกล้งขับกลอนผิดจังหวะ บทพูดที่ว่า “มาเถิด มารีย์ เราต้องเดิน
ทางไปเบธเลแฮมด้วยกัน” ก็ใช้สำเนียงเย้ยหยัน ไม่สนใจการกำกับเวที เวลาทำผิดแต่ละครั้ง พวกเรา
ก็จะหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พอครูหันหลังให้ พวกเราก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่รูธ และคิดว่าเธอคงจะ
ขอเลิกแสดงในที่สุด
วันซ้อมใหญ่ นักแสดงต้องแต่งตัวเหมือนวันแสดงจริง ที่ผ่านมารูธมักจะซ้อมร้องเพลงคนเดียวตอนที่
พวกเราพัก คราวนี้พอเธอเริ่มร้อง ผู้แสดงเป็นเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งก็แอบกระทุ้งเข้าที่หลังของเธอ
เสียงร้องของเธอจึงสะดุดขณะพยายามสูดลมหายใจ พวกเรายิ่งหัวเราะดังกว่าทุกครั้ง ครูผู้กำกับ
การแสดงสั่งให้นักเปียโนหยุดเล่นและบอกว่า พวกเราเป็นนักเรียน ป.ห้าที่แย่ที่สุดเท่าที่โรงเรียน
เคยมีมา ดังนั้น การแสดงปีนี้จะไม่มีละครคริสต์มาส

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 8:30 pm

กุมารน้อยนี้คือผู้ใด ตอนที่ ( 2 j)โดย Timothy S. Wight
รวบรวมและเรียบเรียงจากนิตยสารสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2541

แล้วก็ถึงคืนวันคริสต์มาสและการแสดงของโรงเรียน เด็กชั้นอนุบาลได้ร้องเพลงเป็น
รายการแรกเหมือนทุกปี ตามด้วยการแสดงของชั้นอื่น ๆ ในที่สุดก็ถึงการแสดงของชั้น ป.ห้า
ผมนั่งขยุกขยิกอยู่ในเก้าอี้ หวั่นใจว่าครูจะพูดพาดพิงถึงความประพฤติของพวกเราทำให้ไม่มี
การแสดงละครคริสต์มาสในปีนี้ และพวกเราต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินครูประกาศว่า
“ปีนี้จะเป็นการร้องเพลงเดี่ยวของเด็กชั้น ป.5 คนหนึ่ง”

ฉากเปิดออกมา รูธนั่นเองที่ยืนอยู่บนเวที เธอสวมชุดซาตินสีขาว เอวคาดแถบผ้าสีแดง ดวงหน้า
เปล่งประกายขณะเริ่มร้องเพลง “กุมารนี้คือผู้ใด” เสียงโซปราโนของเธอใสบริสุทธิ์ดังกังวานก้อง
หอประชุม

โอ้พระกุมารนี้คือผู้ใด บรรทมอยู่ในอ้อมแขนมารดา
เหล่าเทพเทวาร้องสาธุการ ขณะชุมพาบาลเฝ้าชุมพา
ตอนแรกรูธมองไปที่พ่อแม่ของเธอซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าแบบเรียบ ๆ แล้วเธอก็เปล่งเสียงดังขึ้น
ทีละน้อย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผู้ชม ก่อนจะชายตามองมาทางเราผู้เป็นเพื่อนร่วมห้องขณะร้องว่า

นี้คือพระคริสต์ราชา ซึ่งปวงเทวาแซ่ซ้องกังวาน
เร็วมานมัสการ กุมารน้อยของแม่มารีย์
แล้วเสียงร้องก็หยุดลงโดยพลัน เกิดความเงียบงันอยู่ชั่วครู่ แล้วเธอก็หันหลังเดินออกจากเวที
ผู้ที่เล่นเปียโนคลอยังคงบรรเลงเพลงต่อ ครั้งเมื่อเห็นว่าไม่มีคนร้องเพลงแล้วจึงหยุดเล่น ส่วนพ่อแม่
ของรูธก็วิ่งถลาออกนอกหอประชุม

ในชั่วอึดใจนั้นไม่มีผู้ใดขยับตัว แล้วก็มีใครคนหนึ่งลุกยืนปรบมือนำ ผู้คนทุกคนพากันลุกขึ้นยืน
ปรบมือดังกึกก้องทั่วหอประชุมเป็นเวลานาน
เรากลับไปเรียนอีกครั้งหนึ่งหลังวันขึ้นฝปีใหม่ แต่รูธไม่มาเรียนกับเราแล้ว เราได้ข่าวเธอย้ายไปที่อื่น
และไม่เคยมีใครเอ่ยถึงเธออีกเลย

เวลาผ่านไป 20 ปี ตอนนี้รูธอยู่ที่ไหนหนอ การเล่นตลกร้ายกาจของพวกเรากระทบต่อชีวิตเธอมากเพียงใด
ผมไม่มีทางรู้ได้ ผมรู้แต่เพียงว่า ผมเสียใจอย่างสุดซึ้ง และทุกวันนี้ผมทำงานเป็นครูและเป็นที่ปรึกษา
แนะแนวโดยพยายามกระตุ้นให้นักเรียนซื่อสัตย์ต่อตนเองและมีเมตตาต่อผู้ที่แตกต่างหรือมีสภาพด้อย
กว่า ทุกวันคริสต์มาส บทสวดจากหัวใจของผมอยู่ในบทเพลงท่อนที่รูธไม่ได้ร้องต่อจนจบที่ว่า :

โอ้กุมารน้อยใช่งามเลิศลอยล้ำ เกิดในที่ต่ำท่ามกลางแกะลา
ท่านถ่อมพระองค์ประสงค์ว่า ให้เราเมตตาการุณย์ต่อกัน

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 8:30 pm

☺️คนดีของสังคม ตอนที่ (1)
รวบรวมและเรียบเรียงจากนิตยสารสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2542
และจากกูเกิ้ล 2565 โดย กอบกิจ ครุวรรณ

1. เสียงเพื่อคนตาบอด

หญิงร่างเล็กวัย 37 อย่างบุญญนุช ชีวะกำจร ชอบการร้องเพลง เมื่อก่อน เธอทำงานสัปดาห์
ละ 6 วัน มีวันหยุดเพียงวันเดียวคือวันพุธ แต่เธอก็ใไม่ได้ไปเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าอย่างที่
หลายคนชอบทำเวลาว่าง กิจกรรมในวันหยุดของเธอคือฝ่าการจราจรไปที่ “ห้องสมุดคอลฟิลด์
เพื่อคนตาบอด” (Caufield Memorial Library) แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดดำเนินการตั้งแต่
ปี 2520 โดยอาศัยเนื้อที่ส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอดปากเกร็ด ผลิตและให้บริการ
หนังสือทั้งที่เป็นหนังสือเสียงและหนังสืออักษรเบรลล์ (Braille)

จุดเริ่มต้นเริ่มจากเมื่อเธออ่านพบว่า ห้องสมุดคอลฟิลด์ต้องการอาสาสมัครอ่านหนังสือให้คนตาบอด
ประกอบกับเธอเองรู้สึกประทับใจในความเสียสละของผู้ก่อตั้งห้องสมุดคือ คุณณรงค์ ปฏิบัติสรกิจ
ที่ทุ่มเททำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนด้อยโอกาสเหล่านั้น บุญญนุชกล่าวว่า “แม้ว่าตัว
คุณณรงค์เองก็เป็โรคปวดข้อรูมาตอยด์ (ข้อสะโพกติดเดินไม่ได้) แต่ก็ยังอุตส่าห์ช่วยเหลืสังคม
เป็นอย่างดี คนที่ร่างกายปกติอย่างเราน่าจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยคนด้อยโอกาสบ้าง”
(มูลนิธิธารน้ำใจยกย่องให้ “เป็นคนไทยตัวอย่างประจำปี 2538)

บุญญนุช ชอบอ่านหนังสือ “ดิฉันโชคดีที่อ่านหนังสือได้ ก็เลยอยากให้คนที่มีโอกาสน้อยกว่าเราได้รับ
ความเพลิดเพลินจากการอ่านเหมือนกัน ดิฉันเชื่อว่าพวกเขาก็คงอยากอ่านหนังสือเหมือนคนอื่น ๆ”

ตอนที่เริ่มเป็นอาสาสมัคร บุญญนุชทำงานเป็นสถาปนิก และพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ในย่านสาทร ต้อง
ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงขับรถไปห้องสมุดที่ปากเกร็ด แต่ต่อมาเธอย้ายมาอยู่แถวลาดพร้าวทำ
ให้ทุ่นเวลาเดินทางไปได้มาก ขณะที่เขียนเรื่องนี้ ห้องสมุดคอลฟิลด์มีอาสาสมัครประมาณ 1,600 คน
แต่อาสาสมัครที่มานั่งอ่านอย่างบุญญนุชมีราว 30 คนเท่านั้น ผลงานของอาสาสมัครเหล่านี้คือหนังสือ
ในรูปเทปคาสเซตกว่า 1,700 เล่ม มีทั้งตำราเรียนวิชาการด้านต่าง ๆ เป็นภาษาไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส
และหนังสือสารคดีอื่น ๆ ตลอดจนนวนิยาย สมาชิกผู้พิการทางสายตาประมาณ 1,500 คนทั่วประเทศได้
อาศัยเทปเหล่านี้เป็นสะพานเชื่อมตัวเองกับโลกของตัวอักษร

หลายคนคงคิดว่าการอ่านหนังสืออัดเทปเป็นเรื่องง่าย ความจริงแล้วเป็นงานที่ต้องใช้เวลา อาศัยความ
อดทนและความตั้งใจจริงอย่างมาก เช่นปกติเราใช้เวลาประมาณ 5 นาทีในการอ่านหนังสือ 1 หน้า
แต่การอ่านออกเสียงต้องใช้เวลาถึงสองเท่า คงพอจะนึกภาพออกว่านิยายเรื่องยาวอย่างเรื่อง “สี่แผ่นดิน”
ของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช จะต้องใช้เวลาอ่านนานเพียงใด ด้วยเหตุนี้ อาสาสมัครหลายคนจึง
พากันล่าถอยตั้งแต่ก้าวแรก ๆ

“พอเริ่มอ่าน หลายคนหมดกำลังใจเพราะอ่านผิดบ่อย และต้องเริ่มอัดเทปใหม่ซ้ำไปมาหลายครั้ง”
บุญญนุชเล่า ค่าตอบแทนคือความอิ่มใจ “ก่อนเป็นอาสาสมัครก็กลัวว่าจะทรมานตัวเองมากเกินไป
เพราะปกติต้องทำงานถึงอาทิตย์ละ 6 วันอยู่แล้ว แต่พอได้มาทำจริง ๆ จึงรู้ว่า แม้จะเหนื่อยกายบ้างแต่
ก็มีความสุขใจมากกว่า เพราะได้ทำสิ่งที่มีค่าสำหรับคนอีกกลุ่มที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา” บุญญนุชกล่าว

หมายเหตุ : การให้บริการของห้องสมุดคอลฟิลด์
บริการหนังสือเสียงให้ฟังภายในห้องสมุด
บริการยืม-คืนหนังสือเสียง (ยืมได้ครั้งละ 5 เรื่อง ระยะเวลา 1 เดือน)

บริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้า
บริการแนะนำหนังสือเสียงใหม่ที่น่าสนใจ

บริการค้นคว้าและสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตด้วยคอมพิวเตอร์
บริการทำสำเนาเทปและซีดี โดยนำเทปหรือซีดีเปล่าไปที่ห้องสมุดและแจ้งความจำนง
บริการรับงานอ่าน
ท่านสามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.nlbp.org

*************************
ติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้ …..
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 08, 2023 9:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:36 pm

☺️คนดีของสังคม ตอนที่ (2)
รวบรวมและเรียบเรียงจากนิตยสารสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2542
และจากกูเกิ้ล 2565 โดย กอบกิจ ครุวรรณ

2. แรงบันดาลใจต่อเนื่อง

บัวลอย สุขแก้ว อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย สูญเสียขาขวาเนื่องจากอุบัติเหตุมา 5 ปีแล้ว
และรู้สึกเหมือนโลกของเธอจบสิ้น เธอเลิกอาชีพขายผักและมักเก็บตัวอยู่กับบ้านเพราะการใช้
ไม้ค้ำยันทำให้ไปไหนมาไหนไม่สะดวก

ทั้งที่รู้ว่าการผ่าตัดใส่ขาเทียมจะทำให้เธอใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงความฝัน
เมื่อนึกถึงราคาของมัน ต่อมามีคนบอกเธอว่า มีคลินิกอวัยวะเทียมแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ที่ให้บริการ
โดยไม่คิดมูลค่า หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มีโอกาสลองสวมขาเทียมเป็นครั้งแรก “ตอนนี้ ดิฉันไป
ไหนมาไหนได้แล้ว” บัวลอยเล่า นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความสุข

บุคคลที่จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของบัวลอยคือ นายแพทย์ชาลส์ เบรนท์ ชาวอเมริกันในวัยเกษียณ
ผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ในปี 2538 หมอเบรนท์และทีมงานจัดทำขาเทียมโดยไม่คิดมูลค่าให้คนไข้
มาแล้วประมาณ 300 คนซึ่งมีอายุตั้งแต่ 3 ขวบถึง 80 ปี คนไข้ส่วนใหญ่ต้องตัดขาทิ้งเนื่องจาก
อุบัติเหตุหรือโรคเบาหวาน

“ผมมีความสุขเมื่อเห็นคนไข้ที่มาด้วยขาข้างเดียว แต่กลับออกไปด้วยขาสองข้าง” หมอเบรนท์กล่าว

ก่อนหน้าการทำโครงการนี้ หมอเบรนท์ทำงานเพื่อการกุศลราว 10 ปี ท่านเกิดแรงบันดาลใจเมื่อ
พบพระครูขันติภิวัตร ซึ่งกำลังหาเงินบริจาคให้ เด็กกำพร้าที่อยู่ในความดูแลของวัดสระแก้ว
ความทุ่มเทของพระครูทำให้ท่านคิดก่อตั้งมูลนิธิพุทธคุณเพื่อคนยากไร้ และเปิดคลินิกอวัยวะ
เทียมในเวลาต่อมา

ช่างทำอวัยวะเทียม 2 คนผลิตขาเทียมจากอะลูมิเนียมและยาง หมอเบรนท์รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ของคลินิกซึ่งได้มาจากเงินบริจาค ทางมูลนิธิฯ มีแผนจะเปิดคลินิกลักษณะนี้ในประเทศเพื่อนบ้าน
เช่น พม่า ลาว และกัมพูชา

“ผมหวังว่ากิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ที่ทำมาแล้วและจะทำต่อไปคงสร้างแรงบันดาลใจให้
คนอื่น ๆ หันมาเอาใจใส่เพื่อนมนุษย์มากขึ้น เหมือนกับที่ท่านพระครูได้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาแล้ว”
หมอเบรนท์กล่าว

****************************
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2023 8:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:37 pm

☺️คนดีของสังคม ตอนที่ (3)
รวบรวมและเรียบเรียงจากนิตยสารสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2542
และจากกูเกิ้ล 2565 โดย กอบกิจ ครุวรรณ

3. รอยยิ้มพิมพ์ใจ

หลายปีมาแล้วที่ นาวาเอก ดร. นายแพทย์ปิโยรส ปรียานนท์ ร.น. (เกิด 11 มิถุนายน 2501)
ศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า หาเวลาปลีกตัวจากงานประจำและงานที่คลินิก
ศัลยกรรมตกแต่งในกรุงเทพฯ เพื่อไปแต่งแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กยากจนหลายพันคน
ในชนบท

ในช่วงที่ออกไปทำงานเพื่อเด็กในต่างจังหวัด หมอปิโยรสใช้ความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัด
ในการ“ปรับโฉม”ใบหน้าน้อย ๆ ที่พิการจากเนื้องอก เพดานโหว่ ปากแหว่ง ตลอดจนอาการผิด
ปกติแต่กำเนิดอื่น ๆ ท่านเริ่มงานบริการสังคมนี้ตั้งแต่ปี 2531 หลังสำเร็จการศึกษาด้านศัลยกรรม
ตกแต่งและแก้ไขความพิการจากประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

“ถึงผมจะมีรายได้ดี แต่เงินก็ไม่ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” หมอปิโยรสกล่าว “ลึก ๆ แล้ว
ผมรู้สึกว่าชีวิตยังขาดอะไรบางอย่างอยู่” ปลายปีนั้น (2531) ท่านมีโอกาสร่วมเดินทางไปกับกลุ่ม
ศัลยแพทย์ของมูลนิธิหูคอจมูกที่รวมตัวกันออกไปช่วยรักษาผู้ป่วยด้วยโรคหูน้ำหนวกในชนบทที่
ยากจน โดยหมอเริ่มเข้าไปผ่าตัดแก้ไขความบกพร่องตั้งแต่กำเนิดของชาวบ้านในพื้นที่เดียวกัน

“พอได้ไปร่วมงานนี้ ผมก็ค้นพบสิ่งที่จะช่วยให้ผมทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองเพื่อแบ่งปันความสุข
กับเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาส” เมื่อร่วมปฏิบัติงานด้วยกันหลายครั้ง ท่านก็สังเกตว่ามีคนไข้ด้านศัลย
กรรมตกแต่งมากขึ้นจนต้องแยกทีมออกมาปฏิบัติงานเฉพาะด้านศัลยกรรมในที่สุด

หลังจากนั้น ท่านก็ลดเวลาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนกับคลินิกลง และปลีกตัวออกไปต่างจังหวัด
มากขึ้น โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ จากการรักษาคนไข้ในชนบท ท่านก่อตั้ง “มูลนิธิดวงแก้ว”
ในปี 2537 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ และผู้ด้อยโอกาสในชนบท โดยเฉพาะผู้ที่
สามารถผ่าตัดแก้ไข หรือรักษาให้หายด้วยวิธีศัลยกรรมตกแต่ง

ท่านและศัลยแพทย์อาสาสมัคร พร้อมด้วยวิสัญญีแพทย์และพยาบาล รวมทั้งหมดประมาณ 15-20 คน
จะแบ่งเวลาอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง ๆ ละ 2-3 วัน เดินทางไปผ่าตัดเด็ก ๆ ตามโรงพยาบาลประจำ
อำเภอและจังหวัด โดยทางโรงพยาบาลจะคัดเลือกและเตรียมคนไข้ไว้ล่วงหน้า ท่านและทีมงานสามารถ
ผ่าตัดเด็กได้เฉลี่ย 20 คนต่อวัน แต่ละปีมีคนไข้ได้รับการบำบัดประมาณ 400-500 คน
ใบหน้าหมอฉายแววเปี่ยมสุขเมื่อเล่าถึงคนไข้ที่ประทับใจมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นเด็กหญิงชาวเขาวัย 10 ขวบ
ในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เธอไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะอายที่ตนเองพิการปากแหว่ง 3 เดือนหลังการ
ผ่าตัด หมอและทีมงานกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง “ทุกคนในทีมดีใจที่ผลการผ่าตัดออกมาดี
และจำเด็กคนนั้นกับรอยยิ้มสดใสของแกได้ ผมยังจำคำพูดของแกได้ดี ‘ต่อไปนี้ หนูจะไม่อายใครแล้ว
และหนูจะไปโรงเรียนค่ะ’ “ หมอเล่า

หมอปิโยรสได้รับรางวัลมหิดล บี-บราวน์ ประจำปี 2541 ในฐานะที่ทำงานร่วมกับทีมงานเพื่อวงการแพทย์
และสาธารณสุขไทย หมอกล่าวว่า “ผมโชคดีที่มีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
รวมทั้งมีเพื่อนฝูงและทีมงานที่รู้ใจพร้อมจะทำงานร่วมกัน”

“ผลงานทุกอย่างเกิดจากความร่วมมือของทีมงานทุกคน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้รับก็คือความสุขใจ
ที่ทุกคนได้มีโอกาสมอบสิ่งดีที่สุดให้ผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้น” หมอกล่าวทิ้งท้าย

นับถึงปี 2551 หมอปิโยรสและทีมงานได้ทำการผ่าตัดผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ไปแล้วประมาณ
8,000 ราย รวมจำนวนผู้ป่วยของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มูลนิธิดวงแก้วประมาณ15,000 ราย มีการจัดทีม
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปช่วยรักษาผ่าตัดที่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม พม่า อินเดีย และ ภูฏานฯ นอกจากนั้น
ยังได้จัดทีมแพทย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทั้งในประเทศ และในพม่า ศรีลังกา ญี่ปุ่น เซอร์เบีย
บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และ เนปาล

**********************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส