เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ ชุด (3)
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 26, 2021 9:06 pm
หญิงแกร่งแห่งเดียนเบียนฟู ตอนที่ (1)
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2547/2004
โดย Geneviève de Galard ย่อและเพิ่มเติมจากวิกิพีเดียโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฉันชื่อ เยเนอวีแอฟ (Geneviève de Galard) เกิดที่กรุงปารีส ค.ศ.1925 (ปัจจุบันอายุ 96 ปี)
หลังจากคุณพ่อจากไปขณะที่ฉันมีอายุเพียง 9 ขวบ ชีวิตฉันเริ่มผจญวิบากกรรมเมื่อเกิด
สงครามโลกครั้งที่ 2 (เยอรมันผนวกออสเตรีย 1 มีนาคม 1938) ปลายปี 1939 ครอบครัว
เราย้ายไปทางใต้ที่บ้านของลุงที่เมืองตูลูส (Toulouse) เพื่อหนีการทิ้งระเบิดในปารีส ระหว่าง
สงครามโลก แทบทุกครอบครัวทั่วประเทศมีชีวิตที่ยากลำบากมาก โดยเฉพาะความหิวโหย
และความหนาวเหน็บ
กลางปี 1943 เรากลับไปที่ปารีส เราวิ่งลงหลุมหลบภัยทันทีที่ได้ยินเสียงหวอเตือนภัยทาง
อากาศ ยามท้องฟ้าปลอดเครื่องบินทิ้งระเบิด ฉันจะขี่จักรยานไปเรียนภาษาอังกฤษหรือไม่ก็
ไปทำงานที่สถานีอนามัยแผนกเด็กอ่อนเพื่อจะได้มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิต
หลังวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 (เยอรมันยอมแพ้ : 29 เมษายน 1945) สภาพสังคมเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ขณะนั้นฉันมีประกาศนียบัตรด้านภาษาอังกฤษ และเรียนต่อด้านผู้ช่วยพยาบาล
และสังคมจนได้เป็นพยาบาลวิชาชีพ จากนั้นก็สมัครเป็นทหารในหน่วยพยาบาลสนับสนุนทาง
อากาศซึ่งมีเส้นทางบินประจำคือทวีปแอฟริกาและอินโดจีน ภารกิจคือการขนย้ายครอบครัว
ของทหาร อพยพทหารที่บาดเจ็บและป่วยไข้
ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านสอบคัดเลือก และรับการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอยู่หลายเดือน
งานของฉันส่วนใหญ่อยู่ที่อินโดจีน (สมัยนั้นยังไม่เรียกว่า “เวียดนาม”) ฉันไปอินโดจีนครั้งแรก
ในเดือนเมษายน 1953 และประจำอยู่ 3 เดือน ปฏิบัติการส่วนใหญ่ของหน่วยจะอยู่บริเวณ
เมืองนาสานซึ่งอยู่ทางตะวันตกของฮานอย ขณะอยู่บนเครื่องบินทหารซึ่งไม่มีระบบปรับความ
กดดันอากาศใด ๆ จึงต้องให้ออกซิเจนแก่คนเจ็บทุกคนและคอยวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ
หลังปฏิบัติงานอย่างโชกโชนที่อินโดจีนครบ 3 เดือน ฉันก็ถูกส่งตัวไปแอลจีเรียอีก 2 เดือน
ฉันกลับไปอินโดจีนอีกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1954 สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นจนเข้าขั้นวิกฤต
ก่อนหน้านั้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1953 พลเอกอังรี ‘Henri Navarre’ สั่งให้ยึดเดียนเบียนฟูซึ่ง
อยู่ใกล้ชายแดนประเทศลาวและอยู่ห่างจากฮานอยทางทิศตะวันตกราว 300 กิโลเมตร
เดียนเบียนฟูมีสภาพเป็นหุบเขายาว 18 กิโลเมตร และกว้าง 7 กิโลเมตร ตรงกลางเป็นนาข้าว
และมีแม่น้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ภูมิประเทศที่ซับซ้อนนี้ทำให้การบินขึ้นลงเป็นไปอย่าง
ยากลำบาก
ภายใน 3 วันต่อมา ทหารพลร่มฝรั่งเศส 3 กองทัพพร้อมด้วยปืนใหญ่ 75 กระบอกกระโดดลงที่
เดียนเบียนฟู มีการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงทางอากาศหนักถึง 203 ตัน นอกจากนั้น
ยังมีทหารอีก 3 กองพันตามมาสมทบรวมมีทหารทั้งสิ้น 4,445 นาย
ฉันเดินทางไปถึงเดียนเบียนฟูวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1954 ทันทีที่ไปถึงก็ทราบว่าเพิ่งเกิดอุบัติเหตุ
ร้ายแรงเนื่องจากเครื่องบินขับไล่ 2 ลำชนกันเองขณะร่อนลงจอด นักบินคนหนึ่งเสียชีวิตทันที
ส่วนอีกคนอาการโคม่า (กะโหลกศีรษะแตก) ผู้พันโกรแว็ง (Dr. Paul Grauwin) แพทย์ผู้บังคับ
การของเรือนพยาบาลเดียนเบียนฟูให้ส่งนักบินหนุ่มผู้นี้ไปรักษาที่ไซง่อนโดยด่วน
โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนสิงหาคม 2547/2004
โดย Geneviève de Galard ย่อและเพิ่มเติมจากวิกิพีเดียโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ฉันชื่อ เยเนอวีแอฟ (Geneviève de Galard) เกิดที่กรุงปารีส ค.ศ.1925 (ปัจจุบันอายุ 96 ปี)
หลังจากคุณพ่อจากไปขณะที่ฉันมีอายุเพียง 9 ขวบ ชีวิตฉันเริ่มผจญวิบากกรรมเมื่อเกิด
สงครามโลกครั้งที่ 2 (เยอรมันผนวกออสเตรีย 1 มีนาคม 1938) ปลายปี 1939 ครอบครัว
เราย้ายไปทางใต้ที่บ้านของลุงที่เมืองตูลูส (Toulouse) เพื่อหนีการทิ้งระเบิดในปารีส ระหว่าง
สงครามโลก แทบทุกครอบครัวทั่วประเทศมีชีวิตที่ยากลำบากมาก โดยเฉพาะความหิวโหย
และความหนาวเหน็บ
กลางปี 1943 เรากลับไปที่ปารีส เราวิ่งลงหลุมหลบภัยทันทีที่ได้ยินเสียงหวอเตือนภัยทาง
อากาศ ยามท้องฟ้าปลอดเครื่องบินทิ้งระเบิด ฉันจะขี่จักรยานไปเรียนภาษาอังกฤษหรือไม่ก็
ไปทำงานที่สถานีอนามัยแผนกเด็กอ่อนเพื่อจะได้มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิต
หลังวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 (เยอรมันยอมแพ้ : 29 เมษายน 1945) สภาพสังคมเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ขณะนั้นฉันมีประกาศนียบัตรด้านภาษาอังกฤษ และเรียนต่อด้านผู้ช่วยพยาบาล
และสังคมจนได้เป็นพยาบาลวิชาชีพ จากนั้นก็สมัครเป็นทหารในหน่วยพยาบาลสนับสนุนทาง
อากาศซึ่งมีเส้นทางบินประจำคือทวีปแอฟริกาและอินโดจีน ภารกิจคือการขนย้ายครอบครัว
ของทหาร อพยพทหารที่บาดเจ็บและป่วยไข้
ผู้สมัครทุกคนต้องผ่านสอบคัดเลือก และรับการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอยู่หลายเดือน
งานของฉันส่วนใหญ่อยู่ที่อินโดจีน (สมัยนั้นยังไม่เรียกว่า “เวียดนาม”) ฉันไปอินโดจีนครั้งแรก
ในเดือนเมษายน 1953 และประจำอยู่ 3 เดือน ปฏิบัติการส่วนใหญ่ของหน่วยจะอยู่บริเวณ
เมืองนาสานซึ่งอยู่ทางตะวันตกของฮานอย ขณะอยู่บนเครื่องบินทหารซึ่งไม่มีระบบปรับความ
กดดันอากาศใด ๆ จึงต้องให้ออกซิเจนแก่คนเจ็บทุกคนและคอยวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ
หลังปฏิบัติงานอย่างโชกโชนที่อินโดจีนครบ 3 เดือน ฉันก็ถูกส่งตัวไปแอลจีเรียอีก 2 เดือน
ฉันกลับไปอินโดจีนอีกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1954 สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นจนเข้าขั้นวิกฤต
ก่อนหน้านั้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1953 พลเอกอังรี ‘Henri Navarre’ สั่งให้ยึดเดียนเบียนฟูซึ่ง
อยู่ใกล้ชายแดนประเทศลาวและอยู่ห่างจากฮานอยทางทิศตะวันตกราว 300 กิโลเมตร
เดียนเบียนฟูมีสภาพเป็นหุบเขายาว 18 กิโลเมตร และกว้าง 7 กิโลเมตร ตรงกลางเป็นนาข้าว
และมีแม่น้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ภูมิประเทศที่ซับซ้อนนี้ทำให้การบินขึ้นลงเป็นไปอย่าง
ยากลำบาก
ภายใน 3 วันต่อมา ทหารพลร่มฝรั่งเศส 3 กองทัพพร้อมด้วยปืนใหญ่ 75 กระบอกกระโดดลงที่
เดียนเบียนฟู มีการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงทางอากาศหนักถึง 203 ตัน นอกจากนั้น
ยังมีทหารอีก 3 กองพันตามมาสมทบรวมมีทหารทั้งสิ้น 4,445 นาย
ฉันเดินทางไปถึงเดียนเบียนฟูวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1954 ทันทีที่ไปถึงก็ทราบว่าเพิ่งเกิดอุบัติเหตุ
ร้ายแรงเนื่องจากเครื่องบินขับไล่ 2 ลำชนกันเองขณะร่อนลงจอด นักบินคนหนึ่งเสียชีวิตทันที
ส่วนอีกคนอาการโคม่า (กะโหลกศีรษะแตก) ผู้พันโกรแว็ง (Dr. Paul Grauwin) แพทย์ผู้บังคับ
การของเรือนพยาบาลเดียนเบียนฟูให้ส่งนักบินหนุ่มผู้นี้ไปรักษาที่ไซง่อนโดยด่วน
โปรดติดตามตอนที่ (2) ในวันพรุ่งนี้