บุรุษหัวใจสิงห์

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 09, 2021 7:51 pm

บุรุษหัวใจสิงห์

มีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง ชื่อ ซีนก่าย ( Zenkai ) สืบเชื้อสายของซามูไร
แต่ไปเกิดอยู่ถิ่นบ้านนอก พอเข้าวัยหนุ่มพ่อแม่จึงส่งเข้าไปอาศัยอยู่กับขุนนาง
ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในกรุงเอโดะ คือโตเกียวในปัจจุบัน ในฐานะเป็นเด็กรับใช้อยู่
ในคฤหาสน์
ต่อมาหนุ่มซีนก่ายเป็นเด็กหน้าตาดี ทำงานเก่ง เฉลียวฉลาดว่องไว จึงได้เข้าไป
รับใช้ใกล้ชิดประจำตัวท่านขุนนาง อยู่มาไม่นานภรรยาของขุนนางได้ลอบเป็นชู้
กับซีนก่าย จนคืนหนึ่งขุนนางผู้นั้นจับได้ จึงกระชากดาบซามูไรที่แขวนไขว้อยู่ที่ฝา
หมายจะสังหารซีนก่าย ซีนก่ายเห็นจวนตัว ก็เอาเก้าอี้ และสิ่งที่ใกล้ตัว ป้องปัดรับ
ดาบไว้ พลางถอยไปรอบๆห้อง พอดี คุณนายผู้เป็นตัวการได้ตัดสินใจชักดาบที่
แขวนข้างฝาอีกเล่มหนึ่งมาแทงขุนนาง เมื่อเห็นท่านขุนนางตายแล้ว คุณนายก็สั่ง
ให้ซีนก่าย รีบหนีออกจากบ้านไปพร้อมกันในตอนดึกคืนนั้นเองหลังจากนั้นชีวิตก็
เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซีนก่ายที่หมายมั่นจะมาสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่ได้มา
อยู่ในฐานะสามีของคุณนายที่ต้องอยู่กันอย่างหลบๆซ่อนๆ ทีแรกก็พอจะมีสิ่งของ
แลกเปลี่ยนซื้ออาหารการกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะจับจ่าย จะไปทำงานทำ
การก็ไม่สามารถแสดงตัวต่อสังคมได้ ต้องจำใจลักขโมยเขากิน ตอนต้นก็นึกว่าพอ
ทนทำไปได้ เพราะเห็นแก่ความสุขในการได้เป็นผัวเป็นเมียกัน พอนานวันเข้า
ซีนก่ายเกิดมีความคิดขึ้นว่า แม้ตนจะตั้งความปรารถนาดีมาตั้งแต่บ้านว่าจะเข้ากรุง
เพื่อหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต แต่เป็นเพราะตนทนต่อสิ่งยั่วยวนไม่ได้
วิถีชีวิตจึงต้องพังทลายเพราะตนตกอยู่ในอำนาจของกิเลส มีทางเดียวคือต้องรีบ
เปลี่ยนแปลงตนเอง พอคิดได้ดังนั้นก็จึงหลบหนีภรรยา เดินทางจากไปให้ไกลที่สุด
สู่อำเภอบ้านนอกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดบูเส็น หัวเมืองทางฝ่ายใต้ โดยได้เข้าอาศัย
เป็นลูกศิษย์พระในวัดแห่งหนึ่ง ไม่นานก็ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา

เมื่อมาได้ความเป็นอิสระแล้วก็ทำให้พระซีนก่ายอยากทำความดีเพื่อไถ่ถอนกรรม
ในอดีต ในถิ่นที่ท่านบวชอยู่นั้นชาวบ้านยากจนข้นแค้น เป็นอำเภอเล็กๆ ไปมาติดต่อ
กับตัวจังหวัดเพียงทางเท้าเล็กๆ ที่ต้องค่อยเดินเรียงหนึ่ง เลียบหน้าผาของภูเขาสูง
ที่ขวางกั้นอำเภอกับตัวจังหวัด ถ้าวันไหนฝนตก ฟ้าร้อง หิมะตก หรือลมแรง ก็ไปมา
ไม่ได้ แต่ละปีมีคนข้ามคนพลัดลื่น หล่นจากชะง่อนผาสูงลงไปตายแล้วหลายคน
โดยไม่มีใครคิดแก้ไขแต่ประการใด หากใครอยู่ทางกิ่งอำเภอหลังเขานี้แล้ว ก็จะ
ต้องอดอยากลำเค็ญ ชาวบ้านเพาะปลูกอะไร เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมือง
ไม่สะดวก เพราะนำไปนำมาไม่ได้มาก แม้มีใครเจ็บป่วยลง บางทีก็ต้องปล่อยให้ตายไป
เพราะไม่สามารถจะพากันหามคนไข้คนเจ็บไต่ไหล่เขาข้ามไปยังตัวจังหวัดได้ พระซีนก่าย
เห็นว่ามีทางเดียว คือเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ครั้นจะพูด
เรื่องนี้กับใครก็คงไม่มีใครเขาเห็นด้วย ความคิดอย่างนี้ มันคิดได้ แต่ใครจะทำ ฉะนั้น
ท่านจึงตัดสินใจเริ่มสกัดหิน เริ่มงานมันคนเดียวโดยไม่คำนึงว่าภูเขาที่เขาไปนั่งสกัดที
ละสะเก็ดๆอยู่นั้น มันตระหง่านสูงค้ำฟ้าเพียงไร

พระซีนก่าย ใช้เวลาตอนเช้าออกบิณฑบาต เวลานอกนั้น อุทิศให้แก่การเจาะหินที่ภูเขานั้น
ทั้งหมด เมื่อมันเหนื่อยก็พัก มีเรี่ยวแรงคืนมาก็ทำต่อ เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะค่ำจะมืด นานๆครั้ง
จะมีคนผ่านมาทางนั้น คนพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ถามว่าท่านจะสร้างถ้ำหรือจะสร้างวัด
แล้วต่างก็มองตากันอย่างไม่ไว้ใจว่า พระรูปนี้ สติยังบริบูรณ์อยู่หรือ ดูไม่มีความหมายอะไร
มากไปกว่าท่านทำเพราะไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง

วันเวลาได้ผ่านไปนานถึง 30 ปี พระซีนก่ายที่เคยนั่งสกัดหินมาตั้งแต่ยังหนุ่ม บัดนี้ก็ยังคงนั่ง
สกัดเอา สกัดเอา ไม่ลดละ แม้ท่านจะมีอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายของท่านก็ยังรับใช้จิตใจที่บึกบึน
แข็งกว่าหินได้เป็นอย่างดี ไม่มีใครรู้ว่าท่านเอาน้ำอดน้ำทนมาจากไหน เอาเรี่ยวแรง เอากำลังใจ
มาจากไหน นอกจากตัวท่านเอง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้จึงทำให้จังหวัดบูเส็น( Buzen ) ที่ท่าน
เลือกเอาเป็นถิ่นปฏิบัติธรรมของท่านได้มีอุโมงค์เจาะลอดภูเขาใหญ่เชื่อมการคมนาคมติดต่อ
ระหว่างกิ่งอำเภอ ที่ครั้งหนึ่งแสนจะทุรกันดารให้เปิดมาสู่ความเจริญในเมืองได้ ในปัจจุบันนี้
ใครได้ไปญี่ปุ่น ไปเมืองบูเส็น ก็ยังพบอุโมงค์อันมีประวัติ ที่เจาะด้วยแรงคน และเป็นแรงคน
ที่เกิดจากพลังธรรมะ อุโมงค์นี้สมัยแรก มีแนวคดไม่เกลี้ยงเกลาอยู่บ้าง บัดนี้เป็นอุโมงค์ที่มี
ขนาด กว้าง10 เมตร สูง 6 เมตร ทะลุภูเขายาวกว่า 750 เมตร

ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จใช้เดินถึงกันได้ สัก 2 ปีนั้นได้มีชายคนหนึ่งร่อนเร่มาจากเมืองกรุง
ปรากฏภายหลังว่าเป็นบุตรชายของท่านขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป ชายหนุ่มคนนี้ขณะบิดาถูกฆ่า
เขายังเล็กอยู่ พอโตขึ้นก็ผูกใจเจ็บ เที่ยวถามติดตามมาหลายปี พร้อมกับหัดเป็นนักดาบมาอย่าง
ช่ำชอง พอเก่งแล้ว ก็จะเข้าเอาชีวิตเพื่อล้างแค้นให้พ่อ แต่ยังมีติดขัดอยู่ว่า มาเห็นคนฆ่าพ่อของเขา
บัดนี้ห่มจีวรพระแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการฆ่าผิดตัว จึงถามเอาตรงๆ พอพระซีนก่ายถูกถามเช่นนั้น
ก็รับว่าเป็นนายซีนก่ายที่เขาต้องการพบและต้องการฆ่า ท่านไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร
แต่พูดจาชี้แจงให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังว่า ท่านกำลังทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากหลาย
และจะสำเร็จอยู่แล้ว ขอผ่อนผันให้ท่านได้สกัดหินต่อไป เท่าที่ชายหนุ่มนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าเหลือ
เพียงเล็กน้อย เมื่อเสร็จงานในวันใด ท่านยอมใช้กรรม ให้ตัดศีรษะในวันนั้นทีเดียว ชายหนุ่มคน
นั้นก็ตกลง เพราะมองเห็นจริงๆ ว่าถ้าท่านไม่ทำต่อ งานชิ้นสำคัญต่อสังคมส่วนใหญ่นี้ ก็จะต้องเป็น
อันถูกยกเลิกไปเสีย

ทีแรกหนุ่มชาวกรุงก็ยังไม่วางใจนัก ว่าคนที่เคยฆ่าพ่อของตนจะไม่เป็นคนลอบทำร้ายตนก่อน
จึงต้องเหน็บดาบและมีดระแวดระวังตัวอยู่เสมอ และคอยเวียนไปที่อุโมงค์นั้นเสมอๆ เพื่อจะรู้ว่า
ท่านชิงหนีไปก่อน หรือท่านจะคอยถ่วงเวลา สกัดหินช้าๆ ให้เวลาเนิ่นนานไป เมื่อมีการไปพบหลาย
หนหลายครั้ง และเคยยืนดูท่านกำลังทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละทั้งคืนทั้งวัน ก็ทำให้รู้สึก
แปลกใจ นานเข้าก็มีการชวนท่านคุย และถามนั่นถามนี่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน หินของภูเขา
ก็ถูกสกัดกร่อนบางไปเรื่อยๆ หนุ่มลูกชายท่านขุนนาง เมื่อยืนเฝ้าดู จนเมื่อยแล้วก็เริ่มนั่งคุย
การได้สนทนากันจึงแน่ใจว่าท่านรู้สึกนึกคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอย่างไร เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร
ก็ลองสกัดหินช่วยพระซีนก่ายไปพลาง เรื่องเลยกลายเป็นได้ร่วมงาน ร่วมกิน ร่วมนอนด้วยกัน
ในอุโมงค์นั้นเอง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักทำงานโดยตั้งจิตไว้ในธรรมปฏิบัติ ตามแบบที่
พระซีนก่ายแนะให้ ทำไปทำไปโดยไม่หยุดยั้งเหมือนกัน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าขวบปีอย่าง
ไม่รู้สึกว่านาน ตลอดเวลา ชายหนุ่มได้เลียนลอกแบบเอาคุณธรรมที่ตนได้เห็น ได้ค้นพบ ที่เนื้อที่ตัว
ของพระซีนก่ายนั้นเอง ว่าพระรูปนี้ช่างเต็มไปด้วยบุคลิกภาพพิเศษและความเป็นผู้มีหัวใจสิงห์เหลือเกิน

ในที่สุด อุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ก็สำเร็จลุล่วง ผู้คนพากันมาดู และได้ใช้เป็นหนทางติดต่อกับตัวเมือง
ไม่ได้รับความยากลำบากที่จะต้องไต่ไปตามไหล่เขาชันอีกต่อไป พอเสร็จในวันนั้น พระซีนก่ายก็
เหลียวมายังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังมองดูความสำเร็จที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ท่านได้พูด
ขึ้นว่า เราตัดภูเขาแท่งทึบ เชื่อมให้คนติดต่อถึงกันได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่ คอที่ต่อศีรษะติดกับ
ร่างของฉัน ได้เวลาขาดออกจากกันตามสัญญาแล้ว พูดแล้วก็น้อมกายยื่นไปให้ชายหนุ่มลูกศิษย์
ของท่านโดยดี ชายหนุ่ม น้ำตานองหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองพนมไหว้ พลางกล่าวว่า
หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของบุคคลที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไร

จากหนังสือ เล่านิทานเซ็น เล่าเรื่องโดย อ.อภิปัญโญ เผยแพร่โดย ธรรมสภา

Cr..เจาะเวลาหาอดีต
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 09, 2021 11:04 pm

ขอให้อ่านครับ..อย่าพึ่งลบมัน..
(พยายามค่อยๆอ่านให้จบ แล้วคิดตาม จะเกิดประโยชน์กับตัวท่าน)

เช้าตื่นขึ้นมา ได้อ่านบทความ "เฉลียงชีวิต" ของ เปลว สีเงิน แล้ว เหมาะกับ
พี่ ป้า น้า อา มากๆ จึงอยากจะแชร์ ต่อ....

พ่อ-แม่ ยิ่งแก่ ยิ่งห่วง
ส่วนลูก ยิ่งโต ยิ่งห่าง

อย่าไปกังวลว่า ถ้าคุณจากไป อะไรจะเกิดขึ้น...

เพราะเมื่อกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว ใครเขาจะยกย่องชื่นชมหรือตำหนิประณาม
อย่างไร คุณจะไปรู้สึกรู้สาอะไรได้

ลูกของคุณเขาจะเป็นอย่างไร ก็อย่าเป็นห่วงให้มากนัก พวกเขาต่างก็มีจุดหมาย
และหนทางชีวิตของตนเอง ตายไปแล้ว...คุณก็ยังไม่เลิกเป็นทาสของลูกๆ อีกหรือ

อย่าคาดหวังอะไรมากจากเด็กๆ ต่อให้คุณชุบเลี้ยงใคร ไว้ดูแลคุณยามแก่เฒ่า
เขาก็ต้องวุ่นวายกับการงานและภาระผูกพันต่างๆ เกินกว่าจะมีเวลามาช่วยเหลือ
ดูแลอะไรคุณได้มากนัก

ส่วนลูกจริงๆ นั้นก็อาจจะกำลัง ทะเลาะกัน เพื่อแย่งทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ทั้งๆที่
คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

ดีขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะแค่แอบภาวนาให้คุณอย่าใช้เงินให้มาก และรีบจากไปเสียเร็วๆ
อย่างนี้ก็มีให้เห็นอยู่ถมไป

คุณไม่รู้หรอกหรือว่า..บรรดา ลูกๆ เขาถือว่าทรัพย์สมบัติของคุณเป็นสิทธิ์ขาดของเขา
ไปแล้ว คุณจึงไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรได้เลย ในเงินที่เป็นของเขา...

เข้าใจไหม?

คนอายุเกิน 50-60 อย่างคุณ ต้องเลิกเอาสุขภาพไปแลกกับความร่ำรวยได้แล้ว
มีเงินเท่าไร ก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่ได้

คุณตอบได้ไหม ว่าจะหยุดหาเงินเมื่อใด...เท่าไหร่คุณถึงจะบอกว่า พอแล้ว...
ร้อย พัน หมื่น ล้าน สิบล้าน...พอรึยัง ไม่ทราบ ?

ต่อให้คุณมีไร่นานับพันไร่ คุณก็กินข้าวได้แค่วันละสามจาน แม้นมีคฤหาสน์
นับพันหลัง คุณก็ต้องการพื้นที่หลับนอนยามค่ำคืนเพียงแปดตารางเมตร

ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ มีเงินพอใช้สอยได้
ทุกวัน เพียงเท่านี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว

อายุเท่านี้แล้ว คุณควรอยู่อย่างเป็นสุข ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตนเอง อย่ามัว
ไปคิดเปรียบเทียบ แก่งแย่งแข่งดีกัน ไม่ว่าชื่อเสียง ฐานะในสังคม หรือความก้าว
หน้าของเด็กๆ

สิ่งที่ควรจะแข่งกันทำกันจริงๆ นั้น คือแข่งกันมีความสุข แข่งกันมีสุขภาพดีและ
อายุยืนนาน ส่วนอะไร ที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้
ก็อย่าไปฝังอกฝังใจให้ป่วยการและทำลายสุขภาพตัวเองเลย อายุป่านนี้แล้วก็ยัง
เปลี่ยนมันไม่ได้เลย

หลัง ๖๐ แล้วอย่างนี้ คุณต้องค้นหาหนทางของคุณเองที่จะสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ดีๆ
และสุขสดใสขึ้นมาให้ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณอารมณ์ดี คิดถึงแต่สิ่งที่ทำ
ให้เป็นสุข ทำอะไรก็สุขสนุกกับมันอยู่ทุกวัน นั่นก็หมายความว่า คุณได้ผ่านวัน
เวลาอย่างเป็นสุขแล้ว

ทุกวันวานที่ผ่านไป คุณจะสูญเสียไป ๑ วัน แต่ถ้ามันผ่านไป
อย่างเป็นสุข วันนั้นคือกำไรชัดๆ เลย

จิตใจที่ดีจะช่วยรักษาโรคภัยได้ ถ้าจิตใจเป็นสุขโรคก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตใจ
ทั้งดี ทั้งเป็นสุขด้วยแล้วล่ะก็ ความเจ็บป่วยจะไม่มีทางมาแผ้วพานได้

ด้วยอารมณ์ที่ดีแจ่มใสอยู่เป็นนิจ ออกกำลังกายให้เพียงพอ อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ
กินอาหารให้ครบหมู่ ได้วิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ เพียงเท่านี้ก็เชื่อได้
แน่นอนว่า ชีวิตที่เป็นสุขอีก ๒๐ หรือ ๓๐ ปี จะเป็นของคุณแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใด...คุณต้องรู้จัก
บ่มเพาะและเก็บเกี่ยวความสุขดีๆ จากการได้อยู่ ได้เที่ยว ได้คุยกับเพื่อนๆ เพราะเขา
เหล่านี้จะช่วยให้คุณ รู้สึกเยาว์วัยและมีความหมายอยู่เสมอ ขาดพวกเขาเมื่อใด...
คุณจะต้องรู้สึกสูญเสียอย่างแน่นอน

อ่านแล้วเห็น "เฉลียงชีวิต" ในวัยชรากันบ้างมั้ย?

ก็ต้องขอบคุณทั้งเจ้าของความคิด ผู้เผยแพร่ และทั้งผู้ส่งให้อ่าน ก็อยากบอกว่า
อายุเรา เลือกไม่ได้ก็จริง แต่ชีวิตแต่ละช่วงชีวิต เราเลือกได้

เปลว สีเงิน
อ่านแล้วดี รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชย์เลยฝากให้ผู้ที่จะ 50-60 และเลย 60 ไปแล้ว..!

แนวทางปฏิบัติ
#1แชร์=1ธรรมทาน แชร์เยอะๆ ได้บุญครับ
โปรดทราบ!


ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละ
อย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะครับ

:s023: :s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2022 10:27 pm

“พ่อใคร”

เดินเล่น
...
หญิงสาวนางหนึ่งขัดใจพ่อแต่งงานกับหนุ่มในหมู่บ้าน
ไม่นาน ชายหนุ่มก็ออกลาย ทิ้งเธอและลูกน้อยไปอยู่กินกับสาวคนใหม่
เมื่อสามีตีจาก เธอและลูกน้องก็ตกที่นั่งลำบาก
แม่ผู้อาทรบอกกับลูกสาวว่า
"พ่อของลูกมักจะออกมาเดินเล่นช่วง ๖ โมงเย็น พาหลานมากินข้าวที่บ้านแม่นะลูก"
หญิงสาวจึงมักพาลูกชายกลับบ้านแม่ช่วงที่พ่อออกไปเดินเล่นอยู่เสมอ
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากพาลูกมากินข้าว ตอนขากลับฝนเกิดตก พ่อลูกเผชิญหน้ากัน
กลางทาง เธอรู้สึกอับอายพ่อเป็นอย่างยิ่ง มองหน้าพ่อแล้วก็ร้องไห้
"เด็กโง่ วันหลังจะพาลูกกลับมากินข้าวก็ไม่ต้องแอบๆซ่อนๆล่ะ ดูสิ เพราะแกพ่อ
ต้องออกมา เดินเล่นทุกวันเลย"เธอฟังเสร็จก็โผเข้าไปกอดพ่อแน่น
~~~
ย้อมผม
...
วันนั้น หลังจากพวกเรากลับจากทำงาน ก็เห็นพ่อนั่งโกรกผมให้ตัวเองอยู่
"พ่ออายุปาจะ ๖๐ แล้วนะ จะย้อมผมไปอีกทำไม หรือพ่อแอบไปมีสาวนอกบ้าน"
ฉันถามพ่อแบบหยอกๆ
"พรุ่งนี้พ่อจะกลับไปเยี่ยมย่าแกที่บ้านนอก เวลาย่าเห็นพ่อผมดำอยู่ ย่าก็จะรู้สึกว่าพ่อยังหนุ่มอยู่
ส่วนย่าก็จะได้ไม่รู้สึกว่าแก่เกินไปนะสิ"
~~~
จอมยุทธ
...
"ลูกว่าพ่อบึกบึนไหม?" พ่อถามลูกชาย
"อื่อ" ลูกชายตอบ
"ลูกว่าพระเส้าหลินนี่เก่งไหม" พ่อถามต่อ
"เก่งสิพ่อ จอมยุทธทั้งนั้นเลย" ลูกชายตอบ
"งั้นพรุ่งนี้พ่อจะไปโกนหัวเรียนวิชาเส้าหลินนะ" พ่อถาม
"เอาสิครับพ่อ" ลูกชายตบมือแล้วกระโดดขี่คอพ่อ
วันรุ่งขึ้น พอเด็กชายเห็นพ่อโกนหัวเหมือนพระเส้าหลิน จึงกระโดดไป
กอดพ่อพร้อม บอกพ่อว่า "สู้ๆนะครับพ่อ พ่อต้องเป็นจอมยุทธที่เก่งแน่ๆ"
วันนั้น เป็นวันที่พ่อของเด็กน้อยต้องรับคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
~~~
ข้างกำแพง
...
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ติดเกมส์จนต้องปีนหอพักของโรงเรียนเพื่อไปร้านเกมส์
แต่ค่ำวันหนึ่ง ที่เขาปีนกำแพง ก็ต้องชะงักงันอยู่กับที่ จากนั้นก็ปีนรั้วกลับเข้าหอพักไป
จากนั้นเป็นต้นมา เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ตั้งใจเรียน เพื่อนๆต่างก็ร่ำลือกันว่าค่ำนั้นเขาเจอผี
หลังจากนั้นเขาก็สอบติดมหาลัยมีชื่อ เพื่อนๆถามเขาว่าทำไมเขาจึงตั้งใจเรียน
เพราะค่ำนั้นเจอผีใช่หรือเปล่า? เขาก้มหน้าอย่างละอายแล้วเอ่ยว่า
"วันนั้นพ่อกูเอาเงินค่าเทอมมาให้ พ่อกูไม่ยอมพักโรงแรม แกนั่งหลับอยู่ที่ข้างกำแพง
โรงเรียนทั้งคืน ตรงที่กูปีนนั่นแหละ"
~~~
นุสนธิ์บุคส์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2022 3:38 pm

มีหลายสาเหตุที่ทำให้เราไม่รู้จักใช้ “ความแข็งแรงในใจ”ให้เป็นประโยชน์ –
เราอาจถูกเลี้ยงดูมาให้อ่อนแอ ต้องพึ่งพาคนอื่นเสมอ หรือเราอาจถูกสอนมาให้ยึดแต่หลัก
คิดเดิม ๆ ไม่รู้จักปรับเปลี่ยนวิธีการรับมือกับปัญหา – เมื่อเจอกำแพง - ใจก็ยอมยกมือยอม
แพ้เสียแล้ว คิดว่าเป็นทางตัน ไม่มีทางฝ่าข้ามไปได้ เพราะความคิดภายในกำหนดไว้ล่วงหน้า
แล้วว่ากำแพงคือภูผาใหญ่!
.
ครั้งหนึ่ง ผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้น- - เมื่อตอนที่ผมเพิ่งเรียนจบและทำงานที่อเมริกาใหม่ ๆ
ประสบการณ์ยังอ่อนด้อยนัก เมื่อเจอปัญหา ก็แก้ด้วยวิธีเดิม ๆ ถ้าไม่สำเร็จ ก็ถือว่าจบกัน
ถึงทางตันแล้ว – ดอม เพื่อนร่วมงานอาวุโสคอยเตือนสติเสมอ เขาเคยถามให้ผมคิดว่า

“เวลานายหิวกาแฟ นายเปิดฝากระป๋องกาแฟอย่างไร”
“ใช้ปลายช้อนแงะฝาสิ” ผมตอบ
“แล้วถ้าไม่มีช้อน”
“ใช้เหรียญแทนก็ได้”
“ถ้าไม่มีเหรียญล่ะ”
“ใช้กุญแจ” ผมยิ้ม ตอบอย่างไม่จนมุม “หรือใช้ไขควงปากแบน โอ้ย เยอะแยะไปหมด”
“นั่นสินะ...” ดอมยิ้มกริ่มบ้าง
“วิธีแก้ปัญหา ก็มีมากมายพอ ๆ กับวิธีเปิดฝากระป๋องกาแฟของนายนั่นแหละ”
.
อีกครั้งหนึ่ง, ผมเคยไปช่วยแมรี่ – เพื่อนนักดูนกวัย 80 - ทาสีผนังที่บ้านของเธอ พื้นที่ไม่กว้าง
มากมาย แค่ประมาณ 4-5 ตารางเมตร ดูเหมือนจะเป็นงานง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นานนัก ปาดไป
มา 2-3 ที ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย แต่เธอกลับขนเครื่องไม้เครื่องมือออกมามากมาย เฉพาะ
แปรงทาสีอย่างเดียว เธอก็ยังมีอีกหลากชนิด ต่างขนาดให้เลือกใช้ ช่างทาสี (มือไม่อาชีพ)
อย่างผมถึงกับงง!

“ทำไมเครื่องมือเยอะแยะอย่างนี้ล่ะ?”
“ก็ถ้าแปรงอันไหน ไม่เหมาะกับพื้นที่ เราก็จะได้เลือกใช้แปรงแบบอื่นไง... อย่างพื้นที่กว้าง ๆ
ตรงนี้ เธอใช้แปรงลูกกลิ้ง แต่พอถึงมุม ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแปรงธรรมดาขนาดนี้”
เธอชี้ไปที่กองแปรงทาสีของเธอ
“ถ้าตรงซอกท่อแคบ ๆ ใช้แปรงอันเล็กสุดนี้น่าจะได้”
การทาสีครั้งนั้น ทำให้ผมเรียนรู้ว่า “เมื่อจนมุม ต้องรู้จักเปลี่ยนเครื่องมือ!”
เช่นเดียวกับชีวิต เมื่อเจออุปสรรคปัญหา อย่าจนมุม! หากแก้ด้วยวิธีหนึ่งไม่ได้ ต้องรู้จักลอง
ปรับเปลี่ยนใช้วิธีอื่นดูบ้าง- -
.
สถาปนิกคนหนึ่ง ปกติจะใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบบ้านให้ลูกค้าดู วันหนึ่ง โปรแกรมที่
ใช้ในการเขียนแบบเกิดขัดข้อง ไม่มีเวลาแก้ไขหาสาเหตุ เขาต้องรีบส่งงานเสนอลูกค้าในเช้า
วันรุ่งขึ้น “จะแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนนัดกับลูกค้าดีไหม?” เขาคิดในใจ แต่อีกวูบหนึ่งก็คัดค้าน
เสียงแข็ง ขืนทำอย่างนั้น เขาต้องสูญสิ้นความเชื่อถือจากลูกค้ารายนี้แน่ และอาจสูญเสียไป
ตลอดกาล...

ขณะที่กำลังคิดตัดสินใจ - เขาเหลือบไปเห็นดินสอสีไม้ของลูกชายวางเกลื่อนโต๊ะที่ห้องนั่งเล่น
– เขาได้ไอเดียทันที!
.
เขาใช้เวลา 3 ชั่วโมงในคืนนั้น เขียนแบบด้วยสีน้ำผสมกับสีไม้ของลูกชาย กลายเป็นแบบที่
สวยงามมีเสน่ห์ราวภาพวาด แตกต่างจากแบบแปลนทั่วไปที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์อย่างไร้ชีวิตชีวา
เมื่อส่งงานในเช้าวันรุ่งขึ้น ลูกค้าประทับใจมาก ทุกคนต่างชื่นชมหลงใหลกับสีสันที่ดูแปลกตานั้น
และตอบตกลงทันที!
.
หลายครั้ง ที่เราแก้ปัญหาไม่ได้ เป็นเพราะเรา'ติดกับ'ในกรอบความคิดเดิม ๆ เรายึดติดกับกฎเกณฑ์
เก่า ๆ – เราไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องมือ!
.
“จริง ๆ แล้ว เราทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณในการปรับเปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาโดยอัตโนมัตินะ”
ดอมเอ่ยขึ้น ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
“เป็นยังไง” เพื่อนอีกคนไม่เข้าใจ
“ก็สังเกตดูสิ เวลายุงมาเกาะที่แขน เรามักจะตบทันที... แต่ถ้ายุงบินมาตอมบริเวณใบหน้า
หรือเกาะที่แก้ม ที่จมูก นายจะใช้วิธีเดิม ตบลงไปที่หน้ามั้ย?”
“อืมม... คงไม่”
“เห็นไหม สัญชาตญาณจะบอกเราทันที ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีปัดแทน”
ดอมหัวเราะชอบใจ
.
จริงของเขา! ฉะนั้น เราควรต้องฝึกฝนสัญชาตญาณที่มีติดตัวไว้แล้วนั้นให้เป็นนิสัย เพื่อนำมาใ
ช้แก้ปัญหาทุกเรื่องในชีวิต!
.
อย่าปล่อยให้ความคิดที่ว่า ‘ทางตัน’ เกิดขึ้น เมื่อเห็นกำแพงขวางกั้นตรงหน้า อย่าปล่อยให้อะไร
มาล้อมกรอบความคิดแล้วบอกเราว่า ไปต่อไม่ได้... เพราะถ้ายอมให้สิ่งเหล่านั้นมาครอบคลุมใจ
ตัวเราเองจะกลายเป็นอีกหนึ่งกำแพงแห่งอุปสรรคปัญหาทันที!
.
กำแพงข้างหน้านั้นใหญ่โตพอแล้ว อย่าริสร้างสร้างกำแพงภายในที่มองไม่เห็นขึ้นมาอีกชั้น
ซึ่งจะทำลายได้ยากยิ่งกว่า...
.
ปะการัง
.

[ คัด/ตัดต่อบางส่วนจากหนังสือ #ถ้าใจเราใกล้อะไรก็ไม่ไกล โดย #ปะการัง ]
ภาพ : แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2022 3:54 pm

เด็กหนุ่มดีกรีเกียรตินิยมเข้าไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขาผ่าน
การสอบสัมภาษณ์ในรอบแรกแล้ว เหลือแต่สอบสัมภาษณ์กับผู้จัดการใหญ่อีกหนึ่งด่าน
เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้อ่านประวัติของเด็กหนุ่ม ก็ต้องประหลาดใจ เพราะเด็กคนนี้มีประวัติการ
เรียนที่ดีมาก เขาได้อันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่มัธยมจนถึงปริญญาโท
ผู้จัดการใหญ่ถามเด็กหนุ่มว่า
“คุณได้รับทุนเรียนฟรีหรือเปลา?”
“เปล่าครับ!” เด็กหนุ่มตอบ
“พ่อของคุณเป็นคนจ่ายค่าเทอมให้ใช่หรือเปล่า?” ผู้จัดการใหญ่ถาม
“พ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเศษ แม่ผมต่างหากที่เป็นคนจ่ายท่าเทอม” เด็กหนุ่มบอก
“แม่ของคุณทำงานในบริษัทอะไรถึงมีรายได้ส่งเสียคุณเรียนสูงขนาดนี้?” ผู้จัดการใหญ่ถามต่อ
“แม่ผมรับจ้างซักผ้าครับ” เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้ฟัง ก็ขอให้เขายื่นมือทั้ง2ข้างออกมา จึงเห็นมือที่
สะอาดสะอ้านของเด็กหนุ่มคนนั้น
“คุณเคยซักผ้าให้แม่ของคุณหรือเปล่า?”
“ไม่เคยครับ! แม่บอกให้ผมตั้งใจเรียน และแม่ผมก็ซักผ้าได้เร็วกว่าผมมาก!” ผู้จัดการใหญ่จึง
บอกแก่เด็กหนุ่มว่า
“ผมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง วันนี้เมื่อคุณกลับถึงบ้าน ขอให้คุณล้างมือให้แม่ของคุณสักครั้ง แล้วพรุ่งนี้
ค่อยกลับมาหาผม” เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพรุ่งนี้เขาจะได้งานที่ดีทำแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการซักผ้ากองโต ซึ่งเป็นภาพที่ชินตา เขาเอ่ยขอล้างมือ
ให้แม่ ผู้เป็นแม่รู้สึกกระดากใจแต่ก็ยื่นสองมือให้ลูกล้าง
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นมือของแม่ก็รู้สึกตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมือของแม่ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของ
บาดแผล เขาก้มหน้าและจับมือของแม่ไว้แน่น พลันน้ำตาก็หยดลงมา เมื่อเขาเอามือของแม่จุ่มลงไป
ในถังน้ำ แม่ก็สะดุ้งชักมือขึ้นไปจังหวะหนึ่ง เมื่อเขาพิจารณาดู ก็เห็นมือของแม่มีบาดแผลอยู่หนึ่งที่
ที่ยังไม่หายสนิท แม่ใช้มือที่เต็มไปด้วยรอยแผลนี้รับจ้างซักเสื้อผ้าส่งเสียเขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
เพราะสองมือของแม่นี้ที่ทำให้เขาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
เมื่อเขาล้างมือให้แม่เสร็จ เขาก็ทำการซักเสื้อผ้ากองโตของลูกค้าแทนแม่
ค่ำวันนั้น สองแม่ลูกต่างย้อนอดีตเรื่องราวเรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกนำมาพูดคุยกันเป็นเวลานาน
วันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มก็เดินทางไปพบผู้จัดการใหญ่ตามที่นัดไว้
เมื่อผู้จัดการใหญ่เห็นดวงตาที่บวมปูดของเด็กหนุ่ม ก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
“ผมได้ล้างมือให้คุณแม่ และก็ได้ซักเสื้อผ้าของลูกค้าที่แม่ซักค้างไว้จนเสร็จ” เด็กหนุ่มตอบ
“เล่าความรู้สึกของคุณให้ผมฟังได้ไหม?”
เด็กหนุ่มตอบออกไปว่า
“1.ผมเข้าใจคำว่าสำนึกคุณ เพราะหากไม่มีแม่ ผมคงไม่มีวันนี้
2.เมื่อผมได้ทำงานของแม่ ผมจึงรู้ว่าแม่ลำบากเพียงใด
3.ผมรู้ว่าความรักความผูกพันในครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญและมันล้ำค่ามาก”
เมื่อผู้จัดการใหญ่ได้ฟัง ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ผมต้องการผู้จัดการที่รู้จักคุณคน เข้าใจความทุกข์ของคนอื่น ไม่ใช่คนที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า
ยินดีด้วย คุณคือผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทเรา ”
***
เด็กคนหนึ่ง หากถูกตามใจตั้งแต่เล็ก มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังเอาใจ อะไรๆก็ “หนูก่อน....”
โดยไม่รับรู้ว่าพ่อแม่ลำบากอย่างไร เมื่อเขาต้องไปทำงานในสังคม เขาก็คิดว่าเพื่อนร่วมงานต้อง
ฟังเขา เอาใจเขา คนประเภทนี้ แม้ผลการเรียนจะดีเยี่ยม แม้จะได้รับการเชิดชูว่าเป็นเด็กเรียนดี
แต่คนประเภทนี้ไม่อาจเจริญได้ในสังคม เขาจะอยู่กับคนอื่นอย่างไม่มีความสุข เขาจะมีแต่ความ
ล้มเหลว หากเป็นอย่างนี้ คุณเป็นพ่อแม่ที่รักลูกหรือทำร้ายลูกกันแน่?
คุณอาจตามใจลูกให้มีที่อยู่ดีๆ กินอาหารดีๆ มีของเล่นของใช้ดีๆ แต่ในเวลาที่คุณตัดหญ้าในสนาม
คุณควรให้ลูกเรียนรู้ที่จะเผชิญกับแดดอันร้อนระอุ หลังจากทานอาหารเสร็จ คุณควรให้ลูกได้ล้าง
ถ้วยชาม ไม่ใช่เพราะคุณไม่มีเงินจ้างคนงาน แต่เป็นเพราะคุณรักลูกของคุณนั่นเอง!

><
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 17, 2022 9:52 pm

"บุพเพสันนิวาส เนื้อคู่กันแล้ว ไม่แคล้วจากกัน"

"ในขณะที่ผมเดินกลับบ้าน" ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ผมพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง
ตกอยู่บนถนน , ผมเก็บขึ้นมาเปิดดู เผื่อว่าพอจะมีบัตรประชาชนที่สามารถเสาะหา
เพื่อคืนเจ้าของได้ ในนั้นยังพบว่า มีเงินอยู่3ดอลล่าและ จ.ม. เก่าๆที่ยับยู่ยี่อยู่อีก1ฉบับ
คิดว่าเจ้าของคงเก็บ จ.ม.นี้ใว้ในกระเป๋านานมากแล้ว ซองจ.ม.มีสภาพเปื่อยขาด "ที่สำคัญ"
ตัวหนังสือจ่าหน้าซองล้วนขาดเสียหายไป ผมถือวิสาสะเปิดอ่าน จ.ม.ฉบับนั้น พบว่าถูกเขียน
ขึ้นเมื่อ60ปีที่แล้ว จ.ม.นี้เขียนให้คนชื่อ"ไมเคิล" เนื้อความใน จ.ม.เกี่ยวพันกับผู้เขียนด้วย
, "จ.ม."เขียนว่าเพราะแม่ขัดขวาง จึงไม่สามารถไปพบกับ"ไมเคิล"ได้ จดหมายฉบับนี้เขียน
ไว้อย่างรันทด ตอนท้ายสุดเขียนว่า : "ฉันจะรักคุณตลอดไป" จาก"ฮันน่า" .......

"นอกจากชื่อผู้รับจ.ม.เท่านั้น"ที่ผมรู้ ข้อมูลอื่นๆไม่มีเลย ผมโทรไปสอบถามที่องค์การโทรศัพพ์
ขอร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ หาเบอร์โทรจากทะเบียนโทรศัพพ์กลาง หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่
ผู้รับสายได้ตรวจพบเบอร์โทรแล้ว แต่เธอไม่สามารถให้เบอร์ผมได้ แต่เธอได้ติดต่อให้ปลายทาง
โทร กลับมาหาผม ไม่นานนัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาหาผม เธอบอกผมว่า บ้านที่เธออาศัยอยู่นี้
ซื้อต่อมาจาก"พ่อ-แม่" ของ"ฮันน่า" แต่นั่นก็ผ่านมา30ปีแล้ว ได้ข่าวว่าเมื่อหลายปีก่อน "ฮันน่า"ได้ส่ง
"พ่อ-แม่"ของเธอไปอยู่บ้านพักคนชราที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอเท่าไหร่ ......

"ผม"โทรติดต่อไปที่บ้านพักคนชรา เลยได้ทราบข่าวว่าแม่ของ"ฮันน่า"เสียชีวิตไปแล้ว ส่วน"ฮันน่า"
ก็อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชราอีกแห่งหนึ่ง ผมกลับมาคิดๆดูอีกที นี่เราจะจุ้นมากไปหรือเปล่านะ ?
แค่จ.ม.เมื่อ60ปีก่อนฉบับเดียว ทำไมเราต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ "แต่"...สุดท้ายผมก็ยังคงโทรสอบถาม
ไปที่บ้านพักคนชรา ที่"ฮันน่า"อาศัยอยู่ และนี่ก็ดึกมากเกือบ4ทุ่มแล้ว ผมถามไปว่าจะให้ผมไปพบ
คุณ"ฮันน่า"ได้ไหม? ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบอนุญาตผม...."พอไปถึงที่นั่น", มี"รปภ
."คนหนึ่งกับ"พยาบาล"อีกคนหนึ่ง นำผมขึ้นไปที่ชั้น3 และอธิบายให้"ฮันน่า"ทราบจุดประสงค์
การมาของของผม.....

"ฮันน่า"เป็นหญิงชราที่ท่าทางใจดี ใบหน้าแฝงใว้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น , .... ผมเล่าเรื่องที่พบกระเป๋าเงิน
และขอให้"แม่เฒ่า"ช่วยไขข้อข้องใจเรื่องจ.ม. พอเห็นจ.ม.ฉบับนี้ นางสูดลมหายใจลึกๆแล้วเล่าว่า :
"นี่เป็นจ.ม.ฉบับสุดท้าย"ที่ฉันกับ "ไมเคิล" ติดต่อกัน นางกล่าวต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า : ฉันรักเขามาก...
เขาทั้งหล่อและแมนมาก , แต่ตอนนั้นฉันอายุแค่16ปีเท่านั้น แม่บอกว่าฉันยังเด็กมาก ดังนั้นเลยกีดกัน
เราทั้งสองอย่าเต็มที่ทุกรูปแบบ , ไมเคิลเป็นคนที่สุดยอดมาก "หากเธอหาเขาพบ "ช่วยบอกเขาด้วยว่า
ฉันคิดถึงเขามาก .. นางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง , แล้วพูดว่า : ช่วยบอกเขาด้วยว่า ฉันยังรักเขาอยู่ นางยิ้ม
ให้ผม แต่ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา, "นางกล่าวอีกว่า" : เธอรู้ไม๊ ? จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน
เพราะไม่มีใครเทียบกับ"ไมเคิล"ได้เลย .......

"ผม"นั่งสนทนากับ"ฮันน่า"พักใหญ่ก็ได้เวลาที่ต้องลากลับ ตอนเดินออกมา "เจ้าหน้าที่รปภ."ถามผมว่า
: แม่เฒ่าคนนั้นช่วยอะไรคุณได้บ้างไม๊ครับ ? ผมตอบว่า : อย่างน้อยผมก็รู้ชื่อนามสกุลเขาแล้ว แต่ผม
คิดว่าควรจะปล่อยมือเรื่องนี้ลงได้แล้ว แค่ต้องการหาเจ้าของกระเป๋าเงินใบนี้ ผมต้องเสียเวลาไปเป็นวันๆ
ผมล้วงกระเป๋าเงินใบนั้นออกมา เป็นกระเป๋าหนังสีเทาแดง พอเจ้าหน้าที่ รปภ.เห็นกระเป๋าใบนั้น
: "เดี๋ยวก่อน"! ....นี่มันกระเป๋าของ คุณ"โกสเตน"นี่นา ! เขาชอบทำกระเป๋าเงินหล่นหายบ่อยๆ
, "ผมถามเขาว่า" ใครคือ คุณ"โกสเตน"ครับ? เขาตอบว่า : "ไมเคิล โกสเตน"เขาพักอยู่บนชั้น8ที่นี่เอง
ผมแน่ใจว่าเป็นกระเป๋าเงินของเขาแน่....

"ผม"รีบเดินไปที่อ๊อฟฟิศพยาบาล เล่าเรื่องที่ รปภ.พูดเมื่อกี้นี้ให้ฟัง พร้อมกับขึ้นลีฟท์ไปที่ชั้น8 และ
ภาวนาว่าเขายังคงไม่ทันหลับ...ถึงชั้น8 , พยาบาลพูดว่า "ฉันคิดว่าเขา"น่าจะอยู่ที่ห้อง"บันเทิงรวม"
มากกว่า เขาเป็นคนรักการอ่านมาก เป็นคนแก่ที่ทันสมัยมากๆค่ะ ....พอเดินไปถึงที่ห้องบันเทิงก็เห็น
สุภาพบุรุษ สูงวัยคนหนึ่ง กำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ "พยาบาล"รีบเข้าไปถามว่า เขาทำกระเป๋า
เงินหล่น หายอีกแล้วใช่ไหม? "คุณโกสเตน" ตกใจเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นและล้วงในกระเป๋ากางเกง
: "อื่ม"หายไปจริงด้วย , "พยาบาล" บอกเขาว่า : หนุ่มใจดีคนนี้เก็บกระเป๋าเงินได้ใบหนึ่ง พวกเราเดาว่า
เป็นของคุณ เลยขึ้นมาถามดูค่ะ .....

"ผม"ส่งกระเป๋าเงินคืนให้คุณ"โกสเตน"... เขารับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ , หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ผิด
กระเป๋าของผมเองครับ น่าจะเป็นตอนบ่ายที่ผมทำหายไป , เขาพูดต่อว่า : ผมจะให้รางวัลคุณสักหน่อย
"ผมตอบว่า"ไม่ต้องหรอกครับ" ขอบคุณมาก , แต่ผมมีเรื่องหนึ่ง อยากถามคุณครับ , คือ จ.ม.
ในกระเป๋านะครับ ?... "รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา" พลันเหือดหายไปจนหมดสิ้น "เขาถาม" คุณอ่านจ.ม.
ฉบับนั้นแล้ว ? "ผมตอบว่า" ไม่เพียงอ่านเท่านั้น ผมยังรู้ว่า"ฮันน่า"อยู่ที่ไหน ! ...

"เขา"หน้าซีดเผือดลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด และถามว่า : "ฮันน่า"? เธอรู้หรือว่า"ฮันน่า"อยู่ที่ไหน ?
และตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ? เธอยังสวยเหมือนเมื่อก่อนไม๊ ? ช่วยบอกผมหน่อย ขอร้องละครับ ,.....
"ผมตอบเสียงเบาๆว่า"นางสบายดีและยังสวยเหมือนเดิม เหมือนตอนที่คุณรู้จักครั้งแรกเลยครับ
, "ผู้เฒ่า"ถามผมอย่างร้อนใจว่า : บอกผมหน่อยได้ไหมว่า เธออยู่ไหน ? ผมอยากติดต่อกับเธอ ...
เขาจับมือผมแน่นแล้วพูดว่า : "พ่อหนุ่ม" คุณรู้ไม๊ว่าผมรักเธอแค่ไหน ? ตอนผมได้รับจ.ม.จากเธอ
ผมรู้ทันทีว่า ชีวิตผมจบสิ้นแล้ว , จนบัดนี้ ผมยังไม่ได้แต่งงาน เพราะผมยังรักเธออยู่.....

"คำพูดของเขา" ทำให้ผมซาบซึ้งประทับใจยิ่งนัก "ผมพูดว่า : "คุณโกสเตน" เชิญตามผมมา....
.ผมพาเขาลงลีฟท์มาที่ชั้น3 .... "ฮันน่า"กำลังนั่งดูทีวีอยู่เพียงลำพัง "พยาบาล"เรียกเธอเบาๆ :
"ฮันน่า" คุณจำสุภาพบุรุษท่านนี้ได้ไหม ? ..."ฮันน่า"ขยับแว่นตาจ้องมองเขาสักครู่ใหญ่ "เงียบ"
ไม่มีเสียงจากเธอสักแอะ... "ไมเคิล"น้ำตาไหลพราก พูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล ว่า..."ฮันน่า"..
."นี่ผมไมเคิลเองนะ"!...เธอจำผมไม่ได้แล้วหรือ ?... เธอเหมือนตื่นจากภวังค์ : "ไมเคิล !
คุณเองหรือ ! ... "ไมเคิล" ของฉัน ! ...ฉันไม่อยากเชื่อเลย ! .... "ไมเคิลเดินเข้าไปหา"ฮันน่า"ช้าๆ
ทั้งคู่กอดกันแน่น เห็นภาพที่ซาบซึ้งนี้แล้ว ทำให้ผมและพยาบาล ต่างน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว....

"พระเจ้า"จะเป็นผู้จัดเตรียมให้ทุกอย่าง , ต่อให้ชีวิตผกผันไปสักแค่ไหน สุดท้ายก็กลับมาพบกัน
ได้อีกครั้ง...3สัปดาห์ต่อมา , ผมได้รับข่าวทางโทรศัพพ์จากบ้านพักคนชรา เป็นเสียงของ
"พยาบาลสาว"พูดว่า : "วันอาทิตย์นี้ "คุณพอจะมีเวลามาร่วมงานแต่งงานไม๊ ? "ไมเคิล กับ ฮันน่า"
จะแต่งงานกัน เป็นงานใหญ่นะคะ ผู้อยู่ในบ้านพักคนชราต่างจะมาร่วมงานกันทุกคน......

"ใบหน้าของคนทั้งคู่ เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข , "ส่วนผม"ก็รับหน้าที่เป็นเพื่อน
เจ้าบ่าวอย่างเต็มภาคภูมิ... "เจ้าบ่าว"79 กับ"เจ้าสาว"76 ..."ในที่สุด"ก็ได้พบกับความสุข สมหวัง
หลังจากผ่านเวลาไปนานถึง60ปี.....

"เชกสเปียร์"เคยพูดใว้ว่า...
กาลเวลา สำหรับผู้ที่รอคอยนั้น....ช้ามาก ,
กาลเวลา สำหรับผู้หวาดกลัวนั้น..เร็วมาก ,
กาลเวลา สำหรับผู้โศกเศร้านั้น...นานมาก,
กาลเวลา สำหรับผู้เฉลิมฉลองนั้น..สั้นมาก,
** แต่สำหรับคนรักกันนั้น....กาลเวลาคือนิรันดร **

BL 美丽日报 หมุยหลีหยิกป่อ...

แปล และเรียบเรียงโดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎
เรื่องแปล... จาก 美丽日报,Beauties of Life.... 9/2/2019
Cr:Ramet Tanawangsri
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 01, 2022 5:17 pm

เรื่องราวดีๆ

ในปี 1983 ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย Westfield ได้จัดการวิ่งแข่งขัน
ระยะไกล อัลตรามาราธอน ระยะทาง 875 กิโลเมตร โดยเริ่มต้นจากเมืองซิดนีย์ไปยังเมลเบิร์น
ด้วยระยะทางขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยว่า นี่เป็นหนึ่งในรายการวิ่งที่โหดที่สุดในโลก พร้อมกับตั้ง
เงินรางวัลชนะเลิศไว้สูงลิบ ล่อตาล่อใจนักวิ่งระดับโลกให้เข้ามาแข่งขัน

Cliff Young ชาวนาเจ้าของไร่มันและฟาร์มแกะ นึกสนุกอยากจะลงแข่งขันในรายการนี้ด้วย
แต่ปัญหาคือ แกไม่เคยวิ่งแข่งขันรายการใดๆ มาก่อน และก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร และที่สำคัญ
คือแกอายุอานามปาเข้าไป 61ปีแล้ว

ชายวัยเกษียณไปสมัครวิ่งแข่งรายการใหญ่นี้ โดยไม่มีสปอนเซอร์ ด้วยความงุนงงสงสัยในอวัยวะ
ที่ใช้คิด ทีมผู้จัดงาน พยายามสอบถามเพื่อเรียกสติสัมปะชัญญะของผู้สมัครหน้าเหี่ยวที่ยืนอยู่
ตรงหน้า พลางหยิบยกเหตุผลด้านสุขภาพและเรื่องราวอัปมงคลที่อาจเกิดขึ้นได้ มาหว่านล้อมให้
ลุงเปลี่ยนใจ แต่แกยืนยันว่า แกไม่ได้เสียสติอะไร พร้อมกับเล่าว่า แกยังวิ่งไล่ฝูงแกะ 2,000 ตัว
ในฟาร์มขนาด 2,000 เอเคอร์ของแก อยู่เป็นประจำ หลังจากทนความรั้นของลุง Young ไม่ไหว
ทีมงานเลยจำใจให้แกลงแข่งตามต้องการ

ท่ามกลางนักวิ่งปอดเหล็กระดับโลกรุ่นลูก ใส่เสื้อกล้ามสปอนเซอร์จัดเต็ม พร้อมกางเกงขาสั้นโชว์
ปลีน่องที่พกพาความฟิตมาเต็มพิกัด ส่วนลุง Young ลงแข่งในชุดทำงานในฟาร์ม พร้อมกางเกง
ขายาวที่ตัดเป็นรูแบบ manual เพื่อระบายอากาศ ด้วยความรอบคอบ ก่อนวิ่งแกถอดฟันปลอมออก
ด้วยรำคาญที่มันชอบกระทบกันเวลาวิ่ง พอออกสตาร์ท ทุกอย่างก็เป็นไปดังคาด แกโดนทิ้งห่างจาก
ผู้แข่งทั้งหมดแบบไม่เห็นฝุ่น ท่าวิ่งเหยาะแหยะ พร้อมแขนห้อยสองข้างราวกับคนป่วยไม่มีแรงของ
แกนั้น ยิ่งสร้างความตลกขบขันให้กับผู้คน

ตอนนี้ เสียงของผู้ชมเริ่มแตกออกเป็นหลายฝ่าย
*บ้างก็สดุดีว่า การกระทำของแกนับเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญน่ายกย่อง
*บ้างก็ตำหนิว่า ผู้จัดงานวิ่งไม่ควรให้แกลงแข่ง เพราะอาจต้องจัดงานศพแทน
*บ้างก็ว่า แกเป็นคนบ้า สติไม่ค่อยดี และรอดูว่าแกจะหายบ้าเมื่อไหร่
*บ้างก็หัวเราะเฮฮาขบขัน คิดว่าแกเป็นคนบ้านนอกเร่อร่า นึกอยากจะดังสักครั้งก่อนตาย

แต่ไม่ว่าผู้คนจะมีความเห็นแตกต่างกันอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน คือ แกไม่มีทาง
วิ่งจน จบเส้นชัยที่ 875 กิโลเมตรได้...

ในสมัยนั้น การวิ่งระยะทางไกลที่ใช้เวลาหลายๆ วัน นักวิ่งจะมีสูตรทางวิทยาศาสตร์การกีฬา
ว่าให้วิ่ง 18 ชั่วโมง และพัก 6 ชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อนและรักษาความอึดในระยะทาง
ยาวไกล และนักวิ่งแทบทั้งหมดก็ลงแข่งด้วยวิธีการนี้ทั้งสิ้น

แต่ประเด็นคือ ลุง Young แกไม่ใช่นักกีฬาอาชีพ โลกของแกไม่เคยมีคำว่าวิทยาศาสตร์การกีฬา
แถมยังนึกว่าการแข่งวิ่งรายการนี้ เค้าห้ามนอน!!! สูตรเฉพาะตัวของแกเลยมาแบบบ้านๆ
วิ่งมันไปเรื่อยๆ นี่แหละ พอเหนื่อยจนวิ่งต่อไม่ไหว ก็พักด้วยการแอบงีบข้างทาง เฉลี่ยเพียงแค่
วันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น!

ในคืนแรก ขณะที่นักวิ่งรุ่นลูกกำลังพักผ่อน แกยังคงวิ่งเหยาะๆ อยู่ด้วยความอดทน เพียงไม่นาน
ระยะทางที่ทิ้งห่าง ก็สั้นลงเรื่อยๆ....
พอเข้าเช้าวันที่สอง ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน และสื่อมวลชนทุกแขนง ชายชราวัย
เกษียณ ไม่เพียงแค่ยังวิ่งอยู่ แต่ยังนำเป็นที่หนึ่งในการแข่งขันด้วย!

ด้วยสูตรการวิ่งสุดพิสดาร วิ่ง 23 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง (ทำได้ไง!!!!) ไม่ว่านักวิ่งรุ่นลูก ที่ใช้สูตร
วิ่ง 18 พัก 6 จะวิ่งอย่างไร ก็วิ่งไล่หนุ่มใหญ่วัยคราวพ่อไม่ทันเสียแล้ว...

เฉลี่ยแล้ว แม้ลุงแกจะวิ่งช้ากว่าใคร แค่ PACE 8 ปลายๆ หรือชั่วโมงละ 6.8 กิโลเมตร
แต่เนื่องจาก ลุงแกวิ่งแบบไม่ยอมหลับยอมนอน ทำให้วันหนึ่ง แกวิ่งได้ถึง 155 กิโลเมตร
วันหนึ่ง วิ่งเกือบ 4 มาราธอน!!!

หลายวันผ่านไป...ลุง Young วิ่งเหยาะๆๆๆ เข้าเส้นชัยที่เมลเบิร์น ด้วยเวลา 5 วัน 15 ชั่วโมง
กับอีก 4 นาที เร็วกว่าสถิติเดิมที่เคยมีมาถึง 2 วัน และเร็วกว่านักวิ่งที่ตามมาถึง 10 ชั่วโมงเต็ม!!
! นักวิ่งที่แก่ที่สุด และวิ่งได้ช้าที่สุด กลายเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งวิ่งที่โหดหินได้ในที่สุด สื่อต่างๆ
ประโคมข่าวการชนะเลิศของลุง Young ราวกับเป็นเหตุการณ์ระดับชาติ

หลังจากวิ่งชนะเลิศ ผู้จัดงานเรียก ชายชราหน้าแก่ เหลือเพียงแต่นามสกุลที่ยังหนุ่ม เดินขึ้นไป
รับเงินรางวัลบนเวที ลุง Young ชาวนาบ้านนอก ที่ตอนนี้กลายเป็น National Hero เสียแล้ว
ทำหน้างงๆ ก่อนจะกล่าวยอมรับด้วยความสับสนว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการแข่งขันนี้มีเงินรางวัลด้วย
ด้วยความที่ไม่ได้มาวิ่งเพราะจะเอารางวัล คิดได้ดังนั้น ลุง Young เลยแจกเงินรางวัล 10,000 เหรียญ
ให้กับนักวิ่งคราวลูก ที่หลงเหลือวิ่งเข้าเส้นชัยจนจบ แค่ 5 คน เท่าๆ กัน คนละ 2,000 เหรียญ
โดยที่แกไม่ได้เก็บรางวัลไว้เองแม้แต่เซนต์เดียว!

ทุกวันนี้ ท่าวิ่งห้อยแขนของแก กลายมาเป็นท่าวิ่งมาตรฐานท่าหนึ่งของนักวิ่ง ด้วยว่ามันกินพลังงาน
น้อยกว่า และด้วยมาตรฐานความอึดใหม่ที่ชายชราสร้าง ให้นักวิ่งอุลตร้ามาราธอนรุ่นหลังต้องนอน
แค่วันละ 1-2 ชั่วโมง เพิ่มขีดความทรมาณหนักหน่วงขึ้นไปอีกขั้น...

เพื่อเป็นการสดุดีวีรกรรมโลกไม่ลืม รัฐบาลออสเตรเลีย ตั้งชื่อถนนและสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ชื่อว่า Cliff Young เพื่ออุทิศเป็นเกียรติให้กับเขา

....ครับ.....บางครั้ง การไม่รู้ว่าขีดจำกัดของเรานั้นอยู่ที่ไหน ก็ทำให้มนุษย์เรานั้นไม่มีขีดจำกัด
KEEP ON RUNNING!!!

บทความอาจจะยาวหน่อยแต่ตั้งใจจะแบ่งปันและหากคิดว่าใครได้อ่านจนจบคงจะมีกำลังใจ
ในเรื่องต่างๆในการก้าวต่อไปนะครับ

#เรื่องดีๆมีไว้แบ่งปัน
#BenjBenjamin
ตอบกลับโพส