ส่งต่อความดี

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 15, 2021 6:32 pm

# "ส่งต่อความดี (Pay it forward)"

เดล ชโรเดอร์ เป็นชายผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย
เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เขาไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ

เดลใช้ชีวิตอยู่แต่ในรัฐไอโอวา ทำงานเป็นช่างไม้ที่บริษัทแห่งหนึ่งกว่า 67 ปี
เขาไม่เคยแม้แต่จะเปลี่ยนบริษัท

เดลเป็นคนสมถะ เขาประหยัดกับทุกสิ่ง ตลอดชีวิตเดลมีกางเกงยีนส์เพียงสองตัว
นั่นคือกางเกงยีนส์ใส่ไปโบสถ์กับกางเกงยีนส์ใส่ไปทำงาน

เดลไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีลูกใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด สิ่งเดียวที่ทุ่มเทก็คือ งาน

เพื่อนของเดลบอกว่าเขาทำงานหนักมาตลอด ชีวิตเขามีแต่งาน อีกทั้งเดลยังรับงาน
ช่างไม้นอกเวลา ทุกคนต่างสงสัยว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไม เพราะชีวิตที่เขาใช้อยู่มัน
ช่างเรียบง่ายมากจนไม่จำเป็นต้องหาเงินเพิ่มด้วยการทำงานเสริม

เดลเสียชีวิตในปีค.ศ.2005 ไม่มีใครรู้ว่าเดลทิ้งอะไรไว้

สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนบนโลก
ไม่มีใครรู้นอกเสียจากทนายของเขา และ สตีฟ เนลสัน เพื่อนสนิทของเดล

ก่อนเดลเสียชีวิตไม่กี่ปี เขาได้ทำพินัยกรรมไว้กับทนาย

เขาต้องการให้เงินเก็บของเขาทั้งหมดที่เก็บมาตลอดชีวิต ได้ไปอยู่ในมือของ
เด็กผู้ต้องการโอกาสทางการศึกษา

เขาต้องการให้ทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ให้เรียนจนจบ เด็กที่เขาไม่เคยแม้แต่ชื่อ

“ฉันไม่มีโอกาสจะได้เรียนจบวิทยาลัย ดังนั้นฉันจึงอยากช่วยเด็กคนอื่นๆ ให้ได้เรียนจนจบ”

เดลกล่าวกับสตีฟ เนลสัน เดลยังกล่าวอีกว่าเขาน่าจะส่งเด็กๆ จนจบได้หลายสิบคน

“นี่คุณกำลังพูดถึงเงินเท่าไหร่กันแน่?” สตีฟ เริ่มสงสัยในจำนวนเงินที่เดลเก็บไว้

“โอ้...ไม่น่าจะถึง 3 ล้านดอลลาร์หรอก” เดลกล่าวอย่างเรียบง่าย

สตีฟแทบล้มจากเก้าอี้ ตลอดชีวิตของเดลเขาเก็บเงินไว้กว่า 90 ล้านบาท
โดยที่เขาไม่ได้นำมาปรนเปรตนเองเลย


หลังจากเดลเสียชีวิต ทุนการศึกษาก็เริ่มถูกส่งมอบไปสู่เด็กๆ ที่ยากจน
เด็กๆ จะถูกคัดเลือกตามเงื่อนไขที่เดลกำหนดไว้ในพินัยกรรม

คิร่า โคนาร์ด เป็นหนึ่งในผู้ถูกคัดเลือก
คิร่าเป็นเด็กขยันและเรียนเก่ง ตอนเธอศึกษาอยู่ชั้นมัธยม เธอมีผลการเรียนดี
พอที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัย แต่ครอบครัวเธอไม่มีเงินส่งต่อ

“ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงเดี่ยวและมีพี่สาวสามคน ดังนั้นการจ่ายเงิน
ให้พวกเราทั้งสี่คนเรียนจนจบจึงเป็นไปไม่ได้” คิร่ากล่าว

คิร่าอยากเป็นนักบำบัด แต่มันไม่มีทางเลยที่แม่ของเธอจะมีเงินจ่ายค่าเรียน

"มันทำให้ฉันรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ฉันต้องการทำสิ่งนี้ ฉันมีเป้าหมายแต่ฉันไม่สามารถ
ไปถึงจุดนั้นได้เพียงเพราะเรื่องเงิน"

คิร่าเสียใจอยู่หลายสัปดาห์ จนกระทั่งโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น
ชายที่อยู่ปลายสายบอกเธอว่าจะส่งเธอเรียนจนจบ คิร่าน้ำตาไหลทันที

ชายคนนั้นยังเล่าถึงเดล เขาบอกว่าเดลเป็นคนมอบเงินให้เธอ พร้อมเงื่อนไข
เพียงสิ่งเดียวในพินัยกรรมที่เดลเขียนไว้

“Pay it forward”
อย่าลืมส่งต่อความดีนี้ให้กับคนอื่น


ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา
มีคนได้รับทุนการศึกษานี้ถึง 33 คน

บางคนเรียนจบแพทย์ บางคนกลายเป็นทนายความ อาจารย์ นักกฎหมาย
และรวมถึงคิร่า ที่ได้เป็นนักบำบัด

ทั้งหมดกลายเป็นเพื่อนกัน และเรียกตนเองว่าเป็น “กลุ่มลูกของเดล”

ในปีค.ศ.2019
กลุ่มลูกของเดลทั้งหมดรวมตัวกันที่โบสถ์แห่งหนึ่ง พวกเขาพาครอบครัวของเขา
มาพบปะสังสรรค์กัน ในนั้นยังมีของใช้และภาพเดล ชโรเดอร์
พวกเขาต่างเล่าให้ลูกๆ และครอบครัวของเขาได้รับฟัง

ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งพวกเขาไม่เคยเจอหน้ามาก่อน ไม่เคยรู้จักมาก่อน
กลับทิ้งสิ่งที่มิอาจประเมินค่าได้เอาไว้

“Pay it forward”
พวกเขาจะไม่ลืม
พวกเขาจะส่งต่อมันเอง

——————————
ดูวิดีโอและบทสัมภาษณ์ได้จากสำนักข่าว KCCI DesMoines

https://youtu.be/w90nHKbQK2c
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 17, 2021 10:34 am

ข้อดีได้เปรียบของคนเมื่ออายุเกิน 60 :
1. แก๊งค้ามนุษย์ไม่สนใจคุณอีกต่อไป
2. ในสถานการณ์ที่โจรปล้นแบงค์ คุณมักจะได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อน
3. ไม่มีใครขอแรงให้คุณช่วยทำธุระ "ด่วน"
4. เมื่อเพื่อนโทร.มาหาในเวลา 2 ทุ่ม มักจะขึ้นต้นคำถามว่า " นอนหรือยัง"
5. คนรอบข้างไม่รำคาญ เมื่อคุณบ่นปวดนั่นปวดนี่
6. ไม่มีอะไรที่คุณต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้อีกแล้ว
7. คุณสามารถทานข้าวเย็นในเวลา 4 โมง
8. คุณใช้ชีวิตอยู่ได้แม้ไม่มีเซ็กซ์ แต่คุณอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแว่นตา
9. คุณเริ่มถกเถียงกับเพื่อนอย่างจริงจัง เรื่องบำนาญหลังเกษียณ
10. คุณรู้สึกเฉยๆ เมื่อรถคันข้างๆปาดหน้าท้าแข่งบนทางด่วน
11. สายตาของคุณแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
12. คุณเริ่มได้ผลตอบแทนจากประกันชีวิต
13. ข้อเข่าคุณพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้แม่นกว่ากรมอุตุฯ
14. ความลับของคุณจะเป็นความลับตลอดไป เพราะเพื่อนของคุณ
ก็จำมันไม่ได้แล้วเช่นกัน
15. เจ้าหน้าที่มารับพร้อมรถเข็น เมื่อคุณไปโรงพยาบาล
16. ไปวัดมากกว่าไปห้าง
17. ไปงานศพมากกว่างานแต่ง
18. อยากไปงานชุมนุมศิษย์เก่า
19. ไม่ว่าลูกหลานจะคุยอะไร ก็อยากเล่าเรื่องนั้นในสมัยก่อนให้ฟัง
(แต่ลูกหลานอยากจะฟังมั๊ย)
20. สำหรับคุณผู้ชาย..ก็จะไปใช้บริการ "หมอนวดแผนโบราณ"
ที่เป็น "แผนโบราณ" จริงๆ
21 กินสเต็กไม่อร่อยเหมือนเมื่อก่อน เคี้ยวไม่ออก
22 ปวดปัสสาวะตอนดึกบ่อยขึ้น
23 ไม่ต้องไปทำงาน เกษียณแล้ว แต่ตื่นเช้าอยู่ได้ทุกวัน
24 มีคนลุกให้นั่งบนรถสาธารณะ
25.หลังฉี่ คุณจะต้องล้างเท้าด้วยเสมอ เพราะคุณมักฉี่ไม่พ้นเท้าตัวเอง..
26.หากคุณมีเงินเก็บมาก มักจะมีเด็กเอ๊าะๆเข้ามาหา...
27.มักนั่งติดที่เดียวนานๆไม่ใช่ว่าอดทน หรือมีสมาธิแต่เพราะ ลุกไม่ไหว
มันเจ็บไปทั้งตัว
28.เมื่อลูกหลานพูดถึงอนาคต คุณมักจะได้แต่นั่งฟังจนหาว..
29.เมื่อพูดถึงอดีต คุณจะพูดจนลูกหลานหาว..!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 22, 2021 5:12 pm

ในวันที่ 17 เมษายน 1955 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล
หมอพบว่าหลอดเลือดเอออร์ตาส่วนท้องปริแตก ทำให้เลือดไหลในช่องท้อง
เขาต้องได้รับการผ่าตัด ทว่าอัจฉริยะของโลกบอกหมอว่าเขาไม่ปรารถนาจะรับ
การผ่าตัดใด ๆ เขากล่าวว่า “ฉันต้องการจากไปเมื่อฉันต้องการ มันไร้รสชาติที่
ต่ออายุอย่างผิดธรรมชาติ ฉันทำงานของฉันจบแล้ว ถึงเวลาไปแล้ว ฉันจะจากไ
ปอย่างสง่างาม”

แล้วไอน์สไตน์ก็จากโลกไปในวันรุ่งขึ้น วัยเจ็ดสิบหก ง่าย ๆ เช่นนั้น

เป็นเรื่องอัตโนมัติอย่างยิ่งสำหรับหมอและญาติคนไข้ที่จะยืดชีวิตคนไข้ให้อยู่
ในโลกนานที่สุด โดยความคิดว่าการมีชีวิตยืนยาวที่สุดเป็นเรื่องดี ต่อให้รู้อยู่แก่ใจ
ว่าการอยู่ในโลกนานกว่ากำหนดโดยมีสายช่วยชีวิตระโยงระยาง เป็นความทุกข์
ที่เราสร้างขึ้นเอง กระนั้นก็ยังทำทุกวิถีทางเพื่อต่อชีวิตให้ยาวที่สุด

คนไข้จำนวนมากในโลกมีชีวิตอยู่ในสภาพตายไปครึ่งตัว บางคนอยู่ในสภาวะ
โคม่านาน 10-20 ปี บางคนสมองตายแต่ยังหายใจอยู่ เพราะญาติไม่ยอมให้ถอด
เครื่องช่วยชีวิต เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะค่านิยมและความเชื่อว่า “ชีวิตเป็นของมีค่า”

ไอน์สไตน์กลับมองว่า ‘ความมีค่า’ กับ ‘ความยาว’ ของชีวิต ไม่ได้อยู่ในสมการเดียวกัน

เขารู้ว่าความยาวของเวลาเป็นเพียงมายา เพราะเวลาเป็นเพียงค่าสัมพัทธ์

ไอน์สไตน์สมแล้วที่เป็นคนฉลาดที่สุดคนหนึ่งในโลก มิเพียงจะเข้าใจหลักฟิสิกส์
อย่างดีเยี่ยม หากยังสามารถใช้หลักฟิสิกส์ในชีวิตจริง! เข้าใจสมการชีวิตอย่างลึกซึ้ง
และเขาก็ใช้ชีวิตเช่นแนวคิดเรื่องสัมพัทธภาพของเขา!

…………

แนวคิดเรื่องสัมพัทธภาพอาจฟังดูซับซ้อนเกินเข้าใจ แต่เมื่อมองในมุมการเข้าถึง
ธรรมของพุทธ จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นมาก เพราะปรัชญาพุทธอธิบายหลักการใช้ชีวิต
ให้มีทุกข์น้อยที่สุดได้โดยการละวางทวิลักษณ์ เนื่องจากมันเป็นมายา

เป็นมายาอย่างไร?

ชายคนหนึ่งเที่ยวรอบโลกอย่างสนุกสนานนานหกเดือน เขารู้สึกว่าเวลาหกเดือนสั้น
อย่างยิ่ง แต่หากเขาต้องโทษจำคุกหกเดือน หกเดือนเท่ากันนั้นจะยาวนานอย่างยิ่ง

นี่ก็คือสัมพัทธภาพ มันเกิดจากการเปรียบเทียบเวลาที่บวกความสนุกกับเวลาที่บวก
ความไม่สนุก ย่อมรู้สึกว่าแตกต่าง ทั้งที่เป็นเวลาเท่ากัน

สมมุติว่าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ทั้งโลกมีอายุเฉลี่ย 30 ปี เราจะเคยชินกับตัวเลขนี้
และรู้สึกว่าถ้าใครอายุถึง 40 คือยืนยาวมาก

แต่ใน พ.ศ. นี้ อายุเฉลี่ยของมนุษย์คือ 70-80 ปี ตัวเลข 40 ก็กลายเป็น ‘สั้น’ ขึ้นมาทันที
ทั้งที่เป็นระยะเวลาเท่ากัน

ถ้าวันหนึ่งในอนาคต อายุเฉลี่ยของมนุษย์สูงขึ้นถึง 150 ปี ตัวเลข 80 ที่เรารู้สึกว่า ‘ยาว’
ในวันนี้ก็จะกลายเป็น ‘สั้น’ ขึ้นมาทันที

ความยาว-สั้นจึงเป็นสัมพัทธ์และเป็นมายา

เมื่อเราเอามือแตะน้ำเดือด เรารู้สึกว่ามัน ‘ร้อน’ เมื่อแตะน้ำเย็น เรารู้สึกว่า ‘เย็น’

แล้วเราก็ตั้งเป็นกฎขึ้นมาว่า 100 องศาเซลเซียสคือร้อน 0 องศาคือเย็น

ทว่าสัตว์น้ำหลายพันธุ์ซึ่งอาศัยบริเวณปล่องภูเขาไฟระอุใต้มหาสมุทรกลับอยู่ในน้ำเดือด
ปุดอย่างสบาย พวกมันไม่รู้สึกว่าบ้านน้ำเดือดของมันร้อนแต่อย่างไร เพราะพวกมันชิน
ของพวกมันอย่างนั้น ถ้าพวกมันรู้สึก ‘ร้อน’ สุดทนทาน ก็คงย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว

ค่า ‘ร้อน’ จึงไม่สัมบูรณ์ ไม่ตายตัว ไม่ใช่ความจริงสูงสุด เพราะเราชาวมนุษย์กับสัตว์
ใต้ทะเลพวกนั้นเห็นต่างกัน เราบอกว่าร้อนเพราะเราใช้มาตรฐานความเคยชินของเราวัด
พวกมันบอกว่าไม่ร้อนเพราะใช้มาตรของพวกมันวัด

ร้อน-เย็นจึงเป็นสัมพัทธ์และเป็นมายาเช่นเดียวกัน

ทุกข์-สุขก็เป็นมายา ไม่ใช่ค่าตายตัว เป็นสัมพัทธภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่เราวัด
ด้วยความรู้สึกและอารมณ์ในแต่ละช่วงเวลา

คนคนหนึ่งเห็นว่าเรื่องหนึ่งเป็นทุกข์มาก อีกคนหนึ่งมองเรื่องเดียวกันว่าทุกข์น้อยหรือ
ไม่ทุกข์เลย มันไม่มีค่าสัมบูรณ์อย่างแท้จริง

สัมพัทธภาพในโลกนี้ก็คือทวินิยม ร้อน-เย็น ยาว-สั้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่เรากำหนดให้ตัวเอง
รู้สึกเองทั้งสิ้น โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน

เวลาต่างกันก็ทำให้มายาเดิมส่งผลต่างกันได้ เช่น ทุกครั้งที่รถคันอื่นแซง จะรู้สึกโกรธ
แต่หากวันนั้นได้รับโบนัสห้าเดือน ถูกรถแซง อาจไม่รู้สึกโกรธอย่างที่เคยเป็น สามารถ
ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ด้วยซ้ำ

ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ทุกข์’ มีหลายระดับ ขึ้นกับความรู้สึกและประสบการณ์ชีวิตของ
แต่ละคน ไม่เหมือนกันทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน ยึดมายาเป็นค่าสัมบูรณ์เมื่อไร เราก็ทุกข์
เมื่อนั้น
ความรู้สึกและความเคยชินทำให้เรามองข้ามข้อเท็จจริง แล้วติดฉลากสิ่งที่เราไม่ชอบว่า ‘
ปัญหา’

ชีวิตก็คือสัมพัทธภาพ ความยาว-สั้นของเวลาชีวิตเป็นเพียงมายา จะอยู่ในโลกนานขึ้น
อีกห้าปี สิบปี อาจไม่แตกต่างอะไร หากเวลาที่เรามีนั้นไร้คุณภาพหรือไร้ความหมาย
ดังนั้นถ้าหลงคิดว่าตัวเลขอายุมาก ๆ คือดี ก็อาจหลงทาง มองคุณค่าของชีวิตผิดเพี้ยนไป

ลองถามตัวเองว่าหากมีชีวิตยาวขึ้นอีกวันสองวัน ร้อยวัน สร้างความแตกต่างอะไรหรือไม่
หากไม่แตกต่าง จำนวนวันบนโลกก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เร็วหรือช้าไม่มีผลอะไรต่อโลกอีกแล้ว

บางทีความยาวของชีวิตอาจไม่สำคัญเท่าว่าช่วงชีวิตที่มีลมหายใจ เจ้าของชีวิตทำอะไร
ใช้ชีวิตอย่างไร ที่ทำให้การมีชีวิตอยู่บนโลกของเขานั้นดีกว่าการไม่มี

เมื่อเข้าใจสัมพัทธภาพแห่งชีวิต เราก็จะเข้าใจมายาอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ
อารมณ์ความรู้สึก และเมื่อนั้นเราก็อาจสามารถกำหนดชีวิตของเราได้เอง

เมื่อพบทุกข์ ก็สามารถพิจารณาว่ามันเป็นเพียงระดับความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความเคย
ชินหรือด้วยประสบการณ์เก่า เมื่อเข้าใจเราก็อาจสามารถลดมาตรวัดความทุกข์ลง ทำให้
รู้สึกแย่น้อยลงทั้งที่เป็น ‘ทุกข์’ อันเดิม

ดังนั้นเวลาสุขอย่าลืมตอนทุกข์ เวลาทุกข์อย่าลืมตอนสุข เวลาเศร้าอย่าลืมตอนหัวเราะ
เวลาหัวเราะอย่าลืมตอนเศร้า เวลาซึมอย่าลืมตอนสดชื่น เวลาเหงาอย่าลืมตอนมีเพื่อน ฯลฯ

เพราะทุกอารมณ์เป็นเรื่องเดียวกัน ต่างที่ว่าจะไปจับตรงช่วงไหนของเรื่องนั้น

.

จากหนังสือใหม่ ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข

วินทร์ เลียววาริณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 23, 2021 8:44 pm

ข้อคิด...คุณกัมพล ตันสัจจา หรือคุณโต้ง เจ้าของสวนนงนุชพัทยา ได้ส่งข้อคิดมา
ในไลน์แต่เช้าตรู่...รู้สึกดีมากๆ....นักธุรกิจพันล้าน ...หมื่นล้าน ที่เนรมิตร สวรรค์บนดิน
เพื่อให้ความสุขกับปวงประชา

1) ทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ถ้ามันดี ให้มีความสุขกับมัน เพราะมัน
จะอยู่กับเราไม่นาน ถ้ามันไม่ดีอย่ากังวล เพราะมันจะอยู่กับเราไม่นานอีกเหมือนกัน

2) ทางเดียวบนโลกใบนี้ ที่จะทำให้ความสุขนั้นมีมากขึ้นนั่นก็คือให้แบ่งปันความสุขนั้น
(แบ่งให้คนอื่น ยิ่งให้มาก ยิ่งสุขมาก)

3) คนที่ "น่าอิจฉาที่สุด" คือ คนที่ไม่อิจฉาใครเลย ดูเหมือนมันเป็น "ความสุข"
ง่ายๆ แต่ คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยทำกัน

4) "ทุกวินาทีที่หายใจอยู่คือโอกาสของชีวิต" อย่ากลัวการเริ่มต้นใหม่และอย่าแคร์สายตา
ใคร ตราบใดที่เรายังหายใจด้วยจมูกของเราเอง

5) ไม่ยุ่งกับชีวิตคนอื่น...ไม่ขัดความสุขคนอื่น...ไม่คิดแทนคนอื่น...ไม่อิจฉาคนอื่น...
ไม่ดูถูกคนอื่น คำสอน 5 ข้อ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข

6) จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

7) ไม่ว่าจะมีสิ่งไหนหายไปจากชีวิตเรา...แต่ "เวลา" ก็ยังคง "เดินต่อ" และเวลาก็สอน
ให้เราได้รู้ว่า ระหว่างที่เรามีเวลาอยู่นั้น เราควรจะดูแลและรักษาอย่างไร...เพื่อว่าวันหนึ่ง
"เราจะไม่เสียใจ" กับสิ่งที่ได้ทำดีที่สุดแล้ว

😎 ความสุขแม้จะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความทรงจำที่ดีจะอยู่กับเราตลอดไป

9) บางครั้ง...เราไม่ต้องคิดว่า สิ่งที่เราทำ เราจะได้อะไร แต่เมื่อทำแล้ว มันสุขใจ มันก็คือ
"กำไร" ของชีวิต

10) จุดที่ตกต่ำที่สุด เป็นได้ทั้งจุดจบและจุดเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่เราจะให้มันเป็นอะไร
...ฯลฯ

:s002: ยิ่งแชร์ ยิ่งได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 04, 2021 9:59 pm

…….สุดยอดคำพิพากษา………

ในเมืองนิวยอร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1935 มีการพิพากษาคดีหนึ่งในยามหัวค่ำอัน
หนาวเหน็บของเดือนมกราคม หญิงชราคนหนึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักขโมย
ขนมปังหนึ่งก้อน. หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง และภายใต้ความเศร้านั้นก็มีความ
ละอายแก่ใจอยู่ด้วย

คืนนั้น "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กในขณะนั้น
เป็นผู้พิพากษา

ฟิโอเรลโล ถามหญิงชราว่า “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ?”

หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่ “ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”

ผู้พิพากษาถามต่อว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ?”

หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา “ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไป
เพื่อกินเอง ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป ลูกสาวของฉันล้มป่วย หลานสองคนของฉัน
ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ ทนหิวได้”

ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบหลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา

ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย สำหรับข้อหาขโมย
ขนมปังคุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ 10 เหรียญ หรือติดคุกเป็นเวลา 10 วัน”

หญิงชราตอบ “ท่านผู้พิพากษา ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ
ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก ดังนั้นโปรดจำคุกฉันเถิด แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วงคือใครจะดูแล
ลูกสาวและหลานของฉันในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”

ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ
แล้วกล่าวว่า “ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ คุณกลับบ้านไปได้”

ผู้พิพากษาหันไปพูดกับคนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า “นอกจากนั้น ผมขอ
ปรับทุกคน ในห้องนี้คนละ 50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉยและไร้น้ำใจในสังคม
หญิงชราคนนี้ไม่ควร จะต้องขโมยขนมปังเพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัว
หากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ
คุณไบลีฟ โปรดเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์ แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”

ทุกคนในที่นั้นรวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้องนำหญิงชรามาขึ้นศาล ตลอดจน
เจ้าหน้าที่ ตำรวจและผู้มาฟังการตัดสินรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าปรับคน
ละ 50 เซนต์ พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือชื่นชมผลการตัดสิน

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับจำนวน 47.5 เหรียญ ให้กับหญิงชราผู้
น่าสงสารเพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว

ผลการตัดสินคดีของผู้พิพากษากระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า "ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์
สุขของกันและกัน และหากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน
นั่นก็หมายถึง เราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"

เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็น
หูเป็นตา ให้กัน เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม

คำพิพากษา เรียบเรียงมาจากเรื่องเล่าส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" อดีต
นายกเทศมนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแห่งมหานครนิวยอร์ก แม้แต่สนามบินลากวาเดีย
ก็ยังตั้งชื่อตามชื่อท่าน

Cr:Ammy Chumnankit

:s006: :s006:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 12, 2021 9:26 pm

"ในเมืองเล็กๆนี้ มีผู้ชาย 2 คน"

บ้านของคนทั้งสอง มีแค่รั้วคั่นกลาง
ด้านหนึ่งเป็นข้าราชการเกษียณ
อีกด้านหนึ่งเป็นวิศวกรหนุ่ม
เขาทั้งสองได้ปลูกต้นไม้และดอกไม้ในเขตบ้านตัวเอง

หนุ่มวิศวะเป็นคนขยัน เขาจะใส่ปุ๋ยรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
ทำให้ดอกไม้เจริญงอกงาม ผลิดอกออกผลสวยงามเต็มสวนหย่อม

ส่วนผู้เฒ่าวัยเกษียน กลับไม่ได้ขยันเหมือนหนุ่มวิศวะ
ดอกไม้ของผู้เฒ่าจึงทั้งโตช้า ต้นเล็ก แถมแคระแกน
ดูเหมือนจะตายมิตายแหล่

"คืนวันหนึ่ง" เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง...

ในตอนเช้าวันถัดมา วิศวะหนุ่มเห็นต้นไม้ ดอกไม้
ที่ตัวเองปลูกอย่างทนุถนอม มีอันล้มระเนระนาด
ถอนรากถอนโคนขึ้นมาเกือบทั้งหมด

ซึ่งผิดกับสวนหย่อมของผู้เฒ่าที่แทบจะไม่เสียหายเลย

หนุ่มวิศวะถามผู้เฒ่าว่า ..
ท่านแทบจะไม่เคยดูแลต้นไม้และดอกไม้เลย
แล้วทำไมต้นไม้และดอกไม้ของท่านถึงไม่เสียหายเลย

ผู้เฒ่าตอบว่า ...
เพราะเจ้าให้น้ำให้ปุ๋ยมากเกินไปไงล่ะ
รากมันเลยไม่ไชลงดินลึก
มันยังคงรอกินปุ๋ยและน้ำ
อยู่ใกล้ๆ ผิวดินที่เจ้าเติมให้ทุกวัน
มันสบายเกินไป ทำให้อ่อนแอ
ไม่สามารถต้านทาน ลมฟ้าอากาศที่รุนแรงได้

ส่วนผมให้ปุ๋ยและน้ำเพียงเล็กน้อย พอแก่การอยู่รอด
ทำให้รากของมันต้องขวนขวาย
พยายามไชรากลงลึกๆเพื่อหาอาหารเอง
เหตุผลมีเท่านี้เองแหละ ...

"เช่นเดียวกัน" กับการเลี้ยงลูกของเรา
มีพ่อแม่จำนวนมาก ที่ไม่ทันคิด หรือคิดไม่ทัน
จนเป็นเหตุให้ลูกๆ เสียโอกาสที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมีคุณภาพ

การปกป้อง เป็นห่วง เลยกลายเป็นทำให้ลูกทุกอย่าง
นั่นแหละที่เรียกว่า ลูกเสียโอกาสในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมีคุณภาพ

หลายๆเรื่องที่เด็กสามารถทำเองได้ในแต่ละช่วงวัย
ต้องปล่อยให้ลูกหัดทำเอง พ่อแม่แค่คอยดู แนะนำ
และช่วยแก้ไขสิ่งที่ลูกทำไม่สำเร็จ
การลงมือทำแทนลูก อาจทำให้ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง ...

"สังคมปัจจุบัน" มีสิ่งแวดล้อมที่เย้ายวนใจมาก ...
ผิดกับในอดีตที่มีพ่อแม่บางคนไม่ร่ำรวย
ไม่มีอำนาจ และอาจไม่รู้หนังสือด้วยซ้ำ
แถมเป็นคนชนบท แต่สามารถเลี้ยงดูลูกให้เป็นเถ้าแก่ใหญ่ได้
สามารถส่งเสียให้ลูกมีการศึกษาสูงๆได้...

... ส่วนพ่อแม่ที่ให้ลูกทุกอย่าง
ทำแทนทุกอย่าง
ปล่อยให้ลูกหมกมุ่นอยู่กับ
สิ่งเย้ายวนของสังคมปัจจุบัน
ย่อมทำให้ลูกกลายเป็นจุดอ่อน
เป็นปมด้อยของครอบครัว ...

"การให้ที่มากเกินไป" อาจทำให้ดีเฉพาะจุดเริ่มต้น
แต่...อนาคต ก็ยากจะประสพความสำเร็จ ...

หลายวันก่อนผู้เขียนไปเข้าคิวทำธุระที่ธนาคาร
ระหว่างนั่งรอคิว ได้คุยกับแม่บ้านคนหนึ่ง
เธอบ่นว่า..ลูกตัวเอง ให้ฟังต่างๆนาๆ

เริ่มจากเรียนจบ ออกมาทำงาน
ทำที่ไหน ก็ทำได้ไม่นาน
ตอนนี้กลับมา นั่งกิน นอนกิน อยู่บ้าน
ค่ากิน ค่าอยู่ ก็เงินพ่อแม่
บัตรเครดิตที่ใช้ส่วนตัว ก็ยังให้พ่อแม่จ่าย

พอฉันบ่น มันพาลโกรธ
ทะเลาะเสร็จ ออกไปเช่าบ้านอยู่เอง
ค่าเช่าก็มาให้พ่อแม่จ่ายให้

"แม่บ้านคนนี้" กลัวทุกอย่าง กลัวลูกลำบาก
กลัวไม่มีเงินใช้ บ่นก็คือบ่น
แต่สุดท้าย ... ก็คือต้องมาเบิกเงินให้มันใช้

การที่ลูกทำตัวแบบนี้ ก็ต้องโทษพ่อแม่เป็นต้นเหตุ
ลูกโตแล้วควรให้เขามีภาระรับผิดชอบตัวเอง
การใช้เงินในกระเป๋าคนอื่น นานๆเข้ามักจะคิดว่า
เป็นความชอบธรรมแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินของพ่อแม่ตัวเอง

... การให้มากเกินไป เป็นผลเสียชนิดหนึ่ง!!

แปลและเรียบเรียง
โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 26, 2021 3:14 pm

ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง...

ชายหนุ่ม หญิงสาวคู่หนึ่งได้พบกับท่านตาอายุเกือบเก้าสิบปี ทั้งสามพบกันโดยบังเอิญ
เพราะถนนด้านหน้ามีไม้ล้มขวางทาง ตอนนี้ทางการกำลังให้คนมาขนย้าย พวกเขาจึง
รอที่ศาลาพูดคุยกัน

หญิงสาวเอ่ยถาม "ท่านตาอายุมากแล้ว ไฉนยังเดินทางเพียงลำพัง"
ชายชราตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน "ครอบครัวข้าจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงข้าผู้เดียว"
ชายหนุ่ม "ท่านจะไปไหนหรือ ให้ข้าไปส่งดีหรือไม่"
ชายชราส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก ข้าเดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีอะไรต้องห่วง
ชีวิตข้าข้ามผ่านภูเขา ทะเลกว้างมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล หวาดกลัว ที่สำคัญแม้ครอบครัว
จะจากไปแล้ว แต่เดี๋ยวข้าก็ได้พบพวกเขาจะคิดมากไปทำไมกัน"

หญิงสาวได้ฟังก็รู้สึกอยากสนทนาด้วย "ท่านตา สิ่งใดที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิตหรือเจ้าคะ"
"ตราบที่ข้ายังมีประโยชน์ข้าก็มีความสุขที่สุด"
หญิงสาวแปลกใจในคำตอบจึงถามต่อ "แล้วสิ่งใดที่ทำให้ท่านเสียใจที่สุดเจ้าคะ"
"เมื่อใดที่ข้าไร้ประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นั่นคือความเสียใจที่สุด"
ชายหนุ่มแย้งว่า "ท่านตา ท่านจะแบกโลกไว้ทั้งใบไม่ได้นะขอรับ สรรพสิ่งมีวิถีตามครรลอง
ของมันเอง ยามนี้ท่านแก่ชราแล้ว สมควรหยุดพัก"
ชายชราหัวเราะ "พ่อหนุ่ม ยามที่เจ้าชวนข้าคุยก็เท่ากับข้าได้ทำประโยชน์แล้ว การทำประโยชน์
ให้โลกใบนี้ไม่ใช่แค่การแบกหาม หรือไปเที่ยวแบกความรู้สึกของใคร แต่เป็นสิ่งที่เราสมัครใจทำ
เพื่อให้การดำรงอยู่มีคุณค่ามากที่สุด"

ชายชราผายมือให้คนหนุ่มสาวได้เห็น "พวกเจ้าเห็นต้นไม้ไหม ต้นไม้อยู่กับที่แต่กลับให้คุณ
มากมาย พวกเขาให้ร่มเงา ให้อากาศที่บริสุทธิ์ เป็นที่พักพิงแก่เหล่าสัตว์มากมาย บ้างเป็น
อาหารให้ทั้งคนและสัตว์ ขนาดพวกเขาเคลื่อนย้ายตนเองไม่ได้ ยังคงมีประโยช์มากมาย
แล้วคนอย่างเราจะไม่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเลยหรือ"

ชายหนุ่มพยักหน้ารับฟัง "ข้าขอถามหน่อยเถอะท่านตา แล้วในวัยของท่านตอนนี้ นอกจาก
พูดคุยแล้ว ท่านทำอะไรได้อีกบ้างขอรับ"

ชายชราหัวเราะร่า "เยอะแยะเลย ข้าเคยช่วยนกที่ตกน้ำให้รอดตายได้
ข้าเคยเดินผ่านครอบครัวยากจนและหยุดสอนหนังสือเด็กๆอยู่สามเดือนจนพวกเขา นับเลขได้
คิดเลขเป็น
ข้าเคยทานอาหารแล้วเห็นขอทานสองคนพ่อลูกเดินทางผ่านมา ข้าชวนพวกเขามาทานอาหาร
ด้วย แต่เมื่อร้านไม่อนุญาต ข้าก็แค่ซื้อไก่ให้พวกเขาคนละน่อง หมั่นโถวสามลูกต่อคนและน้ำ
อีกหนึ่งถุงต่อคน
ข้าเคยช่วยหญิงชราวัยเดียวกันถือของกลับบ้านนาง นางแก่มากแล้ว แต่ยังต้องทำงานเลี้ยง
ลูกที่พิการ
ข้าเคยนั่งฟังหญิงหม้ายที่สามีทอดทิ้งและนางจะพาลูกชาย ลูกสาวมาโดดแม่น้ำตาย ข้านั่ง
คุยครึ่งค่อนวันจนนางยอมวางโศกเศร้าและจูงลูกๆกลับบ้าน ข้าแอบตามไปเห็นนางปาดน้ำตา
ทำครัวให้ลูกๆกิน และบอกลูกๆว่าต่อไปต้องช่วยนางทำสวนนะจะได้ไม่อดตาย
ข้าไม่ได้ทำการใหญ่อะไรเลย แค่ทำประโยชน์เล็กๆน้อยก็เท่านั้น แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ แต่นกน้อย
ตัวนั้นก็ยังรอดชีวิต พ่อลูกคู่นั้นไม่ต้องหิวตายในวันนั้น
ครอบครัวหนึ่งสามารถคิดเลขได้เป็น ก็จะไม่โดนหลอกเวลาไปซื้อของ
หญิงชราผู้นั้น วันนั้นนางได้พักเหนื่อยหนึ่งวัน เพราะมีคนช่วยแบกของ
ข้าช่วยให้สามแม่ลูกรอดชีวิตได้ เพราะแค่นั่งฟังนางระบายความในใจ
... ก็แค่นั้นเอง ชีวิตคนเรามันก็แค่นั้นเอง"

ชายหนุ่มหญิงสาวรู้สึกประทับใจมากๆกับคำสอนของชายชรา ใช่แล้วการดำรงอยู่บนโลกใบนี้
ไม่จำเป็นต้องบริจาคทรัพย์นับล้าน หรือทำอะไรมากจนเกินกว่าที่ตัวเราจะทำได้ ทว่าหากเพียง
ทำสิ่งเล็กๆในแต่ละวัน ให้คนที่อยู่ใกล้ๆเราขณะนั้นรู้สึกดี มีกำลังใจ สุขใจ หรือขอบคุณในใจได้
แค่นั้นก็มากพอแล้ว

ชายหนุ่มหญิงสาวเห็นทางการเลื่อนไม้ออกแล้ว จึงหันมาชวนชายชราให้เดินทางต่อ แต่ชายชรา
หายไปแล้ว พวกเขางุนงงจึงออกเดินทางไป เพียงผ่านจุดที่ต้นไม้ล้มไปไม่กี่ก้าวกลับเห็นรูปปั้น
ผู้เฒ่าคนนหนึ่งยืนยิ้มตระหง่านอยู่ พวกเขาถามทหารแถวนั้นว่าชายผู้นี้คือใคร

ทหารตอบว่า "เป็นพ่อเฒ่าท่านหนึ่งแซ่หู ท่านเป็นคนทางเหนือ เดินทางมาทางใต้จนลงหลัก
ปักฐานที่นี่ ครอบครัวนี้ดีมาก มักทำบุญทำทาน ช่วยเหลือผู้คนไปทั่ว จนวันหนึ่งครอบครัวทะยอย
จากไปเหลือผู้เฒ่าเพียงลำพัง ท่านผู้เฒ่ามักท่องเที่ยวไปทั่ว สร้างรอยยิ้มให้ผู้คน และสอนเรื่องดีๆ
แต่ท่านจากไปได้สิบปีแล้ว ท่านเป็นที่รักของชาวบ้านแถวนี้มากๆ ทุกคนเคารพท่านเหมือนเทพ
ประจำหมู่บ้านก็ว่าได้" ทหารเล่าจบก็หันไปขนท่อนไม้ที่ผ่าไว้เป็นท่อนๆ ให้ออกไปพ้นทาง

ชายหนุ่มหญิงสาวยกมือไหว้ "ขอบคุณที่ชี้ทางพวกเรา การทำความดี ทำเพียงเล็กน้อย
แต่ทำอย่างสม่ำเสมอก็นับว่าวิเศษแล้วจริงๆ"

:s015: :s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 14, 2022 12:42 pm

หากในใจคุณมีความดีงาม โลกก็จะดีต่อคุณ

"อย่าตัดสินใครง่ายๆ" ...

วันหนึ่ง เค็นเนธ อี เบห์ริง เศรษฐีใจบุญ เดินผ่านเขตอ่าวซานฟรานซิสโก พบว่ากระเป๋า
เงินหายผู้ช่วยรีบบอกว่า "เป็นไปได้ว่าทำหล่นไปตอนเช้าขณะเดินผ่านย่านสลัมเบิร์กลีย์
ทำไงดี?"

เบห์ริงพูดอย่างจนปัญญาว่า "ก็ต้องคอยให้คนที่เก็บไปติดต่อเรามา"

หลังจากนั้นสองชั่วโมง ผู้ช่วยพูดอย่างหมดหวังว่า "ช่างเถอะ อย่าคอยเลย
ที่จริงเราไม่ควรหวังอะไรกับคนสลัมอยู่แล้ว"

"ไม่ ผมคิดว่าคอยอีกหน่อย" เบห์ริงกล่าวเรียบๆ

ผู้ช่วยไม่เข้าใจ "ในกระเป๋ามีนามบัตร ถ้าคนที่เก็บได้คิดส่งคืน โทรศัพท์ใช้เวลา
ไม่กี่นาที เราคอยมาทั้งบ่าย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะคืน"

เบห์ริงยืนยันที่จะคอยต่อไป จนกระทั่งฟ้าใกล้มืด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มาจากคนที่เก็บ
กระเป๋าเงินได้ บอกให้พวกเขาไปเอาคืนที่ถนนคาตา

ผู้ช่วยบ่นงึมงำ "มันจะเป็นกับดักไหม? บางทีพวกเขาคิดจะรีดไถ?"

เบห์ริงไม่สนใจ ให้ขับรถไปที่นั่นทันที ไปถึงที่นัดหมาย เด็กชายแต่งกายซอมซ่อเดินมาหา
ในมือพ่อหนูคือกระเป๋าของเบห์ริง ผู้ช่วยรับกระเป๋าคืน นับเงินในนั้น ไม่ขาดแม้สักเซนต์

"ผมมีเรื่องขอร้อง" พ่อหนูพูดอย่างลังเล "พวกคุณให้เงินผมหน่อยได้ไหม?"

ตอนนี้ ผู้ช่วยหัวเราะร่วน "ผมว่าแล้ว ..." เบห์ริงขัดคำพูดเขา ยิ้มถามเด็กชายว่าจะเอาเท่าไร

"ขอแค่ดอลลาร์เดียว" เด็กชายพูดเขินๆ "ผมเดินตั้งนานจึงพบที่ที่มีโทรศัพท์สาธารณะ
แต่ผมไม่มีเงิน จึงต้องไปขอยืมเงินคนอื่นมาหนึ่งดอลลาร์เพื่อโทรศัพท์ ตอนนี้ผมต้องเอาเงินไปคืน"

มองดวงตาใสของพ่อหนู ผู้ช่วยก้มหน้าลงอย่างละอาย เบห์ริงกอดพ่อหนูอย่างตื้นตันใจ

จากนั้น เบห์ริงเปลี่ยนแผนการงานการกุศลทันที เขาสร้างโรงเรียนหลายแห่งที่เบิร์กลีย์
รับเฉพาะเด็กยากจนในย่านสลัม

ในพิธีเปิดเรียน เบห์ริงกล่าวว่า "อย่าได้ตัดสินคนตามอำเภอใจ เราต้องการเปิดพื้นที่และโอกาส
ต้อนรับดวงใจใสซื่อและเมตตา ดวงใจเช่นนี้เองที่มีค่าพอจะให้เราลงทุน"

ท่าทีที่โลกนี้มีต่อคุณนั้น จะถูกกำหนดโดยท่าทีของคุณต่อโลกเป็นสำคัญ ดังนั้น
หากในใจคุณมีความดีงาม โลกก็จะดีต่อคุณ ง่ายๆ แค่นี้เอง

เค็นเน็ธ อี เบห์ริง [Kenneth E Behring, 1928] ชาวอเมริกัน วัยเด็กยากไร้ ขายหนังสือพิมพ์
ซ่อมเพิงหญ้า ทำงานทุกอย่างเลี้ยงชีพ จนจบมัธยม ขายรถมือสอง ค่อยๆ ร่ำรวยขึ้น ปี 2000
ตั้งกองทุนรถเข็นสำหรับคนพิการระดับโลก และสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ สร้างโรงเรียนสำหรับ
เด็กยากจน

..."อย่าตัดสินใครง่ายๆ"

Cr:ถาวรีย์ กาญจนาคาร
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 01, 2022 9:20 pm

◉ รักตัวเองให้เป็น ◉
.
1. หากคุณไม่สบายใจ ก็ออกไปดูโลกภายนอกบ้าง
อย่าจมปลักอยู่ในที่เดิมๆ คุณจะได้รู้ว่าโลกกว้างใบนี้
มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีโอกาสอีกมากมาย
และเวลาของชีวิตเรา ก็สั้นนิดเดียว
อยู่ที่นี่ไม่เป็นสุข ก็แค่เปลี่ยนที่
เปลี่ยนที่แล้วไม่เป็นสุข ก็จงเปลี่ยนตัวเอง

2. หากคนรอบข้าง หรือเรื่องราว
ทำให้คุณไม่เป็นสุข ก็อย่าทำตัวให้ทุกข์
และอย่าทำให้คนที่ไม่รักคุณเพิ่มความทุกข์ให้แก่คุณ
ใครไม่รักคุณ ลองรักตัวเองดูนะ
.
3. อย่าทำตัวอ่อนไหวเป็นพัดลมฮิตาชิ
ที่ได้ยินได้เจอเรื่องราวอะไร ก็เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ
คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย
เพราะบางเรื่องคนพูดไม่ทันได้คิด แต่คนฟังดันคิดเก่ง
คนพูดไม่ทันได้จำ คนฟังจำไปสามชาติ
.
4. ต่อให้คนรอบข้างจะปลอบใจ
หรือให้กำลังใจคุณมากสักเพียงใด
คนอื่นก็ไม่อาจเข้าถึงความรู้สึกจริงๆ ของคุณได้
ฉะนั้น เมื่อใดที่อดสู เมื่อใดที่หดหู่
คนที่รักษาคุณได้ดีที่สุด ก็คือตัวคุณเอง
.
5. เมื่อใดที่เหนื่อย ก็ให้กอดตัวเอง
เมื่อใดที่ร้องไห้ ก็ปลอบตัวเองบ้าง
ไม่มีใครคอยกอดคอยปลอบคุณได้ 24 ชั่วโมง
ฉะนั้น จงฝึกรักตัวเองให้เป็น
.
6. หากถูกคนรอบข้างเข้าใจผิด
หากจะอธิบาย ก็จงอธิบายแค่ครั้งเดียวก็พอ
เพราะหากเขาไม่คิดจะเชื่อคุณ
อธิบายสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี
เพราะคนที่เชื่อคุณ ไม่ต้องอธิบายเขาก็เชื่อ
.
7. ต่อให้ดีที่สุด วันหนึ่งก็ต้องสูญเสีย
ต่อให้คิดถึงที่สุด วันหนึ่งก็ต้องลบลืม
ต่อให้รักที่สุด วันหนึ่งก็ต้องพรากจาก
ทุกสิ่งมีพบ พราก จาก ลา เป็นธรรมดา
หากวันหนึ่งต้องสูญเสียสิ่งใดไป
จงรู้ไว้! นั่นเป็นเรื่องธรรมดา

Cr : นุสนธิ์บุ๊ค
Photo:jan69tys
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 07, 2022 5:22 pm

เรื่องนี้ไม่ขำ
กรรมการผู้จัดการบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง ต้องการลองใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป
ที่นั่งรถเมล์ไปทำงาน เขาตัดสินใจบอกให้คนขับรถจอดรถ แล้วก็เดินตรงไปที่ป้าย
รถเมล์ เมื่อรถเมล์สายที่วิ่งผ่านบริษัทของเขามาถึง เขาจึงรีบขึ้นรถ หยอดเหรียญ
จ่ายค่ารถ และเดินไปนั่งที่นั่งที่ว่างอยู่ ข้างหน้าของเขาเป็นหญิงท้องแก่ ส่วนข้างหลัง
เป็นหญิงชรา คนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงสีหน้าสะทกสะท้านกับการนั่งรถเมล์ที่เขารู้สึก
ว่ามันแสนจะลำบากเลย

เมื่อรถเมล์วิ่งไปได้หนึ่งป้าย ก็มีผู้โดยสารจำนวนมากเดินขึ้นรถ
มีสาวสวยนางหนึ่งเดินขึ้นรถมา เขาก็เลยจ้องมองและชื่นชมความสวยของเธออย่าง
เพลินตา แต่ก็เพราะคนบนรถที่มากขึ้น สุดท้ายสาวสวยก็ถูกเบียดบังด้วยผู้โดยสาร
อีกหลายคน เขาจึงหลับตาลงเพราะไม่รู้จะมองอะไรให้มันเจริญตาเจริญใจดี
เขาหลับตาไปได้สักครู่ จู่ๆก็มีเสียงอันแสนจะแสบแก้วหูตะโกนด่าขึ้นว่า
“แหม! หน้าตาก็ดี ไม่น่าแล้งน้ำใจเลยนะ ดูสิ!ทำเป็นแกล้งหลับ”
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งมือหนึ่งอุ้มเด็ก อีกมือหนึ่งก็จับราวอยู่
แต่น้ำเสียงที่ตวาดเขาเมื่อครู่นี้เป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็กำลัง
จ้องเขม็งมาที่เขา
“นี่คุณ คนที่ฉันพูดถึงก็คือคุณนั่นแหละ ทำมาจ้องตากรอกไปกรอกมาอยู่ได้
ไม่อายคนเขาหรือไง?”
ผู้คนที่นั่งอยู่บนรถต่างพากันมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว
ตอนนี้เขาหน้าแดงไปด้วยความโกรธและก็อายเป็นอย่างยิ่ง
เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน และเชิญให้แม่ลูกอ่อนคนนั้นนั่งแทน
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจกดกริ่งเพื่อลงยังป้ายถัดไป
เมื่อเดินลงจากรถ เขาก็จ้องเขม็งไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

วันนี้เป็นวันสอบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด
มีผู้สมัครจำนวนมากที่ผ่านการสอบข้อเขียนแล้วและมาสอบสัมภาษณ์ในวันนี้
คณะบริหารจำนวน 5 ท่าน รวมถึงเขาเองทำหน้าที่สอบสัมภาษณ์ในวันนี้
พวกเขาทำการสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครคนแล้วคนเล่า และเขาก็ต้องมาสะดุดสายตา
กับผู้เข้ามาสอบสัมภาษณ์หญิงคนหนึ่ง
เธอเองก็จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาตะลึงอย่างนึกไม่ถึงเหมือนกัน
ที่แท้ เธอคนนี้ก็คือผู้หญิงหน้าตาธรรมดาคนนั้น ที่ด่าเขาบนรถเมล์เมื่อเช้านี้นี่เอง
เขานึกกระหยิ่มในใจ คิดหาทางแก้แค้นผู้หญิงคนนี้ยังไงดีถึงจะสาสม
เธอเองก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มเยาะของซีอีโอคนนี้

“คุณผู้หญิงท่านนี้ ผมขอให้คุณช่วยก้มลงเช็ดรองเท้าของคณะกรรมการทุกท่านที่อยู่
ในห้องนี้ หากคุณทำได้ ผมตกลงรับคุณเข้าทำงานทันทีโดยไม่ต้องสอบสัมภาษณ์!”
ทุกคนต่างพากันตะลึงกับคำพูดของกรรมการผู้จัดการ
เธอเองก็ยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นกัน

ตอนนี้ทางบ้านของเธอต้องใช้เงิน เธอก็ตกงานมาหลายเดือนแล้ว
เพราะหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของเธอ ทำให้เธอต้องผิดหวังจากงานมาหลายบริษัทแล้ว
แม้เธอจะมีความสามารถและผลการเรียนก็ดีมาก และหน้าตาที่ไม่ได้สะสวยนี้ ทำให้เธอ
ยังหางานไม่ได้สักที ในเมื่อโอกาสที่เธอจะได้งานกำลังรอเธออยู่ตรงหน้า
เพียงแค่เธอทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง ก้มลงเช็ดรองเท้าให้คณะกรรมการทั้ง5ท่านนี้ เธอก็จะ
ได้งานทำทันที แต่ว่า เธอต้องลดตัวเองลงทำในสิ่งที่เขากำลังหยามศักดิ์ศรีของเธอเช่นนี้หรือ?

กรรมการผู้จัดการเห็นเธอยืนนิ่งเป็นนานสองนาน ก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าทำในสิ่งที่เขา
เสนอเป็นแน่ แต่จู่ๆ เธอก็ตอบตกลง ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เธอนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบเอาแปลงขัดรองเท้าและน้ำยาขัดรองเท้า ลงมือขัดรองเท้าให้
คณะกรรมการทีละคน
และเมื่อมาถึงกรรมการผู้จัดการ เขาแกล้งยกเท้านั่งไขว่ห้าง และพูดออกมาเบาๆว่า
“คุณไม่ได้เก่งเหมือนเมื่อเช้าเลยนะ”

เธอไม่ได้พูดอะไร เอาแต่เช็ดและขัดรองเท้าให้กรรมการผู้จัดการ
ยิ่งเธอไม่ตอบโต้อะไร เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
เพราะเมื่อเช้าที่เธอตวาดเขา เป็นเพราะเธอทำเพื่อผู้อื่น เธอไม่ได้ด่าเขาเพื่อตัวของเธอเอง
เมื่อเขาเอื้อมมือไปหยิบดูประวัติและข้อเขียนของเธอ จึงทำให้เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่
ธรรมดา ผลการสอบข้อเขียนของเธอได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่กลับถูกเรียกตัวสัมภาษณ์ใน
ลำดับเกือบจะสุดท้าย นี่คงเป็นเพราะเธอหน้าตาธรรมดาเกินไปนั่นเอง

เมื่อเธอเช็ดรองเท้าให้ทุกคนเสร็จ เขาจึงลุกขึ้นยืนและประกาศให้ทุกคนทราบว่า
“บริษัทรับคุณเข้ามาทำงานในบริษัทของเรา คุณเริ่มงานได้ในวันพรุ่งนี้”
เธอไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจอะไรเลย ได้แต่ก้มหัวให้คณะกรรมการทุกคนและกล่าว
เพียงคำว่า “ขอบคุณค่ะ”
แต่ที่ทำให้ทุกคนในห้องนั้นตะลึงก็คือ
“ดิฉันทำการขัดรองเท้าให้ทุกท่าน รวมทั้งคุณด้วย ทั้งหมด5คู่ คู่ละ2เหรียญ รวมทั้งหมด
เป็นเงิน10เหรียญ คุณช่วยกรุณาจ่ายเงินให้ดิฉันด้วยค่ะ เมื่อคุณจ่ายค่าขัดรองเท้า
ให้ดิฉันแล้ว ดิฉันจึงจะมาทำงานให้บริษัทของคุณ!”

เขาคาดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะกล้าพูดสิ่งนี้ออกมา แต่ในเมื่อเขาเองก็เพิ่งประกาศรับเธอ
เข้าทำงานในบริษัทเมื่อสักครู่นี้ เราจะกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้ เขาจึงได้แต่ควักเงินออกจาก
กระเป๋ายืนให้เธอ10เหรียญ เธอรับเงินมาแล้วก็เดินออกจากไป จากนั้นก็เดินตรงไปที่ชายชรา
คนหนึ่ง ที่กำลังเก็บขยะอยู่หน้าบริษัท “คุณลุงคะ หนูให้เงินคุณลุงไว้ทานข้าวค่ะ”
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เธอทำ อยู่ในสายตาของกรรมการผู้จัดการที่เดินตามเธอออกมาและ
เห็นเข้า ทำให้เขารู้สึกถึงสิ่งที่เด็กสาวทำ เขารู้สึกประทับใจเด็กสาวขี้เหร่คนนี้ขึ้นมาทันที

เมื่อเธอเข้ามาทำงานในบริษัท เธอก็แสดงให้ทุกคนรู้ว่าเธอมีดี และตั้งใจทำงานและเป็นที่ชื่นชอบ
ของลูกค้าที่เข้ามาติดต่องานกับบริษัท อีกทั้งอัธยาศัยไมตรีของเธอ จึงทำให้ทุกคนในบริษัทต่าง
ก็รักและชื่นชมในตัวของเธอ

วันหนึ่ง
กรรมการผู้จัดการได้เรียกเธอเข้ามาสอบถาม
“ที่ผมทำกับคุณตอนนั้น คุณรู้สึกคับแค้นใจไหม?”
“ที่ดิฉันคุกเข่าลงในวันนั้น ก็เพื่อโอกาสที่จะได้เงยหน้าขึ้นในวันนี้ค่ะ”

...................................
ที่คุกเข่าลง ไม่ได้หมายความว่าหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรี
ยิ่งโน้มตัวลงต่ำเพียงเท่าใด โอกาสที่จะเงยหน้าก็มีมากเพียงเท่านั้น

นุสนธิ์บุคส์/ni
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 16, 2022 7:05 pm

💘อ่านแล้วน้ำตาจะไหล
อย่าตัดใครออกจากชีวิตง่ายๆนะ...
💘พี่น้อง...ให้อภัยแล้วให้โอกาส
สิ่งนี้เรียกว่า "รัก"
💘เมื่อเด็กน้อย ออกแรงนวดศีรษะให้พ่อ อย่างตั้งใจสิ่งนี้เรียกว่า"รัก"
💘เมื่อภรรยา...ชงชาให้สามี..ยามเขาเหนื่อยล้า...
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"
💘เมื่อแม่.แบ่งชิ้นเค้กที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด...เพื่อลูก
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"
💘เมื่อเพื่อนนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจ ในยามเราท้อแท้ สิ้นหวัง
สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"
💘เมื่อพี่ชายโทรหาน้องสาว และถามว่าใกล้ถึงบ้านหรือยัง
สิ่งนี้เรียกว่า "รัก"
💘เพื่อนในไลน์ที่สวัสดี Good Morning ให้ทุกเช้า ให้สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์
ทั้งทางโลกและทางธรรม สิ่งนี้เรียกว่า"รัก"
💘 รัก..ไม่ใช่เพียงภาพผู้ชายและผู้หญิงกุมมือกัน..
💘 รัก..ไม่ใช่ความหวานชื่น ความสุขในวัยหนุ่มสาว ..เท่านั้น
(white heart)แต่...แท้จริงแล้ว "รัก" คือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำให้คนที่เรารัก
อยู่ตลอดเวลา...โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และอยากทำให้เรื่อยๆ..ไม่รู้เบื่อ.. ที่จะทำ
ที่แท้แล้ว....ชื่อจริงของความรัก (white heart)คือ "การใส่ใจ"
นี่คือ วาเลนไทน์ ของแท้
◾พออายุเริ่มมากขึ้น ถึงค่อยเข้าใจ
◾ใส่นาฬิกา ราคาสามร้อย หรือสามล้าน เวลาก็ตรงกัน
◾หิ้วกระเป๋า สามร้อย หรือสามหมื่น ในกระเป๋า ก็ใส่เงิน ได้เหมือนๆกัน
◾ดื่มเหล้าสามสิบ หรือสามพัน เวลาอาเจียน ก็เหมือนกัน
◾อยู่บ้าน 30 ตารางวา หรือ 300 ตารางวา เวลาโดดเดี่ยว ก็ไม่ต่างกัน
(white heart)วันหนึ่ง คุณจะเข้าใจ ความสุขที่แท้จริง ในใจคุณไม่ใช่อยู่ที่ สมบัติพัสถาน
◾สูบบุหรี่ สิบบาท หรือร้อยบาท ก็เป็นมะเร็งปอด เหมือนกัน
◾นั่ง First Class
หรือ Economy เวลาเครื่องบิน เกิดอุบัติเหตุ ก็กลับมาไม่ได้เช่นกัน
(white heart)เพราะฉะนั้น คิดให้เข้าใจพอเพียง ถึงมีความสุขถาวร
สิ่งสำคัญ... ขอแค่มีเพื่อนเก่าๆ อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ไร้สาระบ้าง หัวเราะกันบ้าง
จิปาถะ โน่น นี่ นั่น จึงเป็นสิ่งที่มีความสุข...
จริงมั้ย?? มีใครจะปฏิเสธบ้าง..!!
💘แล้ววันนี้คุณคิดถึง เพื่อนคนไหน?
อย่าลืมบอกเขา_ ส่งให้เพื่อน ของคุณที่คุณรัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มี.ค. 19, 2022 10:49 am

………เชื่อไหม?………
ไม่ต้องเป็นดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่ ถึงจะส่องทางสว่างได้
ในยามมืดมน บนถนนมืดมิด แค่แสงน้อยนิดของตะเกียงก็ยิ่งใหญ่พอแล้ว...
. . . . .
.
เมื่อ 16 ปีก่อน เอ็ด มาร์แทล ชายหนุ่มในวัย 27 ยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษามอร์โรว์ ด้วยข้อหา
ค้ายาเสพติด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาจะถูกตัดสินลงโทษจำคุกอย่างน้อย 20 ปี! แต่ทุกคนในศาล
แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อผู้พิพากษามอร์โรว์กล่าวว่า - -
.
“คุณมาร์แทลครับ คุณไม่จำเป็นต้องขายยาพวกนั้นเลย คุณมีความยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเอง...
คุณสามารถเป็น CEO ของบริษัทที่ติดอันดับบริษัทชั้นนำ 500 อันดับสูงสุดของนิตยสาร
Fortune ได้สบาย...”
.
นอกจากคำพูดให้กำลังใจแล้ว ผู้พิพากษามอร์โรว์ยังตัดสินลงโทษมาร์แทลสถานเบา-แค่
ควบคุมความประพฤติ 3 ปีเท่านั้น!
.
ตอนที่เดินออกมาอย่างอิสระราวกับเกิดใหม่ มาร์แทลเฝ้าบอกกับตัวเองว่า
“ฉันพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฉันจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม!”
.
ผู้พิพากษามอร์โรว์ยังทำมากกว่านั้น เขาให้เบอร์โทรศัพท์กับมาร์แทล บอกว่า
“ประตูห้องทำงานของผมเปิดพร้อมสำหรับคุณตลอดเวลา ผมอยากรู้ว่าคุณเป็น
อย่างไรบ้าง และจำไว้ว่าคุณมีผมอยู่ในชีวิตคุณเสมอ”

ผู้พิพากษามอร์โรว์ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า “ผมให้โอกาสเขา เพราะทุกคนสมควร
ได้รับความสำคัญและการปฏิบัติด้วยสำนึกที่ดีในความเป็นมนุษย์”
.
มาร์แทลเองเกิดมาในครอบครัวพังทลายที่แสนยากจน เติบโตจากการดูแลของ
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เขาถูกตัดสินลงโทษจากศาลเยาวชนตั้งแต่อายุ 13 ซึ่งจากครั้งแรกนั้น
ได้นำไปสู่ความผิดพลาดอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา ชีวิตของเขาเริ่มเลี้ยวผิด-หลงทางไปเรื่อย
จนจบลงด้วยการไม่ได้เรียนหนังสือและหนีออกจากบ้าน
.
เขาเล่าว่าเคยยืนต่อหน้าผู้พิพากษามาอย่างน้อย 20 คน “...แต่ไม่มีใครเหมือนท่านมอร์โรว์เลย
ผมสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง เขาปฏิบัติต่อจำเลยอย่างคนจริง ๆ”
. . . . .
.
16 ปีต่อมา...
.
มาร์แทลกลับมาที่ศาลอีกครั้ง... ในฐานะทนายความหน้าใหม่! เขากลับมาเพื่อพิสูจน์ว่า
ผู้พิพากษามอร์โรว์คิดถูกที่เชื่อมั่นในตัวเขา!
.
ทั้งสองต่างสวมกอดกันและกัน หลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มยินดี...
.
หลังจากวันนั้นที่ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต มาร์แทลตั้งหน้าตั้งตาเรียนที่วิทยาลัยชุมชนและศึกษา
ต่อที่มหาวิทยาลัยดีทรอยต์ เมอร์ซี จบมาด้วยคะแนนสูงสุดของชั้น แล้วเรียนต่อด้านกฎหมาย
.
ผู้พิพากษามอร์โรว์ ยอมรับว่าประสบการณ์ครั้งนี้ ได้“ตอกย้ำ” ความมุ่งมั่นของเขาที่จะ
ไม่ตัดสินผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องยืนต่อหน้าเขา เขาจะไม่ตัดสินใครด้วยการดูเพียงผิวเผินว่า
พวกเขามาจากไหน, วิธีที่พวกเขาพูด หรือจากการขาดการตัดสินใจที่ดีของพวกเขา...
.
ขณะที่มาร์แทลสอนเขาให้ได้รับบทเรียน-อย่าด่วนตัดสินใคร ผู้พิพากษามอร์โรว์ก็ได้สอน
มาร์แทลถึงความสำคัญของการอุทิศตนเพื่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง
แต่เพื่อคนรอบข้างด้วย!
.
มาร์แทลยืนยันว่า “ผมจะไม่ใช้เรื่องนี้เพื่อหวังผลต่อยอดอาชีพการงานของผม
แต่จะใช้มันเพื่อปูทางให้กับคนอื่นที่ยืนอยู่ในที่ที่ผมเคยยืนเมื่อหลายปีก่อน”
.
ส่วนผู้พิพากษามอร์โรว์ย้ำว่า บทเรียนสำคัญที่เราได้รับจากเรื่องนี้ คือ
“ความรักเปลี่ยนแปลงคนได้!”

. . . . .
.
เชื่อไหม?
ไม่ต้องเป็นดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่ ถึงจะส่องทางสว่างได้
ในยามมืดมน บนถนนมืดมิด แค่แสงน้อยนิดของตะเกียงก็ยิ่งใหญ่พอแล้ว...
.
เชื่อไหม? คำพูดดี ๆ ไม่กี่คำ, มืออบอุ่นที่ยื่นให้, ไมตรีที่เปี่ยมหวัง ด้วยความรัก
ความเข้าใจ ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตแห่งค่ำคืนของใครบางคน ให้สว่างไสวได้เช่นกัน - -

และบางทีแสงนั้นก็สว่างมากพอมาถึงเราด้วย!
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าประทานพรและแสงสว่าง เพื่อส่องทางชีวิตของทุกคน ]

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส