เรื่องเก่าเล่าสนุก

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 21, 2022 1:40 pm

( 1 )

เรื่องเก่าเล่าสนุก

ชีวิตรันทดของแหม่มสาวชาวยุโรปผู้มาเป็นมหาเทวีแห่งสีป้อ!
เจ้าฟ้าสามีถูกรัฐบาลพม่าอุ้มหาย!!
...
เรื่องราวของความรักที่เหมือนเทพนิยาย ระหว่างสาวชาวออสเตรียกับนักศึกษาวิศวกร
เหมืองแร่ชาวไทยใหญ่ ซึ่งไปพบรักกันในอเมริกาและแต่งงานกันที่นั่น โดยฝ่ายสาวก็
คิดว่าสามีเป็นวิศกรธรรมดา จนเมื่อกลับมาถึงท่าเรือเมืองร่างกุ้ง รู้สึกแปลกใจที่มีผู้คน
มาต้อนรับกันล้นหลามและโปรยข้าวตอกดอกไม้ สามีจึงบอกความจริงที่ยังบอกเธอ
ไม่หมดให้ทราบ

อิงเง่ เซอร์เจน อดีตมหาเทวีแห่งเมืองสีป้อในรัฐฉาน ได้บันทึกเรื่องราวของเธอเป็นหนังสือ
ชื่อ “Twilight Over Burma – My Life as a Shan Princess” จัดพิมพ์โดยมหาวิทยาลัย
ฮาวายเมื่อปี ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นเรื่องดังทั่วโลก ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และแปลเป็น
ภาษาไทยโดย มนันยา ในชื่อ “สิ้นแสงฉาน” ได้กล่าวถึงตอนที่อิงเง่ เซอร์เจนมาถึงท่าเรือ
เมืองร่างกุ้ง เห็นผ้าขาวขนาดยาวเขียนคำว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” และมีหญิงสาว
หลายคน โปรยข้าวตอกดอกไม้ลงบนพื้นน้ำ จึงถามสามีอย่างพิศวงว่า

“แปลกจริง เขามีอะไรกันหรือคะ มีคนสำคัญมาในเรือเราด้วยเหรอนี่”

“ผมมีอะไรจะบอกคุณอย่างหนึ่งนะที่รัก” สามีตอบ
“ผมยังไม่ได้บอกคุณเกี่ยวกับตัวผมอย่างหมดจดครบถ้วน”
อิงเง่เริ่มใจไม่ดี คิดว่าเขาคงมีภรรยาอยู่ที่พม่า และยิ่งงงหนักขึ้นเมื่อสามีบอกว่า

“พวกที่เห็นนั่นเขามาต้อนรับเราน่ะ”

“ตลกนี่ เขายกขบวนมาต้อนรับวิศกรเหมืองแร่ทำไมกันคะ”

“ผมไม่ได้เป็นแค่วิศวกรเหมืองแร่ธรรมดาๆ แต่เป็นสูงกกว่านั้นมาก” เขานิ่งไปนิดหนึ่ง
“ผมคือเจ้าฟ้าหลวง หมายความว่าเป็นเจ้าซึ่งปกครองนครรัฐแห่งหนึ่งในรัฐฉาน”

สามีของเธอคือ เจ้าจ่าแสง เจ้าชายแห่งเมืองสีป้อ ซึ่งไปศึกษาวิชาวิศวกรเหมืองแร่ที่
มหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกา และได้พบรักกับอิงเง่ ซึ่งตอนนั้นยังมีนามเดิมว่า
อิงเง่ เอเบอร์ฮาร์ด ได้รับทุนฟูลไบรท์มาจากประเทศออสเตรีย และแต่งงานกันในปี ๒๔๙๖
หลังจากนั้นจึงเดินทางมารัฐฉาน ทั้งสองได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองอย่างอบอุ่น และอิงเง่
ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าสุจันทรีมหาเทวี

ทั้งสองพระองค์เป็นเจ้าฟ้านักพัฒนา อิงเง่เรียนภาษาไทยใหญ่ และทำงานพัฒนาด้าน
การศึกษาและสาธารณสุข มีบุตรสาวด้วยกัน ๒ คน

จนในปี ๒๕๐๕ นายพลเนวินได้ยึดอำนาจประเทศพม่า และจับกุมคุมขังเจ้าฟ้าเมืองต่างๆ
เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบเจ้าฟ้าให้หมดไป เจ้าจ่าส่ง พี่ชายของเจ้าจ่าแสง ถูกจับ
ไปก่อนจากหอหลวงที่เมืองตองยี เจ้าจ่าแสงจึงตัดสินใจเดินทางไปที่สนามบินเมืองตองยี
แต่ถูกจับระหว่างทาง อิงเง่กับลูกถูกกักตัวอยู่ในบ้าน และได้รับจดหมายลับข้อความสั้นๆ
จากเจ้าจ่าแสงว่าถูกคุมตัวไว้ในกระท่อมหลังหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย สร้าง
ความเจ็บปวดให้แก่มหาเทวีและลูก รวมทั้งชาวไทยใหญ่ซึ่งรักเคารพเจ้าฟ้าของเขามาก
จนเป็นปัญหาเรื่องเชื้อชาติของพม่ามาจนถึงปัจจุบัน

ในปี ๒๕๐๗ อิงเง่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากบ้านได้ เธอจึงไปเมืองร่างกุ้ง และขอ
ความช่วยเหลือจากสถานทูตออสเตรียให้ส่งเธอพร้อมลูกกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัย
ของลูกสาวทั้งสอง คือ ‘เจ้าเกนรี’ และ ‘เจ้ามายารี

อดีตมหาเทวีสีป้ออยู่ในออสเตรียได้ ๒ ปี ก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองโคโลราโดที่เธอพบ
รักกับเจ้าชาย และทุกปีมหาเทวีและธิดาทั้ง ๒ ได้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลพม่า ทั้งรัฐบาล
นายพลเนวินและรัฐบาลนายพลเต็งเส่ง ถามถึงชะตากรรมของเจ้าจ่าแสง แต่ก็ไม่เคย
ได้รับคำตอบใดๆ

อิงเง่ออกจากพม่าโดยไม่มีสมบัติใดๆติดตัว เธอจึงเข้าเป็นครูสอนภาษาเยอรมันในไฮสกูล
แห่งหนึ่ง และได้แต่งงานใหม่กับ แทด เซอร์เจนต์ ในปี ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เธอใช้นามสกุล
เซอร์เจนท์ เธอและสามีที่ได้ร่วมเขียนชีวประวัติของเธอ ยังได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กร Burma Lifeline
เพื่อช่วยเหลือชาวพม่าผู้อพยพตามชายแดน

ปัจจุบัน อดีตมหาเทวีสุจันทรี ผู้เกิดในปี ๒๔๗๕ ยังมีชีวิตอยู่ที่อเมริกา และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้มี
บริษัทภาพยนตร์ที่ร่วมทุนระหว่างออสเตรียและเยอรมันได้นำเรื่องราวในบันทึกของเธอสร้าง
เป็นภาพยนตร์ โดยมี ทวีฤทธิ์ จุลละทรัพย์ นักแสดงไทยรับบทเป็นเจ้าจ่าแสง และมาเรีย อีริช
นางเอกเยอรมัน รับบทเป็นสุจันทรีมหาเทวี ผู้กำกับการแสดงเป็นชาวออสเตรีย นำออกฉาย
ในปี ๒๕๕๘ แต่ถูกแบนในพม่า และยังไม่มีการนำเข้าฉายในเมืองไทย

“สิ้นแสงฉาน” นอกจากจะเป็นเรื่องราวของความรักที่เหมือนเทพนิยายแล้ว ยังสะท้อนให้เห็น
ความแตกต่างของนโยบายการเมืองในการรวมรัฐฉานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่า
กับการรวมอาณาจักรล้านนาเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับราชอาณาจักรไทย
ซึ่งเป็นการรวมด้วยใจ ที่เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๗

https://www.facebook.com/10006388806031 ... 001001500/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 07, 2022 6:24 pm

( 2 )

💕💕ความทุกข์มีที่มา ความสุขก็มีที่มาเช่นกัน..

1. ตอนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนต่างก็คิดว่าเวลายังมีอีกยาวนาน แต่ที่จริงชีวิตคนเราต่าง
หมดไปพร้อมกับการฉีกปฏิทิน พบกันครั้งหนึ่ง หมดไปครั้งหนึ่ง

2. คนอื่นมองคุณว่ายังไง มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ
คุณใช้ชีวิตอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น

3. ศักดิ์ศรีเขาซื้อขายกันราคากิโลละเท่าไหร่?
ทำไมเราต้องใส่ใจว่าคนอื่นเขาจะมองเราเป็นยังไง!

4. สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่าการทำความดียากกว่าการทำตัวให้ฉลาด
ความฉลาด เรียนรู้ได้แต่ความดีต้องกล้าตัดสินใจทำ

5. ตอนที่อารมณ์ไม่ดี อย่าใช้คำพูดประหารคนที่รักคุณ

6. หลายครั้งในชีวิต ไม่อาจหวนกลับมาฉายซ้ำเหมือนละครรีรัน เมื่อพลาดแล้วก็
หมดโอกาสไปทั้งชีวิต

7. ยอมรับในสิ่งที่เป็น เย็นได้กับสิ่งที่พบ จบได้กับสิ่งที่พลาด ฉลาดในการใช้ชีวิต

8. ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น สาเหตุล้วนมาจากตัวเราเองทั้งสิ้น

9. บางครั้ง ทั้งๆที่ให้อภัยคนอื่นไปแล้วแต่ใจก็ยังไม่เป็นสุข
นั่นเป็นเพราะว่าเราลืมให้อภัยตัวเองนั่นเอง

10. คนเรามีเกิดย่อมมีวันตาย ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า แต่อย่าใช้ชีวิตแบบล้างผลาญ
คุณอาจไร้คู่ ไร้ชื่อเสียง แต่อย่าไร้ซึ่งความดี

11. คนเรามักทำอะไรโง่ๆ เสมอ
เย็นชาต่อคนที่รักเรา เฝ้าใฝ่หาคนที่เย็นชาต่อเรา สุดท้ายก็ทำเองเจ็บเอง

12. ของที่ไม่อยากได้ ต่อให้มีราคาก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ

13. หากคุณไม่ได้ตาบอด ก็อย่าเอาหูมาตัดสินคนอื่น มันไม่ยุติธรรม

14. เจ๋งจริง ไม่ใช่อยู่ที่คุณรู้จักใครมากน้อยเพียงใด?
แต่อยู่ที่ยามคุณตกอับมีใครสักกี่คนที่ยังรู้จักคุณ ?

15. คนที่ไม่ต้องการคำอธิบายจากปากของคุณ พอคุณอ้าปาก คุณก็แพ้แล้ว!

16. มีผู้คนมากมายที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ
เขาอาจไม่ได้อยู่กับคุณจนวันสุดท้าย แต่เขามาเพื่อให้บทเรียนกับคุณต่างหาก

17. ห่างกันสักพัก เป็นคำที่อธิบายของความรักที่กำลังจะเหือดหายไป

18. พอเป็นโตผู้ใหญ่ กลับรู้สึกอาลัยหาวัยเด็ก ยิ่งรู้มาก ยิ่งไม่มีความสุข

19. วางไม่ลงก็แบกไว้เสีย ปลงไม่ได้ก็จำไว้เสีย ทิ้งไม่ได้ก็รั้งไว้เสีย รอให้จนถึง
วันหนึ่ง แบกไม่ไหวก็วางได้เอง จำไม่ได้ก็ปลงได้เอง รั้งไม่อยู่ก็ทิ้งไปเอง...

- นุสนธิ์บุคส์ -

ปรัชญาชีวิต
คิมหันต์ — กำลังมองหา ความพอดี
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 13, 2022 9:10 pm

( 3 )

ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ะ?

หมอคะหนูกำลังจะตายใช่มั๊ย?

เสียงพูดเบาๆ จากผู้หญิงตัวเล็กๆ ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวสิ่งเดียวที่เธอห่วงไม่ใช่ ชีวิต
แต่คือ ลูกสาววัย 4 ขวบ

ย้อนหลังไปปีกว่าๆ ช่วงที่ไวรัสโควิด19 ระบาดได้ไม่นาน มีสาวโรงงานมากมาย เสียงาน
ของเธอไป จากเศรษฐกิจที่ไม่ปกติในขณะที่ปากท้องยังต้องกินต้องใช้

คุณมาลัยพร ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบนั้น พูดง่ายๆให้ชัดเจนก็คือตกงาน โรงงานปิด
กระทันหัน

เธออายุ 34 ปี มีลูกสาววัย 4 ขวบ เป็นยอดดวงใจหนึ่งเดียว เธอแยกทางกับสามีหลังเขา
ไปมีคนใหม่ เดิมทำงานโรงงานกับสามีที่ พนมสารคาม

หลังแยกย้ายกันเพราะสามีมีผู้หญิงคนใหม่ เธอจึงย้ายตัวเองมาสมัครงานใหม่
ได้งานเป็นสาวโรงงาน ในเขตบางพลีเมืองใหม่

จริงๆแล้วเธอมีลูกสาวสองคน แต่...ปีที่แล้วลูกสาวคนโต อายุ 7 ขวบเสียไปด้วย
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย ในวัยที่กำลังสดใสน่ารัก

ทุกคืนหัวใจของแม่ที่แตกสลาย นอนร้องไห้หลับทั้งน้ำตาเป็นเวลานานแสนนาน

หัวอกคนเป็นแม่เฝ้าคิดถึงลูกสาวสุดหัวใจ

อยู่มาวันหนึ่งเธอมีเลือดไหลทางช่องคลอด ไหลออกมาติดต่อกัน13วัน โดยไม่มีอาการเ
จ็บปวดใดใด จึงอยากไปตรวจและพบแพทย์ แต่…

ต้นทุนชีวิตของคนเรานั้นไม่เท่ากัน

เธอไม่เคยลางาน กลัวจะไม่ได้เบี้ยขยัน ซึ่งอาจจะเป็นเงินที่ไม่มากสำหรับหลายๆคน
แต่สำหรับเธอเบี้ยขยันนั้นมีค่ากับเธอและลูกน้อยมากๆ พวกเธอจะอิ่มไปได้หลายวันเลยครับ

คุณมาลัยพรจึงอดทนไม่ไปหาหมอ รอให้ถึงวันหยุดงานค่อยไปวันเสาร์ วันหนึ่งคุณมาลัยพร
ได้ใช้วันหยุดงานมาโรงพยาบาล ที่เธอมี ประกันสังคม คุณพยาบาลสอบถามอาการเบื้องต้น
แล้วส่งพบคุณหมอสูตินรี ก็คือ หมออรัณนี่แหละครับ

ผมตรวจดูอย่างละเอียด
พบ ว่าที่ปากมดลูกของคนไข้มีแผลเล็กๆ ที่ดูแทบจะไม่ออกหากไม่ใส่ใจให้รอบคอบ
แผลนั้นหน้าตาคล้ายๆผิวของบ๊อคเคอรี่
คล้ายผิวคางคกเลยครับ
มีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา

ในช่วงเวลานั้นผมรู้ทันทีว่า นี่คือมะเร็ง

แต่ก็ขอเงียบไว้ก่อน แล้วบอกคนไข้ว่า พบก้อนอะไรไม่รู้ที่ปากมดลูก ขอตัดชิ้นเนื้อ
ไปตรวจดูนะครับ

คนไข้บอกว่าได้ค่ะ

คุณหมอคะ หนูเป็นมะเร็งใช่ไหม ?

คุณหมอบอกมาเถอะ หนูรับได้

แม้เธอจะบอกว่า รับได้
แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตา อันเป็นหน้าต่างแห่งดวงใจ

ผมมองเห็นวงกลมสีดำ
ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความเศร้า ความห่วงใยใครสักคน…

ผมจึงไม่ตอบไปว่าคนไข้เป็นอะไร แต่แนะนำให้เธอมาฟังผลตรวจในครั้งหน้าครับ

ผมได้สั่งยาฆ่าเชื้อ ยาหยุดเลือด ยาแก้ปวดให้เธอไปทานก่อน แล้วนัดมาพบกัน

คุณมาลัยพร รู้ตัวอยู่แล้วว่า
เธอน่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูก

เพราะเมียเก่าของสามีเธอ
ก็เป็นมะเร็งปากมดลูกเสียชีวิตไปแล้ว

สามีของเธอเป็นคนเจ้าชู้
คงนำพาเชื้อไวรัสเฮชพีวี
สายพันธุ์ก่อนมะเร็งมาให้เธอเป็นแน่ …

คุณมาลัยพร นอนกอดลูกทุกคืน นอนร้องเพลงให้ลูกฟัง …

…แม่จ๋า หนูชองฟังแม่ร้องเพลง แม่น้องร้องเพลงเพราะที่สุดในโลกเลย

…แม่จ๋า แม่ร้องให้น้องลูกแก้วฟัง จนน้องลูกแก้วตัวโตๆเลยได้ไหมจ๊ะ

…ถ้าน้องลูกแก้วโตจะ ร้องเพลงให้แม่ฟังบ้าง เวลาแม่แก่นะ

แล้วเด็กน้อยก็หลับไปด้วยความไร้เดียงสา

คุณมาลัยพรนอนกอดลูกสาว น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ
ในใจของเธอได้เพียงสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากฟ้า
ขอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาว
เฝ้าดูลูกสาวสุดที่รักเติบโตในทุกๆวัน

หากเธอจะจากโลกนี้ไป
ก็ขอให้ลูกสาวโตกว่านี้
โตจนดูแลตัวเองได้ก่อน
จากนั้นเธอจะยอมจากโลกนี้ไปแต่โดยดี …

แต่ใครหล่ะจะฝืนชะตาฟ้ากำหนดได้ จริงไหมครับ

สุดท้ายเรื่องราวที่เศร้าที่สุดก็เกิดขึ้น

ครบกำหนดนัดฟังผลชิ้นเนื้อ คุณมาลัยพร อุ้มน้องลูกแก้วมาด้วย

ผมเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร เธอและลูกเหลือเกิน ไม่รู้จะเริ่มการบอกข่าวร้ายกับเธอว่าอย่างไร

หลังจากแจ้งผลว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1
การรักษาคงต้องรีบผ่าตัดโดยเร็วครับ เพื่อให้มีโอกาสหาย แต่การผ่าตัดต้องใช้เงินมาก
ระหว่างการรักษา

บังเอิญ คุณมาลัยพรมีสิทธิ์ประกันสังคม อยู่กับโรงพยาบาลที่คุณหมออรัณทำงานวันเสาร์
พอดี จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใด
อาจจะต้องมีค่าเดินทาง ค่ายายอกบัญชีบ้างนิดหน่อย

ระหว่างที่ผมกำลังอธิบายให้คนไข้ฟังอยู่นั้น น้ำตาของคนไข้ก็ไหลนิดๆน้ำตาซึม ผมเห็นเธอ
กอดลูกสาวแน่นกว่าเดิม แล้วจ้องตากัน

แล้วคุณมาลัยพรก็ยิ้มให้กับลูกสาวของเธอ เป็นการส่งสัญญานว่า

…ไม่เป็นไรนะลูก แม่สบายดี

ผมหยุดอธิบายแป๊บนึง เพื่อให้คนไข้ได้พักใจ และเข้าใจว่าเธอคงกำลังทุ่มเทสมาธิอยู่
กับน้องลูกแก้ว

อธิบายมากไปอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้ ผมจึงหันไปคุยเล่นกับน้องลูกแก้ว เพื่อให้บรรยากาศ
บรรเทาลง ตัวเล็ก กี่ขวบแล้วคะ
มีอะไรจะบอกคุณหมอหรือคุณแม่มั๊ยะครับ?

ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ย?

เสียงใสใสของน้องลูกแก้ว
เด็กหญิงอายุ 4 ขวบ ที่ผมเข้าใจว่าเธอนั่งอยู่กับแม่ไปงั้นๆ คงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง

แท้จริงแล้ว เด็กนั่งฟังและเข้าใจในทุกอย่างที่ผมพูด
เธอรู้ว่าคุณแม่ที่รักคนเดียวของเธอไม่สบาย ต้องผ่าตัด
คุณแม่อาจจะเสียชีวิต และ ต้องใช้เงิน

นี่คงเป็นประโยคคำถามที่ จริงใจที่สุด

และมันก็ทำให้ข้าพเจ้า คนที่ได้ฟังรู้สึก…เจ็บปวดที่สุด …

ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ย?

แต่หนูร้องเพลงได้นะ เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้คุณหมอฟัง
แทนให้เงินได้ไหมคะ

ผมรีบดึงสติออกมาจากความสงสารแล้วตอบว่า

ไม่เป็นไรลูก ไม่เก็บเงินนะครับ หนูเก็บไว้กินขนมเถอะ

เออ แล้วถ้าลุงอยากฟังเพลง หนูจะร้องเพลงให้ฟังจริงๆเหรอ

น้องลูกแก้ว ยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินว่าลุงหมอจะผ่าตัดให้แม่ของเธอแบบไม่เก็บตังค์

เธอเลิกกอดกับแม่ ลงจากตัก แล้วลงมายืนที่ขอบโต๊ะ
แล้วร้องเพลงให้ผมได้ฟังในทันที

… แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปล
ไม่ห่างหันเหไปจนไกล…

แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่
นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนา
เพราะค่าน้ำนม

ทุกคนในห้องตรวจ เงียบ นิ่งสนิท คุณมาลัยพร คว้าน้องลูกแก้วไปกอดแน่น

พอแล้วลูกไม่ต้องร้องเพลงแล้วค่ะ เดี๋ยวแม่ก็หายแล้วลูก…

ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆครับ
ไม่รู้จะใช้อักษร หรือคำว่าอะไร มาบรรยายในความรู้สึกดีครับ

คิดถึงแม่ตัวเองเหลือเกิน

คุณพยาบาลที่คอยช่วยกันอยู่ข้างๆ จากเดิมที่คอยยืนเชียร์ ก็ยืนเช็ดน้ำตาเบาๆ
บอกว่ามีลูกสาวเหมือนกัน
ฉันเข้าใจเธอ

ผมไม่ได้ร้องไห้ด้วยครับ
แต่ก็ไม่แน่ใจว่า นัยตาออกแดงๆไหมนะ

ด้วยพลังจิตที่น้องลูกแก้วถ่ายทอดเป็นเสียงเพลงออกมา
ผมทิ้งงานไป หนึ่งวัน เพื่อเอาเวลาว่าง มาทำผ่าตัดให้คุณมาลัยพรเป็นกรณีพิเศษ
เอ็นดูน้องลูกแก้วเหลือเกิน
เกินต้านมากครับ

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี
คนไข้นอนโรงพยาบาล7 วัน เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งการผ่าตัดซับซ้อน

ระหว่างนอนในโรงพยาบาล
เพื่อนๆและผู้จัดการโรงงาน ก็มาเยี่ยมคนไข้ทุกวัน ทำให้ผมได้รู้ว่า คุณมาลัยพรเป็นคนดี
มีแต่คนรักเถ้าแก่เจ้าของโรงงานก็ให้เลขานำเงินมาให้ ใส่ซองสีขาว เอาไว้ใช้จ่ายระหว่าง
ไม่สบาย

ส่วนน้องลูกแก้วก็ฝากไว้กับยายที่พักอยู่ห้องข้างๆ เมื่อคุณมาลัยพรหายดีกลับบ้านจึงไปรับลูกสาว

นี่คือ น้ำใจคนไทยครับ
บ้านใกล้เรือนเคียง

ผลชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก การผ่าตัด Free margin _ แปลง่ายๆว่า ตัดมะเร็งออกมา
หมดครับ จึงไม่ต้องฉายรังสี ไม่ต้องรับเคโมเลย

วันที่กลับบ้าน ยายบ้านข้างๆ พาน้องลูกแก้วมารับแม่ที่โรงพยาบาล ผมบังเอิญเดินสวนกับ
เจ้าตัวเล็กที่ห้องจ่ายยาพอดี

เสียงใสใสที่คุ้นหูตะโกนเรียก…

คุณหมอจ๋าาา หนูมารับแม่กลับบ้าน หนูไม่มาหาหมอแล้วนะจ๊ะ

เธอวิ่งเข้ามาเหมือนจะกอดขา แต่ผมหยุดเธอเอาไว้ก่อนกลัวจะเอาเชื้อโรค
ไปติดเด็กเพราะผมเพิ่งตรวจคนไข้โรคติดเชื้อมาครับ

น้องลูกแก้วยื่นซองสีขาวมาให้

เถ้าแก่เจ้าของโรงงานให้จดหมายแม่หนู

แม่บอกให้หนูเอามาให้คุณหมอจร๊ะ

ผมรับซองจดหมายของเจ้าตัวเล็กมาเปิดอ่าน

อ้าว นี่ไม่ใช่ซองจดหมาย

ข้างในมันมีแบงค์พัน 8 ใบครับ

ผมพับซองกลับไป แล้วยืนให้น้องลูกแก้ว ลุงอ่านแล้วลูก ขอบคุณนะ
หนูเอาซองจดหมายนี้ไปให้แม่นะลูก

ฝากบอกแม่ว่า ลุงหมอสั่งให้เก็บไว้นะครับ ฝากแม่ของหนูเก็บไว้นะ…
รอให้หนูขึ้นโรงเรียน_อ่านหนังสือออก ก็ให้จดหมายนี้กับลูกแก้วนะครับ

ลุงหมอขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆนะครับ

ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยะ?

และนี่ก็คือคำตอบทั้งหมด
ที่ลุงหมออยากจะตอบหนู

ต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากันก็จริง แต่สิ่งที่คุณมาลัยพรมีอยู่ มีค่ามากกว่าเงินทองเยอะเลยครับ
นั่นคือแก้วตาดวงใจของแม่นั่นเอง

ขอให้หายไวไว มีสุขภาพที่แข็งแรง มีชีวิตอยู่ยืนยาว ดูน้องลูกแก้วเติบโตในทุกวันนะครับ

ขอจบการเล่าเรื่องราวนี้ไปด้วยบทเพลงจากน้องลูกแก้วนะครับ

… แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง

ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล

แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล

ไม่ห่างหันเหไปจนไกล…

แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม

แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ

เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่

นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนา

เพราะค่าน้ำนม....

หากวันนี้เรากำลังท้อแท้ใจ

ลองคิดถึงแม่ในวันวานนะครับ แม่คงอยากเห็นเราเข้มแข็งนะ

ร้องไห้ให้ใจเบา กับไปกอดแม่เราที่บ้านกัน...

:s002: :s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:07 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 25, 2022 10:36 pm

( 4 )

#อย่าตัดสินคนอื่นโดยที่เรายังไม่รู้ความจริง
.
พระรูปหนึ่งต้องขับรถออกจากวัด
ยามกลางคืน เพื่อนำสามเณรที่ป่วยหนัก
รีบไปโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน
เพราะคนขับรถวัดกลับไปเยี่ยมแม่

มีคนเห็นเลยถ่ายรูป ลงโซเชี่ยล
มารศาสนาขับรถท่องราตรี

#คนพากันด่าและเสื่อมศรัทธาอย่างมาก

นภา
พยาบาลสาวกำลังกดโทรศัพท์ส่งไลน์
รายงานผลเลือดคนไข้ให้คุณหมอ

คนเห็นนภานั่งกดโทรศัพท์
ถ่ายรูปลงโซเชี่ยล บอกคนไข้เยอะแยะ
ยังห่วงเล่นแต่โทรศัพท์

#ชาวเน็ตรุมด่านภาไม่มีชิ้นดี

ขจร
วินมอร์ไซค์ปากซอย
กำลังใช้ไม้ฟาดชายคนนึง
ที่พึ่งกระชากสร้อย ผ่านมา

คนเห็นถ่ายรูปลงโซเชี่ยล
ว่าวินโหดฟาดไม่ยั้งคนไม่มีทางสู้

#คนรุมด่าขจรทั้งประเทศ

พระมานพ
มีแม่ที่ป่วยติดเตียงอยู่บ้าน
บ่ายสองน้องชายไปธุระในเมือง
วานให้พระหาข้าวให้แม่กิน

พระมานพ
ซื้อเกาเหลาเนื้อกระเพาไก่
ของโปรดไปให้แม่ตอนบ่ายสอง
คนเห็นถ่ายรูปพระซื้อข้าวลงโซเชียล

#คนรุมด่าทั้งพระทั้งวัดกันทั้งประเทศ

นี่คือโซเชียลมีเดีย...
ที่มีคนจำนวนไม่น้อย
ตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เห็น

และทำตัวเป็น”ศาลโซเชียล”
พิพากษาชี้ผิดชี้ถูกคนอื่น!

จะมีสักกี่คน ที่มองเรื่องราวต่างๆอย่างรอบด้าน
แล้วสืบค้นหาข้อเท็จจริงจากสิ่งที่เห็น
เพื่อนำมาสู่การตัดสินที่ถูกต้อง

บางคนชอบตัดสินผู้อื่นตาม
จากสิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า
ด่าไว้ก่อน ก่อนหาความจริงเสียอีก

เราต้องยอมรับว่า
มีคนประเภทนี้อยู่ในโซเชียลมีเดีย

บางครั้งเราได้รับข้อมูลด้านเดียว
ไปด่าคนอื่นแล้ว ได้รับข่าวสารไม่ครบถ้วน
ไปตัดสินคนอื่นเขาแล้ว...

หลายคนเคยด่า เคยว่าคนอื่นเสียหาย
ยิ่งด่า พิมพ์คำหยาบคายเท่าไหร่
ยิ่งประจาญตัวเองมากเท่านั้น

โลกไม่ได้มีด้านเดียว
อย่ามองอะไรด้านเดียว มุมเดียว

อย่า...ตัดสินคนอื่น
จากความคิดตัวเองอย่างเดียว!

อย่าพึ่งตัดสินคนอื่น โดยที่เรา
ยังไม่รู้ความจริงในสิ่งที่เขาเป็นอยู่

Cr : เพื่อนในไลน์ส่งมาจ้า

:s015:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มี.ค. 12, 2022 5:01 pm

( 5 )

หลังจากที่พ่อจากไปสิบกว่าปี ฉันต้องขอร้องแกมบังคับ แม่จึงยอมที่จะมาอยู่ด้วย

ปีนี้แม่อายุได้ 70 ส่วนฉันอายุ 40 แม้แม่จะอายุมากแต่ก็แข็งแรงหน้าตาสดใส

วันที่ไปรับแม่นั้น แม่เตรียมตัวและเตรียมของต่าง ๆ ไว้แล้ว นอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วยังมี
ข้าวสารอีกสองกระสอบ ฉันไม่อยากเอาข้าวสารไปด้วย เพราะรถฉันคันเล็กที่เก็บของก็แคบมาก
แม่ยืนยันว่าจะต้องเอาไป

ฉันเห็นแม่ยืนยันอย่างนี้ ก็งงไปครู่หนึ่ง จนฉันเอื้อมมือไปลูบที่ถุงข้าวสาร ก็เจอถุงแข็ง ๆ ที่ใต้ถุง
ข้าวสารนั้น หากฉันทายไม่ผิด ถุงแข็ง ๆ นั้นก็คือเงินที่แม่จะให้ฉันแน่ ๆ การเอาเงินซุกไว้ที่
ถุงข้าวสาร เป็นสิ่งที่แม่ทำมานานแล้ว

สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่ฉันกำลังแต่งงานใหม่ ๆ เช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ เป็นช่วงที่การเงินขัดสนที่สุด
สิ่งที่ฉันอยากได้ในตอนนั้นก็คือตู้เสื้อผ้า (ก็ฉันเป็นผู้หญิงนิ!)

หน้าหนาวในปีนั้น แม่ส่งข้าวสารมาครึ่งกระสอบ เมื่อสามีของฉันเทข้าวสารใส่ถัง ก็เห็นถุงเงิน
ที่ซ่อนอยู่ในข้าวสารนั้น ในซองเงินนั้นมีข้อความแผ่นเล็ก ๆ เป็นลายมือของพ่อ เขียนว่า
”ให้ลูกซื้อตู้เสื้อผ้า” เย็นวันนั้นฉันได้แต่นั่งร้องไห้

หลายปีมานี้ แม่มักจะนำเงินที่เก็บหอมรอมริบซ่อนในถุงข้าวสารส่งมาให้พวกเราเสมอ ไม่ว่าจะ
เป็นพี่ใหญ่พี่รอง ฉันแต่งงานออกเรือนมาก็หลายปี แม่ยังคงห่วงค่าใช้จ่ายของฉันอยู่

ครั้งนี้ฉันล้วงเอาถุงเงินออกมาคืนให้แม่ แม่บอกกับฉันว่า
“อันนี้แม่ให้ถงถงไว้ซื้อของเล่น”

ถงถงเป็นหลานยาย แม่คงจะได้ยินถงถงรบเร้าฉันให้ซื้อรถแข่งของเล่นให้ตอนที่พาแกมาเยี่ยมยาย
ครั้งที่แล้ว แต่เพราะมันราคาแพงฉันก็เลยไม่ได้ซื้อให้ลูก ดูสิ! แม่ยังจำได้อยู่เลย

ในความทรงจำของฉัน แม่เป็นคนกล้าให้คนหนึ่ง ไม่ว่าจะต่อลูก ๆ ญาติ ๆ หรือเพื่อนบ้าน แม่ให้
ความรัก ให้สิ่งของ ให้เขายืมเงิน ให้แรงกายในการช่วยงานเพื่อนบ้านอยู่เสมอ

ฉันสงสัยอยู่เสมอว่า แม่ผอม ๆ อย่างนี้ไปเอาแรงมาจากไหนมากมาย แต่เพราะมีบ้านแม่อย่างนี้
แหละที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบากับลูก ๆ เสมอ

แม่มาอยู่กับฉันได้เพียงแค่อาทิตย์เดียว คุณนายบ้านตรงข้ามก็เอาเชอรี่จานใหญ่มาให้ ฉันจำได้ว่า
ตอนที่ฉันย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ เราทะเลาะกันเพราะปัญหาการซ่อมแซมบ้านของฉัน
จากนั้นมา เราทั้งสองบ้านก็ไม่มองหน้ากันอีกเลย

แต่นี่เขาเอาเชอรี่สด ๆ มาให้ ทำให้ฉันอึ้งไม่รู้จะกล่าวขอบคุณว่าอย่างไร มันตะขิดตะขวงใจอยู่
เธอก็คงจะรู้สึกเหมือนกับฉัน พูดด้วยสีหน้าเขิน ๆ ว่า
“ขอบคุณสำหรับของหวานนะ ลูก ๆ ของฉันชอบมากเลย”
ฉันจึงถึงบางอ้อว่าเชอรี่จานนี้เธอเอามาให้แม่ฉันนั่นเอง

แม่รู้ว่าฉันทิฐิสูง จึงไปเคาะบ้านของคนอื่นก่อน เอาของหวานเอาขนมเอาบะจ่างไปให้เขา
ในสายตาของแม่ “ญาติไกลไม่สู้เพื่อนบ้าน” แม่เอาความจริงใจช่วยสลายปมของฉันกับคุณนาย
บ้านตรงข้าม ไม่เพียงแต่บ้านตรงข้าม แม่เที่ยวผูกมิตรไปทั่วกับคนในหมู่บ้าน เพราะสิ่งนี้แม่ก็ทำ
กับเพื่อนบ้านที่ต่างจังหวัด ของกินเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่ของกินอย่างนี้
หากินในเมืองไม่ค่อยได้ มันจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ

ช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านดีขึ้นมาก แม่แก่ ๆ ที่ไม่รู้หนังสืออะไรเลย กลับสามารถ
ผูกมิตรกับคนไปทั่ว เพราะการให้ของแม่จึงเอาชนะใจคนมากมาย ฉันเรียนสูงเสียเปล่ากลับเอา
ชนะใจเพื่อนบ้านไม่ได้เลย

แม่มักจะบอกว่า “ลูกให้ในสิ่งที่ดีแก่คนอื่น คนอื่นก็จะให้สิ่งที่ดีแก่ลูก”
สำหรับแม่แล้ว แม่คือ “ผู้หญิงชาวบ้าน”คนหนึ่ง พูดอะไรก็มาจากความจริงใจ ส่วนฉันที่เป็นคน
สังคมเมือง “ผู้มีการศึกษา” กลับรู้สึกว่าประโยคที่แม่พูดมานั้นเป็นอะไรที่ลึกซึ้งจังเลย

แม่มาอยู่กับฉันได้ 3 ปี ปรากฏว่าตรวจพบเป็นมะเร็งปอด ร่างกายของแม่โทรมเร็วมาก
จนไม่สามารถยืนได้ วันไหนอากาศดี ฉันจะอุ้มแม่ออกมานั่งเก้าอี้หน้าบ้าน ตากแดดเป็น
เพื่อนแม่ แม่เริ่มกินข้าวไม่ค่อยได้ แม้แต่จิบน้ำก็อาเจียนออกมา แต่แม่ไม่เคยแสดงถึงความ
เจ็บปวดใด ๆ ให้ฉันเห็นเลย ทุกครั้งที่แม่ตื่นนอน ใบหน้าก็จะเปื้อนด้วยรอยยิ้มเสมอ

วันนั้น แม่พูดกับฉันว่า
“พ่อของลูกมารับแม่แล้วนะ”
“แม่คะ หนูไม่ให้แม่ไปนะ”
ฉันจับมือแม่แน่น แล้วเปลี่ยนเป็นกอดแม่ไว้

“แต่ครั้งนี้ลูกต้องรู้จักให้”
แม่ยิ้มขึ้นมา เอื้อมมือมาจับแก้มฉัน แล้วมือของแม่ก็ตกลงไป
“แม่! หนูไม่ให้แม่ไปนะ แม่!”

วันส่งศพแม่ ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่มาร่วมงานเต็มไปหมด ถือว่าเป็นงานใหญ่
ทีเดียว ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คงเป็นศพผู้หลักผู้ใหญ่หรือไม่ก็นักธุรกิจแน่ ๆ”

ทั้งชีวิตของแม่ แม่คือผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แม่ไม่ได้ถูกอบรมหรือเรียนจากโรงเรียนใด ๆ มาก่อน
แต่แม่เป็นคนที่มีใจให้ แม้ว่าแม่จะสอนให้ฉันรู้จักให้ แต่การ “ให้แม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ”อย่างนี้
ยังไงฉันก็ทำใจให้ไม่ได้

.....

อย่ารอให้ถึงวันแม่แล้วค่อยโทรหาแม่
ค่ำนี้โทรหาและบอกกับท่านว่าคุณคิดถึง
ตอนนี้คุณไม่พูด เกรงว่าวันที่คุณอยากพูดและตะโกนให้ดังแค่ไหน ท่านก็คงไม่ได้ยิน!
.....

นุสนธิ์บุคส์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 15, 2022 4:57 pm

( 6 )

ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง อาจารย์ได้ถามเหล่าศิษย์ทั้งหลายในเรื่องการปกครอง
สิ่งที่นักปกครอง จึงควรมีเป็นอันดับแรกคือสิ่งใด

หานจิ้งศิษย์คนรองว่า "ปัญญาครับอาจารย์ คนจะดูแลชาติได้ต้องมีปัญญาครับ
เพราะไม่เช่นนั้นเราจะดูแลประชาแบบผิดทิศผิดทาง"
อาจารย์ลูบเคราให้และยิ้มให้เขา พยักหน้าเห็นด้วยอย่างชื่นชม ทุกคนปรบมือชอบใจคำตอบนี้

เหลยอวิ๋นศิษย์คนที่ห้าว่า "ข้าว่าประสบการณ์ครับ ถ้าไร้ประสบการณ์ ก็จะไม่สามารถเข้าใจ
ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ครับ"
อาจารย์ยิ้มรับพึงพอใจและบอกว่าเข้าที ศิษย์คนอื่นๆว่าน่าคิดมากๆ เพราะหากไร้
ประสบการณ์ย่อมทำอะไรสำเร็จยาก

จางจื้อศิษย์คนที่สามให้ความเห็น "รับฟังครับ เพราะการรับฟังปัญหาของประชาชนจะทำให้เรา
ได้เข้าใจและเมื่อเข้าใจเราจะหาทางแก้ปัญหา"
อาจารย์ชมว่าดีมากๆและศิษย์คนอื่นพยักหน้าว่าเข้าที

โจวเฟยศิษย์คนที่สี่พูดว่า "การรู้จักใช้คนครับ คนเราไม่เก่งทุกอย่าง หากรู้จักวางคนถูกตำแหน่ง
ประชาจะสุขสบาย และสามารถพัฒนาชาติไปได้ครับ"
อาจารย์ยิ้มปลื้มใจ หลายคนเห็นว่าเป็นคำตอบที่เข้าทีเช่นกัน

กานหยางศิษย์คนที่หกเห็นแตกต่าง เขามองว่ากฎหมายต้องเข้มแข็ง คนจึงจะอยู่ในวินัย
ประเทศจึงพัฒนา
อาจารย์ปลาบปลื้ม เอ่ยคำชมมากมาย ศิษย์คนอื่นๆคิดตามก็เห็นว่าจริง

อาจารย์หันมองศิษย์คนแรกที่นั่นที่นั่งเงียบฟังทุกคนอย่างสงบ อาจารย์เลิกคิ้วถาม
"อาชวน เจ้าคิดเช่นไรรึ"

โอหยางชวนตอบอาจารย์ "ตามความเห็นข้า มิอาจขาดได้แม้อย่างเดียวในสิ่งที่ศิษย์น้อง
พูดมาทั้งหมด

คนจะปกครองคนต้องมีปัญญาความรู้จริงๆครับ เพราะคนมีปัญญาจะไม่หูเบา
ไม่เชื่อคนง่าย และจะรู้จักคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ

แต่คนมีปัญญความรู้หากขาดประสบการณ์ย่อมแก้ปัญหาไม่เป็น เพราะเขาจะไม่เข้าใจ
มองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของปัญหานั้นๆ

คนมีประสบการณ์ไม่ฟังผู้อื่นย่อมไม่ทราบปัญหาที่แท้จริง และสุดท้ายจะไม่ได้อะไรเลย

ผู้ที่รับฟังคนอื่นๆ แต่ใช่จะจัดการงานทุกอย่างได้ทั้งหมด ต้องมีคนเก่งมาช่วยจัดการงาน
วางคนให้ถูกหน้าที่ งานจึงลุล่วง

แต่เมื่อเราอยู่กับคนหมู่มากต่างจิตต่างใจ ต่างที่มา ต่างการอบรม กฎหมายที่ชัดเจนและ
เข้มแข็งจึงจะสามารถควบคุมผู้คนอยู่ได้ แม้แต่ตัวผู้ใช้กฎหมายเองก็ต้องอยู่ภายใต้
กฎหมายนั้นๆเช่นกัน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำจักต้องมีคุณธรรม มีจิตสำนึกถึงผู้อื่นครับ หากไร้ซึ่งคุณธรรมอันเป็น
รากฐานที่สำคัญ ทุกข้อที่มีจะถูกขับเคลื่อนไปผิดเส้นทาง"

ศิษย์น้องทั้งหมดหันหน้ามาหาศิษย์พี่ใหญ่ ก้มกราบคำนับทันทีที่ฟังคำอธิบายจบสิ้น
แม้แต่อาจารย์ก็น้ำตาคลอ พูดด้วยความปลาบปลื้ม "มิเสียทีที่อบรมสั่งสอนเจ้ามาอย่างเข้มงวด
เจ้าเป็นศิษย์พี่ที่เหมาะสมและคู่ควรเป็นอาจารย์ของอนุชนรุนถัดไป ส่วนพวกเจ้าทุกคน มี
ความคิดอ่านที่ดีแบบนี้ประเทศใด แคว้นใด ได้พวกเจ้าไปย่อมนำความรุ่งเรืองมาสู่แผ่นดินโดยแท้"

แผ่นดินจะอยู่รอดปลอดภัยหากผู้ปกครองมีคุณธรรม และความจริงใจ สิ่งที่เหลือจะหลั่งใหลมาเอง

ด้วยความเคารพ...
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 5:52 pm

( 7 )

🚕แท็กซี่ส่งความสุข: Chuo Taxi】

สามีภรรยาคู่หนึ่ง เรียก🚕แท็กซี่จากวัด กลับไปที่โรงแรม
ระหว่างทาง 'สามี' เมารถจนอาเจียน และเลอะเสื้อนอก
'ภรรยา' กลัวว่ารถจะเหม็นกลิ่นอาเจียน จึงรีบให้สามีถอดเสื้อใส่ถุงพลาสติก
และมัดปากถุงจนแน่น
เมื่อถึงโรงแรม เธอฝากให้ 'คนขับแท็กซี่' นำเสื้อไปทิ้งให้ที
วันถัดมา ขณะที่สามีภรรยาคู่นั้นจะเช็คเอ้าท์ พนักงานโรงแรมแจ้งว่า "มีคนฝากพัสดุไว้ให้"
เมื่อพวกเขาเปิดดู ก็พบเสื้อสเวตเตอร์ซักสะอาดเรียบร้อย
....จากคนขับแท็กซี่คนนั้น นั่นเอง
+++++++++++++
จุดประสงค์ของบทความนี้ ไม่ได้มุ่งเชิดชูการบริการแท็กซี่ญี่ปุ่น เพื่อกระทบกระเทียบแท็กซี่
บ้านเรา หรือตะโกนแห้งๆ ว่า “ทำไมบ้านเราไม่มีอย่างนี้บ้าง”

จริงๆ แล้ว สถานการณ์แท็กซี่ญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีก่อน ก็ไม่แตกต่างจากเมืองไทย คนขับไม่อยาก
ขับไปส่งผู้โดยสารที่เรียกรถใกล้ๆ กิริยามารยาทคนขับไม่ดี

'Utsunomiya Tsunehisa' (宇都宮恒久) ชายหนุ่มวัย 25 ก็รู้สึกหดหู่ในวงการแท็กซี่ญี่ปุ่น
เช่นกัน เขาตัดสินใจพลิกวงการแท็กซี่ โดยปฏิรูป 'บริษัท Chuo Taxi' ในจังหวัดนากาโนะ
ให้กลายเป็นบริษัทที่มุ่งมั่นบริการผู้โดยสารอย่างแท้จริง

เขาสร้างหลักปรัชญาบริษัทว่า "ลูกค้ามาก่อน กำไรมาทีหลัง"
++++++++++
ในปี ค.ศ. 1975 พ่อของ 'Utsunomiya' เข้าซื้อบริษัทแท็กซี่เล็กๆ แห่งหนึ่ง สมัยนั้น
คนขับแท็กซี่ส่วนใหญ่มารยาทไม่ดี หน้าร้อน ก็ใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวขับรถรับส่งผู้โดยสาร
วันใด รายได้น้อย คนขับก็บ่นและตะคอกผู้โดยสาร

'Utsunomiya' ต้องเข้าไปช่วยบิดาบริหารบริษัทที่ 'คนขับแท็กซี่' เหมือนเป็น 'ยากูซ่า' เหล่านี้

วันหนึ่ง 'Utsunomiya' เห็นลูกน้อง 3-4 คน ถือสายฉีดน้ำ
ไล่ฉีดผู้ชายคนหนึ่ง อยู่ตรงด้านหลังบริษัท เมื่อเขาถามว่า "เกิดอะไรขึ้น"
ลูกน้องบอกว่า “ไอ้คนนี้มันไม่ยอมจ่ายเงิน”
'Utsunomiya' หันไปถามผู้ชายที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นๆ คนนั้น
เขาบอกว่า “ผมเมาเหล้า พอขึ้นรถ ใกล้จะถึงปลายทาง
ผมบอกเขาว่า ผมลืมกระเป๋าสตางค์ ขอให้ไปส่งถึงที่บ้าน แล้วเดี๋ยวจะหยิบเงินให้ แล้วพวกนี้
ก็หาว่าผมเมาแล้วเบี้ยว จนทำกับผมแบบนี้ ผมจะไม่นั่งแท็กซี่บริษัทคุณอีกต่อไปแล้ว!”

'Utsunomiya' สะเทือนใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก จนเขาบอกกับตัวเองไว้ว่า
“เราต้องเปลี่ยนบริษัทแท็กซี่แห่งนี้ให้ได้”

เขาค่อยๆ ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในการปรับความคิดของพนักงาน ทว่า... ไม้แก่ดัดยากเหลือเกิน
'Utsunomiya' จึงใช้นโยบายใหม่ ค่อยๆ เริ่มจ้างพนักงานที่
“ไม่เคยมีประสบการณ์ขับแท็กซี่มาก่อน” เท่านั้น เขาค่อยๆ ฝึกพนักงานหน้าใหม่เหล่านี้
เมื่อเวลาผ่านไป พนักงานเก่าแบบยากูซ่าก็ลาออกไปเรื่อยๆ เขาก็รับพนักงานหน้าใหม่น้ำดี
เข้ามาเรื่อยๆ

'Utsunomiya' จัดงานเลี้ยงและกิจกรรมต่างๆ บ่อยๆ เพื่อให้พนักงานสนิทกัน
และร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น

'Utsunomiya' วางกฎไว้แค่ 3 ข้อ
1. เมื่อลูกค้าขึ้นรถ ต้องกล่าว "สวัสดี" และแนะนำชื่อตัวเอง
2. พกร่มติดรถไว้เสมอ วันไหนฝนหรือหิมะตก ต้องคอยดูแลผู้โดยสาร
3. บริการแบบ 'door to door' ช่วยลูกค้าขนของ หรือพยุงไปส่งถึงหน้าประตูบ้าน
การบริการต่างๆ นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ ล้วนเป็นสิ่งที่พนักงานทำเองทั้งสิ้น

ฝาหนังบริษัท มีมุม Heartful card ให้พนักงานเขียนการ์ด เล่าเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น
พนักงานก็อ่านกันเอง และซึมซับเรื่องราวดีๆ จากเพื่อนร่วมงาน

ครั้งหนึ่ง แม่ลูกจากโตเกียวมางานแต่งงานที่นากาโนะ
อากาศที่นั่นหนาวกว่าที่โตเกียวมาก คุณแม่จึงขอให้คนขับ พาไปร้านขายถุงเท้า
เพื่อจะซื้อให้ลูกชายใส่
เนื่องจากตอนนั้นยังเช้าอยู่มาก ยังไม่มีร้านค้าที่ไหนเปิด แม่ลูกจึงจำใจต้องตัดใจ
และมุ่งไปที่โบสถ์
แต่ก่อนที่พิธีจะเริ่ม คนขับคนเดิม ได้มาที่สถานที่จัดงานอีกครั้ง พร้อมยื่นถุงเท้า 2 คู่ ให้กับแม่ลูก
"ผมไม่แน่ใจว่า น้องใส่ไซส์ไหน จึงลองซื้อมาทั้ง 2 คู่ ครับ หวังว่าจะช่วยให้น้องอุ่นขึ้นนะครับ"
คนขับไปรอร้านขายถุงเท้าเปิด และรีบซื้อถุงเท้ามาให้แม่ลูก
แม่ลูกประทับใจจนน้ำตาไหล
วันที่เด็กชายคนนี้เรียนจบ เขาใส่ถุงเท้าคู่นี้เข้าพิธีสำเร็จการศึกษา
แม่ลูกยังเก็บถุงเท้า 2 คู่นั้น จนถึงบัดนี้
+++++

'Utsunomiya' บอกลูกน้องเสมอว่า : อาชีพของเรา ได้เข้าไปสัมผัสชีวิตของผู้โดยสาร
อย่าคิดว่า “ก็แค่ขับแท็กซี่”

ด้วยการบริการที่สุภาพนอบน้อม จริงใจ และมุ่งมั่นทำเพื่อลูกค้าอย่างแท้จริง 'Chuo Taxi'
มีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคนขับไม่ต้องไปจอดรถรอรับลูกค้าที่หน้าสถานีรถไฟ
เหมือนบริษัทอื่น ร้อยละ 90 ของผู้โดยสาร มาจากการโทรจองทั้งหมด
+++++++
"ลูกค้ามาก่อน"

ในปี 1998 มีการจัดกีฬาโอลิมปิคที่จังหวัดนากาโนะ ทางรัฐก็เสนอบริษัทแท็กซี่
รวมถึง 'บริษัท Chuo' ว่า จะมีออเดอร์พิเศษ ให้คอยรับส่งนักกีฬาและนักข่าว

'Utsunomiya' เห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดี จึงเล่าให้พนักงานคนหนึ่งฟัง ขณะที่นั่งรถกลับ
จากการประชุม พนักงานคนนั้นกล่าวว่า “แล้วอย่างนี้ ใครจะไปรับคุณยายที่โรงพยาบาลล่ะครับ
แกต้องไปโรงพยาบาลทุกวันนะครับ”

'Utsunomiya' ชะงักไป และตัดสินใจเรียกพนักงานทั้งหมดมาหารือว่า ควรรับออเดอร์งาน
โอลิมปิคหรือไม่ ปรากฎว่า ทุกคนเห็นตรงกันว่า "พวกเขาควรรับใช้ลูกค้าประจำเช่นเดิมดีกว่า"
นั่นทำให้รายได้ของบริษัท หล่นจากที่ #1 ลงมาเป็นที่ #6
เพราะ ไม่ยอมรับรายได้พิเศษจากงานโอลิมปิค

แต่น่าแปลก ... หลังจากกีฬาโอลิมปิคจบ 'Chuo Taxi' กลับมียอดขายที่สูงขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะ
ผู้โดยสารของบริษัทอื่น ได้ลองใช้บริการช่วงโอลิมปิคจนติดใจ และกลายมาเป็นลูกค้าของบริษัทอีก

แม้คู่แข่งเจ้าอื่น จะลดราคามาแข่ง แต่ก็ไม่สามารถแย่งลูกค้ากลับคืนมาได้ 'Chuo Taxi'
ก้าวขึ้นเป็นเจ้าตลาดอีกครั้ง
+++++++
“ลูกค้ามาก่อน กำไรตามมาทีหลัง” นี่เป็นคำกล่าวที่พนักงานทุกคนของ 'Chuo'
ต้องท่องพร้อมกันทุกเช้า

นี่คงเป็นเหตุผลที่พนักงานขับรถแท็กซี่คนหนึ่ง ตัดสินใจ นำเสื้อสเวตเตอร์เลอะอาเจียน
ของผู้โดยสารกลับไปซักและนำกลับมาส่ง โดยที่เขาไม่ได้ทิป หรือไม่สามารถเบิก
ค่าซักแห้งใดๆ ได้เลย เพียงเพราะเขาเห็นว่า เสื้อสเวตเตอร์ที่ผู้โดยสารใส่มาเที่ยว
คงจะเป็นเสื้อตัวเก่งของเขาแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจซัก แทนที่จะนำไปทิ้ง

'คุณยายคนหนึ่ง' เขียนจดหมายมาถึงบริษัทว่า
“ฉันมีความสุขมากที่ได้นั่งรถแท็กซี่ของ 'Chuo' คนขับทุกคนใส่ใจฉัน ดูแลฉันเป็นอย่างดี
บางครั้ง แม้ว่าฉันเดินๆ อยู่ และไม่ได้นั่งแท็กซี่ แต่พอเห็นรถของ 'Chuo' วิ่งผ่านมา
ฉันก็รู้สึกอบอุ่นแบบดีใจนะ ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

ลูกค้ามาก่อน กำไรมาทีหลัง ....
และตามมาอย่างงดงาม

ปัจจุบัน 'Chuo Taxi' มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาท/คัน
ขณะที่ค่าเฉลี่ยของบริษัทอื่นๆ อยู่ที่เดือนละ 250,000 บาท

จากบริษัทที่มีแต่พนักงานที่ขับรถไปวันๆ โวยวายลูกค้า ก็เปลี่ยนเป็น บริษัทที่พนักงานยินดี
ทำทุกอย่าง เพื่อให้ลูกค้ามีความสุขที่สุด

เราเปลี่ยนองค์กร เปลี่ยนสังคมได้ค่ะ

Cr : Japan Gossip by เกตุวดี Marumura
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 24, 2022 11:47 pm

( 8 )

ทันทีที่ได้ยินข่าวว่า มีคนกลุ่มหนึ่งรวมเงินกันถึง 8 ล้านบาท เพื่อซื้อนาเกลือเก่าให้นกอพยพ
ใช้เป็นที่พักอาศัย หลายคนอาจสงสัยว่า มีคนทำแบบนี้จริงๆ หรือ แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ในสังคมไทย เพราะหนึ่งในนกที่พวกเขาระดมทุนซื้อที่ดินให้นั้น ไม่ใช่นกธรรมดา แต่เป็นนก
ชายเลนปากช้อน นกหายากที่คาดว่าทั่วโลกจะหลงเหลือไม่เกิน 400 ตัว และหนึ่งในจุดที่มี
การบันทึกว่า พบนกชนิดนี้รวมตัวกันมากที่สุด ก็คือ นาเกลือบริเวณบ้านปากทะเล หมู่บ้านเล็กๆ
ใน ต.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี นั่นเอง

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจากการที่มีนักปักษีวิทยาต่างชาติคนหนึ่งเข้ามาศึกษาติดตามการ
อพยพของนกในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน แล้วเขาก็ได้รับคำแนะนำจากนักดูนกท้องถิ่นให้ลองเข้ามา
สำรวจพื้นที่ในบ้านปากทะเล ซึ่งปรากฏว่าเขาก็ได้พบกับนกชายเลนหลายสายพันธุ์ โดยเหตุผลที่
นกมาอาศัยในพื้นที่นี้ชุกชุมอาจเป็นเพราะตอนบนของชายหาดเป็นหาดเลน ส่วนตอนใต้เป็นหาดทราย
ทำให้มีนกชายเลนที่หากินจากหาดเลนและหาดทรายเข้ามาใช้พื้นที่รวมกัน โดยเฉพาะนกชายเลน
ปากช้อน ซึ่งเป็นนกขวัญใจของนักดูนก เพราะรูปปากที่เป็นเอกลักษณ์ดูคล้ายช้อนชา แถมตัวก็เล็กมาก
จนหลายคนเรียกนกชนิดนี้ว่า ‘สปูนนี่’ โดยปกติเจ้าสปูนนี่จะบินหนีอากาศหนาวมาจากรัสเซีย รวมระยะ
ทางกว่า 8,000 กิโลเมตร มาแวะพักบริเวณนี้ แต่ในช่วงสภาพแวดล้อมที่ จ.เพชรบุรีเปลี่ยนไป มีแหล่ง
อาหารที่เหมาะสมลดลง ส่งผลให้ปริมาณนกลดลงอย่างต่อเนื่องตามไปด้วย สมาคมอนุรักษ์นกและ
ธรรมชาติ แห่งประเทศไทย จึงร่วมกับนักดูจากทั่วโลกหาบ้านที่ปลอดภัยแก่นกหายากชนิดนี้ และนำไป
สู่การระดมทุนซื้อที่ดิน ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

ผลของความร่วมแรงร่วมใจครั้งนี้ ส่งผลให้มีนกอพยพกลับมามากขึ้น แต่ที่สำคัญมากกว่าคือ
ได้เกิดกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เคยเสียหายไปให้กลับมางดงาม เพื่อรับรอง
การใช้ชีวิตของนกที่ต้องการอาศัยอยู่ในระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ซึ่งสิงห์เชื่อมั่นว่า นี่จะเป็นโมเดลที่ช่วย
ให้ผู้คนหันกลับมาตระหนักและเกิดแรงบันดาลใจที่ร่วมแรงร่วมใจรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คง
อยู่โลกใบนี้ต่อไปนานๆ นะครับ

(หลังจากบทความเผยแพร่ออกไป อ.นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ ได้ทักท้วงเข้ามาว่า
อาจมีผู้อ่านเข้าใจผิดคิดว่าสิงห์เป็นผู้ดำเนินโครงการ จึงอยากให้ขยายความเพิ่มเติมครับ

ทั้งนี้ทีมงานได้โทรศัพท์ไปขอโทษ และปรับความเข้าใจกับ อ.นพ.รังสฤษฎ์ และสมาคมอนุรักษ์นก
และธรรมชาติแห่งประเทศไทย เรียบร้อยแล้วครับ โดยขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลดังนี้ครับ

โครงการซื้อที่ดินให้นกชายเลน ดำเนินการโดยสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย
โดยได้เปิดระดมทุนทั้งจากภายในและต่างประเทศ จากคนทั่วไป โดยมีผู้บริจาครายใหญ่
จาก Rainforest trust และระดมทุนเพิ่มเติมในประเทศ อาทิ มูลนิธิสุทธิรัตน์อยู่วิทยา ครอบครัว
คุณหมอสิริมนต์ ริ้วตระกูล และครอบครัวกาญจนะวณิชย์ เพื่อซื้อที่ดินนาเกลือในบริเวณบ้านปากทะเล
ต.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี โดยหนึ่งในนกหายากที่เข้ามาใช้พื้นที่นี้คือเจ้า "สปูนนี่" หรือ นกชายเลนปากช้อน

ทั้งนี้การซื้อที่ดินเพื่อการอนุรักษ์นกชายเลนเป็นงานสำคัญขั้นแรก แต่ยังต้องมีการจัดการพื้นที่อย่าง
ต่อเนื่อง และใช้ประโยชน์พื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับนกชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญของ
ประเทศไทยต่อไป ร่วมสนับสนุนโครงการดีๆ ของสมาคมอนุรักษ์นกฯ ได้ที่
เพจ Bird Conservation Society of Thailand (BCST)

สิงห์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ แต่เราเห็นว่าเป็นเรื่องราวที่ดี จึงอยากจะขอนำมาเผยแพร่
สู่วงกว้างอีกทางหนึ่งครับ

แต่เนื่องจากเนื้อหาที่อาจไม่ละเอียดเพียงพอ บวกกับแฮชแทกที่ระบุชื่อสิงห์ จึงอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด
เราจึงอยากขออภัยเป็นอย่างสูงและขอขอบคุณ อ.นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ รวมทั้งผู้อ่านท่านอื่นๆ
ที่ได้ช่วยทักท้วงเข้ามาครับ )

#สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย #BCST
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2022 7:09 pm

( 9 )

10ความสงสัย
ที่วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ที่เห็นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายฯ
เป็นอย่างนี้

1.ทำไม!..พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย
ถึงต้อง..ลุกโอ๊ย! นั่งโอ๊ย!ด้วย
จะลุกนั่งเงียบๆบ้างไม่ได้หรือไง!
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจว่า
เวลาที่เราใช้กำลัง ใช้กล้ามเนื้อไปหมดแล้ว
เมื่อตอนยังหนุ่มยังสาว
ถึงตอนนี้ มันแทบไม่เหลือกล้ามเนื้อ
และกำลังไว้ให้พยุงสังขารสักเท่าไรแล้ว
เวลาลุกนั่ง มันจึงเจ็บปวดตามข้อทั้งหลาย
จนต้องร้องออกมาให้ลูกหลานรำคาญนั่นละ!

2.ทำไม..ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบบ่น
เวียนหัว มึนหัว หน้ามืด คล้ายจะเป็นลมอยู่เรื่อย
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ว่าสังขารนั้นไม่เที่ยง
พอเลยวัยเจริญพันธุ์ไปแล้ว
ไม่นานเราก็จะเข้าสู่วัยทอง
ประเภท”เลือดจะไป ลมจะมา”
ฮอร์โมนต่างๆก็เริ่มแปรปรวน
ชนิดเอาแน่ไม่ได้ อาการ
และอารมณ์ ที่ไม่คาดคิดต่างๆ
ก็มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ

3.ทำไม! ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย
บ่นปวดเมื่อยตามเนื้อ ตามตัว
มาขอให้ลูกหลานนวดอยู่ร่ำไป
@ วันหนึ่ง..เราก็เข้าใจ
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น
ว่ากล้ามเนื้อของท่าน
ค่อยๆหายไปเกือบไม่เหลือหลอแล้ว
ด้วยวัยที่มากขึ้นเรื่อย
การปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
จึงเกิดขึ้นง่ายมาก
การได้นวดเฟ้นบ้าง
ก็จะทำผ่อนคลายไปได้บ้าง

4.ทำไม! พ่อแม่ชอบกินแต่
ปลาเค็ม ปลาร้า ปลาส้ม หอยดอง ฯลฯ
ไม่กินของอร่อยๆ ดีๆบ้าง
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ว่านั่นละคือของดี ของชอบ ของท่านแล้ว
เพราะท่านกินอย่างอื่น ก็ไม่ถูกปาก
เหมือนอาหารที่ท่านชอบ
และคุ้นเคยมานาน
ส่วนไอ้ที่เราว่าอร่อยของเรานั้น
มันเป็นอาหารที่ท่านไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
ทั้ง ซาซมิ ข้าวผัดกิมจิ ไก่ทอดเกาหลีฯ

5.ทำไมชอบอยู่แต่บ้าน
ชวนไปไหนก็ไม่ค่อยไป
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ว่าไม่มีที่ไหน อยู่สบายเท่าอยู่ที่บ้าน
อยู่บ้าน สตางค์ก็ไม่ต้องเสีย
กินนอนตรงไหนก็ได้
เข้าห้องน้ำ ก็นั่งได้สนิทใจฯ
ไม่มีที่ไหนสะดวกสบายเท่าบ้านอีกแล้ว

6.ทำไมชอบเอาเงิน และของกินดีๆ
ไปทำบุญใส่บาตรหมด
ทำไม? ไม่เอาไว้กิน ไว้ใช้เองบ้าง
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ว่าความสุขที่แท้จริง
มันเกิดจากภายในจิตใจเรา
การที่ผู้เฒ่า ผู้แก่ทำเช่นนั้น
ก็เพราะเป็นความสุขในการ
สั่งสมบุญไว้ใช้ในชาติหน้า

7.ทำไม..ใส่แต่เสื้อผ้าตัวเก่าๆ
ตัวใหม่ๆที่ซื้อให้ ก็ไม่ใส่
ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม!
@ วันหนึ่ง..เราก็จะเข้าใจ
ว่าแก่แล้ว..ใส่อะไรก็ไม่สวยหล่อไปกว่านี้
สู้ใส่เสื้อผ้าที่เราใส่แล้วสบายตัว
สบายใจ และรู้สึกมั่นใจดีกว่า
พ่อแม่เรา จึงมี”เสื้อผ้าตัวเก่ง”
กันทุกคน เพราะเลือกตัวที่ใส่สบาย
มากกว่าตัวที่ใหม่
ใส่แล้วอาจสวยหล่อขึ้น

8.ทำไม..ดึกดื่นไม่ยอมหลับนอน
ตื่นมาทำอะไร ตอนตีสามตีสี่
@ วันหนึ่ง..เราจะเข้าใจ
ว่าไม่ใช่ท่านไม่อยากนอน
แต่มันนอนไม่หลับจริงๆ
อาจเป็นด้วยฮอร์โมนผู้สูงวัย
หรือพฤติติกรรมหลายอย่างของคนวัยนี้
จึงทำให้ง่วงตอนกลางวันบ้าง
แล้วชอบไปตื่นเอาตอนดึกๆ

9.ทำไม..เป็นคนขี้หลงขี้ลืมง่ายเหลือเกิน
เพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้เอง ลืมเสียแล้ว
@ วันหนึ่ง..เราจะเข้าใจ
ว่าตอนหนุ่มสาวนั้น
“ลืมยากกว่าจำ”
แต่พอแก่ตัวขึ้นมา
“จำกับลืม..สาหัสพอๆกัน”
เพราะให้จำ ก็จำได้เฉพาะเรื่องสมัยพระเจ้าเหา
ส่วนที่ลืมไปแล้ว คือเรื่อง
ที่ให้จำเมื่อสักครู่นี้เอง
เป็นเรื่องปกติของผู้สูงวัยนั่นเอง

10.ทำไม..ชอบกินแต่ของขมๆ
มันอร่อยตรงไหนกัน
ทั้งต้มมะระ มะระผัดไข่ มะระขี้นกจิ้มน้ำพริก
ห่อหมกใส่ใบยอ
อ่อมปลาช่อนใบยอ ขมจะแย่อยู่แล้ว
@ วันหนึ่ง..เจ้าก็จะเข้าใจ
ว่าพออายุมากขึ้นเรื่อยๆ
รสขมมันก็จะอ่อนลงเรื่อย
แต่กลับอร่อยมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
วันหนึ่ง..เจ้าจะเข้าใจ เมื่อวันนั้นมาถึง
ในวันที่เรา..อยู่ในวัยเดียวกันกับ
พ่อแม่ และปู่ย่าตายาย
โดย ดร.พนม ปีย์เจริญ
23-3-2022
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 07, 2022 8:41 pm

( 10 )

“จดหมายสุดขั้วสองฉบับ”

“จดหมายจากนักโทษประหารถึงพ่อแม่”

คุณพ่อ คุณแม่ครับ

พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะต้องถูกประหาร ผมไม่ทราบว่าเส้นทางชีวิตของผมเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ตอนนี้ภาพในอดีตค่อยๆฉายออกมาทีละภาพผ่านสมองของผม

ตอน 3 ขวบ
ผมจำได้รางๆว่า ผมวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดก้อนหินหกล้ม
พ่อรีบอุ้มผมขึ้นมาปลอบ
แล้วพ่อใช้ขาเตะก้อนหินสองที
"ไม่ต้องร้องไห้ ก้อนหินก้อนนี้แย่จริงๆ พ่อลงโทษให้แล้ว"
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้
แต่พอเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น ผมก็เลยกอดพ่อแน่นร้องไห้อยู่นาน
เพราะพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การที่ผมหกล้ม ไม่ใช่เพราะผมไม่ระวัง แต่เป็นความผิด
ของก้อนหิน แต่ผมไม่รู้ว่า มันแค่เป็นการปลอบใจจากพ่อเพื่อไม่ให้ผมร้องไห้

ตอน 4 ขวบ
ผมเอาแต่นั่งเฝ้าดูทีวีจนไม่ยอมกินข้าว
แม่ยกชามข้าวมาป้อนให้ผมทีละคำถึงหน้าจอทีวี
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ชีวิตสามารถเสพสุขได้ด้วยวิธีนี้
แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่กลัวว่าผมจะหิว เดี๋ยวก็ต้องมาวุ่นวายหาข้าวให้ผมกินทีหลัง

ตอน 6 ขวบ
พ่อพาผมไปซื้อของขวัญคริสต์มาส
ตกลงกันว่าจะให้ผมซื้อได้หนึ่งอย่าง
แต่พอผมได้ตุ๊กตาอุลต้าแมนแล้ว ผมยังอยากได้เครื่องร่อนอีก
พอพ่อไม่ยอมให้ ผมก็ลงไปนอนกองกับพื้นร้องไห้ไม่ยอมหยุด
สุดท้ายพ่อก็ต้องซื้อให้ผมทั้งสองอย่าง
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การใช้วิธีนี้จะทำให้ผมได้ในสิ่งที่อยากได้
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่กลัวว่าการกระทำของผมจะทำให้พ่อขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่น

ตอน 8 ขวบ
ผมคิดอยากจะซักถุงเท้าของผม แต่แม่กลัวว่าผมจะซักไม่สะอาด
ผมอยากช่วยล้างจาน แม่กลัวผมจะทำจานแตก
ผมอยากเทน้ำร้อนให้ตัวเอง แต่แม่กลัวผมโดนน้ำร้อนลวก
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมไม่สามารถทำงานยากๆหรืองานที่ดูเหมือนมีอันตราย
แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่ไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขงานให้ผม

ตอน 10 ขวบ
พ่อพาผมไปสมัครเรียนพิเศษสามแห่ง และเรียนกิจกรรมพิเศษอีกสองแห่ง
ทุกๆวันผมจะกลับถึงบ้านด้วยความอ่อนล้า
พ่อบอกผมว่า คนเราต้องอดทน จะได้เป็นเจ้าคนนายคน
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และน่าเบื่อมาก
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่อยากให้ผมดูโดดเด่นต่อหน้าญาติมิตร

ตอนอายุ 13
ผมเตะบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก
พ่อพาผมไปกล่าวคำขอโทษแล้วจ่ายค่าเสียหายไป
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า แค่กล่าวคำว่า "ขอโทษ"แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นได้แบบง่ายดาย
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อบ่นว่าเพื่อนบ้านถือโอกาสเรียกค่าเสียหายมากเกินไป

ตอนอายุ 15
ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ
แม่ไปขอยืมเงินญาติๆแล้วซื้อเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง
แต่ผมเล่นได้แค่เดือนสองเดือนก็เบื่อแล้ว ไม่ยอมเล่นต่อ
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า แม้ที่บ้านมีเงินไม่มาก แต่ก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
แต่ผมไม่รู้ว่า ที่บ้านต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะจ่ายหนี้ก้อนนั้นจนหมด

ตอนอายุ 19
ผมกำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
พ่อบอกว่าเป็นทนายความจะช่วยให้ฐานะทางสังคมสูงขึ้น
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ผมแค่ทำตามเส้นทางที่พ่อวาดหวังไว้ก็พอ
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเพราะพ่ออยากเติมเต็มความฝันให้ตนเอง
เพราะพ่อสอบไม่ติดตอนเป็นหนุ่ม

ตอนอายุ 20
ผมบอกแม่ว่าอยากได้มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด
ผมอ้างว่าจะได้โทรกลับบ้านบ่อยๆ
แม่ส่งเงินมาให้ผมสามหมื่นบาททันที
แต่ผมโทรกลับบ้านปีละไม่กี่หน
แทบทุกครั้งจะเป็นการขอเงินเพิ่ม
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า พ่อแม่เป็นตู้กดเงินชั้นเยี่ยมของผม
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแม่ได้แต่เฝ้ารอโทรศัพท์จากผมด้วยความคิดถึง

ตอนอายุ 24
พอเรียนจบ พ่อก็ช่วยฝากงานให้ผมได้ทำงานในบริษัทใหญ่โต
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีก็สามารถหางานดีๆทำได้
แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อต้องอาศัยเส้นสายขนาดไหนกว่าจะฝากผมเข้าทำงานได้

ตอนอายุ 27
ผมเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น
พวกสาวๆมักบ่นว่าผมเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ
แม่บอกผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับผม
แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเลอเลิศ
แต่ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นแค่ผู้ชายเส็งเคร็งที่หาความดีแทบไม่ได้

ตอนอายุ 32
ผมเป็นหนี้พนันบอลเป็นล้าน
พ่อโกรธจนล้มป่วย แต่สุดท้ายก็ช่วยผมเคลียร์หนี้จนหมด
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าผมจะทำอะไรผิด พ่อจะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้เสมอ
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อแม่เตรียมไว้ใช้ในยามแก่

ตอนอายุ 35
พ่อแม่ช่วยอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว
ผมกับเพื่อนเข้าไปปล้นร้านค้า แล้วผมไปยิงเจ้าของร้านตายคาที่
ศาลตัดสินประหารชีวิตผม
พ่อแม่ตะโกนด่าว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวเราเลย
ท่านลำบากมาทั้งชีวิต แต่ต้องได้รับผลกรรมที่ไร้ความปราณี

ในที่สุดผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า
เพราะท่านใช้"ความรัก"
ฉกชิงโอกาสที่ผมจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความสามารถในการอยู่รอดด้วยตัวผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความรับผิดชอบในตัวของผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า

วิธีการรักลูกแบบผิดๆ
สุดท้ายแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเราทั้งสองรุ่น
ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้วจากการสอนสั่งที่ผิดๆ
มันเป็นมือของพ่อแม่ผมเองที่ส่งผมขึ้นไปยังแท่นประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ

พ่อครับ แม่ครับ
กรุณาดูแลตัวเองให้ดี
ผมคงต้องขอลาจากท่านแล้วในวันพรุ่งนี้
หวังว่าในภพหน้าของผม ผมจะได้เรียนรู้วิธีการรับผิดชอบในตัวผมเอง
สำหรับชาตินี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะโกรธท่านหรือรักท่านกันแน่
อย่างไรก็ตาม ลูกต้องกราบขออโหสิกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ท่านต้องเสียใจ
กับลูกคนนี้มาตลอดชีวิต

จากลูกทรพีที่กำลังจะจากท่านไป

**************

“จดหมายจากลูกที่เป็นประธานบริษัท”

คุณพ่อ คุณแม่ครับ

พรุ่งนี้คือวันที่รอคอย ที่จะได้เห็นโรงงานของผมเริ่มต้นสายการผลิตอย่างเป็นทางการ
เป็นวันแรก ผมสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ได้สอน
ให้ผมรู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองมาตลอด ด้วยใจที่เปี่ยมสุขในขณะนี้ ภาพต่างๆ
ในอดีตได้ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละภาพภายในใจของผมอย่างซาบซึ้ง

ตอน 3 ขวบ ผมจำได้รางๆว่าผมวิ่งเล่นอย่างไม่ระมัดระวังจนไปสะดุดก้อนหินหกล้ม
ท่านให้ผมลุกขึ้นเอง แล้วยังฟาดก้นผมไปสองที บอกผมว่า "ถ้าไม่ระวัง หกล้มคราวหน้า
จะโดนฟาดก้นสี่ที" ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบ "ความระมัดระวัง" ของตนเอง

ตอน 4 ขวบ ผมเอาแต่ดูทีวีไม่ยอมกินข้าว ท่านบอกว่าถ้าไม่กินก็ต้องอดข้าวถึงพรุ่งนี้เช้า
ผมนึกว่าท่านขู่เล่น สุดท้ายผมหาของกินทั่วห้องครัว ไม่มีอะไรเหลือให้ผมกินเลยแม้แต่
ขนมปังสักชิ้น ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบในความ "เอาแต่ใจ" ของตนเอง

ตอน 6 ขวบ ท่านพาผมไปร้านขายของเล่นเพื่อซื้อของขวัญคริสต์มาส ตกลงกันว่าจะให้
ผมแค่หนึ่งชิ้น แต่พอผมได้หุ่นยนต์มนุษย์เหล็กแล้ว ยังจะเอาเครื่องร่อนอีกชิ้น พอไม่ให้
ผมก็งอแงนอนดิ้นร้องไห้อยู่กับพื้น ท่านไม่สนใจผม หันหลังแล้วเดินออกจากร้านไปเลย
สุดท้ายผมต้องหยุดร้อง แล้วรีบเดินตามกลับบ้าน ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ
"ความไม่เข้าท่า" ของตนเอง

ตอน 8 ขวบ ผมหัดซักถุงเท้า ท่านสอนวิธีการซักล้างให้สะอาด ผมหัดล้างจาน ท่านสอน
ผมรู้วิธีการล้างที่ถูกต้อง เพื่อให้สะอาดและจานไม่แตก ผมอยากเทน้ำร้อนด้วยตัวเอง
ท่านสอนให้รู้จักวิธีการเทที่ไม่ให้น้ำร้อนลวกมือ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ
"การดูแลชีวิต" ของตนเอง

ตอน 10 ขวบ ผมเห็นเพื่อนๆมีโอกาสไปเรียนกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียนยูโด เรียนศิลปะ
เรียนสาระพัดอย่าง ท่านบอกผมว่า เวลาเรียนหนังสือในโรงเรียนให้ตั้งใจเรียน เวลาเลิก
เรียนก็เป็นเวลาเล่นพักผ่อนให้เต็มที่ หากยังมีเวลาว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ท่านสอนให้ผม
รู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การจัดสรรเวลา" ของตนเอง

ตอนอายุ 13 ผมเตะฟุตบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก ท่านพาผมไปวัดและไปซื้อ
กระจกด้วยกัน แล้วพาผมไปช่วยกันเปลี่ยนกระจกหน้าต่างให้ข้างบ้านจนเสร็จเรียบร้อย
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่อยๆหักจากค่าขนมของผม ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ
"ความผิดพลาด" ของตนเอง

ตอนอายุ 15 ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ ท่านพาผมไปซื้อหีบเพลง ท่านบอกผมว่า
เป่าหีบเพลงให้เก่งก่อน แล้วค่อยตัดสินใจไปเรียนเปียโน ผมก็เลยเป่าหีบเพลงจนกระทั่งทุกวันนี้
และไม่เคยคิดจะไปหัดเล่นเปียโนอีกเลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความยืนหยัด"
ของตนเอง

ตอนอายุ 19 กำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ท่านช่วยให้คำแนะนำและวิเคราะห์
เกี่ยวกับคณะต่างๆในมหาวิทยาลัย ให้ผมถามใจตัวเองว่า อยากเรียนอะไรแล้วจงตัดสินใจ
ด้วยตัวผมเอง ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "อนาคต" ของตนเอง

ตอนอายุ 20 ผมอยากเปลี่ยนมือถือ ท่านบอกว่าของเก่ายังไม่เสียอย่าเพิ่งเปลี่ยน ไม่เช่นนั้น
ก็ไปหางานพิเศษทำเพื่อซื้อเอง ผมไปรับจ้างสอนพิเศษเก็บเงินจนซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้
แต่ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผมภูมิใจยิ่งกว่าที่ได้มือถือเครื่องใหม่ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบ
เกี่ยวกับ "ความอยาก" ของตน

ตอนอายุ 24 ผมเรียนจบและอยากสร้างธุรกิจของตนเอง ท่านบอกผมว่าอย่าใจร้อน หางาน
พื้นฐานฝึกให้ตนมีประสบการณ์ก่อน สองปีถัดมา ผมตัดสินใจเปิดบริษัทของตนเอง ท่านบอก
ผมว่าหากสามารถรับได้กับความล้มเหลวก็ไปเปิดได้ ท่านให้ทุนผมมาหนึ่งแสนเหรียญ
ให้ผมคืน ท่านภายใน 4 ปี ผมรับปากว่าผมจะต้องคืนแน่นอน พร้อมจะแถมบ้านใหม่
ให้อีกหนึ่งหลัง ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสำเร็จ" ของตนเอง

ตอนอายุ 27 ผมพาเพื่อนสาวมาแนะนำให้รู้จัก ท่านชมผมเสียเลอเลิศต่อหน้าแฟนผม ท่านบอก
ผมตอนหลังว่า ต้องแสดงออกถึงคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมของเราเพื่อจะดึงดูดคู่ครองที่มีคุณสมบัติ
โดดเด่นให้สนใจเรา แล้วท่านยังบอกผมว่า เรื่องความรักหรือคู่ครองให้ผมตัดสินใจเอง
ขอให้รักกันจริงก็เดินหน้าต่อไปได้เลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสุข"
ของตนเอง

ตอนอายุ 32 ผมมอบกุญแจบ้านหลังใหม่ให้ท่าน พอท่านรับกุญแจจากผมแล้วก็หันหลังให้ผม
ผมสังเกตเห็นว่าไหล่ท่านกำลังสั่น ผมรู้ว่าท่านกำลังหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ท่านสอน
ให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "คำมั่นสัญญา" ของตนเอง

ตอนอายุ 35 โรงงานของผมพร้อมจะเปิดแล้ว ญาติๆที่เคยกล่าวหาว่าท่านใจร้าย ใจจืดใจดำ
กับผมมาตลอดต้องปิดปากเงียบกันทุกคน ผมรู้ซึ้งว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านใส่ใจผมทุกขั้นตอน
และผมจะใช้วิธีเดียวกันนี้สอนลูกผมให้รู้จักรับผิดชอบ "ตัวเอง" ให้จงได้ ผมแน่ใจว่าลูกๆต้อง
ดีเด่นกว่าผมแน่นอน

ขอบคุณทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ผมไม่มีวันลืมความใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านทั้งสอง
ไม่เช่นนั้นผมจะไม่มีวันที่มาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ลูกคนนี้จะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง

จากลูกที่รักพ่อรักแม่สุดหัวใจ

**********

"ใจอ่อนกับลูกคือการทำร้าย
ใจแข็งกับลูกคือความรัก
หากคิดแต่จะรักลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา
พึงระวังต้องตามเยียวยาให้ลูกไม่จบไม่สิ้น"
คติพจน์สอนลูกของชาวยิว

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 9:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 03, 2022 9:00 pm

( 11 )

ความฉลาด กับ ปัญญา เป็นคนละเรื่องกัน ...

ความฉลาดเป็นความสามารถอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่
ส่วนปัญญาเป็นภาวะอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่

ในโลกนี้ คนฉลาดมีไม่มาก คาดว่าประมาณหนึ่งในสิบ
ส่วนคนมีปัญญายิ่งหายาก คาดว่าราวหนึ่งในร้อย

ก็ดูเถิด แม้โสเครตีสที่เห็นพ้องกันว่าเป็นคนมีปัญญาก็ยังยอมรับว่า
หากยึดตามข้อเรียกร้องของความมีปัญญาแล้ว ตนนั้นไม่รู้อะไรเลย

ในชีวิตจริง คนที่ไม่เสียเปรียบ คือ คนฉลาด
ส่วนคนที่ยอมเสียเปรียบคือ คนมีปัญญา

คนฉลาด จะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ได้เสมอเมื่อทำงานกับคนอื่น เช่น
ทำการค้า พวกเขาจะค้าขายได้ดีจนได้กำไรงาม
ส่วนคนมีปัญญาจะไม่ยอมแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดทางการค้าเด็ดขาด
การค้าบางอย่าง แม้ต้องแถมเงินก็ยังยอม

คนฉลาดรู้ว่าตนทำอะไรได้
ส่วนคนมีปัญญาเข้าใจว่าตนทำอะไรไม่ได้

คนฉลาดกุมโอกาสได้ รู้ว่าควรลงมือเมื่อใด
คนมีปัญญารู้ว่า ควรปล่อยมือเมื่อใด

ดังนั้น
หยิบขึ้นมาได้ คือ ฉลาด
แต่วางลงได้ จึงเป็นปัญญา

คนฉลาดมักแสดงด้านที่เปล่งประกายของตน นั่นก็คือ ลอกคราบออกมา
ส่วนคนมีปัญญาจะปล่อยให้คนอื่นแสดงด้านที่เปล่งประกาย เช่นในงานสังสรรค์

คนฉลาดปากไม่ว่าง พูดคุยได้เรื่อยๆ จึงเป็นกาน้ำชา
ส่วนคนมีปัญญา หูไม่ว่าง ตั้งใจฟังคนอื่น จึงเป็นถ้วยน้ำชา น้ำในกาน้ำชา
ย่อมต้องเทใส่ถ้วยน้ำชา

คนฉลาด เน้นรายละเอียด
ส่วนคนมีปัญญาเน้นองค์รวม

คนฉลาด วิตกกังวลมาก นอนไม่หลับกันโดยทั่วไป ดังนั้น
คนฉลาดจะรู้สึกไวกว่าคนทั่วไป
ส่วนคนมีปัญญา ลี้ห่างความวิตกกังวล ลุถึงขั้นที่ "ไม่ยินดีในวัตถุ
ไม่เสียใจกับตนเอง" คนมีปัญญาจึงกินได้ นอนหลับ

ดังนั้น
คนฉลาดมักวายชนม์เร็ว
ส่วนคนมีปัญญาจะไร้ทุกข์ไร้กังวล จึงมักอายุยืนนานกว่า

คนฉลาด ใคร่อยากเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้คนอื่นทำตามเจตนาของตน
ส่วนคนมีปัญญา มักปล่อยไปตามธรรมชาติ

ดังนั้น
มนุษยสัมพันธ์ของคนฉลาดจะเครียดง่าย
ส่วนของคนมีปัญญาจะผ่อนคลาย

คนฉลาดส่วนใหญ่ฉลาดแต่กำเนิด ได้ประโยชน์ทางพันธุกรรม
ส่วนปัญญานั้นต้องอาศัยการเพียรบำเพ็ญ

ความฉลาดจะได้ความรู้มาก
ส่วนความมีปัญญาทำให้คนมีวัฒนธรรม

กลับกัน คนยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งฉลาด ส่วนคนยิ่งมีวัฒนธรรมก็ยิ่งมีปัญญา

ความฉลาดพึ่งหู ตา ที่เรียกว่า หูตาดูฉลาด
ส่วนปัญญาอาศัยจิตวิญญาณ ก็คือ ปัญญาเกิดแต่ใจ

วิทยาศาสตร์ทำให้คนฉลาด
ปรัชญาสอนปัญญาคน

ความฉลาดนำมาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ ปัญญานำมาซึ่งความสุข
เพราะคนฉลาดมักมีความสามารถ และในความเป็นจริง ความสามารถเหล่านี้
จะแปรเป็นความมั่งคั่งกับอำนาจหากโอกาสอำนวย ทว่า ความมั่งคั่งและอำนาจ
กับความสุขนั้น บ่อยครั้งไม่เป็นสัดส่วนกัน

ความสุขเกิดแต่ใจ ดังนั้น หากแสวงความสามารถ ความฉลาดก็เพียงพอ
แต่หากแสวงหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่มีปัญญาทำไม่ได้

...คำ : ไม่ทราบผู้เขียน
...ถอดคำ : วิภาดา กิตติโกวิท😄

:s015:
ตอบกลับโพส