บทความศาสนาน่ารู้ โดย” จิตศรัทธา “

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2022 9:16 pm

( 1 )

✝️ เมื่อพระเยซูถูกท้าทายด้วยกฎหมายที่ขัดหลักศาสนา ✝️

(มัทธิว 22:15-21)
ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับ
คนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็น
คนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่
หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์
เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์
เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย
พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์”
พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”

-------------------------------------------

ศาสนายิวคือศาสนาของชนชาติยิว และชาวยิวปกครองประเทศและพลเมืองด้วยหลักศาสนา
ปัจจุบันโลกส่วนใหญ่ไม่เห้นด้วยกับการใช้กฎศาสนามาเป็นกฎหมายประเทศ แต่ เรายังเห็น
ตัวอย่างการทำแบบนี้ในประเทศในตะวันออกกลางบางแห่ง

ในยุคสมัยพระเยซู โรมันปกครองอิสราเอล และชาวยิวต้องเสียภาษีให้โรมัน แต่สำหรับชาวยิว
ที่เคร่งครัดศาสนา พวกเขาถือว่าพระเจ้าคือกษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียวของพวกเขา การเสียภาษี
ให้ซีซาร์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้า

ฟาริสี คือกลุ่มคนดีและเคร่งครัดถูกต้องในศาสนาเป็นพิเศษ(ในความคิดของพวกเขาเอง) พวกเขา
เกลียดชังโรมัน และพวกเขาก็เกลียดชังพระเยซู และพลังความเกลียดของพวกเขาก็ทำให้ไม่ลังเล
ที่จะยืมมือศัตรูฝ่ายหนึ่งหนึ่งมาทำลายสิ่งที่ตัวเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง

พวกเขาลากเอา ปัญหากฎหมายที่ขัดหลักศาสนา มาตั้งคำถามอันเป็น"คำถามกับดัก"ที่มุ่งเน้นสู่
การทำลายพระเยซู เพราะการตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ล้วนนำหายนะมาสู่พระเยซูเอง

ถ้าพระเยซูตอบว่า "ใช่" ต้องเสียภาษีให้โรมัน พวกเขาจะประณามพระเยซูว่าขายชาติชั่วช้า ทรยศ
พระเจ้าเหมือนที่เขาถือว่าคนเก็บภาษีเป็นคนบาปเป็นชายชั่วขายชาติ อยู่ในระดับเดียวกับโสเภณี
หญิงชั่วขายตัว ที่ต้องตกนรกหมกไหม้

ถ้าพระเยซูตอบว่า "ไม่" ไม่ต้องเสียภาษีให้โรมัน เขาจะเรียกทหารโรมันมาจับพระเยซูฐานกบฎและ
ละเมิดกฎหมาย

พวกเขาคงคิดว่าพวกตัวฉลาดกันมากที่ไม่ว่าตอบอะไร ก็ พาคนตอบให้ไปสู่ทางพังพินาศทางใด
ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่พระเยซูทำคือสิ่งที่ชาวยิวยุคนั้นจินตนาการไม่ออกเลย เพราะมันคือสภาวะทั่วไป
ในโลกยุค ปัจจุบัน2000ปีต่อมา คือ แยกการเมือง ออกจากศาสนา แล้วปัญหานั้นจะหมดลงทันที

พระเยซูไม่ตอบว่า ใช่ หรือว่า ไม่ แต่ทรงสอนหลักการใหม่ขึ้นมาเลยคือ เลิกเอากฎศาสนาไปเป็น
กฎหมายบ้านเมืองได้แล้ว เพราะมันโอเค ถ้าทั้งประเทศมีคนเชื้อชาติเดียวศาสนาเดียว แบบที่ยิว
"เคย"เป็นมาตลอด แต่ถ้าวันใดที่ประเทศเปลี่ยนไป กลายเป็นประเทศที่รวมคนหลากหลายศาสนา
เข้าด้วยกัน วิธีเดิมๆนั้นจะกลายเป็นปัญหาทันที
(เป็นปัญหาอย่างไรให้ดูบางประเทศที่เอาหลักศาสนามาเป็นกฎหมาย ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้)

พระเยซูตอบชัดเจนว่า ในเวลาที่ประเทศมีคนแตกต่างหลากหลายทางศาสนา
คริสตชนจะมีสถานะ 2อย่าง

1เป็นพลเมืองประเทศ(ประชากรในปกครองของซีซาร์)
2เป็นคริสตชน(ลูกของพระเจ้า)

และพระเยซู ไม่ได้ให้เราละเมิดหรือล้มล้างกฎหมาย แต่ให้เราประพฤติตนในฐานะของตน
ให้ถูกต้อง ทั้งสองสถานะ ถ้าเทียบเคียงยุคปัจจุบันก็อย่างเช่น

ประเทศมีกฎหมายให้หย่าร้างได้ แต่คริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกก็ไม่เคยเปลี่ยนคำสอนว่า
ให้หย่าร้างได้ และทางศาสนจักรไม่ได้ยอมรับสถานะการหย่าทางกฎหมายหากเขาได้แต่งงาน
ตามศาสนาแล้ว

ประเทศที่มีการค้าประเวณีถูกกฎหมาย คริสตชนถ้าไปทำอาชีพนี้ อาจถูกกฎหมาย แต่ก็ยังคงไม่
ถูกหลักศาสนา ศาสนาก็ไม่รับรองหรือสนับสนุนให้สมาชิกไปทำแต่อย่างใด

ประเทศที่ไม่ได้ห้ามขายหมู ถ้าคุณเป็นมุสลิม คุณแค่ไม่ไปซื้อไปกินหมู

ประเทศที่ยังมีขายเหล้า ถ้าคุณเป็นพุทธ ไม่ต้องการผิดศีล ก็ไม่ต้องไปซื้อเหล้าดื่ม

เพราะกฎหมายประเทศไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนทำดี หรือเป็นคนดีตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

กฎหมายประเทศ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ของคนทุกศาสนา(และแม้ไม่มีศาสนา)
ในประเทศนั้น ทำหน้าที่ควบคุมการละเมิด และรองรับการปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ของทุกคน
ทุกศาสนารวมไปถึงคนไม่มีศาสนา เพื่อทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายได้
อย่างสงบสันติ

ดังนั้นเป็นธรรมดามาก หากมีกฏหมายที่ออกมาเพื่อรองรับคนศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาของเรา
ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่มีหลากหลายศาสนา และโดยเฉพาะเป็นประเทศ ที่มีหลักว่าจะแยก
กฎหมายประเทศ ออกจากกฎศาสนา จะเป็นธรรมดามากที่เราจะพบว่ามีกฎหมายของประเทศ
สักข้อสองข้อที่ขัดหลักศาสนาของเรา

พระเยซูปฏิวัติวิธีคิดของชาวยิวยุคนั้นที่คิดว่า "กฏศาสนาคือกฎหมายประเทศ" นี่คือหลักการที่
ล้ำสมัยมากในยุค2000ปีก่อน ในเวลาต่อมา นักเทววิทยา และนักปราชญ์พระศาสนจักรจำนวนมาก
เช่น น.ออกัสติน น.โธมัส อไควนัส ล้วนเสนอหลักการเดียวกันคือ ควรแยกการปกครองประเทศกับ
การปกครองศาสนาออกจากกัน แม้ในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าหลักการนี้ ถูกล่วงละเมิดบ้าง
บางช่วงเวลา เราก็เห็นจากประวัติศาสตร์เช่นกันว่า ในเวลาที่ศาสนาเข้ายุ่งวุ่นวายกับการเมืองมาก
เกินไป เป็นช่วงที่ศาสนาดูเสื่อมเสียเสมอ

ในยามที่คริสตชนพบปัญหาการขัดแย้งระหว่างกฎหมายและกฎศาสนา
เรายึดหลักการที่พระเยซูสอนไว้ได้เสมอ

“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”

cr. www.facebook.com/holysmn

CR. : จิต ศรัทธา
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2022 9:27 pm

( 2 )

💒 วาติกันรับมรณสักขีวัย20ปีเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ 💒

เมื่อคนที่ถูกสอนว่าการฆ่าคนต่างศาสนาจะได้ไปสวรรค์ เผชิญหน้ากับคนที่ถูกสอนว่าการยอม
สละชีวิตของคนเพื่อผู้อื่น ยอมตายด้วยน้ำมือคนที่เกลียดชังศาสนาตนต่างหากจะได้ไปสวรรค์

มรณสักขีของพระเจ้าก็เกิดขึ้นอีกในพระศาสนจักร และก็มีนักบุญเพิ่มขึ้นอีกท่านในสวรรค์

ROME — อาคาช บาชีร์ (Akash Bashir) อาสาสมัครรักษาความปลอดภัยชาวปากีสถานวัย20ปี
ซึ่งสละชีวิตจากการขัดขวางผู้ก่อการร้ายระเบิดพลีชีพโดยเอาตัวเข้าขัดขวางคนร้าย จนตายแทน
คนทั้งวัดเมื่อปี 2015 ได้รับการประกาศเป็น "ผู้รับใช้พระเจ้า"(servant of God) สถานะแรกของ
กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ โดยการประกาศของ อาร์คบิชอปแห่งปากีสถาน
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2022

วันประกาศนี้ตรงกับวันระลึกถึง นักบุญ ดอน บอสโก เพราะ อาคาช บาชีร์ เป็นนักเรียน
โรงเรียน อาชีวะดอนบอสโก และทำหน้าที่อาสาสมัครเฝ้าด้านนอกของวัดเซนต์จอห์น

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2015 ผู้ก่อการร้ายมุสลิมที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มตาลีบัน
มัดระเบิด ติดกับตัวพยายามเข้ามาที่วัดนักบุญยอห์น ซึ่งขณะนั้นกำลังประกอบพิธีโดยมี
สัตบุรุษนับพันคน กำลังร่วมมิสซาเพราะอยู่ในช่วงเทศกาลมหาพรต อาคาช ซึ่งเฝ้าหน้าประตู
เห็นการผิดสังเกตของ ชายคนนี้จึงเข้ายื้อยุดขัดขวาง โดยประโยคสุดท้ายของเขาคือ
"ฉันยอมตายแต่จะไม่ยอมให้แกเข้าไปเด็ดขาด" ระเบิดจึงระเบิดทั้งสองเสียชีวิตที่หน้าประตู
ก่อนที่คนร้ายจะทำแผนการชั่วสำเร็จ ซึ่งหมายถึงชีวิตคนนับพัน ขณะเดียวกันที่คริสตจักร
ไครซ์เชริ์ตที่อยู่ใกล้ๆในช่วงเวลาเดียวกันผู้ก่อการร้ายอีกคน
ในแก๊งค์เดียวกันก็ไปทำการระเบิดพลีชีพที่นั่นด้วย

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด17คนและบาดเจ็บกว่า70คน

พ่อของเขากล่าวว่าลูกของเขาคือเครื่องหมายความเชื่อคริสตชนของประเทศนี้ และขอพระเจ้า
ให้กระบวนการแต่งตั้งนักบุญราบรื่น ส่วนแม่ของเขาบอกว่า ถ้าลูกชายตายอย่างปัจจุบันทันด่วน
ด้วยเหตุทั่วไปอย่างรถชนหรือติดยาก็คงเสียใจมาก แต่เธอภูมิใจในเขาที่เขาเสียชีวิตเพื่อคนอื่น
อาร์คบิชอปแห่งปากีสถานกล่าวว่า

"คริสตชนปากีสถานมีข่าวเศร้ามากมาย แต่เราชื่นชมยินดีกับข่าวนี้ อาคาช จะเป็นต้นแบบที่ยิ่ง
ใหญ่ของมรณสักขียุคใหม่ ขอให้ท่านเป็นแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจในความกล้าหาญแก่
คนรุ่นใหม่ทั้งหลาย"

อาคาช บาชีร์ เป็นชาวปากีสถานคนแรกที่เข้าสู่กระบวนการประกาศเป็นนักบุญ

มรณสักขี อาคาช บาชีร์ ช่วยวิงวอนเทอญ

Cr. จิต ศรัทธา
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 15, 2022 10:50 pm

( 3 )

❤️ ที่มาของวันแห่งความรัก ❤️

💖 ตามประวัติกล่าวว่า วันนี้เป็นวันมรณภาพของนักบุญในศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งชื่อว่า
เซนต์วาเลนไทน์ หรือในภาษาโรมันคือ วาเลนตินุส (VALENTINUS) ท่านผู้นี้ถูกพวกโรมัน
จับลงโทษถึงแก่ความตายในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ช่วง ค.ศ. 269 เนื่องจาก
ท่านเป็นชาวโรมัน แต่ไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้เข้าบวชจนได้เป็นพระสังฆราชในเวลาต่อมา

✝️ ในสมัยนั้น ประชาชนชาวโรมันนับถือศาสนาเดิมของชาวโรมัน ซึ่งมีเทพเจ้าและเทพธิดา
หลายองค์ ในระยะเริ่มแรกที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ทางรัฐบาลกรุงโรมเห็นว่า
การสอนว่ามนุษย์ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า(สมัยนั้นจักรพรรดิ์โรมันถือเป็นมนุษย์ที่เปรียบเป็น
เทพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว) เป็นลัทธิที่อันตรายต่อการเมืองการปกครองของชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ให้สัตว์ป่ากัดตาย
ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง หรือเผาทั้งเป็น เป็นต้น พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัว
ไม่บอกให้ใครรู้ว่าตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน และเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาของตน
จะต้องแอบหนีลงไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้บรรจุศพ นอกกรุงโรม

💗 วาเลนไทน์เป็นผู้กล้าหาญและคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอมา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งผู้ที่ถูกทางราชการของกรุงโรมจับไปขังคุกหรือเอาไปทรมาน ภายใต้การปกครองของ
จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเอง
ก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขา
เชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป
และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมด
ในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ
เพื่อช่วยเหลือคริสตชนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย

ในที่สุดท่านเองก็ถูกทางราชการของกรุงโรมจับตัวได้และเอาไปขังคุกไว้

เมื่อวาเลนไทน์อยู่ในคุก มีผู้คุมชื่อ อัสเตริอุส (ASTERIUS) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาและคอยให้
ความช่วยเหลือมิให้เดือดร้อน ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่วาเลนไทน์
ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่
วาเลนไทน์ ขณะที่อยู่ในคุก วาเลนไทน์ได้ทำการรักษาด้วยการวอนขอพระเจ้า ทำให้ตาทั้งสองข้าง
ของลูกสาวผู้คุมหายบอด กลับมาเป็นคนตาดี ทำให้ทั้งครอบครัวของผู้คุมหันมานับถือศาสนาคริสต์ด้วย

หลังจากวาเลนไทน์ติดคุกมาเป็นเวลา 1 ปีจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก็มีคำสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า
เมื่อจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นท่านก็รู้สึกต้องพระทัยในกริยามารยาท ความสำรวมและความมีสง่า
ราศีของท่าน จึงตรัสเกลี้ยกล่อมให้ท่านเลิกนับถือศาสนาคริตส์เสีย แล้วกลับมานับถือเทพเจ้าตาม
ศาสนาของชาวโรมันต่อไปตามเดิม พระองค์จะพระราชทานอภัยโทษให้ แต่วาเลนไทน์ก็ปฏิเสธ
ไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาคริสต์ มิหนำซ้ำกับเริ่มสั่งสอนอบรมจักรพรรดิให้ทรงกลับใจ และเชื่อในพระเจ้า
จักรพรรดิกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้นำตัววาเลนไทน์ไปตีด้วยไม้กระบองจนตาย

✝️ผู้ที่ตายเพื่อศาสนาและได้สละชีวิตของตนยืนยันความศรัทธา และได้ช่วยให้ผู้อื่นได้รับความสว่าง
ในพระเจ้า ท่านจึงเป็นมรณสักขี(ผู้ยอมตายเพื่อยืนยันความศรัทธาในคริสตศาสนา)พระศาสนจักร
จึงได้ทำการยกย่องให้เป็นนักบุญ และกำหนดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ท่านถึงแก่มรณภาพ
(14 กพ. คศ.270) เป็นวันที่ระลึกเฉลิมฉลองเกียรติของท่าน

💗เนื่องจากในประวัติของท่านที่ช่วยเหลือผู้คนให้สมหวังในความรัก ท่านจึงถูกยกย่องให้เป็นนักบุญ
องค์อุปถัมภ์ของ คู่รัก ความรัก และความสุขในชีวิตสมรส ในเวลาต่อมา วันที่ระลึกถึงท่าน จึงกลาย
เป็นวันแห่งความรัก และ ถูกเรียกว่า วันวาเลนไทน์ตามชื่อของท่าน วันวาเลนไทน์มีขึ้นครั้งแรก
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 แต่ในขณะนั้นยังไม่มีฐานะเป็นความรัก
โรแมนติกหนุ่มสาว แต่เป็นฐานะวันสำคัญของนักบุญและเป็นความรักเชิงคุณธรรมศาสนามากกว่า
จนศตวรรษที่14จึงเริ่มมีการนำวันนี้มาเกี่ยวข้องกับความรักเชิงโรแมนติก และเฟื่องฟูมากในศตวรรษ
ที่15 จนมาถึงปัจจุบันที่ชื่อและประวัติของนักบุญ วาเลนไทน์จางหายไปจากเทศกาล และวันนี้ได้พูดถึง
แต่เพียงแง่ความรักโรแมนติกหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้วันนี้กลายเป็นวันแห่งความรักที่เป็น
สากลไปทั่วโลกแม้ในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม

ที่มาภาพ-ภาพนักบุญ วาเลนไทน์ จากการ์ดเกม Summoner Master ซัมมอนเนอร์ มาสเตอร์

CR. facebook.com/holysmn

CR. : จิต ศรัทธา
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:10 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 10, 2022 10:59 pm

( 4 )

+ สาวกคือใคร? ในการล้างเท้าสาวกของพระคริสต์ +

ความจริงก็ชั่งใจมาหลายปีว่าจะเขียนเรื่องนี้ ตั้งแต่ผมเห็นพิธีล้างเท้าในวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์
ที่อเมริกาเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว จนถึงรัชสมัยพระสันตะปาปาฟรังซิส ทุกปี ท่านได้เปิดมิติใหม่
แห่งพิธีอันนี้ ในระดับรื้อทำลายชุดความคิดเดิม

ในวันพฤหัสก่อนวันระลึกถึงวันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูของทุกปี จะมีพิธีอันหนึ่งซึ่งระลึกถึง
เหตุการณ์ในอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์กับเหล่าศิษย์ ซึ่งหลังจากรับประทานอาหาร
เสร็จ พระเยซูได้ล้างเท้าให้บรรดาศิษย์ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นหน้าที่ของทาสหรือคนรับใช้ พระเยซู
เท้าเหล่าสาวกและสอนพวกเขาว่า พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จะเป็นใหญ่ใช้อำนาจแต่เป็นผู้ที่รับใช้ผู้อื่น
และรับใช้ซึ่งกันและกัน และสอนให้พวกเขาทำสิ่งนี้ตามแบบอย่างที่พระองค์ทำคือ ไม่ถือตนเป็น
อาจารย์หรือเจ้านาย แต่ให้ตระหนักว่า หน้าที่สาวกของพระคริสต์คือการรับใช้ผู้คน พระเยซูสอนว่า
ผู้นำคือผู้รับใช้ผู้คนไม่ใช่เจ้านาย ก่อนคอนเซป "รับใช้ประชาชน" แบบประชาธิปไตยสมัยใหม่
จะเกิดเกือบ2000ปี

แต่เดิม ในวาติกัน จะทำพิธีอันนี้อย่างสง่า บางปีเหล่าผู้แสดงเป็นอัครสาวกก็คือเหล่าบิชอป
สำหรับในเมืองไทย เรามักเห็นวิถีแบบเก่าแก่ที่ใช้ชายสูงวัยที่ดูเป็นผู้ศรัทธาในเขตวัดนั้นๆ
ซึ่งจะว่าไปคงไม่ยากเท่าไร กับการล้างเท้าคนรุ่นพ่อรุ่นพี่ที่มีวัยวุฒิและมีความศรัทธา

แต่เมื่อพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เขย่าโลกคาทอลิกแบบเดิม โดยภาพที่คนเห็นทั่วโลกคือ
ท่านล้างเท้านักโทษ ซึ่งสังคมตีตราเขาว่าเป็นคนชั่วคนบาปกว่าคนอื่น ท่านล้างเท้าผู้พิการซึ่ง
ถูกมองว่าต่ำต้อยกว่าคนปกติ ล้างเท้าผู้ติดเชื้อHIVซึ่งสังคมรังเกียจและมักตัดสินว่าติดมาจาก
ความสำส่อนทางเพศ และล้างเท้าผู้หญิง ทั้งที่ยังเป็นเด็กคราวลูกคราวหลานของตน ยิ่งไปกว่านั้น
พระองค์ถึงกับล้างเท้าคนต่างศาสนา อย่างผู้อพยพชาวมุสลิม

ความจริงพิธีนี้ ไม่ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีคิดในสมัยพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ผมได้ร่วมพิธีนี้ที่อเมริกา และทำให้ความคิดเกี่ยวกับพิธีนี้ของผมตลอด20กว่าปีที่มีชีวิตคาทอลิก
มาเปลี่ยนไปตลอดกาล นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคุณพ่อเจ้าวัด ล้างเท้าฆารวาส 12คนมีทั้ง ชาย หญิง
และเด็กรวมทั้งเด็กช่วยมิสซาคนหนึ่งด้วย ซึ่งผมตกตะลึงมากเพราะตลอดเวลาที่เป็นคาทอลิกไทย
เห็นแต่ชายสูงวัยเท่านั้น แต่ความพีคยังไม่จบ คุณพ่อได้พูดพระดำรัสของพระเยซูในเรื่องนี้ขึ้นว่า
"ท่านจงทำแก่กันและกันด้วย" ทันใดนั้น ทั้ง12คน เดินไปที่แถวเก้าอิ้ด้านล่างซึ่งมีกะละมังและผ้า
เตรียมไว้ ทำการล้างเท้าคนที่มาร่วมพิธี เด็กคนหนึ่งที่พ่อได้ล้างเท้าเขาบนพระแท่น วิ่งลงไปล้างเท้า
น้องชายตัวเล็กของเขาที่นั่งร่วมพิธีที่เก้าอี้แถวแรก ตอนนั้นผมน้ำตาซึม และพบว่า "นี่เอง นี่ไง นี่
ต่างหาก ที่พระเยซูหมายถึงจริงๆ" ไม่ใช่การแสดงที่เหมือนนำเรื่องราวในพระคัมภีร์2000ปีที่แล้ว
มาแสดงให้ชม แต่ได้ทำความหมายที่แท้จริงที่พระเยซุพูด ให้ออกมามีชีวิตชีวาและร่วมอยู่
ในยุคสมัยของเราอย่างแท้จริง

สิบปีที่แล้วผมได้แต่เก็บภาพประทับใจนี้ไว้ในใจและเล่าสู่คนอื่นฟังบ้าง เพราะเมื่อกลับมาไทย
พิธีนี้ก็ดูยากจะเปลี่ยน บางทีไม่ใช่จากตัวคุณพ่อที่บางท่านพร้อมจะสุภาพถ่อมตน แต่กลับเป็น
ฆารวาสคาทอลิกไทยบางคนที่รับไม่ได้ เพียงเพราะ "เกิดมาไม่เคยเห็น" หรือ "ไม่เหมือนที่ตัวเอง
เคยเห็นเคยทำมาก่อน"

จนวันที่พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้กระทำทุกสิ่งเหล่านี้ ออกสู่สายตาสาธรณะชนทั่วโลก
คงไม่มีใครอ้างได้ว่า "เกิดมาไม่เคยเห็น" อีกแล้ว คงเหลือแต่ใจที่จะเปิดรับหรือไม่เท่านั้น

เมื่อพระเยซูพูดว่าให้สาวกทำสิ่งนี้แบบที่พระองค์ทำ ทรงหมายถึงสาวกผู้ชายเท่านั้นหรือไม่
ผู้หญิงเป็นศิษย์พระคริสต์หรือเปล่า ทรงหมายถึงสาวกที่อายุมากกว่าเท่านั้นหรือไม่ ยอห์นที่อายุ
น้อยที่สุดและเยาววัยกว่าพระองค์ทรงล้างให้เขาไหม แล้ววันนั้นพระองค์ล้างเท้ายูดาสหรือไม่
เช่นนั้นแล้วทรงหมายถึงล้างเท้าแค่คนศรัทธาเท่านั้นหรือไม่

ยอห์น 13:13-15
ท่านทั้งหลายเรียกเราว่า พระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็น
เช่นนั้น ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของท่าน ได้ล้างเท้าของพวกท่าน
พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่าน
ทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน

ปล.ปัจจุบันทราบว่ามีวัดคาทอลิกไทยหลายวัดได้เปลี่ยนแปลงมีเด็ก และสตรีบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่
ยังคงอยู่ในกรอบเดิม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การตัดสินว่าใครถูกผิด แต่ขอชี้ช่องเปิดทางว่าคาทอลิก
อันเป็นสากลนั้น หลากหลายและกว้างขวางยิ่งนัก

CR. : จิต ศรัทธา
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 06, 2022 12:57 pm

( 5 )+ เมื่อผีปีศาจริจะหลอกพระ +

บทพระคัมภีร์ว่าด้วยการผจญล่อลวงพระเยซูคริสต์ ถูกบันทึกไว้โดยผู้เขียนพระคัมภีร์3ใน4คน
(มัทธิว4:1 มาระโก1:12 ลูกา4:6)ซึ่งชวนให้สงสัยว่า ถ้าพระเยซูคือพระเจ้าซึ่งรู้ดีทุกสิ่งทุกอย่าง
ใครจะมาหลอกได้

แต่หากเราได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ เราจะพบว่า การทดลองที่พระเยซูเผชิญ ไม่ใช่การหลอก
ด้วยความไม่รู้ หรือด้วยการโกหก หากแต่ปีศาจที่มาเล่นงานพระองค์นั้น นอกจากเชี่ยวชาญ
พระคัมภีร์อย่างมาก สามารถยกอ้างฉอดๆ มันยังพูดเรื่องจริงทั้งนั้นอีกด้วย ดังนั้นการล่อลวง
คนที่รู้ความจริงทุกอย่างจึงไม่ใช่จากการพูดโกหกให้ทำผิดโดยไม่รู้ แต่เป็นการล่อหลอก
ให้ทำผิดทั้งที่รู้ ซึ่งเปรียบได้กับการประลองระดับเจ้ายุทธภพสู้กัน

เงื่อนไขที่สำคัญอีกอย่างที่เรื่องนี้เกิดขึ้นได้คือ การอนุญาตของพระเจ้าเอง ผู้เขียนพระคัมภีร์เล่า
ตรงกันว่าสิ่งนี้เกิดทันทีหลังทรงรับพิธีล้างจากยอห์น มีพระจิตเสด็จลงมา และ มีเสียงจากสวรรค์
กล่าว่า ทรงเป็นพระบุตรสุดที่รัก และทรงเป็นที่โปรดปราน(ในพระธรรมใหม่ มีเพียง2คนเท่านั้น
ที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ คือมารีย์พระมารดาของพระองค์ตอนรับแจ้งข่าว
การบังเกิด และพระเยซูเอง) และหลังเหตุการณ์ประกาศเกียรติอย่างยิ่งใหญ่จากสวรรค์ พระคัมภีร์
เขียนชัดเจนว่า เป็นพระจิตเจ้าเองที่ ดล และ นำ พระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารให้อดอาหารและอดน้ำ
นานถึง40วัน เพื่อให้ ทุกข์ทรมาน อ่อนแรง หิว เหนื่อยล้า และเครียดจนแทบบ้า เพื่อที่ปีศาจจะ
ล่อลวงได้ (เราคงงงและคิดเหตุผลไม่ออกว่าพ่อที่เพิ่งบอกว่ารักลูกคนนี้เหลือเกินทำไมทำกับลูกแบบนี้)
พระคัมภีร์ยังเขียนว่าทรงถูกปีศาจผจญตลอด40วัน นั่นแปลว่ายังมีการผจญอีกหลายเรื่อง
ที่พระคัมภีร์ไม่เขียนแต่เลือกเล่าแค่3เรื่อง

พระเยซูในสภาพร่างกายมนุษย์ที่อ่อนแอ จะเป็นลมล้มตาย หิวโหยทรมาน ปีศาจก็เข้ามาแนะนำ
ให้พระองค์เสกหินให้เป็นขนมปัง และแน่นอนมันไม่ได้โกหกเลย พระเยซูทำสิ่งนี้ได้จริงๆ อัศจรรย์
แรกที่งานแต่งงานทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น และได้ทรงทวีขนมปังและปลาเลี้ยงคนห้าพันคน
โดยตลอดชีวิตพระเยซูไม่เคยใช้พลังอำนาจในการทำอัศจรรย์เพื่อตัวเองเลย หากแต่ทำเพื่อคนอื่น
ทั้งหมด เพียงแต่ครั้งนี้ ปีศาจล่อลวงให้พระองค์ทำเพื่อประโยชน์ตนเองในที่ซึ่งไม่มีใครเห็นอีกต่างหาก
ที่น่าสนใจคือปีศาจใช้คำว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า ก็จง..." กล่าวคือพระเยซูเพิ่งได้รับการประกาศ
รับรองว่าเป็นบุตรสุดที่รักจากพระบิดา ปีศาจเองก็เข้ามายั่วย้ำความจริงอันนี้เพื่อยั่วเย้ยว่าพระบิดาเอง
ปล่อยให้ลูกทุกข์ทรมานถึงปานนี้ ยังอยากเป็นลูกต่อไหม

และเมื่อไม่สำเร็จ มันพาพระองค์ไปยังที่สูงและกล่าวอ้างพระคัมภีร์ว่าให้พระองค์กระโดดลงมาจะไม่
เป็นไรหรอก เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่าทูตสวรรค์จะพยุงพระองค์ไม่ให้เท้ากระทบหิน สิ่งที่ปีศาจทำไม่ใช่
การบิดเบือนพระคัมภีร์หากแต่ใช้วิธี "ตีความตรงๆตามตัวอักษร" พระเยซูเองก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่จริง
หากแต่ทรงยกข้อพระคัมภีร์อื่นในการไม่บังควรที่มาทำสิ่งไร้สาระเพื่อทดสอบคำสอนของพระเจ้า

จากนั้นซาตานได้ผจญพระองค์โดยกล่าวความจริงอันหนึ่งว่า มันเป็นเจ้าของอำนาจการเมืองและ
ความรุ่งเรืองของอาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้หากพระเยซูยอมกราบนมัสการมัน มันจะยกทั้งหมดให้
พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธเลยว่ามันไม่มีอำนาจที่ว่าจริงๆ หากแต่บอกมันว่าให้นมัสการพระเจ้าเพียงผู้เดียว
ถึงตรงนี้เราคงหายสงสัยว่าทำไมความเจริญรุ่งเรืองและอำนาจทางการเมืองมักแลกมาด้วยการเสื่อม
ของจริยธรรม และหลายครั้งคนที่มีอำนาจการเมือง หรือผู้ปกครองประเทศเองเป็นคนที่โหดร้าย
เลวทรามเป็นอันมาก ปีศาจได้กล่าวอย่างชัดเจนไว้แล้วว่านี่คืออำนาจของมันที่ "มอบให้ใครก็ได้ตามใจ"
จึงไม่น่าแปลกจากอดีตถึงปัจจุบันเมื่อมีศาสนาใดก็ตามไปพัวพันอำนาจการเมือง ศาสนานั้นก็จะพบ
ความเสื่อมทรามลงทันที

แล้วพระคัมภีร์ก็ระบุต่อไปว่า ปีศาจได้ยอมแพ้พระองค์ไปก่อนแต่รอเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมาอีก
สิ่งนี้บอกเราว่า พระเยซูเองไม่ได้โดนผจญแค่ครั้งนี้ แต่จะโดนผจญด้วยเรื่องเหล่านี้อีกในอนาคต
พระองค์โดนฟาริสีตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรเล่นงานพระองค์เสมอ บรรดาศิษย์เองยังโดนมารใ
ช้เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวพระองค์ให้ใช้พลังอำนาจเพื่อไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ทรงโดนดึงเข้าพัวพัน
การเมืองตลอดเวลา มีแต่คนจะมายกให้พระองค์นำทัพกู้ชาติ แต่เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงแยกตัวเอง
ออกจากการเมืองตลอดเวลา ไม่ยอมเอาตัวเข้าเป็นหมากการเมืองของฝ่ายใดเลย

พระเยซูเจ้าต้องรับบททดสอบที่ยากยิ่งกว่าใครในโลก บททดสอบสำหรับคนที่รู้ล่วงหน้าว่ากำลังเดิน
ไปหาอะไร และมีสิทธิ์อำนาจที่จะยกเลิกทุกสิ่งอย่างเมื่อไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช้อำนาจและต้องยอมให้เป็น
ไปตามน้ำพระทัยพระบิดา

พระองค์ยังยอมรับการผจญนี้เพื่อบอกเราว่า พระองค์ไม่ใช่เป็นพระเจ้าที่สุขสบายบนสวรรค์แล้วไม่
เข้าใจมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์แท้คนหนึ่งที่โดนมายิ่งกว่าเราแล้วทุกอย่าง ทรงเข้าใจการน้อยเนื้อต่ำใจ
ความทุกข์ใจ ความไม่เข้าใจที่ต้องถูกพระบิดาพระเจ้าของตนเองยอมให้มารมาทดสอบ ยิ่งกว่านั้น
ในการทดสอบของพระองค์ต้องทรงสู้อย่างโดดเดี่ยว ต่างจากเราที่สามารถร้องขอพระองค์ทรง
ช่วยเหลือได้เสมอ

(ฮีบรู 4:15-16)เพราะเหตุว่า เราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอได้ แต่เรามีมหาสมณะ
ผู้ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่ง
พระหรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ

CR. facebook.com/holysmn
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2022 2:16 pm

( 6 )

ธรรมะข้อนี้ใช้ได้กับทุกศาสนา

ถ้าเราคิดว่าเราเข้าหาธรรมะในศาสนามากขึ้น จนเริ่มรู้สึกว่าเข้าถึงได้มากกว่าคนอื่น เรากลับต้อง
เพียรถามตัวเองว่า ที่จริงเราแค่ เข้าใกล้ แต่ไม่ได้ เข้าถึง หรือเปล่า เราอาจตรวจสอบตัวตนเองง่ายๆดังนี้

1.เรารู้สึกมีความสุขกับการรู้ธรรมคำสอนในศาสนาหรือคัมภีร์มากขึ้น แต่เราได้ปฏิบัติธรรมนั้นบ้างไหม
หรือเราเพียงอ่านและฟังเพื่อความสุขขณะนั้นเฉยๆ ถ้าแบบนั้นศาสนาสำหรับเราจะมีสถานะเป็นแค่
น้ำแข็งแก้วหนึ่งช่วยให้เย็นฉาบฉวยเฉยๆแต่ไฟบาปต่างๆภายในยังไม่เคยดับ

2.ธรรมะในศาสนาจุดประสงค์สูงสุดเพื่อขัดเกลาตนเองไม่ใช่เอาไว้ชี้นิ้วตัดสินคนอื่น โปรดถามตนเสมอว่า
เมื่อศึกษาธรรมมากขึ้น เราเห็นข้อบกพร่องของตนเองมากขึ้น หรือเห็นข้อบกพร่องของคนอื่นและคนรอบ
ข้างมากขึ้นมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น การรู้ศาสนาเป็นเพียงการ รู้มาก แต่ที่จริง ไม่รู้อะไรเลย

3.จากข้อสอง พิจารณาต่อไปว่า เราได้เมตตาต่อความผิดคนอื่นแต่เข้มงวดกับกับความผิดตนเองหรือเปล่า
หากเป็นตรงข้าม คือเราเมตตาตนเองตลอดแต่เข้มงวดคนอื่นเสมอ ก็โปรดสำนึกว่านี่เป็นนิสัยฝ่ายต่ำของ
มนุษย์ทั่วไปที่แม้คนพาลก็เป็นแบบนี้ นั่นจึงแสดงว่า จิตวิญญาณเรายังเป็นเหมือนทัพพีที่คนแกงตักแกงแช่
อยู่ในหม้อแกงแต่กลับไม่เคยลิ้มรสแกงหรือซึมซาบรสแกงนั้นเข้าไปในตัวได้เลย

4.หากสันติสุขจากธรรมในศาสนาไม่ได้มาจากการลงมือปฏิบัติจนเกิดผล แต่มาจากเถียงคนอื่นชนะเป็นส่วน
ใหญ่ เราไม่เรียกสันติสุข เราเรียกความสนุกหรือสะใจ ซึ่งไม่ใช่ความสุขแท้ตามคำสอนศาสนาใดๆก็ตาม

หากเราคิดว่า เป็นคนสนใจศาสนา หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าธรรมะธรรมโม แต่แล้วปรากฎว่า กลับมี
อัตตาขยายขึ้นจากสิ่งนี้ หรือบาปต้นจองหองกลับพองฟูขึ้น นี่เป้นปรากฎการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน
มันเป็นธรรมชาติและนิสัยสันดานพื้นฐานของมนุษย์ เป็นบาปแรกที่ทำให้เราทุกข์ คนอื่นรอบข้างทุกข์ และ
โลกทุกข์ เป็นบาปกำเนิดที่เกิดมาพร้อมตัวตนเราทุกคน ซึ่งธรรมในศาสนามีไว้ปราบสิ่งนี้ แต่อีนี่มันร้าย
มันเก่ง มันสามารถกลับเอาธรรมในศาสนามาขุนตัวมันแทนที่จะกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย

ใครรู้ตัวไวกว่า ก็ชนะก่อน ใครรู้ตัวช้า ก็เหมือนคนที่อยู่ในกองไฟ ถือถังดับเพลิงไว้กับตัวคิดว่ากูรอดแน่แล้ว
แต่ไม่เคยเปิดถังฉีด กลายเป็นแบกถังหนักเปล่าๆ หนีไม่ทันตายก่อนคนอื่นไปอีก

ภาพไอค่อน-การอธิษฐานของฟาริสีกับคนเก็บภาษี

ลูกา 18:9-14 คำอุปมาเรื่องฟาริสีกับคนเก็บภาษี

สำหรับบางคนที่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเองและดูถูกคนอื่นทั้งปวงนั้น พระเยซูตรัสคำอุปมานี้ว่า
“ชายสองคนไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี และอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ฟาริสีคนนั้น
ยืนขึ้นอธิษฐานเกี่ยวกับ ตนเองว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นๆ
ที่เป็นโจรปล้น ทำชั่ว ล่วงประเวณี หรือเป็นอย่างคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพระองค์ถืออดอาหารสัปดาห์ละ
สองครั้ง และถวายสิบลดจากทุกสิ่งที่ได้มา’

“แต่คนเก็บภาษีนั้นยืนไกลออกไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นฟ้า แต่ทุบตีอกของตนและพูดว่า
‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปด้วยเถิด’

“เราบอกท่านว่า คนนี้ต่างหากที่กลับบ้านไปโดยถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เพราะทุกคนที่ยก
ตนเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลง และผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น”

Cr. facebook.com/holysmn
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:13 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2022 7:41 pm

( 7 )

ในพระคัมภีร์ มักไม่ระบุอายุของใครและ น้อยครั้งที่จะระบุวันเวลาที่ชัดเจนในแต่ละเหตุการณ์
แม้แต่อายุของพระเยซูคริสต์เมื่อถูกตรึงกางเขนก็ไม่มีบอกไว้

แต่บันทึกของนักประวัติศาสตร์ และบันทึกของบรรดานักบุญยุคแรกเริ่ม ได้เผยรายละเอียดบางอย่าง
ของสตรีผู้นี้

โดยธรรมประเพณีเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชมน์เมื่ออายุ33ปี แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุอายุที่ชัดเจนไว้
แต่ในขณะเดียวกันมีเอกสารประวัติศาสตร์และบันทึกอื่นๆที่พาดพิงถึงวันเวลาต่างๆอยู่บ้าง และหนึ่ง
ในนั้นคือเรื่องวันเวลาที่ พระมารดามารีย์ ถูก(พระเจ้า)ยกขึ้นสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

เรื่องราวการเสด็จสู่สวรรค์ของแม่พระและประวัติอื่นๆหลายเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึงในพระคัมภีร์สาระบบหลัก
ถูกบันทึกในพระคัมภีร์นอกสาระบบ คือ De Obitu S. Dominae ซึ่งระบุว่าเขียนโดยนักบุญยอห์น แต่กระนั้น
ในหนังสือดังกล่าวบันทึกเรื่องราวแต่ไม่ได้ระบุวันเวลา

วันเวลานั้นถูกพบในหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญทั่วไปในแถบตะวันออกกลาง
the Chronicon of Eusebius(คศ.225) ระบุว่าพระแม่มารีย์เสด็จขึ้นสวรรค์ คศ. 48

นอกจากนี้ข้อเขียนของนักบุญ เคลเมนแห่งอเล็กซานเดีย(คศ.215) และนักบุญ อพอลโลนิอุส(คศ.186)
ระบุว่า หลังจากเหล่าอัครสาวกรับพระบัญชาสุดท้ายจากพระคริสต์ก่อนพระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์ และ
พวกเขาออกเทศนาไปทั่วปาเลสไตน์และดินแดนใกล้เคียงได้ราว12ปี พระมารดาของพระคริสต์ก็ถูกยก
ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระบุตรของพระนาง

เมื่อเทียบเคียงจากเงื่อนไขเวลาในประวัติศาสตร์

หากพระแม่มารีย์รับสารจากทูตสวรรค์อายุประมาณ13-14ปี จากนั้นอีก33ปีเมื่อพระเยซุถูกตรึงกางเขน
แม่พระจะมีอายุราว47ปี

และเมื่อบวกอีก12ปีที่เหล่าสาวกออกเทศนาและกลับมา แม่พระจะเสด็จขึ้นสวรรค์เมื่ออายุราว 59 ปี

การทราบประวัติส่วนนี้จะทำให้เรารู้ว่าแม่พระใช้เวลากี่ปีในการอยู่ที่เอเฟซัสกับนักบุญยอห์น ซึ่งสิ่งนี้
มีอิทธิพลต่อพระวรสารของท่านอย่างแน่นอน และแม่พระมีเวลากี่ปีในการเป็นมารดาอัคาสาวกทั้ง12
เมื่อพระเยซูจากไปแล้วที่พึ่งพิงทางใจของพวกเขาก็คือมารดาพระเจ้าชี้ให้เห็นว่าภาระหน้าที่ของแม่
ในโลกไม่ได้จบลงเมื่อพระเยซูขึ้นสวรรค์

ที่สำคัญ ทำให้เรารู้ว่าเมื่อพระเยซูจากแม่พระไป แม่พระจะต้องอดทนรออีกนานเพียงไรกว่าจะได้กลับไป
อยู่กับพระบุตรสุดที่รักของแม่ ทั้งหมดนี้คือความรู้เพื่อความเข้าใจในกิจการของแม่พระที่ซ่อนเร้นอยู่
ในพระคัมภีร์ที่ไม่กล่าวถึงสตรีสักเท่าใดครับ

ที่มา
viewtopic.php?f=2&t=19491&start=0
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 14, 2022 8:45 pm

( 8 )

จิตใจของข้าพเจ้าคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า
ยิ่งกว่าคนยามคอยเวลารุ่งเช้า (สดุดี 130:6)

ในยามมืดมน อาจมืดมิดจนราวแสงดาวก็ไม่เห็น อาจยาวนาน ราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้
อันตรายรายรอบด้านก็น่ากลัว ไม่รู้ว่าจะรอดอยู่ได้ถึงแสงยามเช้าหรือไม่ แต่ไม่ว่าคืนนั้น
จะมืดเท่าใด จะรู้สึกว่ายาวนานเท่าไร จะรู้สึกว่าน่ากลัวเท่าไร แต่เมื่อถึงเวลา
วันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็จะมาอยู่ดี

รุ่งอรุณยามเช้า หากรู้สึกว่ามาช้าใครเล่าจะเร่งได้ แต่หากรู้สึกว่ามาเร็วไปใครกันจะห้ามได้
และมันก็มาอย่างซื่อสัตย์ไม่ขาดสักวัน รักษาสัญญาตามที่มันเป็นมาตั้งแต่ก่อกำเนิดโลก

ความมืดมิดไม่คงอยู่อย่างถาวร เหมือนเมื่อตอนที่แสงอาทิตย์อัสดงหลบหายไป แต่ในยาม
มืดมิดนั้น เราจงรักษาตัวเราไว้เพื่อรอคอยวันใหม่ จงรักษาแสงตะเกียงแห่งศรัทธาไว้ เพราะศรัทธา
ไม่ใช่ความเชื่อว่ามีแสงสว่างยามอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ แต่คือความเชื่อว่า มีแสงสว่างแม้ยามมืดมิดต่างหาก

จงระวังตัวเรา อย่าให้ความืดมิดกลืนกิน เพราะถ้าเรายอมถูกแพ้ถูกความมืดมิดกลืนกิน
เราจะไม่มีโอกาสเห็นแสงสว่างที่กำลังจะมาถึงอีกเลย

ความสว่างมาเสมอเมื่อถึงเวลา ความมืดก็เช่นกัน มันมีวาระของมันที่จะมาและเราล้วนเผชิญกับ
ทั้งสองอย่างเมื่อถึงเวลาไม่ต่างกัน

บางคืนเราอาจยังมีจันทร์ที่ส่องสว่างให้ บางคืนอาจมีแค่ดาวที่พอจะนำทาง และบางคืนอาจเหมือน
ไม่มีอะไรเลย แต่จะคืนแบบไหนๆก็จะจบลง เมื่อวาระยามเช้ามาถึงอยู่ดี โปรดระลึกว่า ยิ่งเราเผชิญ
กลางคืนยาวนานเท่าไร ก็แปลว่ากลางวันยิ่งใกล้เข้ามาเท่านั้น

”ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต” (ยน 8:12)

ขอองค์ความสว่างทรงประทานแสงสว่างแก่ชีวิตเราด้วยเทอญ อาแมน
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 9:09 pm

( 9 )

⭐️ มารดาพระคริสต์และมารดาของชาวโลก ⭐️

ภาพแม่พระทรงครรภ์พระเยซูคริสต์นี้ วาดเสร็จตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จริงๆผมมี
ความคิดอยากวาดภาพเหตุการณ์ มักนีฟีกัต เมื่อแม่พระเยี่ยมนางเอลิซาเบธ แล้วแม่พระได้
ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยพระจิตและพระเจ้าที่เปี่ยมอยู่ในแม่พระ มาตั้งแต่เกือบ20ปีที่แล้ว

บทสรรเสริญพระเจ้าของแม่พระนี้บันทึกในพระคัมภีร์ และทำให้ มารีย์ มารดาพระเยซูคริสต์
เป็นสตรีที่มีบทพูดยาวที่สุดในพระธรรมใหม่

ลูกา บทที่ 1 ข้อที่ 46-55

"วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์
ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข
พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า
พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์
พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย
พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ
ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป
ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า
พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์
โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา
ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา
แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป"

หากถามว่าเกือบ20ปี ทำไมภาพจึงมาเสร็จช่วงนี้ แรงบันดาลใจของภาพนี้รวมเข้ามาหลายอย่าง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างน่าประหลาดใจ เริ่มจากการที่ผมได้นำทัวร์พี่น้องโปรแตสแตนท์
ชมวัดคาทอลิก และมีการพูดคุยกันว่า การที่โปรแตสแตนท์ไม่ให้ความสำคัญกับแม่พระ เพราะ
พระคัมภีร์ไม่ให้ความสำคัญกับมารีย์เท่าไรในการทรงไถ่ของพระเยซู ผมจึงแย้งว่า ในพระคัมภีร์
พระธรรมใหม่ แม่พระคือสตรีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบ่อยที่สุด และมีบทพูดยาวที่สุดนะ ซึ่งพี่น้อง
โปรแตสแตนท์บางท่านงงว่า มีตอนไหน ผมเลยบอกว่าคาทอลิกเรียก บทมักนีฟีกัต คือบทสรรเสริญ
พระเจ้าเมื่อแม่พระเยี่ยมนางเอลิซาเบธไง (บางท่านยังงงต่อว่าอ้าวนั่นเอลิซาเบธพูดนี่ ผมเลยบอกว่า
อ่านต่ออีกหน่อยแม่พระพูดเองอย่างยาวเลย จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งว่า ข้อกล่าวหาว่าคาทอลิกไม่อ่าน
พระคัมภีร์ไม่ใช่ความจริง ความจริงคือ เราแค่โฟกัสพระคัมภีร์คนละจุด 555)

พอกลับมาผมอธิษฐานภาวนาและกลับมานึกถึงรูปภาพที่เคยมีความตั้งใจอยากทำขึ้นตั้งแต่เมื่อ
เกือบ20ปีที่แล้ว และคิดว่าจะทำให้สำเร็จซะที หลังจากลงมือทำไปไม่นาน ระหว่างนั้นเอง
คุณพ่อ วัชรศิลป์ Watchasin Kritjaroen ได้นำการ์ดบทภาวนานักบุญต่างๆของผมไปแจกนักเรียน
คำสอน และติดต่อกลับมาหาผมว่าคุณพ่ออยากทำบทสวดสำหรับคนท้อง แต่พ่อก็ยังนึกไม่ออกว่าจะ
เอาภาพอะไรที่อีกด้านของการ์ด ขณะที่ภาพนี้กำลังพัฒนาปรับปรุงพอดี ผมก็ยังไม่ประติดปะต่อเข้ากัน
แต่หลังจากภาพเสร็จ จึงเกิดเข้าใจว่าหรือนี่จะเป็นพระญาณสอดส่อง เพราะภาพนี้ก็จะเข้ากับบทสวดของ
คุณพ่ออย่างมาก จึงคิดว่าพระเจ้าอาจจะดลใจเราให้กลับมาทำภาพนี้ให้เสร็จ เพราะเหตุนี้หรือเปล่า
ดังนั้นจึงเก็บภาพนี้ไว้ก่อนยังไม่เผยแพร่สาธารณะชน กะว่าคงจะออกครั้งแรกตอนทำการ์ดบทภาวนา
เพื่อสตรีมีครรรภ์ของพ่อวัชรศิลป์

จนกระทั่งเดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์รูปสลักของชาวอเมซอนคาทอลิกที่ทำภาพแม่พระตั้งท้อง แล้วมี
คนให้ร้ายว่าเป็นภาพลักษณ์ของเทพีเจ้าแม่ธรรมชาติ แล้วยังมีคนไปโยงว่ารูปนี้ชื่อมารดาแห่งโลกไม่ใช่
ชื่อแม่พระ (ทั้งที่แม่พระเองก็มีสมญานามหนึ่งว่าพระมารดาแห่งชาวโลกมาตั้งนานแล้ว) ตอนผมทำไลฟ์
สดอธิบายเรื่อง อเมซอน ซีนอส ตอนเทียบเคียงรูป พระแม่แห่งอเมซอนกับรูปแม่พระกัวดาลูเป้ ว่าที่จริง
เราก็มีภาพแม่พระตั้งท้องมาตั้งแต่แรกแล้วที่อเมริกาใต้ ภาพนี้ก็แวบเข้ามาในหัวว่า เราเองก็ทำภาพ
แม่พระตั้งท้องไว้ภาพนึงนี่นา

เลยตัดสินใจเผยแพร่ภาพนี้ครั้งแรกที่นี่ ภาพนี้ยังไม่มีกำหนดเผยแพร่อย่างเป็นทางการ
คาดว่าอาจจะยังคงออกพิมพ์เป็นการ์ดบทสวดสตรีมีครรภ์ตามแผนเดิม และใช้เพื่อประโยชน์ทางการ
แพร่ธรรมอื่นๆต่อไป

"Mary is the Mother of Jesus and the Mother of all of us"
(Martin Luther :Sermon, Christmas 1529)

"พระแม่มารีย์คือแม่พระเยซู และแม่ของเราทุกคนด้วย"
มาร์ติน ลูเธอร์ -คำเทศนา วันคริสต์มาส 1529(หลังแยกนิกายโปรแตสแตนท์แล้ว)

ขอพระมารดาพระคริสต์และพระมารดาแห่งชาวโลก
ช่วยวิงวอนเทอญ

cr. www.facebook.com/holysmn
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 24, 2023 2:14 pm

(( 10 )


🙏 แม่พระแห่งจีน 🙏
Our Mother of Sheshan (佘山聖母)
แม่พระแห่งความโชคดี และเหล่าคริสตชนชาวจีน

สตรีผู้มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์และดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า ผู้บดขยี้มังกรร้ายสีแดงตามคำทำนาย
ในคัมภีร์เล่มแรก เธอยกบุตรของเธอไว้สูงสุดเพื่อประกาศแก่ชาวโลก(โดยเฉพาะชาวจีน)ว่าเขา
คือพระเจ้าคือบุตรแห่งสวรรค์ที่แท้จริงผู้ที่จะปกครองโลกตามคัมภีร์เล่มสุดท้าย

ศาสนาคริสต์ในประเทศจีน ถือเป็นพระศาสนจักรที่ถูกเบียดเบียนเป็นระยะมาโดยตลอดตั้งแต่แรก
เริ่มเผยแผ่ศาสนาเข้าไปในดินแดนนี้ และในยุคสมัยของคอมมูนนิสต์ องค์กรไร้ศาสนา และอเทวนิยม
(Atheist) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเหี้ยมโหดอำมหิตที่สุดในโลกด้วย โดยเฉพาะกับความเชื่อ
ความศรัทธา และศาสนาของผู้คน ที่ถูกเบียดเบียน และเข่นฆ่าทำลายอย่างร้ายกาจในยุคสมัยปัจจุบัน
พระศาสนจักรในจีน และคริสตชนในจีนก็ล้วนถูกเบียดเบียนข่มเหงทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่กระนั้น
การเติบโตของคริสตชนในจีนก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยืนเด่นท้าทายอำนาจรัฐเผด็จการอเทวนิยม
อย่างไม่ย่อท้อ

(วว 12:17) "มังกรโกรธสตรี และออกไปทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ที่เหลือของนาง คือผู้ที่ปฏิบัติตาม
บทบัญญัติของพระเจ้าและยึดมั่นในคำพยานถึงพระเยซูเจ้า"

แม่พระแห่ง Sheshan (佘山聖母) ได้รับการประกาศเป็นแม่พระองค์อุปถัมภ์ของประเทศจีน
โดยประดิษฐานอยู่ที่มหาวิหารที่เซียงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และมีชื่อเรียกอีกว่า แม่พระแห่งโชคดี

✝ ที่มาของรูปและการประจักษ์ 🌟

ในปี 1924 ได้เคยมีรายงานว่ามีการประจักษ์(ปรากฎกาย)ของแม่พระในนาม แม่พระแห่งประเทศจีน
และมีการวาดรูปนี้เป็นแม่พระยกพระกุมารขึ้นเป็นภาพวาด

ในปี2000 ได้มีการทำรูปแม่พระขึ้นจากฐานของรูปแม่พระเดิมที่เคยถูกทำลาย ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
ในจีน(Cultural Revolution) สมัยยุคเหมา โดยรูปเดิมเป็นแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคริสตัง ถูกทำลาย
จนเหลือแต่ฐานที่เป็นรูปมังกรที่แม่พระเหยียบ ทางสังฆมณฑลจึงทำรูปขึ้นมาบนฐานเดิม เป็นแม่พระ
ยกเทิดทูนพระคริสตเยซูไว้เหนือศีรษะ สื่อว่าพระเยซูคริสต์อยู่เหนือสิ่งสร้างทั้งมวลในสากลจักรวาล
พระกุมารกางแขนเป็นกางเขนเพื่อสื่อว่า ในความทุกข์ทรมานทั้งหมดในโลก กางเขนของพระคริสต์
คือจุดหมาย และเป็นชัยชนะ เหนือความตายและความชั่วร้ายทั้งมวล

แม่พระยกพระกุมารเยซู เพื่อประกาศแก่โลกว่า ผู้นี้คือพระเจ้าและพระผู้ไถ่ ดวงตาแม่พระหลุบต่ำมอง
ลงไปด้วยความรักและเมตตาอาทรต่อมวลมนุษย์ผู้ทุกข์ทรมานร่ำไห้ในหุบเหวแห่งน้ำตานี้ โดยพระแม่
เหยียบมังกรร้ายสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย ตามที่เขียนในปฐมกาลและวิวรณ์ ว่าสตรี
และพงษ์พันธุ์ของนาง ได้เอาชนะงูหรือซาตานศัตรูร้าย โดยบดขยี้มันไว้ใต้เท้า

แม่พระองค์อุปถัมภ์คริสตชนชาวจีนจึงมีวันฉลองวันเดียวกับ แม่พระองค์อุปถัมภ์ของคริสตังคือ
วันที่ 24 พฤษภาคม ในปี 2009 พระสันตะปาปาเบเนดิกได้กำหนดให้วันฉลองแม่พระนี้เป็น
วันอธิษฐานภาวนาเป็นพิเศษเพื่อคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนในจีนด้วย

รูป
1ซ้าย ภาพวาดแม่พระแห่งจีน
2 ขวาบนรูปแม่พระบนยอดมหาวิหารในเซียงไฮ้
3 ขวาล่าง รูปแม่พระแห่งจีนที่ตั้งอยู่ที่ บ้านคณะ SVD Thailand คณะพระวจนาตถ์
ของพระเจ้า ประเทศไทย

Cr. facebook.com/holysmn
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 05, 2023 7:47 pm

( 10 )

👼หน้าที่หนึ่งของทูตสวรรค์มีคาเอลที่หลายคนยังไม่รู้💒
-ผู้คนรวมทั้งคริสตชนส่วนมาก มีภาพของอัครทูตสวรรค์มีคาเอลในแง่นักรบ
ผู้ทรงพลังอำนาจปราบปีศาจ
-แต่มีสถานะหนึ่งที่เก่าแก่มากตั้งแต่ยุคแรกๆที่ท่านถูกยกย่องและเป็นองค์อุปถัมภ์
-ฐานะและพลังอำนาจนี้ถูกบันทึกในพระคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่
(แต่เนื้อหาน้อยเพราะเนื้อหาละเอียดจริงๆอยู่ในหนังสือที่ไม่ถูกจัดเข้าสาระบบพระคัมภีร์)

👼อัครทูตสวรรค์มีคาเอลในฐานะทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ผู้ป่วยใกล้ตาย และผู้ตาย

หลายๆคนแม้แต่คริสตชนคงจะชินกับภาพทูตสวรรค์มีคาเอลในฐานะนักรบ องค์อุปถัมภ์ประเทศ
ทหาร ตำรวจ ทำนองนี้ ซึ่งดูไปไม่น่าเกี่ยวอะไรกับคนป่วยหรือความตาย หรือจะว่าไปไม่น่าเป็น
หน้าที่ของคนเดียวกัน แต่ความจริงทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคก่อนพระเยซู ทูตสวรรค์มีคาเอล
ทำหน้าที่นี้ด้วยจริงๆ ซึ่งในธรรมประเพณียิวมีเรื่องนี้ และถูกพาดพิงในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
จดหมายของนักบุญยูดาที่ดูเหมือนจะตอบโต้ คนที่เข้าใจจดหมายเปาโลผิดๆ และลบหลู่ทูตสวรรค์
ไปตีความเหยียดว่าทูตสวรรค์ต่ำกว่ามนุษย์แล้วมนุษย์ไปด่าไปสาปแช่งได้ ยูดาจึงเกรี้ยวกราดคำสอน
ผิดนี้อย่างดุเดือด

ยูดา1:810(NTV)
"พวกเพ้อฝันเหล่านี้ทำให้ตัวมีมลทิน ไม่ยอมรับผู้มีหน้าที่เหนือกว่า และพูดหมิ่นประมาทชาวสวรรค์
แม้แต่ทูตสวรรค์ชั้นเอกชื่อมีคาเอล เมื่อท่านโต้เถียงกับพญามารเรื่องร่างของโมเสส ท่านยังมิอาจ
กล้ากล่าวดูหมิ่นพญามารเลย เพียงแต่กล่าวว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้าห้ามเจ้าเถิด” แต่คนเหล่านี้ยังพูดจา
หมิ่นประมาทสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ และสิ่งที่เขารู้ตามสัญชาตญาณ เป็นเหมือนสัตว์ที่ไร้เหตุผล สิ่งเหล่านี้
เองที่ทำลายล้างพวกเขา"

สิ่งที่ยูดาตั้งใจคือการตำหนิพวกสอนผิดดูหมิ่นทูตสวรรค์ ยกเรื่องนี้มาเพื่อสื่อว่า ขนาดทูตสวรรค์
กับปีศาจ ยังไม่ด่าหรือแช่งกันเอง ขนาดทูตสวรรค์มีคาเอลที่ระดับสูงมาก ยังรักษามารยาทนี้
ในจักรวาลนี้มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่มีศักดิ์และสิทธิ์นี้ แล้วมนุษย์ที่ตอนนี้เป็นคนบาปทำไมบังอาจ
ทำสิ่งที่ทูตสวรรค์ยังไม่ทำ ทำไมคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ทำได้

แต่ผลพลอยได้จากการนี้ ทำให้เรารู้ว่า มีเรื่องที่เกี่ยวกับศพของโมเสส การโต้เถียงกันของ
ทูตสวรรค์มีคาเอลและปีศาจ ซึ่งไม่มีบันทึกในหนังสือพระธรรมเดิมสาระบบหลักเลย และเมื่อ
มีการศึกษาลงลึกต่อไปก็ทำให้เรารู้ว่า....

1.เหล่าอัครสาวกของพระเยซู ถือสาระบบพระคัมภีร์ที่กว้างกว่าสาระบบพระคัมภีร์ปัจจุบันมาก

2.เราได้รู้จากการสืบค้นประวัติศาสตร์ว่า นี่เป็นเนื้อหาจากหนังสือที่ไม่อยู่ในสาระบบชื่อ การขึ้น
สวรรค์ของโมเสส(Assumption of Moses)

3.กลุ่มคริสตชนที่เป็นฟันดะแมนทัลลิส(ตีตามตัวอักษรตีความแคบมีแต่ขาวกับดำ)หรือสุดโต่ง
มักเชื่อว่า หนังสืออื่นที่ไม่อยู่ในสาระบบหลักคือเทียมเท็จหมด ที่เขาคัดออกกันในยุคแรกเพราะ
มันเท็จไงล่ะ แต่ที่จริง สาเหตุที่หนังสือใดไม่ถูกจัดเข้าสาระบบมีหลายเหตุผลมากซึ่งหนังสือนี้อาจ
เป็นเหตุผลเดียวกับ "จดหมายของเปาโลถึงชาวเลาดีเซีย" ไม่อยู่ในพระคัมภีร์ด้วยเหตุผลเรียบง่าย
กว่าที่คิดคือ มันหาย

4.หนังสือ การขึ้นสวรรค์ของโมเสส(Assumption of Moses) เป็นอีกหนึ่งที่จัดเป็นหนังสือหาย
คือเอกสารตกทอดมาไม่ครบทุกบททุกหน้า เราพบซากของหนังสือนี้บางส่วนเท่านั้น แต่เนื้อหา
แบบสรุปถูกพาดพิงในหลายเอกสารรวมทั้งหนังสือรวมเรื่องเล่าทั่วไปของชาวยิวด้วย

5.เราได้รู้หน้าที่หนึ่งของอัครทูตสวรรค์มีคาเอลคือ การพิทักษ์รักษาผู้ตายจากการพยายามเอา
ผู้ตายนั้นไปโดยซาตาน

6.แม้ทูตสวรรค์มีคาเอลจะมารยาทดีไม่ด่าซาตานแต่ซาตานก็เอาชนะท่านไม่ได้ ไม่สามารถเอา
โมเสสไปนรกได้ตามต้องการ

7.ซาตานอ้างเรื่องที่โมเสสเคยฆาตกรรมชาวอียิปต์ในวัยหนุ่มเพื่อเป็นข้ออ้างว่าโมเสสต้องไปกับตน
แต่สุดท้ายพระเจ้าให้โมเสสขึ้นสวรรค์แบบยกทั้งร่างกายไปเลยและนี่คือเหตุผลที่ทุกวันนี้ทาง
โบราณคดีไม่มีศพของโมเสส

8.เรายังพบเนื้อหาทำนองเดียวกันในหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ ชีวิตของอาดัมและเอวา
(Life of Adam and Eve) (หนังสือนี้มีปัญหาต้นฉับบแรกหายสาบสูญมีแต่ฉบับคัดลอกหลายภาษา
ที่มีเนื้อหาต่างกันบางจุดสรุปไม่ได้ว่าที่ถูกคืออันไหนแน่ จึงถือเป็นเอกสารหายได้เหมือนกัน)
หนังสือนี้ก็เล่าว่าอัครทูตสวรรค์มีคาเอล พิทักษ์ป้องกันศพของเอวาจากซาตานเช่นกัน

แม้คริสตชนส่วนมากไม่เคยรู้เนื้อหาเรื่องพวกนี้เลย แต่ในธรรมประเพณีของพระศาสนจักรแต่
โบราณ มีการอธิษฐานขอทูตสวรรค์มีคาเอลพิทกษ์รักษาผู้ป่วยใกล้ตายเป็นพิเศษ และจากข้อเท็จจริง
ในชีวิตจริง หลายๆกรณีเราพบว่าผู้ป่วยใกล้ตายจะมีอาการเพ้อ ซึ่งในบางคนก็มีอาการเพ้อแนว
หวาดกลัวว่ามีผีปีศาจ หรือวิญญาณชั่วจะมาเอาตนไป พระศาสนจักรจึงมีการอธิษฐานขอให้ทูตสวรรค์
มีคาเอลช่วยปกป้องผู้ป่วยจากการรังควาญของผีปีศาจมาตั้งแต่ยุคแรกๆ รวมถึงในมิสซาปลงศพก็มี
การกล่าวถึงทูตสวรรค์มีคาเอล และในบางสุสานก็มีรูปทูตสวรรค์มีคาเอลด้วย

ขอทิ้งท้ายด้วยบทภาวนาอัครทูตสวรรค์มีคาเอลในมิสซาภาษาละติน

Sancte Michael,
defende nos in proelio
ut non pereamus
in tremendo iudicio.

Saint Michael,
defend us in battle
that we might not perish
at the dreadful judgment.

นักบุญไมเคิล
โปรดปกป้องเราในการต่อสู้
เพื่อเราจะไม่พินาศ
ในการตัดสินสู่ความตาย

ขออัครทูตสวรรค์มีคาเอลปกป้องเราในการต่อสู้กับบาปและผีปีศาจ และโดยเฉพาะในวาระอันอ่อนแอ
ที่สุดของชีวิตเราคือเวลาเจ็บป่วยใกล้วาระความตาย ขอดาบและโล่ของท่านพิทักษ์รักษา ขอร่มเงาแห่ง
ปีกและแสงสว่างของท่านคุ้มครองวิญญาณของเราจากจิตชั่วร้ายด้วยเทอญ

อัครทูตสวรรค์มีคาเอล ช่วยวิงวอนเทอญ

cr. facebook.com/holysmn
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 07, 2023 10:53 pm

( 11 )

⛪️วิธีที่พระเจ้าสื่อสารกับเราที่มีบันทึกในพระคัมภีร์

สืบเนื่องจากโพสเรื่องคริสตชนไม่ดูหมอ มีคำถามว่าถ้าชาวคริสต์อยากรู้น้ำพระทัยพระเจ้า
หรือการชี้ทางชีวิตจากพระองค์บ้าง จะทำได้อย่างไรในเมื่อไม่ให้ดูดวงดูหมอ

ในพระธรรมเดิม พระเจ้ามีวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ 3 ทางด้วยกันคือ “ทางความฝัน
อาศัยอูริม และผ่านทางประกาศก” (1 ซมอ 28:6)

ในที่นี้จะกล่าวถึงวิธีอูริม ทูมมิม

อพยพ 28:30 THSV11

"จงใส่อูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวงสำหรับค้นหาพระทัยพระเจ้า และของสองสิ่งนี้จะอยู่ที่หัวใจ
ของอาโรนเมื่อเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ อาโรนจะรับภาระการพิพากษาชนชาติอิสราเอลไว้ที่หัวใจ
ของตนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอ"

ในยุคสมัยโมเสส เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าโมเสสสามารถพบพระเจ้าและพูดคุยกับพระเจ้าแบบ
ตัวต่อตัว แต่หากสิ้นโมเสสไป อิสราเอลจะเชื่อมต่อกับพระเจ้าได้ยังไงในเมื่อพระพรพิเศษระดับนี้
ไม่ใช่มีทุกคน วิธี อูริม ทูมมิม จึงมาสู่ อาโรนซึ่งเป็นมหาสมณะ และเป็นอีกวิธีสื่อสารกับพระเจ้า
แต่ว่ามันคืออะไร

“อูริมและทูมมิม” หมายถึง อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่มหาสมณะ ดังเช่น อาโรน ใช้เสี่ยงทาย
เพื่อจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า

ตามรากศัพท์ฮีบรู อูริมแปลว่า “สว่าง, ทำให้สว่าง” ส่วนทูมมิมแปลว่า “สมบูรณ์, ครบครัน, บริสุทธิ์”

“อูริมและทูมมิม” ยังถูกใช้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา เช่นกรณีระหว่างกษัตริย์ซาอูล
และโยนาธันพระราชโอรส (1 ซมอ 14:41-42)

หลังรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด “อูริมและทูมมิม” ถูกแทนที่ด้วยคำทำนายของบรรดาประกาศก
เราจึงไม่ค่อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะและวิธีการใช้อุปกรณ์เสี่ยงทายนี้มากนัก

เท่าที่พอสันนิษฐานได้จากเหตุการณ์ในพระคัมภีร์คือ อุปกรณ์ชนิดนี้เป็นอุปกรณ์ชนิดเสี่ยงทาย
หรือจับฉลาก คงมีขนาดเล็กจนใส่ไว้ในทับทรวงได้ อาจมีคำตอบให้เลือกเพียง 2 ตัวระหว่าง
“ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เพราะฉะนั้นต้องตั้งคำถามทีละคำถาม เมื่อจับได้ตัวเลือกหนึ่งแล้ว ค่อยตั้งคำถาม
ใหม่ที่สอดคล้องกับตัวเลือกที่จับได้ และทำเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะทราบพระประสงค์ของพระเจ้า

ในพระธรรมใหม่มีเพียงตัวอย่างเดียวที่พอเทียบได้กับ “อูริมและทูมมิม”
คือการเลือกมัทธีอัสเป็นอัครสาวกแทนยูดาส (กจ 1:24-26) ด้วยการจับฉลาก

👼 อูริมทูมมิมสไตล์ ในปัจจุบัน

วิธีแบบ อูริมและทูมมิม ที่นิยมใช้ในปัจจุบันที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่คริสตชนหลากหลาย
นิกายคือ การอธิษฐานแล้วสุ่มเปิดพระคัมภีร์

วิธีคือตั้งสมาธิ (อาจสวดบทสวดบางบทสั้นๆเพื่อรวบรวมสมาธิ) แล้วอธิษฐานในใจว่า "ขอพระเจ้า
(พระจิตเจ้า พระเยซู ฯลฯ แล้วแต่ว่าเรารู้สึกอยากได้การชี้แนะจากผู้ใด)ทรงตรัสบอกลูกในเรื่อง...
.ผ่านพระวาจาของพระองค์เองด้วยเทอญ" จากนั้นยกพระคัมภีร์ขึ้นมาหลับตาแล้วเปิดหน้าไหนก็ได้
ที่รู้สึกในจิตวิญญาณว่าอันนี้ หรือสุ่มไปเลยตอนรู้สึกว่าจิตว่างก็ได้ จากนั้นก็อ่านและหาคำตอบจากเนื้อหา

แต่กระนั้นวิธีนี้มีปัญหาตามมาคือ หากใช้พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์เล่มใหญ่มาก เปิดหน้าทีอาจเจอ
ตัวอักษรเป็นร้อยเป็นพันคำ หรืออาจเจอข้อความที่บรรยายอะไรที่ไม่สามารถตีความได้ เช่นลำดับ
วงศ์รายชื่อบรรพบุรุษ ฯลฯ

ด้วยความที่ผมใช้วิธีพวกนี้มาหลายปี จึงขอแนะนำวิธีที่ง่ายขึ้นในที่นี้

1.ไบเบิ้ลไดอารี่
ไบเบิ้ลไดอารี่ เป็นหนึ่งในหนังสือที่สรุปบทพระคัมภีร์ตลอดปี จึงครอบคลุมหลากหลายเรื่องราว
มากที่สุด แถมทุกหน้ามีการอธิบายด้วยว่าพระคัมภีร์วันนั้นหมายถึงเรื่องอะไร จึงทำให้"ได้อะไรสักอย่าง"
ทุกครั้งที่เปิด แถมเล่มไม่ใหญ่มากพอดีมือมาก และไม่จำเป็นต้องเป็นของปีนั้นๆปีไหนก็ได้เพราะ
ก็คัดข้อความมาจากในพระคัมภีร์เล่มเดียวกัน

2.ฉลากพระคัมภีร์หรือภาษาปากว่าเซียมซีพระคัมภีร์
บางท่านอาจเคยเห็นตามวัดคาทอลิก ที่มีกล่องหรือกระป๋องใส่แผ่นกระดาษแข็งยาวๆสีๆ เขียนข้อ
พระคัมภีร์ซึ่งใน1ชุดจะมีหลากหลายสีและหลากหลายข้อความซึ่งสาระสำคัญไม่ใช่ที่สี เขาทำมา
สวยๆเฉยๆ เวลาใช้ก็ใช้จับฉลากโดยหลับตา หรือเงยหน้ามองรูปพระ แล้วสุ่มจับมา1ใบ ท่านที่
สนใจลองติดต่อทางวัดอัสสัมหรือวัดมหาไถ่หรือศาสนภัณฑ์ใกล้ท่าน

3.การ์ดข้อความพระคัมภีร์
ผมเคยทำคลิปรีวิวการ์ดพระคัมภีร์นี้ไปในช่องยูทูป เป็นการ์ดพระคัมภีร์มีรูปพระเยซูสวยงามมาก
พร้อมข้อความหนุนใจหรือคำสอนของพระเยซูด้านล่าง วิธีใช้ก็เหมือนไพ่เลยสลับๆ ถามแล้วเปิด
ความน่าสนใจก็คือ การ์ดพระคัมภีร์ที่ผมเอามาลงนี้ผลิตและออกแบบโดยคุณ ดอรีน เวอร์ทู
(Doreen Virtue) ซึ่งเดิมเธอเป็นนิวเอจ(ศาสนาแนวผสมศาสนากับคุณไสย สายมูแบบฝรั่ง)
และเป็นตัวแม่ตัวมัมตัวมารดา ในด้านการออกแบบ ผลิต และจำหน่ายไพ่ทาโร่ และไพ่ทำนาย
อิงศาสนาโบราณต่างๆ และออกแบบไพ่ทำนายไว้หลายแบบ ต่อมาปี 2017 เธอพบพระเยซูและ
กลับใจรับเชื่อพระเจ้า เธอจึงหันหลังให้กับวิถีชีวิตเดิม และยกให้พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
แต่เพียงผู้เดียว เธอเลยหันมาทำการ์ดพระเยซูข้อความจากพระคัมภีร์แทน และอุทิศตัวรับใช้พระเจ้า
ในฐานะคริสตชน การ์ดนี้มีขายทางออนไลน์ ยังไม่มีใครซื้อลิขสิทธิ์มาแปลไทย ข้อพระคัมภีร์จึง
เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหากเราแปลไม่ออกทันทีสามารถเปิดพระคัมภีร์เทียบเคียงหรือใช้แอปแปล
ภาษาต่างๆได้ครับ จริงๆอันนี้เหมือนฉลากพระคัมภีร์ แต่พัฒนาไปทางมีภาพสวย

👼มีคนเคยถามผมว่า เกิดเราจับฉลากผิด หรือตีความผิด หรือตีความไม่ออกว่ามันเกี่ยวกับคำถามยังไง
จะเป็นยังไง ผมเลยตอบไปว่า ยังไงเสียเราก็ได้อ่านข้อความพระคัมภีร์ ซึ่งมีแต่สอนให้เราไปทางที่ดี
ซึ่งที่จริงเราควรอ่านทุกวันอยู่แล้ว สำคัญที่สุดเราอย่าตีความเข้าข้างตัวเองหรืองมงาย ให้เรามีสติ
และคิดว่าพระเยซูอยากบอกอะไรกับเรา(ไม่ใช่เราอยากได้ยินอะไร) ในสถานการณ์นี้พระองค์จะทำยังไง
ภายใต้พระวาจาข้อนี้(ไม่ใช่จากอารมณ์หรือความต้องการส่วนตัวของเรา) และที่สุดเราเองเป็นผู้เลือก
กระทำทุกอย่างด้วยตัวเอง วิธีนี้ก็เป็นแค่แนวทางหรือคำแนะนำ ให้เราอธิษฐานภาวนาขอพระเจ้า
ให้นำเราทำในหนทางที่ดีที่สุด และวางใจในพระองค์

"จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่‍ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่‍รู้นั้นให้แก่เจ้า"(เย‌เร‌มีย์ 33:3)

Cr. facebook.com/holysmn
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 09, 2023 8:30 pm

✝️ คริสตศาสนาห้ามการทำแท้งทุกกรณีใช่หรือไม่ ✝️

คนส่วนมากเข้าใจว่าศาสนาคริสต์(และศาสนาส่วนใหญ่)สอนว่าการทำแท้งเป็นบาป ซึ่งอาจ
จัดว่า เข้าใจ ได้ถูกต้องประมาณหนึ่ง แต่หากมีความเข้าใจว่า ห้ามการทำแท้งทุกกรณี
นี่อาจเข้าใจไม่ ถูกต้องทั้งหมด

🌟 เหตุที่ศาสนาสอนว่าการทำแท้งเป็นบาป 🌟

ศาสนาส่วนใหญ่โดยเฉพาะศาสนาในกระแสหลักสอนชัดเจนว่า การฆ่าคนนั้นเป็นบาปมหันต์ และ
ศาสนาต่างๆซึ่งเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ ล้วนมีความเชื่อว่า วิญญาณนั้นอยู่ในร่างกายของมนุษย์
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงเทียบ การทำแท้งว่าคือบาปในแบบเดียวกับการ ฆ่าคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เป็นการฆ่า ผู้บริสุทธิ์ก่อนเขาจะเกิดมา จึงต่อต้านการออกกฎหมายอนุญาตการทำแท้งเสรี

ในส่วนของผู้สนับสนุนการทำแท้งให้ถูกกฎหมาย จะอ้างสิทธิ์เสรีภาพเหนือร่างกายของตนเองของผู้หญิง
ที่มีสิทธิ์ ทำอะไรกับร่างกายของตนเองก็ได้ และอ้างกฎหมายที่นับว่า มนุษย์เป็น"บุคคล" ก็เมื่อคลอดแล้ว
อยู่รอดเป็นทารก จึงมองว่าการทำแท้งไม่ใช่การฆ่าคน ไม่ควรผิดกฎหมายแบบการฆ่าคนตาย

ในเมื่อมีการถกเถียงกันคนละฐานของหลักความคิด และคนละหลักจริยธรรม การถกเถียงเรื่องการ
ทำแท้ง ถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกหลักศาสนา หรือไม่ควรถูกกฎหมายเพราะผิดหลักศาสนา จึงยังคงเป็น
ข้อถกเถียง ต่อไปไม่มีข้อยุติที่ชัดเจนในทางจริยธรรมทางสังคมส่วนรวมที่มีฐานการยึดถือแตกต่างกัน

✝️ คำสอนเรื่อง Double Effect ของนักบุญโธมัส อไควนัส ✝️

ศาสนาคริสต์ดำเนินยาวนานกว่า 2000 ปี มีนักคิด นักปรัชญา นักศาสนศาสตร์ นักปราชญ์ นักวิชาการ
มากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา ซึ่งล้วนเผชิญหน้ากับจริยธรรม หรือการตีความหลักศีลธรรม ที่ไม่เขียน
อย่างจะแจ้งในพระคัมภีร์ นักบุญโธมัส อไควนัส (Thomas Aquinas ค.ศ. 1225-1274) เป็นนักปราชญ์
คนสำคัญ ของคริสตศาสนา ท่านได้รับการประกาศเป็นนักบุญและรับการยกย่องเป็นนักปราชญ์ของ
พระศาสนจักรคาทอลิกด้วย ท่านสามารถอธิบายคำสอน พระคัมภีร์ หลักความเชื่อ แม้แต่เรื่องพระเจ้า
บนฐานของ ตรรกศาสตร์ และเหตุผลได้อย่างน่าทึ่ง และรากฐานคำสอนของท่านหลายเรื่อง ยังคง
ส่งอิทธิพลต่อ กฎหมาย จริยธรรม และการเมืองในโลกตะวันตกจนทุกวันนี้

คำสอนหนึ่งที่สำคัญของท่านในเรื่องจริยธรรม คือ เรื่อง Double Effect หรือ ผลที่(ไม่พึงประสงค์)
ที่เกิดตามมา

คำสอนนี้มุ่งเน้นอธิบายผลเสียหรือผลลบที่เกิดขึ้นเมื่อเราตั้งใจทำความดีต่างๆ หากเกิดขึ้นจะถือว่าเรา
ทำบาปหรือทำดี เช่น

เมื่อคนร้ายบุกเข้ามา เอาปืนกราดยิงเข้าไปในโรงเรียน และกำลังจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ตำรวจบุกเข้าไปช่วย
เด็กๆ ทางเดียวที่จะหยุดคนร้ายคือ เขาต้องยิงคนร้ายในทันที ตำรวจยิงออกไป คนร้ายตาย
เด็กจำนวนมากรอดตาย

คำถามคือ ในเมื่อศาสนาสอนว่า อย่าฆ่าคน ตำรวจทำบาปฆ่าคนหรือเปล่า

ข้อเท็จจริงคือ ตำรวจได้ฆ่าคนร้ายตายไปจริงๆ แต่ภายใต้คำสอนเรื่อง Double Effect คำตอบคือ
ไม่บาป ทำไมเป็นเช่นั้น

โดยพื้นฐาน คำสอนเรื่องความบาป คนจะทำบาปหนักอย่างสมบูรณ์ ต้องเจตนา จงใจ และเต็มใจ
กระทำบาปในข้อร้ายแรง ซึ่ง Double Effect จะลงลึกและชัดเจนในประเด็นนี้เข้าไปอีก

Double Effect คือผลร้ายที่เกิดจากการตั้งใจทำความดีของเราโดยเราไม่ได้มีเจตนาร้าย และไม่ได้
เจตนาให้เกิดสิ่งร้ายนั้น โดยมีคุณสมบัติดังนี้

1. โดยธรรมชาติการกระทำนั้นเป็นความดีหรืออย่างน้อยอยู่ในความตั้งใจที่ดีโดยธรรมชาติ
2. ผู้กระทำมีเจตนาให้เกิดผลดี ไม่ใช่เจตนาให้เกิดผลร้าย แม้ผลร้ายจะตามมาจากการเกิดผลดีนั้น
โดยตัวมันเอง
3. ผลดีมีมากกว่าเมื่อเทียบกับผลเสียในสถานการณ์ที่ร้ายแรงพอสมควรที่จำเป็นต้องยอมให้เกิด
ผลเสีย และผู้กระทำใช้ความพยายามอย่างที่สุดแล้วเพื่อลดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด

เราจึงจะถือว่า ผลร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหมือนผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ของยา ที่ยาบางอย่างใช้
รักษาอาการหนึ่งแต่กลับก่อให้เกิดอาการไม่สบายอีกอย่างหนึ่งซึ่งหมอไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่ยามัน
บังคับให้เกิดเอง แต่เราอาจยอมให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยสบายนั้นเพราะมันหยุดอาการป่วยที่
ร้ายแรงกว่าได้ เช่นการคีโมที่รักษามะเร็ง เพื่อรักษาชีวิตคนไข้แต่พาให้คนไข้คลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง
ตามมา เราจึงไม่ประณามว่า หมอทำให้ฉันผมร่วงและอ๊วกแตก แต่รู้ว่าหมอรักษาฉันจากมะเร็งแต่มี
ผลข้างเคียงที่ทำให้ฉันไม่สบายและผมร่วง

✝️ กรณีการทำแท้งในจริยธรรม Double Effect ✝️

หลายๆครั้งที่เกิดปัญหา การขัดแย้งทางจริยธรรมของแพทย์ที่ทำการรักษาอาการเจ็บป่วยของคนไข้
ที่ตั้งครรภ์ ที่บางครั้งมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงที่อาจต้องเลือกว่า จะรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว หรือตาย
ทั้งสองชีวิต แพทย์ชาวคริสต์จำนวนมากประสบปัญหานี้ และคำสอนเรื่อง Double Effect ได้นำมา
อธิบายเพื่อให้เหล่าแพทย์ได้ยืนหยัดทำตามอุดมการณ์และจรรยาบรรณแพทย์คือการช่วยชีวิตคน
และไม่ได้ต้องการทำลายชีวิตใดๆ

ตัวอย่างเช่น

1.การปั้มหัวใจด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าต่อสตรีมีครรภ์ กระแสไฟฟ้าอาจส่งผลให้เกิดการแท้งใน
ครรภ์ได้ แต่หากไม่ช่วยปั้มหัวใจหญิงคนนั้นจะตาย แพทย์ตัดสินใจกระตุ้นหัวใจเพื่อรักษาชีวิต
ของเธอ เด็กในครรภ์จึงแท้งไป

2.การเกิดภาวะแทรกซ้อนการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือตรวจพบมะเร็งในมดลูกหรือรังไข่
ในสตรีมีครรภ์ ซึ่งการผ่าตัดรักษาใดๆจะส่งผลให้ตัวอ่อนในครรภ์เสียชีวิต

3.มารดาเป็นโรคร้ายแรงบางอย่างขณะตั้งครรภ์ซึ่งยาที่ใช้รักษาจะส่งผลให้เด็กในครรภ์เสียชีวิต

กรณีเหล่านี้ แพทย์มีเจตนาตั้งใจช่วยชีวิตแม่เป็นหลักสำคัญ ไม่ได้มีเจตนาต้องการฆ่าเด็ก การแท้ง
ของเด็กเป็นผล(ที่ไม่พึงประสงค์)ที่เกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการพยายามช่วยชีวิต
แม่ของเด็ก จึงไม่ถือว่าเป็นบาปทำแท้ง

⭐️ คำสอน Double Effect นี้ ช่วยตอบคำถามทางจริยธรรมหลายข้อและหลายกรณี
ในคริสต ศาสนามาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะการทำแท้ง

แต่อย่างไรก็ดี เราไม่ควรใช้คำสอน Double Effect แบบศรีธนญชัย คิดเองเออเอง เข้าข้างตัวเอง
เลี่ยงบาลี ในการทำผิดทำบาปได้ตามใจตน การตัดสินถูกผิดทางจริยธรรมคริสตศาสนา นอกจาก
การกระทำแล้ว ยังเน้นที่เจตนาเป็นหลัก ซึ่งคนเรามีเจตนาอย่างไร ตัวเองรู้ดีแก่ใจและหลอกตนเอง
ไม่ได้ สิ่งที่เราไม่ควรลืมว่า แม้แต่เราจะหลอกตัวตนเองได้ แต่ก็หลอกลวงพระเจ้าไม่ได้

ผู้ที่ยังรู้สึกหมิ่นเหม่ สับสนในศีลธรรมบางอย่าง ยังสามารถใช้ศาสนบริการ และการปรึกษา จาก
ศาสนบริกร คือ พระสงฆ์นักบวช และโดยเฉพาะในศีลอภัยบาป ซึ่งพระศาสนจักรมีแนวทางอภิบาล
ช่วยเหลือฆารวาสอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันบาปทำแท้งที่เคยเป็นบาปสงวน อันส่งผลให้เกิดการตัดขาด
จากพระศาสนจักร ปัจจุบัน ทางพระศาสนจักรคาทอลิกได้แก้ไขกฎระเบียบให้ผู้ผิดพลาดได้แก้ไข
ความพลาดผิดได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก ขออย่ากลัวที่จะกลับใจและกลับมาอยู่ในร่มพระคุณและ
พระหรรษทานของพระเจ้า เพราะไม่มีบาปใดที่พระเจ้าให้อภัยไม่ได้

cr. : www.facebook.com/holysmn

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 09, 2023 8:34 pm

+พระคัมภีร์พระธรรมใหม่ เริ่มเขียนและรวบรวมหลังพระเยซูขึ้นสวรรค์แล้ว +

เพราะพระเยซูประกาศตั้งพระศาสนจักรและตำแหน่งผู้นำศาสนจักร แต่ไม่สั่งให้เขียนคัมภีร์
ผ่านมาเกือบ400ปี ที่คริสตชนยุคเริ่มแรก เรียกพระธรรมเดิมว่าพระคัมภีร์ แต่ส่วนพระธรรมใหม่ต่างๆ
โดยเฉพาะบรรดาจดหมาย ก็เรียก จดหมาย เพราะคนเขียน ตั้งใจเขียน จดหมาย ไม่ได้คิดว่าตัวเอง
เขียนพระคัมภีร์อยู่ เช่นบรรดาจดหมายของเปาโล ถึงคริสตชนในคริสตจักรต่างๆ ยกเว้นจดหมายของ
เปโตร ยูดา ยากอบ และยอห์น ที่เรียกว่า "ชุดจดหมายคาทอลิก" เพราะเป็นจดหมายที่เขียนถึงคริสตชน
โดยทั่วไปไม่เจาะจงคริสตจักร

จนพระสันตะปาปา ดามาซัส ใน ค.ศ.384 ประกาศให้จัดสาระบบ "พระธรรมใหม่" เป็นส่วนพระคัมภีร์
ของชาวคริสต์ขึ้นมา "อย่างเป็นทางการ" เพราะในเวลานั้น คริสตชนทั่วโลก ยอมรับเอกสารหรือ
หนังสือต่างๆที่ไม่ใช่พระธรรมเดิมว่า เป็นพระคัมภีร์หรือไม่ ในจำนวนไม่เท่ากันเลย

หลังการประกาศสาระบบพระคัมภีร์จากผู้นำคริสตจักรแห่งโรม ก็ยังต้องใช้เวลาอีกร่วม100ปี กว่า
จะสามารถบังคับใช้ ให้คริสตชนส่วนใหญ่ยอมรับสาระบบเดียวกันหมดนี้ได้ (จนปัจจุบันยังมีคริสตชน
นิกายเก่าแก่อีกบางแห่งที่ยังคงถือจำนวนหนังสือในพระธรรมใหม่ไม่เท่ากับที่พระสันตะปาปา ประกาศ
ตั้งแต่ตอนนั้น และมีสาระบบของตัวเอง)

ซึ่งไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรหรืออยู่นิกายไหน แต่ประวัติศาสตร์สากลโลก ก็ประจักษ์ชัดว่า กว่า พระธรรมใหม่
ในสาระบบที่ยึดถือกันในปัจจุบัน เกิดขึ้นสำเร็จลง คือเกือบ400ปี ที่พระศาสนจักร และคริสตชนยุคแรกเริ่ม
ค่อยๆ ทยอย รวบรวม ไม่ใช่ให้ทูตสวรรค์เขียนเสร็จแล้วโยนลงมาให้จากสวรรค์เป็นรูปเล่ม ฉีกซองแช่น้ำ
แล้วกินได้เลยแบบบะหมี่สำเร็จรูป

ดังนั้น คำกล่าวว่า "พระคัมภีร์คือพระวาจาพระเจ้า" หมายถึง พระคัมภีร์คือผลงาน 100%มนุษย์ และ100%
พระเจ้า เป็นผลงานของบรรดานักบุญ และพระศาสนจักรที่พระเยซูตั้ง เป็นผู้บันทึก รวบรวม และจัดสาระบบ
โดยมีพระจิตเจ้า(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ดลใจ ไม่ใช่คลิปไลฟ์สดพระเยซูเทศนาแล้วอัพโหลดลงเฟชบุ๊คนะจ๊ะ

Cr : จิตศรัทธา
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 13, 2023 10:47 pm

🎁 ของขวัญจากปีศาจ 😈

นักบวชสามคนเป็นเพื่อนกัน พวกเรามักรำพึงจิตภาวนาร่วมกันเสมอๆ วันหนึ่ง ปีศาจตนหนึ่ง
ปรากฎกายต่อพวกเขา และเสนอว่า มันจะมอบพลังอำนาจพิเศษในการเปลี่ยนอดีตได้ จำนวน3ข้อ
ให้พวกเขาทั้ง3คน เลือกว่าอยากเปลี่ยนอดีตใดๆของโลกนี้ก็ได้ตามต้องการคนละข้อ

นักบวชคนแรกผู้ทรงภูมิความรู้ ได้ขอพรจากความแม่นยำในพระคัมภีร์ของตน "ข้าขอเปลี่ยนอดีต
ในปฐมกาล ให้เจ้าไม่ไปล่อลวงอาดัมและเอวา เพื่อมนุษยชาติจะได้ไม่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า"

นักบวชคนที่สองผู้เฉลียวฉลาด ได้ขอพรด้วยความคิดอันเฉียบแหลม "ข้าขอเปลี่ยนอดีต ก่อนเจ้า
จะตกในบาป ให้เจ้าไม่ทรยศพระเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ไม่กลายเป็นปีศาจอย่างทุกวันนี้"

นักบวชคนที่สามผู้นบนอบ ไม่ตอบสิ่งใดแก่ปีศาจ แต่ได้คุกเข่าลง อธิษฐานภาวนาว่า "ข้าแต่พระบิดา
อย่าปล่อยให้ลูกถูกผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ"

ปีศาจกรีดร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวดมากและหายวับไปทันที นักบวชสองคนแรกตกใจมาก
ถามเหตุผลในการแสดงออกเช่นนี้ของนักบวชคนที่สาม

"พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้ามีเหตุผล3ข้อ

ข้อหนึ่ง เราไม่ควรสนทนากับศัตรู โดยเฉพาะกับผู้ที่ปรารถนาจะล่อลวงเรา

ข้อสอง ไม่มีจิตหรือสิ่งสร้างใดมีฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนอดีตได้ และแม้พระเจ้าก็ไม่ทรงทำสิ่งนี้ ด้วยว่าทุกสิ่ง
ที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นแล้ว ล้วนดีทั้งสิ้น

ข้อสาม นอกจากปีศาจจะชอบทดสอบคุณธรรมของเราแล้ว มันยังชื่นชอบที่จะทำให้เรายึดติดกับอดีต
เพื่อทำลายเวลาอันมีค่าในปัจจุบันของเรา ด้วยว่าเรามีเพียงเวลาปัจจุบันขณะนี้เท่านั้นที่จะทำสิ่งดีต่างๆได้"

เราไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกในห้วงเวลาอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีความแน่นอนที่จะกระทำสิ่งใด
ในห้วงเวลาอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราได้เพียงแต่ ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดในปัจจุบันขณะนี้ เท่านั้น

Cr : จิตศรัทธา
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 30, 2023 5:03 pm

+ โหราจารย์ทั้งสามอาจไม่ได้พบพระกุมารในวันประสูติ +

ในภาพฉากประสูติวันคริสต์มาส เรามักพบการวาดหรือการจัดเรียงที่มี พระมารดามารีย์ นักบุญยอแซฟ
พระกุมารเยซู มีโหราจารย์จากตะวันออก3ท่าน และคนเลี้ยงแกะกับเหล่าสัตว์ อยู่พร้อมกันในฉากเดียวกัน
แต่ในความเป็นจริงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ และแม้แต่ในพระคัมภีร์เอง บ่งบอกว่า
โหราจารย์ทั้งสามอาจไม่ได้พบพระกุมารในวันประสูติ

ตรงกันข้ามพระคัมภีร์ระบุชัดว่าคนกลุ่มแรกที่ถูกเชื้อเชิญโดยตรงจากทูตสวรรค์ ให้มานมัสการพระกุมาร
แบบตรงวันในคืนนั้นเลยที่ถ้ำเลี้ยงสัตว์ คือบรรดาคนเลี้ยงแกะที่ได้ชมมโหรสพสุดอัศจรรย์จากทูตสวรรค์
และพบพระองค์ในรางหญ้า ซึ่งเราคงไม่แปลกใจถ้าเราพบถ้อยคำทำนองนี้ตลอดพระคัมภีร์คือ เมื่อพระเยซู
เสด็จมาคนต่ำต้อย คนชายขอบ คนจน คนที่ถูกจัดว่าชั้นต่ำในสังคมจะได้รับการยกขึ้น และได้รับเกียรติ
ก่อนคนรวย คนเก่ง คนมีฐานะ

กลับมาที่ประเด็นของเหล่าปราชญ์ทั้งสาม ที่ต้องขวนขวายตามหาพระกุมารด้วยความรู้ที่ตนมี เลยลำบาก
กว่าเหล่าคนเลี้ยงแกะไร้การศึกษาหลายเท่า

จุดที่น่าสนใจอันแรกมาจากการคำณวนทางดาราศาสตร์ที่คาดคะเนว่า ดาวประจำพระองค์ในโหราศาสตร์
โบราณอาจเป็นดาวพฤหัส เพราะเป็นดาวที่หมายถึงกษัตริย์ จากการคำนวนเทียบช่วงปีที่กษัตริย์เฮโรด
ครองราชย์ ปรากฎว่ามีช่วงเวลาที่ดาวพฤหัสสุกใสเป็นอันมากปรากฎช่วงหลังจากเดือนธันวาคมที่คาดว่า
เป็นเดือนประสูติราว5-6เดือน คืออยู่ช่วงพฤษภาและมิถุนา

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเดินทางที่อาศัยการดูดาวไปด้วย ในพระคัมภีร์บันทึกว่าเมื่อพวกเขาเห็น
ดาวประจำพระองค์ขึ้นได้เดินทางมาถามกษัตริย์เฮโรด และเฮโรดใช้เวลาในการสอบถามจากบรรดา
ธรรมาจารย์ทั่วเมืองว่าพระกุมารน่าจะประสูติที่ตำบลไหน นั่นแปลว่าในขณะนั้นดาวยังเพิ่งเคลื่อนผ่านมา
ที่เยรูซาเร็ม ก่อนจะค้นเจอคำทำนายว่าน่าจะประสูติที่ตำบลเบทเลเฮม พอพวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง
พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่า "ดาวได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง"

คำว่าดาวปรากฎอีกครั้งบ่งบอกนัยว่าการเดินทางไปด้วยดูดาวไปด้วย จะต้องเผชิญปัญหาธรรมชาติ
อันหนึ่ง(ซึ่งเราคงเคยเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม)คือคืนวันพระจันทร์เต็มดวงปกติเราจะมองไม่เห็นดาว
แต่จะเห็นดาวชัดในคืนเดือนมืด นั่นแปลว่าเหล่าโหราจารย์ก็ใช้เวลานับเดือนตามดาวมาตั้งแต่ตะวันออก
ซึ่งต้องเดินทางบ้างหยุดพักบ้างตามจังหวะข้างขึ้นข้างแรม อาจเห็นดาววนขึ้นๆหายๆไม่รู้กี่รอบ จนมาเสีย
เวลากับเฮโรดก็น่าจะหมดไปอีกรอบเดือน ก่อนจะเห็นดาวอีกรอบ ที่นำทางพวกท่านไป "หยุดเหนือสถานที่
ประทับของพระกุมาร" ไม่ใช่คำว่าสถานที่ประสูติ(มธ2:9) ซึ่งตรงนี้น่าสนใจมากเพราะคำที่บันทึกใน
พระคัมภีร์ บทถัดไปนี้เขียนชัดที่ มธ2:11 ว่า "พวกเข้าเข้าไปใน"บ้าน" พบพระกุมารกับพระมารดามารีย์"

ซึ่งบ่งบอกว่าในเวลานั้น แม่พระและพระกุมารน้อยไม่ได้อยู่ที่ถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่เป็นสถานที่ประสูติแล้ว แต่ย้าย
ไปพักในบ้านแล้ว เพราะเหตุผลที่ว่า เมื่อพระกุมารคลอดไม่มีที่ในห้องพักจึงต้องคลอดอย่างฉุกเฉินในถ้ำ
สัตว์อันเป็นที่สะดวกมากที่เหล่าคนจนเร่ร่อนอย่างพวกคนเลี้ยงแกะจะเข้ามานมัสการได้ แต่เมื่อคลอดแล้ว
หลังจากพิธีถวายพระกุมารเข้าสุหนัตในพระวิหารเมื่อครบ7วัน ครอบครัวที่มีทารกเพิ่งเกิดนี้คงไม่ได้นอน
ในถ้ำสัตว์7วันเป็นแน่ แต่หลังจากวันนั้นอาจมีห้องพักแรมว่างเข้าจนได้ และครอบครัวศักดิ์สิทธิ์คงไม่พา
เด็กเพิ่งเกิดออกเดินทางข้ามทะเลทรายอันแสนอันตรายกลับบ้าน แต่คงยังอาศัยอยู่แถวนั้นจนทารก
แข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจนานเป็นเดือนนานพอที่โหราจารย์จะตามหาเจอใน"บ้าน"ที่พวกท่านคงเช่าพักอาศัย

นอกจากนั้นเมื่อเหล่าโหราจารย์ได้รับนิมิตจากพระเจ้าในฝัน พวกท่านเนียนหนีไปทางอื่นไม่กลับไปหา
เฮโรด เฮโรดสั่งฆ่าเด็กตั้งแต่2ขวบ นั่นก็ชี้ว่ากว่าเฮโรดจะรู้ตัวว่าโหรราจารย์ไม่กลับไปหาก็อาจรออีกนาน
เป็นเดือนกว่าจะแน่ใจว่าพวกท่านไม่กลับมาหาตนแน่ๆ จึงสั่งประหารทารกแบบเหมาตำบลโดยรนะบุว่า
เป็นเด็กชาย2ขวบลงไป สิ่งนี้ยืนยันว่าเฮโรดไม่ได้แน่ใจในเวลาประสูติและยังคาดว่าอาจจะเกิดก่อนโหราจารย์
มาแน่ๆถึงต้องเผื่ออายุทารกไว้เช่นนี้

นอกจากนี้ยังมีธรรมประเพณีและความเชื่อหลายอย่างเกี่ยวกับโหราจารย์ทั้งสาม เช่นว่าพวกท่านอาจมา
จากบาบิโลน หรือพวกท่านมาจากชนชาติต่างๆ3ชนชาติดังที่เราพบว่า มักวาดหรือปั้นรูปโหราจารย์ทั้งสาม
มีสีผิวต่างกัน ที่จริงพระคัมภีร์ไม่ระบุจำนวนพวกท่าน แต่ใช้คำว่า โหราจารย์"บางคน" การอนุมานว่ามีสาม
ท่านมาจากของขวัญสามชิ้นที่พวกท่านนำมานั่นเอง

แต่กระนั้นมีข้อสันนิฐานที่น่าสนใจอีกอันว่า โหราจารย์เหล่านี้ อาจไม่ใช่คนต่างชาติ แต่อาจเป็นชาวยิว
หรือผู้มีเชื้อสายยิวที่กระจัดกระจายไปศึกษาศาสตร์ต่างๆในที่ห่างไกลเพราะยุคนั้นชาวยิวก็กระจัดกระจาย
ไปอาศัยทำมาหากินและศึกษาทั่วตะวันออกกลาง การที่พวกท่านพุ่งมาหาเฮโรด และสนทนากันอย่างราบรื่น
คล่องปาก ตลอดจนการที่พระเจ้าเตือนพวกท่านในฝัน แปลว่าพวกท่านอาจเป็นชาวยิวที่เชื่อในพระเจ้านี่เอง
ที่ไปศึกษาศาสตร์ต่างๆ(เช่นคัปบาล่า) จากตะวันออกแล้ว พวกท่านอาจไม่ต่างจากชาวยิวคนอื่นๆที่รอ
พระแมสสิยาห์ จึงศึกษาหาวิธีที่จะค้นพบพระองค์ เมื่อพบว่าดวงดาวเปิดเผยการประสูติ จึงกลับมาตามหา
กษัตริย์ยิว เพื่อนมัสการพระองค์ เพราะพวกตนก็มีเชื้อสายยิวนั่นเอง
ตอบกลับโพส