บทความศาสนาน่ารู้ โดย” จิตศรัทธา “
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2022 9:16 pm
( 1 )
เมื่อพระเยซูถูกท้าทายด้วยกฎหมายที่ขัดหลักศาสนา
(มัทธิว 22:15-21)
ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับ
คนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็น
คนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่
หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์
เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์
เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย
พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์”
พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
-------------------------------------------
ศาสนายิวคือศาสนาของชนชาติยิว และชาวยิวปกครองประเทศและพลเมืองด้วยหลักศาสนา
ปัจจุบันโลกส่วนใหญ่ไม่เห้นด้วยกับการใช้กฎศาสนามาเป็นกฎหมายประเทศ แต่ เรายังเห็น
ตัวอย่างการทำแบบนี้ในประเทศในตะวันออกกลางบางแห่ง
ในยุคสมัยพระเยซู โรมันปกครองอิสราเอล และชาวยิวต้องเสียภาษีให้โรมัน แต่สำหรับชาวยิว
ที่เคร่งครัดศาสนา พวกเขาถือว่าพระเจ้าคือกษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียวของพวกเขา การเสียภาษี
ให้ซีซาร์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้า
ฟาริสี คือกลุ่มคนดีและเคร่งครัดถูกต้องในศาสนาเป็นพิเศษ(ในความคิดของพวกเขาเอง) พวกเขา
เกลียดชังโรมัน และพวกเขาก็เกลียดชังพระเยซู และพลังความเกลียดของพวกเขาก็ทำให้ไม่ลังเล
ที่จะยืมมือศัตรูฝ่ายหนึ่งหนึ่งมาทำลายสิ่งที่ตัวเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเขาลากเอา ปัญหากฎหมายที่ขัดหลักศาสนา มาตั้งคำถามอันเป็น"คำถามกับดัก"ที่มุ่งเน้นสู่
การทำลายพระเยซู เพราะการตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ล้วนนำหายนะมาสู่พระเยซูเอง
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ใช่" ต้องเสียภาษีให้โรมัน พวกเขาจะประณามพระเยซูว่าขายชาติชั่วช้า ทรยศ
พระเจ้าเหมือนที่เขาถือว่าคนเก็บภาษีเป็นคนบาปเป็นชายชั่วขายชาติ อยู่ในระดับเดียวกับโสเภณี
หญิงชั่วขายตัว ที่ต้องตกนรกหมกไหม้
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ไม่" ไม่ต้องเสียภาษีให้โรมัน เขาจะเรียกทหารโรมันมาจับพระเยซูฐานกบฎและ
ละเมิดกฎหมาย
พวกเขาคงคิดว่าพวกตัวฉลาดกันมากที่ไม่ว่าตอบอะไร ก็ พาคนตอบให้ไปสู่ทางพังพินาศทางใด
ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่พระเยซูทำคือสิ่งที่ชาวยิวยุคนั้นจินตนาการไม่ออกเลย เพราะมันคือสภาวะทั่วไป
ในโลกยุค ปัจจุบัน2000ปีต่อมา คือ แยกการเมือง ออกจากศาสนา แล้วปัญหานั้นจะหมดลงทันที
พระเยซูไม่ตอบว่า ใช่ หรือว่า ไม่ แต่ทรงสอนหลักการใหม่ขึ้นมาเลยคือ เลิกเอากฎศาสนาไปเป็น
กฎหมายบ้านเมืองได้แล้ว เพราะมันโอเค ถ้าทั้งประเทศมีคนเชื้อชาติเดียวศาสนาเดียว แบบที่ยิว
"เคย"เป็นมาตลอด แต่ถ้าวันใดที่ประเทศเปลี่ยนไป กลายเป็นประเทศที่รวมคนหลากหลายศาสนา
เข้าด้วยกัน วิธีเดิมๆนั้นจะกลายเป็นปัญหาทันที
(เป็นปัญหาอย่างไรให้ดูบางประเทศที่เอาหลักศาสนามาเป็นกฎหมาย ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้)
พระเยซูตอบชัดเจนว่า ในเวลาที่ประเทศมีคนแตกต่างหลากหลายทางศาสนา
คริสตชนจะมีสถานะ 2อย่าง
1เป็นพลเมืองประเทศ(ประชากรในปกครองของซีซาร์)
2เป็นคริสตชน(ลูกของพระเจ้า)
และพระเยซู ไม่ได้ให้เราละเมิดหรือล้มล้างกฎหมาย แต่ให้เราประพฤติตนในฐานะของตน
ให้ถูกต้อง ทั้งสองสถานะ ถ้าเทียบเคียงยุคปัจจุบันก็อย่างเช่น
ประเทศมีกฎหมายให้หย่าร้างได้ แต่คริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกก็ไม่เคยเปลี่ยนคำสอนว่า
ให้หย่าร้างได้ และทางศาสนจักรไม่ได้ยอมรับสถานะการหย่าทางกฎหมายหากเขาได้แต่งงาน
ตามศาสนาแล้ว
ประเทศที่มีการค้าประเวณีถูกกฎหมาย คริสตชนถ้าไปทำอาชีพนี้ อาจถูกกฎหมาย แต่ก็ยังคงไม่
ถูกหลักศาสนา ศาสนาก็ไม่รับรองหรือสนับสนุนให้สมาชิกไปทำแต่อย่างใด
ประเทศที่ไม่ได้ห้ามขายหมู ถ้าคุณเป็นมุสลิม คุณแค่ไม่ไปซื้อไปกินหมู
ประเทศที่ยังมีขายเหล้า ถ้าคุณเป็นพุทธ ไม่ต้องการผิดศีล ก็ไม่ต้องไปซื้อเหล้าดื่ม
เพราะกฎหมายประเทศไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนทำดี หรือเป็นคนดีตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
กฎหมายประเทศ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ของคนทุกศาสนา(และแม้ไม่มีศาสนา)
ในประเทศนั้น ทำหน้าที่ควบคุมการละเมิด และรองรับการปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ของทุกคน
ทุกศาสนารวมไปถึงคนไม่มีศาสนา เพื่อทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายได้
อย่างสงบสันติ
ดังนั้นเป็นธรรมดามาก หากมีกฏหมายที่ออกมาเพื่อรองรับคนศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาของเรา
ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่มีหลากหลายศาสนา และโดยเฉพาะเป็นประเทศ ที่มีหลักว่าจะแยก
กฎหมายประเทศ ออกจากกฎศาสนา จะเป็นธรรมดามากที่เราจะพบว่ามีกฎหมายของประเทศ
สักข้อสองข้อที่ขัดหลักศาสนาของเรา
พระเยซูปฏิวัติวิธีคิดของชาวยิวยุคนั้นที่คิดว่า "กฏศาสนาคือกฎหมายประเทศ" นี่คือหลักการที่
ล้ำสมัยมากในยุค2000ปีก่อน ในเวลาต่อมา นักเทววิทยา และนักปราชญ์พระศาสนจักรจำนวนมาก
เช่น น.ออกัสติน น.โธมัส อไควนัส ล้วนเสนอหลักการเดียวกันคือ ควรแยกการปกครองประเทศกับ
การปกครองศาสนาออกจากกัน แม้ในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าหลักการนี้ ถูกล่วงละเมิดบ้าง
บางช่วงเวลา เราก็เห็นจากประวัติศาสตร์เช่นกันว่า ในเวลาที่ศาสนาเข้ายุ่งวุ่นวายกับการเมืองมาก
เกินไป เป็นช่วงที่ศาสนาดูเสื่อมเสียเสมอ
ในยามที่คริสตชนพบปัญหาการขัดแย้งระหว่างกฎหมายและกฎศาสนา
เรายึดหลักการที่พระเยซูสอนไว้ได้เสมอ
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
cr. www.facebook.com/holysmn
CR. : จิต ศรัทธา
เมื่อพระเยซูถูกท้าทายด้วยกฎหมายที่ขัดหลักศาสนา
(มัทธิว 22:15-21)
ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับ
คนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็น
คนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่
หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์
เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์
เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย
พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์”
พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
-------------------------------------------
ศาสนายิวคือศาสนาของชนชาติยิว และชาวยิวปกครองประเทศและพลเมืองด้วยหลักศาสนา
ปัจจุบันโลกส่วนใหญ่ไม่เห้นด้วยกับการใช้กฎศาสนามาเป็นกฎหมายประเทศ แต่ เรายังเห็น
ตัวอย่างการทำแบบนี้ในประเทศในตะวันออกกลางบางแห่ง
ในยุคสมัยพระเยซู โรมันปกครองอิสราเอล และชาวยิวต้องเสียภาษีให้โรมัน แต่สำหรับชาวยิว
ที่เคร่งครัดศาสนา พวกเขาถือว่าพระเจ้าคือกษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียวของพวกเขา การเสียภาษี
ให้ซีซาร์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้า
ฟาริสี คือกลุ่มคนดีและเคร่งครัดถูกต้องในศาสนาเป็นพิเศษ(ในความคิดของพวกเขาเอง) พวกเขา
เกลียดชังโรมัน และพวกเขาก็เกลียดชังพระเยซู และพลังความเกลียดของพวกเขาก็ทำให้ไม่ลังเล
ที่จะยืมมือศัตรูฝ่ายหนึ่งหนึ่งมาทำลายสิ่งที่ตัวเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเขาลากเอา ปัญหากฎหมายที่ขัดหลักศาสนา มาตั้งคำถามอันเป็น"คำถามกับดัก"ที่มุ่งเน้นสู่
การทำลายพระเยซู เพราะการตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ล้วนนำหายนะมาสู่พระเยซูเอง
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ใช่" ต้องเสียภาษีให้โรมัน พวกเขาจะประณามพระเยซูว่าขายชาติชั่วช้า ทรยศ
พระเจ้าเหมือนที่เขาถือว่าคนเก็บภาษีเป็นคนบาปเป็นชายชั่วขายชาติ อยู่ในระดับเดียวกับโสเภณี
หญิงชั่วขายตัว ที่ต้องตกนรกหมกไหม้
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ไม่" ไม่ต้องเสียภาษีให้โรมัน เขาจะเรียกทหารโรมันมาจับพระเยซูฐานกบฎและ
ละเมิดกฎหมาย
พวกเขาคงคิดว่าพวกตัวฉลาดกันมากที่ไม่ว่าตอบอะไร ก็ พาคนตอบให้ไปสู่ทางพังพินาศทางใด
ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่พระเยซูทำคือสิ่งที่ชาวยิวยุคนั้นจินตนาการไม่ออกเลย เพราะมันคือสภาวะทั่วไป
ในโลกยุค ปัจจุบัน2000ปีต่อมา คือ แยกการเมือง ออกจากศาสนา แล้วปัญหานั้นจะหมดลงทันที
พระเยซูไม่ตอบว่า ใช่ หรือว่า ไม่ แต่ทรงสอนหลักการใหม่ขึ้นมาเลยคือ เลิกเอากฎศาสนาไปเป็น
กฎหมายบ้านเมืองได้แล้ว เพราะมันโอเค ถ้าทั้งประเทศมีคนเชื้อชาติเดียวศาสนาเดียว แบบที่ยิว
"เคย"เป็นมาตลอด แต่ถ้าวันใดที่ประเทศเปลี่ยนไป กลายเป็นประเทศที่รวมคนหลากหลายศาสนา
เข้าด้วยกัน วิธีเดิมๆนั้นจะกลายเป็นปัญหาทันที
(เป็นปัญหาอย่างไรให้ดูบางประเทศที่เอาหลักศาสนามาเป็นกฎหมาย ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้)
พระเยซูตอบชัดเจนว่า ในเวลาที่ประเทศมีคนแตกต่างหลากหลายทางศาสนา
คริสตชนจะมีสถานะ 2อย่าง
1เป็นพลเมืองประเทศ(ประชากรในปกครองของซีซาร์)
2เป็นคริสตชน(ลูกของพระเจ้า)
และพระเยซู ไม่ได้ให้เราละเมิดหรือล้มล้างกฎหมาย แต่ให้เราประพฤติตนในฐานะของตน
ให้ถูกต้อง ทั้งสองสถานะ ถ้าเทียบเคียงยุคปัจจุบันก็อย่างเช่น
ประเทศมีกฎหมายให้หย่าร้างได้ แต่คริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกก็ไม่เคยเปลี่ยนคำสอนว่า
ให้หย่าร้างได้ และทางศาสนจักรไม่ได้ยอมรับสถานะการหย่าทางกฎหมายหากเขาได้แต่งงาน
ตามศาสนาแล้ว
ประเทศที่มีการค้าประเวณีถูกกฎหมาย คริสตชนถ้าไปทำอาชีพนี้ อาจถูกกฎหมาย แต่ก็ยังคงไม่
ถูกหลักศาสนา ศาสนาก็ไม่รับรองหรือสนับสนุนให้สมาชิกไปทำแต่อย่างใด
ประเทศที่ไม่ได้ห้ามขายหมู ถ้าคุณเป็นมุสลิม คุณแค่ไม่ไปซื้อไปกินหมู
ประเทศที่ยังมีขายเหล้า ถ้าคุณเป็นพุทธ ไม่ต้องการผิดศีล ก็ไม่ต้องไปซื้อเหล้าดื่ม
เพราะกฎหมายประเทศไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนทำดี หรือเป็นคนดีตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
กฎหมายประเทศ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ของคนทุกศาสนา(และแม้ไม่มีศาสนา)
ในประเทศนั้น ทำหน้าที่ควบคุมการละเมิด และรองรับการปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ของทุกคน
ทุกศาสนารวมไปถึงคนไม่มีศาสนา เพื่อทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายได้
อย่างสงบสันติ
ดังนั้นเป็นธรรมดามาก หากมีกฏหมายที่ออกมาเพื่อรองรับคนศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาของเรา
ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่มีหลากหลายศาสนา และโดยเฉพาะเป็นประเทศ ที่มีหลักว่าจะแยก
กฎหมายประเทศ ออกจากกฎศาสนา จะเป็นธรรมดามากที่เราจะพบว่ามีกฎหมายของประเทศ
สักข้อสองข้อที่ขัดหลักศาสนาของเรา
พระเยซูปฏิวัติวิธีคิดของชาวยิวยุคนั้นที่คิดว่า "กฏศาสนาคือกฎหมายประเทศ" นี่คือหลักการที่
ล้ำสมัยมากในยุค2000ปีก่อน ในเวลาต่อมา นักเทววิทยา และนักปราชญ์พระศาสนจักรจำนวนมาก
เช่น น.ออกัสติน น.โธมัส อไควนัส ล้วนเสนอหลักการเดียวกันคือ ควรแยกการปกครองประเทศกับ
การปกครองศาสนาออกจากกัน แม้ในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าหลักการนี้ ถูกล่วงละเมิดบ้าง
บางช่วงเวลา เราก็เห็นจากประวัติศาสตร์เช่นกันว่า ในเวลาที่ศาสนาเข้ายุ่งวุ่นวายกับการเมืองมาก
เกินไป เป็นช่วงที่ศาสนาดูเสื่อมเสียเสมอ
ในยามที่คริสตชนพบปัญหาการขัดแย้งระหว่างกฎหมายและกฎศาสนา
เรายึดหลักการที่พระเยซูสอนไว้ได้เสมอ
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
cr. www.facebook.com/holysmn
CR. : จิต ศรัทธา