
ชีวประวัติ นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ (Saint Vincent Ferrer)
นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ เป็นนักบวชคณะดอมินิกัน (Dominican Order - OP) เกิดที่เมืองบาเลนเซีย
(Valencia) ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ประมาณปีค.ศ. 1350 เสียชีวิตที่เมืองวานส์ (Vannes)
แคว้นเบรอตาญ (Brittany) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปีค.ศ. 1418 ได้รับการประกาศเป็น
นักบุญโดยพระสันตะปาปาคัลลิสตัส ที่ 3 (Pope Callistus III) ในปีค.ศ. 1455 มีการประกาศอย่างเป็น
ทางการโดยพระสันตะปาปาปิอุสที่ 2 (Pope Pius II) ในปีค.ศ. 1458 เพื่ออนุมัติให้มีวันฉลอง
ในวันที่ 6 เมษายน ของทุกปี แต่ปกติแล้วจะมีการฉลองในวันที่ 5 เมษายน ของทุกปี
“ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อย่าคิดถึงตัวเอง แต่คิดถึงพระเจ้า” - นักบุญวินเซนต์ เฟอร์เรอร์ นักบุญวินเซนต์
เกิดในครอบครัวที่มีเกียรติและมีศรัทธาทางศาสนา โดยมี “วิลเลียม เฟอร์เรอร์ (William Ferrer)”
ชาวอังกฤษ กับ “คอนสแตนเทีย มิเกล (Constantia Miguel)” สตรีชาวสเปน เป็นครอบครัว
นักบุญวินเซนต์ เริ่มทำอัศจรรย์ตั้งแต่ยังเด็ก อัศจรรย์ก็เริ่มในวันที่ท่านเกิดและในศีลล้างบาปของท่าน
ในวันเดียวกันที่เมืองบาเลนเซีย และเมื่อ อายุได้ 5 ขวบ ท่านก็รักษาเด็กข้างบ้านที่ป่วยหนักได้ พระพร
เหล่านี้และธรรมชาติที่งดงามในด้านบุคลิกและนิสัยทำให้ท่านกลายเป็นที่สนใจตั้งแต่ยังเด็ก
บิดา-มารดาของท่านได้ปลูกฝังให้นักบุญวินเซนต์มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระเจ้าและ
พระมารดาของพระองค์ ตลอดจนความรักอันยิ่งใหญ่ต่อคนยากจน ท่านอดอาหารเป็นประจำทุกวั
นพุธและวันศุกร์ด้วยการทานขนมปังกับดื่มน้ำเปล่าตั้งแต่ยังเด็ก อดเนื้อ และเรียนรู้ที่จะละทิ้งความ
ฟุ่มเฟือยเพื่อนำเงินไปซื้อของที่จำเป็น เมื่อบิดา-มารดาของท่านเห็นว่า นักบุญวินเซนต์มองบรรดา
คนยากจนเป็นสมาชิกของพระคริสต์ และเห็นว่าท่านปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักและความเมตตา
พวกท่านก็แต่งตั้งให้นักบุญวินเซนต์เป็นผู้แจกจ่ายทานอันมากมายของพวกท่าน พวกท่านแบ่งทรัพย์สิน
ของพวกท่านให้กับนักบุญวินเซนต์ 3 ส่วน ซึ่งนักบุญวินเซนต์แบ่งปันทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบรรดาคน
ยากจนภายในเวลา 4 วัน
นักบุญวินเซนต์เริ่มศึกษาวิชาพื้นฐานเมื่ออายุได้ 8 ขวบ ศึกษาปรัชญาเมื่ออายุได้ 12 ปี และศึกษา
เทววิทยาเมื่ออายุได้ 14 ปี ตามที่ทุกคนคาดไว้ ท่านเข้าเรียนที่อารามคณะโดมินิกันแห่งบาเลนเซีย
และได้รับชุดนักบวชนี้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1367 รูปลักษณ์ของท่านราวกับทูตสวรรค์และการ
กระทำของท่านศักดิ์สิทธิ์มาก จนดูเหมือนว่าไม่มีทางเลือกวิถีชีวิตอื่นใดสำหรับท่านอีกแล้ว นอกจาก
การอุทิศชีวิตของท่านแด่พระเจ้า
ทันทีที่ท่านตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตนี้ ปีศาจก็ผจญท่านด้วยสิ่งล่อลวงที่น่ากลัวที่สุด แม้แต่บิดา-มารดา
ของท่านซึ่งเคยสนับสนุนวิถีชีวิตนักบวช ก็ยังขอร้องให้ท่านออกจากอาราม แต่ด้วยการสวดภาวนา
และความศรัทธา โดยเฉพาะการสวดภาวนาต่อพระแม่มารีย์และทูตสวรรค์อารักขาของท่าน
นักบุญวินเซนต์จึงเอาชนะความยากลำบากของท่านได้และจบการเป็นนักบวชผู้ฝึกหัดหรือโนวิส
ท่านถูกส่งไปศึกษาที่เมืองบาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อ่าน
ด้านปรัชญาที่เมืองเลริดา (Lerida) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นกาตาลุญญา
(Catalonia) ก่อนอายุ 21 ปี ขณะอยู่ที่นั่นท่านได้ตีพิมพ์บทความ 2 เล่ม
ในปีค.ศ. 1373 ท่านถูกส่งไปที่เมืองบาร์เซโลนาเพื่อเทศน์สอน แม้ว่าท่านจะปกครองบรรดาสังฆนุกร
เท่านั้น เมืองนี้กำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร และกำลังรอคอยอย่างสิ้นหวังกับการขนส่งข้าวโพด
ที่ล่าช้า นักบุญวินเซนต์ได้ทำนายไว้ในบทเทศน์ว่า เรือจะมาถึงก่อนค่ำ และแม้ว่าอธิการจะตำหนิท่านที่
ทำนายเช่นนั้น แต่เรือก็มาถึงในวันนั้น บรรดาประชาชนที่เปี่ยมด้วยความสุข รีบไปที่อารามเพื่อประกาศ
ให้นักบุญวินเซนต์เป็นประกาศก อย่างไรก็ตาม อธิการคิดว่า ควรเปลี่ยนความคิดของท่านจาก
คำสรรเสริญเยินยอดังกล่าว
เรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีเด็กเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งได้เรียกร้องความสนใจของท่านไปที่หนึ่งในสมาชิก
เด็กเร่ร่อนซึ่งนอนเหยียดตัวอยู่กลางฝุ่น โดยแกล้งตายอยู่ใกล้กับท่าเรือกราวน์ (Port of Grao) พวกเขา
ตะโกนว่า "เขาตายแล้ว ช่วยชุบชีวิตเขาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยเถิด!"
“อืม” วินเซนต์ตอบ “เขาแกล้งตาย แต่ดูสิ เขาตายจริงๆแล้ว” นี่คือวิธีที่คนเราจะโกหกได้ชัดเจน นั่นคือ
การมองว่า มันเป็นเรื่องจริง และกลายเป็นเรื่องจริง เด็กคนนั้นได้ตายจริง ทุกคนต่างหวาดกลัว พวกเขา
วิงวอนให้นักบุญวินเซนต์ทำอะไรบางอย่าง พระเจ้าทรงทำให้ท่านคืนชีพเด็กคนนั้นขึ้นมา
ในปี ค.ศ. 1376 วินเซนต์ถูกย้ายไปที่เมืองตูลูส (Toulouse) เป็นเวลา 1 ปี และศึกษาต่อ นักบุญวินเซนต์
ศึกษาพระคัมภีร์และภาษาฮีบรูมาโดยเฉพาะ จึงมีความพร้อมที่จะเทศน์สอนชาวยิว ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น
พระสงฆ์ที่เมืองบาร์เซโลนาในปีค.ศ. 1379 และกลายเป็นสมาชิกในราชสำนักของพระคาร์ดินัลเปโตร
เดอ ลูนา (Cardinal Pedro de Luna) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันยาวนานที่จบลงด้วยความเศร้าโศก
ของทั้งคู่ (พระคาร์ดินัล เดอ ลูนา ได้ลงคะแนนเสียงให้กับพระสันตะปาปาเออร์บัน ที่ 6 (Pope Urban VI)
ในปี ค.ศ. 1378 แต่เชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ถูกต้อง จึงเข้าร่วมกับกลุ่มพระคาร์ดินัลที่เลือกโรเบิร์ต
แห่งเจนีวา (Robert of Geneva) เป็นพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 7 (Pope Clement VII) ภายหลัง
ในปีเดียวกัน ทำให้เกิดความแตกแยก)
หลังจากถูกเรียกตัวกลับประเทศแล้ว นักบุญวินเซนต์ก็เทศน์สอนที่อาสนวิหารในเมืองบาเลนเซียได้
อย่างประสบความสำเร็จระหว่างปี ค.ศ. 1385 - ค.ศ. 1390 และมีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการ
พูดจาไพเราะและมีประสิทธิภาพในการชักชวนชาวยิวให้กลับใจ “แรบไบเปาโลแห่งบูร์โกส
(Rabbi Paul of Burgos“ ผู้ที่จะเป็นบิชอปแห่งการ์ตาเฮนา (Cartagena) หนึ่งในบรรดาผู้กลับใจชาวยิว
และชาวแขกมัวร์จำนวน 30,000 คนของนักบุญวินเซนต์ และท่านนักบุญช่วยฟื้นคืนความศรัทธาของผู้ที่
หลงผิด อัศจรรย์มากมายของท่าน ความเข้มแข็งและความไพเราะของเสียงของท่าน ความบริสุทธิ์และ
ความชัดเจนในหลักคำสอน รวมกันทำให้การเทศน์สอนของท่านมีประสิทธิผลและเป็นไปตามหลักคำสอน
แน่นอนว่าความสำเร็จของนักบุญวินเซนต์ในฐานะนักเทศน์ทำให้คนอื่นๆอิจฉาและทำให้ท่านถูกใส่ร้าย
เพื่อนร่วมงานของท่านเชื่อว่า พวกเขาสามารถแก้ไขสถานการณ์การใส่ร้ายได้โดยแต่งตั้งให้ท่านเป็นอธิการ
ของอารามในเมืองบาเลนเซีย ท่านถอนตัวออกไปชั่วระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้ใครรู้ แต่ท่านถูกเรียกตัวให้ไปเทศน์
ในเทศกาลมหาพรตในปีค.ศ. 1381 ที่เมืองบาเลนเซีย และท่านไม่สามารถปฏิเสธที่จะใช้พระพรในการพูด
ซึ่งดึงดูดผู้คนได้ดีและเรียบง่าย รวมถึงบรรดาพระสงฆ์ที่จ้องจับผิด , บรรดานักบวช และบรรดานักวิชาการ
ที่ไม่เชื่อในพระศาสนจักรให้มาหาท่านได้
พระคาร์ดินัลเปโตร เดอ ลูนา ผู้ดื้อรั้นและทะเยอทะยาน ได้ทำให้นักบุญวินเซนต์เป็นส่วนหนึ่งของภาระ
หน้าที่ของเขา นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1390 เป็นต้นมา นักบุญวินเซนต์ได้เทศน์สอนในทุกที่ในเขตอำนาจของ
พระคาร์ดินัลเปโตร เดอ ลูนา รวมถึงในราชสำนักแห่งอาวีญง ซึ่งนักบุญวินเซนต์ได้มีโอกาสเป็นพระสงฆ์
ผู้ฟังแก้บาปของพระสันตะปาปา เมื่อพระคาร์ดินัลเปโตร เดอ ลูนาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ต่อต้าน
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13 (Antipope Benedict XIII) ในปีค.ศ. 1394
ความชั่วร้าย 2 ประการที่ร้องขอการเยียวยาในสมัยของนักบุญวินเซนต์ ได้แก่ ความหย่อนยานทาง
ศีลธรรมที่เกิดจากโรคระบาดครั้งใหญ่ และ ความอื้อฉาวของการแตกแยกของพระสันตะปาปา สำหรับ
เรื่องแรก ท่านเทศน์สอนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเกี่ยวกับความชั่วร้ายในสมัยนั้น ท่านพยายามอย่างเต็มที่
เพื่อนำความสงบเรียบร้อยออกมาจากความสับสนวุ่นวาย ในที่สุด นักบุญวินเซนต์ก็เชื่อว่า คำกล่าวอ้าง
ของมิตรสหายของท่านเป็นเท็จ และเร่งเร้าให้พระคาร์ดินัลเปโตร เดอ ลูนา คืนดีกับพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 6
ท่านทำหน้าที่เป็นผู้พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปแก่ราชินีโยลันดาแห่งอารากอน (Queen Yolanda of Aragon)
ตั้งแต่ปีค.ศ. 1391 ถึง ค.ศ. 1395 ท่านถูกศาลศาสนากล่าวหาว่า เป็นคนนอกรีต เพราะท่านสอนว่ายูดาส
ได้ทำการชดใช้ความผิด แต่ข้อกล่าวหานี้ถูกยกฟ้องโดยผู้ต่อต้านพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 13
(Antipope Benedict XIII) ซึ่งได้เผาเอกสารของศาลศาสนาเกี่ยวกับนักบุญวินเซนต์และแต่งตั้งให้ท่าน
เป็นพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงเสนอตำแหน่งบิชอปแก่นักบุญวินเซนต์ แต่ท่านปฏิเสธ ท่านทุกข์ใจกับ
การแตกแยกครั้งใหญ่และตำแหน่งที่ไม่ยอมเปลี่ยนของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ นักบุญวินเซนต์จึงแนะนำ
ให้พระองค์หารือกับคู่แข่งชาวโรมันของพระองค์ แต่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงปฏิเสธ นักบุญวินเซนต์
จำเป็นต้องตัดขาดจากพระคาร์ดินัลเปโตร เดอ ลูนาอย่างไม่เต็มใจในปีค.ศ. 1398 ความตึงเครียดจาก
ความขัดแย้งระหว่างมิตรภาพและความจริงทำให้นักบุญวินเซนต์ล้มป่วยอย่างร้ายแรงในปีค.ศ. 1398
ระหว่างที่ท่านล้มป่วย ท่านเห็นนิมิตซึ่งพระเยซูคริสตเจ้า (Jesus Christ) , นักบุญดอมินิกแห่งกุซมาน
(Saint Dominic of Guzmán) และนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี (Saint Francis of Assisi) ได้สั่งสอนให้
เทศนาการชดใช้บาปเมื่อใดก็ตามที่ท่านต้องการ และท่านก็หายจากอาการป่วยอย่างอัศจรรย์
หลังจากที่ท่านนักบุญฟื้นตัวแล้ว ท่านได้ร้องขอให้ได้รับอนุญาตให้อุทิศตนเพื่องานประกาศข่าวดี
ท่านเทศน์สอนในชุมชนคาร์เพนทราส (Carpentras) , นครอาร์ล (Arles) , เมืองแอ็กซ์ (Aix) ,
และเมืองมาร์เซย์ (Marseilles) โดยมีผู้เข้าฟังจำนวนมาก ระหว่างปีค.ศ. 1401 ถึง ค.ศ. 1403 นักบุญ
ได้เทศนาในจังหวัดโดฟีเน (Dauphiné) , ภูมิภาคซาวอย (Savoy) และในหุบเขาแอลป์ (Alpine Valleys)
จากนั้นจึงเดินทางไปต่อที่เมืองลูเซิร์น (Lucerne) , เมืองโลซาน (Lausanne) , หุบเขาทาเรนแตส
(Tarentaise Valley) , เมืองเกรอน็อบล์ (Grenoble) และเมืองตูริน (Turin) ท่านเป็นผู้พูดที่ประสิทธิภาพมาก
ถึงขนาดที่แม้จะพูดได้แค่ภาษาสเปน แต่หลายคนก็มองว่าเขาเป็นผู้พูดได้หลายภาษา “โบนิฟาซ (Boniface)”
พี่ชายของท่านเป็นอธิการของอารามแกรนด์ ชาร์เทรอส (Grande Chartreuse) และจากการเทศนา
ของวินเซนต์ บุคคลสำคัญหลายคนจึงได้เข้ามาในอารามแห่งนี้
เชื่อกันว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่าน ในปีค.ศ. 1405 นักบุญวินเซนต์อยู่ที่เมืองเจนัว (Genoa) และเทศน์
ต่อต้านเครื่องประดับศีรษะแฟนตาซีที่สตรีชาวลิกูเรียน (Ligurian) สวมใส่ และเครื่องประดับศีรษะเหล่านี้
ก็ถูกดัดแปลงมา “เป็นการกระทำที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของท่าน” นักเขียนชีวประวัติของท่านคนหนึ่งเล่าไว้
จากเมืองเจนัว ท่านขึ้นเรือไปที่พื้นที่แฟลนเดอร์ส (Flanders) ต่อมาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีตารางเวลา
ให้ท่านรักษาวันละ 1 ชั่วโมง ในแคว้นกาตาลุญญา (Catalonia) คำภาวนาของท่านทำให้แขนขาที่เหี่ยว
ของเด็กชายพิการชื่อ “จอห์น โซเลอร์ (John Soler)” ซึ่งแพทย์ของเขา วินิจฉัยว่า รักษาไม่หาย ซึ่งต่อมาเขา
ได้รับตำแหน่งบิชอปแห่งบาร์เซโลนา ในเมืองซาลามังกา (Salamanca) ในปีค.ศ. 1412 ท่านได้คืนชีพที่ตาย
ไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมา อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเกิดขึ้นที่จังหวัดโดฟีเน ในพื้นที่ที่เรียกว่า “โวปูต (Vaupute)”
หรือ “หุบเขาแห่งการฉ้อฉล (Valley of Corruption)” ชาวพื้นเมืองที่นั่นป่าเถื่อนมากจนไม่มีพระสงฆ์คนไหน
จะไปเยี่ยมพวกเขา นักบุญวินเซนต์ซึ่งพร้อมที่จะทนทุกข์ทรมานทุกอย่างเพื่อให้ได้วิญญาณ เสี่ยงชีวิต
ด้วยความชื่นชมยินดีท่ามกลางคนชั่วร้ายที่ถูกทิ้งเหล่านี้ ทำให้พวกเขากลับใจจากความผิดพลาดและ
ความชั่วร้ายของพวกเขา หลังจากนั้นชื่อของหุบเขาแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “วัลเพียว (Valpure)”
หรือ “หุบเขาแห่งความบริสุทธิ์ (Valley of Purity)” ซึ่งเป็นชื่อที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน