“พระมหาทรมาน” ( ตอน1-20) (ชุดที่1)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2022 10:58 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(1)จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช
ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.​ 1823 และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003,
แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บุญราศี ภคินี แอนน์ คัธริน เอ็มเมริช (Anne Catherine Emmerich : 1774-1824) ชาวเยอรมัน
คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวนายากจน เธอมีพี่น้อง (9) คน เคยเรียนหนังสือเล็กน้อย ชอบสวดภาวนา
ตั้งแต่เล็ก, อายุ 12 ปี เธอทำงานในฟาร์มใกล้บ้านจนถึงอายุ 15 ปีจึงทำงานเป็นช่างเย็บผ้า
เธอไปวัดร่วมมิสซาและเฝ้าศีลทุกวัน ราวเที่ยงคืนเธอเดินรูปในป่าสนนานกว่า 2 ชม.​ อุทิศเพื่อ
วิญญาณในไฟชำระเป็นพิเศษ เธอสมัครเข้าอารามหลายแห่งแต่ถูกปฏิเสธเพราะไม่มี
​ “เงินค่าสินสอดของนักพรต” เธอจึงทำงานรับใช้ครอบครัวหนึ่งและเก็บสะสมค่าแรงอยู่จนอายุ 28 ปี
จึงได้เข้าอารามคณะออกุสตินในปี 1802 ต่อมาในปี 1812 กษัตริย์ “Jérôme Bonaparte”
พระอนุชาองค์เล็กของนโปเลียนสั่งปิดอาราม เธอจึงไปพักอยู่ในบ้านของหญิงม่ายคนหนึ่ง

(@)รอยแผลศักดิ์สิทธิ์

เธอกล่าวว่าเธอเห็นนิมิตตั้งแต่เด็ก เคยสนทนากับพระเยซู และเห็นวิญญาณในไฟชำระ ต้นปี 1813
เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์ให้แพทย์ 2ท่านตรวจและทำรายงาน ผู้ใหญ่ฝ่ายศาสนาสอบ
สวนและไม่ให้เรื่องแพร่ออกไป ปลายปี 1818 โลหิตที่มือและเท้าที่ไหลอยู่เป็นครั้งคราวหยุดและ
รอยแผลปิดสนิท หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 1819 มีการตั้ง “คณะผู้สังเกตการณ์” ชีวิตของภคินีฯ
อยู่ 3 สัปดาห์แต่ก็ไม่พบหลักฐานการหลอกลวงใดๆ

(+)เบื้องหลังหนังสือ “พระมหาทรมาน”

เบร็นตาโน (Clemens Brentano) อยู่ในคณะผู้สังเกตการณ์ท่านกล่าวในภายหลังว่า ภคินีฯ
รู้จักท่านในทันทีพบกัน : “ท่านคือผู้ที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเป็นเจ้าสำเร็จไป” เบร็นตาโน
เป็นนักประพันธ์และเป็นผู้บันทึกนิมิตที่ภคินีฯได้รับ (1819-1824) และถ่ายทอดให้ท่าน เนื่องจาก
ภคินีฯ พูดเป็นแต่ภาษาถิ่นแคว้นเวสฟาเลีย กวีเบร็นตาโนจึงเป็นผู้เขียนบันทึกเป็นภาษาเยอรมัน
มาตรฐาน หลังมรณกรรมของภคินีฯในปี 1824 พระคุณเจ้าไซเล่อร์ (Sailer)และพระคุณเจ้าวิตมัน
(Wittman) บิชอปแห่งราติสบอน ตรวจสอบบันทึก และมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของกวีเบร็นตาโน
ซึ่งเป็นบุคคลตัวอย่างด้านความเชื่อและความศรัทธา ก่อนจะอนุมัติให้พิมพ์หนังสือเผยแพร่ได้
ในปี 1833 แม้ว่าสันตะสำนักรับรองเฉพาะส่วนที่ถูกต้องตามหลักเทววิทยาเท่านั้นและจัดให้เป็น​
“หนังสือประกาศพระวรสารที่โดดเด่น”; นักวิจารณ์มีความเห็นว่า
“มีการจงใจให้สีสันในเชิงกวีจนเกินจริง”

(*)ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือเรื่อง “พระมหาทรมาน”

หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกนิมิตส่วนบุคคลจึงไม่ควรให้ความสำคัญในลำดับเดียวกันหรือสูงกว่า
พระวรสาร ภคินีฯ สวดรำพึงล้ำลึกจนเข้าสู่ “มรรคาแห่งแสงสว่าง” (Illuminative Way)
เป็นนิมิตที่เผยแสดงถึงชีวิตของพระและทำให้ผู้นั้นอยู่ในสันติสุขในพระเป็นเจ้า เราจะเชื่อเป็นการ
ส่วนตัวก็ได้โดยเฉพาะจากผู้ที่อยู่ในสารบบเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร

๋(&)ภาพยนตร์ เรื่อง “พระมหาทรมาน”:

เมล กิบสัน (Mel Gibson) กล่าวว่าเป็นภาพยนต์ที่มีที่มาจากพระคัมภีร์และจาก
“นิมิตที่มีการยอมรับกันแล้ว” เท่านั้น

จบตอนที่(1)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. เม.ย. 07, 2022 8:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2022 11:03 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(2)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ตัวอย่างความถูกต้องตามหลักเทววิทยาของพระศาสนจักร

พระเป็นเจ้าทรงใช้นิมิตเผยแสดง “ตำแหน่งตะปูตอกพระหัตถ์” กับนักบุญหลายท่าน พระคัมภีร์
ใช้คำว่า​“พระหัตถ์” ซึ่งอาจหมายถึง “ข้อมือ” หรือ “ต้นแขน” ก็ได้ นักบุญหลายท่านผู้เคยเห็นนิมิต
เคยระบุแหน่งตะปูฯ แตกต่างกัน ได้แก่ที่ “ฝ่ามือ”, “ข้อมือ” และ​ “ต้นแขน” คำถามคือ ข้อแตกต่าง
เหล่านี้มีผลทำให้การถูกตรึงกางเขนไม่เป็นเรื่องจริงหรือ? คำตอบคือ ตำแหน่งฯ ที่แตกต่างกันไม่
มีผลต่อเทววิทยาคาทอลิกในเรื่องนี้ ดังนั้นตำแหน่งการตอกตะปูที่ ‘เมล กิบสัน’ เลือกใช้จึงยอมรับได้

(+)การบันทึกนามภคินีเอ็มเมริชในสารบบบุญราศี

กระบวนการพิจารณา “บุญราศี” เริ่มในปี 1892 แต่ล้มเลิกไปเมื่อทางวาติกันสงสัยว่า เบร็นตาโน
เพิ่มเติมเนื้อเรื่องขึ้นเอง ปี 1973 จึงได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อและให้พิจารณาเฉพาะส่วนที่
เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และคุณธรรมส่วนตัวของภคินีฯ เท่านั้น ล่วงมาในเดือนกรกฎาคม 2003
สันตะสำนักรับรองอัศจรรย์ที่เกิดจากการเสนอคำวิงวอนผ่านภคินีฯ และวันที่ 3 ตุลาคม 2004
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศการบันทึกภคินีฯ ในสารบบบุญราศี

***********
(>)(>)พระเยซูเจ้าในสวนมะกอก

เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จออกจากห้องอาหารมื้อสุดท้ายพร้อมกับอัครสาวก 11 คนไปที่สวนเกทเสมนี
พระองค์ทรงเศร้าพระทัยมาก ขณะที่บรรดาอัครสาวกรู้สึกเบิกบานใจหลังจากรับ
“พระกายและพระโลหิต”
เปโตรทูลอย่างแข็งขันว่า 'ข้าพเจ้าก็จะไม่ทอดทิ้งพระองค์เลย!' (มธ 26:33) พระองค์จึงตรัสว่า '
ในคืนนี้เอง ก่อนไก่จะขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง' (มธ 26:34) ... บรรดาศิษย์ทุกคนต่างกล่าว
เช่นเดียวกัน (มธ 26:35)

สวนเกทเสมนีซึ่งอยู่ห่างจากห้องอาหารค่ำราว 1.5 ไมล์ เป็นสวนใหญ่และมีถนนตัดผ่านไปยังสวน
มะกอกที่เล็กกว่าและมีถ้ำหลายแห่ง พระองค์เสด็จไปถึงประมาณ 3 ทุ่ม ทรงให้อัครสาวก 8 คนอยู่
ในสวนนี้ และทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์นไปที่สวนมะกอก จากนั้นก็ทรงดำเนินตามลำพังอีก
เล็กน้อยเข้าไปอธิษฐานภาวนาในถ้ำ ขณะอธิษฐานภาวนา จู่ ๆ บาปของโลกทั้งหมดก็ปรากฏอยู่
เฉพาะพระพักตร์ ตั้งแต่บาปแรกของอาดัมไปจนถึงบาปสุดท้ายเมื่อสิ้นพิภพ ซาตานทำให้ภาพ
น่ากลัวยิ่งขึ้นก่อนพูดว่า​ “แกเตรียมพร้อมแล้วหรือที่จะแบกรับบาปทั้งหมดนี้?”

ถึงตอนนี้มีขบวนทูตสวรรค์เคลื่อนลงมาเสริมพลังให้พระเยซูเจ้า ขณะที่ซาตานยังคงพูดต่อไปว่า
“ตัวแกเองก็เป็นต้นเหตุการสังหารทารกผู้วิมลและบิดามารดาต้องหนีไปอียิปต์, ...
สั่งให้ปีศาจออกจากร่างไปสิงอยู่ในฝูงหมูที่กระโจนจากหน้าผา ฯลฯ ขณะนั้นพระเยซูทรงยอมให้
สภาวะมนุษย์อยู่เหนือสภาวะพระ และทรงอนุญาตให้ปีศาจทดลองพระองค์ในสภาวะมนุษย์

พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาต่อไปด้วยความเศร้าพระทัยมากจนพระวรกายสั่นเทาและตรัสว่า
“'พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด” (มธ 26:39) แต่ครู่ต่อมาพระองค์
ตรัสว่า “กระนั้นก็ดี ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”
(มธ 26:39)​ ที่จริงพระประสงค์ของพระองค์และของพระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ในขณะนั้น
ความรักยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษย์ของพระองค์ กำหนดให้พระองค์ทรงอยู่ในสภาวะมนุษย์ที่กลัวการ
ถูกทรมานเหมือนเราทุกคน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง พระองค์ทรงลุกขึ้นและทรงดำเนิน
ด้วยความลำบากไปหาอัครสาวกทั้งสามเพื่อขอความช่วยเหลือ
เมื่อไปถึง ทรงพบว่าพวกเขากำลังหลับอยู่ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นก็เห็นพระพักตร์ที่ซีดเซียวและพระเสโท
ไหลท่วมพระวรกายที่สั่นเทิ้ม ยอห์นทูลถามว่า “ให้ผมตามศิษย์คนอื่นไหมครับ?” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ
ปฏิเสธว่า “ เราไม่ได้พาพวกเขามาที่นี่เพราะพวกเขาไม่สามารถทนดูเราที่หมดสภาพเช่นนี้ได้
และคงจะหมดความวางใจในตัวเรา แต่พวกท่านที่เคยเห็นเราแปลงพระวรกาย ย่อมสามารถเห็น
ผู้นั้นที่ถูกเมฆบดบังได้ ...” (มธ 26:41)

จบตอนที่(2)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2022 11:11 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(3)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งนับแต่พระเยซูเสด็จเข้ามาในสวนมะกอก ศิษย์อีกแปดคนเริ่ม
ตระหนัก ถึงเหตุร้ายจึงสำรวจภูเขามะกอกหาที่หลบซ่อน ส่วนพระมารดา มารีย์ มักดาลา มาร์ธา
และสตรีใจศรัทธาหลังจากออกจากห้องอาหารมื้อสุดท้ายก็ไปบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับมาที่ถ้ำ ทูตสวรรค์แสดงให้พระองค์เห็นภาพแห่งพระมหาทรมานทั้งหมด...
และความพอพระทัยของ “องค์พระยุติธรรมศักดิ์สิทธิ์ (พระบิดา)” ต่อยัญบูชาที่จะชำระหนี้ด้วยราคา
ของพระบุตรในสภาวะมนุษย์ หลังจากนั้น ดิฉันเห็นทูตสวรรค์เข้ามาถวายพละกำลังให้พระเยซูเจ้า
แล้วทุกสิ่งก็หายลับไป ขณะที่พระวิญญาณของพระองค์ก็เตรียมรับมือกับการถูกโจมตีครั้งใหม่
พระวิญญาณของพระเยซูทรงเห็นความทุกข์ทรมานทั้งหลายในอนาคตจนถึงวันสิ้นโลก
หลังจากนั้นพระองค์ทรงล้มลุกคลุกคลานออกจากถ้ำไปหาศิษย์ทั้งสาม

เมื่อพระองค์เสด็จไปถึง ทั้งสามหลับอยู่ในท่าคุกเข่าโดยที่มือทั้งสองกุมศีรษะอยู่ เมื่องัวเงียตื่นขึ้น
ทั้งสามเห็นพระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดและมีพระโลหิต พระองค์ตรัสอย่างเศร้าสร้อยว่าจะทรง
ถูกประหารชีวิตในวันรุ่งขึ้น และภายในหนึ่งชั่วโมงจะทรงถูกจับกุม ....และจะทรงถูกประหารชีวิตอย่าง
โหดเหี้ยมที่สุด ดิฉันเห็นยอห์นและยากอบช่วยพยุงพระองค์กลับไปที่ถ้ำ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ
5 ทุ่ม 15 นาที

ตลอดการเข้าตรีทูตที่กล่าวมานี้ ในบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก ดิฉันมองเห็นจิตวิญญาณ
ของพระมารดาเป็นทุกข์แสนสาหัสเช่นกัน มีการสื่อถึงกันระหว่างพระมารดากับพระบุตรเป็น
ลำแสงสลับกันไปมา ที่สุดพระนางตัดสินใจไปกับเพื่อน ๆ ออกตามหาพระองค์

เมื่อพระเป็นเจ้าทรงสร้างอาดัมนั้น พระองค์ทรงทำให้เขาหลับสนิท เปิดสีข้างและเอากระดูกซี่โครง
ออกมาซี่หนึ่ง นำมาสร้างเอวาให้เป็นภรรยาและเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง​ พระเยซูคริสต์ผู้ทรง
เป็นอาดัมคนใหม่ ทรงยินดีที่จะหลับสนิทแห่งความตายบนกางเขน และทรงยินดีให้มีการเปิดสีข้าง
ของพระองค์เพื่อให้กำเนิดเอวาคนใหม่ ซึ่งได้แก่พระศาสนจักรผู้เป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
พระองค์ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักรและดังนั้นเราทุกคนที่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรจึงเป็น
กระดูกจากกระดูกของพระองค์และเป็นเนื้อจากเนื้อของพระองค์

ดิฉันมองเห็นเหวลึกที่เปิดออกและเห็นพระองค์ทอดพระเนตรไปที่ใต้บาดาลที่มีอาดัม เอวา และ
ผู้ชอบธรรมทุกคนรอคอยการเสด็จมาของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์จะเปิดสวรรค์ให้
กับผู้ที่ถูกกักไว้ในดินแดนแห่งนี้! ดิฉันเห็นทูตสวรรค์ถวายนามผู้ศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตที่จะมีส่วนร่วม
ในบุญกุศลที่ไหลหลั่งไม่มีที่สิ้นสุดเดชะพระมหาทรมานของพระองค์ นี่คือนิมิตที่สวยงามที่สุดของ
การไถ่กู้ที่นำความชุ่มชื่นสู่พระวิญญาณของพระเยซูเจ้า

หลังจากนิมิตที่ให้กำลังใจสลายไปแล้ว ทูตสวรรค์ก็ให้พระองค์ทรงเห็นภาพพระมหาทรมานทั้งหมด
อีกครั้งหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายลับไป ทันใดนั้นก็ปรากฏทูตสวรรค์ที่มีสถานภาพสูงกว่าทูตสวรรค์
ทุกองค์ก่อนหน้านี้ ในมือถือถ้วยที่มี “อาหารทิพย์” คล้ายเมล็ดถั่วที่ทูตสวรรค์นำไปวางในพระโอษฐ์
ก่อนจะยื่นกาลิกส์ที่สว่างจ้าให้พระองค์ทรงดื่ม แล้วทูตสวรรค์ก็หายไป

หลังจากพระเยซูทรงได้รับพลังเสริมแล้ว พระองค์ทรงดำเนินไปหาศิษย์ทั้งสามที่หลับอยู่เช่นเคย
ทรงปลุกพวกเขาและตรัสว่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนบาปมาถึงแล้ว...
ไปพบพวกเขากันเถิด เราจะมอบตัวเราไว้ในเงื้อมมือของศัตรูแต่โดยดี” (เทียบมก 14:21) แล้วพระองค์​
ก็เสด็จออกจากสวนมะกอกพร้อมกับศิษย์ทั้งสาม ทรงพบทหารพลธนูที่ถนนตรงทางแยกไปสวนเกทเสมนี
ศิษย์ของพระองค์บางคนพบพระมารดากับเพื่อน ๆ ก็พาพระนางกลับไปที่บ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก
---------------
จบตอนที่(3)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:04 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(4)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช
ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823 และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003,
แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(>)(>)ยูดาสและกองทหาร

ยูดาสเคยหวังว่าพระเยซูจะทรงสร้างอาณาจักรขึ้นและเขาจะมีตำแหน่งที่ทำรายได้ดี แต่ดูเหมือน
นับวันพระอาจารย์จะมีศัตรูมากขึ้น เพราะบัดนี้เขารู้แล้วว่าพระเยซูไม่ประสงค์จะเป็นกษัตริย์
ขณะที่พระสมณะผู้ใหญ่ต่างมีอำนาจและได้รับการนับหน้าถือตาในสังคม

ในระยะหลัง เขาติดต่อกับหัวหน้าสมณะเพื่อทำสัญญากัน แต่พวกเขายังไม่ไว้ใจยูดาสจึงบอกว่า
จะยังไม่ลงมือก่อนฉลองปัสกา หลังจากยูดาสทุราจารรับพระกายแล้ว ปีศาจก็เข้าสิงทำให้เขา
รีบออกจากห้องอาหารตรงไปหาผู้ที่เคยพูดจากันไว้ ศัตรูของพระองค์ถามยูดาสว่า
“พระองค์ไม่มีศิษย์ที่มีอาวุธปกป้องพระองค์หรือ?” ยูดาสตอบไปว่า
“พระองค์ทรงอยู่คนเดียวกับศิษย์ 11 คนที่เป็นคนขี้ขลาด ถ้าไม่จับกุมตอนนี้ พระองค์ก็จะทรงหลบ
หนีไป และจะกลับมาพร้อมกับกองทัพของพระองค์” คำพูดของยูดาสได้ผลและได้รับเงิน 30 เหรียญ
เป็นค่าทรยศ จากนั้นยูดาสก็รีบไปตรวจที่ห้องอาหารมื้อสุดท้าย เมื่อไม่พบพระเยซู ก็แน่ใจว่า
พระองค์ต้องประทับอยู่ที่สวนมะกอกที่พระองค์เสด็จไปทรงอธิษฐานภาวนาอยู่บ่อย ๆ

ยูดาสบอกให้ศัตรูของพระองค์จัดทหาร 300 คนคุมด้านใต้ของพระวิหารเพราะประชาชนในเขตนั้น
เป็นพรรคพวกของพระองค์ ทหาร 20 คนไปกับยูดาส ที่จริงมีการวางแผนจะใช้กองทหารใหญ่กว่านั้น
แต่ยูดาสบอกว่าถ้าไปกันหลายคนจะถูกสังเกตเห็นได้ง่าย จึงให้ทหารส่วนใหญ่เฝ้าเขตด้านใต้ของ
พระวิหารเพื่อไม่ให้พระเยซูเสด็จหนีไปได้ ผู้ที่ติดตามกลุ่มทหารที่ไปกับยูดาสได้แก่พลธนู 4 คน
พร้อมเชือกและโซ่ตรวน และฟาริสีอีก 6 คนที่ทำงานกับอันนาสและมหาสมณะคายาฟาส
_______
จบตอนที่(4)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:08 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(5)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823 และเมล กิบสัน
นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(>)(>)พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม

ยูดาสและกลุ่มทหารปรากฏตัวขณะที่พระเยซูอยู่กับอัครสาวกสามคนบนถนนระหว่างสวนเกทเสมนี
กับสวนมะกอก ยูดาสทำท่าจะเข้าไปหาพระองค์คนเดียวและไม่มีส่วนในการจับกุม แต่พวกทหาร
ไม่ยอมและเกิดการถกเถียงกันทำให้อัครสาวกอีก (8) คนได้ยินและรีบมาที่เกิดเหตุ
(โดยไม่ทราบว่ายูดาสทรยศ) พวกทหารจึงเรียกพลธนู (4) คนที่ตามมาให้เตรียมพร้อม เปโตรชัก
ดาบขึ้นทูลว่า “พวกเราอีก 8 คนกำลังมาช่วย ให้เราจัดการกับพลธนูก่อน” แต่พระเยซูตรัสตอบไม่ให้
ใช้ความรุนแรง
พระเยซูทรงดำเนินไปที่พวกทหารตรัสถามว่า“ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร?” (ยน 18:4) หัวหน้ากองทหาร
ตอบว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ” (ยน18:5) พระองค์ตรัสว่า “เป็นเราเอง” ทันใดนั้น พวกเขาก็ผงะล้มลง
ยูดาสตกใจทำท่าจะเข้ามาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามว่า “เธอไปไหนมาหรือ?” ยูดาสพูดตะกุก
ตะกักตอบว่ามีธุระเกี่ยวกับงาน พระเยซูจึงตรัสว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้เกิดมาก็คงจะดีกว่า” ถึงตอนนี้พวก
ทหารลุกขึ้นยืนและรอสัญญาณ“จูบ”ตามที่ตกลงกันไว้ เปโตรและศิษย์คนอื่นเข้าล้อมยูดาสและด่าทอเขา
ยูดาสแก้ตัวแต่ไร้ผลเมื่อพวกทหารเข้ามาปกป้องเขา และความจริงก็ถูกเปิดเผย

พระเยซูตรัสถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ท่านทั้งหลายเสาะหาใคร?” พวกเขาก็ตอบว่า “เยซู ชาวนาซาเร็ธ"
พระองค์ตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า เราเป็น ถ้าท่านเสาะหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไป”
(ยน 18:8) ทันทีที่ตรัสเสร็จ พวกทหารก็ล้มลงอีก พระเยซูตรัสกับทหารว่า "ลุกขึ้นเถิด" พวกเขาก็
ลุกขึ้นแต่ยังตกใจกลัวอยู่และบอกยูดาสให้รีบให้สัญญาณเพราะได้รับคำสั่งให้จับกุมเฉพาะคนที่
ยูดาสจูบเท่านั้น ยูดาสจึงเดินเข้าไปจูบพระองค์ กล่าวว่า “สวัสดี พระอาจารย์” พระเยซูตรัสตอบว่า
“ยูดาส เธอใช้การจุมพิตเพื่อทรยศบุตรแห่งมนุษย์หรือ?”(ลก 22:48)

พวกทหารกรูกันเข้ามาจับกุมพระเยซูทันที ยูดาสพยายามจะเผ่นหนีแต่พวกอัครสาวกจับตัวไว้
พร้อมกับร้องขึ้นว่า “พระอาจารย์ครับ ให้พวกเราใช้ดาบสู้กับพวกเขาไหม?” เปโตรเป็นคนใจร้อน
ชักดาบฟันไปที่มัลคัส (Malchus) ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ถูกใบหูข้างขวาขาดตกพื้นดินและ
ทันทีก็เกิดความโกลาหลขึ้น พลธนูจับพระเยซูและใช้เชือกมัดพระองค์ ขณะที่มัลคัสและทหารคนอื่น
ยืนอยู่รอบ ๆ พวกเขาตกใจกลัวหลังจากที่ล้มมาแล้วสองครั้ง แต่ก็ไม่อยากปล่อยพระองค์ไป
จึงเฝ้าพระองค์อยู่ใกล้ ๆ ชาวฟาริสี (6) คนเข้ามาช่วยยูดาสหนีไป

หลังจากเปโตรฟันหูของมัลคัสแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เอาดาบใส่ฝักเสีย เพราะทุกคนที่ใช้ดาบก็จะต้อง
พินาศด้วยดาบ... ” (มธ 26:52-53.) พระองค์ทรงเข้าไปสัมผัสหูของมัลคัส ทรงอธิษฐานภาวนาและ
ใบหูของเขาก็เป็นปกติ หลังจากนั้น พระเยซูก็ตรัสกับพวกเขาว่า “... เราอยู่กับท่านทุกวันในพระวิหาร
ท่านก็ไม่จับกุมเรา แต่นี่เป็นเวลาของท่าน เป็นอำนาจของความมืด” (ลก 22:52-53) ชาวฟาริสีทั้งหก
ตอบว่า "ท่านใช้เวทมนต์ของท่านจัดการเราไม่ได้หรอก" เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทุกคนก็ทิ้งพระองค์ไป

ดิฉันได้รับการเผยแสดงในภายหลังถึงเหตุที่พลธนูทั้งสี่และฟาริสี 6 คนรวมทั้งยูดาสไม่ได้ล้มลง เช่น
พวกทหารที่นั่น เพราะขณะนั้นพวกเขาถูกอำนาจของซาตานสิงอยู่ ส่วนพวกทหารที่ล้มลงและลุกขึ้นนั้น
ต่อมาได้กลับใจเป็นคริสตชนทุกคน ส่วนมัลคัสกลับใจทันทีหลังจากได้รับการรักษา

จบตอนที่(5)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:14 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(6)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823 และเมล กิบสัน
นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

พลธนูทั้งสี่เป็นคนต่างศาสนาและเป็นนักเลงหัวไม้ พวกเขาใช้เชือกแข็งมัดพระหัตถ์ทั้งสอง
จนสุดแรง มัดรอบบั้นพระองค์ (เอว) ด้วยสายรัดฝังเหล็กแหลม และใช้หวายผูกพระหัตถ์ทั้งสอง
ติดกับสายรัดรอบบั้นพระองค์อีกชั้นหนึ่ง ใช้ปลอกคอที่มีปุ่มเหล็กแหลมสวมพระศอยึดติดกับ
สายหนัง 2 เส้นที่พาดผ่านพระอุระและผูกติดกับสายรัดรอบบั้นพระองค์ จากนั้นก็ใช้เชือก 4 เส้น
ผูกติดกับสายรัดรอบบั้นพระองค์เพื่อฉุดกระชากลากพระองค์ไปข้างหน้า

พวกศิษย์มองดูขบวนอยู่ห่าง ๆ ร้องไห้คร่ำครวญ มียอห์นคนเดียวเดินอยู่ใกล้กับขบวนทหาร
และเมื่อกลุ่มฟาริสีเห็นก็สั่งทหารให้ไปจับตัว พวกเขาก็ทำตามแต่ยอห์นสลัดเสื้อคลุมทิ้งและ
วิ่งหนี โดยมีเพียงกางเกงในกับผ้ายาวพันศีรษะและแขนติดตัวไปเท่านั้น

ดิฉันเห็นพระเยซูทรงหกล้มสองครั้งก่อนถึงสะพาน และเมื่อไปถึงกลางสะพาน​ พลธนูกระชาก
อย่างเต็มแรงจนพระองค์ตกลงไปในลำห้วย พวกเขาพูดเยาะเย้ยให้พระองค์ดื่มน้ำในลำห้วย
ดับกระหาย ดิฉันไม่เห็นพระองค์ทรงดื่มน้ำเลยตั้งแต่ประทับอยู่ในสวน จนเมื่อพระองค์ทรง
ตกลงไปในลำห้วยขิดโรน จึงเห็นพระองค์ทรงดื่มน้ำ และได้ยินพระองค์ตรัสข้อความในหนังสือ
เพลงสดุดีที่ว่า “พระราชาจะดื่มน้ำจากลำธารริมทาง” (สดด 110:7)

ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ดิฉันเห็นพลธนูฉุดลากพระองค์ไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่มีแต่
เศษก้อนหินและไม้หนาม ชาวฟาริสีทั้งหกเมื่อเห็นพระบาทของพระองค์ถูกหนามเกี่ยวและเศษ
หินบาดก็สบประมาทว่า “ยอห์นผู้เตรียมทางให้พระองค์ไม่ได้เตรียมทางที่ดีเลยนะ”

ศัตรูของพระเยซูกลัวว่าจะมีการบุกชิงตัวพระองค์ จึงขอกำลังทหารเพิ่ม ดิฉันเห็นทหาร 50 คน
ถือไต้และ อาวุธอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าพระวิหารด้านใต้ พวกเขาโห่ร้องแสดงความยินดีกับ
ความสำเร็จของทหารชุดแรก เสียงโห่ร้องทำให้กองทหาร 20 คนที่ควบคุมพระองค์โกลาหล
เล็กน้อย และมัลคัสกับทหารบางคนก็ถือโอกาสหลบหนีไป

เมื่อทหารกองใหม่เดินออกไปจากด้านใต้ของพระวิหารแล้ว ดิฉันเห็นสานุศิษย์ของพระองค์
กระจัดกระจายไปคนทิศคนละทาง ยูดาสเคยเตือนคณะสงฆ์ว่า ผู้คนในเขตโอเฟลที่อยู่ทางใต้
ของพระวิหารอาจบุกชิงตัวพระองค์ ยูดาสทราบดีว่าพระเยซูเคยทรงเทศน์สอน และรักษาผู้ป่วย
ในเขตนี้ อนึ่ง หลังจากการเสด็จลงมาของพระจิตเจ้า ผู้คนในเขตโอเฟลนี้เป็นกลุ่มแรกที่กลับใจ
เป็นคริสตชน และย้ายถิ่นไปอยู่ในหุบเขาใกล้ภูเขามะกอกซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของนักบุญสเตเฟน

ชาวบ้านในเขตโอเฟล ตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของกองทหาร พวกเขารีบวิ่งไปที่ทางเข้าเมือง
เพื่อสอบถามสาเหตุ พวกทหารตอบว่า “เราเพิ่งจับพระเยซู ตอนนี้คณะมหาสมณะกำลังจะตัดสิน
ให้ตรึงกางเขนเขา” จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนกลับเข้าบ้านแต่พวกทหารไม่กล้าทำการรุนแรงเพราะกลัว
ผู้คนที่นี่ก่อกบฎ หลังจากผ่านประตูเมืองเขตโอเฟล ขบวนเคลื่อนต่อไปทางใต้จนถึงบ้านของอันนาส
ระหว่างทางจากภูเขามะกอกจนถึงบ้านของอันนาส พระเยซูทรงหกล้มถึง 7ครั้ง

ผู้คนในเขตโอเฟล ยังคงช็อกและส่งเสียงร้องไห้ดังยิ่งขึ้นเมื่อเห็นพระมารดาเดินผ่านพร้อมกับสตรี
ใจศรัทธาและเพื่อน ๆ เพื่อไปบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก ยอห์นก็มาที่บ้านนี้และเล่าทุกสิ่ง
ให้พระมารดาตั้งแต่พระเยซูออกจากห้องอาหาร หลังจากนั้นก็มีคนพาพระมารดาไปที่บ้านของมาร์ธา
-----------------------
จบตอนที่(6)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:17 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(7)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แผนการกำจัดพระเยซูเจ้าและการไต่สวนของอันนาส

อันนาสและมหาสมณะคายาฟาสทราบข่าวการถูกจับกุมพระเยซู ทั้งสองวางแผนชั่วร้ายทันที
ผู้นำสารถูกส่งไปทั่วเมืองเพื่อเรียกชุมนุมทุกคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ในสภาสูงและศัตรูของ
พระเยซูซึ่งต่างรีบมาที่สภาสูงฯ รวมทั้งหนุ่มเสเพลหลายคนที่พระองค์ไม่ทรงรับไว้เป็นศิษย์

ขบวนไปถึงบ้านของอันนาสประมาณเที่ยงคืน ที่ปรึกษา (2)(8) คนนั่งอยู่รอบตัวเขา อันนาสทำ
เป็นไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเลยอุทานขึ้นว่า “เป็นไปได้หรือที่เป็นท่านเอง เยซูชาวนาซาเร็ธ ...
แล้วนี่ท่านยังเป็นต้นเหตุก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในวันสับบาโตอีกหรือ? ” ---พระเยซูจึงตรัสว่า “
เราพูดให้โลกฟังอย่างเปิดเผย ... จงถามผู้ที่ได้ฟังเราเถิดว่า เราบอกสิ่งใดกับเขา…” (ยน 18:20-21)

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ทหารซึ่งยืนอยู่ที่นั่นตบพระพักตร์ตวาดว่า “เจ้าตอบเช่นนี้กับมหาสมณะ
ได้หรือ?” (ยน 18:22) เป็นการตบที่รุนแรงมากจนพระองค์ทรงเซล้มลง พลธนูฉุดพระองค์ขึ้นอย่าง
ไม่ปรานีปราศรัย พระองค์ตรัสตอบอย่างเรียบ ๆ ว่า "ถ้าเราพูดผิด จงชี้ให้เห็นว่าเราผิดอย่างไร
แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบหน้าเราทำไม?" (ยน 18:23 )

อันนาสยังคงโกรธและหันไปทางกลุ่มพยานตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาจึงเริ่มฟ้องว่า
“เขาปลุกปั่นประชาชนให้ลุกฮือขึ้น รักษาคนเจ็บด้วยอำนาจของปีศาจในวันสับบาโต เมื่อกี้นี้ผู้คน
ในเขตโอเฟลจับกลุ่มรอบตัวเขาและเรียกเขาว่าพระผู้ไถ่และประกาศก ฯลฯ”

คำกล่าวหาเหล่านี้ถูกตะโกนขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ขณะที่พลธนูก็เข้าไปทุบตีพระองค์ อันนาสก็
พูดต่ออีกว่า “ท่านเป็นลูกช่างไม้ที่ยากจน หรือเป็นเอลียาห์ที่ถูกรถม้าเพลิงยกขึ้นสวรรค์ คนลวงโลก
อย่างท่านคงไม่มีทางเป็นประกาศกได้หรอก” หลังจากนั้นอันนาสก็ให้คนนำแผ่นหนังมาให้,
เขียนข้อกล่าวหาม้วนใส่กระบอกผูกติดกับปลายไม้อ้อ และพูดล้อเลียนว่า “นี่คือคทาแทนอาณาจักร,
ยศตำแหน่งและสิทธิการครองบัลลังก์เขียนไว้หมดแล้ว เอาไปให้มหาสมณะจัดการแต่งตั้งให้เป็น
ที่เรียบร้อย เอาละ! มัดมือกษัตริย์แล้วพาไปส่งให้มหาสมณะได้แล้ว”

พวกเขามัดพระหัตถ์ไขว้กันไว้ที่พระอุระเพื่อจัดให้พระองค์อยู่ในท่าถือ “คทาต้นอ้อ” ที่มีข้อกล่าวหา
อยู่ในนั้น และพาพระองค์ไปที่สภาสูงของมหาสมณะคายาฟาสซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของอันนาสไม่ถึง
300 ก้าว พวกที่แสดงความต่ำช้าในที่พิจารณาของอันนาสตามมาอาละวาดต่อ ดิฉันเห็นคนถือ
อาวุธหลายคนจากสภาสูงให้เงินกับคนที่แสดงอาการต่ำช้าที่สุดและปล่อยให้คนพวกนี้เข้าไป
ในสภาสูง ขณะเดียวกันก็ผลักออกนอกทางเมื่อพบคนที่แสดงความสงสารพระองค์
---------------------
จบตอนที่(7)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:25 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(8)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(&)พระเยซูเจ้าต่อหน้ามหาสมณะคายาฟาส

เปโตรและยอห์นมาถึงก่อนพระเยซูเล็กน้อย มหาสมณะคายาฟาสนั่งอยู่กลางที่ยกพื้นสูงโดยมี
สมาชิกสภาซันเฮดริน 72 คนนั่งอยู่โดยรอบ คัมภีราจารย์และผู้อาวุโสยืนอยู่สองด้านโดยมี
กลุ่มพยานเท็จอยู่ด้านหลัง เมื่อพระองค์ถูกนำเข้าประจำที่แล้ว มหาสมณะคายาฟาสก็ตะโกนขึ้นว่า
“ท่านมาถึงแล้ว ศัตรูของพระเจ้า ผู้ทำลายสันติสุขของค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์นี้!” มีผู้หยิบม้วนหนังจาก
“คทา” ในพระหัตถ์ของพระองค์คลี่ออกอ่านทันที

มหาสมณะคายาฟาสเป็นคนโมโหร้ายและหยิ่งผยองยิ่งกว่าอันนาส เขาตั้งคำถามนับพัน
แต่พระองค์ทรงนิ่งเงียบ พวกพลธนูก็พยายามบังคับให้พระองค์ตรัสด้วยการเฆี่ยนตี พวกพยานเท็จ
ก็มีความเห็นขัดแย้งกันเอง เช่นคนหนึ่งกล่าวว่า “เขาบอกว่าตัวเขาเป็นกษัตริย์” และทันใดนั้นพยาน
คนที่สองก็แย้งว่า “ไม่ใช่ เขาเพียงยอมให้คนอื่นเรียกเขาเป็นกษัตริย์” จากนั้นก็มีพยานอีกคนหนึ่ง
กล่าวว่า “เขาบอกว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า” ทันทีก็มีพยานอีกคนร้องขึ้นว่า “ไม่ใช่ เขาเพียง
แต่ทำตัวเองเป็นพระบุตรของพระเจ้าโดยอ้างว่าทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเขา” เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปคือไม่มีข้อกล่าวหาใดเลยที่พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงกระทำผิด เพราะล้วนเป็นการ
กล่าวหา เพื่อดูถูกเหยียดหยามพระองค์เท่านั้น

พวกพยานขัดแย้งกันเองจนมหาสมณะหัวเสียที่ไม่สามารถพิสูจน์ข้อกล่าวหาได้เลย มีการเรียก
นิโคเดมัสเข้ามาและบังคับให้ตอบว่า เหตุใดจึงอนุญาตให้พระองค์ “กินเลี้ยงปัสกาล่วงหน้า”
ในห้องอาหารที่ตนเป็นผู้ดูแล ศัตรูของพระเยซูโกรธมากขึ้นเมื่อนิโคเดมัสเปิดหนังสือเก่าพิสูจน์
สิทธิพิเศษ ของชาวกาลิลีที่มีจำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถวายยัญบูชาให้เสร็จได้ภายใน
วันสับบาโต เพียงวันเดียว ที่สุดนิโคเดมัสได้พิสูจน์โดยไร้ข้อกังขาว่าพวกเขาไม่ผิดและยังให้ข้อ
สังเกตด้วยว่า เป็นพวกเขาเองที่ขัดแย้งกันเองและใช้วิธีการสอบพยานที่รีบเร่งจนผิดสังเกต
พวกเขามองดู นิโคเดมัสอย่างโกรธแค้นแต่ไม่สามารถตอบโต้ได้

มหาสมณะโกรธจัดที่เห็นพระเยซูแม้ทรงถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหดแต่กลับอดทนได้ผิดมนุษย์
จนผู้ที่อยู่ในสภาสูงหลายคนเริ่มประทับใจและเสียงโห่ร้องขับไล่พระองค์ก็เบาลงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น คำให้การของพยานสองคนสุดท้ายทะเลาะกันต่อหน้า มหาสมณะจึงลุกขึ้น
ตวาดว่า “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่าท่านเป็นพระคริสต์
พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตหรือ?” (มธ 26:63)

พระเยซูเจ้าตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงของผู้ทรงอำนาจเหนือมนุษย์ว่า “ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็น
บุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า”
(มธ 26:64). หลังจากนั้นมหาสมณะก็ลุกขึ้นยืนใช้มีดกรีดเสื้อคลุมของตนพร้อมกับตะโกนว่า
“ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว ท่านคิดอย่างไร?”(มธ 26:65)
ทุกคนที่นั่นลุกขึ้นร้องตอบว่า “เขาสมควรต้องตาย!” (มธ 26:66)

จากนั้นมหาสมณะก็พูดกับพลธนูว่า “เรามอบกษัตริย์องค์นี้ไว้ในมือของพวกท่านแล้ว
จงจัดการกับผู้ที่หมิ่นพระเจ้าให้สมเกียรติได้เลย”

ยอห์นกลัวว่าศัตรูบางคนอาจไปแจ้งข่าวร้ายให้พระมารดาด้วยวาจาที่หยาบคาย จึงรีบไปพบ
พระมารดาที่บ้านของมาร์ธา ขณะนั้นเริ่มเข้าเช้าวันใหม่ที่หนาวเย็น เปโตรจึงเข้าไปอยู่รวมกับ
ผู้คนที่อยู่ข้างกองไฟเพราะไม่อาจทำใจทอดทิ้งพระอาจารย์กลับไปบ้านได้
_______
จบตอนที่(8)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:28 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(9)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(^)(^)การสบประมาทพระเยซูเจ้าต่อหน้ามหาสมณะคายาฟาส

ทันทีที่มหาสมณะคายาฟาสและสมาชิกสภาสูงออกไปจากห้องพิจารณาคดี ฝูงชนชั้นต่ำก็เข้า
รุมล้อมพระเยซูราวกับฝูงแตน ใช้ต้นอ้อและเปลือกไม้ถักเป็นมงกุฎนำมาสวมพระเศียรและ
ทำท่าล้อเลียนแสดงความเคารพ จากนั้นก็ใช้ผ้าขี้ริ้วปิดพระเนตร ใช้ไม้ฟาดพระองค์พร้อมกับ
ตะโกนว่า “พระคริสต์ จงทายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า?” (มธ 26:68) พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบ
แต่ทรงอธิษฐานภาวนาเพื่อพวกเขา

ขณะนั้นที่ปรึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องพิจารณาคดี พวกเขาแสดงความยินดีกับการแสดงที่
กลุ่มคนชั้นต่ำจัดทำขึ้น ทหารยามล้อเลียนการเทน้ำหอมของมารีย์ มักดาลาบนพระเศียรพร้อมกับ
ร้องว่า “เจ้าชำระล้างผู้อื่นได้อย่างไรในเมื่อตัวเจ้าเองยังสกปรกอยู่ แต่ไม่เป็นไรเพราะเรากำลัง
จะชำระตัวเจ้าให้บริสุทธิ์” ว่าแล้วก็นำอ่างที่ใส่น้ำสกปรกเข้ามา และเทราดลงไปที่พระพักตร์
พลางย่อเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ตะโกนว่า
“นี่คือน้ำมันประเสริฐของเจ้า เจ้าได้รับพิธีล้างในสระเบเธสดาแล้ว”

คำพูดล้อเลียนเกี่ยวกับพิธีล้างในสระเบเธสดานั้น พวกเขาจงใจเปรียบเทียบพระเยซูเจ้ากับ
“ลูกแกะปัสกา” ที่จะต้องชำระล้างให้สะอาดในสระเบเธสดาก่อนจะนำไปถวายในพระวิหาร
ในทำนองเดียวกันศัตรูของพระเยซูก็โยงไปถึงเรื่องคนง่อยที่ป่วยมา 38 ปีและพระองค์ทรงรักษา
ให้หายที่สระเบเธสดา
หลังจากนั้นพวกเขาก็จูงพระองค์ไปรอบห้อง นับแต่พระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็น
พระบุตรของพระเจ้า ปรากฏมีพระรัศมีอยู่รอบพระเศียร ซึ่งยั่วยุศัตรูให้โกรธแค้นยิ่งขึ้น ดิฉันเชื่อว่า
เนื่องจากแสงที่เปล่งออกจากพระรัศมีจ้ามากจนพวกเขาไม่สามารถมองพระพักตร์ตรง ๆได้
พวกเขาจึงขว้างปาเศษผ้าสกปรกไปที่พระเศียรเพื่อกลบแสงของพระรัศมีนั่นเอง
------------------
จบตอนที่(9)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:33 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(10)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้า

ขณะที่ยอห์นไปแจ้งข่าวแก่พระมารดาที่บ้านของมารธา เปโตรไม่อาจตัดใจทิ้งพระเยซูไปได้จึงแอบไป
นั่งร้องไห้ข้างกองไฟซึ่งมีทหารและสามัญชนนั่งคุยกันถึงพระเยซูอย่างหยาบช้า และเนื่องจากเปโตรมี
ท่าทางเศร้าและไม่ได้ร่วมวงสนทนา บางคนจึงสงสัยในพฤติกรรมของเขา ที่สุดหญิงเฝ้าประตูก็จ้อง
ไปที่เปโตรพร้อมกับพูดว่า “ท่านก็เคยอยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย” (มธ 26:69). เปโตรรีบปฏิเสธว่า
“นางเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่รู้จักเขา” (ลก 22:57). จากนั้นก็ลุกขึ้นออกจากห้องไป ทันใดก็มีเสียงไก่ขันที่
นอกเมือง ขณะที่เดินออกไป หญิงรับใช้อีกคนหนึ่งจ้องหน้าเขาและพูดกับเพื่อน ๆ ว่า
“ท่านเป็นคนหนึ่งในพวกเขาด้วย”(ลก 22:58) เปโตรปฏิเสธซ้ำทันทีว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้จักชายคนนี้”
ขณะที่เปโตรอยู่ที่ลานด้านนอกด้วยใจที่เป็นทุกข์จนไม่ได้ตระหนักถึงคำพูดที่ตนเพิ่งตอบไป
หลังจากนั้น เปโตรก็กลับเข้าไปในลานด้านในอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาเข้าไปอยู่ที่ด้านหลังของห้อง
พิจารณาคดี พระองค์ทรงชำเลืองมองด้วยสายพระเนตรที่เศร้าหมองไปที่เปโตร ทันใดนั้นเปโตร
ก็ต้องตกใจอีก เมื่อคนที่นั่นถามขึ้นว่า “ท่านเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ ๆ ท่านเป็นชาวกาลิลี
ฟังสำเนียงก็รู้แล้ว” (มธ 26:73) เปโตรคิดจะออกไปนอกห้อง ก็พอดีน้องชายของมัลคัสเดินเข้ามา
และถามว่า “ฉันเห็นท่านในสวนมะกอก -- ไม่ใช่ท่านหรือที่เป็นคนตัดหูพี่ชายของฉันขาด?”

เปโตรปฏิเสธพร้อมกับสาบานอย่างแข็งขันว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้จักชายคนนี้” จากนั้นก็วิ่งออกไปที่ลาน
ด้านนอก และไก่ก็ขันขึ้นอีก ขณะที่พวกเขากำลังลากพระเยซูผ่านออกมาพอดี พระองค์ทรงมองไปที่
เปโตรด้วยสายพระเนตรแห่งความเมตตาจี้แทงใจดำของเปโตร เขาจึงระลึกถึงพระวาจาที่พระองค์
ตรัสกับเขาก่อนหน้านั้นว่า “ก่อนไก่ขันสองครั้ง ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เปโตรกลับออกไปที่ลาน
ให้ด้านนอก ใช้มือปิดใบหน้าร้องไห้อย่างขมขื่น เปโตรพร้อมแล้วที่จะประกาศให้ผู้คนทั่วโลกทราบ
ถึงทั้งความผิดและความเสียใจของท่าน
_______
จบตอนที่(1)(0)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 11, 2022 9:36 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ (11)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)(+)พระนางมารีย์ในบ้านของมหาสมณะคายาฟาส

ทันทีที่ยอห์นได้ยินคำตัดสินว่า “เขามีความผิดต้องโทษประหารชีวิต” ท่านก็รีบมาหาพระมารดา
ที่บ้านของมาร์ธา และเล่าทุกสิ่งให้คนที่นั่นฟัง พระมารดาและกลุ่มสตรีขอให้ยอห์นพาพวกเธอ
ไปที่บ้านของมหาสมณะคายาฟาส

ขณะที่เข้าไปในบริเวณบ้านของมหาสมณะ ความทุกข์ของพวกเธอก็ทวีมากขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มผู้ชาย
ในกระโจมกำลังเตรียมทำกางเขน ที่จริงพวกโรมันได้เตรียมกางเขนสำหรับตรึงโจรสองคนอยู่แล้ว
คนงานที่นั่นจึงไม่พอใจที่ต้องทำงานกลางคืนเพื่อทำกางเขนเพิ่มอีก พวกเขาด่าแช่งด้วยถ้อยคำ
ที่เสียดแทงดวงหทัยที่อ่อนโยนของพระมารดา ขณะที่พระมารดาอธิษฐานภาวนาเพื่อพวกเขาที่
กำลังแช่งด่าพระผู้ไถ่ที่กำลังจะสละพระชนม์ชีพเพื่อความรอดของพวกเขาด้วย

พระมารดา ยอห์นและสตรีใจศรัทธาเดินข้ามลานมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูที่นำสู่ลานด้านในซึ่งปิดอยู่
ครู่ต่อมาประตูเปิดออกพร้อมกับเปโตรที่กำลังร้องไห้อย่างขมขื่น พระมารดาถามเขาทันทีว่า
“ซีมอน เกิดอะไรขึ้นกับลูกของแม่!” เปโตรตอบด้วยน้ำเสียงของคนสิ้นหวังว่า
“คุณแม่ครับ บุตรของคุณแม่กำลังถูกทรมานจนสุดจะบรรยายได้! พวกเขาตัดสินประหารชีวิตพระองค์
และผมเองก็ได้ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง” แล้วเปโตรก็วิ่งออกไปจนถึงถ้ำที่เขามะกอก ดิฉันเชื่อว่า
เป็นถ้ำเดียวกับถ้ำที่อาดัมเข้าไปร้องไห้หลังจากถูกขับออกจากอุทยานสวรรค์

พระมารดาปวดร้าวแสนสาหัสเมื่อได้ยินศิษย์เอกที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแต่
ได้ปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์ พระนางถึงกับเป็นลมหมดสติล้มลงบนแผ่นหินที่ประตูซึ่งปรากฏเป็นรอย
พระหัตถ์และพระบาทของพระมารดาจนทุกวันนี้ เมื่อฟื้นคืนสติแล้ว ยอห์นก็พากลุ่มสตรีใจศรัทธา
ไปที่หน้าห้องขังที่พระเยซูทรงถูกคุมขังอยู่ หลังจากนั้นพระมารดาก็เดินไปยังจุดที่พระเยซูตรัสว่า
พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าก่อนที่ชาวยิวที่ตะโกนร้องขึ้นว่า “เขาสมควรต้องโทษถึงตาย”
พระนางเป็นลมหมดสติอีกครั้งหนึ่ง ยอห์นและสตรีฯ ช่วยกันหามพระมารดาออกจากที่นั่น
ทุกคนในห้องเงียบกริบตกตะลึงอยู่ในสภาพเปิดทางในนรกให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์เดินผ่านไป
_______
จบตอนที่(1)(1)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 13, 2022 3:49 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่ 12
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

……พระเยซูเจ้าทรงถูกขังในคุกใต้ดินและวันพิจารณาคดี

หลังจากที่ชาวยิวแสดงความโหดร้ายต่อพระเยซูจนหมดแรงแล้ว ก็ขังพระองค์ไว้ในห้องแคบ ๆ
ซึ่งยังคงมีซากเหลืออยู่ในปัจจุบัน พลธนู 2 คนเฝ้าพระองค์ ศัตรูของพระเยซูไม่ปล่อยให้พระองค์
ได้ทรงพักผ่อนเลย แม้แต่ในห้องขัง พวกเขาก็ยังคงมัดพระองค์ไว้กับเสาหลักกลางห้อง พลธนูด่า
ทอพระองค์จนเหนื่อยอ่อนแล้วก็เปลี่ยนเวรให้พลธนูชุดใหม่ปฏิบัติการต่อในลักษณะเดียวกัน
ภาพที่ดิฉันเห็นในนิมิตทำให้ดิฉันถึงกับล้มป่วยราวกับเสียชีวิตไปแล้ว ดิฉันเองก็เป็นสาเหตุของ
พระมหาทรมานด้วย ในวันพิพากษา เราจะทราบว่าเรามีส่วนในพระมหาทรมานมากน้อยเพียงใด

ที่สุดพลธนูที่อยู่เวรก็หมดแรงและปล่อยพระองค์ไว้ตามลำพัง พระองค์ทรงพิงพระวรกายกับเสาหลัก
ได้ไม่นานก็ถึงรุ่งอรุณของวันแห่งการไถ่กู้ ระหว่างนั้น ยูดาสวิ่งไปมาราวกับคนบ้าในหุบเขาฮินโนม
ที่สุดก็มาที่บ้านของมหาสมณะคายาฟาส และเมื่อทราบจากทหารยามว่าพระเยซูถูกตัดสินประหาร
ชีวิตและจะถูกตรึงกางเขน ยูดาสก็หลบออกไปนอกอาคารโดยหารู้ไม่ว่ากำลังซ่อนตัวอยู่ในกระโจม
คนงานกำลังงีบหลับอยู่ข้างกางเขน​ ยูดาสตกใจกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่จะใช้ประหารชีวิต
พระอาจารย์เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่เหรียญ เขาวิ่งไปมาด้วยความเศร้าก่อนจะไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
ในละแวกนั้นและรอฟังข่าวการพิจารณาคดี

เช้าวันนั้น
มหาสมณะและคณะพิจารณาคดีมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่เช้า เพราะการพิจารณาคดีในค่ำคืน
ก่อนไม่มีกฎหมายรองรับ สมาชิกสภาสูงพยายามดำเนินเรื่องอย่างเร็วที่สุด แต่นิโคเดมัสกับเพื่อน ๆ
คัดค้านว่า ต้องไม่มีการตัดสินลงโทษหากยังพิสูจน์ความผิดไม่ได้ มหาสมณะกันทุกคนที่มีความคิด
เห็นข้างพระเยซูออกไปนอกสภา ฝ่ายที่คัดค้านจึงล้างมือ, ออกไปที่พระวิหารและไม่กลับมาร่วม
ประชุมอีก หลังจากนั้นมหาสมณะสั่งให้เจ้าหน้าที่เตรียมส่งพระเยซูไปที่ศาลของผู้ว่าราชการปิลาต
เจ้าหน้าที่จึงลากพระองค์ออกจากห้องขังในสภาพเหมือน“สัตว์” ที่กำลังถูกนำไปเป็นยัญบูชา

มหาสมณะพูดกับพระองค์อย่างหยิ่งยโสว่า “ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด” (ลก 22:67)
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบหรือปล่อยเราไป
ตั้งแต่บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์จะประทับ ณ เบื้องขวาพระอานุภาพของพระเจ้า” (ลก 22:68-69)
บรรดามหาสมณะจึงถามพระเยซูเจ้าว่า “ดังนั้น ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าใช่ไหม?”(ลก 22:70)
พระเยซูตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแห่งความจริงนิรันดร์ว่า “ท่านพูดเองนะว่าเราเป็น” (ลก 22:70)
คนเหล่านั้นจึงร้องขึ้นว่า “เราจะต้องการพยานอะไรอีก เราได้ยินจากปากของเขาแล้ว” (ลก 22:71)
_______
จบตอนที่(1)(2)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มี.ค. 13, 2022 3:52 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(13)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

-----ความสิ้นหวังของยูดาส

ขณะที่ชาวยิวกำลังพาพระเยซูไปที่จวนผู้ว่าราชการปิลาตนั้น ยูดาสเดินอยู่ใกล้ขบวนเพื่อฟัง
คำสนทนาของฝูงชนและจับใจความได้ว่า “พวกเขากำลังพาพระองค์ไปต่อหน้าปิลาต พวกเขา
จะจัดการจนกว่าจะประหารชีวิตพระองค์ได้สำเร็จ... คนชั่วที่ขายพระองค์ก็เป็นสานุศิษย์ของพระองค์
และก่อนหน้านั้นไม่นานก็ได้กินเลี้ยงลูกแกะปัสกากับพระองค์ด้วย.. นิสัยเลว ๆ เช่นศิษย์คนนี้
สมควรตายจริง ๆ”

และแล้วความรู้สึกสิ้นหวังก็เข้าครอบงำจิตใจของยูดาส ขณะเดียวกันซาตานก็เข้าสิงให้เขารีบหนีไป
เขาจึงวิ่งเข้าไปในพระวิหารที่มีสมาชิกสภาสูงจับกลุ่มกันอยู่ เมื่อเห็นยูดาสวิ่งเข้ามา พวกเขามองตากัน
และหัวเราะเยาะ ด้วยความโกรธจัด ยูดาสร้องตะโกนว่า

“เอาเงินคืนไปและปล่อยพระเยซูเจ้า ยกเลิกสัญญา ข้าพเจ้าได้ทำผิดมหันต์ที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์”
พระสงฆ์ที่นั่นตอบว่า “ธุระอะไรของเราเล่า เป็นเรื่องของเจ้าที่คิดขายโลหิตของผู้บริสุทธิ์ และเจ้าก็ได้
เงินไปแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก” ยูดาสจึงฉีกถุงเงินและขว้างเงินทั้งหมดเข้าไปในพระวิหารก่อนจะวิ่ง
ออกไปนอกเมือง

ดิฉันเห็นยูดาสวิ่งไปที่หุบเขาฮินโนมที่ชาวยิวเคยใช้เด็กบูชายัญเทวรูป เมื่อไปถึงลำห้วยขิดโรน
เขาได้ยินเสียงดังก้องในหูว่า “ยูดาส เธอใช้การจุมพิตเพื่อทรยศบุตรแห่งมนุษย์หรือ?”(ลก 22:48)
ขณะเดียวกันปีศาจก็กระซิบขึ้นว่า “นี่คือจุดที่กษัตริย์ดาวิดเสด็จข้ามขณะที่หนีจากอับซาโลม
(โอรสผู้เป็นกบฎ) และอับซาโลมก็จบชีวิตด้วยการแขวนคอตัวเอง ...” ความคิดที่น่ากลัวเหล่านี้
ผุดขึ้นในสมองทำให้เขาวิ่งไปยังที่ทิ้งขยะที่เวิ้งว้าง ซาตานยังคงกระซิบซ้ำ ๆว่า
“ ปิดบัญชีความน่าสมเพชของเจ้าได้แล้ว ชีวิตที่ไร้ค่า!” ยูดาสจึงฉีกผ้าคาดเอวอย่างสิ้นหวัง
และแขวนคอตัวเองกับต้นไม้ที่นั่น
_______
จบตอนที่(13)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 14, 2022 3:40 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน”
ตอนที่(14)จากนิมิตขอ​งบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

---------(>) พระเยซูเจ้าทรงถูกนำไปพิจารณาคดีต่อหน้าปิลาต

มหาสมณะคายาฟาส อันนาส และสมาชิกสภาสูงแต่งชุดวันฉลองเดินนำขบวน ตามด้วยคัมภีราจารย์,
กลุ่มพยานเท็จกับชาวฟาริสี ต่อมาก็เป็นพระเยซูที่มีพลธนูนำหน้า ท้ายขบวนเป็นฝูงชนที่ส่งเสียงสาป
แช่งดังไปทั่ว ขบวนเคลื่อนไปยังจวนผู้ว่าฯ มีการรวบรวมเดนสังคมกลุ่มใหญ่ต้อนรับล้อเลียนการ
เสด็จเข้าเมืองอย่างวีรบุรุษของพระองค์ในวันอาทิตย์ใบลานที่เพิ่งผ่านไป

พระมารดาออกจากบ้านมหาสมณะหลังเที่ยงคืนและไปพักอยู่ในห้องอาหารมื้อสุดท้าย เมื่อทราบว่า
มีการนำพระเยซูไปยังจวนผู้ว่า ฯ พระนางก็กล่าวกับมารีย์ มักดาลาและยอห์นว่า
“ตามลูกของแม่ไปที่จวนปิลาตกันเถอะ” ทั้งกลุ่มจึงไปดักรอจนเริ่มเห็นขบวนที่นำโดยคณะสงฆ์สวม
ชุดยาวมีปลายเป็นระย้า แต่แทนที่จะดูแล้วงามสง่ากลับเห็นเป็นภาพคณะสงฆ์ของซาตานในชุดสีสัน
ฉูดฉาดน่าเกลียด ...ที่สุดก็เห็นพระเยซูทรงถูกล่ามโซ่ ทรงฉลองพระองค์มีเพียงพระสนับเพลาที่ขาดวิ่น
และสกปรกจนดูไม่ได้

เมื่อขบวนเคลื่อนเข้ามาใกล้จนพระเยซูทรงอยู่ในแนวเดียวกับพระมารดา พระองค์ทอดพระเนตร
ไปที่พระมารดาด้วยสายพระเนตรแห่งความรักและความสงสารเป็นที่สุด

ชาวโอเฟลที่พระเยซูเคยทรงกระทำสิ่งดีให้มากมายพากันมาชุมนุมด้วย พวกเขาเลิกเชื่อแล้วว่า
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ และพระบุตรของพระเจ้า ชาวฟาริสีหันมาพูดจาล้อเล่นกับพวกเขาว่า
“เข้ามาถวายความเคารพกษัตริย์ของพวกท่านสิ... อัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงเคยแสดงอวด
พวกท่านไม่มีแล้วหรือ รู้ไหมว่าหัวหน้ามหาสมณะของเราปิดบัญชีกลลวงและเวทย์มนต์
ของพระองค์ไปแล้ว”

แม้ว่าชาวเมืองที่ยากจนเหล่านี้เคยเห็นพระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์และทรงรักษาโรคให้หาย
ด้วยตาตนเอง แต่ความเชื่อของพวกเขาเริ่มสั่นคลอนเมื่อได้ฟังคำพูดของหัวหน้ามหาสมณะ
และสมาชิกสภาสูงที่ได้รับ ความเคารพมากที่สุดในกรุงเยรูซาเล็ม
_______
จบตอนที่ 14

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 15, 2022 12:12 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(15)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินีก เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)(+)พระเยซูเจ้าต่อหน้าปิลาต

ขบวนไปถึงจวนของปิลาตประมาณ 8 โมงเช้า ปิลาตนั่งอยู่ที่นอกชาน ศาลกลางเมืองอยู่ต่ำลงไป
ชาวยิวและบรรดาพระสงฆ์อยู่ด้านนอกจวนฯ เมื่อปิลาตแลเห็นขบวนก็รู้สึกอับอายที่ชาวยิว
โหดร้ายต่อนักโทษ จึงลุกขึ้นกล่าวดูหมิ่นว่า “ทำไมจึงต้องโหดร้ายเช่นนี้กับนักโทษ? จะต้องฉีก
เขาเป็นชิ้น ๆ เชียวหรือทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินลงโทษเลย?” พวกเขาตอบว่า
“โปรดรับฟังข้อกล่าวหาของเราก่อน เราเข้าไปในบริเวณศาลไม่ได้เพราะจะมีมลทิน”

ทหารฉุดลากพระองค์ขึ้นบันไดไปที่นอกชานใกล้ที่ปิลาตนั่งอยู่ ปิลาตถามบรรดาพระสงฆ์ว่า
“ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้?”(ยน 18:29) พวกเขาตอบว่า
“ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เราคงไม่นำมามอบให้ท่าน”(ยน 18:30) ปิลาตพูดกับเขาว่า ‘จงนำเขา
ไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด” (ยน 18:31) ชาวยิวตอบว่า
“ท่านก็ทราบดีว่า พวกเราไม่มีอำนาจประหารชีวิตผู้ใดได้”(ยน 18:31) พวกเขาโกรธจัด
เพราะต้องการให้มีการตัดสินประหารชีวิตโดยเร็ว เพื่อจะได้ทำพิธีถวายลูกแกะ
เป็นเครื่องบูชาทันวันฉลองปัสกาโดยไม่ตระหนักเลยว่า พวกเขากำลังขอให้ผู้พิพากษา
ที่นับถือเทวรูปในบริเวณที่เป็นมลทินเป็นผู้พิพากษา“ลูกแกะปัสกาที่แท้จริง”
ส่วนลูกแกะตัวอื่นเป็นเพียง “เงาของลูกแกะที่แท้จริง” เท่านั้น

ข้อกล่าวหามี 3 ข้อ แต่ละข้อมีพยาน 10 คน ข้อหาแรกคือพระเยซูทรงยุยงผู้คนก่อกบฏ
เพราะละเมิดวันสับบาโตด้วยการรักษาผู้ป่วยในวันนั้น สำหรับข้อหานี้ ปิลาตพูดตัด
บทว่า “ถ้าตัวท่านเองเป็นผู้ป่วย ท่านก็คงจะไม่ตำหนิเมื่อได้รับการรักษาให้หายใน
วันสับบาโตหรอกนะ” จากนั้นชาวยิวก็กล่าวหาว่า “เขายุยงผู้คน สอนหลักธรรมที่
น่ารังเกียจที่สุด คือบอกด้วยว่าไม่มีผู้ไดจะได้รับชีวิตนิรันดรหากไม่ได้กินเนื้อและดื่มเลือด
ของเขา” ปิลาตมองดูพวกเขาและประชดว่า
“พวกท่านนั่นแหละกำลังปฏิบัติตามหลักธรรมของเขา ดูสิ พวกท่านกำลังกระหาย
ทั้งร่างกายและเลือดของเขาอยู่มิใช่หรือ”

ข้อหาที่สอง พระองค์ทรงห้ามประชาชนเสียภาษีให้จักรพรรดิ ข้อกล่าวหานี้ถือเป็น
การดูหมิ่นปิลาต เพราะปิลาตมีหน้าที่ตรวจการชำระภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน ปิลาตจึง
ตอบด้วยความโกรธว่า “ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้ดีกว่าพวกท่าน”
เมื่อข้อหานี้ตกไป ศัตรูของพระเยซูจึงข้ามไปข้อหาสุดท้ายว่า “เขามีผู้ติดตามจำนวนมาก
สองวันก่อนเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เขาออกคำสั่งให้ผู้คนโห่ร้องต้อนรับเขาว่า ‘โฮซานนา
แด่บุตรของกษัตริย์ดาวิด... และบอกพวกเขาว่า ตนเป็นพระคริสต์ พระเมสสิยาห์
กษัตริย์ของชาวยิวตามพระสัญญา” มีพยาน 10 คนยืนยันข้อกล่าวหานี้

ปิลาตครุ่นคิดเล็กน้อยสำหรับข้อกล่าวหานี้ ปิลาตเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันสั่งให้ทหาร
นำพระองค์เข้ามาตามลำพัง ทั้งนี้เพราะปิลาตเป็นคนเชื่อโชคลางและยังจำได้ถึงเรื่องที่มี
กษัตริย์จากตะวันออกมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรดองค์ก่อนเพื่อจะไปถวายพระพรแด่กษัตริย์
ของชาวยิวที่เพิ่งประสูติ และต่อมาก็เกิดเรื่องการสังหารทารกผู้บริสุทธิ์ ปิลาตไม่เข้าใจ
เรื่องเหล่านี้จึงคิดว่าน่าจะมีการสอบถามเป็นการส่วนตัวจะเหมาะกว่า
ปิลาตเริ่มคำถามแรกว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”(ยน18:33)... ปิลาตทึ่งในทุก
คำตอบที่พระองค์ทรงตอบด้วยความสุขุมเยือกเย็นและน่าเกรงขาม จนถึงคำถามที่ว่า
“ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหม?”(ยน18:37) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า“ท่านพูดว่าเรา
เป็นกษัตริย์นั้นถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึง
ความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา”(ยน18:37) ... ทั้งสองสนทนากันอีกเล็กน้อย
แล้วปิลาตก็กลับออกมาพูดกับชาวยิว คำตอบและพฤติกรรมของพระเยซูอยู่เหนือความ
เข้าใจของปิลาต บัดนี้ปิลาตเข้าใจแล้วว่า การเป็นกษัตริย์ของพระองค์ไม่เกี่ยวกับการเป็น
จักรพรรดิเลย เพราะพระองค์ไม่ประสงค์จะเป็นเจ้าของอาณาจักรในโลกนี้ ปิลาตจึงพูด
กับหัวหน้าสมณะจากนอกชานว่า “ข้าพเจ้าไม่พบข้อกล่าวหาอะไรปรักปรำชายผู้นี้ได้”
(ยน18:38) -- พวกชาวยิวโกรธแค้นมากขึ้นร้องตะโกนว่า
“ท่านไม่พบว่าเขาทำผิดหรือในการยุยงประชาชนก่อกบฎทั่วราชอาณาจักร? –
ไม่ใช่เฉพาะแต่ที่นี่ แต่ที่กาลิลีด้วย?”

เมื่อปิลาตทราบว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ปิลาตจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็พาเขาไป
ให้กษัตริย์เฮโรดสิ ตอนนี้พระองค์เสด็จมาฉลองปัสกาที่นี่พอดี เพราะการตัดสินความ
ชาวกาลิลีอยู่ในอำนาจของกษัตริย์เฮโรด”

ทหารจึงนำพระเยซูออกไปทันที ขณะเดียวกันปิลาตก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งข่าวการส่งพระเยซูไป
ให้ตัดสินความ ปิลาตทำเช่นนี้เพราะเขาดีใจที่ไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเนื่องจากเขารู้สึก
ไม่สบายใจกับเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสทำให้กษัตริย์เฮโรดพอพระทัยเนื่องจาก
ทั้งสองเคยมีข้อบาดหมางกัน และทราบดีว่ากษัตริย์เฮโรดทรงปรารถนาจะพบพระเยซูด้วย
ความอยากรู้อยากเห็น
_______
จบตอนที่(15)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 16, 2022 6:21 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(16)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)(*)กำเนิดของมรรคาศักดิ์สิทธิ์ และปิลาตกับภรรยา

ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงถูกนำไปต่อหน้ากษัตริย์เฮโรด ยอห์นก็พาพระมารดาและมารีย์ มักดาลา
ไปตามทางที่พระองค์ทรงผ่านหลังจากอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ทั้งสามเดินผ่านบ้านของมหาสมณะ
คายาฟาส, อันนาส, เขตโอเฟล, สวนเกทเสมนี และสวนมะกอก พวกเขาหยุดและคิดรำพึง
ณ บริเวณที่พระองค์ทรงหกล้มและจุดที่ทรงถูกทรมานมากเป็นพิเศษ พระมารดาคุกเข่าก้มลง
จูบพื้นตรงที่บุตรของพระนางหกล้ม นี่คือกำเนิดของ“มรรคาศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งถือกำเนิดตั้งแต่ก่อน
การสิ้นสุดของพระมหาทรมานเสียอีก พระมารดาจึงเป็นผู้วางรากฐานความศรัทธาต่อมรรคา
ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ในการเดินรูปแต่ละสถานนั้น พระมารดาได้สะสมผลบุญที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
แห่งพระมหาทรมาน ไว้ที่นั่น เป็นเสมือนดอกไม้หอมเพื่อทูลถวายแด่พระบิดา​ มารีย์ มักดาลา
โศกเศร้าจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
ความรักที่ศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตของเธอต่อพระเยซู เธอสำนึกผิดถึงความผิดในอดีต และสำนึกใน
พระคุณใหญ่หลวงแห่งการอภัยบาปของพระองค์ เธอปรารถนาจะแสดงความรักและสำนึกพระคุณ
ด้วยการหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ และตระหนักถึงสภาพที่พระเยซูทรงถูกทรยศ ทรง
แบกรับความทุกข์ทรมาน และกำลังจะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษความผิดของตัวเธอเองด้วย
การเห็นผู้คนอกตัญญู|ต่อพระองค์ จึงทวีความเจ็บปวดในใจของเธอมากขึ้นเป็นสิบเท่า

ขณะที่ชาวยิวนำพระเยซูไปที่วังของกษัตริย์เฮโรด ดิฉันเห็นปิลาตเดินไปหา ‘คลอเดีย’ ภรรยา
ของท่าน|ซึ่งกำลังเดินตรงมาหาเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองเดินไปที่มุมหนึ่งด้านหลังวัง คลอเดียมี
ท่าทีประหวั่นพรั่นพรึง\\เธอเป็นคนสูงหน้าตาดี มีผ้าคลุมศีรษะและปล่อยสยายไปบนบ่าอย่าง
สง่างาม เธอขอร้องปิลาตไม่ให้ทำร้ายพระเยซูในทุกกรณี เธอเล่าความฝันของเธอในคืนก่อน
เกี่ยวกับพระองค์
ขณะที่หลับอยู่ เธอฝันเห็นพระรัศมีสว่างอยู่รอบพระพักตร์ เห็นศัตรูของพระองค์อยู่ใต้พลังอำนาจมืด
ที่น่ากลัว เธอเห็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสและความรักนิรันดร์ของพระองค์ อีกทั้งยังเห็นความ
ปวดร้าวดวงหทัยของพระมารดา นิมิตมีลักษณะเป็นเครื่องหมายให้เธอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตลอดคืนเธอไม่สบายใจ และตอนรุ่งสางเธอยิ่งว้าวุ่นใจเมื่อได้ยินเสียงโกลาหลของผู้คนฉุดลาก
พระเยซู มาให้สามีของเธอตัดสินความ เธอมองไปที่ขบวนและเห็น“ผู้รับบาป”สงบนิ่งทั้งที่ถูก
ทารุณกรรมผิดมนุษย์ ภาพที่เห็นทำให้เธอหดหู่ใจมาก ดังนั้นเธอจึงรีบเล่าสิ่งที่เธอเห็นในฝัน
ให้สามีฟัง
ปิลาตเปรียบเทียบสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากภรรยา กับสิ่งที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับพระเยซู ความเกลียดชัง
ของชาวยิว อากัปกิริยาที่สำรวมอย่างน่าเกรงขามและคำตอบที่ท่านไม่เข้าใจ ปิลาตลังเลใจอยู่
ครู่หนึ่งแต่ที่สุดก็ตกลงตามที่ภรรยาขอและบอกเธอว่า ท่านได้ตัดสินไปแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้
บริสุทธิ์ เพราะข้อกล่าวหาไม่มีมูล จากนั้นก็มอบแหวนวงหนึ่งแก่ภรรยาประกันการรักษาสัญญา
ของท่าน |ปิลาตเป็นคนเชื่อเรื่องเวทมนต์มาก ระหว่างการไต่สวน ดิฉันเห็นท่านวิ่งไปจุดธูปขอ
ความช่วยเหลือจากเทพหลายองค์ ทีแรกท่านคิดจะปล่อยเพระองค์ แต่แล้วก็กลัวว่าเทพของท่าน
อาจไม่พอใจ จึงพูดกับตัวเองว่า “เป็นไปได้หรือที่บุรุษผู้นี้จะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว พญาสามองค์
ก็ได้เดินทางมานมัสการพระองค์ เป็นไปได้ไหมที่พระองค์เป็นศัตรูต่อเทพ ถ้าเช่นนั้นคงเป็นการ
ไม่รอบคอบที่จะปล่อยพระองค์ไป ความตายของพระองค์อาจเป็นชัยชนะของเทพของเราก็ได้?
_______
จบตอนที่ (16)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 4:54 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(17)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

…พระเยซูเจ้าต่อหน้ากษัตริย์เฮโรด

เนื่องจากผู้ถือสารของปิลาตแจ้งข่าวล่วงหน้าแล้ว กษัตริย์เฮโรดจึงประทับนั่งรออยู่บนบัลลังก์
พร้อมกับข้าราชสำนักและทหาร กษัตริย์เฮโรดทรงปลื้มปีติที่ปิลาตยอมรับอำนาจการตัดสิน
ของพระองค์ กษัตริย์เฮโรดทรงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพระเยซูและทรงยินดีมากที่จะได้
ไต่สวนอวดภูมิปัญญาให้ทุกคนได้ประจักษ์ สารของปิลาตแจ้งด้วยว่า“ข้าพเจ้าไม่พบว่าชายผู้นี้
กระทำผิดใด ๆ”
กษัตริย์เฮโรดทรงตั้งคำถามนับพันและทรงพยายามให้พระเยซูทรงทำอัศจรรย์ต่อหน้า เช่น
“ เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ ๆ อำนาจก็หายไปจากท่าน? กษัตริย์แห่งบูรพาทิศมาเฝ้าบิดาของเรา
เพื่อนมัสการกษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติ ท่านคือทารกที่ประสูติคนนั้นใช่ไหม? ท่านหนีรอดไปหรือ
เมื่อมีเด็กจำนวนมากถูกสังหาร ... ตอบเรามาเดี๋ยวนี้!” --- พระเยซูทรงสงบนิ่งไม่ตรัสตอบแต่
ประการใด
ดิฉันได้รับการเผยแสดงว่า การที่พระองค์ไม่ตรัสตอบกษัตริย์เฮโรด เพราะขณะนั้นกษัตริย์เฮโรด
ทรงอยู่ในสถานะถูกบัพพาชนียกรรม (ตัดขาดจากศาสนา) เนื่องจากทรงทำผิดประเวณีโดยสมรส
ใหม่กับนางเฮโรเดียส และยังเป็นผู้สั่งตัดศีรษะยอห์นผู้ทำพิธีล้าง แม้จะกริ้วอยู่ แต่กษัตริย์เฮโรด
ก็ไม่ทรงลืมเป้าหมายทางการเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยไม่ลงโทษพระเยซู เหตุผลหนึ่งคือพระองค์
ทรงเกลียดชังคณะมหาพระสมณะที่ไม่อนุญาตให้พระองค์ถวายเครื่องบูชาเนื่องจากการประพฤติ
ผิดประเวณี แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือ พระองค์ทรงปรารถนาจะตอบแทนไมตรีของปิลาต
จึงทรงส่งพระเยซูกลับไปให้ปิลาตอีก
_______
จบตอนที่(17)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มี.ค. 18, 2022 4:57 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(18)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

……พระเยซูเจ้าทรงนำถูกกลับไปที่ปิลาต

ศัตรูของพระเยซูโกรธจัดที่จำต้องนำพระองค์กลับไปหาปิลาตอีก พวกเขาพาพระองค์ไปทางอ้อม
เพื่อซื้อเวลาให้กับคนที่ถูกส่งไปปลุกปั่นและจ้างประชาชนมาร่วมชุมนุมเรียกร้องการประหารชีวิต
พระเยซูมากขึ้น พระมารดา ยอห์นและกลุ่มสตรีใจศรัทธายืนอยู่ในห้องที่สามารถมองเห็นทุกสิ่ง
ที่เกิดขึ้น กษัตริย์เฮโรดทรงส่งผู้รับใช้คนหนึ่งไปแจ้งข่าวล่วงหน้าให้ปิลาตทราบแล้วว่า พระองค์
ทรงชื่นชมยินดีกับการตัดสินใจของปิลาต นับแต่นั้นมาทั้งสองก็กลับเป็นเพื่อนกันอีกครั้งหนึ่ง
พลธนูลากพระองค์ขึ้นบันไดหินอ่อนเช่นครั้งก่อน ปิลาตลุกขึ้นเดินไปทางผู้กล่าวหาพูดว่า
“เราไต่สวนเขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว แต่ไม่พบว่าเขามีความผิด...กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบ
ความผิดประการใดด้วย ... เพราะฉะนั้น เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยไป” (ลก 23:14-16)

ทุกปีในเทศกาลปัสกา มีประเพณีให้สิทธิประชาชนปล่อยนักโทษได้หนึ่งคน ชาวฟาริสีได้ส่งคน
ไปเสี้ยมสอนประชาชนไว้ก่อนแล้วให้ประหารชีวิตพระเยซู ส่วนปิลาตที่ไม่ทราบเรื่องนี้จึงคิดว่า
ประชาชนคงจะขอให้ปล่อยพระองค์ ดังนั้นปิลาตจึงให้ประชาชนเลือกระหว่างพระเยซูกับบารับบัส
ผู้ก่อการจลาจลในเมือง ฆ่าคนและเป็นผู้ที่ประชาชนเกลียดชัง
เมื่อปิลาตให้ประชาชนเลือกนักโทษที่จะได้รับการปล่อยตัว และมีคนตะโกนขึ้นว่า “บารับบัส”
ถึงตอนนี้คนรับใช้ของภรรยาปิลาตทำสัญญาณขอพบปิลาต ๆ จึงเดินออกจากนอกชานไปพบคน
รับใช้ที่บอกท่านว่า “คลอเดียขอให้ท่านระลึกถึงสิ่งที่ท่านสัญญากับเธอไว้เมื่อเช้านี้”
ปิลาตตอบยืนยันคำสัญญาที่ให้ไว้กับภรรยา และดังนั้นจึงถามประชาชนอีกครั้งหนึ่งว่า
“ในสองคนนี้ ท่านอยากให้ข้าพเจ้าปล่อยคนไหน?” (มธ 27:21) มีเสียงดังขึ้นทั่วไปว่า “บารับบัส!”
ปิลาตจึงถามว่า “ ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าทำอะไรกับเยซู...”(มธ 27:22). ทุกคนร้องตอบอย่าง
กึกก้องว่า “ให้เขาถูกตรึงกางเขน!”(มธ 27:22) ปิลาตจึงถามเป็นครั้งที่สามว่า “เขาทำผิดอะไร?
ข้าพเจ้าไม่พบว่าเขาทำผิดอะไร ข้าพเจ้าจะสั่งให้เฆี่ยนเขาและปล่อยตัวไป”แต่พวกเขาร้องตะโกน
ขึ้นว่า “เอาไปตรึงกางเขน! เอาไปตรึงกางเขน” (ยน 19:6) เสียงร้องตะโกนของพวกเขาดังก้อง
ราวกับพายุในขุมนรก ที่สุดปิลาตก็ยอมจำนน ไม่อาจต้านการจัดฉากความรุนแรงของศัตรูพระเยซูได้
จึงยอมปล่อยบารับบัสคืนให้ประชาชน และสั่งให้นำพระเยซูเจ้าไปเฆี่ยน
_______
จบตอนที่(18)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มี.ค. 19, 2022 10:42 am

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(19)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(%)พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยน

ปิลาตเป็นผู้พิพากษาที่ไม่เด็ดขาดแต่ยังคงตั้งใจที่จะไม่สั่งประหารชีวิตพระเยซูเจ้า จึงสั่งให้เฆี่ยน
พระองค์ตามวิธีการของชาวโรมัน ทหารนำพระองค์ไปมัดติดกับเสาหลักใกล้กับอาคารพักทหารยาม
หลังใหญ่ ไม่นานเพชฌฆาต 6 คนมาถึงพร้อมกับโยนแส้ ไม้พลอง และเชือกไว้ข้างเสาหลัก พวกเขา
เป็นชายผิวดำ ทุกคนมีแผ่นหนังพันที่หน้าอกและเป็นอาชญากรจากชายแดนอียิปต์ พวกเขาถูกลงโทษ
ให้ทำงานหนัก และคัดเลือกผู้ที่อำมหิตที่สุดมาเป็นเพชฌฆาตประจำจวนผู้ว่าราชการ

บ่อยครั้งพวกเขาเฆี่ยนอาชญากรจนตายคาเสาหลัก พวกเขากระชากจนพระองค์ทรงล้มลงไปกองที่
โคนเสาที่ตั้งอยู่กลางลาน ตอนบนมีห่วงโลหะขนาดใหญ่ ต่ำลงมาเล็กน้อยเป็นห่วงเล็ก 2 ห่วง
พร้อมกับขอเกี่ยว พระเยซูทรงหวาดกลัวจนพระวรกายสั่นไปทั่วร่าง ทรงเปลื้องผ้าออกอย่างเร็วทั้งที่
พระหัตถ์เต็มไปด้วยพระโลหิตและบวมเป่ง พระองค์ทรงโอบเสาหลักไว้ จากนั้นพลธนูก็ยกพระหัตถ์
ทั้งสองขึ้นผูกติดกับห่วงเหล็ก พระผู้บริสุทธิ์ทรงถูกขึงพืดอย่างโหดร้ายและเปลือยเปล่า ติดตรึงอยู่กับ
เสาหลักที่ใช้สำหรับลงโทษนักโทษอุกฉกรรจ์ที่สุด เพชฌฆาตผู้กระหายเลือด 2 คนเริ่มลงมือเฆี่ยนตี
อย่างสุดแรงตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า

ฝูงชนอยู่ห่างจากเสาหลักพอสมควร ทหารโรมันยืนอยู่โดยรอบ ประชาชนที่เดินไปมา บ้างก็พูดจา
สบประมาทพระเยซู แต่ก็บางคนแสดงความสงสาร ดิฉันเห็นลำแสงออกจากพระวรกายของพระองค์
พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของคนกลุ่มสุดท้ายนี้ บางคนกำลังไปหากิ่งไม้หนามขณะที่ผู้รับใช้หัวหน้าสมณะเดิน
ไปที่กลุ่มเพชฌฆาตมอบเงินและเติมเครื่องดื่มสีแดงสดจนเต็มเหยือกเพื่อกระตุ้นให้พวกเขามีแรงเฆี่ยนตี
ต่อไป เพชฌฆาตชุดละ 2 คนเฆี่ยนตีโดยไม่หยุดราว 15 นาทีก่อนจะเปลี่ยนให้เพชฌฆาตชุดใหม่จัดการต่อ
พระโลหิตสด ๆ หยดลงสู่พื้น แต่ก็ยังหาได้ดับความกระหายโลหิตของฝูงชนไม่ พวกเขายังคงส่งเสียงร้อง
อย่างบ้าคลั่งต่อไป

การเฆี่ยนตีดำเนินติดต่อกันราว 45​ นาที ระหว่างที่พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยนอยู่นั้น ดิฉันได้ยินพระองค์
ทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาให้พระองค์ประทานอภัยให้พวกเขา และเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งถวาย
เครื่องดื่มสีสดใส ซึ่งดูเหมือนจะช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้กับพระองค์ได้พอสมควร
ไม่นานต่อมา พลธนูเดินมาที่พระองค์ ใช้ไม้ฟาดไปที่พระวรกายพร้อมกับสั่งให้ลุกขึ้นเดินตามพวกเขาไป
พระองค์ทรงลุกขึ้นอย่างลำบากเป็นที่สุด พระบาททั้งสองยังสั่นอยู่ พวกเขาเหวี่ยงพระภูษาท่อนบนไป
ที่พระอังสาที่เปลือยเปล่า และฉุดลากพระองค์เข้าไปในอาคารพักทหารยามซึ่งมีคนอยู่เต็มได้แก่
พวกทาส พลธนู กรรมกรแบกอิฐ และพวกกากเดนสังคม

ปิลาตตกใจมากกับการโกลาหลของฝูงชน ท่านสั่งเสริมกำลังทหารโรมัน 1000 คนที่ป้อมอันโตเนีย
เพื่อข่มขู่ฝูงชน และให้กองทหารที่มีวินัยชุดหนึ่งยืนรอบอาคารพักทหารยาม
_______
จบตอนที่(19)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 21, 2022 11:10 pm

เรื่อง “พระมหาทรมาน” ตอนที่(20)
จากนิมิตของบุญราศี ภคินี เอ็มเมริช ระหว่างวันที่ 18 ก.พ. - 6 เม.ย.1823
และเมล กิบสัน นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2003, แปลและย่อเรื่องโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ภาพลักษณ์ของพระนางมารีย์ ระหว่างที่พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยน
ดิฉันเห็นพระนางมารีย์ตกอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาที่พระบุตรทรงถูกเฆี่ยน ตอนที่ พระเยซูทรงทรุดลง
ที่โคนเสาหลักหลังจากถูกเฆี่ยน ดิฉันเห็นคลอเดีย ภรรยาของปิลาตส่งผ้าลินินยาวหลายผืนไปให้
พระนางมารีย์ที่กลับคืนสติอีกครั้งหนึ่งและพบว่า บุตรของพระนางถูกเฆี่ยนตีจนไม่มีชิ้นดีทั่วร่าง
ขณะที่พลธนูฉุดลากพระองค์ไปจากเสาหลักนั้น พระมารดายื่นมือทั้งสองออกไปทางบุตรและ
มองตามรอยพระบาทที่เปื้อนพระโลหิต ไม่นานหลังจากนั้น ดิฉันเห็นพระมารดาและมารีย์ มักดาลา
เดินไปที่เสาหลักที่พระเยซูทรงถูกเฆี่ยน สตรีใจศรัทธาและผู้มีน้ำใจดีเข้ามาร่วมกลุ่มรวมประมาณ
20 คน พวกเธอช่วยกันบังร่างของทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ใกล้เสาหลักใช้ผ้าลินินที่คลอเดียส่งมาให้เช็ด
พระโลหิตที่เปื้อนเปรอะอยู่ที่โคนเสา ยอห์นไม่ได้อยู่ที่นั่น

พลธนูนำพระองค์เข้าไปในอาคารพักทหารยามเพื่อสวมมงกุฎหนามขณะที่พระมารดาและกลุ่มสตรี
ใจศรัทธาเช็ดพระโลหิตที่ติดอยู่ที่เสาและที่พื้นโดยรอบ ต่อมาประตูอาคารพักทหารยามเปิดออก
พวกเขากำลังตกแต่งมงกุฎหนาม อีกครั้งหนึ่งที่ดิฉันเห็นพระมารดา ใบหน้าซีดเผือด แต่ก็รักษา
อากัปกิริยาที่น่าเคารพและสงบเสงี่ยมได้อย่างเหลือเชื่อ เสื้อผ้าอยู่ในสภาพเรียบร้อย ผ้าคลุมหน้า
และไหล่ทั้งสองอย่างนุ่มนวล พระนางก้าวเดินอย่างสง่าเหนือคำบรรยาย เป็นการผสมผสานกัน
อย่างลงตัวของความสง่างาม ความศักดิ์สิทธิ์ ความเรียบง่าย และความบริสุทธิ์
_______
จบตอนที่(20)

------->โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอบกลับโพส