เรื่องสุขภาพ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 15, 2022 11:31 am

(. 1. )

โกโก้ กับ ช็อกโกแลต

เวลาไปยืนอ่านเมนูในร้านกาแฟ ก็มักจะมีเครื่องดื่ม
ที่เรียกว่า "โกโก้ร้อน" "โกโก้เย็น" "โกโก้ปั่น" แต่บางร้าน ก็เขียนว่า
"ช็อกโกแลตร้อน" "ช็อกโกแลตเย็น” "ช็อกโกแลตปั่น"...
แล้วตกลงมันต่างกันมั๊ย? อะไรเรียก "โกโก้" อะไรเรียก "ช็อกโกแลต"

ของทั้งสองอย่างนี้เป็นแฝดคนละฝา ทำมาจากของอย่างเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่
กรรมวิธี จริงๆแล้วทั้งโกโก้และช็อกโกแลตนั้น ทำมาจากเมล็ดของต้นกาเกา (cacao)
หรือบ้านเรา เรียกเอาง่ายว่าตันโกโก้ นั่นแหละ โดยนำเมล็ดในฝักมาแช่น้ำหมักไว้
จากนั้นนำไปร่อนเปลือก นำไปคั่ว และ บดเป็นผง

และตรงนี้ คือทางแยก ... ถ้านำผงที่ได้ไปใช้เลย
เราจะเรียกว่า "ผงช็อกโกแลต"
แต่ถ้านำไปผ่านกระบวนการสกัดเอาไขมันที่เรียกว่า "โกโก้บัตเตอร์" ออกจนหมด
ก็จะกลายเป็น "ผงโกโก้"

นั่นเป็นที่มาว่า โกโก้จะมีรสขมขื่นคอ บาดลิ้น และ
ช็อกโกแลตจะหอม มัน มีรสนุ่มละมุนกว่า เพราะยังมี
ไขมันโกโก้บัตเตอร์ปนอยู่

ด้วยเหตุนี้เองโกโก้นั้นจะเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพกว่าช็อกโกแลต ในฐานะที่
มีไขมันน้อยกว่า แม้จะไม่หอมมันเท่า

และนี่คือความแตกต่างของแฝดคนละฝา "โกโก้" และ "ช็อกโกแลต" นั่นเอง

ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์
ท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ของรพ.ศิริราช
ท่านบอกเคล็ดดีๆของ
• การรักษาสมองให้แจ่มใส
• ความจำยังคงดี แม้วัยจะสูงขึ้น
• ลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์

ด้วยการกินโกโก้ร้อน (ไม่ใช่ช็อกโกแลต)
ย้ำโกโก้ 100% แบบไม่ผสมน้ำตาลนะ
จิบตอนเช้าๆแทนกาแฟ
แต่ถ้าจะให้อร่อย อุ่นนมสดให้ร้อน
แล้วใส่ผงโกโก้คนให้เข้ากัน ลองกินดูซักเดือนนะ
ไม่เสียหายอะไร
คุณหมอบอกทดลองกินมา 6 เดือนละ จำอะไรๆได้ดีขึ้น

#วิธีชงโกโก้นมสดง่าย ๆ
1. เทนมสดกล่องลงในแก้ว 3/4 กล่อง
2. อุ่นใน microwave 50-60 วินาที นมจะเดือดแต่ยังไม่หกล้นแก้วถ้าใส่ 3/4 ของกล่อง
3. เอานมอุ่นออกมาผสมกับโกโก้ 3-4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน
4. เติมนมที่เหลือในกล่องลงผสมให้เข้ากัน
จะได้โกโก้นมสดอุ่น พอดื่มได้พอดี
ใช้นมไวตามิลค์เจ แทนนมสดก็ดี สำหรับมังสวิรัติที่เคร่งครัด

ท่านให้คำแนะนำที่น่าสนใจลองอ่านและพิจารณาดูนะคะ

#สรุปสาระสำคัญมาได้ว่า
1. หากจมูกใครเริ่มไม่ได้กลิ่น แม้ไม่เป็นหวัด
ให้รีบไปตรวจ เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป พึงทราบว่า
อัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว

2. เซลล์สมอง พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ
หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ การเลี้ยงดูเด็กทารก
จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก

3. ในอีกไม่กี่ปี อัลไซเมอร์จะเป็นโรค ที่คนแก่เป็นมากที่สุด จะแซงหน้ามะเร็ง
อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม

4. อัลไซเมอร์ นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว
ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ และอารมณ์
ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์
หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ

5. การอดนอนมีผลต่อความจำ สว.ควรนอนให้เพียงพอ
ถ้านอนน้อย โอกาสอัลไซเมอร์มาอยู่ด้วยมีสูง
ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น.
คือ ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง

6. อาหารของสมองมี 2 ชนิด คือ กลูโคส และออกซิเจน
- กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม.
- ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน
- ผู้สูงอายุปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120
- ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ
- สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ ในทุกครั้งที่นึกได้ จะช่วยเติมออกซิเจน
และไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก สมองจะสดชื่น แจ่มใส
อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง

7. ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา คนที่เป็นอัลไซเมอร์
มีเพียงวิธีป้องกัน ที่ช่วยลดความเสี่ยง ที่จะเป็นอัลไซเมอร์
7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องรักษาเบาหวาน ลดความดันโลหิต
และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ
7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ ด้วยวิธีใดก็ได้ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
และมีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ
เพื่อให้สมองได้ทำงาน
(แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน ที่ไม่เคยทำ และไม่ถนัดนะ จะหมดตัวซะก่อน)

8. โกโก้ (ไม่ใช่ช็อกโกแลต) เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์
• มีสารต้านอนุมูลอิสระ
• สารลดอัตราการตายของเซลล์
• สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ

....มีงานศึกษาวิจัยประโยชน์ของโกโก้หลายผลงานวิจัย พบว่า การดื่มโกโก้
ในปริมาณมากพอ จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น
(โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) ....

คุณหมอแนะนำ ให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า
- โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ ควรเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น
"Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away "
- โกโก้ รสชาติไม่อร่อย แต่มีคุณค่ามหาศาล
สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง
ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้
(จากผลวิจัยในต่างประเทศ…ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…
จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก)

:s007: :s007:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 16, 2022 10:01 pm

(. 2. )

■พิษจากดื่มน้ำเย็น■
~~~~~~~~~~~~~
★จะปวดหลัง ข้อเข่า ไตอ่อนแอ
•••••••○••••••○••••••
◆ใครจะไปเชื่อว่า..
การดื่มน้ำเย็นจะมีพิษ
มีภัย และให้โทษได้ถึงขนาดนี้
((((▶
♣หมอได้พบผู้ป่วย
ที่มีอาการแขนขาอ่อน
แรง หรือที่เรียกกันว่า โรคอัมพฤกษ์ ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจาก
พฤติกรรมการดื่มน้ำเย็น หรือ น้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า ไม่กินผัก
มาตั้งแต่เล็กๆ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำ
เย็นเป็นประจำมาตั้งแต่
เด็ก และต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้น

■ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง
เช่น มึนเวียนศีรษะง่าย เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา การพูดเริ่มติดๆขัดๆ
สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน ต้องนำส่งโรงพยาบาล เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถ
ขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี
ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา

★การดื่มน้ำเย็น สำหรับคนไทยนั้น ทำให้ "ไต ต้องรับกำจัดความเย็น
ออกจากร่างกาย
อย่างรวดเร็ว" ขับน้ำเย็นมากักเก็บ
ไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เตรียมขับออกเป็น
น้ำปัสสาวะทำให้ผู้ที่
ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่ง
ขาดน้ำจนเลือดข้น
หนืดไปหมด ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น ทำให้มีคราบไขมัน
และของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือด
จนเกิดการพอกพูน
กลายเป็นโรคหลอด
เลือดตีบ
ก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบ
ทานเป็นประจำนั่นเอง

★ไตของเราเปรียบ
เสมือนเครื่องกรองน้ำ
อันน่าอัศจรรย์ ทำหน้าที่ช่วยกรอง
ของเสียออกจากเลือด แล้วขับออกทาง
ปัสสาวะการทำหน้าที่
ตลอด 24 ชม. ไม่มีวันหยุดของไตนั้น ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่
เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้ง

★น้ำเย็นด้วยก็จะทำให้
เกิดภาวะไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้อง
ให้เราทราบดังนี้

★1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้อง
วิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
กลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว

★2.มีอาการปวดหลัง ปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ

★3.ปวดเมื่อยตามข้อ และ ร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ

★4.หลอดเลือดตีบตัน หรือ หลอดเลือดแข็งได้ง่าย

★หากใครยังทาน.......
●น้ำเย็น นมเย็น ●กาแฟเย็น น้ำอัดลม ●น้ำหวานเย็น ชาเย็น อยู่เป็นประจำ
●มีอาการปวดหลังแน่ๆ ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้

■1.ปรับเลือดที่หนืดข้น
ให้หายข้นด้วยการเพิ่ม
น้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน

■2.ทำให้เลือดไหล
เวียนสะดวกอย่าง
ต่อเนื่องด้วยการ.....
■ออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้ หรือ อาจใช้การจัดกระดูก
ช่วยให้เลือดไหลเวียน สม่ำเสมอ

■3.ไม่กินอาหาร.....
◆เนื้อสัตว์ ของทอด ◆ของหวานจัดเพราะ ◆ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
ปริมาณมากจนทำให้ หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย

■4.งดการทานน้ำเย็น
เด็ดขาดรู้แล้วอย่า
เฉยเมยนะควรปฎิบัติ
ด้วยและรู้แล้วอย่า
เก็บไว้คนเดียวโปรด
แบ่งปันให้คนรอบข้าง
ของตัวเรา
(((((((▪
★พันเอก ดร.นพ.ดำรง หมอประจำพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(((((((▪ (💐
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 28, 2022 10:54 pm

( 3 )


ช่วยแบ่งปันโพสต์นี้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

" การกินผลไม้ในตอนท้องว่าง "

สิ่งนี้จะเปิดดวงตาของคุณ! อ่านให้จบ และส่งมันให้กับรายชื่อ e-list ของคุณทั้งหมด
ฉันเพียงทำมัน !

ดร. สตีเฟ่น หมาก ทำการรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายโดยวิธีการ “Un-Orthodox”
และผู้ป่วยจำนวนมากฟื้นตัว

ก่อนที่เขาได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อกำจัดการเจ็บป่วยของผู้ป่วยของเขา เขาเชื่อ
ในการรักษาโดยทางธรรมชาติในร่างกายต่อความเจ็บป่วย ช่วยดูบทความของเขาด้านล่าง

มันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการรักษาโรคมะเร็ง

เมื่อเร็วๆนี้ อัตราความสำเร็จของฉันในการรักษาโรคมะเร็งคือประมาณ 80%

ผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่ควรตาย การรักษาโรคมะเร็งถูกค้นพบแล้ว – มันอยู่ใน
วิธีที่เรากินผลไม้

ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่

ฉันขอโทษสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายร้อยคน ที่ตายภายใต้การรักษาธรรมดาทั่วไป

" การกินผลไม้ "

เราทุกคนคิดว่าการกินผลไม้ หมายถึงเพียงแค่ การซื้อผลไม้ ตัดมัน และก็ใส่มันเข้าไปใน
ปากของเรา มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด มันสำคัญที่จะทราบวิธีการและ * เมื่อไหร่ *
ที่จะกินผลไม้

วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้อย่างไร?

มันหมายถึง " ไม่กินผลไม้ " หลังมื้ออาหารของคุณ !

ผลไม้ควรกินในตอนท้องว่าง

ถ้าคุณกินผลไม้ในตอนท้องว่าง มันจะมีบทบาทสำคัญ ในการล้างพิษในระบบของคุณ,
ให้การจัดการที่ดีของพลังงาน เพื่อลดน้ำหนัก และกิจกรรมในชีวิตอื่น ๆ แก่คุณ

" ผลไม้เป็นอาหารที่สำคัญที่สุด "

สมมติว่า .. คุณกินสองชิ้นของขนมปัง แล้วชิ้นหนึ่งของผลไม้

ชิ้นของผลไม้ > พร้อมที่จะผ่านตรงไปสู่กระเพาะลงไปในลำไส้ > แต่มันถูกขัดขวางจาก
การทำเช่นนั้น เนื่องจากขนมปังถูกกินก่อนผลไม้

ในระหว่างนั้น อาหารทั้งมื้อของขนมปังและผลไม้นั้น จะเน่าเปื่อย และบูด และเปลี่ยนเป็นกรด

ในนาทีที่ผลไม้เข้ามาสัมผัสกับอาหาร ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อย, มวลอาหารทั้งหมดเริ่ม
ที่จะเปื่อยเน่า

ดังนั้นโปรดกินผลไม้ของคุณในตอน * ท้องว่าง * หรือก่อนมื้ออาหารของคุณ!

คุณเคยได้ยินคนบ่น : ทุกครั้งที่ ฉันกินแตงโม-ฉันเรอ เมื่อฉันกินทุเรียน-ท้องของฉันพองขึ้น
เมื่อฉันกินกล้วย-ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งเข้าห้องน้ำ ฯลฯ .. ฯลฯ ..

จริง .. ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง

ผลไม้ผสมกับการเน่าเปื่อยของอาหารอื่น ๆ และผลิตก๊าซ และด้วยเหตุนี้ ตัวคุณจะขยาย!

ผมสีเทา, หัวล้าน, การระเบิดทางประสาท และรอยคล้ำใต้ดวงตา ทั้งหมดเหล่านี้จะ
* ไม่เกิดขึ้น * ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง

ไม่มีสิ่งเช่นนั้นหรอก ที่ผลไม้บางอย่าง เช่นส้มและมะนาวเป็นกรด เพราะผลไม้ทั้งหมด >
กลายเป็นด่างในร่างกายของเรา ตามที่ ดร.เฮอร์เบิร์ด เชลตัน ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้าคุณได้เข้าใจถ่องแท้ วิธีที่ถูกต้องของการกินผลไม้ คุณมี * ความลับ * ของความงาม
อายุยืน สุขภาพ พลังงาน ความสุข และน้ำหนักที่ปกติ

เมื่อคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้ - ดื่มเพียงแค่ * น้ำผลไม้สดเท่านั้น * ไม่ใช่จากกระป๋อง แพ็ค
หรือฃวด

อย่าแม้แต่ .. จะดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการทำให้ร้อนขึ้น

อย่ากินผลไม้ปรุงสุก เพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารทั้งหมด

คุณจะได้รับรสชาติของมัน

การปรุงสุก ทำลายวิตามินทั้งหมด

แต่กินผลไม้ทั้งผล จะดีกว่า การดื่มน้ำผลไม้

หากคุณควรดื่มน้ำผลไม้สด ดื่มมันคำหนึ่ง โดยคำหนึ่งช้าๆ เพราะคุณต้องปล่อยให้มัน
> ผสมกับน้ำลายของคุณ ก่อนที่จะกลืนกินมันลงไป

คุณสามารถดำเนินต่อไป ในการกินมังสวิรัติผลไม้ 3 วัน เพื่อทำความสะอาด
หรือล้างพิษในร่างกายของคุณ

เพียงแต่ กินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้สด ตลอดทั้ง 3 วัน

แล้วคุณจะต้องแปลกใจ เมื่อเพื่อนของคุณ บอกคุณว่า คุณดูเปล่งประกายอย่างไร!

กีวี : เล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่

นี้เป็นแหล่งที่ดีของ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, วิตามินอี และไฟเบอร์

ปริมาณวิตามินซีของมันคือ สองเท่าของส้ม

แอปเปิ้ล : แอปเปิ้ล 1 ผล ต่อวัน ช่วยให้ห่างไกลจากแพทย์?

แม้ว่าแอปเปิ้ลมีปริมาณวิตามินซีต่ำ แต่ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ flavonoids
ซึ่งจะช่วยเพิ่มการทำงานของวิตามินซี จึงช่วยในการลดความเสี่ยงของ มะเร็งลำไส้ใหญ่
หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง

สตรอเบอร์รี่ : ผลไม้ป้องกัน

สตรอเบอร์รี่มีความสามารถ ในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในบรรดาผลไม้ที่สำคัญ
และป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็ง หลอดเลือดอุดตัน และอนุมูลอิสระ

ส้ม : ยาที่หวานที่สุด

กินส้ม 2-4 ผลต่อวัน อาจช่วยขจัดโรคหวัดออกไป, ลดคอเลสเตอรอล, ป้องกัน
และละลายนิ่วในไต, และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

แตงโม : ดับกระหายที่ยอดที่สุด ประกอบด้วยน้ำ 92% มันถูกบรรจุด้วยปริมาณ
" กลูตาไธออน " จำนวนมากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา

พวกเขายังเป็นแหล่งสำคัญของ " ไลโคปีน " อนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับโรคมะเร็ง

สารอาหารอื่นๆ ที่พบในแตงโม คือ วิตามินซี และโพแทสเซียม

ฝรั่ง และมะละกอ : รางวัลสูงสุดสำหรับวิตามินซี พวกเขาเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน
สำหรับปริมาณวิตามินซีสูงของพวกเขา

ฝรั่ง-ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก

มะละกอ-อุดมไปด้วยแคโรทีนๆนี้ เป็นสิ่งที่ดี สำหรับดวงตาของคุณ

##################

การดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็นหลังอาหาร = มะเร็ง

คุณสามารถเชื่อสิ่งนี้หรือไม่?

สำหรับผู้ที่ชอบดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น, บทความนี้เหมาะสมกับคุณ

อย่างไรก็ตาม น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น จะทำให้ของมันๆที่คุณเพิ่งจะได้กินเข้าไป-แข็งตัว
จะทำให้การย่อยอาหารช้าลง

ครั้งหนึ่ง “ ตะกอนนี้ ” จะทำปฏิกิริยากับกรด จะแยกตัว และถูกดูดซึมโดยลำไส้
เร็วกว่าอาหารที่เป็นของแข็งจะเรียงตัวที่ลำไส้

ในไม่ช้า จะกลายเป็นไขมัน และนำไปสู่โรค​​มะเร็ง!

มันดีที่สุด ที่จะดื่ม น้ำซุปร้อนหรือน้ำอุ่น หลังอาหาร

หมายเหตุที่สำคัญ เกี่ยวกับหัวใจวาย

กระบวนการหัวใจวาย : ( สิ่งนี้ไม่ตลก! )

ผู้หญิงควรจะทราบว่า > ไม่ใช่ทุกอาการหัวใจวาย จะเป็นการเจ็บปวดที่แขนซ้าย
โปรดระวังความเจ็บปวดที่รุนแรง ในแนวกราม ขากรรไกร

คุณอาจจะไม่เคยเจ็บหน้าอก เป็นอันดับแรก ระหว่างในช่วงของหัวใจวาย

อาการคลื่นไส้ และเหงื่อออกมาก คือ อาการทั่วไปด้วย

หกสิบเปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีอาการ " หัวใจวายขณะที่พวกเขานอนหลับ " จะไม่ตื่นขึ้นมา

อาการปวดกราม สามารถให้คุณตื่นขึ้นมา จากการหลับสนิท

โปรดระมัดระวังและเฝ้าระวัง ยิ่งเรารู้ เรายิ่งมีโอกาสที่ดีกว่า ที่เราสามารถอยู่รอดได้

แพทย์โรคหัวใจพูดว่า : ถ้าทุกคนที่ได้รับอีเมล์นี้ โปรดส่งมันให้กับ 10 คน
คุณสามารถแน่ใจได้ว่า เราจะรักษาอย่างน้อยที่สุด หนึ่งชีวิตไว้

ดังนั้นช่วยทำ อย่างน้อยที่สุด 1 งานที่ดี ในวันนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:50 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 30, 2022 10:19 pm

( 4 )

การดื่มน้ำ​ ใน​เวลา​ ที่ร่างกาย​ ต้องการน้ำ

1.​ ร่างกาย​ เป็น​ ท่อน/แท่ง​ กลวงข้างใน​ ได้แก่
ระบบทางเดินอาหาร​ จากปากถึงทวารหนัก

2.​ มีเลือด​ เป็น​ สายน้ำ​ ที่หล่อเลี้ยงร่างกาย​ ประมาณ​ 5​ -​ 6​ ลิตร

3.​ ตัวชี้วัด​ ว่า​ ร่างกาย​ ขาดน้ำ​ ได้แก่​ ความรู้สึก
ปาก​ และ​ คอแห้ง ให้ดื่ม​ จนรู้สึกว่า ปาก/คอ​ ชุ่ม

4.​ เวลา​ ที่ร่างกาย​ สูญเสียน้ำ​ จะต้องรีบเติม
4.1 หลังตื่นนอน
เราใช้เวลา​ ในการนอน​ 6 -​ 8​ ชม.
ขณะที่หลับ​ เราหายใจ​ เข้า/ออก​ จะมีความชื้น​ ออกมาพร้อมลมหายใจ​
ทำให้ร่างกายขาดน้ำ​ จนรู้สึก​ ปาก/คอ​ แห้ง
ให้ดื่มน้ำ​ โดยบ้วนปากก่อน​ เพื่อล้างแบคมีเรีย ออกก่อน
4.2 กลางคืน
ตื่นมาปัสสาวะ​ ต้องดื่มน้ำ​ เท่าที่ปัสสาวะออก​ เพื่อมิให้เลือดหนืด
4.3 เช้า​ หลังอุจจาระ
ต้องดื่มน้ำ​ เพื่อชดเชยมวลน้ำ​ ที่ออกมาพร้อมกับอุจจาระ
4.4 ก่อนกินอาหาร
ประเทศไทย​ อยู่ในเขตร้อน​ ร่างกายจะสูญเสียน้ำ​ ทางต่อมเหงื่อ​ ตลอดเวลา​
จนระบบทางเดินอาหารแห้ง​
หากเรากินข้าว​ โดยไม่ได้ดื่มน้ำก่อนกิน​ ไส้จะแห้ง​ ทำให้กากอาหาร​ แข็ง​ ท้องผูก​
เป็นขี้แพะเป็นริดสีดวง​ทวาร
4.5 หลังอาหาร
ต้องรีบดื่มน้ำตาม​ เพราะขณะที่อาหาร​ ถูกย่อยในลำไส้เล็ก​ จะเ​หนียว​
ทำให้เลือดหนืดได้​ ร่างกายจะขาดน้ำ​ และอ็อกซิเจน​ เป็น​เหตุ​ ให้ง่วง
4.6 เวลา​ ใช้แรง​ทำงาน​ หรือ​ ออกกำลังกาย
เหงื่อจะออกมาก​ ร่างกายจะเสียน้ำในปริมาณมาก​
การดื่มน้ำ​ ร่างกาย​ อาจจะดูดซึม​ ได้ไม่ทัน
ให้กินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
(เป็นธาตุน้ำ)​ และ​ เกลือเล็กน้อย​ หรือ​ ทำน้ำผลไม้เปรี้ยวเตรียมไว้ดื่ม
4.7 เวลา​ท้องเดิน/ท้องเสีย
ให้กินสามสายธาร​ ครั้งละ​ 1- 2​ ช้อนโต๊ะ
เติมเกลือเล็กน้อย​ ดื่มน้ำตาม
4.8 ระหว่างวัน
หากรู้สึก​ มีอาการ
ปาก/คอ​ แห้ง​ ให้หาน้ำมาดื่มทันที
4.​9​ การดื่มน้ำ​ ที่ถูก
คือ​ ค่อยๆดื่ม​ น้ำจะถูกดูดซึม​ เข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่า​ การรีบดื่มอย่างเร็ว

5.​ อาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำ
ได้แก่​ ยำ​ ผัก/ผลไม้สด​ ของไทย​ ใส่สมุนไพร
ให้มากๆชนิด​ ซอยมะนาวใส่ทั้งเปลือก

6.​ เรียนรู้​ ธาตุ​ ดิน​ น้ำ​ ลม​ ไฟ​ ให้เข้าใจ​ จนนำไปใช้​ ในชีวิตประจำวันได้

7.​ เรียนรู้​ อาหาร​ 4
สับปายะ​ 4​ ขันธ์​ 5​ ให้พึ่งตนเองได้​ จนเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2022 9:15 pm

( 5 )

ผลการวัดจำนวนก้าวและผลการออกกำลังกายของผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
เป็นเวลา 1️⃣0️⃣ ปี🔰🔰🔰🔰🔰


ต่อวัน
🍃 คนที่เดิน 4️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ ไม่มีโรคซึมเศร้า

🍃5️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ คนที่เดินสามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อม โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองได้

🍃7️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ คนที่เดินสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนและมะเร็งได้

🍃8️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ คนที่เดินป้องกันความดันโลหิตสูงและเบาหวานได้

🍃1️⃣0️⃣0️⃣0️⃣0️⃣ คนที่เดินสามารถป้องกันโรคเมตาบอลิซึมได้ ตามผลการสำรวจ

🍃1️⃣. การเดินช่วยกระตุ้น 'สมอง'

🍃2️⃣. การเดินเอาชนะ 'การหลงลืม'

🍃3️⃣. การเดินช่วยเพิ่ม 'แรงจูงใจ'

🍃4️⃣. การเดินช่วยเพิ่มรสชาติของข้าว

🍃5️⃣. การเดินคือยารักษา 'โรคอ้วน'

🍃6️⃣. การเดินมีประสิทธิภาพในการรักษา 'ปวดหลัง'

🍃7️⃣. การเดินยังรักษา 'ความดันโลหิตสูง'

🍃8️⃣. การเดินคือยารักษา 'การสูบบุหรี่'

🍃9️⃣. คนที่เดินทำให้ 'สมอง' กระปรี้กระเปร่า

🍃🔟.เมื่อความเครียดก่อตัว ให้ออกไปเดินเล่น

🍃1️⃣1️⃣. ถ้าคุณหมดความมั่นใจ ก็แค่เดิน

🍃1️⃣2️⃣. ถ้า 'ร่างกาย' ของคุณเหนื่อย ให้เดินก่อน

🍃1️⃣3️⃣. หากคุณรู้สึกหดหู่ใจเพียงแค่เดิน

🍃1️⃣4️⃣. หากปัญหาของคุณกัดกินหางของคุณ ให้เดินจากไป

🍃1️⃣5️⃣. เมื่อคุณโกรธให้เดินออกไป

🍃1️⃣6️⃣. วันหนึ่งที่พัวพันกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ แค่เดิน

🍃1️⃣7️⃣. ในวันที่ไม่มีอะไรทำก็แค่เดิน

นพ. มยอง-วู ลี (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชีอิล)💐💐💐💐

🎊🎊🎊 ขอให้ท่านได้รับโชคลาภทั้งสามอย่าง ได้แก่ โชคสวรรค์ โชคลาภทางการเงิน และโชคมงกุฏ! 💞
🌺🌺🌺ความสุข🌺🌺

เดินสองขา
จะซาบซึ้งขนาดไหน
วันนี้ก้าวเบาๆ
ขอให้ก้าวของคุณเต็มไปด้วยความสุข
🍁🍁🍁🍁🍁🍁🍁🍁

ชมรมบริจาคฝันสร้างโลกที่สดใส
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 05, 2022 11:31 pm

( 6 )

C 👼ข้อชวนคิดให้ชีวิตดี๊ดี👍#373😉ถึงผู้ที่เป็นสว.(ผู้สูงวัย)เรามาร่วมเป็นทั้งสส.สว
.(คือได้เสวยสุขอย่างสมวัย)ด้วยกันดีกว่าไห๊มครับ👌
💘หากเราไม่อยากเจ็บป่วยในวัยชราให้เป็นภาระใครๆ ก็ควร ฝึกดำเนินชีวิตให้มีทั้ง
22ข้อปฏิบัติให้ชีวิตดี๊ดี👍ในแต่ละวันดังนี้👇

01. นอนเต็มอิ่ม อย่างน้อยคืนละ8ชั่วโมง.
02. เคลื่อนไหว ช้าๆ Slow Life ค่อยๆทำ.
03. ลดปริมาณอาหาร ลงเล็กน้อย โดยเฉพาะงดอาหาร
ที่ผ่านขบวนการผลิตจากโรงงาน ลดอาหารจำพวก
แป้งและน้ำตาล ทานผักพืชผลไม้สดที่สอาดปลอดสาร.
04. กินแบบผสมผสาน ให้มากขึ้น อย่าทานอาหารซ้ำๆ
05. กินอาหารทำเสร็จร้อนๆ สุกใหม่ๆ
06. ดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์(หากเป็นน้ำด่างได้ยิ่งดี)ให้ มากขึ้น
โดยเฉพาะการจิบน้ำอุ่นๆ หรือน้ำอุ่นใส่มะนาวสด
07. ลดกินเกลือ หรือทานอาหารรสเค็มให้น้อยลง
08. อาหารเย็น กินก่อนค่ำ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
09. ออกกำลังกายเบาให้สม่ำเสมอมากขึ้น
10. ผ่อนคลาย ร้องเพลงฟังเพลง ดูหนังตลกขำขัน
11. แต่งตัวดีขึ้น ให้รู้สึกจะไปเที่ยวทุกวัน ให้สดใส
12. ยิ้มจริงๆ หัวเราะเสียงดังได้ยิ่งดี ดู/ฟัง เรื่องสนุกขบขัน
13. พอใจในสิ่งที่มีอยู่และอยู่ใก้ลอย่างชื่นชม รู้จักปล่อยวาง
14. ลืมอายุ ไม่ต้องคิดถึงวัย และไม่ต้องคิดถึงแต่อดีตเก่าก่อน
15. ไปหาเพื่อนบ้าง โทรคุย/ไลน์คุยกันบ้าง
16. มีความโรแมนติก เล็กน้อย หาเรื่องเพิ่มชีวาให้ชีวิต
17. หางานอดิเรกทำเพิ่มเติม สร้างคุณค่าให้ชีวิต
ว่าเรายังได้ทำโน่นนี่นั่นให้เกิดประโยชน์ใช้ได้.
18. ยอมรับว่าชื่อเสียงและโชคลาภอ่อนแอลง
19. เที่ยว สักหน่อย ออกไปเปิดหูเปิดตาในที่แปลกใหม่
20. ดูแลช่องหู จมูก ปาก ให้สะอาดอย่าให้มีกลิ่น
21. ดูแลทุกส่วนในร่างกาย ให้สะอาดและอย่าให้มีแผล
22. เก๋ไก๋ในวัยชรา แต่งตัวเสริมบุคลิกให้กระฉับกระเฉง

💘ควรเลือกทานอาหารให้เป็นยา อย่าทานยาเป็นอาหาร
ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาไต ยาลดไขมันที่เป็นธรรมชาติที่สุด.👇

①ยาไต - มันเทศ
②ยานอนหลับ - กล้วย
③ยาทาผิว - คาโมไมล์
④ยาแก้หวัด - มะนาว
⑤สมุนไพรกระเพาะ - กะหล่ำปลี
⑥ขิง - บรรเทาปวด
⑦ยาลดความดันโลหิต - ขึ้นฉ่าย
⑧ยาลดไขมัน - ฮอว์ธอร์น
⑨ยาลดน้ำตาล - อบเชย
⑩ยาแก้อักเสบ - น้ำผึ้ง
⑪ยาระบาย — พรุน/กระเจี๊ยบ
⑫วิตามิน - สตรอเบอร์รี่
⑬ ยาอายุวัฒนะ - องุ่น
⑭ผลไม้มังกร - ล้างพิษโลหะหนัก
⑮ยาต้านมะเร็ง - กระเทียม
⑯น้ำข้าวบาร์เลย์ - ป้องกันอาการบวมน้ำ
⑰ยาทาผิวขาว - หัวไชเท้าขาว
⑱สับปะรด - ช่วยย่อย
⑲ยาบำรุงปอด - Tremella
⑳น้ำส้มสดชื่น - ต้านความเมื่อยล้า

🙏ขอบคุณ ดร. สิทธิชัย เครือวุฒิกุล ผู้แชร์แบ่งปันและท่านผู้เรียบเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้น🙏
หากท่านผู้อ่านแล้วเห็นว่าดีมีประโยชน์ก็ควรมีน้ำใจแชร์แบ่งปันให้เพื่อนๆ
ท่านผู้สูงวัยต่อๆกันไปด้วยครับ👼Goodyให้ชีวิตดี๊ดี👍🙋
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 07, 2022 12:28 pm

( 7 )

กินอาหารคนป่วย - จากไม่ป่วย - กลายเป็นป่วย
.
บทเรียนราคาแพงจากการที่เราไม่ศึกษาหาข้อมูลอาหารเสริม มีส่วนทำให้คนที่รัก
ในครอบครัวต้องเป็นเบาหวาน
.
สืบเนื่องจากที่บ้านได้รับนมเอนชัวร์มาทุกเดือน พ่อกับแม่เลยกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดนี้
โดยที่ไม่มีความรู้ว่ามันคืออะไร ! และตัวเราเองก็ไม่รู้มาก่อนด้วยว่ามันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
แต่พอไปเห็นจำนวนกระป๋องแอนชัวร์จำนวนมหาศาลที่กองอยู่ในบ้าน และเราหยิบขึ้นมาอ่าน
ส่วนประกอบข้างกระป๋อง เชื่อมั๊ยว่าเข่าอ่อน ร่างแทบทรุด
.
ไม่ได้จะโจมตีผลิตภัณฑ์นี้ แต่เราต้องศึกษาและมีความรู้ในการกินอาหารเสริมให้ถูกต้องด้วย
ไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาด โฆษณาในทีวี หรือเพียงแค่หมอแนะนำว่าดีกินแล้วสารอาหารครบถ้วน
.
การจะทานอาหารเสริมอะไร เราได้เรียนรู้ว่า การอ่านฉลากข้างกล่องเป็นสิ่งสำคัญมาก ถึงมากที่สุด
หากเราดูในรูปจะเห็นว่า ผู้ผลิตระบุไว้ชัดเจนว่าเหมาะสำหรับ
1. ผู้สูงอายุ
2. ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น
3. ผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
4. ผู้ขาดสารอาหาร หรือ ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
.
ที่นี้เรามาวิเคราะห์ว่า ผู้สูงอายุทุกคนควรกินมั๊ย แล้วผู้สูงอายุในบ้านเราที่สุขภาพยังดี
ยังไม่ได้ป่วยหนัก หรือต้องเข้ารพ. เหมาะหรือสมควรกินผลิตภัณฑ์นี้มั๊ย โดยเรามาดูสิ่งนี้ค่ะ
คือส่วนประกอบของมัน อ่ะ มีอะไรบ้าง ข้างกล่อง
1. แป้งข้าวโพดที่ผ่านการย่อย 29.75% ง่าย ๆ Corn Starch
2. โปรตีนเวย์
3. น้ำมันจากพืช (ดอกทานตะวัน,คาโนลา,ถั่วเหลือง,ข้าวโพด) ง่าย ๆ
Refined oil
4. ซูโครส ง่าย ๆ High Fructose Corn Syrup

จะยกมาที่เราพอจะรู้จักนะ นอกนั้นคืออะไรก็ไม่รู้
(มันเรียกว่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ด้วยเหรอ)
.
เราไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็พอได้ฟังจากหมอเบาหวานบ้างว่า ของพวกนี้กินไป
มันยิ่งทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน หากผู้สูงอายุ หรือคนทั่วไปที่ยังแข็งแรงดี กินพวกนี้ติดต่อกัน
ทุกวันเพราะคิดว่าเป็นอาหารเสริม เพราะหลงเชื่อคำโฆษณา คิดดูสิว่าน้ำตาลสะสมในร่างกาย
มันจะเท่าไหร่
.
เรายอมรับได้หากเป็นผู้ที่ไม่สามารถทานอะไรได้ หรือผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถทานอาหารได้
ตามปกติ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงกำลังขึ้น
.
แต่ผู้ที่มีสุขภาพดี หรือผู้สูงอายุที่ต้องการเสริมวิตามิน/สารอาหารให้ร่างกาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่าน
ควรจะกิน เพราะหากท่านกินจากไม่ป่วย จะกลายเป็นป่วยเอา
.
สิ่งที่เราให้ทางบ้านปรับคือ เพิ่มอาหารดี อาหารแบบ REAL FOOD ผัก ปลา ไข่ ข้าวกล้อง
อะไรที่มาจากธรรมชาติ เน้นเลือกวัตถุดิบลงมือทำอาหารทานเอง ขาดอะไรก็ให้เพิ่มส่วนนั้น
ทานให้สมดุล และเลิกกินเอนชัวร์เด็ดขาด
.
เราอยู่ในยุคที่ต้องมีอาหารเสริมถึงจะสุขภาพดี เราเคยได้รับแรงกดดัน ให้ต้องซื้อผลิตภัณฑ์
อาหารเสริมยี่ห้อดัง ด้วยเหตุผลที่ว่าร่างกายเรารับจากอาหารอย่างเดียวไม่พอ แล้วคิดดู
ให้กินผงอาหารเสริม ชง เขย่าน้ำ ทุกวันกินแทนข้าว จะไหวเหรอ
.
ตอนนี้ส่วนตัวเราเองก็พยายามกินให้สมดุลทุกมื้อ ทานให้อิ่ม มีโปรตีน ผัก ไข่ ข้าว กินให้ครบ 5 หมู่
แค่นี้ก็เป็นวิถีชีวิตที่อยู่ได้โดยปกติสุขดีแล้ว
.
เขียนยาวที่สุดในชีวิตละ
.
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบ
Thanachai Chobkittikhun

DahopPee Piriya

Rattana Laotikul
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 16, 2022 11:14 am

( 8 )

ในที่สุดข่าวดี:

*สมองของผู้สูงอายุ*

ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตันให้เหตุผลว่าสมองของผู้สูงอายุ
เป็นพลาสติกมากกว่าที่คิดกันทั่วไป ในวัยนี้ การทำงานร่วมกันของสมองซีกขวาและซีกซ้าย
จะมีความกลมกลืนกัน ซึ่งขยายความเป็นไปได้ที่สร้างสรรค์ของเรา นั่นคือเหตุผลที่ในหมู่คนที่
มีอายุมากกว่า 60 ปี คุณจะพบบุคคลมากมายที่เพิ่งเริ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ของพวกเขา

แน่นอนว่าสมองไม่ได้เร็วเหมือนในวัยเยาว์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มันชนะในความยืดหยุ่น
นั่นคือเหตุผลที่เมื่ออายุมากขึ้น เรามักจะตัดสินใจได้ถูกต้องและเปิดรับอารมณ์เชิงลบน้อยลง
จุดสูงสุดของกิจกรรมทางปัญญาของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 70 ปี เมื่อสมองเริ่มทำงาน
อย่างเต็มกำลัง

เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณของไมอีลินในสมองจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสารที่ช่วยอำนวยความสะดวก
ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ความสามารถทางปัญญาจึง
เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย

และจุดสูงสุดของการผลิตสารนี้อยู่ที่อายุ 60-80 ปี ที่น่าสนใจอีกอย่างคือหลังจาก 60 ปี
บุคคลสามารถใช้ 2 ซีกในเวลาเดียวกัน นี้ช่วยให้คุณแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น

ศาสตราจารย์ Monchi Uri จากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล เชื่อว่าสมองของผู้สูงอายุเลือกเส้นทาง
ที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด โดยตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียงทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการ
แก้ปัญหา
การศึกษาได้ดำเนินการโดยกลุ่มอายุต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม คนหนุ่มสาวรู้สึกสับสนมาก
เมื่อผ่านการทดสอบ ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีตัดสินใจถูกต้อง

ทีนี้มาดูคุณสมบัติของสมองตอนอายุ 60-80 กัน พวกเขาเป็นสีดอกกุหลาบจริงๆ

คุณสมบัติของสมองของผู้สูงอายุ

1. เซลล์ประสาทของสมองไม่ตายอย่างที่ทุกคนรอบตัวพูด การเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาจะหายไป
หากบุคคลไม่มีส่วนร่วมในงานทางจิต

2. ขาดสติและหลงลืมเกิดขึ้นเนื่องจากมีข้อมูลมากเกินไป ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องจดจ่ออยู่กับ
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งชีวิต

3. เริ่มต้นเมื่ออายุ 60 ปี คนในการตัดสินใจ ไม่ได้ใช้ซีกโลกเดียวในเวลาเดียวกัน เหมือน
คนหนุ่มสาว แต่ใช้ทั้งสองอย่าง

4. สรุป: หากบุคคลมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี เคลื่อนไหว มีกิจกรรมทางกายที่เป็นไปได้และมีกิจกรรม
ทางจิตที่สมบูรณ์ ความสามารถทางปัญญาไม่ลดลงตามอายุ แต่จะเติบโตเท่านั้นถึงจุดสูงสุด
เมื่ออายุ 80-90 ปี

ดังนั้นอย่ากลัวความชรา พยายามพัฒนาสติปัญญา เรียนรู้งานฝีมือใหม่ๆ ทำดนตรี เรียนรู้การเ
ล่นเครื่องดนตรี วาดภาพ! เต้นรำ! สนใจในชีวิต พบปะและสื่อสารกับเพื่อนๆ วางแผนสำหรับอนาคต
ท่องเที่ยวให้ดีที่สุด อย่าลืมไปร้านค้า ร้านกาแฟ คอนเสิร์ต อย่าขังตัวเองไว้คนเดียว - มันเป็นอันตราย
ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อยู่กับความคิด: ทุกสิ่งที่ดียังอยู่ข้างหน้าฉัน!

👀 ข้อมูล!

การศึกษาขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาพบว่า:

▪อายุที่มีประสิทธิผลสูงสุดของบุคคลคือ 60 ถึง 70 ปี
▪ ระยะที่ 2 ของมนุษย์ที่มีประสิทธิผลมากที่สุด คือ อายุระหว่าง 70 ถึง 80 ปี;
▪ ระยะที่ 3 ที่มีประสิทธิผลสูงสุด - อายุ 50 และ 60 ปี
▪ ก่อนหน้านั้น บุคคลนั้นยังไม่ถึงจุดสูงสุด
▪อายุเฉลี่ยของผู้ได้รับรางวัลโนเบลคือ 62 ปี;
▪อายุเฉลี่ยของประธานบริษัท 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ 63 ปี;
▪อายุเฉลี่ยของศิษยาภิบาลในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด 100 แห่งในสหรัฐอเมริกาคือ 71 ปี;
▪อายุเฉลี่ยของพ่อคือ 76 ปี
▪ นี่เป็นการยืนยันว่าปีที่ดีที่สุดและได้ผลดีที่สุดของบุคคลนั้นอยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 ปี
▪การศึกษานี้เผยแพร่โดยทีมแพทย์และนักจิตวิทยาในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์
▪ พวกเขาพบว่าเมื่ออายุ 60 ปี คุณมีศักยภาพสูงสุดด้านอารมณ์และจิตใจ และจะดำเนิน
ต่อไปจนถึงอายุ 80 ปี
▪ ดังนั้น หากคุณอายุ 60, 70 หรือ 80 ปี แสดงว่าคุณอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ

* ที่มา: วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ *.

ส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับครอบครัวและเพื่อนของคุณที่มีอายุ 60, 70 และ 80 ปี
เพื่อที่พวกเขาจะได้ภูมิใจในวัยของพวกเขา

:s002: :s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:53 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 15, 2022 6:19 pm

( 9 )

4 ระยะของวัยเกษียณ

เราทุกคนล้วนถูกสอนให้เตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณด้วยการวางแผนทางการเงินให้ดี

แต่ทำไมมีแต่คนสอนให้เตรียมพร้อมด้านการเงิน (financial) แต่กลับไม่มีคนสอน
ให้เตรียมพร้อมด้านจิตใจ (psychological) กันบ้างเลย?

ทุกๆ วันจะมีชาวอเมริกันเกษียณวันละ 10,000 คน และจะเป็นแบบนี้ไปอีก 10-15 ปี
รวมแล้ว เป็นประชากรหลายสิบล้านคน อารมณ์ไม่ต่างกับสึนามิแห่งคนชรา

และเนื่องจากอายุคาดเฉลี่ยของเราจะยืนยาวขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะต้องใช้เวลา
ถึง 1 ใน 3 ของชีวิตเราในวัยเกษียณ

ไรลี่ย์ มอยนส์ (Riley Moynes) ไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณเท่าไหร่ เขารู้ว่า
"ความสำเร็จ" ในวัยทำงานต้องทำยังไงบ้าง แต่ความสำเร็จในวัยเกษียณนั้นเขาไม่รู้เลยว่า
มีหน้าตาเป็นอย่างไร

เขาจึงไปนั่งคุยกับคนวัยเกษียณหลายสิบคนและได้ข้อสรุปออกมาว่าวัยเกษียณมี 4 ระยะด้วยกัน

ระยะที่ 1 - พักร้อน (Vacation)

นี่คือภาพจำที่คนส่วนใหญ่มีสำหรับวัยเกษียณ จะตื่นกี่โมงก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ จะไปไหนก็ได้
ไม่ต้องทำตามคำสั่งใคร ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ

ระยะที่ 1 นี้จะมีความยาวประมาณหนึ่งปีเท่านั้น แล้วเราก็จะเริ่มเบื่อ แล้วเราจะเริ่มตั้งคำถามกับ
ตัวเองว่าวัยเกษียณมีแค่นี้เองหรือ และนั่นคือสัญญาณว่าเรากำลังเข้าสู่...

ระยะที่ 2 - สูญเสียและหลงทาง (Loss and Lost)

นี่คือช่วงที่เราจะรู้สึกสูญเสีย Big Five อันได้แก่

สูญเสียกิจวัตร (routine) เนื่องจากตื่นไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา ใช้ชีวิตแบบไร้แบบแผนมานาน

สูญเสียอัตลักษณ์ (identity) เนื่องจากถอดหมวกการทำงานออกไปแล้ว ไม่มีตำแหน่งแห่งหนใดๆ
ก็เลยเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใครหรือยังเป็นอะไรได้อยู่รึเปล่า

สูญเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ทำงาน (relationship with people at work) เมื่อไม่ได้ทำงาน
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ย่อมต้องห่างเหินไปด้วย

สูญเสียจุดมุ่งหมาย (sense of purpose) ไม่รู้ว่าวันนี้จะตื่นมาเพื่ออะไร

สูญเสียอำนาจ (power) เมื่อถอดหัวโขนออก สิ่งที่เคยทำได้ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป

นอกจาก Big Five ที่หายไปแล้ว เราอาจยังต้องเจอ 3D อีกด้วย

Divorce - แยกทางกับคู่ชีวิต

Depression - ความซึมเศร้าเหงาหงอยไร้ค่า

Decline - ความทรุดโทรมทั้งทางร่างกายและสติปัญญา

นี่คือระยะที่ยากลำบากที่สุด เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจจะเจอสิ่งเหล่านี้ จึงรู้สึกเจ็บปวด
และหลงทางอยู่พอสมควร จนกว่าจะถึงวันที่ลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่า
"เราจะอยู่แบบนี้ไปจนชั่วชีวิตไม่ได้" ก็แสดงว่าเรากำลังจะเข้าสู่...

ระยะที่ 3 - ลองผิดลองถูก (Trial & Error)

นี่คือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะกลับมามีคุณค่าได้อย่างไร

ช่วงนี้เราอาจจะได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างที่เคยอยากทำ เช่นไปลงเรียนเพิ่มเติม ไปเป็นอาสาสมัคร
หรือกรรมการหมู่บ้าน หรือเปิดคอร์สสอนวิชาที่เราช่ำชอง

ช่วงที่ลองผิดลองถูกนั้นเราอาจจะเจอความผิดหวังมากกว่าสมหวัง แต่เราก็ต้องหาให้เจอว่าเหตุผล
ของการตื่นนอนตอนเช้าของเราคืออะไร ไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจจะกลับไปอยู่ระยะที่ 2 อีกก็ได้

แต่หากไม่หยุดค้นหาและให้เวลากับตัวเองมากพอ เราก็จะเดินทางถึง...

ระยะที่ 4 - สร้างตัวตนใหม่ (Reinvent & Rewire)

นี่คือระยะที่เราสามารถหากิจกรรมที่ทำให้เรามีจุดมุ่งหมายและได้สัมผัสความสำเร็จ ซึ่งเกือบจะ
ร้อยทั้งร้อยล้วนเป็นการทำอะไรเพื่อคนอื่น

บิลเป็นชายวัยเกษียณที่เชื่อว่าเราควรทำกิจกรรมที่ลับสมองอยู่เป็นประจำ เขาจึงไปชวนเพื่อน
วัยเดียวกันมาเปิดคลาสสอนเรื่องที่พวกเขาถนัด

ปีแรกเปิดสอนไป 9 วิชา มีคนเข้าเรียน 200 คน

ปีที่สองเปิดสอน 45 วิชา คนเรียน 700 คน

ปีที่สามเปิดสอน 90 วิชา และมีคนเรียน 2,100 คน

วิชาที่สอนก็เช่นวาดรูป ปั่นจักรยาน ไพ่บริดจ์ ไพ่นกกระจอก รวมถึงสอนภาษาอังกฤษให้กับ
เด็กต่างชาติด้วย แน่นอนว่าต้องใช้พลังมหาศาลทั้งคนสอนและคนเรียน แต่ก็สนุกสนานกันมาก
เลยทีเดียว

ที่สำคัญ Big Five ที่เคยทำหล่นหายไปในระยะที่ 2 ก็กลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตร อัตลักษณ์
ความสัมพันธ์ จุดมุ่งหมาย และความรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์มีเสียง

ดังนั้น สำหรับคนที่กำลังจะเกษียณ:

ขอให้สนุกกับการพักร้อนในระยะที่ 1

เตรียมใจพบกับความสูญเสียในระยะที่ 2

พร้อมจะลองผิดลองถูกในระยะที่ 3

และใช้วัยเกษียณให้คุ้มค่าและอิ่มเอมในระยะที่ 4 ครับ

----

ขอบคุณข้อมูลจาก TedX Talks: The 4 phases of retirement | Dr. Riley Moynes | TEDxSurrey

:s012: :s012:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:54 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 8:04 pm

(10 )

ทำไมผู้สูงอายุจึงนอน หลับแล้วไม่ตื่น ในช่วงเวลา ใกล้รุ่ง สิ้นใจตาย
แบบไม่ต้องทรมาณ เหมือนกับ สมบัติ เมทะนี และพี่เขย ของผม รองผู้การ
ศรศักดิ์ แก้วรักษา ที่ทุกคนยังจำกันได้ ที่ถูกหวยรางวัลที่ 1ได้เงิน 180 ล้านบาท
แล้วได้เสียชีวิตลง เมื่อ 9 ก.ย. 2564 และผู้สูงอายุคนอื่นๆ อีกมากมาย
ตัวผมเองก็เกือบ เสียชีวิตในลักษณะนี้ เหมือนกันหลายครั้ง ตอนใกล้ๆรุ่งเช้าตรู่
สาเหตุมาจาก ร่างกายขาดน้ำ คือ แต่ละวันๆ เราควรดื่ม น้ำเปล่าให้ได้ปริมาณ
ที่เพียงพอต่อร่างกาย คือประมาณ 2 ลิตร หรือ 8 - 9 แก้วต่อวัน และก่อนนอนก็ควร
จะดื่มสัก 1 แก้ว
เมื่อตกกลางดึก ผู้สูงอายุมักจะลุก ขึ้นมาปัสสาวะ หลายครั้ง ก็ถ่าย ออกไปเรื่อยๆ
จนน้ำในร่างกาย ขาดน้ำลง ทำให้ เลือดเหนียวหนืด ข้น ทำให้ไหลเวียนยาก
ในการที่เลือดจะ เข้าไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจขาดเลือด จึงบีบตัวแรงๆ ไม่
สามารถนำเลือดส่ง ต่อไปเลี้ยงร่างกาย เช่นสมอง และอวัยวะ ส่วนอื่นๆของร่างกาย
หัวใจจึงต้องบีบตัว หนักจนเกิดหัวใจวาย และมักจะเป็นในช่วง เช้าตรู่ แล้วก็ตายไป
ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง
ตัวผมเองก็เกือบๆ ไปหลายครั้ง ในช่วง เช้ามืด หลังจากเมื่อ กลางดึกที่ได้ลุกขึ้น
มาฉี่ แล้วก็หลับต่อ พอรู้สึกตัวใกล้สว่าง เช้าตรู่ ผมรู้สึกมีอาการ ไม่ดี เวียนหัว เหมือน
กับถูกจับโยนกลาง อากาศ ใจสั่นหวิวๆ รู้สึกแน่นที่หน้าอก จึงได้รีบลุกขึ้นไป
ดื่มน้ำแก้วหนึ่ง แล้ว ล้มตัวลงนอนต่อ เวลาผ่านไปรู้สึกดีขึ้น หายเหมือนปลิดทิ้ง
ผมจึงแน่ใจเลยว่า ต้องเป็นที่ระบบของ ร่างกายขาดน้ำแน่ๆ หลังจากตื่นนอนแล้ว
ร่างกายก็ปกติดี ตลอดทั้งวัน
นี่คือประสบการณ์ จริงของผมที่เกือยตาย ที่หลายๆคนไม่เคยรู้ มาก่อน ผมว่า สมบัติ
เมทานี ก็อาจจะเป็น อย่างผมก็ได้
การศึกษาหาความรู้ จากหมอในยูทูป ก็ มีประโยชน์นะครับ อย่าลืมนะครับ
เพื่อนๆของผมทุกคน ถ้าตื่นนอนกลางดึก ลุกขึ้นฉี่แล้ว อย่า ลืมดื่มน้ำเปล่า
อุณหภูมิห้องนี่แหละ จะทำให้เลือดไม่ข้น เหนียวหนืด ก็จะทำให้เลือดไหลเข้าสู่
หัวใจได้สะดวก แล้วตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ดื่มน้ำอีกสักแก้ว เพื่อจะทำให้การเริ่ม
ต้นของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ อย่างมีประสืทธิภาพ และจะได้มีชีวิต
ยืนยาวต่อไป ในงานเลี้ยงรุ่น แล้วผมจะได้ร้องเพลงเล่นดนตรี ให้ฟัง
ขอขอบคุณ นายแพทย์ หมอทั้งหลายที่ได้แนะนำ อธิบาย
เรื่องนี้ จนทำให้ผมรอดตายมาได้ หลายครั้ง ขอบคุณ อีกครั้งนะครับ

Cr :แชร์มาจากเพื่อนในไลน์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 11:42 pm

( 11 )

ลีกาซิง อภิมหาเศรษฐี ร่ำรวยอันดับ ๑ ของฮ่องกง ขณะที่พักรักษาตัวในห้องคนป่วย
ได้เขียนบทกวีจีน ในหัวข้อว่า “夕陽謠。”อาทิตย์ อัสดง”

เพื่อเตือนสติแก่ บรรดาผู้เกษียณอายุและบุคคลทั่วไปให้สำนึก ก่อนสายเกินแก้
ไม่ต้องโทษตัวเองว่า รู้งี้ จะละสิ่งนี้ จะไม่ทำสิ่งนั้น !!

ในบทกวีนิพนธ์ เขียนไว้รวม ๑๕ ข้อ ดังต่อไปนี้

๑. ลิขิตฟ้ากำหนดมา. ชีวิตทุกคนมาจากศูนย์ ดำเนินไปในทิศทางใด ยากดี. มีจน. รุ่งเรือง
หรือรุ่งริ่ง. สุดท้ายต่างจบลงที่เลขศูนย์
๒. ยามแก่ชรา เวลาเหลือน้อย. อย่าคาดหวังร่ำรวยเงินทอง แม้ชีวิตยังเหลืออยู่. หรือหลัง.
ความตาย สมบัติพัสถาน จะยังมีสิ่งใดเป็นของเจ้าล่ะ ? ต้องตระหนักรู้สัจธรรมความจริง.
อย่าได้หลงผิด. หลอกตัวเอง
๓.รู้จักเพียงพอ. ย่อมเกิดสุข. ชีวิตวัยชราต้องสงบสุข. ไม่ตื่นเต้น ดีใจกับความร่ำรวย
ไม่เศร้าสร้อย เสียใจเพราะยากจน. ยอมรับตามสภาพที่แท้จริง
๔. ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง. ก่อศึกแย่งชิง. ชีวิตคนนั้นแสนสั้น. ดั่งความฝัน. เหมือนปุยเมฆ
หมอกควัน ล่องลอยจางหาย. ลับไป
๕. ดวงตะวัน ดวงจันทร์. กาลเวลา และกระแสน้ำ หมุนเวียน ผันแปรไปตลอดกาล
เคหะสถาน ที่ดินไร่นา ล้วนสลับสับเปลี่ยนเจ้าของถือครอง. เป็นมาตราบนิจนิรันดร์
๖. สายใยรัก ความรักความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน เมื่อสิ้นใจ ก็สิ้นสลาย หายเข้าไปในปล่องควัน
เมรุเผาศพ. เงินทองมากเพียงใดก็นำไปไม่ได้
๗. ชื่อเสียง. ดีงาม หรือ เลวร้าย ชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ ผลได้หรือผลเสีย . ต่างสะดุดหยุดลง.
เมื่อชีวิตปิดฉากจบลงที่ปลายทาง
๘. ยศฐาบรรดาศักดิ์. อำนาจวาสนา บุญบารมี ไม่มีใครยึดครองได้ตลอดไป. .สุดท้าย รวยก็จบ.
จนก็จบ. ต้องตระหนักรู้ตัวตนที่แท้จริง ชีวิตก็เป็นเพียงเช่นนี้ นั่นเอง
๙. ฤดูวสันต์ผันผ่าน ตามด้วย คิมหันต์ ถึงสารท. และเหมันต์. ฤดูกาล ทั้ง ๔ อีกทั้ง นำ้ขึ้นนำ้ลง
หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไม่จบสิ้น. มองทะลุ ทุกมิติชีวิตคน. ทุกๆ ครัวเรือน ต่างมีปัญหาที่แตกต่างกันไป
ต้องยอมรับ และอย่าทุกข์ระทมขมขื่น. ผูกเจ็บฝังใจ
๑๐. การมีบุตร ชาย - หญิง. เป็นภาระหน้าที่ของพ่อแม่. เลี้ยงดูอุ้มชูในอ้อมกอด. ย่อมเป็นสุข
ลูกหลานต่างมีบุญวาสนาของตน. อย่าควบคุมบังคับเหมือนใส่กรง. ยามแก่มีสุขภาพดีก็สุขแล้ว
๑๑. ชีวิตมนุษย์เสมือนผึ้งน้อย. เช้าโน่น. เย็นนี่ ตระเวนดูดนำ้หวานจากเกสรดอกไม้.
สร้างสมเป็นนำ้ผึ้ง. เหนื่อยยากมาทั้งชีวิตเพื่อใคร ? วาระสุดท้าย กลับสูญเปล่าไร้ค่าส่วนตน.
มองเห็นธาตุแท้. รู้เช่นเห็นชาติ. ควรผ่อนคลายการขับเคี่ยว. ลดละแย่งชิง ทะนุถนอม รักษากายใจ.
เพื่อความสุขสมบูรณ์ในวัยชรา ดั่งใจปอง

๑๒. มองจากไกล โรงพยาบาลคล้ายสวรรค์ มองเข้าใกล้ เหมือนธนาคาร. ดึงดูดกอบโกยทรัพย์
นับไม่ถ้วน. เข้าไปเหมือนห้องขัง. ต้องป้องกันอย่าเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
๑๓. สุขภาพดีเป็นสินทรัพย์นับไม่ถ้วน. สุขภาพดีเหมือนออมทรัพย์. โรคภัยไข้เจ็บ คือ การกู้เงิน-
ใช้หนี้. ป่วยหนัก อาจล้มละลายหมดตัว ไม่ใช่พูดล้อเล่น เดี๋ยวจะสายเกินแก้
๑๔. ลุกขึ้นปกป้องสุขภาพ ไม่นอนรอให้ใครมาหลอกเอาเงินไป. ไม่ดูแลสุขภาพ. เท่ากับเลี้ยงดูหมอ
. ช่วยเหลือโรงพยาบาล มองการณ์ไกล รักครอบครัว ต้องรักษาตัวตนก่อน
๑๕. ชีวิตนั้นแสนสั้น. อย่ามัว วุ่นวายกับการหาเงินหาทอง แม้มีมากเพียงใด ก็ใช้ห้าม ตะวันตกดินไม่ได้.
เงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ ความเป็นความตาย เป็นดวงชะตากรรม. มั่งคั่งร่ำรวยเป็นลิขิตฟ้า ยากจะฝ่าฝืน
นำพา แม้บุญไม่มาดิ้นไปก็ไร้ผล

ลูกหลานต่างมีบุญมา วาสนาเกิด. อย่าเป็นวัวเป็นควาย. ฝ่าฟันเพื่อลูกหลาน. ต้องวิเคราะห์เจาะลึก
รู้ซึ้งสิ่งใด. หนัก - เบา. ลาภยศสรรเสริญ เป็นเพียงปุยเมฆลอยผ่าน มั่งมีศรีสุข เป็นแค่งานเลี้ยง
เฉลิมฉลอง. แค่พริบตาเดียว เส้นผมขาวโพนเต็มศรีษะ. เรื่องราวทั้งหลายผ่านไปราวหมอกควัน
ไม่ควรเอาเป็นเอาตาย ทุกเรื่องราว. รกจิต หมองใจ. ทรมานกาย เปล่าๆ.

ขอมอบเคล็ดลับ ๑๐ สิ่งให้ชื่นใจ
๑.ใจเปิดกว้าง. ๒.คิดให้ตก. ๓.ทิ้งให้ได้. ๔.วางให้ลง. ๕.ยอมถอย. ๖.ให้อภัย. ๗.เห็นใจ.
๘.ละทิ้ง. ๙.ยินยอม ๑๐ มีคุณธรรม ท่านจะมีสุคติเป็นที่ไป
ได้มาจาก กัลยาณมิตรที่แสนดี ขอมอบให้ต่อ กัลยาณมิตรที่แสนรัก ครับ

Cr : แชร์จากเพื่อนในไลน์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2022 11:46 pm

( 12 )

"กลิ่นคนแก่" คืออะไร และ 5 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

ที่มา : Sanook.

กลิ่นคนแก่ เป็นกลิ่นอ่อนๆ ติดตัวผู้ใหญ่ที่ใครที่ใกล้ชิดผู้สูงอายุก็คงเคยได้กันมาบ้าง
จะว่าเหม็นก็ไม่ใช่จะว่าหอมก็ไม่เชิง วันนี้เรามาเจาะลึกถึงสาเหตุที่มาของ กลิ่นคนแก่
พร้อมวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเมื่อถึงวันที่กลิ่นนั้นกลายเป็นของเรา

รู้จักกลิ่นคนแก่

กลิ่นคนแก่ หรือ กลิ่นผู้สูงวัย (Aging odor) ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสกปรกแต่อย่างใด
แต่เป็นกลิ่นตัวพิเศษของผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยกลิ่นตัวเกิดจากต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ
ผลิตไขมันและเหงื่อออกมาทำปฏิกริยากับแบคทีเรียจนเกิดกลิ่นบนร่างกาย ซึ่งการทำปฏิกิริยา
กับแบคทีเรียก็จะส่งกลิ่นแต่ละแบบต่างกันออกไป

เมื่อร่างกายอายุมากขึ้น (40 ปีขึ้นไป) กระบวนการดังกล่าวก็ทำงานได้แย่ลงเกิดการสะสมสาร
ที่มีชื่อว่า Nonenal ขึ้น ซึ่งเป็นตัวหลักปล่อยกลิ่นแก่ออกมา ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายก็จะมีกลิ่นนี้
มากขึ้นด้วยเช่นกัน

โดยสาร Nonenal หรือสารตั้งต้นกลิ่นคนแก่นี้มีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำหรือไขมัน
ทำให้คลายข้อสงสัยเรื่องความติดทน เพราะการอาบน้ำก็ไม่ช่วยให้กลิ่นตัวหายไปรวมถึงเสื้อผ้า
ผู้สูงอายุก็จะมีกลิ่นดังกล่าวติดไปด้วย

วิธีป้องกันการเกิดกลิ่นแก่

1. เช็ดเหงื่อบ่อยๆ

อย่างที่รู้กันว่ากลิ่นเกิดจากการผสมกันระหว่างเหงื่อ ไขมัน และแบคทีเรีย การตัดวงจรไม่ให้
เกิดกลิ่นคนแก่ง่ายๆนั่นก็คือการเช็ดเหงื่อ หรือทำให้ตัวเองเหงื่อออกน้อยที่สุด

2. ออกกำลังกาย

อาจตรงข้ามกับที่แนะนำไปก่อน เพราะวิธีนี้คือการสนับสนุนให้ร่างกายเหงื่อออกมากกว่าเดิม
แต่เป็นเฉพาะเวลา โดยการออกกำลังกายจะช่วยให้ต่อมเหงื่อขยายและขับของเสียออกไป
ลดสาเหตุการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก

3. อาบน้ำร้อน

คงจะจริงที่ว่าคนแก่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน และดูท่าจะต้องอาบต่อไปหากไม่อยาก
ให้เกิดกลิ่นที่ว่า เพราะการอาบน้ำร้อนจะช่วยให้รูขุมขนขยาย พาเหงื่อและสิ่งสกปรกไหลไป
พร้อมกับน้ำ รวมถึงสมัยนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นสูงอายุ

โดยบริเวณที่ควรล้างทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันคือ บริเวณที่มีต่อมผลิตไขมันมาก
เช่น หลังหู หลังคอ หน้าอก และหลังที่เต็มไปด้วยแบคทีเรีย การอาบน้ำจึงเป็นวิธีชะลอได้ดีที่สุด

4. งดสูบบุหรี่

บุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มสารอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกาย เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ระบบ
ไหลเวียน เลือดทำงานได้แย่ลง ส่งผลเสียเกิดการสะสมของเสียในร่างกายเพิ่มกลิ่นเหม็นตาม
ต่อมผิวหนังต้องขับออกมามากกว่าเดิม

5. ลดเนื้อสัตว์ และ ไขมัน

ไขมันในเนื้อสัตว์จะกระตุ้นให้ต่อมผลิตไขมันขับความมันส่วนเกินออกมามากขึ้น
1 ใน 3 ตัวการ หลักของสูตรเกิดกลิ่นแก่ นอกจากนี้แนะนำให้เลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงทุกประเภท
เพื่อลดการเกิดกลิ่น รวมไปถึงสุขภาพร่างกายเช่นกัน

โดยปกติแล้วกลิ่นผู้สูงอายุไม่ได้เป็นกลิ่นที่มีความรุนแรงทำลายล้างจมูกวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว
ท่านใด จากผลการวิจัยพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะปล่อยกลิ่นออกมาตามช่วงวัยเพื่อให้อีกฝ่ายเลือก
ปฏิบัติกับเราได้ดีขึ้น การมีกลิ่นคนแก่นี้จึงไม่ได้เป็นผลเสียอย่างใด แต่ถ้าหากใครรู้สึกไม่สบายใจ
ก็ลองปรับวิธีการใช้ชีวิตเพื่อลดกลิ่นดูได้

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :chalita_k


INN news
สนับสนุนเนื้อหา


https://www.sanook.com/health/35305/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:56 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 9:01 pm

( 13 )

เพื่อนในไลน์ ส่งมา….

ขอให้ส่งต่อให้ญาติสนิทมิตรสหายอ่านไว้
เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้
ขอให้ส่งต่อให้ได้ 4วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้

1.สำลักอาหาร
วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป
โซเยออายุ56ปี ชาวอเมริกัน
วันก่อนอยู่บ้านดูทีวีพลางกินน้ำผลไม้แช่แข็งพลาง
ขณะที่หันศรีษะ
ผลไม้แช่แข็งชิ้นหนึ่งติดอยู่ที่คอ
เธอลองช่วยตัวเองโดยการกดและบีบที่ท้อง
แต่ไม่เป็นผล
เวลานั้นสปิ๊นซ์ซึ่งเป็นหลานชายเลยถามว่า:

"คุณย่า ท่านสำลักเหรอครับ"
สโตว่า พูดไม่ออก
"ผมเดาว่าท่านสำลักใช่ไหม
คุณย่า ยกมือขึ้น ยกมือขึ้น"
สโตว่าทำตาม ในที่สุดสามารถอาเจียนเอาชิ้นผลไม้แช่แข็งออกมาได้
สปินซ์เวลานั้นสงบนิ่งมาก
เขาบอกว่าวิธีนี้เรียนมาจากโรงเรียน
วิธีจัดการกับการสำลักอาหาร----แค่ "ยกมือขึ้น"
2 ตกหมอน
คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนไหม
ก็คือปวดคอ ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร
ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา
จับนิ้วโป้งของเท้า
ค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
3. ขาเป็นตะคริว
เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ
เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที
4. ขาชา
ถ้าขาซ้ายชา
สบัดมือขวาจากช้าไปหาเร็ว
ถ้าขาขวาชา

ก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว
ช่วยส่งต่อเถอะ ได้บุญกุศลมากมาย
🐢🐢🐢🐢🐢🐢🐢🐢🐢
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 9:02 pm

( 14 )

สำหรับพวกเราทุกคนที่มีอายุระหว่าง 50-90 ปี:
นี่เป็นคำแนะนำที่ง่ายและมีประโยชน์สำหรับแต่ละคน:

ตรวจสอบเสมอ:
1. ความดันโลหิต
2. น้ำตาลในเลือด
3. ไตรกลีเซอไรด์
4. คอเลสเตอรอล
5. กรดยูริก

สิ่งที่ต้องลดลงให้นัอย(minimize):
1. เกลือ
2. น้ำตาล
3. แป้งฟอกขาว
4. ผลิตภัณฑ์นม
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูป
6. ก้อน Maggi

อาหารที่ต้องการ:
1. ผัก
2. พืชตระกูลถั่ว
3. ถั่ว
4. น้ำมันสกัดเย็น (มะกอกมะพร้าว ... )
5. ผลไม้

สามสิ่งที่คุณควรลืม:
1. อายุของเรา
2. อดีตของเรา
3. การร้องเรียนของเรา

สิ่งสำคัญสามประการ:
1. เพื่อน / สหายของเรา;
2.ความคิดเชิงบวกของเรา
3. บ้านที่สะอาดและน่าอยู่

สามสิ่งพื้นฐาน:
1. ยิ้ม / หัวเราะเสมอ
2. ออกกำลังกายเป็นประจำตามจังหวะของคุณเอง
3. ตรวจสอบและควบคุมน้ำหนักของคุณ

เจ็ดสิ่งที่จำเป็น:
1. อย่ารอจนกว่าเราจะกระหายที่จะดื่มน้ำ
2. อย่ารอจนกว่าเราจะง่วงจึงนอน
3. อย่ารอจนกว่าเราจะเหนื่อยจึงจะพัก
4. อย่ารอจนกว่าเราจะป่วยเพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพ
5. อย่ารอให้ปาฏิหาริย์วางใจพระเจ้า
6. อย่าสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง
7. อยู่ในเชิงบวกและหวังว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้นเสมอ ...

หากคุณมีเพื่อนในช่วงอายุนี้ (50-90 ปี) ที่คุณชอบให้ส่งข้อเสนอแนะเหล่านี้
🙏💕
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 19, 2022 8:52 pm

( 15 )

"เกษียณผิดชีวิตเปลี่ยน"
มีอาม่าคนนึง ช่วยลูกชายขายอาหาร วันหนึ่ง ๆ เดินหิ้วอาหาร ไปส่งลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็น
ลูกค้าประจำในละแวกใกล้เคียง
วันหนึ่งต้องเดินสองรอบ รอบแรก เอาของไปส่ง อีกรอบไปเก็บภาชนะกลับร้าน เก็บตังค์
บางคนจ่ายรายวัน บางคนจ่ายรายสัปดาห์ แกก็จัดทำบัญชี ใช้แรงและสมอง เดิน เดิน เดิน
ทำแบบนั้นเป็นสิบ ๆ ปี ตั้งแต่ลูกยังเล็ก แกก็แข็งแรงดี ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย เจอลูกค้าก็ทักทาย
ยิ้มแย้มแจ่มใส
วันดีคืนดี มีคนช่างวิจารณ์ก็ทักลูกชายแกที่อยู่ในวัยกลางคน“แม่ลื่อแก่แล้ว ทำไมไม่ยอม
ให้แม่พักผ่อน ยังให้ทำงาน”
ฝ่ายลูกพอถูกวิจารณ์ก็หวั่นไหว เกรงจะเป็นลูกไม่กตัญญูเลยบอกแม่ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องไป
ทำงานอีก จึงบอกให้อยู่บ้านพักผ่อน เกษียณได้แล้ว
แล้วหายนะ ก็เริ่มขึ้น หลังจากที่อาม่าเกษียณ !
เดือนแรก ๆ ไม่ค่อยมีอะไรมาก มีปวดเมื่อยนิดหน่อย ต่อมาอาม่าเริ่มเดินช้าลง ปวดเข่าบ้าง
กระเสาะกระแสะ เริ่มปวดหลัง
เพราะวัน ๆ นั่งดูทีวี อยู่บ้าน ไม่มีอะไรทำ ไม่ค่อยเจอใคร
อยู่กับละครช่อง 3 เรื่องเดิม ดูรอบกลางคืน แล้วเขาเอามาฉายใหม่
รอบกลางวันดูจนจำบทได้หมด เพราะไม่ดูละครก็ไม่รู้จะทำอะไร
ต่อมาแกเริ่มปวดเมื่อยมากขึ้น เริ่มเดินไม่ไหว
ลูกพามาหาหมอ หมอบอกเป็นกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ระยะต่อมา กลายเป็นผู้ป่วยนอน
ติดเตียง ต้องใส่แพมเพิส
เพราะลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้ ในที่สุดแกกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
จากที่แกเดินส่งอาหาร เห็นคนนั้น เจอคนนี้ ทักทายลูกค้า เข้าร้านนั้นออกร้านนี้
พอนอนป่วยติดเตียง
สิ่งเดียวที่แกเห็นคือฝ้าเพดาน และหลอดไฟ
ลูกสาวต้องลาออกจากงานนั่งพลิกตัวแม่ทุกสองชั่วโมง ไม่ให้เป็นแผลกดทับ ต่อมาร่างกาย
ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ระบบภายในเริ่มล้มเหลว ทีละน้อยและจากไปอย่างสงบบนเตียงที่ดูเหมือนจะ
สะดวกสบาย ความเห็นส่วนตัวของครู ถ้าแกไม่เกษียณ แกน่าจะยังเดินเก็บตังค์อยู่
ฟังดูน่าใจหายนะคะ จากคนแก่กระฉับกระเฉงคนหนึ่งพอเลิกทำงาน เพียงปีสองปีทรุดเลย
และอาม่า ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนี้ คนสูงวัยที่เลิกทำงาน เกษียณราชการ มักจะเริ่มมีปัญหา
ในปีแรก ถ้าไม่รีบหาอะไรทำ จะเริ่มป่วยภายในปีสองปี บางคนป่วยแค่กาย บางคนทั้งกายและใจ
คือ กายก็ป่วย จิตก็เป็นโรคซึมเศร้า
ครูเห็นอาม่าคนหนึ่ง แก่มาก และคึกคักมาก อยู่ถนนจันทน์ สะพานสาม เป็นย่านขายอาหารเก่าแก่
ช่วยลูกขายอาหารตามสั่ง ใครอยู่ย่านนั้นจะรู้ดีแกแข็งแรงมาก ครูเห็นแกแก่ตั้งแต่ครูยังเด็กตอนนี้ครู
เริ่มจะแก่ แกก็ยังทรงเดิม เหมือนเดิมเป๊ะ ดูเหมือนผอมกระหร่อง น่าจะไม่แข็งแรง
แต่ประทานโทษ แกเคลื่อนไหว ขยับตัวฉับ ๆ ขายของเก่ง คล่องตัว ยืนเชียร์กับข้าว โลกนี้ไม่ได้
มีแค่เด็กเชียร์เบียร์ ยังมีอาม่าเชียร์กับข้าว
“อังนี้ ก็อร่อย อังนั้งก็อร่อย ไม่เผ็ก ไม่เผ็กแค่นี้พอเรอะ เอานี่อีกถุงมั๊ย อร่อยนะ”
อาม่าเชียร์ ด้วยเสียงดัง ห้าว ๆ น่ารัก ๆบางทีไม่หิวขนาดนั้นหรอก แกเชียร์จนต้องซื้อหลายถุง
ครูเชื่อว่าชักกี้ยังไม่ตาย ง่าย ๆ หรอกครูว่าต้องมีคนแอบคิด ว่าทำไมแกไม่เกษียณ ครูว่าถ้าแก
เกษียณ แกคงไม่น่ารอดมาเชียร์กับข้าวถึงวันนี้หรอก ...
ลูก ๆ หลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็รักพ่อแม่เนอะ เห็นพ่อแม่ลำบากลำบน เลี้ยงพวกตนมา พอตน
ทำงานได้เงินมาก ๆ ร่ำรวยแล้ว ก็อยากเห็นแม่สุขสบายอยู่ ๆ ก็จ้างคนใช้มาดูแล ทำงานบ้าน ซักผ้า
ล้างจาน ห้ามแม่ ไม่ให้ทำอะไรเอง เพราะคิดว่า การทำงานบ้านเอง คือ ความลำบาก
ที่จริงแล้ว ทุกกิจกรรม ทุกงานบ้าน มีประโยชน์ มันเป็นการส่งเสริม พัฒนาระบบประสาท พัฒนา
กล้ามเนื้อ มัดใหญ่ มัดเล็ก พ่อแม่บางคนชอบทำอะไรแบบสมัยก่อน ลูกก็ไปดุท่าน บอกว่า“ซื้อเครื่องซักผ้า
แพงก็แพง ทำไมไม่ใช้” หารู้ไม่ว่า การซักผ้าด้วยมือนั้น ทำให้ได้ใช้กล้ามเนื้อ ไม่รู้กี่มัด ต่อกี่มัดเวลา
ผ้าผืนใหญ่มันอมน้ำนะ ยกขึ้นมา มันคือการเล่นเวทย่อม ๆ ของคนสูงอายุ การบิดผ้าให้แห้ง เป็นการใช้
กล้ามเนื้อแขนทั้งด้านหน้า ด้านหลัง บิดหัวไหล่รอบ โอย การซักผ้าด้วยมือเป็นยาอายุวัฒนะ อย่างดีเลยนะคะ
นักเรียนหลายคนปรึกษาครูว่า ควรจ้างพี่เลี้ยงดูแลพ่อแม่หรือไม่
ครูจะส่ายหน้าก่อนเลย ไม่อยากให้จ้าง
ยกเว้นว่าเขาป่วย ไม่ไหวจริง ๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริง ๆ ถ้าเขายังไหว ไม่ควรมีคนช่วย
มีรายหนึ่งบอกแม่ขายของชำ ขายก๊อกแก๊ก ขายขนม ของใช้
ได้กำไร ชิ้นละบาทสองบาท ไม่น่าคุ้ม ขายไม่เห็นรวยซักที ยุให้ปิดร้านก็ไม่ปิด ไม่รู้จะทำไปทำไม
คือ ครูอยากให้มองแบบนี้ ถึงแกไม่รวยแต่แกก็ไม่ป่วย คือ การเจ็บป่วยมันแพง มากนะ
ไฟไหม้บ้านหนเดียว หมดเยอะ แต่มักหนเดียว แต่การเจ็บป่วย มันเผาเงินมาก บ้านใครมี
คนป่วยจะรู้ดี ถ้าแกมีความสุข เจอผู้คน มีรายได้เลี้ยงตัวเอง เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แกทำไปเหอะ
อะไรที่คนแก่ทำได้ ได้เงินมาก ได้เงินน้อย ถ้าเขาทำอยู่แล้วสบายใจ มีกิจกรรม อย่าไปขอให้
เขาเลิก ถ้าเขาเหนื่อย ก็ให้ปิดร้านเร็วหน่อย ขายของเบา ๆ ไม่ต้องยกลังเบียร์ ให้เขาทำเท่าที่เขา
ทำได้ เขาอยากทำ อย่าไปบังคับเกษียณเขาเลย ป่วยขึ้นมาจะลำบาก
เตือนแล้วนะ ...
ส่วนคนที่เกษียณอายุราชการ หรือกำลังจะเกษียณ ควรจะเตรียมตัว วางแผนเกษียณ
อย่างมีแบบแผน
อย่าคิดว่า เกษียณ คือการ “stop” หยุดทำงาน หยุดอาชีพ ให้คิดว่า การเกษียณ คือการ “start”
คือ การ เริ่มต้น เริ่มชีวิตใหม่ ชีวิตที่แค่ไม่ไปทำงานประจำ แต่ต้องมีอาชีพมีรายได้ อาจได้ไม่มาก
รายได้เป็นกอบเป็นกำ เท่าตอนทำงานบริษัท หรือรับราชการ
แต่อย่างน้อย ก็ต้องมีรายได้บ้าง
เพราะเงินบำนาญ หรือเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล อาจไม่พอสำหรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และ
ไม่รู้สึกภูมิใจเท่ากับการหารายได้เอง อีกทาง
และการทำงานนั้น ยังทำให้คนแก่รู้สึกมีคุณค่า มีเป้าหมาย มีพลัง ไม่เจ็บป่วย ทั้งทางด้านร่างกาย
และจิตใจเพียงแต่การทำงาน หรืออาชีพต้องเป็นไปตามกำลัง และศักยภาพที่เรามี

:s015: :s015:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 14, 2022 8:31 pm

( 16 )

*แก่ตัวมากขึ้นพูดให้มากขึ้น*
*Talk more as you get older*

*Doctors says Retirees (senior citizens) should talk more because there is currently
no way to prevent memory loss. The only way is to talk more*
*แพทย์หลายท่านชี้ว่าคนวัยเกษียณ(ผู้สูงวัย) ควรจะพูดคุยให้มากขึ้นเพราะขณะนี้ยังไม่มีทาง
ป้องกันโรคความจำเสื่อม ทางเดียวที่ช่วยได้คือการพูดคุยสนทนาให้มากขึ้น*

*There are at least three benefits to talking more to senior citizens*
การพูดคุยมีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างน้อย3ประการ

*First: Speaking activates the brain and keeps the brain active, because language & thought
communicate with each other, especially when speaking quickly, which naturally results
in faster thinking reflection and also enhances memory. Senior citizens who do not speak,
are more likely to lose memory*
*ประการแรก การพูดกระตุ้นและทำให้สมองมีความคล่องแคล่วเพราะภาษากับการคิดจะสื่อสาร
ระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพูดเร็วซึ่งส่งผลโดยธรรมชาติให้เกิดปฏิกริยาการคิดที่เร็วขึ้นและ
เพิ่มความจำ บรรดาผู้สูงวัยทั้งหลายที่ไม่พูดคุยมีแนวโน้มสมองเสื่อม*

*Second: Speaking relieves a lot of stress, avoids mental illness and reduces stress.
We often say nothing, but we bury it in our hearts and suffocate ourselves._It's true!
So! It would be nice to give seniors a chance to talk more*
*ประการที่สอง การพูดช่วยคลายความเครียดได้มากที่เดียว ช่วยไม่ให้เป็นโรคจิตและลดความเครียด
บ่อยครั้งเราไม่พูดแต่จะเก็บกดไว้ในใจเรา_นี่เป็นความจริง! ด้วยเหตุนี้! จะเป็นการดีที่จะให้โอกาสผู้สูงวัย
ทั้งหลายได้พูดมากขึ้น*

*Third: Speaking can exercise the active facial muscles & at the same time, exercise
the throat & also increase the capacity of the lungs, at the same time, it reduces
the risk of eyes & ears deterioration and reduces latent risks such as dizziness & deafness*
*ประการที่สาม การพูดช่วยให้กล้ามเนื้อบนใบหน้า ทรวงอกได้ขยับตัวออกกำลังและเพิ่มสมรรถภาพ
ของปอด ในขณะเดียวกันการพูดลดความเสี่ยงของการเสื่อมในดวงตาและหู รวมถึงความเสี่ยงที่แฝง
มาเช่นทำให้เวียนศรีษะและหูหนวก*

*In short, retirees, that is, senior citizens * The only way to prevent Alzheimer's is to talk
as much as possible and communicate actively with people. There is no other treatment for it.*
*สรุปสั้นๆได้ว่าสำหรับคนวัยเกษียณหรือบรรดาผู้สูงวัยทั้งหลาย* ทางเดียวที่จะป้องกันโรคอัลไซเมอร์
คือการได้พูดคุยสนทนากับผู้คนเท่าที่จะมากได้และสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีวิธีอื่นใดจะรักษาโรคนี้*

*So, let's talk more and encourage other seniors to talk more with relatives and friends*
*ดังนั้น! ขอให้เราพูดคุยกันมากขึ้นและกระตุ้นให้ผู้สูงวัยท่านอื่นๆพูดคุยสนทนากับญาติมิตรมากขึ้น*

*Could be helpful and healthy; due to the potential impact on the life of elderly citizens*
So share with other Senior Citizens.
*ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์และดีต่อสุขภาพส่งผลดีต่อชีวิตของประชากรสูงวัยของชาติ*
กรุณาส่งให้ผู้สูงวัยท่านอื่นๆด้วยครับ

กัลยาณมิตรส่งมาในไลน์
ถอดความภาษาไทยโดย
ดร.บรรจง ชมภูวงศ์
ประธานชมรมครูเก่าปรินส์ฯ
นักเรียนเก่าปรินส์ฯ รุ่นGlory’69-66’71
มนุษยฯ15 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
23สิงหาคม 2022
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 14, 2022 8:49 pm

( 17 )

10 อย่าง อย่าหาทำยามสูงวัย
————————————
1.อย่าทะเลาะกับเพื่อนสนิท เพราะเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกันก็ล้มหายตายจาก
ไปทีละคนสองคน

ยังจะมาทะเลาะชนิดไม่เผาผีกันกับเพื่อนดีๆ ที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดอีกทำไมกัน

เรื่องเล็กๆน้อยๆ ยอมมันมาทั้งชีวิต ยอมมันอีกสักครั้งสองครั้ง ยอมมันได้ ก็ยอมมันไปเถอะ

2.อย่าปลูกพืชยืนต้นด้วยเมล็ด ไปซื้อต้นสวยๆ ชนิดต่อตา ต่อกิ่ง ขุดตอฯ มาปลูกลงดินเลย
จะได้มีโอกาสชื่นชมดอกสวยๆ ลูกงามๆ ของมัน

เพราะขืนปลูกด้วยเมล็ด กว่าจะได้ดูดอกออกผล คงได้ไปนอนคุยกับรากมันมากกว่า

เอาเงินซื้อเวลา ซื้อต้นโตๆ มา
ยังจะพอมีโอกาสได้ดูดอกออกผลบ้าง

3.อย่าท่องเที่ยวแบบผจญภัยประเภทขึ้นเขา ลงห้วย บุกป่า
ปีนหน้าผา พิชิตดอยฯ เดี๋ยวจะไม่ได้ลงมา

อายุมาแล้ว ต้องเลือกเที่ยวแบบ “กินร้อน นอนเย็น เอนจิบกาแฟ แอ่นระแน๊ดูดาว” ดีกว่านะ

4.อย่าใส่เสื้อผ้าเพื่อโชว์ภาพวาบหวิวโดยเฉพาะคุณผู้หญิง

พยายามห่อเรือนร่างด้วยเสื้อผ้าสวยๆให้มิดชิดไว้ดีกว่า

อย่าผ่าอกลึกๆโชว์วาบหวิว
หรือรัดติ้วโชว์เนื้อหนังมังสา

อายุมากขึ้นแล้ว อย่าโชว์ เพราะเพศตรงข้ามอาจบอกว่า “ให้ดูฟรีๆยังเคืองเลย”

มันเลยเวลาโชว์มานานแล้วละครับ

5.อย่าดื่มกินเพราะเสียดายของโดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อย่าเสียดาย เพราะเห็นว่าเป็นของฟรี เลยใส่เสียเต็มเหนี่ยว
เพราะร่างกายเราไม่ทนทาน
เหมือนตอนหนุ่มๆ แล้วนะครับ

จิบพอครึ้มๆ ให้อารมณ์แจ่มใส ก็พอแล้ว

6.อย่าหากินบุฟเฟต์

อายุมากขึ้น กินบุฟเฟต์อย่างไรก็ไม่คุ้ม อัดเข้าไปมากๆ เพื่อความคุ้ม ก็จะแน่นหน้าอก
อึดอัด นอนไม่หลับเข้าไปอีก สั่งเป็นที่ที่มากินจะดีกว่า สบายท้องกว่ากันด้วย

7.อย่าขับรถเร็วเกิน 90 กม/ชม. เพราะการมองเห็น การตัดสินใจ ความคล่องตัว
ความแข็งแรงฯ มันไม่เหมือนตอนเราหนุ่มสาวแล้ว

ขับรถความเร็วพอดีๆ ทิ้งระยะห่างพอควร เกิดอะไรขึ้นจะได้หยุดทัน

ใครเขาจะรีบ ก็หลบให้เขาแซงไปก่อน

8.อย่านัดสังสรรค์ยามค่ำคืน

อายุมากแล้ว อย่านอนเกินสี่ทุ่ม พอมืดก็จะเริ่มง่วงง่าย
ควรเป็นเวลานอนมากกว่าเวลาสังสรรค์

แถมมองในความมืดก็ไม่ชัด
เจนเหมือนแต่ก่อน ขับรถเองก็จะมองถนนไม่ค่อยถนัดเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น อายุมากแล้ว นัดกันตอนเที่ยงๆ หรือตอนกลางวันดีกว่า

9.อย่าออกกำลังตามเทรน ให้ออกกำลังตามวัยจะดีกว่า
จะมาวิ่งมาราธอน ขี่จักรยานเสือภูเขา ปีนหน้าผา เตะฟุตบอล ต่อยมวยฯ
ทั้งที่ไม่เคยทำเลย … อันนี้ อันตรายเกินไป ต่อสุขภาพ

เลือกออกกำลังกายที่เหมาะกับวัย เช่น เดิน วิ่งเบาๆ ทางเรียบ ขี่จักรยานทางเรียบ
ว่ายน้ำ เต้นรำฯ แบบนี้จะเหมาะกับวัยมากกว่า

10.อย่าหาเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล
จนอาจต้องติดคุกติดตะราง

อะไรไกล่เกลี่ย ยอมความกันได้ ก็ยอมๆ กันไปบ้าง อย่าได้ถึงติดคุกติดตะรางกันเลย
อยู่ข้างนอก สบายกว่าในคุกมากมายนัก

อายุมากแล้ว อย่าเป็นคน “ยอมหัก ไม่ยอมงอ”
เหมือนตอนรุ่นๆ เลย เดี๋ยวจะตายในคุกเอาเปล่าๆ

ใช้ชีวิตในยามสูงวัย ให้มีความสุขและความรื่นรมย์ดีกว่า
.

ดร.พนม ปีย์เจริญ
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:59 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ต.ค. 16, 2022 8:43 pm

( 18 )

สุขภาพ อายุ 70
☝️13 สิ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อ
อายุย่างเข้า 70 ปี😲

จริงๆแล้ว จะมี 13 สิ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ เมื่ออายุย่างเข้า 70 ปี โดยที่
การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจไม่จำเป็น ต้องเกี่ยวกับโรคภัยอะไร

ฮาร์ทแลนด์ เอช เซอร์วิสเสส
ขอนำ ข้อสรุปการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จากบทความในเวปไซต์
ทางการแพทย์ชื่อ WebMD ที่สรุปการเปลี่ยนแปลง
ที่จะเกิดขึ้น เมื่อคนเรามีอายุเข้า 70 ปี ไว้ดังนี้

1. ความจำในชื่อคน สถานที่จะเสื่อมลง หรือสมาธิ ในการจะทำอะไรสักอย่างจะลดลง

2. อัตราการเต้นของหัวใจ ต่อนาที จะช้าลง เนื่องมาจากผนังหลอดเลือด ที่หนาขึ้น
ตามอายุ การออกกำลังกาย จะช่วยได้

3. ผิวหนังที่เหี่ยวย่นและแห้ง
สิ่งที่ช่วย คือ ใช้สบู่อ่อนๆ และครีมกันแดด

4. การเจริญอาหารจะลดลง ควรลดอาหาร พวกแป้ง และเพิ่ม วิตามิน

5. กระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ
จะหดตัวลง การออกกำลังกาย
โดยการยกน้ำหนัก ที่ไม่หนักเกินไป จะช่วยได้

6. นอนน้อยลง และตื่นตอนดึก
ควรใช้เวลานอน รวมกัน
ให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน

7. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
จะทำงานลดลง จึงเป็นหวัด หรือโรคปอด หรือติดเชื้อได้ง่าย
ควรฉีดวัคซีนป้องกัน ปีละครั้ง ตามที่แพทย์แนะนำ

8. ระบบขับถ่ายจะแย่ลง
โดยเฉพาะ มักเกิดอาการท้องผูก การออกกำลังกาย และยาถ่าย จะช่วยได้

10. มีอาการ เริ่มกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

11. ความต้องการทางเพศหมดไป

12. ระบบการมองเห็น ทางตา จะเริ่มเสื่อมลง

13. ระบบการรับฟัง ทางหู จะเสื่อมลง

*บทความนี้ ได้กระตุ้นให้คนทุกวัย แม้กระทั่งช่วงอายุ 50-70 ปี

ออกกำลังกายเป็นประจำ
ทานอาหาร ปริมาณน้อยลง และเลือกทานอาหาร ที่เป็นประโยชน์ เช่น ผัก
ผลไม้ นม เป็นส่วนใหญ่ ในแต่ละมื้อ*
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:59 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ต.ค. 17, 2022 9:14 pm

( 19 )

สามฮอร์โมนแห่งความสุข

ตั้งแต่มนุษย์เริ่มคิดอะไรออก ความพยายามตามหา “ความสุข” น่าจะเป็นเรื่องราวหลักของชีวิตที่
เราดำเนินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์สมัยโบราณจนถึงนักคิดในปัจจุบัน หลักการที่ว่ามนุษย์นั้น
เกิดมาก็เป็นทุกข์ตามหลักศาสนาก็ดูจะเป็นแบบนั้น ยิ่งไขว่คว้าหาความสุขมากเท่าไหร่
ยิ่งเหมือนความทุกข์ก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น

การอธิบายเรื่องการแสดงหาความสุขนั้นมีมาหลายรูปแบบ ล่าสุดผมอ่านหนังสือเรื่องพีระมิดสามสุข
(the three happiness) ของคุณชิอน คาบาซาวะ แปลโดยคุณนิพดา เขียวอุไร แล้วชอบในวิธีคิด
ของคุณคาบาซาวะมาก คุณคาบาซาวะเป็นจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาศาสตร์ เขา
เริ่มจากการสังเกตสารเคมีในสมองเวลามนุษย์มีความสุขว่ามีสารอะไรหลั่งออกมาบ้าง มนุษย์ใน
รอบหลายพันปีนั้นแทบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนทางร่างกายและฮอร์โมนเลย ถึงแม้ว่าโลกจะหมุนไปอย่าง
รวดเร็ว การตอบสนองสิ่งเร้าและการหลั่งสารเคมียังแทบจะเหมือนเดิม เวลามนุษย์มีความสุขในรูป
แบบต่างๆนั้นจะมีสารเคมีหลั่งออกมาเป็นร้อยชนิด แต่ตัวที่สำคัญที่สุดมีอยู่สามตัวก็คือ เซโรโทนิน
ออกซิโดซิน และโดพามีน

มนุษย์จะหลั่งสารเซโรโทนินออกมาเวลามีความสุขที่ผมเรียกว่าปกติสุข คือมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ
จะหลั่งสารออกซิโตซินเวลามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือมิตรภาพ และจะหลั่ง
สารโดพามีนออกมาเวลาประสบความสำเร็จ ได้เงินทอง ชื่อเสียง บรรลุเป้าหมายทั้งทางดีและไม่ดี
รวมถึงการเล่นการพนันหรือแม้แต่การใช้มือถือ

คุณคาบาซาวะบอกว่าการเรียงลำดับความสำคัญของความสุขจากฮอร์โมนสามอย่างนั้นสำคัญมาก
ถ้าเรียงผิดนี่ชีวิตเปลี่ยนกันเลยทีเดียว เช่นถ้ามัวแต่ทำงานหนักไขว่คว้าหาความสำเร็จโดยแลกมา
ซึ่งสุขภาพหรือความสัมพันธ์ ต่อให้ได้มาก็จะไม่มีความสุข รากฐานของความสุขที่แท้จริงนั้นต้องเริ่ม
จากตัวเอง (เซโรโทนิน) ก่อน แล้วต่อด้วยการให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง (ออกซิโดซิน) แล้วถึง
เป็นความสำเร็จเรื่องการงาน (โดพามีน).

สภาวะที่ร่างกายจะหลั่งเซโรโทนินนั้นเป็นสภาวะปกติสุข ร่างกายแข็งแรง สดชื่นแจ่มใส ผ่อนคลาย
รู้สึกดีเวลาออกกำลังตอนเช้าๆ ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร ถ้าเซโรโทนินลดลงเราจะควบคุมอารมณ์ได้ยาก
จะหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย โมโหง่าย หม่นหมอง ซึมเศร้า

สภาวะที่ร่างกายจะหลั่งออกซิโตซินนั้นเกิดจากความผูกพัน ความรัก มิตรภาพ ความสัมพันธ์เชิงบวก
กับคนรอบข้าง ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า รู้สึกซาบซึ้งกับการที่รู้ว่ามีคนห่วงใย แม้กระทั่งการมีสัตว์
เลี้ยงคู่ใจ ถ้าขาดออกซิโตซินก็จะรู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยวด้วยเช่นกัน

ส่วนโดพามีนนั้น ร่างกายจะหลั่งเวลาเกิดสิ่งเร้าทำให้ตื่นเต้น สำเร็จ เช่นเรื่องหน้าที่การเงิน เงินเดือนขึ้น
แม้แต่การเล่นเกม เล่นการพนัน เล่นมือถือ กินของอร่อย สนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ก็จะทำให้เราอยากจะ
ได้มาเพิ่มขึ้นไปอีก แถมระดับเดิมที่ได้พอได้บ่อยๆก็จะเริ่มชิน ต้องได้มากได้ดีกว่าเดิมจึงจะพอใจ รวมถึง
จะมีอาการเสพติดด้วยเช่นกัน การดื่มเหล้าเบียร์ก็มีโดพามีนหลั่งออกมา เราถึงติดเหล้า ติดการพนัน
ติดมือถือได้โดยง่าย

คุณคาบาซาวะเลยนิยามความสุขจากแนวความคิดของการหลั่งสารความสุขไว้ว่า จริงๆแล้วความสุข
ไม่ใช่การไขว่คว้าแต่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ถ้าเราเป็นอยู่ เช่นออกไปเดินเล่นตอนเช้า มีสุขภาพดี มีครอบครัว
ที่อบอุ่น สองสารแรกก็จะหลั่งอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปตั้งเป้าความสุขใหญ่ๆที่ยากที่จะได้มาและพอถึงแล้วก็
ไม่อยู่จริงเพราะจะต้องอยากได้มากขึ้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นภาพลวงตาที่นำมาสู่ความทุกข์ในที่สุด
เช่นได้เงินเดือนมากตามที่เคยคิดพอได้มาก็จะอยากได้มากไปอีก เป็นต้น

นอกจากนั้นวิธีคิดเวลาได้รับสิ่งที่ได้ตามเป้าหมายที่ทำให้โดพามีนหลั่งแล้ว ถ้าเรามีวิธีคิดถึงคนรอบข้าง
ที่ช่วยเหลือเราจนมีวันนี้ มีความซาบซึ้งใจพร้อมไปด้วยก็จะทำให้สารความสุขที่ยั่งยืนอย่างออกซิโตซิน
หลั่งออกมาด้วย พลังแห่งความสุขก็จะมากขึ้นมาก เพราะโดพามีนเป็นความสุขที่ลดลงได้ง่าย แต่อีก
สองฮอร์โมนนั้นจะยืนยาวกว่ามาก

ผมไม่ได้มีความรู้อะไรด้านสารเคมีหรือเข้าใจอะไรเกี่ยวกับฮอร์โมนมนุษย์เลย แต่คิดตามตรรกะแล้วก็
เห็นจริงตามที่คุณคาบาซาวะเล่า พื้นฐานของความสุขที่ผมคิดตามก็คือการรักษาร่างกายให้แข็งแรง
จิตใจให้แจ่มใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้มีเซโรโทนินซึ่งเป็นผู้บัญชาการฮอร์โมนหลัก
ปรับสมดุลย์ให้ร่างกายให้ “ปกติสุข” และมองความสัมพันธ์ของคนรอบข้างทั้งขอบคุณผู้ที่ทำเรื่องดีๆ
ให้เรา และพยายามสร้างคุณค่าที่ทำให้คนอื่นมา “ขอบคุณ” เรา เหตุดังกล่าวก็จะทำให้ออกซิโตซินหลั่ง
ออกมา และก็ดูจะเป็นเรื่องราวเดียวกับเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามหาว่าทำไมคนโอกินาวาอายุยืนแล้ว
ค้นพบคำว่า “อิคิไก” ที่ดูจะเป็นเรื่องสอดคล้องกันอยู่ไม่น้อย

ส่วนความสุขแบบโดพามีนนั้นน่าจะต้องใช้ความระมัดระวังด้วยการใช้เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายที่ดีๆ
พัฒนาตนเอง แทนที่จะหันไปแสวงหาโดพามีนจากการเสพติดสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารเสพติดหรือ
กิจกรรมเสพติดต่างๆเช่นไถมือถือ หรือ เล่นการพนัน และเมื่อแสวงหาความสุขแบบโดพามีนนั้นก็ควรจะ
ต้องมองถึงคนรอบข้างที่ “ไปด้วยกัน ไปได้ไกล” กับเรา รวมถึงหาเป้าหมายที่ทำแล้วมีคนได้ประโยชน์ไป
พร้อมกันกับเรา ก็จะได้สารแห่งความสุขมากกว่าหนึ่งอย่างตามไปด้วย

…………..

คุณคาบาซาวะ เริ่มด้วยสารแห่งความสุขสามอย่างแต่จบด้วยข้อสรุปสามประการไว้ว่า
ความสุขอันเปี่ยมล้นนั้นประกอบด้วย สุขภาพดี ความซาบซึ้งใจ และความมีน้ำใจ ….

ใครแวะไปงานสัปดาห์หนังสือ เล่มนี้ก็เป็นเล่มหนึ่งที่น่าสอยมากๆเลยครับ
เขียนไว้ให้เธอ

:s012:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 9:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:46 pm

( 20 )

*ผลงานของดร.บรู๊ซ ลิปตัน* (2)
ในคลิป 5 นาทีนี้ ดร.ลิปตันได้ให้ข้อมูลที่จะช็อกคนทั้งโลก
ว่าแต่ว่าเราจะสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้แค่ไหน
เรามาฟังกันดูนะคะ
https://youtu.be/KpNZoowANNU
ดร.ลิปตันบอกว่า กว่าวิทยาศาสตร์จะมายอมรับ
และเข้าใจในเรื่องที่เขาค้นพบต้องใช้เวลาถึง 20 ปี
นั่นก็คือ Epigenetics เราสามารถรักษาร่างกายของเราเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยา
ถ้าเราเข้าใจมันได้จนสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จริง
เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพายารักษาโรคอีกต่อไป
โรงงานผลิตยา/ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ก็จะต้องมีอันปิดตัวลงโดยสิ้นเชิง
สิ่งที่ ดร.ลิปตันวิจัยเรื่องนี้จนได้ผลออกมาว่า
ผลดีจากการใช้ยามาจาก"ความเชื่อ"ที่ว่า
"คุณกำลังได้รับยาชนิดพิเศษที่จะทำให้คุณหายจากอาการเจ็บป่วย"
เมื่อคุณมี"ความเชื่อ" คุณได้กินยาตัวนี้เข้าไป "คุณก็จะหาย"
ทั้งๆที่คนไข้คนนั้นได้รับยาหลอกที่ทำมาจาก ลูกอมธรรมดา ๆ
เป็นที่รู้จักกันในนาม Placebo Effects นั่นเอง
การหายจากการเจ็บป่วย อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่มาจากยาใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เป็นเพราะร่างกายของคนเรา มีความสามารถในการรักษาตนเองอยู่แล้ว
คนส่วนใหญ่ที่ไปพบแพทย์ ไปรักษาตัวที่รพ.จ่ายเงินค่ารักษาไป
โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองต่างหากที่รักษาตนเองให้หาย หาใช่ยาหรือหมอคนใด
ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่หายแล้วตายไปก็มีมากมาย
ก็หาใช่จากความล้มเหลวของแพทย์หรือใช่การไม่มียารักษาไม่
แต่เป็นเพราะตนเองนั่นแหละ สั่งให้ตนเองป่วยต่อไป หรือให้ตนเองตาย
หมายเหตุ ยาที่จะรักษาคนได้ ต้องเป็นยาที่ร่างกายรู้จัก
ยาที่ร่างกายของตนเองรับเข้าไปใช้ประโยชน์ได้จริงคือยาที่มาจากพืช
ยาจากพืชเป็นสารอาหารที่ร่างกายรู้จัก
นอกนั้นแล้ว จะไม่ใช่สิ่งที่จะมาเยียวยาเราได้จริง
ยาที่แพทย์จ่ายมาให้เราจึงช่วยเพียงแค่แก้ไขอาการชั่วคราว
เพียงแต่เราทำเป็นโง่ หรือไม่ก็หลอกตนเองทำเป็นไม่รู้ว่า
สาเหตุของการเจ็บป่วยของเรายังไม่ได้รับการแก้ไขด้วยยาเหล่านี้
ข้อดีของยาพวกนี้ก็คือ ทำให้ร่างกายของเราดีขึ้นจากอาการเจ็บทันที
ส่งผลให้จิตใจของเราดีขึ้น
แถมนึกว่าเราหายแล้วอีกต่างหาก เราก็เลยหายป่วยไปโดยปริยาย
งานวิจัยที่ดร.ลิปตันทำมา จึงได้บทสรุปออกมาว่า
ความคิดของคุณ คือตัวกำหนดความเป็นไปของชีวิตของคุณ
ทั้งความคิดที่เป็นบวกและความคิดที่เป็นลบ
สุขภาพร่างกายของคุณจึงมาจากความคิดของคุณเองทั้งสิ้น
ถ้าเราคิดเป็น เราจะไปรีโปรแกรม กลไกการทำงานของระบบในร่างกาย
ลึกลงไปถึงในระดับยีนเลยทีเดียว
พูดง่าย ๆ ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลง ชะตากรรมของตนได้ผ่านความคิด
ดร.ลิปตัน ยังบอกว่าสิ่งที่เรา จะต้องให้ความสำคัญกับ Nocebo Effects
นั่นคือความคิดที่เป็นลบ ที่มีอิทธิพลมากมายกับชีวิตของเรา
คนเราทุกวันนี้ใช้ชีวิตในความคิดลบ 70% คิดบวก 30%
นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงป่วย ไม่สบาย ไม่มีเงิน ขัดสน
นั่นเป็นเพราะ เราสั่งจิตของเราทุกวี่ทุกวัน ให้เป็นไปตามที่จิตเราโปรแกรมไว้
งานวิจัยของเขาได้วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงการตรวจวิเคราะห์เซลล์และเนื้อเยื่อ
และดูกลไกการเชื่อมต่อกันของจิตกับกาย ดูการเปลี่ยนแปลงถึงระดับยีน
ทำให้เขาทราบว่า
จิตมีอิทธิพลมากที่สุด สามารถดลบันดาลในสิ่งที่ร่างกายปรารถนาได้จริง ๆ
กลับมาที่เรื่องของธุรกิจยา ดร.ลิปตันบอกว่า
เหตุผลเดียวที่แพทย์และธุรกิจยาผู้กุมบังเหียนการรักษาพยาบาลไว้ทั้งหมด
ปฏิเสธที่จะให้ความสนใจเรื่อง Epigenetics
เป็นเพราะเขาไม่สามารถเอา"ความคิดที่เป็นบวก"มาใส่แคปซูลขายได้
ถ้าเขาทำได้ ป่านนี้ก็จะมีการโปรโมทโฆษณากัน ยิ่งกว่ายาใด ๆ หน้าจอทีวี
บริษัทยาคิดอยู่อย่างเดียวว่า
จะผลิตยาอะไรดี ที่จะทำให้คนต้องกินยาตัวนี้ตัวนั้นไปตลอดชีวิต
ไม่ว่าคนจะต้องตายจากการใช้ยา ปีละเท่าไหร่ ก็หาได้หยุดยั้งกลุ่มทรงอิทธิพลนี้ไม่
และพวกเขาคือผู้ควบคุมตัวจริงของวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้งหลายทั้งปวง
เราถึงกับทำสงครามต่อต้านยาเสพติด ที่มีคนตายปีละ 30,000 คน
ใช้คำว่า War on Drugs เหมือนกันเลยกับบ้านเรา
แต่มีใครรู้บ้างไหมว่า มีคนตายจากการใช้ยามากถึงปีละ 3 แสนคน
แต่ไม่ยักกะมีใครให้ความสนใจที่จะเข้าไปสอดส่องและคิดว่ามันเป็นปัญหา
ตายกันมากถึงปีละ 3 แสนคนมากกว่ายาเสพติดถึง 10 เท่าตัว
เราควรจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม?
ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะอิทธิพลของบริษัทยา ที่อยู่เหนือแพทย์นั่นเอง
แพทย์คือคนขายยาให้โรงงานยา เขามีส่วนได้ส่วนเสียให้แก่กันและกัน
ในแต่ละครั้งที่คุณไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะขายยาให้คุณหรือไม่ก็ผ่าตัดคุณ
แพทย์ขายยา Prozac ให้คุณทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันมีผลข้างเคียงเช่นไร
หรือขายยา Statin ให้คุณ ทั้ง ๆ ที่มีคนจะแย่ลงมากถึง 23% และจะดีขึ้นเพียง 3%
พวกเขาก็ยังสามารถจัดการให้มีการสั่งจ่ายยานี้อย่างไม่หยุดยั้ง
และอื่น ๆ อีกมากมาย สุดจะประมาณได้
กลับมาเรื่องธรรมชาติโอสถ กันต่อ
ดร.ลิปตันค้นพบว่า เราสามารถแก้ไขพันธุกรรมของเราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จิตใจ
ด้วยการคิดดี คิดเรื่องที่นำความสบายอกสบายใจมาให้
ไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในห้วงของความหวาดกลัว
ความเครียด ความกลัวจะสั่งให้เราตายได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเราคิดเป็น ร่างกายของเราก็จะสนองตอบต่อความคิดนั้น ๆ
แล้วสั่งการไปที่เซลล์ให้ดำเนินตาม
เราก็จะป่วยจริง ๆ และตายในที่สุด
เป็นไปตามที่เราคิด และหวาดระแวง และหวาดกลัว
ด้วยความคิดเหล่านี้เป็นกลไก ไปสั่งการทำงานของเซล ให้ทำตามทุกประการนั่นเอง
มีคนอีกเท่าไหร่ที่เป็นเช่นนี้ และตกอยู่ในสภาพนี้
คาดว่าไม่ต่ำกว่า 70% ของประชากรโลกเลยทีเดียว
ดีที่ดร.ลิปตันได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำการวิจัย
จนได้ผลพิสูจน์ออกมา ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน
เสียแต่ว่าผลงานดังกล่าวยังไม่มีการระดมโปรโมทให้คนได้รู้ได้เชื่อได้ทำตาม
ก็อย่างที่รู้ ๆ กันนะแหละว่า วงการแพทย์การรักษาพยาบาล ตกอยู่ใต้อิทธิพลของบริษัทยา
ที่จะไม่มีวันยอมให้ประชาชน ได้รู้เรื่องแบบนี้อย่างเด็ดขาด
ด้วยบริษัทเหล่านี้คิดแต่จะเอากำไร จากความเจ็บป่วยของผู้คน
การเรียนการสอนแพทย์ศาสตร์ถูกกำกับโดยพวกเขาทั้งสิ้น
แพทย์จึงถูกฝึกฝนมาเพื่อขายยา ขายการใช้อุปกรณ์การแพทย์ให้กับบริษัทยา
การให้ทุนการศึกษา การวิจัยต่าง ๆ ก็มาจากเม็ดเงินสนับสนุนจากบริษัทยาทั้งสิ้น
เราจึงจำเป็นต้องขวนขวายศึกษาเพื่อดูแลตนเองให้ถูกทาง
พระพุทธองค์ได้สอนให้พวกเราหมดแล้ว
ที่เหลือคือความเชื่อ
ที่จะเดินตาม
แล้วพิสูจน์คำสอนนั้นด้วยตนเอง
บางทีบทความนี้ คลิปนี้ อาจจะไปจุดประกายให้คุณ
หันมารักษาร่างกายและจิตใจของตนเองเสียใหม่
ล้างความคิดความเชื่อเดิม ๆ ที่คุณถูกล้างสมองมา
แล้วมาจัดระเบียบชีวิตกันใหม่
ขอให้สำเร็จตามที่ตนตั้งจิต สั่งจิต ดูจิตของตนให้คิดดี ทำดี
เพื่อจะได้รับผลที่ดี ๆ ตลอดไป
ดร.บรู๊ซ ลิปตัน Stem cell biologist,
bestselling author of The Biology of Believe,
recipient of the 2009 GOI Award.
นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าด้านสเต็มเซล
ค้นคว้าวิจัยเรื่องกลไกการทำงานของโมเลกุลที่ควบคุมพฤติกรรมของเซลล์
molecular mechanisms controlling cell behaviors
งานวิจัยด้านการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับการตีพิมพ์ใน The Journal Science
ถือเป็นต้นแบบของวิชาการด้านการพันธุกรรม Human Genetics Engineering
งานของดร.บรู๊ซ ลิปตันมีมากมายติดตามได้ในยูทูปและเว็บไซด์

:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 17, 2023 9:32 pm

( 21)

หมอได้ผ่าศพคนอายุ 90-103 ปี ที่ตายธรรมชาติ พบว่าแต่ละคน ล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่
บางคนมีหลายแห่งด้วย แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่มีอาการ

เขาเชื่อว่ามันสงบอยู่ในระยะฟักตัว หรือ จำศีล ถ้ามีสิ่งที่มีปลุก หรือกระตุ้นให้ตื่น จึงจะ
เจริญเติบโตวงการแพทย์ปัจจุบัน กำลังพยายามหาวิธีทำให้เซลล์มะเร็งสงบอยู่ได้ตลอดไป

เชื่อว่าอาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งสงบได้แก่
1. ขมิ้น (สารที่เชื่อว่า ต้านมะเร็ง คือ curcumin)
2. พริก (capsaicin)
3. ขิง (curcumin)
4. ชาเขียว (catechin)
5. ถั่วเหลือง (isoflavones)
6. มะเขือเทศ (lycopene)
7. องุ่น (resveratrol)y
8. กระเทียม (sulfides)

10 อันดับ อาหารที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งฟื้น คือ
1. แฮมเบอร์เกอร์ ของทอด, โค้ก (Hamburger Fries + Cola)
2. ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น + ชาไข่มุก (Pork ribs rice + Zhen milk)
3. เกี๊ยวซ่า + นมถั่วเหลือง (Pot Sticker + Soy Milk)
4. สปาร์เก็ตตี้อิตาเลียน + ซุปเมอแรงค์ ((Grilled Italian noodles) + meringue soup)
5. ไก่ทอดเกาหลี + เบียร์ (Korean fried chicken + beer)
6. ข้าวผัด + ซุปกงเหมา (Fried rice + Gongmao soup)
7. ราเมง + ครีมแข็ง (Ramen + Frost Cream)
8. ข้าวหน้าหมูตุ๋น + ซุปลูกชิ้นปลา (Braised Pork Rice + Fish Ball Soup)
9. ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น + กะหล่ำปลีดอง (Braised beef noodles + sauerkraut)
10. หมูทอด + โอเด้ง (Fried meat round + Oden boiled)

ส่วนอาหารที่ต้านพิษ ได้แก่
1. มันหวาน (Sweet potato)
2. ถั่วเขียว (Mung beans)
3. ข้าวโอ๊ต (Oats)
4. เม็ดบัว (Huanren)
5. เซียวหมี่ (Xiaomi)
6. ข้าวกล้อง (Brown rice)
7. ถั่วแดง (Red Beans)
8. แครอท (Carrots)
9. แยม (Yam)
10. หญ้าเจ้าชู้ (Burdock)
11. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
12. หัวหอม (Onions)
13. รากบัว (Lotus root)
14. หัวไชเท้า (White radish)
15. โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia halodendron)
16. ใบของมันหวาน (Sweet potato leaves)
17. ใบหัวไชเท้า (Radish leaves)
18. ชวานชี (Chuanqi)
19. โยเกิร์ต (Yogurt)
20. น้ำส้มสายชู (Vinegart)

"You are what You eat"
คุณจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณกินเข้าไป

Dunno who wrote but I do
ไม่รู้ใครเขียนแต่ผมทำตาม...ฮา

ด่วน... เส้นเลือด "ตีบ" ในสมองเกิดขึ้นทุก 4 นาที ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ?
แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ?

ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี มันเกิดอะไรขึ้น
ความพิการจะหยุดได้หรือไม่ได้

ถ้าสำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า "หยุดได้" เส้นเลือดตีบในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที
ปีละเป็นแสนคน ดารานักแสดง.. คนจน.. คนรวย.. ก็ไม่เว้น จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก
วันนี้การแพทย์สหรัฐ ยังบอกเลยว่า มันยากมากที่สุด การรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะ
เลือนลาง เสียงบประมาณมากมาย กับคนป่วยเหล่านี้...

อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร ? เส้นเลือดตีบ อาการที่ส่งสัญญาณ คือ :-
1. อาการมึนหัว
2. อาการบ้านหมุน
3. อาจมีอาการ อาเจียนร่วม
4. อาการร่วม อ่อนแรงที่แขน
5. อาการร่วม อ่อนแรงที่ขา
6. มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด

จากพฤติกรรมที่ทำ คือ :-
1. พักผ่อนน้อย
2. ดื่มน้ำน้อย
3. นอนดึก
4. ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ
5. ชอบทานอาหารมันๆ
6. ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่
7. ขาดการออกกำลังกาย
8.ไม่เคยปรับสมดุล ดูแลระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนให้สมดุล
9. นั่งนาน
10. ยืนนาน
11. ทำงานหนัก
12. ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น

ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรม ที่สะสมมานาน
ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือดถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟู สามารถทำได้
แต่ต้องใช้ระยะเวลา.. นาน.. ไม่ต่ำกว่า 5 ปี

คนที่เป็นมีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลา ไม่เกิด 3-6 เดือน
อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมา
ได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค

เอาละครับ คิดว่าข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ คงช่วยให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงได้ ห่างไกลความพิการ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (อนุญาตให้แชร์ข้อมูลได้ครับ) เพื่อเป็นวิทยาทาน
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 05, 2023 8:23 pm

( 22 )


ดร.วาดะในญี่ปุ่นสนับสนุนการเรียกคนที่อายุมากกว่า 70 ปีว่า "คนที่โชคดี" แทนที่จะเรียก "ผู้สูงอายุ"

เขาสรุปเคล็ดลับที่คนอายุ 70 ปี กลายเป็น "ผู้โชคดี" เป็น "42 ประโยค"

ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปีไม่จำเป็นต้องตรวจร่างกายเป็นประจำเพราะ "มาตรฐานของสุขภาพ"
แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เขายังพูดว่า "อย่าเชื่อสิ่งที่หมอพูด" เนื่องจากแพทย์ติดต่อกับ "คนไข้"
จึงไม่เข้าใจว่าสุขภาพคืออะไร ในขณะเดียวกัน เขายังต่อต้านการใช้ยาหลายชนิดในระยะยาว
ของผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้ "ใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น" กล่าวอีกนัยหนึ่ง
"การรับประทานยาเพื่อป้องกันบางสิ่ง" ไม่สมเหตุสมผลเลย

ตามมุมมองนี้ ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องกินยานอนหลับบ่อย ๆ การอดนอนขณะอายุมากขึ้นเป็น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และไม่มีใครตายเพราะโรคนอนไม่หลับ. ตลอด 24 ชั่วโมง
นอนเมื่อไหร่ก็ได้ ตื่นเมื่อไรก็ได้ นี่คือสิทธิพิเศษของผู้สูงอายุ

นอกจากนั้น ระดับคอเลสเตอรอลที่ผู้สูงอายุโดยทั่วไปเป็นห่วง แม้จะสูงในระดับหนึ่ง
แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวล เพราะคอเลสเตอรอลเป็นวัตถุดิบสำหรับร่างกาย
ในการสร้าง เซลล์ภูมิคุ้มกัน ยิ่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง
ในผู้สูงอายุก็ยิ่งลดลงเท่านั้น นอกจากนั้น ฮอร์โมนเพศชายส่วนหนึ่งยังประกอบด้วย
คอ เลสทอรอลด้วย. ถ้าระดับคอเลสเตอรอลต่ำเกินไป สุขภาพกายและจิตใจของ
ผู้ชายจะไม่ยั่งยืน
เช่นเดียวกัน ความดันโลหิตสูงไม่สำคัญเลย มากกว่า 50 ปีมาแล้ว ภาวะทุ โภชนาการ
ของมนุษย์แพร่หลาย. ดังนั้น เมื่อความดันโลหิตสูงถึงประมาณ 150 เส้นเลือดจะแตก.
แต่มีไม่กี่คนที่ขาดสารอาหารในทุกวันนี้ ดังนั้นแม้แต่ความดันโลหิตมากกว่า 200 ก็
จะไม่ทำให้หลอดเลือดแตก.

ดร.วาดะสรุปเคล็ดลับที่คนอายุ 70 ปี กลายเป็น "คนมีโชค" เป็น "42 ประโยค" ดังนี้
1. เดินต่อไป
2. หายใจลึก ๆ เมื่อคุณรู้สึกหงุดหงิด
3. ออกกำลังกายเพื่อไม่ให้ร่างกายรู้สึกตึง
4. ดื่มน้ำมากขึ้นเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศในฤดูร้อน
6. ยิ่งเคี้ยวมากเท่าไหร่ ร่างกายและสมองก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
7. ความจำเสื่อมไม่ใช่เพราะอายุ แต่เพราะไม่ใช้สมองในระยะยาว
8. ไม่ต้องกินยาเยอะ
9. ไม่จำเป็นต้องจงใจลดความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
13. ทำในสิ่งที่เธอรัก ไม่ใช่สิ่งที่เธอเกลียด
15. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าอยู่บ้านตลอดเวลา
16. กินอะไรก็ได้ ร่างกายอ้วนก็พอดี
17. ทำทุกอย่างอย่างพิถีพิถัน
18. อย่าจัดการกับคนที่คุณเกลียด
20. แทนที่จะต่อสู้กับโรคจนถึงที่สุดจะดีกว่าที่จะอยู่กับมัน
21. "รถต้องมีทางขึ้นเขา" คือมนต์วิเศษที่ทำให้คนแก่มีความสุข
24. ห้ามเผลอหลับ ห้ามฝืน
25. ทำสิ่งที่มีความสุขดีที่สุดเพื่อกระตุ้นการทำงานของสมอง
27. หา "หมอครอบครัว" ก่อนเวลา
28. อย่าอดทนหรือบังคับตัวเองมากเกินไป ไม่มีอะไรผิดปกติกับการเป็น "คนแก่ที่ไม่ดี"
31. เลิกเรียนแล้วจะแก่
32. อย่าโลภอยากได้ของไร้สาระ มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะมีทุกอย่างที่คุณมีตอนนี้
33. ความบริสุทธิ์เป็นสิทธิพิเศษของผู้สูงอายุ
34. ยิ่งมีปัญหามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น
36. ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
37.อยู่อย่างสบาย ๆ วันนี้
38. ความปรารถนาเป็นต้นกำเนิดของอายุยืน
39. ใช้ชีวิตอย่างมองโลกในแง่ดี
40. คนร่าเริงจะเป็นที่นิยม
41. กฎแห่งชีวิตอยู่ในมือของคุณเอง
42. ยอมรับทุกอย่างอย่างสงบ

https://deemagclinic.com/2022/12/04/fortunate
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 04, 2024 8:11 pm

( 23 )

“คนจะแก่ ที่ขาก่อน”

เดิน ๆ ๆ เดินให้ได้ทุกวัน
ธรรมชาติกำหนดให้เท้าเป็นผู้รับใช้ตลอดชีวิต
ชีวิตความร่วงโรยจากการแก่ชรา จะเริ่มจากเท้าขึ้นมา...

..จงทำให้ขาทั้งสองของท่านแข็งแรงและคล่องแคล่วว่องไวอยู่เสมอ..

▪️ในขณะที่เราร่วงโรยลงทุกวัน ขาทั้งสองของเราต้องแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เราไม่ควรกังวล
ไปกับเผ้าผมที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ผิวหนังและผิวหน้าที่เหี่ยวย่น

▪️วารสารชื่อดังของสหรัฐชื่อ Prevention ได้สรุปไว้ว่า คนที่อายุยืนยาวนั้น การมีกล้ามเนื้อขา
ที่แข็งแรง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด..จงออกกำลังด้วยการเดินทุกวัน..

▪️หากคุณไม่ขยับแข้งขยับขาสักสองอาทิตย์ ความแข็งแรงของขาของคุณขะลดลงไป 10 ปี
...จงเดินเถิด..

▪️มหาลัยโคเปนเฮเก้นที่เดนมาร์ก ได้ศึกษาพบว่า ไม่ว่าคนหนุ่มหรือคนแก่ หากไม่เคลื่อนไหว
ตัวเองเลยราวสองสัปดาห์ จะทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแอลงไปราวหนึ่งในสาม ซึ่งจะเทียบเท่ากับ
การชราภาพลงไปถึง 20-30 ปี..ดังนั้น จงออกแรงเดินเสมอ...

▪️เมื่อกล้ามเนื้อขาเราอ่อนแอลง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานมาก แม้ว่าเราจะพยายามฟื้นฟู
ร่างกายและออกกำลังกายในภายหลังก็ตาม.. จงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป..

▪️ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายด้วยการเดินเสมอ จึงสำคัญมาก

▪️ร่างกายทั้งร่างและน้ำหนักตัวของเรา ต่างมีขาทั้งสองประคองเอาไว้

▪️ขาทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่รับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรา...จงเดินต่อไป...

▪️ที่น่าสนใจคือ 50%ของกระดูกและ 50%ของกล้ามเนื้อ ต่างอยู่ที่ขาทั้งสองของเรา..
จงอย่าหยุดเดิน..

▪️ส่วนของข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด อยู่ที่ขาทั้งสอง..จงเดินวันละหมื่นก้าว...

▪️กระดูกและกล้ามเนื้อขาที่แข๊งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่นได้ดี เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ
"สามเหลี่ยมดุจเหล็ก" ที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย

▪️70%ของกิจกรรมทางร่างกายและการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ใช้ขาทั้งสองเป็นหลัก

▪️ใครรู้บ้างว่า เมื่อเรายังมีอายุน้อย ต้นขาของเราไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถจะยกรถยนต์
ขนาดเล็กที่หนักได้ถึง 800 กก.

▪️ขาของเราคือ จุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย

▪️ขาทั้งสองของเราประกอบไปด้วย 50%ของเส้นประสาท 50%ของเส้นโลหิต และ50%ของ
ระบบโลหิตที่ไหลเวียนผ่านเท้าทั้งคู่...

▪️เท้าทั้งสองจึงเป็นระบบไหลเวียนที่ใหญ่ที่สุดที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน..จงเดินต่อไป..

▪️เมื่อเท้าทั้งสองแข็งแรง จะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีและกล้ามเนื้อขาเข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมด
จะทำให้หัวใจแข็งแรง..จงเดินต่อไป..

▪️การชราภาพเริ่มจากเท้าขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย

▪️เมื่อเราแก่ตัวลง ความแม่นยำและความรวดเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับเท้าทั้งสอง
จะลดลง..ไม่เหมือนตอนที่ยังมีอายุน้อย.. จงเดินต่อไป...

▪️นอกจากนั้น ส่วนที่เรียกว่า Bone Fertilizer Calcium ที่สูญเสียไปตามกาลเวลาเมื่อเราแก่ตัวลง
จะทำให้คนแก่กระดูกหัก (bone fractures)ได้ง่าย..จึงควรเดินต่อไป...

▪️อาการกระดูกหักของคนแก่อาจนำไปสู่อาการที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกหลายอย่างที่ร้ายแรง อาทิ
เช่นอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน (brain thrombosis)

▪️รู้กันบ้างไหมว่า 15%ของคนแก่ที่มีอาการกระดูกต้นขาหัก จะเสียชีวิตไปในเวลาไม่เกินหนึ่งปี..
จงเดินทุกวันอย่าได้ขาด...

▪️การเดินออกกำลัง ไม่มีคำว่าสายไปแม้คุณจะอายุเกิน 60 ไปแล้ว

▪️แม้กำลังขาของเราจะเสื่อมลงตามกาลเวลา แต่การเดินถือเป็นภารกิจตลอดชีวิตของเรา..
จงเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าว..

▪️หากเราเดินเพื่อทำให้เท้าแข็งแรง จะช่วยให้ขาของเราลดการอ่อนแอลง..จงเดินตลอด 365 วัน...

▪️จงเดินอย่างน้อย 30-40 นาทีทุกวัน เพื่อให้เท้าทั้งสองได้ออกกำลัง
และทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเสมอ

:s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 05, 2024 2:50 pm

( 24 )


28 วิธี ทำให้อายุยืน 😊

1.หัวเราะเสียงดัง จงหัวเราะดังๆเมื่อรับรู้เรื่องขำขัน ไม่ว่าจากการสนทนาหรือดูวิดีโอตลก
การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา ฮอร์โมนชนิดนี้มีส่วนทำให้อายุยืน

2.มีความสุขกับการท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไป คือกำไรชีวิต เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก

3.กินถั่วมากเข้าไว้ จากการวิจัยพบว่าการกินถั่วประเภทถั่วลิสงครั้งละ 1 ออนซ์ 5 ครั้ง
ต่ออาทิตย์ เป็นการตัดโอกาสไม่ให้ตายเพราะโรคหัวใจได้

4. ขี่รถคันใหญ่เข้าไว้ แทบไม่น่าเชื่อว่าคนขี่รถคันเล็กมักจะตายเร็วกว่าคนขี่รถคันใหญ่

5. งีบทุกบ่าย หลังอาหารกลางวันงีบหลับสักครึ่งชั่วโมง

6. อยู่บนภูเขาอายุยืนกว่าอยู่อยู่ชายทะเล. มีความเชื่อผิดๆมานานที่ว่าอยู่ริมทะเลอายุจะยืน
แต่ผลการวิจัยพบว่าผู้มีบ้านอยู่ภูเขามีอายุยืนกว่า ดังนั้นจึงควรเที่ยวป่ามากกว่าเที่ยวทะเล

7. เล่นเกม เกมอะไรก็ได้ที่ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เช่น หมากรุกกับเพื่อนซี้ เรียนรู้
ภาษาใหม่ หรือการท่องเที่ยว ล้วนช่วยให้อายุยืนทั้งสิ้น

8. อย่ากินอาหารย่างบ่อย. การย่างเนื้อที่ปลอดภัยต้องรอให้ถ่านมอดกลายเป็นขี้เถ้าเสียก่อน
จึงปลอดภัยจากสารมะเร็ง

9. เล่นกีฬา ชนิดใดก็ได้ คนที่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน จะมีสภาพร่างกายแข็งแรงกว่า
ผู้ไม่เคยเล่นกีฬามาเลย ดังนั้นจึงมักตายก่อน

10. ไปโบสถ์ หรือวัดเป็นประจำ คนที่นับถือศาสนานั้นมักมีจิตใจเยือกเย็น ความดันโลหิตต่ำ
ดังนั้น จึงมีโอกาสเป็นโรคหัวใจวายน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเลย

11. เต้นรำอยู่เสมอ. ผู้ที่ชอบเต้นรำมีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง ความจำดี และมีปฏิกิริยารวดเร็ว
การเต้นรำแบบแอโรบิคได้ผลเช่นเดียวกับเต้นบอลลูม

12. เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน. ผู้เลี้ยงหมา แมว ฯลฯ จะมีความดันเลือดต่ำ การมองดูปลาว่ายน้ำ
ก็ทำให้จิตใจสงบ ความดันโลหิตต่ำ คนเลี้ยงสัตว์มักมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย

13. หายใจลึกๆ. การหายใจลึกๆ เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
ทำงานดีขึ้น ตลอดจนเป็นการทำลายเชื้อไวรัส และแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายให้ตายไปด้วย

14. กินผักมากเข้าไว้ โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ ผักมีเส้นใย มักทำให้ไม่เป็นมะเร็งในระบบ
ย่อยอาหาร ผักบุ้งทำให้สายตาดี คนแก่ตามองไม่เห็นย่อมตายเร็วกว่าคนแก่ที่ตามองเห็น

15. รู้ประวัติครอบครัว. โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่สืบต่อทางกรรมพันธ์ุมายังลูกหลาน ดังนั้นต้อง
รู้ว่าบรรพบุรุษตายด้วยโรคอะไร เช่น โรคหัวใจ ก็พึงหลีกเลี่ยงโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ

16. ทำกิจกรรมนอกบ้าน. ผลการวิจัยพบว่าคนสูงอายุหมั่นออกไปยังกลางแจ้งมีอากาศบริสุทธิ์
จะมีความเครียดสะสมน้อย คนแก่ที่มีความเครียดมักจะตายเร็ว

17. อย่ากินยานอนหลับเป็นนิสัย เอะอะอะไรก็กินยาไว้ก่อนยามีประโยชน์และมีโทษไปพร้อมๆกัน
การนอนไม่หลับมาจากสาเหตุเครียดหรือปัญหาอื่นๆ ควรแก้ที่ต้นเหตุนั้นๆ

18. จัดเวลานอนให้เพียงพอ และทำเป็นปกตินิสัย เช่น นอนกี่ทุ่มตื่นเช้ากี่โมง คนยิ่งสูงอายุยิ่ง
นอนหลับได้น้อย วิธีแก้ไขนอนหลับแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้ามืด ไม่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
คนแก่นอนน้อยไปหรือนอนมากไปเป็นเหตุให้ตายเร็วทั้งสิ้น

19. หาเพื่อนใหม่และหมั่นแวะไปเยี่ยม. การร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนทำให้เกิดความ
เพลิดเพลินยิ่งเป็นกิจกรรมเป็นประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งทำให้อายุยืนมากขึ้น

20. ดื่มได้แต่น้อย การศึกษาเรื่องแอลกอฮอล์พบว่า เป็นประโยชน์แก่ร่างกายหากดื่มสัก
1–2 จอก ก่อนกินอาหาร คนสูงอายุควรเลือกดื่มไวน์หรือเบียร์มากกว่าวิสกี้ดีกรีสูง
การดื่มมากนอนน้อยคนแก่คนนั้นอายุสั้นแน่นอน

21. มีเพศสัมพันธ์ หากมีเรี่ยวแรงและอารมณ์รักอยู่ก็จงแสดงไปตามความต้องการ อย่าสะกด
กลั้นเอาไว้หรือมีความต้องการแต่อวัยวะไม่สู้ ขอเพียงแค่คิดหรือมีอารมณ์ก็ทำให้จิตใจไม่ห่อเหี่ยว
เช่นนี้อายุยืนแน่ ผลการวิจัยล่าสุดพบว่า คนแก่ที่มีแรงขับทางเพศมักไม่ค่อยตายเร็ว ต่างกับผู้
หมดสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่หนุ่มแน่น ล้วนตายเร็ว ก่อนวัยเพราะผู้นั้นสูญเสียสัญชาตญาณ
การแพร่พันธุ์ ไป

22. เดินมาก ๆ หรือหมั่นให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ อย่านอนแซ่วบนที่นอนตลอดเวลา
คนแก่เดินวันละ 30 นาที อายุยืนแน่นอน

23. ตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก โรคเหงือกโรคฟันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ดังนั้นหมั่นตรวจฟัน
และช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

24. อย่าอ้วน คนอ้วนตายเร็วกว่าคนผอม สังเกตดูคนอายุยืนมักผอมแห้ง จำไว้ความอ้วนฆ่าคนได้

25. อย่าสูบบุหรี่ บุหรี่ทำให้อายุสั้นลงอย่างแน่นอน นอกจากไม่สูบพึงหลีกเลี่ยงพบปะกับ
คนสูบบุหรี่อีกด้วย

26. เพิ่มความแข็งแกร่ง คนแก่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ควรแข็งใจยกน้ำหนักข้างละ 2-3 กก.
2 ครั้ง ต่อสัปดาห์

27. กินอาหารมีเส้นใยมาก ได้แก่ ธัญพืช ข้าวกล้อง ผลไม้ จากการศึกษานักโภชนาการมหาวิทยาลัย

28. ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้าน เช่น การทำงานบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ถูพื้น ดูดฝุ่น ทำสวน
ตัดแต่งต้นไม้ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้คนแก่ไม่อ้วน เมื่อไม่อ้วนก็ไม่ตายจริงมั้ย

โปรดแชร์ต่อเป็นกุศล!!!
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 14, 2024 8:32 pm

( 25 )


ใครชอบกินมะม่วงต้องอ่าน!!! เปิดอนาคตวงการแพทย์ คิดไม่ถึงว่า "มะม่วง" จะส่งผลต่อ
ร่างกาย ขนาดนี้ ถ้าไม่อ่าน ระวังคุยกับคนทั้งโลกไม่รู้เรื่อง!!!ถ้าพูดถึงผลไม้ที่คนไทยนิยมทานกัน
อย่างแพร่หลาย เชื่อว่าหนึ่งในตัวเลือกของคุณต้องมี "มะม่วง" อยู่อย่างแน่นอน ทั้งมะม่วงเปรี้ยว
มะม่วงมัน มะม่วงน้ำปลาหวาน แต่ละเมนูทำเอาเปรี้ยวปากทั้งนั้น แต่ความเด็ดของมะม่วงไม่ได้มีดี
แค่รสชาติเท่านั้น แต่มะม่วงยังมีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
มะม่วงนั้นไม่ว่าจะกินตอนดิบหรือสุกแล้วก็อร่อยไม่แพ้กัน แต่ก็มีหลายคนไม่ชอบทาน เพราะเชื่อว่า
มะม่วงมีแป้งเยอะ ทานแล้วจะทำให้อ้วน หารู้ไม่ว่ามะม่วงนี่ล่ะคือผลไม้มากคุณประโยชน์ที่รู้แล้ว
ต้องกรี๊ด วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปพบกับข้อมูลคุณประโยชน์ของมะม่วงอันน่าตื่นตาตื่นใจ ว่าจะ
ดีจริงหรือไม่ รับประทานแล้วจะอ้วนหรือเปล่า ต้องอ่านไม่งั้นเดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ
มะม่วง เป็นผลไม้ที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมต่ำ และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วย
ไฟเบอร์ วิตามินบี 6 วิตามินเอ และวิตามินซี รวมทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี นอกจากนี้
ก็ยังมีเควอซิทิน (Quercetin) เบต้าแคโรทีน (Beta Carotine) กรดโฟลิก และ แอสตรากาลิน (astragalin)
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีทรงพลัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ริ้วรอยก่อนวัย โรคมะเร็ง หรือภาวะ
เสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ
ลองมาดูกันสิว่ามะม่วง มีแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์ขนาดนี้ แล้วคุณประโยชน์จะมีมากขนาดไหนกัน
บอกได้เลยว่าเพียบ !

1. ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต มะม่วงเป็นผลไม้ที่สามารถลดระดับความดันโลหิตได้ เพราะในมะม่วง
มีสารอาหารที่สำคัญต่อระบบการไหลเวียนของเลือดอย่­­­างโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ระดับความ
ดันโลหิตถูกควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติ นอกจากนี้มะม่วงยังมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศอีกด้วย

2. ป้องกันโรคมะเร็ง สารประกอบฟีนอล ที่พบในมะม่วงอย่างเช่น เควอซิทิน (Quercetin) ไอโซเควอซิทริน
(isoquercitrin) แอสตรากาลิน (astragalin) ไฟเซติน (fisetin) เมทิลแกทเลท (methylgallat) มีฤทธิ์
เป็นสารต้านนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ในการตอต้านการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในมะม่วงก็ยังมีเพคติน (pectin)
สูง และมีผลการวิจัยพบว่าสารเพคตินนี่ล่ะที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

3. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารขอแนะนำให้รับประทาน
มะม่วง­­­เลยล่ะ เพราะในมะม่วงนั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนให้ง่ายต่อการ­­­ดูดซึมของร่างกาย
ขณะที่ ไฟเบอร์ในมะม่วงก็สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย

4. ป้องกันโรคหัวใจ วิตามินเอและวิตามินอีในมะม่วงรวมทั้งซีลีเนียม (Selenium) สามารถช่วยป้องกัน
โรคหัวใจได้ ไม่เพียงเท่านั้นในมะม่วงยังมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วยการลดระดับโฮโมซิสเตอีน
(Homocysteine) เพราะเจ้าโฮโมซิสเตอีนนี่เป็นกรดอะมิโนที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผนังหลอด
เลือดได้ อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง

5. ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในร่างกาย เพคตินและวิตามินซีในมะม่วงเป็นพระเอกที่ขาด
ไม่ได้เลย เพราะสารอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีในร่างกายได้
แต่ทั้งนี้ผู้ที่ป่วย ด้วยโรคไขมันในเลือดสูงก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทานจะดีกว่า

6. บำรุงสมอง วิตามินบี 6 ในมะม่วงนอกจากจะช่วยป้องกันโรคหัวใจแล้ว ก็ยังช่วยป้องกันและสร้างเสริม
การทำงานของสมอง เพราะเจ้าวิตามินบี 6 นี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีส่วนช่วยใน
การกำ­หนดอารมณ์และรูปแบบในการนอนหลับ การเติมมะม่วงลงไปในอาหารจะช่วยให้ร่างกายได้รับ
กลูตาไมน์ (Glutamine) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้สมองสามารถจดจำและมีสมาดีขึ้น และยังทำให้เซลล์สมอง
ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

7. รักษาโรคเบาหวาน โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคืออการไม่รับประทานของหวาน ซึ่งมะม่วง
ก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงแต่ขอบอกไว้เลยว่ามะม่วงนี่ล่ะช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ เพียงแค่นำใบมะม่วง
10-15 ใบแช่ลงในน้ำอุ่นและปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นในตอนเช้านำน้ำนี้มาดื่มในขณะที่ท้องว่าง
จะสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ วิธีนี้สามารถรับประทานได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานหรือไม่เป็น
ก็ได้หากผู้ที่มีสุขภาพปกติดื่มน้ำแช่ใบมะม่วงก็จะยิ่งช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น

8. บำรุงสายตา มะม่วงมีวิตามินเอสูง ดังนั้นจึงช่วยบำรุงสายตาให้ยังใสปิ๊งปั๊งอยู่เสมอ นอกจากนี้ยัง
สามารถช่วยป้องการการเสื่อมของจอประสาทตาเมื่ออายุมากขึ้นได้อีกด้วยค่ะ

9. บำรุงผิวพรรณ ต้องยกความดีความชอบให้กับวิตามินเออีกครั้งเพราะวิตามินเอในมะม่วงนั้นมีคุณ
ประโยชน์เพียบพร้อมจริง ๆ แม้แต่ในเรื่องผิวพรรณ การรับประทานมะม่วงทำให้เราได้รับวิตามินเอที่
ช่วยกระตุ้นการไห­­­ลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อและผิวหนัง ช่วยให้การอุดตันของรูขุมขนลดลงส่งผล
ให้ผิวพรรณเรียบเนียนได้

10. รักษาสิว หากใครไม่ชอบทานมะม่วงแต่ก็อยากรักษาสิวให้หายโดยไม่พึ่งยาละก็ลองหันมาใช้
มะม่วงในการรักษาได้ค่ะ เพราะเนื้อมะม่วงนี้แม้เราจะไม่ได้รับประทานแต่ก็สามารถใช้บำรุงผิวพรรณ
ลดสิวบนใบหน้าที่กวนใจได้ เพียงฝานมะม่วงบาง ๆ วางใบหน้าทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นล้างออก
วิตามินเอในมะม่วงก็ช่วยลดการเกิดสิวได้เป็นปลิดทิ้งเลย

11. รักษาโรคโลหิตจางในหญิงที่ตั้งครรภ์ มะม่วงเปรี้ยว ๆ ถือเป็นของที่ถูกใจว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้ง
ครรภ์เป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามะม่วงมีดีเพียง
แค่นั้น เพราะมะม่วงก็มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เช่นเดียวกันเพราะ
หญิงตั้งครรภ์นั้นมักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย และการรับประทานมะม่วงก็จะช่วยให้ธาตุเหล็ก
อันเป็นสาเหตุของโรคโลหิตจางมีระดับสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ

12. สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มะม่วงมีสารเบต้าแคโรทีมเช่นเดียวกับผักผลไม้มีสีส้มและ
สีเหลือ­งอื่น ๆ เช่น แครอท เป็นต้น โดยสารเบต้าแคโรทีนนั้นเป็นสารแคโรทีนอยด์อันมีคุณสมบัติใน
การสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ฉะนั้นถ้าไม่อยากป่วยง่ายก็ควรจะรับประทานมะม่วงเป็นประจำ
จะทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับสารพิษและแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
โอ้โห! ประโยชน์ดีเพียบพร้อมขนาดนี้ จะให้เมินมะม่วงก็คงจะไม่ใช่เรื่องแล้วใช่ไหมล่ะ แต่จะเลือกมะม่วง
ดิบหรือมะม่วงสุกก็ว่ากันไป ที่สำคัญคือห้ามลืมว่ามะม่วงสุกมีน้ำตาลสูง ไม่อยากอ้วนละก็อย่ารับประทาน
จนเกินพอดีละ ไม่อย่างนั้นจะได้รอบเอวหนา ๆ มาเพิ่มด้วยจะร้องไม่ออกนะจะบอกให้
นี่คือข้อดีของมะม่วง เมื่อผู้ป่วย เป็นโรคมะเร็งเราจะให้เข้าคอร์สกินข้าวสวยมะม่วงเกลือผลไม้อื่นๆ 10 วัน
ทุกคน กินผ่านวิกฤตของอาการป่วยได้ เพราะมันคือยาฆ่าเชื้อ และมีแร่ธาตุวิตามิน เสริมให้กับร่างกาย
ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วร่างกายฟื้นขึ้นมาเร็วและสามารถขับของเสีย จนร่างกายมีภูมิต้านทานสู้กับโรคได้
………………………—
ตอบกลับโพส