ชายผู้ป่วยมา 38 ปี

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 10, 2022 10:50 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา ( 38 )ปี

เนื้อเรื่องนำมาจากหนังสือขายดีที่สุดทั่วโลก # ความลับของการชำระบาป
และ การบังเกิดใหม่ เรื่องทึ่ 4 #

รวบรวมคำเทศนาธรรมโดย พาสเตอร์ อ็อกซู พาร์ค ตอนที่ (1):

เราจะเริ่มด้วยการอ่านพระคำก่อน เริ่มอ่าน พระคำตั้งแต่ ยอห์น บทที่ 5 ข้อ 1 - 9
"หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในกรุงเยรูซาเล็ม
ที่ริมประตูแกะ มีสระอยู่สระหนึ่งภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง ในศาลา
เหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมาก คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ คอยนํ้ากระเพื่อม
ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าลงมากวนนํ้าในสระเป็นครั้งคราว และเมื่อนํ้ากระเพื่อมนั้น
ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมา (38 ))ปีแล้ว
เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรคนนั้นและทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า
"เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ" คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านเจ้าข้าเมื่อนํ้ากำลังกระเพื่อมนั้น
ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระและเมื่อข้าพเจ้ากำลังไปคนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว"
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด" ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค
และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป" (ยอห์น บทที่ 5 ข้อ 1 - 9)

ครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว มีพ่อค้าเกลือคนหนึ่งอาศัยอยู่บริเวณภูเขา เขาบรรทุกเกลือและเดินทางไป
ในที่ต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเกลือกับข้าว พืช ผัก น้ำผึ้งและอื่น ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ ในวันที่อากาศร้อน
วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ใต้ค้นไม้ใหญ่ที่มีชายชราชาวบ้านสองคนกำลังเล่นหมากรุกอยู่
เมื่อชายคนหนึ่งในสองคนนั้นเห็นพ่อค้าเกลือซึ่งเป็นคนแปลกหน้าจึงเรียกเขา....
"พ่อหนุ่ม ฉันขอถามอะไรหน่อยเถิด ฉันเคยเป็นผู้รับใช้ของท่านนายกฯ ลีในเมืองหลวง ฉันย้าย
มาอยู่ที่นี่และทุ่มเทเพื่อพัฒนาพื้นที่ที่แห้งแล้งนี้ ตอนนี้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ฉันเคยเห็น
ลูกชายของเจ้านายคนก่อนของฉันไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ ฉันเห็นว่าลูกหลานของเราที่หมู่บ้านนี้
ควรที่จะได้รับการศึกษาเช่นกัน เนื่องจากเธอเป็นพ่อค้าและเดินทางไปทั่วประเทศเทศ ฉันเชื่อว่าเธอ
จะสามารถแนะนำคนที่จะมาเป็นครูให้กับลูกหลานของเราได้".....
เมื่อได้ฟังคำขอร้อง พ่อค้าเกลือก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าเขาสามารถเป็นครูได้แม้ว่าเขาจะเป็นคน
ที่มีการศึกษาน้อยมาก เพราะเขารู้ดีว่าคนในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้จะไม่ค่อยมีความรู้ เขาจึงมั่นใจว่าหาก
เขาอยู่ที่นี่ เขาจะมีชีวิตที่ดีและสุขสบายมากกว่าการกลับไปทนลำบากแลกเกลือเพื่อเลี้ยงชีพ.....
เขาตอบว่า "ที่จริงแล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ผมเคยเป็นครูสอนอยู่ใน
เมืองหลวง แต่ตอนนี้ผมต้องซ่อนตัวโดยปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกลือ" ทุกคนในหมู่บ้านดีใจมากที่ได้พบ
ผู้มีความรู้เช่นเขา และพยายามขอร้องให้เขายอมเป็นครูสอนเด็ก ๆ พ่อค้าเกลือแกล้งปฏิเสธอยู่
หลายครั้ง ก่อนจะตอบรับเพื่อทำให้คนในหมู่บ้านเชื่อว่าเขาเป็นคนดี....
ในวันต่อมา คนในหมู่บ้านป่าวประกาศการว่าจ้างครู เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว พวกเขาก็เริ่มสร้าง
โรงเรียนและบ้านสำหรับคุณครูนอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้ซื้อเสื้อผ้า เสื้อหนาวอย่างดีที่สุด และเครื่อง
ตกแต่งอื่นๆที่สวยงามให้คุณครู....
ชาวบ้านดูแลคุณครูราวกับเขาเป็นพระราชา เขาไม่ต้องทำอะไรเลยจนกระทั่งสร้างโรงเรียนเสร็จ
ในวันแรก นักเรียนตัวน้อย ๆ มาโรงเรียนด้วยความกระตือรือร้นและด้วยความหวังที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ซึ่งก็แน่นอนที่พ่อค้าเกลือผู้มีความรู้น้อยย่อมไม่มีอะไรจะสอน แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องสอนอะไร
สักอย่างให้แก่เด็ก ๆ....

พัก (coffee) เบรค พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (2) (เจอกัน)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 10, 2022 10:53 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38 )ปี (*) ตอนที่ (2):

พ่อค้าเกลือผู้มีความรู้น้อยย่อมไม่มีอะไรจะสอน แต่เขารู้ว่าเขาจะ
ต้องสอนอะไรสักอย่างให้แก่เด็กๆ...
"ครูจะสอนคำสุภาพและคำราชาศัพท์พูดตามครูนะนักเรียน"
" ครับ/ ค่ะ "
" หมา เรียกว่า สุกร "
" หมา เรียกว่า สุกร " เด็ก ๆ พูดตาม
" สวัสดีตอนเช้าเรียกว่า ราตรีสวัสดิ์ "
" สวัสดีตอนเช้าเรียกว่า ราตรีสวัสดิ์ "
" เท้า เรียกว่า ศีรษะ "
" เท้า เรียกว่า ศีรษะ "
" วันนี้แค่นี้ก่อน กลับไปท่องจำที่บ้านแล้วกัน "
นักเรียนทั้งหลายมีความสุขมากที่มีคุณครู และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ชาวบ้านให้เด็ก ๆ
ท่องคำที่ได้เรียนมาให้ฟังและจดจำได้อย่างง่ายดาย " สวัสดีตอนเช้า เรียกว่า ราตรีสวัสดิ์ "
" หมา เรียกว่า สุกร " " เท้า เรียกว่า ศีรษะ "...
ในวันต่อมา เด็ก ๆ เรียนรู้อีกสามคำ
" ช้าง เรียกว่า กระบือ "
" มือ เรียกว่า พระบาท "
" ปาก เรียกว่า พระเนตร"
แล้วเด็ก ๆ ก็ท่องจำ "ช้าง เรียกว่า กระบือ " " มือ เรียกว่า พระบาท " " ปาก เรียกว่า พระเนตร "
แม้แต่บรรดาพ่อแม่ก็จดจำคำเหล่านี้ จากเด็ก ๆ โดยยึดสุภาษิตที่ว่า "ไม่มีใครแก่เกินเรียน"
พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน พวกเขาพยายามที่จะแข่งขันกันและกันโดยจัดหา
สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้คุณครู และยิ่งกว่านั้นก็คือจัดหาอาหารอร่อย ๆ ให้คุณครู
ทานทุกวัน นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อีกในอาทิตย์ต่อมา ดังนั้นพ่อค้าเกลือจึงสามารถเอาตัวรอด
ได้เช่นนี้เป็นเวลาหลายเดือน โดยไม่มีเสียงบ่นว่า จนกระทั่งในที่สุด....
" วันก่อน คุณครูสอนว่า "หมา เรียกว่า สุกร" แต่ทำไมวันนี้คุณครูสอนว่า "แมว เรียกว่า สุกร"
คำไหนถูกครับ ?"
" ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกแม้แต่ครูก็สามารถผิดพลาดได้พวกเธอถามมากไปแล้ววันนี้
ถ้าเธอมีคำถามอีก ให้ถามครูนอกเวลาก็แล้วกัน"
"ครับ/ ค่ะ "
เขาพยายามสอนให้จบโดยการเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าตื่นเต้นซึ่งเขารู้สึกภาคภูมิใจกับมัน
ให้นักเรียนฟัง หลังจากนั้นเขาก็ได้ข้อสรุปว่าถึงเวลาแล้วที่เขาต้องหนีไปก่อนจะถูกจับได้และถูก
ตีจนตาย ดังนั้นในวันหนึ่งเมื่อนักเรียนมาถึงโรงเรียนแล้วเขาบอกกับนักเรียนว่าเขารู้สึกไม่ค่อย
สบายและให้เด็ก ๆ กลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แล้วเขาก็แอบเก็บของมีค่าและหลบหนีไปในคืนนั้น....
วันต่อมาไม่มีใครพบคุณครู พวกเขาออกค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดินและไปค้นพบที่บ้านของ
คุณครูและรอบ ๆ หมู่บ้าน แต่ก็หาไม่พบ ทุกคนรู้สึกเสียใจที่ครูคนเดียวของพวกเขาหายตัวไป
เด็ก ๆ ร้องไห้และพูดว่า "เขาเป็นครูที่ดีมากเลย " " เขาให้ความหวังกับพวกเรา " "การที่ได้
เรียนรู้จากคุณครู? เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง " "คุณครูไปที่ไหนนะ ?"...
พ่อแม่ของเด็ก ๆ ตัดสินใจว่าจะต้องหาครูคนใหม่ให้กับหมู่บ้าน พวกเขาจึงส่งคนสองคน
ที่เดิน ได้เร็วที่สุดของหมู่บ้านเข้าไปในเมืองทันทีเพื่อหาครูที่เฉลียวฉลาดเหมือนกับครูคนก่อน
แล้วพวกเขา??ก็ได้ครูคนใหม่มาคนหนึ่ง ระหว่างที่เดินทางกลับพวกเขาเล่าให้ครูคนใหม่ฟังว่า
ครูคนเดิมเก่งขนาดไหน
พวกเขายังคงเล่าต่อไปว่าพวกเขารักและเทิดทูนคุณครูคนเก่ามากเพราะทำให้คนทั้งหมู่บ้าน
เกิดความ อยากเรียนรู้หลังจากที่ครูมาสอนที่นี่ ครูคนใหม่จึงรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขาคิดว่า " พวกเขาจะรู้สึกพอใจกับฉันได้อย่างไรในเมื่อครูคนเดิม เก่งขนาดนั้น ".....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (3) (ไว้เจอกันใหม่)
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร เม.ย. 12, 2022 10:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 11, 2022 10:03 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38)ปี ตอนที่ (3):

ในวันแรกของการสอนคุณครูทดสอบเด็ก ๆ ว่าได้เรียนรู้อะไรจากครูคนเก่งบ้าง "
ไหนพวกเธอลองบอกครูมาหน่อยซิว่าพวกเธอเรียนอะไรจากครูคนเดิมบ้าง " เด็ก ๆ
กระตือ รือร้นที่จะแสดงความรู้ของตน พวกเขาท่องโดยพร้อมเพรียงว่า
"สวัสดีตอนเช้าเรียกว่า ราตรีสวัสดิ์ " "หมา เรียกว่า สุกร" "เท้า เรียกว่า ศีรษะ"
เขารู้สึกตกใจมากแต่เขาไม่สามารถบอกเด็ก ๆ ได้ว่าครูคนเดิมนั้นเป็นพวกหลอกลวง
เขาจึงเพียงแต่บอกเด็ก ๆ ว่าวิธีการสอนของตัวเขาอาจจะทำให้เข้าใจยากและไม่ค่อยสนุกนัก
เด็ก ๆ ก็นั่งลงพร้อมที่จะเริ่มเรียน เขาก็เริ่มสอน...
" อ่านตามครูนะ ' หัว เรียกว่า ศีรษะ ' "
" คุณครูครับ ผมสงสัย " เด็กคนหนึ่งค้าน " เราเรียนมาว่า ' เท้า เรียกว่า ศีรษะ ' ต่างหาก
ผมคิดว่าคุณครูสอนผิด "
" ไม่หรอก ครูสอนถูกแล้ว พูดตามครูนะ " ครูตอบ
นักเรียนรู้สึกสับสน เด็กชายบางคนพูดว่า " เท้าเรียกว่า ศีรษะ "
แต่บางคนพูดว่า " หัว เรียกว่า ศีรษะ " คุณครูยังคงพยายามสอนพวกเขาต่อ...
" หู เรียกว่า พระกรรณ" แต่นักเรียนหลายคนยืนยันว่า "ตา เรียกว่าพระกรรณ"
"กิน เรียกว่า รับประทาน" ครูพูด
"ไม่ใช่ครับ ' พูด เรียกว่ารับประทาน ' ต่างหากถึงจะถูก "
" นอน เรียกว่า บรรทม " ครูยังคงสอนต่อไป
" ไม่ใช่ ' ตื่น เรียกว่า บรรทม ' "
" ควาย เรียกว่า กระบือ "
" ไม่ใช่ครับ 'ช้าง เรียกว่า กระบือ' ต่างหาก ที่คุณครูสอนเข้าใจยากและไม่เหมือนกับ
สิ่งที่พวกผมเรียนจากคุณครูคนเดิมเลย "
คุณครูคนใหม่ไม่สามารถสอนได้อีกต่อไป และในที่สุดก็ต้องออกจากหมู่บ้านนั้น....
คนตามท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลความเจริญจะไม่สามารถรู้ว่าครูคนไหนมีคุณสมบัติที่
เหมาะสม แต่ถ้าเขาได้เข้าไปในเมืองใหญ่เขาก็จะรู้ว่าพ่อค้าเกลือเป็นพวกโกหกต้มตุ๋น
เมื่อคนเราอยู่ในที่ที่ขาดการศึกษา เขาย่อมไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด พวกเขาเพียงแต่ทำตาม
คนอื่นง่าย ๆ โดยไม่เคยคิดและไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่าเช่นเดียวกับคนที่ไปโบสถ์ส่วนใหญ่
ก็ได้แต่เลียนแบบ คริสเตียนคนอื่น ๆ เพราะเขาไม่เข้าใจถึงความจริง ดังนั้นเราจำเป็นจะต้อง
กลับไปเริ่มต้นใหม่ไม่ว่ามันจะยากสักแค่ไหนก็ตาม....
ทำไมท่านถึงเชื่อพระเยซู ? ทำไมท่านถึงไปโบสถ์ ? ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่
ในวันนี้ ? ทำไมชีวิตท่านถึงเต็มไปด้วยภาระหนัก ? ทำไมท่านไม่สามารถมีชีวิตอย่างผู้ที่มี
ความเชื่อได้ ? สาเหตุก็คือเพราะเราถูกขับไล่ออกมาจากสวนเอเดนอันเนื่องมาจากบาปของเรา
นั่นเอง ฉะนั้นเราจะไม่สามารถพบกับพระเจ้าได้ถ้าเรายังมีความบาปอยู่ นั่นหมายความว่า
ความบาปเป็นอุปสรรคระหว่างเรากับพระเจ้า และเป็นเพราะเราถูกตัดขาดจากพระเจ้า เราจึง
รู้สึกไม่สบายใจเหมือนแกะที่หลงอยู่ในหุบเขา และจะไม่มีสันติสุขที่แท้จริงในมนุษย์ได้เลยแม้ว่า
เขาจะมีความรํ่ารวย ดูดี มีความรู้ หรือมีอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม....
ทำไมเราจึงต้องเชื่อพระเยซู ? เพราะว่าระหว่างเรากับพระเจ้ามีกำแพงขวางกั้นอยู่ ดังนั้นเรา
จึงต้องเชื่อในพระเยซูเพื่อเราจะได้รับอิสระเช่นเดียวกันกับอาดัมตอนก่อนที่เขาจะกบฏต่อพระเจ้า
เพื่อให้เราสื่อถึงกันกับพระองค์โดยไม่มีความบาปมาขวางกั้น....
ถ้าอย่างนั้นความบาปจะถูกชำระได้อย่างไร ? เราไม่ควรหัวเราะเยาะพ่อค้าเกลือที่สอนว่า
'หมาเรียกว่า สุกร ' แต่สิ่งที่น่าหัวเราะเยาะยิ่งกว่าก็คือคนที่ละทิ้งพระคัมภีร์ และพยายามที่จะ
ชำระบาปตามวิถีทางของตนเอง ผมได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยเข้าร่วมค่ายอบรมของ
พวกคริสเตียนเป็นเวลาหลายวัน
" คุณเรียนรู้อะไรจากการอบรมบ้าง ? " ผมถามเขา
" ผมเรียนรู้ถึงวิธีชำระบาป " เขาตอบ
" คุณจะชำระบาปได้อย่างไร ? " ผมถามต่อ
" อาจารย์สอนว่าเราควรจดบาปทุกอย่างที่เราเคยทำลงในกระดาษแล้วเผามันในกองไฟของ
ค่ายอบรม นี่คือวิธีชำระบาปของเรา "....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (4) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร เม.ย. 12, 2022 10:36 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38) ปี (*) ตอนที่ (4)

: ผมกำลังยกตัวอย่างโดยเปรียบเทียบกับการสอนของพ่อค้าเกลือมีบทใดบ้างในพระคัมภีร์
ที่กล่าวถึงการชำระบาป โดยการเผาความบาปในกองไฟของค่ายอบรม ? ใครในพระคัมภีร์
สอนแบบนี้หรือ ? ดาวิดหรือ ? เปาโลหรือ ? เปโตรหรือ ? หรือว่าพระเยซู ? พ่อค้าเกลือสามารถ
เป็นครูได้เฉพาะกับคนที่ขาดความรู้เท่านั้น.....
เราต้องชำระบาปของเราตามที่พระคัมภีร์บอกไว้เท่านั้น การจดบาปทุกอย่างของท่าน
ลงบนกระดาษและเผามันทิ้งไม่มีความหมายใด ๆ เลยมันไม่ได้เป็นการชำระบาปของท่าน
สิ่งเหล่านั้นเปรียบเสมือนเป็นเพียงคำสอนที่ว่า " หมา เรียกว่า สุกร" นั่นเอง.....
การอบรมของเราครั้งนี้มีชื่อว่า ' ความลับของการชำระบาป และการบังเกิดใหม่ ' เราจะ
สามารถได้รับการชำระบาปได้อย่างไร ? เราจะสามารถบังเกิดใหม่ได้อย่างไร ? ทางใดคือ
ทางที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่จะทำให้เราได้รับการชำระบาป ? ท่านต้องหาคำตอบจาก
พระคัมภีร์เท่านั้น ท่านจะรู้สึกอย่างไรถ้าท่านต้องตกนรกเพราะความเชื่อที่ผิด ๆ เช่นชายคนนี้
ที่เชื่อว่าความบาปของเขาได้ถูกชำระแล้วเมื่อเขาจดความบาปทั้งหมดลงบนกระดาษ
และเผามันทิ้ง ? สวรรค์มีไว้สำหรับมนุษย์ที่ไม่มีความบาปแล้วอย่างแท้จริงไม่ใช่สำหรับผู้ที่
ยังมีความบาปอยู่
พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถสถิตในใจของคนบาปได้ คนที่ยังมีบาปเหลืออยู่ แต่ได้
ทำการขับผี ทำ การเผยพระวจนะและพูดภาษาแปลก ๆ นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากพระเจ้าเลย
พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้อย่างนั้น ดังนั้นก่อนที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ความบาปของเราจะต้อง
ถูกชำระก่อน พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้ามาในใจท่านได้จนกว่าบาปของท่านจะได้รับ
ชำระจนขาวอย่างหิมะ อิสยาห์ บทที่ 59 ข้อ 1-2 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
" ดูเถิด พระหัตถ์ของพระเจ้ามิได้สั้นลง ที่จะช่วยให้รอดไม่ได้ หรือพระกรรณตึงซึ่งจะไม่ทรง
ได้ยิน แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้า
ของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน "
มันไม่สำคัญเลยไม่ว่าเราจะหน้าตาดี ฉลาด รํ่ารวย และมีการศึกษาแค่ไหน ที่สำคัญคือ
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่สามารถสถิตในใจของคนที่ยังมีบาปได้ และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม
เราต้องได้รับการชำระบาปของเรา....
นานมาแล้วมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาใด ๆ เลย ได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง
ซึ่งสมาชิกในครอบครัวของเขาเป็นพวกไปโบสถ์ แม่สามีพูดกับเธอเสมอว่าอยากให้ลูกสะใภ้
มีความเชื่อและมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ สุภาพสตรีผู้นั้นจึงเริ่มอธิษฐานและอดอาหารเป็นเวลา
หลายวันโดยหวังว่าเธอจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในที่สุดบางอย่างได้เข้ามาในร่างเธอ
และพูดว่า " เราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ " เธอบอกแม่สามีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แม่สามีรู้สึกเสียใจมาก
ที่เคี่ยวเข็ญเธอ ทุกคนในครอบครัวคิดว่าเธอเป็นคริสเตียนแล้ว และรู้สึกยินดีกับเธอ แต่เธอ
เริ่มดูแปลก ๆ ไป และภายในสิบวันหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นคนเสียสติ......

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (5) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ เม.ย. 13, 2022 10:59 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38 ปี ) ตอนที่ (5):

ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เข้ามาในใจของคนบาป พระองค์ไม่สามารถ
เข้ามาได้เพราะเขายังมีบาปอยู่สิ่งยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ที่ท่านกระทำมาก่อนที่ท่านจะได้รับการชำระบาป
ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับพระเยซูเลยแม้แต่การพูดภาษาแปลก ๆ การกล่าวพระวจนะหรือการเห็นนิมิต
ท่านต้องเข้าใจให้ชัดเจน จากมุมมองของพระคัมภีร์เท่านั้น มารซาตานมักทำให้เราคิดว่ามันเป็น
พระวิญญาณ บริสุทธิ์และหลอกลวงเราให้ทำในสิ่งที่ผิด ๆ จริง ๆ แล้วท่านจำเป็นต้องได้รับการชำระ
บาปก่อนที่จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะไม่สามารถสถิตอยู่กับท่านได้จนกว่าท่านจะขาว
อย่างหิมะตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หลังจากนั้นพระเยซูผู้ทรงบริสุทธิ์จึงจะก้าวเดินไปกับท่านได้....
พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ไม่ใช่คนตลบตะแลง เมื่อใดที่ทรงเข้ามาแล้วพระองค์
จะไม่ทรงจากไป พระองค์จะทรงอยู่ตลอดไป ในยอห์น บทที่ 14 ข้อ 16 กล่าวไว้ว่า "เราจะทูลขอพระบิดา
และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป " คนในปัจจุบันนี้บางครั้ง
ก็รู้สึกสมหวัง บางครั้งก็ท้อแท้ตามอารมณ์ในขณะนั้น ๆ เพราะว่าเรายังไม่ได้รับการชำระบาปอย่างแทัจริง
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระองค์ พระองค์ตรัสว่าท่านจะต้องได้รับการชำระบาปก่อนที่ท่านจะถวายสิบลด
อธิษฐานทุกเช้า หรืออดอาหาร หลังจากได้รับการชำระบาปแล้วท่านจึงจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่าง
เป็นธรรมชาติ....
เมื่อวานคือวันที่ 7 ตุลาคมใช่มั้ย ? เป็นวันเกิดของผมเองคือวันที่ผมได้เกิดใหม่เป็นปีที่ ยี่สิบห้า
ทางร่างกายผมเกิดวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ 1962 / พ.ศ 2505 ผมมีวันเกิดสองวัน..
เมื่อผมยังเป็นหนุ่ม ผมไปโบสถ์แต่เช้าทุกวัน ผมอธิษฐานก่อนที่คนอื่น ๆ จะมาถึงทั้งที่ยังรู้สึกง่วงอยู่
ผมทำบาปมากมายและสารภาพบาปอีกซํ้าแล้วซ้ำเล่า ในสมัยนั้นไฟฟ้ายังทำงานไม่เป็นปกติ หลายครั้ง
ที่ไฟฟ้าดับในระหว่างการนมัสการพระเจ้า ผมจึงต้องจุดตะเกียงแก๊ส สั่นระฆังและเริ่มคุกเข่าสารภาพบาป
ไม่สามารถอธิษฐานอย่างเงียบ ๆ ได้เพราะผมกลัวว่าผมจะหลับไป ดังนั้นผมจึงต้องอธิษฐานเสียงดังเมื่อ
ผมแน่ใจว่าไม่มีใครในบริเวณนั้นได้ยิน ผมเริ่มอธิษฐานว่า " พระองค์เจ้าข้า ผมพูดโกหก ผมเกลียดคนอื่น
โปรดยกโทษให้ผมด้วย" เมื่อผมได้ยินเสียงคนอื่นเข้ามา ผมก็จะหยุดอธิษฐานและเริ่มนมัสการในตอนเข้า
ร่วมกับพวกเขา หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว ผมก็เริ่มอธิษฐานต่อและผมก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจะไม่
ทำบาปอีกในวันนั้น....
ปากทำให้ผมทำบาปบ่อย ๆ ทำให้ผมพูดโกหกเพื่อนถามผมว่า
" เธอซื้อนาฬิกาเรือนนี้มาเท่าไหร่ "
" สี่ร้อยบาป "
ราคาที่ผมบอกมากกว่าราคาจริงที่ผมซื้อมาถึงสองเท่า บทหนึ่งในวิวรณ์ทำให้ผมรู้สึกตัว "...
และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความ
ตายครั้งที่สอง" (วิวรณ์ บทที่ 21 ข้อ 8 ) ผมรู้สึกกลัวที่จะต้องตกนรกเนื่องจากการพูดโกหกในวันนั้น
ดังนั้นในเช้าวันถัดมาที่โบสถ์ ผมจึงอธิษฐานเพื่อสารภาพบาปนั้น ทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ต้องโกหกก็คือ
ปิดปากตัวเองไว้ ซึ่งผมพยายามทำอยู่หลายชั่วโมงแต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้เลย ในที่สุดผมจึงไป
พบอาจารย์ท่านหนึ่งและยอมเผชิญกับความอับอายเมื่อผมสารภาพถึงสิ่งชั่วร้ายที่ผมได้กระทำมา
และต้องชดใช้ในสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่ผมกระทำ และอื่น ๆ อีกมากมาย.....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (6) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 15, 2022 11:17 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38 )ปี ตอนที่ (6):

ในขณะนั้นผมคิดว่า "พระเจ้าไม่ได้เลือกผม เพราะผมรู้ว่าผมจะไม่มีทางชดใช้ความผิด
ที่ผมได้กระทำลงไปได้ ผมทำบาปมากมายเหลือเกิน ผมข่มขู่เพื่อนให้ซื้อคุกกี้ให้
ผมโกหกเขา ผมเกลียดเขา ผมอิจฉาเขา...." เมื่อผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก
ผมก็รู้สึกท้อแท้ ทุกข์ทรมานและโศกเศร้า ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความทุกข์ ผมเริ่ม
สูบบุหรี่ และดื่มเหล้า ผมต่อสู้กับความคิดที่ว่าไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยไม่ว่าผมจะตกลงไป
ในนรกขุมไหน ยิ่งผมจมดิ่งลงในความบาปลึกเท่าใด ความขมขื่นก็ยิ่งทวีในจิตมากขึ้นเท่านั้น
เสียงระฆังที่โบสถ์ทำให้ผมรู้สึกผวา การเข้าร่วมนมัสการก็ ไม่ได้ผล การสารภาพบาป
การสำนึกผิด ดารอดอาหาร การอธิษฐานตลอดคืนและการร้องไห้ ล้วนแล้วแต่ทำให้ผม
เป็นทุกข์ยิ่งขึ้น..
ผมได้ไปเป็นผู้นำการอบรมหลายครั้งในที่ต่าง ๆ เช่นโบสถ์ ชุมชนคนโรคเรื้อน ค่ายทหาร
โรงเรียน เรือนจำ และอีกหลาย ๆ ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมถามว่าใครบ้างที่ต้องการได้รับการชำระ
บาปให้ยกมือขึ้น มีคนเป็นจำนวนมากยกมือขึ้น มีคนเป็นจำนวนมากยกมือขึ้น หลายท่านเป็น
สุภาพสตรี และสุภาพบุรุษที่หน้าตาดีหรืออย่างน้อยก็มีบุคลิกดี แต่จิตใจลึก ๆ ที่แท้จริงทำให้
พวกเขาต้องยกมือขึ้นเพื่อรับการชำระบาป พวกเขาเป็นคนที่ไปโบสถ์ด้วยท่าทีที่สุขุม แต่เรา
รู้ว่าพวกเขายังคงมีจิตใจที่ไม่สะอาด และเป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความบาป พระคัมภีร์กล่าวถึง
คนประเภทนี้ไว้ด้วย เขาคือ นาอามานผู้บัญชาการของกองทหารชาวซีเรีย (2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 5 )
เขาเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่ที่ภายนอกดูงดงามแต่ภายในเป็นโรคเรื้อน เขาคือภาพจำลองของ
พวกเคร่งศาสนาในสมัยปัจจุบัน ดูภายนอกพวกเขาเหมือนเป็นคริสเตียน มัคนายก ศิษยาภิบาล
ผู้ปกครอง นักร้องเพลง ประสานเสียง หรือครูรวี ที่อุทิศตัวและเสียสละ แต่ภายในจิตใจของหลาย
คนกำลังทนทุกข์กับความบาปที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับมัน...
ให้ผมเล่าให้ฟังอีกครั้งถึงเรื่องของผู้หญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี ผมได้เคยเทศนาเกี่ยวกับ
เรื่องนี้มาแล้ว พวกธรรมาจารย์และฟาริสีได้เดินมาพร้อมกับถือก้อนหินมา เพื่อจะฆ่าเธอ แล้วพระเยซู
ทรงตรัสว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน " ไม่มีผู้ใดสักคนเดียวเอาก้อนหิน
ขว้างเธอ เพราะอะไรหรือ ? เมื่อดูจากสภาพภายนอกพวกเขาก็ดูเหมือนขาวสะอาด ไม่เหมือนผู้หญิง
คนนี้ที่แปดเปื้อนมลทิน แต่ถ้าเรามองเห็นจิตใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนบาป......
เราจะสามารถชำระบาปได้อย่างไร ? ทางใดคือทางที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ? ดูเหมือนว่า
ชาวคริสเตียนเป็นอันมากยังไม่รู้ความจริงนี้ ดังนั้นหลังจากที่ใช้ชีวิตทางศาสนาเป็นเวลา สิบปี ยี่สิบปี
หรือสามสิบปีก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเป็นคนบาปและกำลังไปสู่นรกซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับคนบาป
ท่านเห็นด้วยมั้ย ? ทำไมท่านถึงเชื่อพระเยซู ? เพื่อได้รับการชำระบาปไม่ใช่หรือ ? ประเด็นนี้มีเหตุผล
ใช่มั้ย ?
" คุณชำระบาปแล้วใช่มั้ย ?"
" แน่นอน "
" แล้วตอนนี้คุณไม่มีบาปแล้วใช่มั้ย ? "
" ไม่จริงหรอก ผมยังต้องมีบาปอยู่สิ " .......
คำตอบนี้ดูไม่สมเหตุสมผลเลย เหตุผลของชายคนนี้ขัดแย้งกันในตัวมันเอง เมื่อบาปทุกอย่างถูก
ชำระแล้วก็ไม่ควรมีบาปใด ๆ หลงเหลืออยู่ในจิตใจอีกต่อไป การที่ยังมีบาปอยู่ในใจหมายความว่า
การชำระบาปทึ่เขาได้รับนั้น ไม่มีความหมายเลย ถ้ายังคงมีความบาปเหลืออยู่ในใจ การที่พระเยซู
ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย.......

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (7) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 16, 2022 2:44 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38) ปี (*) ตอนที่ (7):

เราไม่สามารถพูดครอบคลุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ภายในวันเดียว เรามาพูดกันอย่าง
ค่อยเป็นค่อยไปเถอะครับ การชำระบาปต้องเกิดขึ้นในใจของท่านก่อน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด
สำหรับการชำระบาปก็คือความพร้อมของจิตใจท่าน....
จอห์น เวสลีย์ ผู้ก่อตั้งโบสถ์เมดทอดิสท์ เป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ซื่อสัตย์ เขาทำงานอย่างหนัก
เพื่อช่วยเหลือคนอยากจนและเทศนาสั่งสอนคนในสลัมจนคนขนานนามเขาว่าเป็น "ผู้เสียสละ"
ครั้งหนึ่งเขามีโอกาสไปอเมริกาเพื่อเทศนาธรรมขณะอยู่บนเรือลำเล็ก ที่กำลังข้ามมหาสมุทร
แอตแลนติก พวกเขาพบพายุในระหว่างการเดินทาง เวสลีย์รู้สึกกลัวจนตัวสั่นอยู่ที่ท้องเรือ....
ในทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงเพลงนมัสการดังมาจากที่ใดที่หนึ่งเขาจึงเดินตามเสียงนั้นไป
มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวโทรม ๆ กำลังร้องเพลงนมัสการด้วยอาการสงบอย่างไม่น่าเชื่อระหว่างที่
กำลังผูกอะไรบางอย่างด้วยเชือก เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร แม้อยู่ห่างกันเพียงก้าวแต่พวกเขา
ทำราวกับว่าไม่มีสิ่งใด ๆ เกิดขึ้นรอบ ๆตัวพวกเขาเลย แต่เวสลีย์รู้สึกว่าคนเหล่านี้มีความเชื่ออย่าง
เต็มเปี่ยม ซึ่งมากกว่าคนอย่างเขาผู้เป็นทั้งอาจารย์ และมิชชันนารีอย่างมาก โชคดีอย่างยิ่งที่เรือ
ไม่จมและไปถึงอเมริกา มีชายคนหนึ่งชื่อว่า สแปนเกนเบอร์ก เดินเข้ามาคุยกับเขา....
"คุณเวสลีย์ ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหมครับ ?"
" ได้สิครับเชิญ "
" คุณรู้จักพระเยซูมั้ย ? "
" แน่นอน ผมรู้จัก " "งั้นคุณก็ต้องรู้ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้มาช่วยเราทุกคนให้พ้นจากบาป "
"แน่นอน" "พระผู้ช่วยให้รอดของโลกได้ทรงช่วยคุณเวสลีย์ให้พ้นจากบาปทั้งปวงแล้วใช่มั้ย?
แล้วตอนนี้คุณยังคงมีบาปอยู่ หรือได้รับการชำระบาปแล้ว ? "
การชำระบาปหมายถึงการที่ท่านพ้นจากความบาปทั้งปวงของท่านแล้วใช่มั้ย ? ถ้าท่านส่งเสียงร้อง
ขณะที่กำลังจะจมในทะเล มันก็ดูมีเหตุมีผลดี แต่เมื่อท่านได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำแล้วท่าน
ก็สามารถพูดได้ว่าท่านรอดตายแล้ว นั่นก็คือการที่ท่านยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่ในทะเลนั้น ไม่ได้
หมายความว่าท่านรอดตายแล้ว จอห์น เวสลีย์ ตอบคำถามนี้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วเขาสามารถแกล้งตอบว่า
ใช่ก็ได้ถ้าเขาจะทำ แต่เขากลับนั่งก้มหน้าในที่ที่นั่งของเขา เขาเดินทางกลับบ้านจากอเมริกาโดยไม่ได้
อะไรเลย ภายหลังเขาได้เข้าไปในโบสถ์แห่งหนึ่งในอังกฤษโดยบังเอิญซึ่งเป็นที่ที่เขาได้ฟังคำยกย่อง
สรรเสริญของมาร์ติน ลูเธอร์ ต่อพระคัมภีร์บทโรม และที่นั่นเองที่เขาได้มีคำพยานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการ
ชำระบาป เขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา..
ผู้รับใช้พระเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจเช่น ดี แอล มูดี้ ได้รับชัยชนะเหนือความบาปโดยฤทธิ์
อำนาจของพระเยซู เขาได้เทศนาข่าวประเสริฐ โดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซู และมีชีวิตอยู่โดยฤทธิ์
อำนาจของพระเยซู วันหนึ่งพระเยซูเสด็จไปยังสระแห่งหนึ่งชื่อ เบธซาธา มีเรื่องเล่ากันว่ามีฑูตสวรรค์
องค์หนี่ง ลงมาในสระเป็นประจำเพื่อกวนนํ้าในสระ ใครก็ตามที่ก้าวลงไปในสระเป็นคนแรกหลังจากที่
นํ้ากระเพื่อม จะหายจากโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเจ็บป่วยทุกประเภทมารวมตัว
กันอยู่รอบ ๆ สระทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนที่เป็นโรคอัมพาต ในบรรดาคนเหล่านั้นมีชายคนหนึ่ง
ป่วยมาเป็นเวลา (38)ปีได้นอนอยู่ที่นั่น พระเยซูทอดพระเนตรเห็นเขาและได้เสด็จไปถามเขาว่า
" เจ้าปรารถนาจะหายจากโรคหรือ?...

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (8) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 16, 2022 2:49 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38 )ปี ตอนที่ (8):

เขาป่วยมาเป็นเวลานานแล้ว เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ด้วยตัวเอง แต่เขาก็อยู่
ที่นั่นด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสหนึ่งในล้านที่จะได้ลงไปในสระก่อนคนป่วยุคนอื่น ๆ
ผมคาดว่าเขาคงจะไม่มีครอบครัว หรือเพื่อน ๆ อยู่ด้วยในขณะนั้นเพราะเขาป่วยมาเป็น
เวลานานมากแล้ว เขานอนอยู่ในสถานที่นั่น ทั้งรับประทานและถ่ายอุจจาระที่นั่น ความหวัง
เดียวของเขาก็คือการได้กลิ้งตัวเองลงไปในสระเมื่อฑูตสวรรค์ได้มากระเพื่อมน้ำในสระ
ในขณะที่คนป่วยคนอื่น ๆ กำลังนอนหลับสนิทอยู่...
พระเยซูเสด็จไปหาชายผู้นั้น แต่ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าพระองค์คือใคร ? บ่อยครั้งที่พระเยซูเข้ามา
เยี่ยมเยียนในจิตใจของท่าน ในวิวรณ์ บทที่ 3 ข้อ 20 กล่าวไว้ว่า "นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู
ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหานร่วมกับเขา
และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา " พระเยซูทรงเคาะประตูใจของเราบ่อย ๆ และทรงถามว่า
"เจ้าต้องการได้รับการรักษาหรือไม่ ? เจ้าต้องการมีชีวิตคริสเตียนที่ดีขึ้นหรือไม่ ? เจ้าต้องการ
มีชีวิตที่ได้รับชัยชนะหรือไม่?" และ ."เจ้าต้องการได้รับการชำระบาปของเจ้าหรือไม่ ?" พระเยซูทรง
สามารถรักษาคนได้ในทันทีทันใดจริง ๆ หรือ ? ใช่แล้วพระองค์ทรงทำได้ ? แต่ชายที่ป่วยมา (38)ปี
ไม่ได้คิดเช่นนั้น พระเยซูจะทรงเปลี่ยนท่านได้อย่างถอนรากถอนโคน พระองค์ไม่ได้มาเปลี่ยนแปลง
ให้เราทำดีให้มากขึ้นเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่ชายที่ป่วยมา (38)ปี จะก้าวลงไปในสระได้ด้วยตัวเอง...
มันน่าสนใจที่จะลองคิดว่าใครกวนน้ำในสระ ? ฑูตสวรรค์นั่นเองเป็นผู้กวนน้า ฑูตสวรรค์เป็นตัวแทน
ของอะไรในพระคัมภีร์ ? พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงให้ธรรมบัญญัติแก่เราผ่าน ทางฑูตสวรรค์
ทุกบทในพระคัมภีร์มี ความสอดคล้องกัน พระคัมภีร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นสภาพที่เราเป็นคนชอบธรรม
โดยการรักษาธรรมบัญญัตินั้น เราจะไม่สามารถทำได้เลย นั่นคือการที่ชายป่วยมา(38)ปีพยายามจะ
ก้าวลงไปในสระแต่เขาอยู่ในสภาพที่ป่วยหนักจนไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนไหวร่างกายลงไปในสระ
ที่นํ้ากำลังกระเพื่อมได้เลย....
โรม บทที่ 3 ข้อ 19 กล่าวว่า "เรารู้แล้วว่าธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้น
ที่อยู่ใต้ ธรรมบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า"
ธรรมบัญญัตินั้นดีหรือไม่ ? แน่นอนธรรมบัญญัติเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาก็คือเราไม่สามารถรักษาธรรม
บัญญัติได้ทุกข้อคงไม่มีสิ่งใดที่ดีกว่าธรรมบัญญัติถ้าเราสามารถประพฤติตามได้ทุกข้อ แต่ไม่ว่า
ธรรมบัญญัติจะดีอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่สามารถรักษาธรรมบัญญัติได้....
ท่านเป็นคนบาปได้อย่างไร ? เพราะท่านไม่สามารถรักษาธรรมบัญญัติได้ ดังนั้นธรรมบัญญัติจึงมี
ไว้เพื่อกล่าวแก่คนที่ละเมิดธรรมบัญญัติ คนที่ท่านกล่าวกับเขาว่า 'อย่าโกหก' 'อย่าล่วงประเวณี
' 'อย่าขโมย' หรือ 'อย่าโกง' ก็คือคนที่โกหก ล่วงประเวณี ขโมย หรือโกงนั่นเองเหตุผลที่พระเจ้าทรงตรัส
ให้เราอย่าล่วงประเวณี และ อย่าขโมย ก็เพราะว่าเราเป็นพวกล่วงประเวณี และขโมย...

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (9) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 17, 2022 4:02 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38 )ปี ตอนที่ (9):


เป็นไปไม่ได้ที่เราจะยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าได้โดยการพยายามรักษาธรรมบัญญัติ ผู้ใดที่
โอ้อวดว่าเขาสามารถรักษาธรรมบัญญัติได้อย่างครบถ้วน โรม บทที่ 3 ข้อ 21 กล่าวว่า
"แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฏบัญญัติ
ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ " ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้า
ทรงกล่าวแก่เราว่าเราจะเป็นคนชอบธรรมได้ถ้าเรารักษาธรรมบัญญัติได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น
คนมากมายจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่ทุกคนได้
ละเมิดธรรมบัญญัติแล้วดังนั้นความชอบธรรมที่นอกเหนือจากธรรมบัญญัติจึงต้องปรากฏขึ้น....
สมมุติว่ามีถ้วย ๆ หนึ่งซึ่งเราจะเรียกว่าเป็นถ้วยแห่งความชอบธรรมของผม ถ้าผมทำบาปแล้ว
ความชอบธรรมของผมจะแตกมั้ย ? ใช่แล้วความชอบธรรมของผมก็จะแตกและผมพยายามที่
จะต่อมันกลับคืน เพราะว่าผมไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้โดยปราศจากความชอบธรรม ดังนั้นผม
จึงพยายามที่จะต่อแก้วที่แตกโดยใช้กาวปะและกล่าวว่า " ข้าแต่พระเจ้า ของพระองค์ทรงยกโทษ
ให้ผม " และนี่คือเหตุผลที่ในอิสยาห์ บทที่ 64 ข้อ 6 กล่าวไว้ว่า "...การกระทำอันชอบธรรมของข้า
พระองค์ทั้งสิ้นเหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก " ความขอบธรรมของเราเหมือนถ้วยที่แตกร้าวและเสียรูปทรง
เราจะเหนื่อยเปล่าในการที่จะไปสวรรค์โดยปะความชอบธรรมของเราที่ได้แตกสลายแล้ว
เมื่อเราใช้กาวปะที่หนึ่ง อีกที่หนึ่งก็รั่ว เมื่อเราอุดรอยรั่วของอีกที่หนึ่ง อีกทีหนึ่งก็ซึมออก
เมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเราที่มีแต่ความชอบธรรมที่รั่วซึมพระองค์ทรงเสียพระทัยมาก
และนี่คือเหตุที่พระองค์ทรงให้เราขึ้นสวรรค์ด้วยความชอบธรรมทางพระเยซูคริสต์ มิใช่ด้วย
ความชอบธรรมของเราเอง....
เราจะต้องมีความชอบธรรมเพื่อจะขึ้นสวรรค์ เมื่อเราทำบาปความชอบธรรมของใครล่ะที่
แตกร้าวลง ? แน่นอนความชอบธรรมของเราเอง แต่ความชอบธรรมของพระเยซูไม่เคยแตกร้าว
มันคงจะแย่แน่ถ้าพระเยซูทรงทำบาปเช่นกัน เพราะจะไม่มีทางใดอีกแล้วที่เราจะได้ไปสวรรค์ถ้า
พระองค์ทรงกระทำบาป ความชอบธรรมของเราเป็นความชอบธรรมที่แตกร้าวแล้ว แต่ผมสามารถ
อวดได้ว่าผมสามารถไปสวรรค์ได้เพราะผมได้รับความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ แม้ว่าผมจะ
กระทำผิด ความชอบธรรมของพระเยซูก็มิได้แตกร้าวลง ผมได้มอบความชอบธรรมของผมซึ่ง
แตกร้าวและสกปรกแก่พระเยซู และผมได้รับความชอบธรรมของพระองค์เข้ามาแทน พระเยซูทรง
สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพราะพระองค์ทรงแบกความชอบธรรมของเราที่แตกร้าวและสกปรก
ไม่ว่าเราจะทำผิดประการใด สิ่งเหล่านั้นได้ถูกย้ายไปยังพระเยซูแล้ว...
ในทางตรงกันข้ามความชอบธรรมที่พระเยซูทรงได้รับจากการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าได้ถูก
ถ่ายทอดสู่เรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถนำเอาความชอบธรรมที่เรากระทำเองมาทำให้เราไปสวรรค์
ได้เลย คนโง่เขลามองดูความชอบธรรมของตนเองและเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น เมื่อเขาคิดว่า
เขาดีกว่าคนอื่น เขาก็รู้สึกพอใจและรู้สึกดีกับตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามยืนอยู่ต่อพระพักตร์
พระเจ้าด้วยความชอบธรรมของพวกเขาเอง แต่โดยมาตรฐานของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ถูกรับขึ้น
สู่สวรรค์แต่พวกเขากำลังลงสู่นรก เมื่อเรากลัวการยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพราะเราไม่มีความช
อบธรรมของตนเอง พระเยซูทรงหยิบยื่นความชอบธรรมของพระองค์ให้เราและตรัสแก่เราว่า
ให้เรานำความชอบธรรมของพระองค์ไปถวายแด่พระเจ้าแทน นั่นคือสาเหตุที่ผมสามารถยืนอยู่ต่อ
พระพักตร์พระเจ้าได้อย่างภาคภูมิใจ และกล่าวว่า " ผมเป็นคนชอบธรรม"....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (10 )(ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2022 9:22 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38)ปี ตอนที่ (10)

คนชอบธรรมไม่ใช่คนที่สลักสำคัญอะไรเลย ก็เป็นแค่เพียงคนที่มีความชอบธรรมเท่านั้น
เปรียบเหมือนกับ คนรํ่ารวยก็คือคนที่มีเงินมากมาย คนขอทานก็คือคนที่ไม่มีเงินและ
ต้องขอเงิน ในทำนองเดียวกันคนชอบธรรมก็คือคนที่มีความชอบธรรมนั่นเอง...
โรม บทที่ 3 ข้อ 10 " ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียวไม่มีเลย " ถ้าเรามองดูความ
ชอบธรรมของเราเองก็จะพบว่าไม่มีความชอบธรรมใด ๆ อยู่เลย แต่มีหลายคนชอบธรรม
โดยได้รับความชอบ - ธรรมของพระเยซู ความชอบธรรมนี้มาจากพระเจ้า ในพระคัมภีร์เขียน
ไว้ว่า โนอาห์ เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ยากอบ บทที่ 5 ข้อ 16 กล่าวไว้ว่า "คำอธิษฐานของ
ผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล" พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของ
คนชอบธรรม ไม่มีคนชอบธรรมคนใดที่เป็นคนชอบธรรมได้ด้วยความชอบธรรมของตนเอง
แต่ทุกคนจะสามารถ เป็นคนชอบธรรมได้ก็ต้องด้วยความชอบธรรมของพระพระเยซู...
ในการขึ้นรถประจำทางเราจะต้องมีอะไร ? ตั๋วไงล่ะ! มันไม่สำคัญว่าท่านได้ตั๋วมาอย่างไร ?
ตราบใดที่ท่านมีตั๋ว ท่านก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นรถประจำทางได้ เช่นเดียวกัน ตราบใดที่เรามี
ความชอบธรรมของพระเยซู เราก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นสู่สวรรค์ได้ ดังที่ได้เขียนไว้ในเพลงสดุดีนี้ :
เมื่อพระองค์ทรงเสด็จมาด้วยเสียงแตร
โอ โปรดพบข้าพระองค์ในพระองค์
สวมใส่ไว้ในความชอบธรรมของพระองค์เท่านั้น
ยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์โดยไร้ความผิด....
เราจะสามารถยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างกล้าหาญโดยไม่รู้สึกท้อใจเลย สมมุติว่าท่าน
ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อตั๋วรถประจำทาง และผมซื้อตั๋วให้ท่าน ท่านจะได้รับการบริการที่จำกัดเพียง
เพราะว่าคนอื่นจ่ายค่าตั๋วให้ท่านหรือ ? ไม่ใช่เลยคราบใดที่ท่านมีตั๋ว ท่านก็จะได้รับการบริการ
อย่างเต็มที่บนรถประจำทาง ท่านต้องมีความชอบธรรมท่านถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ เหมือนกับที่ท่าน
ต้องมีตั๋วท่านถึงจะขึ้นรถประจำทางได้ เราไปสวรรค์ได้โดยความชอบธรรม ของพระเยซูคริสต์
เท่านั้น นี่คือเหตุผลว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะเป็นใคร ? ขอให้เรานำความชอบธรรมของพระเจ้า
ติดตัวไปด้วยความเชื่อเท่านั้น อีกไม่นานหลังจากนี้เราก็จะไปถึงพระราชอาณาจักรของพระองค์
มันไม่เป็นไร หรอกที่จะเผชิญความอยากลำบากเพียงเล็กน้อยในโลกนี้ ความหิวกระหายไม่ได้
ทำให้ท่านเจ็บปวดมากนัก อย่าได้รู้สึกเศร้าใจเมื่อมีคนขับไล่ท่านหรือดูถูกท่าน...
เมื่อผมเดินทาง ผมเอาหนังสือเดินทางไปด้วย ผมเก็บใบขับขี่และบัตรประจำตัวประชาชน
ไว้ในหนังสือ เดินทางด้วย ดังนั้นไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ใบขับขี่ของผมจะอยู่กับผมตราบใดที่
หนังสือเดินทางยังอยู่กับผม แต่ถ้าผมทำหนังสือเดินทางหายใบขับขี่ของผมก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
ถ้าผมพบหนังสือเดินทางผมก็จะพบใบขับขี่ด้วยเช่นกัน หลังจากที่ผมได้รับการชำระบาป
พระเยซูทรงอยู่กับผมและผมก็อยู่กับพระองค์เช่นเดียวกันกับหนังสือเดินทางและใบขับขี่ของผม
ที่อยู่กับผม และถ้าพระเยซูกำลังจะไปสวรรค์ผมก็จะไปสวรรค์ด้วยเช่นกัน การกระทำใด ๆ
ของผมไม่สามารถใช้เป็นบันไดขึ้นสู่สวรรค์ได้ ผมสามารถไปสวรรค์ได้เมื่อผมอยู่ในพระเยซูเท่านั้น
การที่ผมจะได้อยู่ด้วยกันกับพระองค์นั้น ผมจึงต้องเป็นคนชอบธรรมก่อน เพราะพระองค์ทรง
เป็นผู้ชอบธรรม....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (11) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2022 9:26 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38)ปี ตอนที่ (11):

โรม บทที่ 3 ข้อ 21 กล่าวไว้ว่า " แต่บัดนี้ได้ปรากฎแล้วว่าความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า
นั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ" ความชอบธรรมนี้ไม่เกี่ยวกับความชอบธรรมที่เราได้รับ
จากการรักษาธรรมบัญญัติหรือการพยายามทำดี แต่เป็นความชอบธรรมที่พระเยซูทรงมอบ
แก่เรา พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความบาปทั้งมวลของเรา โรม บทที่ 3 ข้อ 22
กล่าวว่า " คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่
ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน"...
สมมุติว่าท่านกำลังเปรียบเทียบความชอบธรรมของผมกับความชอบธรรมของคนอื่น
ท่านจะไม่สามารถบอกได้ว่าความชอบธรรมของเราทั้งสองคนเป็นความชอบธรรมที่เหมือนกัน
หรือเปล่าเพราะว่าความชอบธรรมของเราเกิดจากการกระทำของเราแต่ละคนเราไม่สามารถ
ไปสวรรค์โดยการกระทำของเราเองได้เลย แต่เราจะสามารถไปสวรรค์ได้โดยความชอบธรรม
ของพระเยซูโดยทางพระคุณของพระองค์เท่านั้น เมื่อเราได้รับความชอบธรรมของพระองค์แล้ว
พวกเราก็จะไม่แตกต่างกันเลย เราได้รับความชอบธรรมที่เหมือนกันคือความชอบธรรมของ
พระเยซูซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการกระทำของเราเอง โรม บทที่ 3 ข้อ 23 กล่าวว่า
"เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า " พระเจ้าตรัสกับท่านว่าท่านเป็น
คนชอบธรรม ถ้าผมบอกท่านว่าท่านเป็นคนชอบธรรมท่านฺก็คงจะไม่เชื่อคำพูดของผม นั่นเป็น
เพราะว่าผมไม่มีอำนาจที่จะรับประกันคำพูดของผม แต่ถ้าพระเจ้าตรัสบอกท่านว่า
" เจ้าเป็นคนชอบธรรม" ล่ะ ? พระเจ้าจะเรียกคนที่ไม่ชอบธรรมว่าเป็นคนชอบธรรมได้หรือ ?
มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากว่าพระเจ้าทรงเรียกเราว่าเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไรในเมื่อเรายังคง
ทำบาปอยู่ ? แต่พระเจ้าทรงรักพวกเราและทรงปรารถนาที่จะทำให้เราเป็นคนชอบธรรม
ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้พระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อชำระล้างความบาปของพวกเรา
ตอนนี้ความบาปของเราได้ถูกชำระล้างแล้วโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และพระเจ้าทรง
เรียกเราว่าเป็นคนชอบธรรมได้...
ถ้าท่านอยากจะรู้ว่าความบาปของท่านได้ถูกชำระล้างแล้วได้อย่างไร ? พระคัมภีร์ตอบท่านได้
ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า "เมื่อสองพันปีก่อน ค่าจ้างของความบาปได้ถูกจ่ายแล้วบนกางเขน "
ด้วยความเชื่อตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวมานี้ จึงจะทำให้เราเป็นคนชอบธรรมได้ แม้ว่าพระเยซู
ทรงสิ้นพระชนม์ที่กางเขนแล้วก็ตาม ถ้าผมไม่เชื่อว่าการที่พระเยซูถูกตรึงที่กางเขนนั้นจะสามารถ
ชำระล้างความบาปได้ ผมก็จะยังคงมีความบาปเหลืออยู่ แต่ผมเชื่อว่าการที่พระเยซูถูกตรึงบน
กางเขนนั้นก็เพื่อชำระล้างความบาปของผม และผมเชื่อในพระเยซูผู้ทรงชำระบาปของผม
และทำให้ผมขาวสะอาดอย่างหิมะ...
ทุกวันนี้นักศาสนศาสตร์บางคนกล่าวว่า "พระเยซูได้กำจัดบาปในอดีตไปแล้ว แต่ไม่ได้รวม
ถึงบาปที่เราเพิ่งจะกระทำ " ในพระคัมภีร์ไม่เคยมีบทไหนกล่าวไว้เช่นนั้นเลย ถ้าพระเยซูทรงชำระ
เพียงบาปในอดีตเท่านั้น แล้วบาปที่เราเพิ่งจะได้กระทำลงไปล่ะจะได้รับการชำระได้อย่างไร ?
เราไม่สามารถชำระบาปของเราเองได้เลย.....

พรุ่งนี้ติดตามต่อ ตอนที่ (12) (ไว้เจอกันใหม่)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2022 9:30 pm

(*)ชาย ผู้ป่วยมา (38)ปี ตอนที่ (12) ( ตอนจบ )
พระเยซูจะต้องล้างบาปให้แก่เรา เมื่อพระเยซูได้ทรงชำระบาปของเราแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า
" เราชำระบาปของเจ้าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นและเจ้าต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเอง " ผมคงต้อง
ตกนรกเพราะบาปอีกหนึ่งส่วนที่ยังเหลืออยู่...
พระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูบนกางเขนเป็นโลหิตที่สมบูรณ์แบยซึ่งไม่ได้เพียงแต่ชำระบาป
บางอย่างของเราเท่านั้น แต่ชำระบาปทั้งหมด เป็นโลหิตที่สมบูรณ์แบบ ! มีหลายบทในพระคัมภีร์
ที่พิสูจน์ถึงสิ่งนี้และยังมีเรื่องราวอีกมากมายในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับวิธีได้รับการชำระบาป
ผมเพียรหาในพระคัมภีร์มาเป็นเวลายี่สิบห้าปีถึงวิธีการที่จะได้รับการชำระบาป พระคัมภีร์
บอกเราถึงวิธีที่คนในยุคพันธสัญญาเดิมได้รับการชำระบาปของพวกเขาและวิธีการที่กษัตริย์ดาวิด
ได้รับการชำระบาปของพระองค์ ผมสามารถบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านได้โดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของพระคำของพระเจ้าเท่านั้น...
เมื่อเราสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องบอกพระองค์ว่าเราได้ขโมยสิ่งใด
เราโกหกใครหรือเราฆ่าใคร...อันดับแรก คือ เราต้องสารภาพว่า โดยพื้นฐานแล้วเราเป็นเพียง
มนุษย์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำบาปได้เลย ผมยกตัวอย่าง เมื่อสายลับคนหนึ่งมอบตัว
อันดับแรก คือเขาต้องสารภาพว่าเขาเป็นสายลับไม่ใช่สารภาพสิ่งที่เขาได้กระทำทีละอย่าง ๆ
โดยไม่บอกว่าเขาคือสายลับ
การพยายามที่จะไม่ทำบาปก็จะยิ่งทำให้เราต้องจบลงด้วยการทำบาปมากยิ่งขึ้น คนซึ่งเคย
พยายามไม่ทำบาปจะเข้าใจถึงสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่ มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่สามารถทำให้เรา
เป็นอิสระจากความบาปได้อย่างสมบูรณ์...
เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระ ชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความบาปของเราแล้ว พระองค์ไม่ได้ละทิ้ง
ความบาปใด ๆ เหลือไว้ให้เรารับผิดชอบอีกเลย พระองค์ทรงนำความบาปทั้งหมดไปจากเรา
โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กาง เขน การเชื่อในพระเยซูหมายถึงการเชื่อในความจริงที่ว่าพระองค์
ได้ทรงช่วยผมให้รอดจากความบาปทั้งหมดของผมแล้ว ผมสามารถเชื่อได้ว่าความบาปทั้งหมดของ
ผมได้ถูกชำระแล้วและขาวอย่างหิมะ การชำระบาปสามารถทำได้โดยพระโลหิตของพระเยซูเท่านั้น ....
ยี่สิบห้าปีก่อนผมต่อสู้กับความบาป ในตอนนั้นผมพยามยามไปโบสถ์เป็นประจำ ผมเป็นสมาชิก
ของกลุ่มยุวชน นักร้องเพลงประสานเสียง และเป็นครูรวี หลังจากการต่อสู้มาเป็นเวลานานกับ
ความบาปผมก็ได้รับการชำระบาปหลังจากได้รับการชำระบาปโดยพระกรุณาของพระเจ้า การอ่าน
พระคัมภีร์ทำให้ดวงตาทางจิตวิญญาณของผมได้เปิดออก ในที่สุดผมสามารถเข้าใจบทต่าง ๆ
ในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวไว้เกี่ยวกับการชำระบาป ผมจึงได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นให้คนอื่น ๆ
ฟังตั้งแต่นั้นมา...
ผมเคยคิดถึงการออกไปทำหน้าที่เป็นมิชชันนารี อย่างไรก็ตามเมื่อผมได้จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น
ทั้งหมดแล้ว พระเจ้าทรงตรัสกับผมอย่างแจ่มแจ้งในใจของผมว่า "แทนที่จะไปต่างประ เทศเพื่อ
เป็นพยาน เจ้าต้องเป็นพยานกับคนเหล่านั้นในเกาหลีที่ไม่รู้เกี่ยวกับการชำระบาป " เป็นสิ่งที่
ยากมากสำหรับผมที่จะล้มเลิกการไปต่างประเทศเพื่อเป็นมิชชันนารี แต่เพราะการชี้นำของพระเจ้า
ผมสามารถให้คำพยานไปทั่วเกาหลีและเทศนาธรรมเกี่ยวกับการชำระบาป ผมไม่ได้อยากจะเทศนา
เพื่อให้ท่านฟังเป็นเพียงเรื่องสนุกสนานเท่านั้น แต่เพื่อเป็นพยานในพระวจนะของพระเจ้าด้วยความ
เบิกบานใจแม้ว่าจะพบความยากลำบากก็ตาม...

🌻ผมได้จัดการอบรมของคริสเตียนขึ้นในเมืองต่าง ๆ หลายเมืองในระหว่างการอบรมผม
หวังที่ จะได้ยินคนมากมายพูดว่า "ฉันเป็นอิสระจากบาปแล้ว " " ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว "
" ฉันบังเกิดใหม่แล้ว " ปัญหาระหว่างพระองค์กับฉันได้รับการแก้ไขแล้ว "
" ฉันสามารถมีความสุขได้แม้ว่าฉันจะต้องจากโลกนี้ไปในวันนี้ "
🌻ผมเชื่อว่าพระองค์จะทรงมีความสุขที่จะได้ยินท่านกล่าวสิ่งเหล่านี้เช่นกัน และผมหวังว่า
คำพูดเหล่านี้จะออกมาจากใจจริงของทุกท่าน ....🤟

(อธิษฐาน) (อธิษฐาน) (อธิษฐาน) (อธิษฐาน) (อธิษฐาน)
ตอบกลับโพส