เรื่องเล่าเสริมศรัทธา ( ชุดที่ 1)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2022 9:13 pm

🔻เรื่องกางเขน​ แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Cross” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกกลัดกลุ้มใจจนแทบจะทนไม่ไหว เขาร้องวิงวอนพระเจ้าว่า
“พระเจ้าข้า ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว กางเขนของผมหนักเกินไป” พระจึงตรัสตอบว่า
“ลูกรัก ถ้าลูกแบกไม่ไหวแล้วก็ไม่เป็นไร ลูกเปิดประตูห้องข้างหน้า เดินเข้าไป แล้วก็
วางกางเขนของลูกไว้ในนั้น หลังจากนั้นให้ลูกเปิดประตูห้องที่อยู่ติดกันแล้วเข้าไป
เลือกกางเขนอันใหม่ได้ตามใจชอบ”

ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมากกล่าวว่า “ลูกขอขอบพระคุณพระองค์เป็นล้นพ้น พระเจ้าข้า”
จากนั้นเขาก็ทำตามที่พระองค์ตรัสไว้ คือวางกางเขนของตนในห้องข้างหน้า แล้วเดินเข้าไป
ในห้องข้าง ๆ เขามองเห็นกางเขนเป็นจำนวนมาก กางเขนบางอันใหญ่และสูงมากจนมอง
ไม่เห็นปลาย ที่สุดเขาก็เห็นกางเขนเล็กที่สุดอันหนึ่งวางพิงผนังห้องด้านที่อยู่ไกลออกไป
เขากระซิบทูลพระองค์ว่า “ผมเลือกอันนี้ พระเจ้าข้า”

พระจึงตรัสว่า “ลูกรัก นั่นคือกางเขนของลูกที่เราเพิ่งนำเอามาเก็บไว้ในห้องนี้เอง

เมื่อเรามีปัญหาทับถมอยู่ อาจเป็นการดีหากเราจะพิจารณาดูปัญหาที่ผู้อื่นกำลังเผชิญอยู่
หลังจากนั้นเราอาจเข้าใจได้ว่า ผู้อื่นอาจกำลังประสบปัญหาหนักกว่าเราก็ได้

**************
จบบริบูรณ์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2022 8:02 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ เม.ย. 22, 2022 11:07 am

“รายงานตัว” แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Checking in”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่ง ช่วงกลางวันพระสงฆ์องค์หนึ่งอยากจะทราบว่ามีสัตบุรุษเข้าไปสวดในวัดบ้างไหม
ปกติวัดนี้เปิดให้สัตบุรุษทุกคนเข้าไปสวดช่วงเวลากลางวันได้ทุกวัน ท่านจึงเดินเข้าไปในวัด
และสังเกตเห็นชายคนหนึ่งคุกเข่าทำท่าเหมือนกำลังสวดภาวนาอยู่ด้านหลังวัด ท่านขมวดคิ้ว
เพราะชายคนนี้มีหนวดเครารุงรัง เสื้อผ้าเก่ายับยู่ยี่ ครู่ต่อมา เขาก็ยืนขึ้นโค้งคำนับไปทาง
ตู้ศีลและเดินออกจากวัดไป

นับแต่วันนั้น คุณพ่อท่านนี้เริ่มสังเกตเห็นชายดังกล่าวถือกล่องอาหารกลางวันเข้ามาในวัด
ค่อนข้างตรงเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย เขาคุกเข่าสวดชั่วครู่แล้วก็เดินออกจากวัดไป

คุณพ่อรู้สึกเป็นกังวลโดยเฉพาะเรื่องการขโมยของ วันต่อมาท่านจึงตัดสินใจถามชายคนนั้นว่า
“คุณมาทำอะไรทุกวันที่วัดหรือ”

เขาตอบคุณพ่อว่า ที่ทำงานของเขาอยู่ไม่ไกลนักจากวัด เขามีเวลาพักเที่ยงเพียงครึ่งชั่วโมง
เนื่องจากเขาจัดเวลาให้ทุกเที่ยงเป็นเวลาสวดประจำวันเพื่อจะได้มีพลังทำงานในช่วงบ่าย
เขาจึงอยู่ในวัดได้ไม่นานนัก เขาจึงคุกเข่าสวดเพียงสั้น ๆ ว่า : “พระเจ้าข้า ลูกมาหาพระองค์อีก
ครั้งหนึ่งเพื่อจะบอกพระองค์ว่า ลูกมีความสุขมากนับแต่ที่พระองค์ทรงเมตตาอภัยบาปของลูก
ทำให้เราทั้งสองมีมิตรสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลูกสวดภาวนาไม่เก่ง แต่ลูกก็คิดถึงพระองค์ทุกวัน
สำหรับวันนี้ ลูก “จิม” มารายงานตัวกับพระองค์แล้วพระเจ้าข้า”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น คุณพ่อรู้สึกสับสนที่เคยเข้าใจจิมผิด คุณพ่อพูดตอบเขาว่า
“ยินดีต้อนรับเสมอ จะเข้ามาสวดในวัดเมื่อใดก็ได้” หลังจากนั้น จิมกล่าวอำลาคุณพ่อและรีบ
เดินจากไป ส่วนคุณพ่อเดินเข้าไปในวัด คุกเข่าลงเบื้องหน้าพระแท่นซึ่งท่านไม่เคยทำมาก่อน
จิตใจที่เริ่มจะเย็นชาของท่านกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คุณพ่อเริ่มสวดภาวนาเลียนแบบ
คำภาวนาที่ท่านเพิ่งได้ยินจากปากของชายที่ท่านเคยสงสัยว่าเป็นคนไม่ชอบมาพากล :

“พระเจ้าข้า ลูกมาหาพระองค์วันนี้เพื่อจะบอกพระองค์ว่า ลูกมีความสุขมากนับแต่ที่พระองค์ทรง
เมตตาอภัยบาปของลูก ทำให้เราทั้งสองมีมิตรสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ลูกสวดภาวนาไม่เก่ง แต่ลูกก็
คิดถึงพระองค์ทุกวัน สำหรับวันนี้ ลูกมารายงานตัวกับพระองค์แล้วพระเจ้าข้า”

จิมยังคงมาสวดทุกวันเหมือนเดิม จนวันหนึ่งคุณพ่อสังเกตว่าจิมไม่ได้มา หลายวันผ่านไปคุณพ่อ
ยังคงไม่เห็นจิม ท่านรู้สึกเป็นกังวลใจมาก​ จนที่สุดท่านไปถามหาจิมที่โรงงานและทราบว่าจิม
ป่วยหนักและนอนอยู่ที่โรงพยาบาล

เมื่อคุณพ่อไปเยี่ยมจิมที่โรงพยาบาล คุณพ่อจึงทราบว่าตลอด 1 สัปดาห์ที่จิมรักษาตัวอยู่ใน
โรงพยาบาล จิมกระตุ้นความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ให้กับทีมเวชบุคคลที่อยู่รอบข้าง รอยยิ้มและ
คำพูดที่กระปรี้กระเปร่าของเขาเป็นเหมือนการเล่นโดมิโนที่ติดต่อกันได้ อย่างไรก็ตามหัวหน้า
พยาบาลคิดว่าจิมเป็นคนไม่ปกติ เพราะเขามีอารมณ์ดีตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครมาเยี่ยม
ไม่มีกระเช้าดอกไม้ ไม่มีโทรศัพท์ถามหา พูดง่าย ๆ คือไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย

คุณพ่อจึงพูดกับจิมเกี่ยวกับความเป็นกังวลของหัวหน้าพยาบาล ระหว่างที่คุณพ่อเล่าเรื่องของ
หัวหน้าพยาบาลอยู่นั้น จิมทำท่าประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ยิ้มกว้างอธิบายว่า :

“หัวหน้าพยาบาลเข้าใจผิดไปเองครับคุณพ่อ เพราะเธอคงไม่ทราบว่าผมมีความสุขอยู่ได้อย่างไร
คุณพ่อครับ ที่จริงทุกเที่ยงวัน พระสหายของผมนั่งอยู่กับผมที่นี่ พระองค์ทรงจับมือผมและทุกครั้ง
พระองค์ตรัสกับผมว่า --- “วันนี้เรามาเยี่ยมเธออีกครั้งหนึ่ง เราอยากจะบอกเธอว่า เรามีความสุขมาก
นับแต่วันที่เราอภัยบาปของเธอ ทำให้เราทั้งสองมีมิตรสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราชอบฟังการสวดภาวนา
ของเธอเสมอ สำหรับวันนี้ เรา ‘เยซู’ มารายงานตัวกับเธอแล้ว”

-----------------
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 23, 2022 4:37 pm

ปีกของพระ แปลจากเรื่อง “God’s Wings” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลายปีก่อน นิตยสาร ‘National Geographic’ ฉบับหนึ่งลงภาพ “ปีกของพระ”
ที่กินใจผู้อ่านมาก เนื่องจากคำบรรยายใต้ภาพบรรยายถึงเหตุการณ์หลังไฟไหม้ครั้งใหญ่
ในอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน (Yellowstone National Park)
ขณะที่ทีมนักผจญเพลิงเดินสำรวจความเสียหายในอุทยานที่เกิดจากไฟไหม้อยู่นั้น
นักผจญเพลิงคนหนึ่งพบร่างนกตัวหนึ่งกางปีกที่ถูกไฟไหม้จนเกรียม ร่างของมันอิงติดกับ
โคนต้นไม้ใหญ่ เขารู้สึกสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นจึงใช้ไม้ยาวในมือเขี่ยนกออกไปเบา ๆ
ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลูกนก 3 ตัวขยับตัวออกมาจากปีกด้านในและร่างของ
แม่นกที่ทับพวกมันอยู่
นี่คือแม่นกที่มีญาณพิเศษ มันเข้าใจสถานการณ์ของไฟป่าเป็นอย่างดี ดังนั้นมันจึงพาลูก ๆ
ไปที่โคนต้นไม้ใหญ่พร้อมกับกางปีกทั้งสองออกปกป้องลูกของมันจากควันพิษและความร้อน
ของไฟ ทั้งที่จริงแม่นกสามารถบินหนีเอาตัวรอดได้ตามลำพัง แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็น
แม่ที่จะปกป้องลูกให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง แม่นกไม่ขยับตัวเลยขณะที่ไฟนรกกำลังเผาขน
ที่ปีกและที่หลังของมัน ดังพระวาจาที่ว่า “พระองค์จะทรงปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์
และท่านจะวางใจอยู่ใต้ปีกของพระองค์” (สดด 91:4)

***************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 24, 2022 2:48 pm

(=)(>)เก้าอี้ว่างแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Prayer Chair” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผู้เป็นลูกสาวติดต่อศิษยาภิบาลที่โบสถ์แห่งหนึ่ง เธอขอร้องให้ท่านไปที่บ้านเพื่อสวด
อธิษฐานภาวนากับบิดาของเธอ เมื่อศิษยาภิบาลไปถึงก็พบชายชราคนหนึ่งนอนอยู่
บนเตียงโดยมีหมอน 2 ใบหนุนศีรษะและมีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งตั้งอยู่ข้างเตียง

ศิษยาภิบาลที่มาเข้าใจว่า บิดาของเธอทราบล่วงหน้าถึงการมาของท่านแล้ว จึงพูดขึ้นว่า
“ผมเดาว่า ท่านกำลังรอผมอยู่ใช่ไหมครับ”

ชายชราตอบว่า “เปล่าเลย คุณเป็นใครหรือ”

ศิษยาภิบาลจึงตอบว่า “ผมเป็นศิษยาภิบาลที่เพิ่งย้ายมาทำงานที่โบสถ์นี้ และเมื่อเข้ามา
ในห้องนี้ก็เห็นมีเก้าอี้ว่างอยู่ข้างเตียง จึงเข้าใจว่าท่านกำลังรอผมอยู่”

ชายที่นอนอยู่จึงพูดว่า “อ๋อก็จริง มีเก้าอี้ว่างตั้งอยู่ข้างเตียงผมตัวหนึ่ง ตอนนี้คุณช่วยปิด
ประตูห้องให้หน่อยครับ”
ศิษยาภิบาลจึงเดินไปปิดประตูห้องอย่างงง ๆ หลังจากนั้น ชายชราก็พูดขึ้นว่า “ผมไม่เคยบอก
ใครแม้แต่ลูกสาวให้คนที่โบสถ์มาเยี่ยมผมเลย ตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยรู้จักวิธีสวดภาวนา
เวลาไปนมัสการที่โบสถ์ ผมได้ยินศิษยาภิบาลพูดเรื่องการอธิษฐานภาวนาอย่างละเอียด แต่ผม
ก็ไม่เคยเข้าใจและรู้สึกสับสน ผมจึงเลิกสวดอธิษฐานภาวนา จนวันหนึ่งเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว
เพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกผมว่า “โธ่เอ๋ย โจ การอธิษฐานทำได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะเป็นเพียง
การพูดคุยกับพระเยซูเท่านั้นเอง แค่นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วก็เอาเก้าอี้ว่างอีกตัวหนึ่งมาตั้งข้างหน้า
เสร็จแล้วก็ให้คิดโดยอาศัยความเชื่อว่า พระเยซูประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ว่างที่ตั้งอยู่ข้างหน้า เพื่อน
ไม่ต้องห่วงหรอกว่าปีศาจจะมานั่งแทน เพราะพระองค์ทรงสัญญาว่า : เราจะอยู่กับท่านเสมอไป -
- จากนั้นก็คุยกับพระองค์แบบที่เพื่อนกำลังคุยกับฉันตอนนี้แหละไอ้เกลอ”

“วันรุ่งขึ้น ผมลองปฏิบัติดูและรู้สึกชอบวิธีอธิษฐานภาวนาแบบนี้มาก ทุกวันนับแต่นั้นมา ผมก็
เลยอธิษฐานภาวนาวันละ 2-3 ชั่วโมง แต่ผมก็ระวังตัวนะ เพราะถ้าลูกสาวเห็นผมพูดกับเก้าอี้ละก็
เธอคงคิดว่าผมเป็นบ้าและอาจส่งผมไปสถานบำบัดก็ได้”

ศิษยาภิบาลประทับใจเรื่องของเขามากและแนะนำให้เขาอธิษฐานภาวนาตามแบบของเขาต่อไป
หลังจากนั้นทั้งสองก็อธิษฐานภาวนาด้วยกัน ท่านเจิมน้ำมันให้เขาก่อนกลับไปที่โบสถ์

สองวันต่อมา ลูกสาวคนเดิมโทรศัพท์มาแจ้งศิษยาภิบาลว่า คุณพ่อจากไปตั้งแต่บ่ายวันนั้น และ
เมื่อศิษยาภิบาลถามว่า ท่านจากไปอย่างสงบหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าท่านจากไปอย่างสงบ
ลูกสาวอธิบายเพิ่มเติมว่า ราวบ่าย 2 โมงวันนั้น คุณพ่อโทรศัพท์จากเตียงนอนบอกเธอว่า
ท่านรักเธอและจูบแก้มเธอ ชั่วโมงต่อมาเธอก็กลับถึงบ้านและพบว่าท่านจากไปแล้ว สิ่งที่แปลกคือ
ศีรษะของท่านไม่ได้อยู่บนหมอน แต่กลับอยู่บนเก้าอี้ว่างตัวที่ตั้งอยู่ข้างเตียงของท่าน แล้วเธอก็ถาม
ศิษยาภิบาลว่า “ท่านคิดว่าเป็นเรื่องแปลกไหมคะ”

ศิษยาภิบาลเช็ดน้ำตาก่อนจะพูดตอบเธอไปว่า
“ผมก็อยากจากโลกนี้ไปในลักษณะเดียวกับบิดาของเธอเหมือนกันครับ”

----------------------------
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 25, 2022 11:24 pm

…………ขนมเเพนเค้ก………
แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Pancakes” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

เช้าวันเสาร์ที่แล้วหนูน้อยแดนนี่วัย 6 ขวบตั้งใจจะทำแพนเค้กให้พ่อกับแม่
เขาเริ่มหยิบชามใบใหญ่|และช้อนโต๊ะมาวางลงบนโต๊ะเตรียมอาหาร ลากเก้าอี้ไปที่
ตู้เก็บอาหาร เปิดตู้อุ้มถุงแป้งทำขนมที่หนักอึ้งออกมาแป้งบางส่วนหกเรี่ยราดบนพื้นครัว
จากนั้นก็ตักแป้งใส่ชาม เทนมสดลงไป 1 กล่อง ตักน้ำตาลทราย 4-5 ช้อนใส่ เสร็จแล้วก็
ใช้ช้อนตีไปตีมาจนเลอะเทอะเป็นวงกว้างทั้งบนโต๊ะและพื้นครัว เนื้อตัวและชุดนอนด้านหน้า
ของเขาเปรอะเปื้อนไปทั่ว ไม่นานต่อมา หนูน้อยก็โกรธตัวเองเพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อ
เนื่องจากแป้งยังจับตัวเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยอยู่ในน้ำนม นอกจากนั้นเขาไม่รู้ว่าจะนำไปวาง
ในเตาอบได้อย่างไร แถมยังไม่รู้วิธีใช้เตาอบอีกด้วย
ขณะที่กำลังนั่งนิ่งไม่รู้จะทำอะไรต่ออยู่นั้น เขาเห็นลูกแมวตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะและ
เลียนมผสมแป้งในชาม เขาใช้มือไล่ปัดมันไปอย่างแรงจนมือไปชนกล่องใส่ไข่ที่มีไข่อยู่เต็ม
ตกลงบนพื้นแตกกระจาย แดนนี่ตกใจแทบสิ้นสติที่เห็นพื้นครัวอยู่ในสภาพที่เขาไม่เคยเห็น
มาก่อนในชีวิต ยิ่งกว่านั้นขณะที่เขากำลังว้าวุ่นอยู่กับการเก็บเศษไข่อยู่นั้น เขาลื่นไถลไปบนพื้น
จนชุดนอนที่ใส่อยู่กลายเป็นสีขาวและเหนียวเหนอะ

ตอนนั้นเองเขาเห็นบิดายืนมองดูเขาอยู่ที่ประตูห้อง น้ำตาของหนูน้อยเริ่มไหลพรั่งพรูออกมาทั้งๆ
ที่เขาตั้งใจจะทำความดีให้คุณพ่อคุณแม่ แต่กลับกลายเป็นความสับสนวุ่นวายเหนือคำบรรยาย
เขารู้ดีว่าบิดาจะต้องเอ็ดใส่เขาและอาจตีก้นเขาด้วย แต่ผู้เป็นพ่อกลับยืนดูเฉย ๆ

สิ่งต่อไปที่เขารับทราบคือ พ่อก้าวเดินเหยียบพื้นครัวที่เลอะเทอะตรงเข้ามาอุ้มตัวเขาไปกอดด้วย
ความรัก ยังผลให้ชุดนอนของพ่อเปื้อนสีขาวและเหนียวเหนอะไปด้วย
นี่คือวิธีการแสดงความรักและการให้อภัยของพระเจ้าที่มีต่อเรา
ขอเพียงแต่เราอย่าได้ท้อถอยในการคิดดีทำความดีต่อผู้อื่นเท่านั้น

----------------------
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร เม.ย. 26, 2022 11:10 am

………ชีวิตหลังเกษียน!!!เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน

คุณลุงท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่ม คุณลุงท่านนี้ เป็นหัวหน้า คนงาน อยู่ใน เหมืองทองคำ
มีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ ไม่เคยเก็บเลย มีเท่าไร ก็ใช้หมด เนื่องจาก คุณลุง
เป็นคนจิตใจดี ใครมาหยิบยืม ก็ให้ และ เลี้ยง เพื่อนฝูงตลอด
คุณลุง มีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่ง คุณลุงท่านนี้ เกษียณอายุ จากงาน เหมืองแร่ ปรากฏว่า
แกไม่มีเงินออม เหลือเก็บเลย จากชีวิต การทำงาน อันยาวนาน
คุณลุง มีลูก 5 คน เมื่อคุณลุง ไม่มีเงิน ก็จำเป็น ต้องไปอาศัย อยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน โดยสลับ
ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันไป
วันจันทร์ ไปอยู่บ้าน ลูกสาว ก็ถูกลูกเขย พูดจา กระทบ กระเทียบ เช่น
ทำไม คุณพ่อคุณ ไม่ไปบ้านลูกคนอื่น บ้างนะ ผมจะทำอะไร ก็อึดอัด ซะจริงๆ
วันอังคาร ไปอยู่บ้าน ลูกชาย ก็ถูกหลาน และ ลูกสะใภ้ กระทบ กระเทียบ แดกดัน
เช่น รำคาญ คุณปู่จังเลย กับข้าวที่หนูชอบ ดูสิ คุณปู่ ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ ไม่ไป
บ้านอื่นบ้าง เป็นเช่นนี้ ตลอด คุณลุง ก็เปลี่ยนไปอยู่ บ้านลูก คนนั้นที คนนี้ที ก็ถูก ลูกบ้าง
ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้าง พูดจาถากถาง ตลอด แต่คุณลุง ก็ต้องทน เพราะคุณลุง
ไม่มีเงินเก็บ แม้แต่บาทเดียว อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุง ตัดสินใจ เรียกลูกๆ ทุกคนมา แล้วบอกว่า ...
พ่อจะไม่อยู่ สัก 2 ปีนะ ลูก เพราะเพื่อนพ่อ ที่เป็นเจ้าของ เหมืองทองคำ มันเขียนจดหมายมา
ขอร้อง ให้ พ่อไปช่วยงาน ที่เหมืองทองคำ ของมัน พ่อจำเป็น ต้องไป ช่วยเขา จริงๆ
ลูกๆ ได้ฟัง ก็ดีใจ สนับสนุน เพื่อให้คุณลุง ท่านนี้ ไปให้พ้นๆ จะได้ ไม่เป็นภาระ อีกต่อไป
เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ กลับมา พร้อมกับ ลังเหล็ก ใบใหญ่ 1 ใบ
แกจะไปไหน ก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจ และ ถามว่า ลังอะไร ?? แกตอบว่า เป็นสมบัติ
ชิ้นสุดท้าย ที่ได้มาจาก เหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อ จนถึงวาระสุดท้าย พ่อก็จะมอบ
สมบัติใน ลังเหล็กใบนี้ ให้ทั้งหมด
ปรากฏว่า ลูกๆ พากัน ตื่นเต้น ต่างอาสา มาดูแลคุณพ่อ กันยกใหญ่
วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับ ลูกสาวคนโต ลูกเขย กับ หลาน ก็พากัน เอาใจ บีบนวดให้ หาของกิน ดีๆ
มาให้ แต่ยังไม่ทันไร ลูกชายคนที่สอง ก็มาตาม ให้ไปอยู่ด้วย และ ก็เช่นกัน ยังไม่ทันไร ลูกสาว
คนที่สาม ก็มาตาม ให้ไปอยู่ ด้วยอีก
ปรากฏว่า ลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุง ต่างแย่งกัน เอาใจ และ ปรนนิบัติ คุณลุงท่านนี้ อย่างดี
แต่เวลาไปไหน คุณลุงก็จะลาก ลังเหล็กใบนี้ ไปด้วยตลอด เวลา ผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้
เสียชีวิตลง หลังงานงานพิธีศพ เหล่าลูกๆ ทุกคนมานั่ง ห้อมล้อม ลังเหล็ก ใบนี้ เพื่อแบ่งสมบัติกัน
ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่า ยังมีผ้าสีขาว ปิดอยู่ อีกชั้นหนึ่ง และ มีจดหมาย
ฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโต ก็เปิดอ่าน ให้น้องๆ ฟัง
เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า “ถึงลูกๆ ที่รักทุกๆ คน ก่อนอื่น พ่อต้อง ขอบคุณ ก้อนหินทุกๆ ก้อน
ในลังเหล็กใบนี้ ที่ได้เลี้ยงดู ชีวิตพ่อ จนถึง วาระสุดท้าย พ่อขอให้ลูกๆ แบ่งก้อนหินในลังเหล็กใบนี้
ไปคนละเท่าๆ กัน เพื่อเป็นอนุสรณ์ เตือนใจ ให้พวกเจ้า หมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้
เพื่อเวลา พวกเจ้า แก่ตัวลง จะได้ไม่มี .. ชีวิต ที่น่าสมเพช อย่างพ่อ ....รักลูก ....
จากพ่อ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาท อย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย
ได้ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่า เป็นเพียงนิทานเพราะเหตุการณ์
แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ พึ่งพาใครไหนเล่า...
จะดีเท่าพึ่งพาตัวเอง....

เมื่อท่านอ่านนิทานเรื่องนี้จบ ท่านมี2ทางเลือก
1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้คนที่ไม่เคยคิดถึง อนาคตยามแก่เฒ่า
จะได้เตรียมเก็บออม หรือทำใจตั้งแต่บัดนี้
2.ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็น นิทานเรื่องนี้เลย

:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร เม.ย. 26, 2022 12:26 pm

(+)ทนายของผม แปลจากเรื่อง “My Attorney” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หลังจากใช้ชีวิต “ที่เหมาะสมตามอัตภาพ” บนโลกนี้จนถึงวัยชราแล้ว ผมก็ได้จากโลกนี้ไป
สิ่งแรกที่ผมจำได้คือ ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งรอ เมื่อประตูเปิดออก ผมถูกนำตัวเข้าไปใน
ห้องใหญ่ ที่มีสภาพเหมือนห้องพิจารณาคดี และให้ผมนั่งอยู่ในส่วนที่จัดไว้สำหรับจำเลย
เมื่อหันไปทางขวามือ ผมเห็น “โจทก์” กำลังแยกเขี้ยวอย่างน่าเกลียดมองตรงมาที่ผม ผม
ไม่เคยเห็นใครน่าเกลียดเท่านี้มาก่อนในชีวิต เมื่อหันไปทางซ้าย ผมเห็น “ทนายของผม”
ท่าทางเป็นคนสุภาพใจดีที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคล้ายกับคนที่ผมเคยรู้จักมาก่อน
ไม่นานต่อมา ประตูกลางเปิดออก ผมเห็นผู้พิพากษาในชุดครุยที่โดดเด่นเป็นสง่า ท่าทาง
น่าเกรงขาม ก้าวเดินเข้ามา สายตาทุกคู่ของทุกคนในห้องนั้นจับจ้องมาที่ท่านผู้นี้ ทันทีที่
ประทับนั่งบนบัลลังก์ ท่านกล่าวสั้น ๆ ว่า “เริ่มพิจารณาคดีได้”
โจทก์ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ฉันชื่อซาตาน ฉันมาที่นี่เพื่อกล่าวโทษว่า ทำไมชายผู้นี้ต้องลงนรก”
หลังจากนั้นซาตานก็กล่าวโทษว่าผมเคยโกหกปลิ้นปล้อน เคยขโมยและคดโกงผู้อื่น เคยรับ
สินบนรวมทั้งความผิดอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมลืมไปแล้ว แต่ซาตานก็สามารถขุดคุ้ยออกมากล่าว
โทษผมได้จนหมดไส้หมดพุง ผมรู้สึกว่าตัวเล็กลงตามลำดับขณะที่ซาตานแฉเรื่องเลวร้ายของผม
ผมอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ไม่กล้าสบสายตาผู้ใดเลยแม้แต่ผู้ที่เป็นทนายความของผม
ที่นั่งสงบนิ่งและไม่แสดงอาการใด ๆ เพื่อปกป้องผมเลย ผมทราบดีว่าผมเคยทำผิดตามที่ถูกกล่าว
หาจริง แต่ผมก็เคยทำดีอยู่บ้างในชีวิต ซึ่งก็น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะชดใช้การกระทำที่
ไม่เหมาะสมในอดีตของผมได้มิใช่หรือ
ที่สุดซาตานก็หมดข้อกล่าวหาด้วยท่าทางที่โกรธจัดและสรุปว่า “ชายผู้นี้ต้องลงนรกตามข้อ
กล่าวหา และไม่มีผู้ใดที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนว่าเขาไม่เป็นคนผิด”

หลังจากนั้น “ทนายของผม” ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม เมื่อผมมองเห็น “พระพักตร์” อย่างชัดเจน
ผมก็จำได้อย่างแม่นยำว่า ทนายของผมคือ “พระเยซูเจ้า“ พระเจ้าและพระผู้ไถ่มวลมนุษย์นั่นเอง
ขณะที่ทนายของผมเดินไปยังที่สำหรับทนาย ท่านหยุดเล็กน้อยเพื่อทักทายท่านผู้พิพากษาเบา ๆ ว่า
“สวัสดีครับคุณพ่อ” จากนั้นทนายของผมก็พูดขึ้นว่า
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ ซาตานกล่าวหาได้ถูกต้องแล้วว่าชายคนนี้เคยทำบาปต่าง ๆ ผมไม่ปฏิเสธข้อ
กล่าวหาของเขา และโทษของบาปก็คือความตาย เขาจึงสมควรจะได้รับโทษนั้น”

หลังจากนั้น พระเยซูทรงถอนหายใจ กางแขนทั้งสองข้างออก หันพระพักตร์ไปทางทางพระบิดา
ประกาศก้องว่า “แต่ผมได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อให้ชายผู้นี้ได้รับชีวิตนิรันดร และเขาก็ได้รับผมไว้เป็น
พระผู้ไถ่ของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเป็นของผม ผมได้บันทึกชื่อของเขาไว้ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว
และจะไม่มีใครฉุดลากเขาไปจากผมได้ แต่ซาตานคงไม่เข้าใจเรื่องที่ผมกล่าวมานี้ สรุปก็คือชายคนนี้
ไม่ควรได้รับโทษตามความผิดของเขา แต่ควรได้รับพระเมตตาครับ”

ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับนั่ง พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปทางพระบิดาตรัสว่า
“ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะผมรับการลงโทษไปหมดแล้วครับ”

ผู้พิพากษายกมือที่น่าเกรงขามขึ้น และทุบค้อนพร้อมกับประกาศคำพิพากษาว่า
“ชายผู้นี้เป็นอิสระ เพราะมีผู้ชดใช้โทษทั้งหมดของเขาแล้ว เลิกศาลได้”

ขณะที่พระเยซูทรงนำผมไปด้วย ผมได้ยินซาตานตีอกชกหัวพูดว่า
“ฉันยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ครั้งหน้าฉันจะต้องชนะคดีแน่”
ระหว่างทางเดินที่พระเยซูทรงนำผมไป ผมทูลถามพระองค์ว่า

“พระองค์เคยแพ้คดีไหม พระเจ้าข้า”
พระองค์ทรงแย้มพระสรวลด้วยความรักตรัสว่า
“ทุกคนที่เข้ามาหาเรา และขอให้เราเป็นทนายให้
ชนะคดีทุกคน เพราะเราชดใช้โทษให้พวกเขาไปหมดเกลี้ยงแล้ว”

---------------------------
จบบริบูรณ์

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2022 11:11 pm

(+)ขวดโหล แปลจากเรื่อง “Pickle Jar” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ตั้งแต่จำความได้ ผมเคยเห็นห้องนอนของคุณพ่อคุณแม่มีขวดโหลเปล่าตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งบนพื้นห้อง
ข้างเตียงนอน ทุกคืนก่อนคุณพ่อจะเข้านอน ท่านจะเอาเศษสตางค์ในกระเป๋ากางเกงออกมาหยอด
ใส่ขวดโหลใบนี้ เมื่อตอนที่ผมยังเล็กอยู่ ผมชอบฟังเสียงเหรียญกระทบกับขวดโหลขณะที่คุณพ่อ
หยอดเหรียญลงไป ผมยังจำได้ว่าตอนแรก ๆ ที่ขวดโหลยังมีเหรียญอยู่ไม่มาก เสียงที่กระทบจะดัง
กังวาลมาก และเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีเหรียญเกือบเต็มขวดโหล
มีอยู่หลายครั้งที่ผมเคยนั่งอยู่หน้าขวดโหลขณะที่เหรียญเงินเหรียญทองข้างในส่องแสงสะท้อนแสงแดด
เป็นประกายราวกับขุมทรัพย์ของโจรสลัด เมื่อขวดโหลเต็ม คุณพ่อจะนำไปเทเหรียญออกบนโต๊ะ
ในห้องครัวก่อนจะไปที่ธนาคาร คุณพ่อให้ผมนั่งรถคันเก่าไปที่ธนาคารกับท่านพร้อมกับเหรียญทั้งหมด
ทุกครั้งที่ไปธนาคารในลักษณะนี้ด้วยกัน คุณพ่อมีใบหน้าที่แสดงถึงความหวังขณะพูดกับผมว่า “เหรียญ
เหล่านี้จะช่วยลูกไม่ต้องไปทำงานในโรงงานทอผ้าเหมือนพ่อ ลูกจะต้องมีงานทำที่ดีกว่าพ่อ” และเมื่อ
ท่านยื่นเหรียญทั้งหมดส่งให้พนักงานตรวจนับเหรียญฝากธนาคาร ท่านยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจพูดสั้น ๆ
กับพนักงานธนาคารผู้รับฝากว่า “เป็นเงินทุนสำหรับลูกชายเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เขาจะได้ไม่ต้องไป
ทำงานในโรงงานเหมือนกับผมครับ”

ทุกครั้งระหว่างทางกลับบ้านหลังการฝากเงิน คุณพ่อจะจอดรถหน้าร้านไอศกรีมและเราสองพ่อลูก
จะเลี้ยงฉลองกัน ซึ่งผมจะเลือกรสช็อกโกแลตเสมอ ส่วนคุณพ่อชอบรสวานิลามากกว่า และเมื่อคุณพ่อ
รับสตางค์ทอนที่ร้านไอศกรีมเป็นเหรียญ ท่านจะยิ้มขณะแบมือออกให้ผมดูเหรียญก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า
กางเกงของท่าน และก็แน่นอนเมื่อกลับถึงบ้าน ท่านก็เริ่มหยอดเหรียญใส่ขวดโหลที่ว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้ผมหยอดเป็นคนแรก เมื่อหยอดเหรียญที่ได้มาหมดแล้ว เราก็จะหันหน้ามายิ้มให้กันอย่างเป็นสุข
ก่อนจะพูดปิดท้ายว่า “ลูกจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ก็ด้วยเหรียญทองแดง, เหรียญ 5, เหรียญ 10
และก็เหรียญ 25 เหล่านี้แหละ พ่อจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”

ประมาณ 10 กว่าปีต่อมา ผมเรียนจบมหาวิทยาลัย มีงานทำในเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง วันหนึ่งผมกลับไป
เยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ ผมขอใช้เครื่องโทรศัพท์ที่อยู่ในห้องนอนของท่าน ผมสังเกตว่าไม่มีขวดโหลที่เคย
ช่วยคุณพ่อบรรลุผลตามที่ได้ตั้งใจไว้ ผมสะอึกอยู่ในลำคอที่ไม่เห็นขวดโหลใบเดิมนั้น และตระหนักได้ว่า
คุณพ่อผมเป็นคนพูดไม่เก่งนัก ท่านไม่เคยอธิบายให้ผมฟังเรื่องคุณค่าของความมุ่งมั่น, ความอดทนหรือ
ความเชื่อเลย แต่ผมก็เรียนรู้คุณธรรมเหล่านี้ได้จากการประพฤติปฏิบัติของท่าน โดยเฉพาะจาก “ขวดโหล”
ใบนั้นที่สอนผมได้มากกว่าคำพูดหรือคำอธิบายที่สวยหรู

หลังการแต่งงานของผม ผมเล่าเรื่องนี้กับซูซานภรรยาว่า ขวดโหลที่ต่ำต้อยใบนั้นมีคุณค่าต่อผมมาก
เพียงใดเมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก เพราะมันเป็นเครื่องหมายของความรักยิ่งใหญ่ที่คุณพ่อมีต่อผม ผมเล่า
ให้เธอฟังด้วยว่า ตอนนั้นบางครั้งพวกเราลำบากกันมากโดยเฉพาะเมื่อคุณพ่อถูกเลิกจ้างในช่วงฤดูร้อน
มีอยู่หลายครั้งที่คุณแม่ถึงกับต้องจัดอาหารที่มีแต่ถั่วแห้ง ๆ ในจานให้พวกเรา แต่คุณพ่อก็ไม่เคยใช้เงินออม
ที่อยู่ในขวดโหลเลย ท่านมองมาที่จานของผมและเทซอสมะเขือเทศให้​ ทำให้ถั่วมีรสชาติดีขึ้นบ้าง และดู
เหมือนในยามยากเช่นนั้น ท่านกลับยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้นโดยท่านพูดกับผมว่า “เมื่อลูกจบมหาวิทยาลัย
แล้วนะ ลูกคงไม่ต้องเจอถั่วแห้ง ๆ ในจานอาหารอีก นอกจากลูกอยากจะกินเพราะรำลึกถึงอาหารมื้อนี้เท่านั้น”

คริสต์มาสแรกที่ผมพาครอบครัวไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่โดยมีเจสสิกา ลูกสาวคนโตของเราที่เพิ่งเกิดในปีนั้น
ไปด้วย หลังอาหารค่ำ คุณพ่อนั่งติดกับคุณแม่บนเก้าอี้โซฟา ท่านทั้งสองผลัดกันอุ้มหลานคนแรกอยู่ครู่ใหญ่
จนเมื่อเจสสิกาส่งเสียงร้องเบา ๆ ซูซานภรรยาผมจึงไปอุ้มเธอออกจากแขนของคุณพ่อพร้อมจกับพูดขึ้นว่า
“สงสัยเจ้าหนูฉี่ หนูเอาลูกไปเปลี่ยนผ้าอ้อมก่อนนะคะ” จากนั้นเธอก็อุ้มลูกไปเปลี่ยนผ้าอ้อมในห้องนอนของ
คุณพ่อคุณแม่ของผม
เมื่อกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนสังเกตเห็นขอบตาของเธอมีสีแดงจาง ๆ และร่องรอยการซับ
น้ำตา เธอส่งลูกคืนให้คุณพ่อของผม แล้วจูงมือผมขึ้นไปในห้องนอนของคุณพ่อผม แล้วเธอก็ชี้ไปที่พื้นห้อง
ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ผมตื่นเต้นมากที่เห็นขวดโหลใบเดิมที่มีเหรียญต่าง ๆ ใส่อยู่เกือบเต็ม ผมเดินไปที่ขวด
และเอาเหรียญทั้งหมดที่ติดตัวมาเต็มกำมือหยอดใส่ลงไปในขวดโหลใบนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันเป็นที่สุด
และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นคุณพ่ออุ้มหลานเจสสิกาย่องเข้ามาในห้อง ตาของเราทั้งสองประสานกัน
อย่างจัง เป็นดวงตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเราทั้งสองกำลังอิ่มเอิบอยู่ในอารมณ์เดียวกันที่อยู่เหนือคำพูดใด ๆ

***************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2022 11:14 pm

……กล่อง 2 ใบของพระ ……แปลจากเรื่อง “God’s Boxes” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในมือของฉันมีกล่อง 2 ใบที่พระเจ้าทรงให้ฉันถือไว้
พระองค์ตรัสว่า “ให้เอาความเศร้าโศกทั้งหมดของลูกเก็บไว้ในกล่องสีดำ และเอา
ความชื่นชมยินดีทั้งหมดของลูกใส่ไว้ในกล่องสีทอง”

ฉันปฏิบัติตามทุกประการ ที่แปลกคือฉันรู้สึกว่ากล่องสีทองมีน้ำหนักมากขึ้นทุกวัน
แต่กล่องดำยังคงเบาเหมือนเดิม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไขข้อข้องใจ วันหนึ่ง
ฉันจึงเปิดกล่องดำดู และพบว่าใต้กล่องมีรูทำให้ความเศร้าโศกที่ใส่ไว้หลุดลอดออกไปหมด
ฉันจึงถามพระว่า เหตุใดกล่องดำจึงมีรูอยู่ข้างใต้
พระองค์ทรงแย้มพระสรวลตรัสว่า “ลูกรัก ความเศร้าโศกทั้งหมดของลูกอยู่กับเราที่นี่ไง”
ฉันจึงถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นเหตุใดพระองค์ยังทรงต้องให้กล่องฉัน 2 ใบ
พระองค์ตรัสตอบว่า “ลูกรัก กล่องสีทองก็เพื่อให้ลูกเก็บความชื่นชมยินดีของลูกไว้กับตัว
ส่วนกล่องดำก็เพื่อให้ลูกทิ้งความเศร้าโศกไปและไม่ต้องเก็บไว้กับตัวอีกต่อไป”

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ เม.ย. 30, 2022 12:30 pm

เรื่องประหลาดในวัด

"ชายเร่ร่อนคนหนึ่ง" เดินเข้าไปในวัดจีนแห่งหนึ่ง เห็น "พระประธาน" ประดิษฐานอยู่บนแท่นดอกบัว
มีผู้มีจิตศรัธากราบไหว้มากมาย, เขารู้สึกอิจฉาอยากเป็นเช่น "พระประธาน" บ้าง เขาถาม
"พระประธาน" ว่า.....

"ท่านโพธิสัตว์" ผมอยากขอแลกเปลี่ยนสถานะกับท่านสักครั้ง จะได้ไหมครับ ? .....

"โพธิสัตว์" : ได้แน่นอน แต่ต้องมีข้อแม้อย่างหนึ่งนะ....

"ชายเร่ร่อน" : ข้อแม้อะไรมิทราบครับท่าน ?....

"โพธิสัตว์" : แค่เจ้าไม่เอ่ยปากพูดเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นอะไร เห็นคนประเภทไหน เห็นเรื่องอะไร
เจ้าห้ามเอ่ยปากพูดเด็ดขาด ....

"ชายเร่ร่อน" เรื่องนี้ง่าย ไม่มีปัญหาครับ.....

"ชายเร่ร่อน" ขึ้นไปนั่งบนแท่นดอกบัวแทน "โพธิสัตว์" เขาได้เห็นความวุ่นวายที่ผู้คนมากหน้า
หลายตา ต่างมากราบไหว้ขออะไรมากมายไม่รู้จบ แต่เขาก็ไม่ยอมเปิดปากพูดตามที่รับปาก
"โพธิสัตว์" ใว้.."
วันหนึ่งมีเศรษฐีเข้ามาคนหนึ่ง...

"เศรษฐี" : ขอให้ท่าน "โพธิสัตว์" ช่วยประทานความสุขสมบูรณ์ให้ผมด้วย "กราบเสร็จ--ลุกขึ้น"
กระเป๋าเงินพลันหล่นลงพื้น.... "ชายเร่ร่อน" (นั่งในฐานะของโพธิสัตว์) คิดจะเปิดปากทักให้ "เศรษฐี"
รู้ตัว พอคิดได้ว่า "โพธิสัตว์" ห้ามเปิดปาก เขาหยุดคิดทันที.... "เศรษฐี" จากไปแล้วมีคน "ยากไร้"
เข้ามาใหม่ ...."คนยากไร้" : ขอให้ท่าน "โพธิสัตว์" ประทานเงินทองให้ผมด้วยเถิด คนที่บ้าน
ป่วยหนัก ต้องการเงินไปหาหมอ "กราบเสร็จ--ลุกขึ้น" พลันเขาเห็นกระเป๋าเงินเศรษฐีตกอยู่บนพื้น ...
"คนยากไร้" : โอ ท่านโพธิสัตว์ช่างศักดิ์สิทธิอะไรอย่างนี้ เขาหยิบกระเป๋าเงินได้แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว...

"คนเร่ร่อน" คิดจะเปิดปากพูดออกไปว่า เป็นกระเป๋าเงินของ คนอื่นนะ ไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิอะไรเลย ...
แต่พอคิดถึงคำพูดของ "โพธิสัตว์" เขาได้แต่หุบปากเงียบ... ขณะนั้นได้มี "ชาวประมง" เข้ามาคนหนึ่ง
"ชาวประมง" : ขอท่านโพธิสัตว์ประทานความปลอดภัยให้ผมด้วย ออกทะเลก็ขอให้ทะเลสงบอย่า
ได้มีคลื่นลมรบกวนเลยครับ , "ก้มลงกราบ --ลุกขึ้น" พอจะเดินออกไป , พลันปรากฎ "เศรษฐี" วิ่ง
พรวดพราดเข้ามาจับตัวใว้แน่น, เพราะสาเหตุของเรื่องกระเป๋าเงิน ทั้ง 2 คนถึงกับลงไม้ลงมือกัน
ยกใหญ่ ฝ่าย "เศรษฐี" หาว่า "ชาวประมง" เอาไปแต่ชาวประมงบอกว่าเศรษฐีใส่ร้าย....

"ชายเร่ร่อน" เริ่มทนไม่ไหว เปิดปากตะโกนเสียงดังออกไปว่า : "หยุดเดี๋ยวนี้นะ"...เสร็จแล้วอธิบาย
เรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งคู่รู้, "ฉากความวุ่นวายสงบลงแล้ว" , "ชาวประมง" รีบกลับไปออกเรือแล้ว, ส่วน
"เศรษฐี" ก็รีบออกไปหาคน "ยากไร้" คิดบัญชีแล้วเช่นกัน.....

"เจ้าคิดว่ากำลังผดุงความยุติธรรมหรือ?" "โพธิสัตว์" ถาม "ชายเร่ร่อน" ในเมื่อเจ้ารับปากแล้วว่า
จะไม่เปิดปากพูด และเจ้ารู้ไหมว่า ? เราแอบปกปักษ์รักษาคุ้มครองพวกเขาอยู่, เพราะว่าลมพายุ
กำลังมา เรือของชาวประมงจะจม เราให้ "เศรษฐี" กับ "ชาวประมง" ทะเลาะตบตีกันจนบาดเจ็บ
เพื่อประวิงเวลาไม่ให้เขาออกเรือไป เจ้ายังไม่มีบารมีมากพอ พูดมากก็เสียหายมาก เจ้ารู้ตัวบ้าง
หรือไม่? !.. "โพธิสัตว์" ยังกล่าวอีกว่า : "เจ้าเอ่ยปากเพราะคิดว่าตัวเองยุติธรรมที่สุด ?" เพราะสาเหตุนี้
"คนยากไร้" จึงไม่ได้เงินไปรักษาคนป่วยในครอบครัว, ส่วน"เศรษฐี"เสียโอกาสในการสร้างบุญกุศล...
. "ชาวประมง" ออกทะเลเจอพายุ ต้องฝังร่างในทะเลลึก ...

"หากเจ้าไม่เอ่ยปาก" คนยากไร้" ก็ไม่ต้องเสียญาติไปเพราะขาดเงินรักษา "เศรษฐี"แค่เสียเงินไปเพียง
เล็กน้อย แต่ได้ช่วยชีวิตคนอื่น ได้สะสมบุญกุศลให้ตัวเองมากขึ้น ถ้าชาวประมงทะเลาะกับเศรษฐี
จนบาดเจ็บ ไม่สามารถออกเรือได้ ก็เท่ากับหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตาย , ....
"ชายเร่ร่อน" ฟังแล้วให้รู้สึกอับอายยิ่งนัก ก้มหน้าเดินออกจากวัดไปเงียบๆ.........

*** มีเรื่องมากมายที่ควรเป็นอย่างไร ก็ต้องให้เป็นไปอย่างนั้น, หากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ผลรับอาจจะกลับดีกว่ามากมายนัก แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า แต่ใครจะรู้ได้ว่า
ท้ายสุดจะลงเอยเช่นใด ? ... ความสงบนิ่ง คือพลังงานชนิดหนึ่ง การไม่ฝืนธรรมชาติ
ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง***

BL 美丽日报

แปล และเรียบเรียง โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง
黄振炎 11/2/2019
เรื่องแปล....จาก 美丽日报 Beauties of Life....
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 02, 2022 11:59 am

“เรียนที่บ้าน” แปลจากเรื่อง “Homeschooled” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

แม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งมีลูกหลายคน เมื่อลูกสาวคนโตอายุครบ 6 ขวบ เธอก็ส่งลูกเข้า
โรงเรียน เย็นวันนั้นหลังจากลูกกลับถึงบ้าน ลูกก็รายงานแม่ว่า ครูที่โรงเรียนห้ามเธอ
สวดก่อนกินข้าวเที่ยง ผู้เป็นแม่จึงไม่ให้ลูกไปโรงเรียนอีกต่อไปและสอนลูกเองที่บ้านทั้ง ๆ
ที่ตัวเธอเองก็เรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย
สมัยนั้นการเรียนที่บ้านยังไม่เป็นที่รู้จักกันและทางการก็ยังไม่อนุญาตให้สอนเรียนกันเอง
ที่บ้านได้ ดังนั้นทุกวันทางโรงเรียนจึงกดดันคุณแม่ผู้นี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา เช่น สั่งให้
คนขับรถโรงเรียนจอดรอที่หน้าบ้านทุกเช้าและกดแตรส่งเสียงดังอยู่นาน บางครั้งคนขับรถ
ก็ตะโกนว่า “เด็กขี้เกียจ” หรือเดินไปเคาะที่ประตูบ้าน นอกจากนั้นทางโรงเรียนยังโทรศัพท์
มาตามตัวอยู่หลายครั้งแทบทุกวัน จนเธอต้องยกหูฟังโทรศัพท์ออกจากเครื่องในที่สุด

หลายเดือนต่อมา เธอได้รับสิ่งที่เธอหวาดกลัวอยู่ตั้งแต่วันที่เธอไม่ให้ลูกไปโรงเรียน คือเธอ
ได้รับจดหมายแจ้งให้ไปขึ้นศาลเนื่องจากเธอไม่ได้ทำหน้าที่มารดา คือการไม่ส่งลูกสาวไป
โรงเรียนรัฐบาล เธอรู้สึกมึนงงขณะอ่านจดหมายและปล่อยให้จดหมายหลุดจากมืออย่างสิ้นหวัง
ลูกสาวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ถามแม่เรื่องจดหมาย เธอตอบลูกสาวว่าเป็นข่าวร้าย
ลูกสาวจึงขออนุญาตแม่อ่านจดหมายฉบับนั้น และเนื่องจากเป็นจดหมายเกี่ยวกับเรื่องของลูกสาว
คนนี้ เธอจึงอนุญาตให้ลูกสาวอ่านได้โดยที่เธอไม่ได้สังเกตว่า ขณะที่ลูกสาวอ่านจดหมายอยู่นั้น
ลูกสาวใช้ปากกาหมึกแดงทำวงกลมคำที่สะกดผิดและคำที่เขียนผิดหลักไวยากรณ์ตามที่เธอ
เรียนรู้จากแม่ ผู้เป็นแม่ดุเธอเมื่อพบว่าลูกสาวใช้ปากกาวงกลมคำผิดเหล่านั้น และตักเตือนว่า
เธอไม่ควรขีดเขียนสิ่งใดลงในจดหมายของผู้อื่น

เมื่อถึงวันขึ้นศาล ผู้เป็นแม่นำจดหมายฉบับนั้นติดไปด้วยเพื่อจะได้ไปถูกสถานที่และวันเวลาตามที่
ระบุไว้ในจดหมาย ที่สุดเมื่อเธออยู่ต่อหน้าผู้พิพากษา เขาถามเธอว่า​ เธอทราบถึงสาเหตุการมา
ขึ้นศาลหรือไม่ แทนคำตอบ เธอยื่นจดหมายที่ได้รับให้ผู้พิพากษาโดยไม่ทันคิดว่าจดหมายมีวงกลม
สีแดงอยู่รอบคำผิดต่าง ๆ อยู่ด้วย ขณะเดียวกันเธอรู้สึกเป็นกังวลและคาดว่าผู้พิพากษาคงจะตั้งคำถาม
กับเธอมากมายรวมทั้งวุฒิการศึกษาของตัวเธอเอง และสรุปว่าเธอไม่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นเธอคงจะ
ถูกศาลบังคับให้ส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหลังจากผู้พิพากษาอ่านจดหมาย
เสร็จ ท่านถามเธอว่า “ใครเป็นคนวงคำต่าง ๆ ในจดหมาย” เธอตอบไปตามตรงว่า ลูกสาวเป็นคนทำ
พร้อมกับกล่าวคำขอโทษผู้พิพากษาอย่างสุภาพ
ผู้พิพากษาอ่านจดหมายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถอดแว่นออกและกล่าวว่า

“สาเหตุที่คุณมาขึ้นศาลวันนี้ก็เพราะทุกคนสงสัยว่า ลูกสาวของคุณไม่ได้รับการเรียนการสอนที่ถูกต้อง
แต่จากสิ่งที่ศาลเห็นในจดหมายฉบับนี้ ศาลแน่ใจว่า โรงเรียนรัฐบาลไม่สามารถสอนให้ลูกสาวของคุณ
มีความรู้ได้มากเท่านี้ ศาลขอปิดคดีครับ”

-----------------------------
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 05, 2022 11:55 pm

🍔🍟อาหารเช้าที่ร้านแมคโดนัลด์ เรื่องจริงแปลและเรียบเรียงจาก
เรื่อง “McDonald’s Breakfast” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ดิฉันเป็นแม่ที่มีลูก 3 คน (อายุ 14, 12 และ 3 ขวบตามลำดับ) กำลังเรียนวิชาสังคมวิทยา
เป็นวิชาสุดท้ายก่อนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา อาจารย์ผู้สอนเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติที่ดิฉัน
อยากให้อาจารย์ผู้สอนทุกคนเป็นเช่นเธอ งานสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายเช่นเดียวกับนักศึกษา
ทุกคนในชั้นเรียนคือ “การยิ้ม” อาจารย์กำหนดให้นักศึกษาในชั้นยิ้มให้บุคคลสามคน
และเขียนรายงานบันทึกปฏิกิริยาที่ได้รับตอบจากผู้ที่นักศึกษายิ้มให้
เนื่องจากดิฉันมีนิสัยเข้ากับคนง่าย ชอบยิ้มและทักทายผู้อื่นอยู่แล้ว ดิฉันจึงคิดว่างานนี้คงจะ
ผ่านไปได้อย่างสบายๆ หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานแล้ว ดิฉันก็วางแผนการทำรายงาน
โดยตกลงกับสามีว่าจะพาลูกชายคนเล็กไปกินอาหารในร้านแมคโดนัลด์เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเข้าไปในร้าน เราก็ไปเข้าแถวรอรับบริการ ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในแถวพากันถอยกรูด
ออกจากแถวแม้แต่สามีของดิฉันเอง ดิฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิม และรู้สึกชะงักงันเมื่อหันไปพบ
สาเหตุของการแตกแถว
ขณะที่ดิฉันหันไปด้านหลังก็พบกับชายพเนจร 2 คนยืนอยู่ข้างหลัง เนื้อตัวของทั้งสอง
“สกปรกสุดๆ” ส่งกลิ่นคลุ้งไปโดยรอบ ชายคนเตี้ยที่ยืนติดกับดิฉัน​ “ส่งยิ้มให้” เขามีตาสีฟ้า
ที่งดงามแสดงให้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า ขณะที่เขากำลังรอการยอมรับจากบุคคลอื่นพร้อม
กับยิ้มให้ผู้คนโดยรอบอยู่นั้น เขาก็ทักทาย “สวัสดี” กับดิฉันขณะที่ในมือกำลังตรวจนับเหรียญ
เงิน 2-3 เหรียญที่กำอยู่แน่น ชายคนถัดไปซุกมืออยู่ยืนติดกับชายคนแรก มีลักษณะเป็นคน
ปัญญาอ่อน และยึดชายคนเตี้ยที่มาด้วยกันเป็นที่พึ่ง
ดิฉันยังคงปักหลักยืนอยู่ที่นั่นเพราะภาพที่เห็นทำให้ดิฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ และเมื่อบริกร
สาวถามชายคนแรกถึงอาหารที่จะสั่ง เขาตอบสั้น ๆ ว่า “กาแฟถ้วยเดียวครับ” เพราะเงินทั้งหมด
ที่เขามีซื้อได้เพียงเท่านั้น (สาเหตุจริงๆ ที่ทั้งสองเข้ามาในร้าน คงต้องการหลบอากาศที่หนาวเหน็บ
ข้างนอกและจำต้องซื้อกาแฟเพื่อจะได้มีสิทธิ์อยู่ในร้านที่อบอุ่น)
ดิฉันรู้สึกตื้นตันกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนแทบจะโอบกอดชายคนเตี้ยที่สั่งกาแฟ ขณะนั้นเองดิฉันก็
สังเกตว่าสายตาทุกคู่ของคนในร้านกำลังจ้องมาที่ดิฉัน ดิฉันจึงยิ้มและสั่งอาหารเช้าเพิ่มอีก 2 ถาด
จากนั้นก็เดินไปยังมุมที่ชายทั้งสองกำลังนั่งพักจิบกาแฟกันอยู่ ดิฉันวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ
ให้ชายทั้งสองพร้อมกับจับมือที่หนาวเย็นของชายคนเตี้ย
เขาหันมามองดิฉันด้วยดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำตาเอ่อล้นพร้อมกับกล่าวคำ​“ขอบคุณ” ดิฉันจึงเอนตัวไป
ตบไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนให้อาหารคุณหรอก แต่เป็นพระเป็นเจ้าที่กำลัง
ทำงานโดยผ่านทางตัวฉัน เพื่อให้คุณมีความหวัง”

ดิฉันร้องไห้ขณะที่เดินกลับไปที่สามีและลูกชาย และเมื่อดิฉันนั่งลงที่โต๊ะ สามีของดิฉันส่งยิ้มให้พูดว่า
“เหตุที่พระเป็นเจ้าประทานคุณให้กับผมก็เพื่อให้ผมมีความหวังนั่นเอง”

เราจับมือกันค้างอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เราต่างคิดคำนึงถึงพระพรที่พระประทานให้ทำให้เราสามารถ
มอบบางสิ่งที่จำเป็นแก่ผู้อื่นได้
วันนั้นคือวันที่ดิฉันประจักษ์เห็นความรักที่แสนหวานแห่งแสงสว่างของพระ
ดิฉันกลับไปเข้าชั้นเรียนในตอนเย็นพร้อมกับรายงาน หลังจากที่อาจารย์ได้อ่านรายงานของดิฉันแล้ว
เธอถามดิฉันว่า “ขออนุญาตอ่านให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นฟังได้ไหม?” ดิฉันผงกศีรษะรับ จากนั้นอาจารย์
ก็เริ่มอ่านให้ทุกคนฟัง สิ่งนี้ทำให้ดิฉันเข้าใจว่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งของพระ
เราต้องรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือกันและกัน
ในแง่หนึ่ง สิ่งที่ดิฉันทำนั้น สร้างความประทับใจแก่ผู้คนในร้านแมคโดนัลด์ แก่สามี, ลูกชาย, อาจารย์
และเพื่อนนักศึกษาในชั้นเรียนซึ่งเป็นวันสุดท้ายในชีวิตนักศึกษาของดิฉัน

ดิฉันได้รับปริญญาพร้อมกับบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งในชีวิตคือ
การยอมรับผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไข

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 07, 2022 8:52 pm

😊การพบพระเจ้า แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง Meeting God โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หนูน้อยคนหนึ่งอยากพบพระเจ้ามาก เขารู้ดีว่าจะต้องเดินทางไกลมากเพื่อพบพระองค์
เขาจึงจัดเป้เดินทางโดยใส่เค้กไส้ครีม 7-8 ชิ้น และน้ำหวานอัดลมอีก 6 กระป๋อง
จากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง
หลังจากเดินไปได้ราว 1 กม. เขาเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ในสวนสาธารณะกำลังจ้องมอง
นกพิราบ 4-5 ตัวจิกกินอาหารบนสนามหญ้าใกล้ ๆ เขาจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ ชายชราคนนั้น
และเปิดเป้หลังออก หยิบกระป๋องน้ำหวานเปิดฝาเตรียมจะดื่ม ขณะนั้นเอง เขาสังเกตว่าชายชรา
ที่นั่งอยู่ข้างเขาท่าทางกำลังหิวโหยเป็นอย่างมาก เขาจึงหยิบขนมเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่งและยื่น
ให้ชายชรา ชายชรายิ้มให้เป็นเชิงขอบใจก่อนจะคว้าขนมเค้กไปกินหมดอย่างรวดเร็ว หนูน้อย
ดีใจมากที่เห็นรอยยิ้มที่น่ารักของชายชรา และอยากจะเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นอีก เขาจึงยื่นน้ำหวาน
ให้อีก 1 กระป๋อง ครั้งนี้ชายชราฉีกยิ้มเต็มที่และแสดงออกว่ากำลังมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น

ราว 20 นาทีต่อมา เมื่อหนูน้อยกลับเข้าบ้าน มารดาผู้เปิดประตูให้รู้สึกแปลกใจที่เห็นลูกยิ้มแย้ม
แจ่มใสจึงถามถึงสาเหตุของการยิ้ม หนูน้อยตอบแม่ว่า “วันนี้ผมกินอาหารกลางวันกับพระเจ้าครับ
คุณแม่รู้ไหมครับว่าพระองค์แย้มพระสรวลที่สวยงามติดตาผมมาจนถึงตอนนี้”

ขณะเดียวกัน ชายชราก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อกลับถึงบ้าน ลูกชายอดสงสัยไม่ได้จึงถามถึงสาเหตุ
บิดาจึงตอบว่า “เที่ยงวันนี้ขณะที่พ่อกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในสวนสาธารณะ พ่อกินอาหารกับพระเจ้า
ลูกรู้ไหมว่า พระองค์ทรงพระเยาว์มาก อายุราว 8 ขวบเท่านั้นเอง”

บ่อยครั้งเราประเมินคุณค่าต่ำเกินไปในเรื่องการส่งยิ้มให้ผู้อื่น, คำพูดที่หวานหู, การตั้งใจฟังผู้อื่น,
การชมเชยผู้อื่นอย่างจริงใจ หรือการแสดงความห่วงใยเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อผู้อื่น

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 14, 2022 10:37 pm

………โรเบิร์ต ลาร์สัน เดินทางไปทำงานต่างเมือง มีกำหนดต้องบินกลับถึงบ้านให้ทันในคืนนั้น...
แต่เที่ยวบินถูกยกเลิก เขาต้องเลื่อนกลับในเที่ยวบินตอนเช้าแทน ซึ่งต้องออกจากโรงแรม
ไปสนามบินตี 4 ครึ่ง!
.
เขารู้ว่าต้องมีปัญหาแน่ เพราะเมมฟิสในขณะนั้นมีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงมาก เขาจะ
ไม่สามารถหาแท็กซี่หรืออูเบอร์ได้ในช่วงเช้ามืด! เขาเลยโทรบอกซาราห์ภรรยาถึงความล่าช้าที่
จะเกิดขึ้น... ที่สำคัญเช้าวันต่อมา เขาต้องไปเป็นโค้ชให้ทีม 'ที-บอล' ของลูกชายวัย 5 ขวบ
(ที-บอล คือเกมที่มาจากเบสบอล แต่ลดความซับซ้อนลงเพื่อให้เด็กอายุ 4-6 ขวบ ฝึกเล่น)
.
ลูกชายของเขาจะลงเล่นในเช้าวันนั้นด้วย ซึ่งเขาต้องพยายามไปให้ทัน เพื่อไม่ให้ลูกชายและ
เด็กคนอื่นในทีมผิดหวังถ้าโค้ชไม่ปรากฏตัวข้างสนาม!
.
แอชเชอร์ เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ในโรงแรมที่โรเบิร์ตพัก บังเอิญได้ยินเรื่องราวที่เขาสนทนากับ
ภรรยาทางโทรศัพท์ - - เด็กหนุ่มคนนี้เลยอาสาที่จะตื่นเช้ามืดแล้วขับรถไปส่งที่สนามบินตอนตี 4:30!
.
โรเบิร์ตช็อค เขานึกไม่ถึงว่าจะได้รับความอารีจากคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ญาติหรือรู้จักกันมาก่อน!
.
เช้าวันต่อมา ขณะที่ซาราห์ขับรถพาลูกชายไปสนามเบสบอล เธอได้บอกเด็กชายตั้งแต่เมื่อคืนว่า
พ่อกำลังพยายามกลับมาให้ทันดูเกมของลูก ดังนั้น ทั้งเธอและลูกจึงได้สวดภาวนาให้พ่อกลับมา
ทันเวลา ทั้งตอนก่อนเข้านอนเมื่อคืนและตอนเช้าขณะขับรถไปสนาม- - ระหว่างทาง เด็กชายจะ
คอยแหงนหน้ามองฟ้า เมื่อเห็นเครื่องบิน ก็จะชี้ให้ดูและพูดว่า “บางที พ่ออาจอยู่บนเครื่องลำนั้น...”
.
ซาราห์ไปถึงสนามเบสบอลสายเล็กน้อย เธอเลยให้ลูกชายลงจากรถวิ่งไปก่อน เมื่อจอดรถเรียบร้อย
เธอเดินกลับมาด้านหน้า ก็พบสามีกับลูกชายเดินตรงมาที่เธอเช่นกัน! ซาราห์ดีใจสุดขีด-เขาทำสำเร็จ!
.
เมื่อเดินเข้าใกล้ ซาราห์เห็นสีหน้าของลูกชายดูแปลก ๆ จึงถามว่า เป็นอะไรไป... ไม่ทันเอ่ยปากตอบ
คำใด น้ำตาของเด็กชายก็ไหลพรูอาบสองแก้ม... จากนั้น ถึงค่อย ๆ พูดพลางสะอื้นว่า
“ผมตื่นเต้นดีใจมาก ๆ ที่พ่อมาทัน” แล้วก็โผเข้ากอดพ่อแน่นนาน...
.
ซาราห์เล่าว่า “ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น ต่างน้ำตารื้น รับรู้ได้ว่าสิ่งนี้หมายถึงทั้งโลกสำหรับเขา
และมีความหมายต่อครอบครัวของเรา- - นับเป็นช่วงเวลาพิเศษมากที่เราจะจดจำไว้ตลอดไป...”
.
ความดีใจของครอบครัวหนึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำใจของคนแปลกหน้าอย่างแอชเชอร์!
.
ซาราห์เขียนไปขอบคุณแอชเชอร์จากก้นบึ้งของหัวใจ - -

“เป็นเพราะคุณแท้ ๆ ที่ทำให้วันวิเศษนั้นเกิดขึ้นได้ โลกของเราต้องการคนแบบคุณอีกมากมาย
เพื่อส่องประกายแสงให้โลกได้เห็นว่า ยังมีคนดีอีกมากมาย- - ด้วยพระคุณของพระเจ้า เราสามารถใจดี
มีเมตตากับคนแปลกหน้าและรักซึ่งกันและกันเหมือนรักเราเอง ความกรุณาของคุณได้ทำให้ใครต่อใคร
ซาบซึ้งใจมากกว่าที่คุณคิด...”
.
แต่แอชเชอร์กลับตอบว่า ที่ทำไปนี้ไม่ใช่ความดีความชอบของเขาเลย... เป็นกิจการของพระเจ้าที่ทำงาน
ผ่านตัวเขาเท่านั้นเอง... เขาได้ยินพระเจ้าตรัสกับเขา!
. . . . .
.
“... แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน
และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:16)
.
แอชเอชร์เล่าว่า "งานบาร์เทนเดอร์ไม่ใช่งานที่ชวนหลงใหลมากนัก ฉะนั้น เมื่อผมเริ่มงานนี้เมื่อ 2 ปีก่อน
ผมอยากทำให้งานนี้มีความหมาย มีคุณค่า ผมต้องการเป็นแสงสว่างให้ทุกคนที่มานั่งในบาร์ และผม
ต้องการจะแสดงให้เห็น-ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร, ทำอะไรมา หรือผ่านอะไรมาบ้าง ผมไม่สนใจ ผมแค่
จะทำให้ดีที่สุดเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความรัก...
.
...ฉะนั้น เมื่อผมได้ยินปัญหาทุกข์ใจของโรเบิร์ต พระคัมภีร์ข้อนี้(มัทธิว 5:16) ก็ดังก้องอยู่ในหัวของผมทันที!
การตัดสินใจที่จะช่วยเขาจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย - - มันทำให้ผมดีใจที่รู้ว่าผมสามารถนำความสุขมา
ให้ครอบครัวของเขาได้... แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ผมหรอกครับ เป็นพระเจ้าที่ทำงานผ่านทางตัวผม...
จงเป็นแสงสว่างเสมอ ไม่ว่ามันจะมืดมิดสักเพียงใด"
. . . . .
.
ลองนึกดู หลายครั้งบนถนนชีวิตของเราทุกคนก็เช่นกัน เราได้รับน้ำใจจากมือที่ยื่นมาช่วยเหลือ
จากคนแปลกหน้าเสมอ- -
.
คนที่ช่วยเปิดประตูให้ขณะที่เราเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง, คนที่กดประตูลิฟท์ค้างไว้เมื่อเห็นเรา
กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมา, คนที่ช่วยบอกทางเมื่อเรากำลังหลง-ลุกลี้ลุกลน, คนที่ช่วยเก็บของตก
ให้กลางถนน, คนที่ลุกให้เรานั่งบนรถประจำทางในวันที่แสนจะอ่อนล้า, คนที่ยื่นร่มให้ในวันฝนตกหนัก
เปียกปอน, แท็กซี่ที่จอดรับเพราะเห็นเราเรียกแล้วไม่มีใครยอมไปสักคัน, หรือแม้แต่คำว่า 'ขอบคุณค่ะ'
พร้อมยกมือไหว้ของเด็กนักเรียนขณะที่เราจอดรถให้ข้ามทางม้าลาย อาจเล็กน้อยแค่รอยยิ้มที่ส่งมาให้
ก็ทำให้เราชุ่มชื่นใจในวันที่ชีวิตแห้งแล้ง...
.
เมื่อก่อนเคยสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าถึงต้องสร้างเรามาให้แตกต่าง, แล้วทำไมพระเยซูถึงเน้นให้เรา
จงมีความรักต่อกัน, รักเพื่อนบ้าน, รักศัตรู... เมื่อใช้ชีวิตอย่างไตร่ตรอง จึงรู้ว่า การที่สร้างเรามา
หลากหลาย ก็เพื่อให้เราใช้ความแตกต่าง ความสามารถที่มีนั้นแบ่งปัน พึ่งพากัน - ไม่มีใครแข็งแรง
ได้ตลอดเวลา และไม่มีใครอ่อนแอตลอดไป วันที่ใครคนหนึ่งล้ม ใครอีกคนก็ยื่นมือดึงให้ลุกยืน,
ยามที่ใครเหนื่อยล้า ใครอีกคนเป็นไหล่ให้พักพิง...
.
คนที่แปลกหน้าต่อกัน จะไม่มีวันสัมผัสโลกที่อบอุ่น จนกว่าเมื่อความรักได้สลายความแปลกหน้านั้น
ให้มลายหายสิ้น... เราถึงรู้ว่า ดาวโดดเดี่ยวบนฟ้าเหงา ไม่อาจจุดความสว่างไสวและสวยงามได้
เท่าท้องฟ้าที่พราวด้วยดาวล้านดวง!
.
ปะการัง
.
[ ขอบคุณภาพ : ซาราห์ ลาร์สัน ]_
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2022 10:48 pm

ภาพที่ชินตาในโบสถ์ยุคนี้ (รวมถึงตัวผมด้วย) .......
หญิงสาวเดินไปหาแพสเตอร์แล้วพูดขึ้นว่า "หนูไม่อยากมาโบสถ์อีกแล้วค่ะ"
แพสเตอร์ถามว่า "ให้ผมถามได้ไม๊ เพราะอะไร."?
หญิงสาว: "หนูเห็นคนเล่นแต่โทรศัพท์ บ้างก็นินทากัน บ้างก็ใช้ชีวิตอย่างไม่ถูกต้อง
ดูๆแล้วพวกเค้าล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น"
แพสเตอร์เงียบไปชั่วขณะ "โอเค งั้นผมจะขอคุณเรื่องนึงก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลิกมาโบสถ์ได้ไม๊"?
หญิงสาว "ให้หนูทำอะไรเหรอค่ะ"
แพสเตอร์ "หนูถือน้ำแก้วนึง แล้วเดินวนรอบโบสถ์สัก 2รอบ แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำหกนะ"
หญิงสาว "ได้ค่ะ หนูจะทำให้ค่ะ"
หญิงสาวเธอเดินกลับมา "เดินครบสองรอบแล้วค่ะ"
แพสเตอร์ได้ถามเธอไป 3 ข้อ
1. คุณได้เห็นคนเล่นโทรศัพท์ไม๊
2. คุณได้เห็นคตนกำลังนินทา เมาท์กันอยู่ไม๊
3. คุณได้เห็นคนเหล่านั้นกำลังใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยถูกต้องไม๊"

หญิงสาว: "ไม่เห็นเลยค่ะ หนูต้องโฟกัสกับแก้วน้ำ ไม่งั้นน้ำจะหกค่ะ"
แพสเตอร์ "งั้นเวลาหนูมาโบสถ์​ หนูก็ต้อง "โฟกัส" ที่พระเจ้าเพื่อหนูจะได้ไม่สะดุด
พระเยซูถึงได้สอนเราว่า "จงตามเรามา"​ พระองค์ไม่ได้บอกให้เรา "จงตามคริสเตียนคนอื่นๆ"
อย่าปล่อยให้ความสนิทสนมของหนูกับพระเจ้า ไปขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของคนอื่นๆกับพระเจ้า
แต่ให้ขึ้นอยู่กับการ "จดจ่อ" อยู่กับพระเจ้าของตัวหนูเองเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างหนู
กับพระเจ้าแทน"
cr. i'm so blessed daily (พิศิษฐ์แปล)

A lady went to the Pastor and said🙍🏾 ... "I won’t be attending Church anymore."
He said, "May I ask why??"
She said, "I see people on their cell phones during the service, some are gossiping,
some just ain’t living right, they are all just hypocrites."
The Pastor got silent and he said, "Ok... But can I ask you to do something for me
before you make your final decision?"
She said, "What’s that?"
He said, "Take a glass of water and walk around the Church 2 times and
don’t let any water fall out the glass."
She said, "Yes I can do that."
She came back and said "It’s done."
He asked her 3 questions:
1. Did you see anybody on their phone?
2. Did you see anybody gossiping?
3. Was anybody living wrong?
She said, "I didn’t see anything because I was so focused on this glass,
so the water wouldn’t fall."
He told her, "When you come to Church, you should be just that focused on God ,
so that you don’t fall.That’s why Jesus said 'Follow me.' He did not say follow Christians.
Don’t let your relationship with God be determined by how others relate with God.
Let it be determined by how focused YOU are on God."
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2022 10:52 pm

(เด็ก)เด็กน้อยน่ารัก แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Cute Kids” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

หนูน้อยวัย 4 ขวบคนหนึ่งเห็นชายชราที่เป็นเพื่อนบ้านกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในสนามหญ้าข้างบ้าน
หลังจากภรรยาเขาเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน หนูน้อยคนนี้จึงเดินไปหาและปีนไปนั่งบนตักของ
ชายชราผู้นี้ เมื่อหนูน้อยกลับไปที่บ้าน มารดาถามว่า เขาได้พูดอะไรกับชายชรา หนูน้อยตอบว่า
ตนไม่ได้ทำอะไรเลย “ผมช่วยเขาให้ร้องไห้ต่อไปครับ”
ครูให้เด็ก ๆ ในชั้นเรียนดูภาพของครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกในบ้านหลายคน หนึ่งในภาพเป็น
เด็กชายตัวเล็กและมีสีผมไม่เหมือนคนอื่นในครอบครัว นักเรียนคนหนึ่งออกความเห็นว่า
เป็นเพราะเด็กคนนั้นเป็น “ลูกเลี้ยง” จากนั้นก็มีเพื่อนนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า เธอรู้จัก
เรื่องลูกเลี้ยงเป็นอย่างดี เพราะตัวเธอเองก็เป็น “ลูกเลี้ยง” และอธิบายว่า “ลูกเลี้ยง คือเด็กที่โต
อยู่ในหัวใจของแม่ ไม่ใช่เด็กที่โตในท้องแม่เหมือนเด็กคนอื่น”

ทุกครั้งที่ฉันผิดหวังกับชีวิต ฉันจะหยุดและคิดถึงหนูน้อยเจมี่ เขาอยากจะได้รับเลือกเล่นละคร
โรงเรียน แม่ของเขาบอกฉันว่า เขาอยากจะมีส่วนร่วมเล่นละครจริง ๆ แม้ว่าแม่จะกลัวว่าเขาจะ
ไม่ได้รับเลือกก็ตาม บ่ายของวันที่มีการคัดเลือกตัวผู้เล่นละคร ฉันไปรับลูกกลับบ้านและพบแม่
ของเจมี่หลังเลิกเรียน เจมี่รีบวิ่งมาหาแม่ดวงตาเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้น
พูดว่า "เดาสิแม่" เขาตะโกนและจากนั้นก็พูดคำที่ฉันนำมาใช้เป็นบทเรียนของตัวเองว่า
"ผมได้รับเลือกร่วมกับพวกที่แสดงเป็นคนปรบมือและให้กำลังใจครับ”

เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงเดือนธันวาคมเมื่อหลายปีก่อนในมหานครนิวยอร์ก บ่ายวันนั้นอากาศหนาวมาก
ดิฉันสังเกตเห็นเด็กชายอายุประมาณ 10 ขวบไม่สวมรองเท้ายืนอยู่หน้าร้านขายรองเท้าข้าง
ทางเดิน เขาจ้องมองผ่านกระจกหน้าต่างของร้านเนื้อตัวสั่นด้วยความหนาว ดิฉันจึงเดินไปถาม
เขาว่า "หนูจ้องดูอะไรอยู่หรือ” เขาตอบว่า “ ผมกำลังขอให้พระเป็นเจ้ามอบรองเท้า(บูท)คู่หนึ่งให้ครับ”
เด็กชายตอบ
ดิฉันจึงจูงมือเขาเข้าไปในร้านและสั่งซื้อถุงเท้าสำหรับเด็ก 10 ขวบครึ่งโหล และรองเท้า 1 คู่ให้เขา
จากนั้นดิฉันก็ขอร้องพนักงานขายให้ช่วยนำอ่างน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็กไปวางไว้ที่หลังร้านให้ด้วย
พนักงานรีบทำตาม ดิฉันก็พาเด็กไปที่หลังร้าน ถอดถุงมือออก คุกเข่าลงล้างเท้าเล็ก ๆ ของเขาและ
ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเท้าจนแห้ง เมื่อพนักงานนำถุงเท้าและรองเท้ามาส่งให้ที่หลังร้าน ดิฉันให้พนักงาน
วางถุงเท้าคู่หนึ่งบนรองเท้าไว้ที่ข้างเท้าเด็ก และให้ส่งถุงเท้าที่เหลือที่อยู่ในถุงให้เด็กก่อนจะลูบศีรษะ
เขาเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้หนูคงรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมลูก" หนูน้อยตกตะลึงกับทุกสิ่งที่ได้รับ
จนคาดไม่ถึง เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าดิฉันด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางสะอื้นพูดตอบดิฉันว่า
"ท่านเป็นภรรยาของพระเป็นเจ้าหรือครับ"

-----------------------------
จบบริบูรณ์

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 20, 2022 6:28 pm

…….ไบรอันขับรถไปสนามบิน ระหว่างทางได้แวะร้านกาแฟ เขายืนเข้าคิวรอต่อจากผู้ชายไร้บ้าน
(Homeless)คนหนึ่งซึ่งไม่สวมรองเท้า ชายคนนั้นได้รวบรวมเศษเหรียญที่มีในกระเป๋าจนมาก
พอที่จะซื้อกล้วยได้หนึ่งลูกกับกาแฟ ขณะที่เดินออกจากร้าน เขาทำกาแฟหกลงพื้นเล็กน้อย...
เขารีบวิ่งไปเอากระดาษเช็ดปากมาทำความสะอาดพื้นตรงนั้นทันที แล้วเปรยว่า
“ผมจะรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ ถ้าใครไปเหยียบเอา”
.
ไบรอันได้ยินแล้วแอบนึกเล่น ๆ ในใจ คนที่ไม่มีรองเท้าสวม กลับเป็นห่วงกลัวคนที่มีรองเท้าสวม
จะไปเหยียบสิ่งสกปรกนี้... แปลกดี!
.
เมื่อเขาเดินไปหยิบกระดาษเพิ่ม ไบรอันตามเขาไปแล้วถามว่า ไม่มีรองเท้าใส่หรือครับ เขาตอบว่า
“มี! แต่เพิ่งถูกขโมยไปเมื่อคืน คุณรู้ไหม นั่นคือวิถีชีวิตของคนเร่ร่อน ผมคงบ่นอะไรไม่ได้หรอก” - -
แล้วเขาก็กล่าวลา “have a nice day” (ขอให้มีวันที่ดี) ก่อนเดินจากไป โดยไม่ได้เอ่ยปากขออะไรเลย
.
ไบรอันเดินตามชายคนนั้นออกไปนอกร้าน ถามว่าใส่รองเท้าเบอร์อะไร เขาตอบว่า 11
.
“ผมใส่เบอร์ 14 ถ้าคุณใส่ได้ ผมยินดีมอบรองเท้าคู่นี้ให้คุณ” ไบรอันบอกเขา

“สำหรับผม ไม่มีปัญหาเรื่องขนาดรองเท้าหรอกครับ”

ไบรอันถอดรองเท้า ยื่นให้เขาทันที เขายิ้มดีใจสุดชีวิต ขณะที่ไบรอันเองกลับรู้สึกดีในใจยิ่งกว่า- -
.
เมื่อรับรองเท้ามาสวมเรียบร้อย ชายคนนั้นน้ำตาไหล เขาเดินตามไปส่งไบรอันถึงที่รถ
เฝ้าถามซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “คุณแน่ใจหรือครับที่จะให้รองเท้าของคุณกับผม...” เขาคงรู้สึกไม่ดี
ที่เห็นไบรอันเดินเท้าเปล่า
.
ไบรอันเลยบอกเขาว่า “ผมกำลังไปสนามบิน ผมยังมีรองเท้าอีกสองคู่ในกระเป๋าเดินทางครับ”
. . . . .
.
ไบรอันไม่ได้ต้องการอวดโอ่ตัวเอง - ที่ผมนำมาเล่าต่อ ก็แค่อยากให้รับรู้ว่ายังมีคนดี ๆ ข้างนอกนั้น
ที่สมควรได้รับความเอาใจใส่... และไม่ต้องไปเผลอตำหนิตัดสินใคร เพราะทุกคนต่างมีเรื่องราว
ลึกเร้นของตัวเอง หน้าที่ของเราไม่ใช่ผู้พิพากษา หากเป็นยอดมนุษย์ - -
.
ก่อนเดินเข้าร้าน ใครคนหนึ่งมีรองเท้า อีกคนไม่มี และคงไม่มีใครคิดว่า เมื่อกลับออกมาจากร้าน
อีกครั้ง รองเท้า Nike คู่เดิมนั้นจะถูกเสกให้ไปสวมที่เท้าของใครอีกคน - - มันเกิดขึ้นได้ ก็เพราะ
มนต์วิเศษที่เนรมิตโดยยอดมนุษย์มหัศจรรย์แห่งความรักนั่นเอง!
.
ทุกถนนชีวิตที่เราเดินไป บางช่วงตอนอาจขรุขระด้วยก้อนหินแหลมคม หรือแม้บางเส้นทางจะ
โรยด้วยดอกกุหลาบ แต่อย่าลืมว่ายังมีหนามแหลมจากกิ่งก้านที่อาจทิ่มตำเท้าได้ - -
จงยื่นความรักน้ำใจให้เขาหรือเธอได้สวมใส่เป็นรองเท้า-ย่ำไปบนถนนสายยากลำบากนั้น...
.
สิ่งตอบแทนที่คุณจะได้มา อาจไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองมีค่า แต่เป็นรอยยิ้มเจิดจ้าของผู้รับ
ที่จะทำให้ท้องฟ้าของคุณสว่างไสวไปทั้งวัน!
.
ปะการัง

.
[ ขอพระเจ้าประทานรองเท้าแห่งความรัก-ให้เท้าทุกคู่ได้สวมใส่เดินไปบนถนนชีวิต ]

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:18 pm

“พี่ยังสวดไม่พอ” (Not Enough Praying)

เธอรรี่ สก๊อต (Terri Scot) อายุ 32 ปีแต่งงานมา 10 ปีแล้วยังไม่มีลูก เธอและสามีรู้ว่าจะมีพิธี
ที่เรียกว่า Healing Service ที่เยอรมันนี เธอไปร่วมพิธีนี้สองปี พระสงฆ์ปกมือให้ สวดให้
และเจิมให้ด้วยแต่ก็ยังไม่มีลูก แอนจี้ (Angie) น้องส่าวเธอแต่งงาน 13 ปีแล้วส่งจดหมายมา
ปรับทุกข์ว่ายังไม่มีลูกเลยเหมือนกัน เธอเขียนตอบน้องสาวไปว่า “ชายคนหนึ่งฝันว่าไปเดินกับ
นักบุญเปโตรในสวรรค์ เขาเห็นห้องหนึ่งที่พระเก็บคำภาวนาวอนขอของผู้คน พระเจ้ากำลังรอ
คำภาวนามากกว่านี้แต่พวกผู้คนเหล่านั้นไม่ภาวนาต่อ ส่วนพี่พี่จะภาวนาต่อไป พี่ยังภาวนาไม่พอ”
จากนั้นเธอก็คุกเข่าที่ข้างเตียงและภาวนาว่า “ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทราบว่าหนูอยากมีลูกและ
บางทีอาจเป็นเพราะหนูยังภาวนาไม่มากพอ เมื่อไดก็ตามที่หนูได้ยินเสียงระฆัง หนูจะสวดขอให้
มีลูกสำหรับหนูเองและน้องสาว Angie ด้วย” เธอเล่าว่า “วัดใกล้ๆบ้านตีระฆังทุก 15 นาที และฉัน
ก็สวดทุกครั้ง แม้ตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นฉันก็สวด หรือแม้แต่เสียงกริ่งหน้าบ้านดังฉันก็สวด 10 เดือน
ต่อมา ฉันให้กำเนิดลูกชายน่ารักมากชื่อ คริสโตเฟอร์
และปีต่อมา แอนจี้และสามีเธอได้ลูกฝาแฝดหญิง ทุกวันนี้ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงระฆัง ฉันก็ภาวนา
เพื่อขอบคุณพระเสมอ” เรื่องจริงเรื่องนี้มาจากหนังสือ Chicken soup for the soul การภาวนาไม่ว่า
เพื่อจุดประสงค์ใดมีผลเสมอ ช้าหรือเร็ว ทางตรงหรือทางอ้อม การภาวนามีพลังพิเศษซ่อนอยู่เสมอ
นะครับ มีความสุขกับการสวดภาวนา ห้องเก็บคำภาวนาในสวรรค์ยังมีที่ว่างอีกมาก อย่าลืมว่า
บางทีเรายังภาวนาไม่พอครับ Just Pray.

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2022 8:38 pm

มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในซาอุดิอารเบีย ที่ไม่ใช่ราชวงศ์ซาอุด เขามาจากครอบครัวยากจน
ที่ไม่มีแม้แต่เงินเหรียญเดียว เป็น 1 ใน 20 ผู้มีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อโลก

สวนปาล์มแห่งหนึ่งในเมืองอัลกัสซิม ของซาอุดิอาระเบีย มีต้นปาล์มมากกว่า 200,000 ต้น
พร้อมอินทผลัม 45 สายพันธุ์ ผลผลิตปีละ 10,000 ตัน่ รายได้จากสวนนี้นำไปใช้งานการกุศล
สวนแห่งนี้ ได้รับการบันทึกใน Guinness Book of World Records ว่าเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุด
เท่าที่เคยมีมา เป็นของชายที่ร่ำรวยที่สุดของซาอุดิอาระเบีย ที่ชื่อ "สุไลมาน อัล ราญี" ผู้ซึ่ง
นิตยสาร Forbes ยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 20 ผู้มีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

สุไลมาน อัล ราญี เกิดในครอบครัวยากจน วันหนึ่งที่โรงเรียนของเขา จะจัดทัศนศึกษาและ
เก็บเงินนักเรียนคนละหนึ่งเหรียญ แต่พ่อแม่ของเขาไม่มีแม้แต่เหรียญเดียว เขาร้องไห้หนักมาก
เมื่อครูชาว ปาเลสไตน์รู้ข่าวจึงให้เงินเขา 1 เหรียญ เขาวิ่งด้วยความดีใจไปหาผู้รับผิดชอบ

เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้สำเร็จการศึกษาและเริ่มทำงานโดยเปิดธนาคารด้วยห้องเล็กๆในเจดดาห์
เขาเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วยความทุ่มเทและทำงานหนัก อัลลอฮ์ทรง
อวยพร การงานของเขา ในช่วงเวลาสั้นๆ เครือข่ายธนาคารที่เรียกว่า 'Al-Rajhi' ได้แพร่กระจาย
ไปทั่วซาอุดีอาระเบีย

วันหนึ่งสุไลมาน อัล ราญี ได้ไปหาครูชาวปาเลสไตน์ของเขา เขาเกษียณแล้ว เขาอยู่ในสภาพที่
ขัดสนอย่างมาก สุไลมานได้เชิญครูของเขาเข้าไปในรถ บอกเขาว่า " ผมเป็นหนี้ครู " ครูได้พูดว่า
" ใครเป็นหนี้คนยากจนได้บ้าง สุไลมานบอกกับครูของเขาว่า เมื่อหลายปีก่อนครูได้ให้เงินฉัน
1 เหรียญ ครูยิ้มและ กล่าวต่อไปว่า "เธอมาที่นี่เพื่อคืนเงิน 1 เหรียญให้ครูหรือ?"

สุไลมาน ได้ขับรถไปจอดหน้าบ้านหรูหลังหนึ่ง แล้วบอกกับครูว่า บ้านและรถเป็นของครู เขาจะรับ
ผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครู ครูปาเลสไตน์ได้ยิน น้ำตาซึม และบอกว่า บ้านสุดอลังการ รถยนต์
ราคาแพงคันนี้ มันมากเกินไป สุไลมานกล่าวว่า ความสุขของผมในวันนั้นมากกว่าความสุขของครู
ในวันนี้ ครูเป็นคนมีเมตตากรุณา อัลลอฮ์ไม่ทรงทำให้ความดีงามเหล่านั้นของครูสูญเปล่า

ในปี 2010 สุไลมาน อัล ราญี ได้เรียกลูกๆ ภรรยา และคนที่รักมาพบและได้แจกจ่ายความมั่งคั่ง
ให้กับพวกเขา และอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาในปัจจุบัน เพื่อการกุศล มูลค่า 60 พันล้านริยัล
( 525,000 ล้านบาท)

เขาเป็นเจ้าของบริษัทในซาอุดิอาระเบียและธนาคาร Al-Rajhi ซึ่งบริจาคเงิน 170 ล้านริยัล
(1,400 ล้านบาท)สำหรับการต่อต้านไวรัสโคโรนา และมอบโรงแรมสองแห่งในเมืองมักกะห์
ให้กับกระทรวงสาธารณสุข

ชีวประวัติของเขาน่าสนใจ นอกจากการก่อตั้งธนาคารอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว เขายัง
ก่อตั้งฟาร์มสัตว์ปีกที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง นั่นคือ Al-Watania Poultry

“เป็นเรื่องสำคัญที่คนเราเมื่อต้องจากลาโลกนี้ไป จะต้องให้ทายาทมีความเพียงพอ และเป็นการดี
ที่ได้เห็นพวกเขาสนุกกับการแบ่งปันซึ่งกันและกันอย่างสันติ! อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญ เราควรคืน
ส่วนหนึ่งของโชคลาภให้กับประเทศชาติและสังคม เราเป็นหนี้ความสำเร็จในประเทศที่หล่อเลี้ยงเรา
และสำหรับคนที่ไว้วางใจเราและซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา

สุไลมานกล่าวต่อไปว่า "นอกจากนี้แล้ว คุณเป็นหนี้ตัวเองมากพอๆ กับที่เป็นหนี้ครอบครัวของคุณ
เมื่อคุณจากโลกนี้แล้ว การลงทุนเพียงอย่างเดียวที่สำคัญคือ สิ่งที่คุณเก็บไว้สำหรับอีกโลกหนึ่ง"

ผู้สัมภาษณ์ถามต่อไปว่า "คุณจึงมอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้กับครอบครัวและอีกครึ่งหนึ่งให้การ
บริจาคของคุณ คุณเก็บค่าใช้จ่ายอะไรไว้บ้าง? บ้าน? ฟาร์ม? เงินเดือน? "
“เปล่า ไม่มีอะไร!” เขาตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปก้วยรอยยิ้มที่สวยงามและสงบ
“ฉันอายุแปดสิบแล้ว! ฉันไม่ต้องการอะไรอีก ขอเพียงเงินค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าที่พัก ค่าอาหาร
ค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทาง ซึ่งฉันพยายามจะเก็บไว้ให้น้อยที่สุด ฉันสบายดี!”
"มหาเศรษฐีไร้เงิน! รู้สึกยังไงบ้าง”
เขายิ้มอีกครั้ง ด้วยตาเป็นฝ้า
“ฉันรู้สึกเบา! ฉันรู้สึกอิสระ! ฉันรู้สึกเหมือนนก ... เมื่อใดก็ตามที่อัลลอฮ์เรียกหาฉัน ฉันสามารถ
ยืนต่อหน้าพระองค์ได้โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ!

:s007: :s007:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 04, 2022 3:35 pm

ขณะที่มีคนทำร้ายโลกอย่างหนักหน่วง ก็ยังมีคนที่พยายามสร้างความแตกต่างทุกวัน
ด้วยการปลูกดอกไม้เล็ก ๆ คนละดอก - -
. . . . .
.
เช้าวันนั้น ชีน่าไปขึ้นศาลเพราะแอบขโมยของในร้านวอลมาร์ตเมื่อปีก่อน ช่วงนั้น
เธอตกอยู่ในความยากลำบากและหมดหนทาง ...ขณะที่กำลังจัดการเรื่องเอกสารปล่อยตัว
เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หญิงชื่อแคทรีนา ได้บอกให้ชีน่ารออยู่ด้านนอกก่อน อย่าเพิ่งไป...
.
หลังจากแคทรีนาเสร็จธุระ เธอขับรถพาชีน่าไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึง
เธอบอกว่า “ไปเอารถเข็น แล้วช็อปปิ้งกัน” - -
.
แคทรีนาได้จ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารข้าวของเครื่องใช้ให้ชีน่า เป็นจำนวนเงิน 139 เหรียญ!
ชีนาตะลึง ในน้ำใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้ เธอบอกแคทรีน่าไม่ต้องช่วยมากมาย
ขนาดนี้หรอก- - แคทรีนาเลยเล่าให้ชีนาฟังถึงความยากลำบากที่เธอเคยผจญ และผ่านพ้นมาได้
เธอจึงเข้าใจปัญหาและอยากส่งต่อความช่วยเหลือไปให้คนอื่น ๆ ด้วย...
. . . . .
.
แอนนาเล่าว่า หลังจากที่สุนัขแสนรักของเธอเสียชีวิต เธอเหลืออาหารกระป๋องที่เพิ่งซื้อมาแต่ยัง
ไม่ได้เปิดอีกเยอะ เลยติดต่อไปที่ Chewy (ร้านค้าปลีกอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในอเมริกา)
ว่าจะขอคืนได้หรือไม่? เมื่อทางร้านทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็ยินดีคืนเงินเต็มจำนวนให้ทันที
โดยไม่ต้องส่งคืนสินค้า เขาบอกให้เธอช่วยบริจาคต่อให้สถานพักพิงสัตว์จรจัดด้วย...
มิเพียงเท่านั้น เช้าวันต่อมา เธอยังได้รับช่อดอกไม้แสดงความเสียใจ จากคนที่โทรไปคุยด้วย...
.
การทำธุรกิจ บางทีก็ไม่ใช้เรื่องของเงินทองอย่างเดียว! การเข้าอกเข้าใจกันด้วยความรู้สึก
อาจเป็นสายใยที่โยงให้ธุรกิจนั้นยาวนาน...
. . . . .
.
แชนนอลเล่าว่าลูกชายวัยรุ่นของเธอ กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เขาตัดสินใจซื้อรถมือสอง
ด้วยเงินที่เก็บสะสมเอง - - เมื่อยื่นเงินให้คนที่ขายรถ ชายคนนั้นรับเงินไป แล้วนับเงินเป็น
จำนวน 1,000 เหรียญ ส่งคืนกลับมาให้ลูกชายของเธอ แล้วพูดว่า “ขอให้โชคดี กับการเรียนนะ”
.
แชนนอลถึงกับน้ำตาไหล ในความเอื้ออารีของชายแปลกหน้าที่ไม่ได้คิดเรื่องซื้อขาย-กำไร
ขาดทุนเป็นเรื่องใหญ่ หากมีน้ำใจส่งต่อความรักความหวังให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิต
- แสดงให้เขาเห็นตัวอย่างที่ดีว่า สังคมที่อบอุ่นนั้นเป็นเช่นไร...
. . . . .
.
โลกนี้ แม้หลายครั้งจะบิดเบี้ยวเพราะผู้คนผุพัง... แต่ก็ยังมีคนธรรมดาตัวเล็ก ๆ อีกมากมายข้าง
นอกนั่น ที่พยายามสร้างความแตกต่างทุกวัน เพื่อซ่อมสร้างให้โลกของพรุ่งนี้ดีกว่าเดิม
.
พระเจ้าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรักและความหวังไว้ในใจเราตั้งแต่เกิดแล้ว บางคนหมั่นรดน้ำ
พรวนดิน ดูแลจนเติบโตแตกต้น แต่หลายคนกลับปล่อยให้หนอนแมลงแห่งความเกลียดชังคอยกัดกิน- -
.
หากเราทุกคนลงมือสร้างความดีเล็ก ๆ แต่ละวัน เหมือนดอกไม้น้อย ๆ แต่ละดอกที่งอกงาม
เชื่อว่า อีกไม่นาน โลกก็จะเป็นสวนดอกไม้แห่งความสุขของเราทุกคน.
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าอวยพร ให้เราเป็นดอกไม้ที่งอกงามในแต่ละวัน ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 06, 2022 11:04 pm

เด็กชายกำลังเดินไปโรงเรียน ระหว่างทาง เขาเห็นชายไร้บ้านนอนหลับอยู่ข้างถนน
เขาเดินผ่านไปแล้ว แต่ก็นึกเปลี่ยนใจ เดินกลับมาหยุดมองชายไร้บ้านอยู่ชั่วครู่ จากนั้น
เด็กชายทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คุกเข่าลง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปแตะที่ปลายเท้าของชาย
ไร้บ้าน และเริ่มต้นสวดภาวนาให้เขา...

สิ่งที่ปรากฏนั้น ทำให้ผู้ที่เฝ้ามองอยู่อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพประทับใจนี้ไว้ หัวใจของเด็ก
น้อยนั้นต้องยิ่งใหญ่สักแค่ไหนนะ ถึงทำเรื่องเล็ก ๆ นี้ด้วยความรักแรงกล้าขนาดนั้นได้...
. . . . .
.
กวางตาบอดตัวหนึ่งมักเดินหาอาหารอยู่ในชุมชนแห่งนี้... เด็กชายวัยสิบขวบจะตื่นมาเดิน
เคียงข้าง เพื่อนำทางมันไปยังแปลงหญ้า จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เขาทำอย่างนี้ทุกเช้าก่อนไป
โรงเรียน เพื่อให้มั่นใจว่ากวางตัวนั้นได้กินอาหารทุกวัน- -
.
ไม่มีใครรู้ ทำไมกวางถึงวางใจในตัวเด็กชายคนนี้... อาจเป็นเพราะมันสัมผัสได้ถึงความรัก
บริสุทธิ์ใสในหัวใจอ่อนโยนดวงน้อยนั้น...
. . . . .
.
เมื่อสตีฟเดินกลับออกมาจากร้านค้า เขาพบว่าตัวเองล็อครถโดยลืมกุญแจและโทรศัพท์มือถือ
ไว้ในรถ ขณะกำลังยืนหงุดหงิดไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กชายคนหนึ่งขี่จักรยานผ่านมาพอดี ถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นครับ” สตีฟอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังแล้วบอกถึงปัญหาว่า ...แม้จะโทรหา
ภรรยาได้ แต่เธอก็เอากุญแจสำรองมาให้ไม่ได้ เพราะเขามีรถคันนี้เพียงคันเดียวเท่านั้น...
เด็กชายฟังจบ ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของเขาให้ทันที
.
“คุณโทรหาภรรยาของคุณเลยครับ บอกว่าผมกำลังจะไปรับกุญแจ”

สตีฟแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“โอ นั่นต้องไปกลับ 7 ไมล์เชียวนะ” ( 7 ไมล์ เท่ากับ 11 กิโลเมตรกว่า)

“ไม่ต้องห่วงครับ” เด็กชายตอบอย่างมั่นใจ
.
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เด็กชายก็กลับมาพร้อมกุญแจรถ สตีฟพยายามให้เงินตอบแทนค่าเหนื่อย
แต่เขาปฏิเสธหนักแน่น บอกว่า “คิดเสียว่าผมได้ออกกำลังกายครับ”
.
สตีฟอธิบายภาพว่ามันเท่เหลือเกิน เหมือนตอนจบของหนังเคาบอย - -“ แล้วเขาก็ขี่ม้า(จักรยาน)
จากไป ขณะที่แสงตะวันลับฟ้า...”
.
หัวใจของเด็กน้อยต้องแข็งแกร่งแค่ไหนนะ ถึงเสียสละช่วยคนแปลกหน้าได้อย่างง่ายดาย - -
พลังแห่งรักมากมายแค่ไหนนะ จึงทำให้เขาปั่นไปกลับระยะทางไกลนั้นโดยไม่รู้สึกสูญเสียอะไรเลย...
. . . . .
.
พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์
เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” (มัทธิว 19:14) ความหมายไม่ได้แปลว่า สวรรค์เป็นของเด็กเท่านั้น
หากเป็นของทุกคนที่มีใจบริสุทธิ์ดังแก้วใสทรงค่า เหมือนเด็ก ๆ สามคนนี้ - ผู้มีหัวใจกรุณา, อ่อนโยน
และแข็งแกร่ง!
.
หลายครั้ง บนถนนชีวิต เรานอนหมดสิ้นหวังอยู่ข้างทาง, เราเป็นเหมือนกวางตาบอดที่เดินสะเปะสะปะ,
เราหลงลืมกุญแจที่จะไขตัวเองให้หลุดพ้น บางครั้ง, เราจึงจำต้องลดความยิ่งใหญ่แห่งอัตตาลง เพื่อ
ให้ผู้ที่ต่ำต้อยตัวเล็กกว่า-สวดภาวนาให้, นำทาง, และแก้ปัญหายาก ๆ ของเราอย่างง่ายดาย - -
.
แล้วเมื่อนั้น เราจะรู้สึกและเข้าใจอย่างซาบซึ้งว่า หัวใจที่กรุณา, อ่อนโยน และแข็งแกร่งด้วย
ความรักนั้นเป็นเช่นไร.
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าประทานพรให้เรามีหัวใจแบบเด็กน้อยทั้งสามด้วยเถิด ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 06, 2022 11:04 pm

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส