เรื่องจริง เสริมศรัทธา ( ชุด 1 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 02, 2022 12:06 pm

(100ปี )แห่งการพิสูจน์ผ้าพันพระศพแห่งตุริน (1898 – 1998) ตอนที่ 1
โดย เวรอนีเกอ กราเวอเลต์, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ระหว่างวันที่ 18 เมษายน ถึง 24 มิถุนายน 1998 ในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่มีการถ่ายภาพผ้า
พัน พระศพแห่งตุรินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 1898 นั้น นักแสวงบุญนับล้านคนมีโอกาสชมภาพ
[/youtube][/youtube]ฟิลม์ (ภาพเนกาตีฟ)ที่พิสดารล้ำลึก บทความนี้เล่าประวัติความเป็นมาของ
ผ้าฯ และการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อเฉพาะผลจากการหาอายุโดยใช้ธาตุคาร์บอน 14
และพยายามหาเหตุผลว่ามิใช่เป็นผ้าพันพระศพที่แท้จริง
รอยพระมหาทรมานที่ปรากฏบนผ้าพันพระศพ (ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือสิ่งที่พิสูจน์พบบนผ้าฯ)

พระวรสารบันทึกว่า “ปิลาตจึงเอาพระเยซูไปให้โบยตี และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ
สวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง แล้วเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า
‘ท่านกษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ’ และเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์” (ยน. 19, 1-4)

พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า (มธ.26–28; มก.14 – 16; ลก.22–24; ยน.18-19) หลังจากการ
ไต่สวนความผิดแล้ว สภาซานเฮดรินได้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้าข้อหาพระองค์กล่าวผรุสวาทว่า
เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า แต่เนื่องจากในสมัยนั้นโรมันปกครองชาวยิว พวกเขาจึงได้นำพระองค์ไป
ให้ปิลาตตัดสิน ได้รับการถูกโบยตี และการถูกสวมมงกุฎหนาม

เมื่อพระเยซูถูกนำตัวกลับมายังปิลาตครั้งที่สองก็ถูกลงโทษด้วยการโบยตี คือลงโทษ "กึ่งตาย"
เพราะไม่มีการนับจำนวนที่โบยตี แซ่ที่ใช้มีปลายผูกติดกับสายหนัง 2 เส้น และที่ปลายของสายหนัง
แต่ละเส้น ผูกลูกตะกั่วติดกัน 2 ลูก ลักษณะคล้ายเหล็กยกน้ำหนักยาวประมาณ 3 ซม. ผู้ที่อยู่ในผ้าพัน
พระศพผืนนี้ ถูกโบยตี 120 ครั้ง ในลักษณะ 2 ทิศทางจึงมีผู้โบยตี 2 คน

ต่อมา พวกทหารได้ทำร้ายร่างกายพระองค์ สังเกตได้จากริมฝีปากล่าง และที่คิ้วทั้งสองข้าง มีรอยแผล
จากการถูกชก หรือถูกตีด้วยไม้ มีแผลใหญ่ที่แก้มด้านขวา, จมูกบิดเบี้ยว และเคราถูกกระชากจนแหว่ง
มงกุฎหนามมีลักษณะเป็นหมวกแขก สานจากก้านของพุ่มไม้หนาม และหนามได้ฝังทะลุหนังศีรษะ
ลงไปลึกทีเดียว

การแบกกางเขนและการตรึงบนไม้กางเขน
"พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ... ณ ที่นั้นเขาตรึงพระองค์
ไว้ที่กางเขน" (ยน. 19, 16-17) การประหารชีวิตนักโทษด้วยวิธีทรมานของโรมัน คือมีการโบยตีนักโทษ
ไปเรื่อย ๆ และหยุดเมื่อคะเนว่านักโทษยังคงพอมีแรงที่จะแบกกางเขนของตนในลักษณะพาดไม้กางเขน
ด้านขวางไว้กับแขนของตัวเองได้ ไม้กางเขนแนวตั้งวางไว้อยู่ที่บริเวณที่จะตรึงกางเขน ไม้กางเขน
ด้านขวางทำจากต้นสนไซปรัสยาว 180 ซม., หนา 7 ซม. และกว้าง 12 ซม. มีน้ำหนัก 30-50 กก.

เนื่องจากพระองค์ทรงอ่อนแรงมากและคงต้องหกล้มหลายครั้ง ระยะทางที่แบกคือ "1000 ก้าว"
หรือประมาณ 900 ม. ปกติระหว่างทางมีการให้นักโทษดื่มเหล้าผสมเครื่องหอมทำจากมดยอบ
เพื่อทำให้นักโทษมึนเมาและทุเลาความเจ็บปวด แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธ

การประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนปกติจะทำกับทาสหรือผู้ก่อการปฏิวัติ นักโทษที่ถูกตรึงจะ
นอนอยู่กับพื้น และกางแขนออกวางบนท่อนไม้ด้านขวาง ใช้ตะปูที่มีหัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ขนาด 8 มม. ยาว 17 ซม. ตอกลงไประหว่างมือกับข้อมือทะลุผ่านเส้นเอ็นต่าง ๆ ทำให้นักโทษ
ได้รับความทรมานแสนสาหัส จนนิ้วหัวแม่มือเกร็งกดลงไปบนฝ่ามือ รอยพบที่ผ้าฯ จึงมีรอยนิ้วมือ
เพียง 4 นิ้ว หลังจากนั้นก็ยกกางเขนส่วนแขนที่ตรึงมือทั้งสองข้างแล้วไปเข้าเดือยกับไม้กางเขน
ส่วนตั้ง จัดให้เท้าซ้ายทับบนเท้าขวาที่อยู่ติดกับไม้กางเขน และใช้ตะปูตัวเดียวตอกทะลุกระดูก
ส้นเท้าตรึงให้อยู่กับที่

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:44 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 02, 2022 12:15 pm

(100)ปี แห่งการพิสูจน์ผ้าพันพระศพแห่งตุริน (1898 – 1998) ตอนที่ (two)
โดย เวรอนีเกอ กราเวอเลต์, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ร่องรอยที่ขีดเส้นใต้เหล่านี้พบบนผ้าพันพระศพ ซึ่งมีลักษณะตรงกับโครงกระดูกของชายคนหนึ่ง
ที่ถูกตรึงกางเขนในปี ค.ศ.70 พบในสุสานคุมราน (Qumran)ใกล้ทะเลตายในปี 1968

จักรพรรดิคอนสตันติน (272-337) สั่งห้ามการประหารชีวิตด้วยวิธีตรึงกางเขนและนับแต่นั้น
ชาวตะวันตกก็ลืมวิธีการตรึงกางเขนของชาวโรมัน
การแทงด้วยหอก
ปกติขาทั้งสองของผู้ถูกตรึงฯ จะไม่ตรงนัก และมีผลต่อการเสียชีวิตช้าหรือเร็วเพราะขาดอากาศ
หายใจ ดังนั้น เพื่อที่จะไม่เป็นตะคริวและขาดอากาศหายใจ ผู้ถูกตรึงจำต้องหายใจโดยรั้งแขน
ของตนขึ้นเล็กน้อย เราจึงแลเห็นรอยโลหิตอย่างชัดเจนที่แขนทั้งสองเป็นสองแนว เมื่อต้องการ
ให้ผู้ถูกตรึงเสียชีวิตเร็วขึ้น ก็จะใช้วิธีทุบขานักโทษให้หัก แต่เนื่องจากเห็นว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว
ทหารจึงใช้หอกแทงสีข้างด้านขวาซึ่งเป็นจุดอ่อนของเสื้อเกราะที่ทหารทุกคนรู้จักกันดี การแทงที่จุดนี้
จะทะลุเยื่อขาว 2 แผ่นที่หุ้มหัวใจ เป็นเยื่อที่บรรจุน้ำเหลืองซึ่งจะมีมากเมื่อถูกทรมาน ดังนั้นจึง
"มีโลหิตปนน้ำไหลออกมา" (อ้างถึง ยน. 19, 34)

การฝังในพระคูหา
พระศพของพระเยซูเจ้าถูกชโลมด้วยมดยอบและว่านหางจรเข้ และถูกห่อด้วย "ผ้าห่อศพที่สะอาดและใหม่"
กฎหมายฮีบรูบัญญัติให้ใช้ผ้าห่อศพผืนเดียวพันร่างผู้ถูกประหารชีวิต มีเส้นผมกระจายอยู่ที่แก้ม
ทั้งสองข้าง แสดงให้เห็นรอยของสายรัดคางเพื่อปิดปาก จากการศึกษาพบว่ามีวัสดุคล้ายเหรียญเล็ก ๆ
2 เหรียญที่ดวงตาของเจ้าของผ้าผืนนี้ ซึ่งก็ตรงกับประเพณีการฝังศพของชาวยิวเมื่อ 2000 ปีก่อน
3 วันต่อมา เมื่อสานุศิษย์กลับมายังที่ฝังพระศพ พวกเขาพบแต่ "ผ้าป่านวางอยู่" (ยน. 20, 5)


(+)เส้นทางของผ้าพันพระศพ

ก่อนคริสตศตวรรษที่ 6 หนังสือพระวิวรณ์กล่าวถึงการให้ความเคารพต่อผ้าพันพระศพผืนหนึ่ง
ในศตวรรษที่ 4 นักบุญซีริลแห่งเยรูซาเล็ม กล่าวถึง "ผ้าพันพระศพที่เป็นประจักษ์พยานการเสด็จ
กลับคืนพระชนมชีพ" ช่วงศตวรรษที่ 7-8 นักบุญแบรนไลออน (Branlion), นักบุญยอห์น ดามัสซีน
และท่านเอนีญาร์ด (Enignard) นักประวัติศาสตร์ที่เคร่งครัดก็ได้กล่าวถึงผ้าพันพระศพในลักษณะ
เดียวกัน

16 สิงหาคม ค.ศ. 944 พระสังฆราชเกรกอรี่ แห่งสังฆมณฑลนักบุญโซฟี ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล
กล่าวถึงภาพที่มาจากเมืองเอเดสเซ (Edesse--เมืองโบราณในอิหร่าน) ที่เคยอยู่ที่เมืองนี้ตั้งแต่
สมัยต้นคริสตกาลแล้ว อย่างไรก็ตามภาพของพระเยซูเจ้าก่อนคริสตศตวรรษที่ 7-8 ไม่มีหนาดเครา
คล้ายภาพของเทพเจ้าโรมันอพอลโล แต่ภาพหลังจากนั้นมีลักษณะเหมือนกับบุคคลในผ้าพันพระศพ
คือมีใบหน้าที่ผอมจนเห็นกระดูก, จมูกยาว, มีเคราแบ่งเป็นสองส่วน, มีผมปรกหน้าผาก...

(+)สงครามครูเสดครั้งที่ 4 ปี 1204 กองทัพคริสตังยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ และคงมีการซ่อน
ผ้าพันพระศพไว้จนถึงปี 1357 มีผู้นำผ้าฯไปเมืองตรัวส์ (Troyes) ฝรั่งเศส ต่อจากนั้นมีการมอบผ้าฯ
แก่ตระกูลแห่งแคว้นซาวัว เมืองซังเบรี ผ้าพันพระศพรอดจากไฟไหม้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกปี 1532
แต่ครั้งที่สองไม่มีผู้ใดทราบวันเวลา ที่สุดในปี 1578 ท่านดยุคเอ็มมานูเอล ฟีลีแบร์ต ได้นำไปเก็บ
รักษาไว้ที่เมืองตุรินและอยู่ที่ตุรินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เนื้อผ้า เป็นผ้าป่านผืนเดียวยาว 4.36 ม., กว้าง 1.10 ม. มองด้วยตาเปล่า
จะแลเห็นเป็นภาพลาง ๆ สีเหลือง เป็นภาพที่มองเห็นค่อนข้างชัดได้ในระยะ 2 เมตรขึ้นไป;
ที่ระยะ 5-6 เมตร จะแลเห็นรายละเอียดค่อนข้างชัดที่สุด เป็นคล้ายเงาคน 2 คนจากด้านหน้าและด้านหลัง

เส้นด้ายเป็นการทอคล้าย "ลายของรวงข้าว" ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาแล้ว แต่ลายของเนื้อผ้าก็ยังไม่สมบูรณ์
นักซึ่งตรงกับวิธีทอผ้าในสมัยพระเยซูเจ้าที่ทอด้วยมือโดยเฉพาะที่เมืองพัลเมียร์(Palmyre)
ทางตะวันออกของกรุงดามัสกัส

ไม่มีการใช้ขนแกะผสมในเนื้อผ้า เพราะการทอด้วยขนแกะเป็นอาชีพที่เกิดขึ้นภายหลัง หรือไม่ก็คนทอผ้า
ผืนนี้เป็นชาวยิว เพราะกฎหมายของโมเสสห้ามใช้เส้นด้ายจากสัตว์และพืชผสมกัน
(ฉธบ. 22, 11/ลนต. 13, 47-59) ผ้าป่านที่ทอเสร็จมีสีน้ำตาล มีฟอกเป็นสีขาวทำให้เส้นด้ายไม่แข็งแรง
เพราะก่อนคริสตศตวรรษที่ 8 ยังไม่มีผู้ใดรู้เทคนิคการทอผ้าป่านเป็นสีขาวโดยไม่ผ่านการฟอก
ผ้าพันพระศพมีลักษณะของผ้าโบราณตามที่กล่าวมานี้ คือมีสีน้ำตาลก่อน แล้วจึงนำไปฟอกให้ขาว
เราจึงแลเห็นร่องรอยสีน้ำตาลหลงเหลืออยู่เป็นจุด ๆ

(+)ศาสตร์ที่ว่าด้วยเกสรดอกไม้ (palynology)
ปี 1973 มีการศึกษาด้านเรณูดอกไม้ที่เล็กจนต้องใช้กล้องขยายในการศึกษา เรณูที่พบบนผ้าฯ
แสดงถึงดอกไม้ 49 ชนิด, 29 ชนิดเป็นเรณูของดอกไม้ในตะวันออกกลาง และ 3 ชนิดมีเฉพาะ
ในเขตที่ติดกับทะเลตาย ส่วนเรณูอื่น ๆ มาจากพันธุ์ไม้ในคาบสมุทรอานาโตเลียบริเวณเมืองเอเดสเซ
เรณูเป็นสิ่งที่หนัก ดังนั้นการกระจายตัวของพันธุ์ไม้จึงไม่กินบริเวณกว้างนัก ผ้าพันพระศพจึงต้องเคย
อยู่ในตะวันออกกลาง นอกจากนั้น ตามขอบรอบใบหน้าและโครงร่างบนผ้าฯ มีร่องรอยของดอกไม้
มากมายที่มีการนำมาวางไว้ตามประเพณีจารีตตะวันออกและประเพณีแบบไบเซนไทน์ในตุรกี

โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 03, 2022 2:02 pm

(100ปี )แห่งการพิสูจน์ผ้าพันพระศพแห่งตุริน (1898 – 1998) ตอนที่(3)
โดย เวรอนีเกอ กราเวอเลต์, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)สิ่งที่เป็นภาพที่แท้จริง

ภาพที่พบเป็นเหมือนภาพจากแผ่นฟิลม์ มีความคงที่ทางความร้อน, เคมี และน้ำ ไม่เคยมีของเหลว
ผ่านตัวผ้าเลยนอกจากโลหิตที่อยู่เป็นเอกเทศแยกออกจากรูปภาพ ภาพที่เห็นมิได้เกิดจากร่องรอย
ของโลหิต เส้นด้ายมิได้มีการระบายสีแต่แบกรับตัวภาพที่หนาเพียง 45 m (1/22 มม.) และเกิด
จากการทำปฏิกิริยาของออกซิเจนกับเส้นใยผ้าที่เหลือจากการสกัดยางของต้นป่านออกไป
ไม่มีผู้ใดทราบว่า ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเส้นด้ายเหล่านี้ได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์มากกว่า
400 คนพยายามหาคำตอบธรรมชาติของภาพด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ 100,000 ชั่วโมง
นักวิทยาศาสตร์ชื่อเลอกรังด์สรุปว่า "หากเคยมีร่างกายอยู่ในผ้า, โลหิตจะไหลทับกันเป็นชั้น ๆ
ในกรณีนี้ร่างกายก็จะไม่ปรากฏอยู่ด้านในของผ้าฯ แต่ถ้ามีการเอาร่างกายออกไปก็ต้องมีร่องรอย
การฉีกขาดและรอยเปรอะเปื้อนอื่น ๆ แทนที่จะเห็นโลหิตเป็นรอย ๆ ดังที่มีอยู่บนผ้าฯ"

ปี 1976 มีการพบวิธีการจัดภาพ 3 มิติโดยถ่ายภาพผ้าฯ ลงบนแผ่นฟิลม์ด้วยกล้องที่สามารถสร้างภาพ
ขึ้นใหม่เป็น 3 มิติจากคุณสมบัติของแสงสว่างที่ต่างกัน ปกติภาพที่ได้จะผิดเพี้ยนไปจากเดิม เช่นส่วน
ที่เป็นแก้มด้านที่ได้รับแสงสว่างจะเห็นเป็นภาพที่อยู่ใกล้มากกว่าส่วนที่อยู่ในเงาที่ห่างออกไป เป็นผ้า
ผืนเดียวในโลกที่เห็นภาพบนแนวราบที่เปลี่ยนไปตามความเข้มของแสง และสามารถเห็นมิติที่สามได้" (Clercq)

ปี 1988 มีการใช้ธาตุคาร์บอน 14 ที่กำหนดอายุของผ้าฯ ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 13 หรือ 14 !
นายยูพินสกี้ (Upinsky) นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันกล่าวว่า "มิใช่ผ้าพันพระศพกำลังถูกวิทยาศาสตร์
ทดสอบ แต่กลายเป็นวิทยาศาสตร์กำลังถูกผ้าพันพระศพทดสอบ"

(+)การพบคำตอบที่ชุบชีวิตใหม่แก่ผ้าพันพระศพ

ศาสตราจารย์คุณพ่อรีเนาโด (Rinaudo) จากศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ทางการแพทย์แห่งมองต์เปอลีเอร์
ตั้งสมมติฐานว่า พลังงานที่มีแหล่งกำเนิดไม่ต่อเนื่องกัน จะทำให้นิวเคลียสของธาตุดิวทีเรียม
(deuterium ซึ่ง เมื่อรวมตัวกับธาตุออกซิเจนกลายเป็นน้ำที่หนักกว่าปกติ จึงมีการแตกตัวและหลุดไป
ของนิวตรอนซึ่งทำให้เนื้อผ้ามีอายุน้อยลง ธาตุไนโตรเจนที่เหลือจะเปลี่ยนเป็นธาตุคาร์บอน 14 และ
ไปเร่งนาฬิกาบอกระยะเวลาของธาตุกัมมันตรังสีคาร์บอนให้มีอายุเสมือนอยู่ในศตวรรษที่ 14
ส่วนกระแสการไหลของโปรตอนก็จะก่อให้เกิดเป็นภาพ; เมื่อโปรตอนถูกปล่อยออกมา ก็จะมี
พลังงานเท่ากับ 1.4 Me V และแทรกเข้าไปอยู่ในเนื้อผ้าป่านโดยมีความหนาของภาพเท่ากับ 45 m

ผลจากการทดลองหลายครั้งต่อมา ยืนยันความถูกต้องของสมมติฐานที่กล่าวมานี้ มีการทดสอบ
เรื่องนี้กับผ้าป่านที่ได้จากมัมมี่อียิปต์อายุ 3,400 ปีก่อนคริสตกาล การทดสอบทำขึ้นโดยยิงนิวตรอน
ไปที่ผ้าป่านชิ้นนั้น หลังจากนั้นก็นำผ้าไปหาอายุที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา ผลที่ได้คือเศษ
ผ้าชิ้นนั้นกลับมีอายุอยู่ในอนาคตถึง 46,000 ปี ! ทั้งนี้เพราะธาตุคาร์บอน 14 ได้รับอิทธิพลจากนิวตรอน
ทำให้อายุลดน้อยลงซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง จึงมีคำถามที่ว่าพลังมหาศาล
ออกมาจากร่างกายทำให้นิวเคลียสของธาตุดิวทีเรียมหลุดออกมาได้อย่างไร? จะเป็นเพราะพลังจาก
การเสด็จกลับเป็นขึ้นมาหรือ? มีหลายคนที่คิดเช่นนั้น

การค้นพบในระยะหลัง​ ระหว่างปี 1994-1996 มีการใช้ภาพถ่ายใบหน้าด้วยระบบดิจิตัล ของสถาบัน
สายตาแห่งออร์เซ (Orsay) ที่ยืนยันตัวอักษรเป็นภาษาละตินและกรีกที่พบบนผ้าฯ ตั้งแต่ ค.ศ.1980
ภาษากรีก ด้านขวามีคำว่า "นาซาเร็ธ", ด้านซ้ายมีคำว่า "เงาที่ใบหน้า", ด้านล่าง "เ(ย)ซู". ภาษาละติน
ด้านขวามีคำว่า "(ท่านจะไป)สู่ความตาย" นายอังเดร มารีอ็อง นักวิจัยแห่งสถาบันออร์เซ กล่าวว่า
ตัวอักษรเช่นนี้มีอยู่ก่อนสมัยกลาง
เราอาจจะไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ถึงความเที่ยงแท้ของผ้าฯ ได้ร้อยเปอร์เซนต์
แต่การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาล้วนบ่งชี้ถึงความเที่ยงแท้ของผ้าผืนนี้มากกว่าความเชื่อของ
คริสตชนในเรื่องความเที่ยงแท้ของผ้าฯ เสียอีก แต่ไม่ว่าผลการพิสูจน์จะเป็นอย่างไรก็ตาม พระศาสนจักร
ชี้ชวนให้เราถวายความเคารพผ้าพันพระศพผืนนี้ที่แสดงให้เราเห็นภาพพระมหาทรมานขององค์
พระคริสต์ที่ชัดแจ้งและลึกซึ้ง

****************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 03, 2022 2:25 pm

แม่พระแห่งเสาหิน (𝐎𝐮𝐫 𝐋𝐚𝐝𝐲 𝐎𝐟 𝐓𝐡𝐞 𝐏𝐢𝐥𝐥𝐚𝐫)

Nuestra Señora del Pilar เป็นชื่อในภาษาสเปนเพื่อเป็นเกียรติแด่พระนางพรหมจารีย์มารีย์
ที่มาประจักษ์ในสเปน สักการะสถานของพระนางตั้งอยู่ที่ มหาวิหารแม่พระแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์
(Basilica of Our Lady of the Pillar) ณ เมืองซาราโกซ่า (Zaragoza) ริมฝั่งแม่น้ำเอโบร (Ebro)

ตามตำนานสมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักรของเหล่าคริสตชน กล่าวไว้ว่า นักบุญยากอบอัครสาวก
เป็นผู้นิพนธ์พระวรสารที่ซีซาเรากุสต้า (Caesaraugusta เป็นชื่อเดิมของเมืองซาราโกซ่า) กระนั้น
งานแพร่ธรรมของท่านไม่ได้เกิดผลมากมายนัก จนกระทั่งท่านเห็นพระนางมารีย์มาประจักษ์เพื่อชัก
ชวนท่านไปยังกรุงเยลูซาเล็ม ในนิมิตนั้นพระนางปรากฎอยู่บนเสาที่ถูกแบกมาโดยหมู่เทพนิกร
และเชื่อกันว่า เป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ต้นเดียวกับที่เป็นที่เคารพนับถือกันในซาราโกซ่า มีการหายจากโรค
อย่างอัศจรรย์ถูกรายงานไว้มากมาย


ยากอบกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับสาวกบางคน ท่านนักบุญยากอบกลายเป็นมรณสักขี
ถูกตัดศีรษะในปี ค.ศ. 44 ในรัชสมัยของเฮโรด

นับว่าเป็นการประจักษ์ของพระนางมารีย์ครั้งแรกในคริสตจักรคาทอลิก เเละเป็นการประจักษ์เพียง
ครั้งเดียวในช่วงเวลาที่มารีย์มารดาของพระเยซูยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งสันนิษฐานว่าพระนางมารีย์
มีชีวิตอยู่จนถึงประมาณราวปี ค.ศ.57-62

ณ เมืองซัมโบอังก้า (Zamboanga) ประเทศฟิลิฟฟินส์ แม่พระแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์ได้รับความเคารพมา
เป็นเวลากว่า 4 ศตวรรษแล้ว รูปปั้นของพระนางเป็นรูปนูนบริเวณด้านหน้าของค่ายทหารสเปน
ในสมัยซตวรรษที่ 17 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสักการสถานของพระนางมารีย์

แม่พระแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์อุปถัมภ์ของสเปน และจะมีการฉลอง
วันแม่พระแห่งเสาหินศักดิ์สิทธิ์ทุกวันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี (Roman Breviary)

ที่มา: viewtopic.php?t=9698

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 31, 2022 10:43 am

หลายคนเข้าใจผิด คิดว่า สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แปลว่าไม่มีจริง แต่พวกเขาลืมนึกไปว่า
สิ่งที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์นั้น แท้จริงแล้ว คือสติปัญญาของมนุษย์เท่าที่ไปถึงได้ ณ เวลานั้น
นั่นเอง! ยกตัวอย่างเช่น ย้อนกลับไป 200 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ตอนนั้น คงไม่คิดว่ามนุษย์จะ
เดินทางข้ามขอบฟ้าได้ ด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเครื่องบิน ฉะนั้น เราจะพูดว่าเครื่องบินไม่ใช่
วิทยาศาสตร์ได้ไหม? หรือยุคนั้น ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า เราจะมีโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวไปไหนมาไหน
ใช้ติดต่อได้ทั่วโลก ใช้ถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ฟังเพลงได้ ดูหนังได้... เมื่อยังมองไม่เห็น
ก็แปลว่าไม่มีจริง,ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ อย่างนั้นหรือ?
.
ฉะนั้น สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือสติปัญญาของมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจ-อธิบายได้ ณ ขณะนี้
จึงไม่ได้แปลว่า ไม่มีอยู่ ไม่มีจริง!
.
เรื่องของ ‘สวรรค์’ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถกเถียงกันมาตลอด แม้ทุกความเชื่อ, เชื้อชาติจะกล่าวถึง
ทุกยุคสมัย แต่เนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าใกล้หรือพิสูจน์ได้ หลายคนจึงไม่เชื่อ
แต่เราจะแน่ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหมว่า ไม่มีจริง?
.
หลายปีมานี้ มีการศึกษาเรื่อง near-death experience (NDE) แปลตรงตัวคือ ประสบการณ์ใกล้ตาย
หรือเฉียดตาย - - แต่จริง ๆ แล้วเป็นการศึกษาถึงประสบการณ์ของคนที่ถือว่า ‘ตายแล้ว’ทางวิทยาศาสตร์
(ไม่ใช่แค่ใกล้ตาย) แต่กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง...
.
และเมื่อฟื้นกลับมา ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์แปลก ๆ ที่ตัวเองประสบมา เช่น ไปสถานที่แห่งหนึ่ง,
พบกับคนที่ตายแล้ว... ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้มีการบันทึกมานานตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ที่เริ่มมีการศึกษาจริงจัง
และใช้คำ NDE นี้ มาจากหนังสือ Life After Life ของจิตแพทย์นักปรัชญาที่ชื่อเรย์มอนด์ มูดี้เมื่อปี 1975
.
ต่อมามีการศึกษาเพิ่มเติมอย่างจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ จากหลายท่าน ที่โดดเด่นคือ Bruce Greyson
ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และประสาทวิทยาที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ล่าสุดเขาได้เขียนหนังสือ
ที่ศึกษาเรื่อง NDE โดยเฉพาะ ชื่อ After (มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ในชื่อเรื่อง “หลังความตาย”)
.
ดร. บรูซ เป็นผู้ที่เติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อศาสนาใด การศึกษาวิจัยผู้มีประสบการณ์
NDE นั้นได้รวบรวมมาจากบุคคลหลากหลายความเชื่อ รวมไปถึงผู้ที่ไม่เชื่อ! โดยเป็นการศึกษาร่วมกับ
ทีมแพทย์ด้านอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ากรณีศึกษานั้นมาจากผู้ที่มีประสบการณ์ NDE จริง, ไม่ใช่ภาพหลอน
ไม่ใช่จินตนาการ - - ซึ่งต้องเป็นกรณีที่หัวใจหยุดทำงาน หมดลมหายใจ เลือดไม่ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
จากนั้น ไม่ถึง 20 วินาที สมองก็หยุดทำงานสิ้นเชิง ไม่สามารถตรวจจับคลื่นไฟฟ้าในสมองได้อีก -
- ลักษณะทั้งหมดนี้ทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตแล้ว
.
เมื่อสมองทุกส่วนหยุดทำงาน จะไม่สามารถจดจำ, นึกคิด หรือสร้างภาพลวงใด ๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้น
เมื่อผู้มีประสบการณ์ NDE ส่วนหนึ่ง ฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง (หลังจากที่สมอง/หัวใจ หยุดทำงานโดยสิ้นเชิง)
แต่สามารถบอกเล่าถึงประสบการณ์เหนือธรรมชาติของตนระหว่างช่วงเวลาที่แพทย์ถือว่าตายแล้ว
จึงไม่อาจพูดได้ว่าเขาเกิดอาการหลอนหรือจินตนาการขึ้นเอง!
.
ประสบการณ์ที่พวกเขาประสบมาอาจแตกต่างกันในรายละเอียด หลายคนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ
ในศาสนาใด และไม่รู้ว่าควรเรียกที่ที่เขาไปนั้นเป็นสถานที่หรืออะไรดี เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบ
หรือมีในโลกมาก่อน อยู่เหนือความเข้าใจใดทั้งปวง ไม่สามารถอธิบายตามลักษณะทางกายภาพได้
ซึ่งในที่นี้ ขอเรียกตามภาษาที่มนุษย์ทั่วไปเข้าใจว่า ‘สวรรค์’
.
ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียดซึ่งมีอีกมากมาย แต่ขอสรุปสิ่งที่พวกเขาเล่าดังนี้ - - สวรรค์ เป็นแสงสว่าง
สวยงาม เจิดจ้าแต่ไม่แสบตา เป็นสีสันที่บอกไม่ถูก คือสีมากกว่าที่เรารู้จักในโลกมนุษย์ แต่เมื่ออยู่
ในแสงนั้น จะอบอุ่น สงบ สันติสุข บริสุทธิ์ ไม่อยากกลับมาสู่โลก(ที่สกปรก)ได้อีก ที่สำคัญ รู้สึกถึง
ความรัก - รักที่ไม่มีเงื่อนไข! แสงสว่างนั้นทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่มาก และบางคนบอกว่ารู้สึกถึง
การให้อภัยจากความผิดพลาดที่เคยทำ...
.
หลังความตายมีการพิพากษา คล้ายกับการทบทวนชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด ความเจ็บปวดที่เคยทำกับ
คนอื่น จะย้อนกลับมาให้เศร้าเสียใจสุด ๆ รวมทั้งรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นด้วย เช่น เคยชกหน้าคนอื่น
ในอดีต ก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นบนใบหน้าตัวเองในขณะช่วงเวลาที่เรียกว่า 'พิพากษา'
.
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมถึง ‘ปาฏิหาริย์’ ที่พวกเขาฟื้นกลับมามีชีวิตได้อย่างไร ทั้งที่ร่างกายพังสลายหมดแล้ว
จากอุบัติเหตุหรือโรคภัยต่าง ๆ ซึ่งทางแพทย์ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ - - นั่นก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่า
ในโลกนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง อธิบายไม่ได้ เพราะยังอยู่เหนือความรู้
ณ ปัจจุบันของมนุษย์!
. . . . .
.
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2022 เป็นวันสมโภชพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ พระวาจาวันนี้
มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา (ลก 24:46-53) กล่าวถึงช่วงเวลาหลังจากที่พระเยซูคริสต์
ทรงรับทนทรมานและกลับคืนพระชนมชีพ อยู่บนโลกครบ 40 วัน ก็ถึงเวลาที่กลับสู่สวรรค์ โดยพระองค์สั่ง
ให้บรรดาศิษย์ประกาศข่าวดีในพระนามของพระองค์ให้คนทั้งโลกกลับใจ เพื่อรับอภัยบาป
.
จากนั้น พระองค์ “ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา
และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์” ... พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตา
ของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป...
.
หากเราเชื่อและทำตามที่พระองค์สั่งสอน - - เมื่อพระเจ้ามอบให้เราเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
แสงสว่างของเรา ก็ต้องส่องสว่างต่อหน้ามนุษย์ - - สักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา เราจะไปพร้อมหน้ากันบน
สวรรค์ในความรักนิรันดร์ของพระองค์!
. . . . .
.
ฟรานซิส คอลลินส์ นายแพทย์นักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด
และเป็นผู้นำโครงการจีโนมมนุษย์ เดิมทีเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า วันหนึ่ง ขณะเดินป่าบนภูเขา
ได้กลับใจเป็นคริสตชน เขียนหนังสือ Language of God
"
คอลลินส์ประกาศว่า เขาไม่เห็นความขัดแย้งกันระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาตรงไหนเลย
“พระเจ้าของพระคัมภีร์ ก็เป็นพระเจ้าของจีโนมด้วย” (จีโนม คือ พันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง)
.
ครั้งหนึ่งมีคนป้อนคำถามว่า “ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่มองหาคำอธิบายตามธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ
และต้องการหลักฐาน แล้วทำไมคุณถึงเชื่อในปาฏิหาริย์ เช่นการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า?"
.
คอลลินส์ตอบว่า “การต่อสู้ครั้งแรกของผมคือการเชื่อในพระเจ้า (ไม่ใช่เทพทั่วไปที่อยู่ใต้ธรรมชาติ)
แต่เป็นพระเจ้าที่อยู่เหนือธรรมชาติ การต่อสู้ครั้งที่สองของผมคือการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า
ดังที่พระองค์ทรงอ้างว่าเป็น แต่ทันทีที่ผมไปถึงความเชื่อนั้นแล้ว ความคิดที่ว่าพระองค์จะฟื้นจาก
ความตายจริงหรือไม่ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอีกต่อไป...”

. . . . .
.
โลกนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สมองของมนุษย์อธิบายเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ - -
แต่ไม่ใช่ไม่มี หรือไม่เคยปรากฏ เราจึงเรียกสิ่งนั้นว่า ‘ปาฏิหาริย์’ และต้องใช้ ‘ความเชื่อ’เท่านั้น
เป็นเครื่องพิสูจน์ - - สวรรค์ ก็เช่นกัน!
.
ปะการัง
.

[ สุขสันต์วันพระเจ้า ขอพระองค์จงเป็นความสว่างให้โลกและเราทุกคน ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 03, 2022 11:08 pm

🌊มหาสมุทรแห่งพระพร (A Whole Ocean of Graces) ตอนที่ ( 1 )
จาก https://www.youtube.com/watch?v=CKjO4SkH0iY บรรยายโดย Sr. Gaudia Skass
วันที่ 22 เม.ย. 2017 ที่สักการะสถานนักบุญยอห์นปอลที่ 2 กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ถอดความและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ซิสเตอร์เกาเดียเริ่มต้นการอ่านพระดำรัสของพระสันตะปาปายอห์นปอล ที่ 2 ซึ่งซิสเตอร์ได้ฟัง
เป็นครั้งแรกเมื่อมีอายุได้ 17 ปี ดังนี้ :
“ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ต้องการมากไปกว่าพระเมตตา เป็นความรักที่เปี่ยมด้วยความสงสารอย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อชุบชูมนุษย์ขึ้นจากความอ่อนแอสู่ความศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งไร้ขอบเขตของพระเป็นเจ้า”

วันที่ซิสเตอร์บรรยายเรื่องนี้เป็นวันครบรอบ (7) ปีของการสวรรคตของพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2
และตรงกับค่ำคืนวันที่ (7) ในอัฐมวารปัสกาที่ทุกคนมาร่วมฉลองพระเมตตาด้วยกันในวันนั้น
เหนือกว่าอื่นใด เป็นวันที่พระเยซูทรงเลือกให้เป็นวันสมโภชด้วยพระองค์เอง ซึ่งผ่านมาแล้ว 70 ปี
นับแต่นักบุญโฟสตินาได้รับสารนี้ คิดดูสิว่าพระองค์ทรงมีความอดทนรอนานสักเพียงใดก่อนที่
พวกเราจะสนองตอบพระองค์ในที่สุด

การสมโภชพระเมตตาของพระศาสนจักรมิได้มีเพียง “การเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพของ
พระเยซูคริสตเจ้าเท่านั้น” แต่ในโอกาสนี้ พระหัตถ์ของพระองค์ยังมีของกำนัลมากมายสำหรับ
เราทุกคนด้วย

ครั้งแรกที่พระองค์ทรงปรากฏพระองค์แก่บรรดาอัครสาวกที่จับกลุ่มกันอยู่ในห้องด้วยความหวาดกลัว
พระองค์ได้ประทานของกำนัลชิ้นแรกให้ ซึ่งได้แก่ ‘สันติสุข’ แก่พวกเขา ทั้งที่ขณะนั้นพระองค์ทรง
ผิดหวังมากทีเดียวที่พวกเขาต่างมีความเชื่อในพระองค์เพียงน้อยนิด แต่ประโยคที่สองของพระองค์
ในครั้งนั้น เป็นข้อความที่ทุกคนคาดไม่ถึงคือ “เรากำลังจะส่งพวกท่านไปเทศน์สอนพระวรสารแก่
มวลมนุษย์” ซึ่งหมายความว่า พระองค์กำลังจะส่งกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดไปทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่สุด
ประมาณ คือให้พวกเขาไปช่วยกันก่อสร้างพระศาสนจักร!

พระเยซูตรัสถึง “วันสมโภชพระเมตตา” กับซิสเตอร์โฟสตินาถึง (1)(4) ครั้งซึ่งพระองค์ไม่เคยตรัสถึง
เรื่องใดซ้ำไปซ้ำมามากเท่าเรื่องนี้มาก่อนเลย​ วันสมโภชนี้จึงเป็นเรื่องที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญ
ในลำดับแรก เป็นของกำนัลที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทานให้กับมนุษย์ทั่วโลกมากที่สุด​
เราจึงได้แต่ปฎิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น คือจัดให้มีวันสมโภชพระเมตตาซึ่งเป็นเรื่องที่
อยู่เหนือความคิดอ่านของมนุษย์ และเป็น”รหัสธรรม”อย่างหนึ่งของเรา

โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2022 10:16 pm

🌊มหาสมุทรแห่งพระพร (A Whole Ocean of Graces) ตอนที่ ( 2 )
จาก https://www.youtube.com/watch?v=CKjO4SkH0iY บรรยายโดย Sr. Gaudia Skass
วันที่ 22 เม.ย. 2017 ที่สักการะสถานนักบุญยอห์นปอลที่ 2 กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ถอดความและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ให้เราย้อนกลับไปอ่านบันทึกของนักบุญโฟสตินาที่เกี่ยวกับวันสมโภชนี้ด้วยกัน และค่อย ๆ
ทำความเข้าใจแต่ละพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า

“ลูกรัก จงบอกชาวโลกถึงความเมตตาที่น่าพิศวงของเรา เราปรารถนาให้วันสมโภชพระเมตตา
เป็นที่หลบภัยและที่กำบังสำหรับมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะบรรดาคนบาปที่น่าสงสาร ในวันนั้น
ความล้ำลึกของความเมตตาที่อ่อนโยนของเราเปิดออก เราจะเทพระหรรษทานที่มีอยู่ในมหาสมุทร
ทั้งหมดให้แก่ทุกคนเข้ามาหาต้นธารแห่งความเมตตาของเรา”

“ผู้ที่ไปแก้บาปและรับศีลมหาสนิทจะได้รับการอภัยบาปและยกโทษบาปทั้งหมด ในวันนั้นประตู
ทำนบสวรรค์จะเปิดออกเพื่อให้พระหรรษทานไหลผ่าน ขออย่าได้มีผู้ใดหวาดกลัวที่จะเข้ามาใกล้
เราเลย ไม่ว่าบาปของเขาจะหนักหนาเพียงใด ความเมตตาของเรามีมากล้นจนจิตมนุษย์หรือนิกรเทวดา
มิอาจหยั่งรู้ได้ตราบชั่วนิรันดร์ ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ได้ล้วนเกิดจากความลึกล้ำแห่งความเมตตาที่อ่อนโยน
ที่สุดของเรา ทุกคนที่สนิทสัมพันธ์กับเราจะเพ่งพิศความรักและความเมตตาของเราไปตลอดนิรันดร์​
วันสมโภชพระเมตตาเกิดจากความล้ำลึกของความเมตตาที่อ่อนโยนที่สุดของเรา เป็นความปรารถนา
ของเราที่จะให้มีการสมโภชอย่างสง่าในวันอาทิตย์แรกหลังวันสมโภชปัสกา มนุษยชาติจะไม่พบสันติสุข
จนกว่าจะหันมาพึ่งต้นธารแห่งความเมตตาของเรา” (จากบันทึกของ น.โฟสตินา ข้อ 699)

ซิสเตอร์ผู้แบ่งปันขอให้เราทำตัวเหมือนกับกำลังตั้งใจฟังพระเยซูตรัสจากพระแท่นที่นั่นว่า “ลูกรัก”
...การเริ่มต้นที่เรียบง่ายนี้เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อพระองค์ได้ในบัดดล ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็น
การพูดคุยกันในกลุ่มเครือญาติสนิท ก่อนที่พระองค์จะมีพระดำรัสตามมาอีกยาว

“จงบอกชาวโลก” พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “จงบอกคริสตังทั่วโลก” แต่ตรัสถึงชาวโลกทุกคน ด้วยพระดำรัสนี้
พวกเราจึงมีพันธกิจที่หนักทีเดียวเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงมนุษย์ทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด
หรือนับถือศาสนาใด “ถึงความเมตตาที่น่าพิศวงของเรา” คำว่า “น่าพิศวง” ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
ใช้คำว่า “inconceivable” ซึ่งหมายถึง “ไม่อาจหาต้นกำเนิดได้” นี่คือคำที่พระองค์ทรงเลือกใช้เพื่อ
ให้เราเข้าใจว่า พระเมตตาของพระองค์เป็นเรื่องที่อยู่เหนือสติปัญญามนุษย์ เรามนุษย์ไม่อาจสืบหา
ต้นกำเนิดพระเมตตาของพระองค์ได้ แต่เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มีอยู่แต่ในพระเป็นเจ้าเท่านั้น
“เราปรารถนา” พระเยซูตรัสกับซิสเตอร์โฟสตินาโดยทรงใช้คำว่า “ปรารถนา” มากถึง 306 ครั้ง
ราวกับขณะที่ตรัสอยู่นั้น มี “เปลวไฟที่ร้อนระอุในพระอุระของพระองค์ที่จะสื่อกับซิสเตอร์” ซึ่งมิใช่
ท่าทีการสื่อสารแบบ”ทองไม่รู้ร้อน” (indifferent) แต่ทรงแสดงออกด้วยท่าที
“กระตือรือร้นในอันที่จะเฝ้าพิทักษ์เรา” มากยิ่งกว่าเราดูแลตัวเองเสียอีก

โปรดติดตามตอนที่ ( 3. )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2022 10:19 pm

🌊มหาสมุทรแห่งพระพร (A Whole Ocean of Graces) ตอนที่ ( 3 )
จาก https://www.youtube.com/watch?v=CKjO4SkH0iY บรรยายโดย Sr. Gaudia Skass
วันที่ 22 เม.ย. 2017 ที่สักการะสถานนักบุญยอห์นปอลที่ 2 กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ถอดความและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

“วันสมโภชพระเมตตาเป็นที่หลบภัยและที่กำบังสำหรับมนุษย์ทุกคน” การตรัสถึงคำว่า
“ที่หลบภัยและที่กำบัง”แสดงว่า พระองค์ทรงทราบว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูที่กำลัง
คุกคามเราอยู่ ในจดหมายของนักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า เราไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูธรรมดาและต่อสู้กับ
อดีตเทพนิกรของพระ ฉะนั้นเราต้องมีอาวุธครบมือและต้องมี”ที่หลบภัยกำบังตัวไว้​
: “จงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อต้านเล่ห์กลของปีศาจได้ เพราะเรามิได้
ต่อสู้กับพลังมนุษย์ แต่ต่อสู้กับเทพนิกรเจ้า และเทพนิกรอำนาจต่อสู้กับผู้ปกครองพิภพแห่งความ
มืดมนนี้ ต่อสู้กับบรรดาจิตแห่งความชั่วร้ายที่อยู่บนท้องฟ้า” (อฟ 6:11)
ซิสเตอร์ผู้แบ่งปันกล่าวถึง “แผนการของพระเยซูที่ดูจะย้อนแย้งกับวิธีการของมนุษย์ กล่าวคือ
เรื่องพระเมตตาเป็นพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ ยากลำบาก ใช้เวลาและความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว แต่พระองค์กลับ
ทรงใช้ซิสเตอร์โฟสตินาร่างเล็ก อ่อนแอและเจ็บไข้บ่อยเป็นผู้รับภาระนำ ”บรรดาคนบาปที่น่าสงสาร
”กลับคืนมาหาพระองค์เพื่อให้พระองค์ทรงบำบัดรักษา นอกจากนั้น การตรัสถึง
”บรรดาคนบาปที่น่าสงสาร”นั้น พระองค์มิได้ทรงตำหนิพวกเขาเลย แต่ตรัสด้วยความสงสาร
และความเข้าใจพวกเขา”
“ลองคิดดูสิว่าเมื่อเราทำผิด เรามีปฏิกิริยาอย่างไรกับการทำผิดนั้น เราอาจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
หรือหาข้อแก้ตัว หรือไม่ก็โทษคนอื่นใช่ไหม... การที่เรามีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนี้ก็เพราะเรามี
“ความกลัวที่จะยอมรับว่า ลึกลงไปในจิตใจของเรานั้น เราเป็นคนบาป, เป็นคนอ่อนแอ...และจะ
ต้องตายแน่หากเราเป็นผู้แพ้ ฉะนั้นเราจึงต้องแสร้งทำเป็นว่า เราเป็นคนเก่ง เป็นคนดีครบครัน
เพราะจะมีใครเล่าที่จะทำใจยอมรับคนขี้แพ้หรือคนบาปได้”

“ ‘เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ’ (ลก 5 : 32)
ดังนั้นจงอย่าอายที่จะยอมรับว่า เราเป็นคนบาป”
อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูตรัสกับซิสเตอร์โฟสตินาถึงวินาทีที่เราจากโลกนี้ไป ในตอนนั้นเราจะ”เห็น”
ทุกสิ่งที่อย่างที่เราทำขณะมีชีวิตบนโลกนี้ว่า ณ เวลาที่น่ากลัวนั้น เราจะเห็นบาปทั้งหลายที่เราทำ
ตลอดชีวิต พระองค์ตรัสว่า แต่เราไม่ต้องตกใจเลย ขอเพียงให้เราทุ่มตัวลงในอ้อมกอดแห่งพระเมตตา
เช่นเดียวกับเด็กที่ทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของมารดาและสารภาพผิดกับแม่ว่า “แม่ครับ ผมเป็นคนทำ
จานลายทองคำของคุณแม่แตกเอง ผมขอโทษครับ แม่”

โปรดติดตามตอนจบในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 06, 2022 12:46 pm

🌊มหาสมุทรแห่งพระพร (A Whole Ocean of Graces) ตอนจบ
จาก https://www.youtube.com/watch?v=CKjO4SkH0iY บรรยายโดย
Sr. Gaudia Skass วันที่ 22 เม.ย. 2017 ที่สักการะสถานนักบุญยอห์นปอลที่ 2
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ถอดความและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

อย่าลืมว่าเรามาจากพระองค์ หรือพูดให้ชัดคือ เรามาจาก “ครรภ์” ของพระองค์ เป็นลูกของ
พระองค์ ลูกที่พระองค์ไม่มีทางปฏิเสธเลย เป็นความรักที่ซ่อนอยู่ใน ”พระกาย”ของพระองค์
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะ “ทำผิดต่อพระองค์มากสักเพียงใด” เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์อยู่

“เราจะเทพระหรรษทานที่มีอยู่ในมหาสมุทรทั้งหมดให้แก่ทุกคนเข้ามาหาต้นธารแห่งความ
เมตตาของเรา” คำว่า “ต้นธารแห่งความเมตตา” พระองค์ทรงหมายถึง “ศีลศักดิ์สิทธิ์”
“ในวันนั้นประตูทำนบสวรรค์จะเปิดออกเพื่อให้พระหรรษทานไหลผ่าน” ขอเพียงเราแบมือทั้งสอง
ยื่นออกไปรับไว้จนเต็มเปี่ยมก่อนที่พระหรรษทานเหล่านั้นจะตกลงสู่พื้นดิน และนี่ก็คือ
“สันติสุขแห่งพระเมตตา”
ฉะนั้นเมื่อเราตั้งใจอ่านเรื่องพระเมตตา เราจะเข้าใจอย่างชัดแจ้งถึงความดีงามเหลือล้นของ
พระเยซูเจ้า และที่จริงพระองค์ก็ทรงเป็นเช่นนั้นเสมอมา และเป็นพิเศษสำหรับ
​ ”วันอาทิตย์สมโภชพระเมตตา” อนึ่งขอให้เราสังเกตถึงคุณลักษณะ “การให้” ของพระองค์
เรามนุษย์เมื่อเราให้สิ่งของแก่ใครสักคน เช่น เราให้นาฬิกาของเราแก่เขา เราจะรู้สึกว่า
เราสูญเสียนาฬิกาเรือนนั้นไปแล้ว แต่การให้ของพระเยซูนั้น ยิ่งพระองค์ให้ออกไปมากเท่าใด
พระองค์กลับทรงยินดีที่จะประทานให้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ คือพระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการให้นั้น
ทำให้พระองค์สูญเสียอะไรไปเลย นี่คือคุณสมบัติของน้ำพระทัยที่ดีงามของพระองค์

“ผู้ที่ไปแก้บาปและรับศีลมหาสนิทจะได้รับการ อภัยบาปและยกโทษบาปทั้งหมด ในวันนั้นประตู
ทำนบสวรรค์จะเปิดออกเพื่อให้พระหรรษทานไหลผ่าน”
หมายถึง ทุกคนที่ไปแก้บาป (ในวันนั้นหรือในช่วงสัปดาห์นั้น หรือผู้ที่วิญญาณอยู่ในสถานะ
พระหรรษทานคือไม่มีบาปหนัก) และรับศีลมหาสนิทจะได้รับการยกบาปและโทษบาปของตน
โดยสิ้นเชิง” นี่คือการที่พระเยซูทรงนำเสนอ “การรับศีลล้างบาป” อีกครั้งหนึ่งทุกปีแก่ทุกคน
การไปแก้บาปคือการก้าวเข้าไปพบและสารภาพผิดต่อพระเยซูคริสตเจ้าผู้เป็นเจ้าของมหาสมุทร
แห่งพระหรรษทาน ขอเราอย่าได้พลาดโอกาสนี้ และจงอย่าลืมว่า ศูนย์กลางของพระเมตตาคือ
“ความวางใจในพระเยซู และการมีเมตตาต่อผู้อื่น”

*******************

จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ มิ.ย. 17, 2022 9:56 pm

พระเจ้ากับทูตสวรรค์

พระเจ้าทรงถูกต้องทุกอย่าง พระเจ้าทรงสมบูรณ์แบบ

พระเจ้าทรงเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวและเป็นองค์ความรักและทรงเป็น
ความเมตตากรุณาไร้ขีดจำกัด


ทูตสวรรค์ถูกสร้างให้ฉลาดกว่ามนุษย์เรา ดีกว่ามนุษย์เรา

เปรียบเทียบแบบนี้ก็ได้ว่า เราเป็นเครื่องคิดเลข แต่ทูตสวรรค์เป็นโน้ตบุ๊ก

แต่ถึงทูตสวรรค์จะถูกสร้างมาดีปานใด สิ่งที่พระเจ้ามอบให้ก็คืออิสระในการตัดสินใจ

ทูตสวรรค์ที่ลำพองในตัวเอง ก็เหมือนมหาอำมาตย์ที่เชื่อว่าตนมีอำนาจ มีกำลังทหาร

จะโค่นพระราชาเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ได้เอง


แต่ความต่างของพระเจ้ากับทูตสวรรค์คือ ไม่มีทูตสวรรค์องค์ใดเอาชนะพระเจ้าได้

แม้แต่ตัวตนของทูตสวรรค์ก็เป็นเพียงฤทธิ์อำนาจที่พระเจ้าแบ่งให้คิดได้เอง
ไม่ได้มีอำนาจในตัว


พระเจ้าเป็นพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันดับ ทูตสวรรค์ที่ทรยศยอมทิ้งพระเมตตาของ
พระเจ้าไปเป็นปีศาจ

แต่แน่นอนว่า มันไม่มีวันเอาชนะพระเจ้าและความสุภาพของพระองค์ได้ มันจึงเล็ง
เป้าหมายมาที่มนุษย์แทน

เพราะมนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อเป็นลูกบุญธรรม นั่นคือศาสนาคริสต์
ในปัจจุบัน

มนุษย์ได้รับอิสระในการเลือกว่าจะรักหรือไม่รักพระเจ้าก็ได้ แต่เมื่อเราเลือกจะรัก
ในสวรรค์เราจะถูกพระเจ้าสวมเข้า

เราได้รับสิทธิการเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า ได้รับอาณาจักรสวรรค์เป็นมรดกนิรันดร์
ผ่านทางพระเยซู


ดังนั้น สิ่งที่ปีศาจ (อดีตทูตสวรรค์) ทำได้คือ ล่อลวงให้มนุษย์ไม่รักพระเจ้า

ซึ่งพระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความคิดอิสระเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้แก่มนุษย์ด้วย

ถ้าพระเจ้าบังคับให้มนุษย์รักพระองค์ทุกคน ให้บนโลกมีศาสนาเดียว มันคือการบังคับ

ไม่ใช่รักโดยสมัครใจ พระเจ้าไม่ต้องการ


เมื่อปีศาจทำให้มนุษย์แต่ละคนขาดจากพระเจ้าได้ตลอดกาล
(คือ คนคนนั้นตายแล้ว โดยไม่ได้กลับใจ)

ปีศาจได้ทำให้พระเจ้าเจ็บปวดสำเร็จ นี่คือความเจ็บปวดเดียวที่ปีศาจทำกับพระเจ้าได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2022 9:04 pm

😇 ชีวประวัติ นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน พระสงฆ์ และนักปราชญ์

ฮวน เด เยเปส เกิดที่ฟอนติเวรอสใกล้ๆกับเมืองอาวีลา ในประเทศสเปน ท่าน
ได้เข้าอารามคาร์แมล(ชาย) ในปี 1563 เมื่อมีอายุได้ 20 ปี ในสมัยที่ชีวิตนักบวช
ในด้านระเบียบวินัยหย่อนยานมาก

เพราะแรงกระตุ้นของนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน ท่านได้พยายาม
ทำการปฏิรูปนักบวชคณะนี้ให้กลับไปสู่ชีวิตที่เคร่งครัดดังเดิม เพราะงานปฏิรูปคณะนี่เองที่
ได้ทำให้ท่านต้องถูกขับไล่ออกจากอาราม จนกระทั่งต้องถูกจับขังคุก แต่ว่าในคุกนี่เองที่ท่าน
ได้เขียนบทโคลงเกี่ยวกับชีวิตชิดสนิทกับพระ ที่เราถือว่ามีความไพเราะและสละสลวยที่สุด
สำหรับทุกยุคทุกสมัย เนื่องจากท่านเป็นคนที่เคร่งครัดและเคร่งขรึม จึงถูกนักบุญเทเรซาซึ่ง
มีนิสัยชอบสนุกหยอกล้อเอาบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามนักบุญเทเรซาก็เคารพยกย่องท่านมาก
ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่ท่านได้สู้ทนนั้น ได้สอนท่านให้ค้นหาธรรมล้ำลึกแห่งไม้กางเขน
และให้ก้าวหน้าบนหนทางแห่งชีวิตเพ่งฌาณขั้นสูงสุด และจากประสบการณ์แห่งชีวิตเพ่งฌาน
ของท่านนี้เอง ท่านได้เขียนและได้บรรยายระยะขั้นตอนต่างๆ ที่วิญญาณ ซึ่งกำลังแสวงหาความ
บริบูรณ์จะต้อง เดินเข้าไป คำสอนนี้มีอยู่ในหนังสือเกี่ยวกับเทววิทยาชีวิตภายในของท่าน และ
พระศาสนจักรเองก็ถือว่า เป็นคำสอนที่มีคุณค่ายิ่ง ทั้งได้มอบ คำสอนนี้ให้กับบรรดาสัตบุรุษทั้ง
หลายด้วย และหนังสือที่ท่านเขียนไว้ เช่น “สู่เขาคาร์แมล” “คืนมืดมนของวิญญาณ”
“บทเพลงแห่งชีวิตภายใน” “เพลงรักอันร้อนแรง” ฯลฯ ท่านแลเห็นว่า แก่นแท้ของพระศาสนจักร
อยู่ที่การมีชีวิตชิดสนิทกับพระคริสตเจ้า เพราะพระคริสต เจ้าทรงอยู่กับ พระศาสนจักรเสมอ

🙏 คำภาวนาทูลขอและข้อปฏิบัติ
1. ให้เราทดลองดูซิว่า ความรักของเราต่อพระเยซูเจ้านั้น เป็นความรักที่แท้จริงหรือไม่
โดยอาศัยกางเขนของพระองค์ อันได้แก่ความทุกข์ยากลำบาก และการปราบความเห็นแก่ตัว
ของเรา
2. ขอให้พระศาสนจักรได้มีชีวิตชิดสนิทที่ลึกซึ้งกับพระคริสตเจ้าอยู่เสมอ

CR. : http://catholic.egat.co.th/people/dec14.htm


⏳ “เมื่อเวลาแห่งการพิพากษาใกล้มาถึงตัวท่าน ท่านจะเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลานี้ในการรับใช้
พระเจ้า ทำไมท่านจึงไม่เตรียมตัวให้ดีโดยใช้เวลาในปัจจุบันนี้อย่างที่ท่านจะไม่ต้องเสียใจ
เมื่อท่านกำลังจะตายเล่า?” - นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน

⏳ "When the hour of reckoning comes you will be sorry for not having used this time
in the service of God. Why not arrange and use your time now as you would want to
recall it when dying?" - Saint John of the Cross


:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 27, 2022 11:57 am

รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ วาดบนไม้กระดานยาวประมาณ 21 นิ้ว

กว้างประมาณ 17 นิ้ว รูปเดิมของพระมารดานิจจานุเคราะห์

เป็นรูปจำลองรูปหนึ่งในบรรดารูป "โอเดเยตรีอา" (HODEGETRIA)

ของนักบุญลูกา เป็นที่เชื่อกันว่า นักบุญลูกา

เป็นผู้วาดอยู่ในเมืองคอนสตันติโนเปิล

เป็นที่เคารพนับถือของชาวคาทอลิกเป็นเวลานาน

ว่าเป็นรูปอัศจรรย์ซึ่งถูกพวกเตอร์กีทำลายในปี ค.ศ.1453

แต่เป็น "รูปเดียว" ที่แม่พระเองเป็นผู้เลือกไว้

เพื่อประทานพระพรพิเศษให้แก่เรา

ถ้าไปกรุงโรม ท่านจะเห็นรูปนี้แขวนเหนือพระแท่นใหญ่

ในวัดของคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม ชื่อวัดนักบุญอัลฟอลโซ
ทำไมรูปแม่พระนิจจานุเคราะห์จึงไปแขวนไว้ที่วัดนั้น

พอสรุปได้ว่าตอนปลายศตวรรษที่ 15 พ่อค้าคนหนึ่ง

ขโมยรูปแม่พระแห่งหนึ่งในเกาะครี๊ท(CRETE)

เดินทางผ่านพายุมาอย่างมหัศจรรย์ และในที่สุดก็มาถึงกรุงโรม

ก่อนที่พ่อค้าคนนี้จะสิ้นใจ เขาได้มอบรูปแม่พระนี้ให้แก่เพื่อนชาวโรมันคนหนึ่ง

และขอร้องให้เพื่อนชาวโรมันคนนี้เอารูปแม่พระไปตั้งไว้ในที่เหมาะสม

แต่เพื่อนไม่ทำตาม แม่พระก็ได้ประจักษ์มาเร่งให้ชาวโรมผู้นั้นทำตาม

คำขอร้องของพ่อค้า ไม่เช่นนั้นจะประสบความตายเช่นเดียวกัน

แต่เขาไม่สนใจการประจักษ์ของแม่พระ กลับทำตามคำแนะนำของภรรยา

จากนั้นไม่นาน ชาวโรมันผู้นั้นก็ถึงแก่กรรม
ต่อมา แม่พระประจักษ์มาแก่ลูกสาวของชาวโรมันผู้นั้น พระนางสั่งหนูน้อยว่า

จงไปบอกแม่และนายของหนูว่า สันตะมารีอา นิจจานุเคราะห์

เตือนให้เอารูปของพระนางออกไปจากบ้าน มิฉะนั้นทุกคนจะต้องตาย

หนูน้อยก็นำเรื่องไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของเด็กตกใจกลัวตัวสั่น

และสัญญาว่าจะทำตาม หลังจากนั้น แม่พระก็บอกกับหนูน้อยว่า

พระนางต้องการให้เอารูปของพระนางไปไว้ในวัดที่ตั้งอยู่ ระหว่าง

วิหารซางตา มารีอา มอยอเร และวัดนักบุญยอห์น ลาเตลัน

ในวันที่ 27 มิถุนายน 1499 รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ก็ได้รับอัญเชิญ

เข้าขบวนแห่อย่างสง่าไปวัดนั้น คือ วัดนักบุญมัทธิวอัครสาวก

ในวันเดียวกันก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งแขนหักจนรักษาไม่ได้แล้ว

กลับหายเป็นปกติ เพราะความช่วยเหลือจากพระมารดานิจจานุเคราะห์
รูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ แขวนที่วัดนักบุญมัทธิวนี้เป็นเวลา 300 ปี

เป็นที่รู้จักและรักของคนทั่วไป มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของอัศจรรย์ต่าง ๆ

แต่แล้วเดือนมิถุนายน 1798 นโปเลียนนำทัพมาที่กรุงโรม

วัดนักบุญมัทธิวถูกทำลายและรูปแม่พระก็สูญหายไปเป็นระยะเวลา 64 ปี

ทุกคนเกือบลืมรูปนั้นไปหมดแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง

ณ อารามนักบวชคณะพระมหาไถ่ที่กรุงโรม

ระหว่างที่สมาชิกในอารามกำลังหย่อนใจอยู่นั้น

คุณพ่อองค์หนึ่งได้กล่าวขึ้นว่าสถานที่ซึ่งวัดนักบุญอัลฟอนโซตั้งอยู่นี้

เมื่อก่อนเป็นวัดนักบุญมัทธิวที่สลักหักพังไปแล้ว

และในวัดนี้เคยมีรูป "พระมารดานิจจานุเคราะห์" ประดิษฐานอยู่

ชื่อนี้เองทำให้คุณพ่อมีคาแอล มาร์ชี (Michael Marchi) ตื่นเต้น

ท่านจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กนั้น

ท่านได้เคยช่วยมิสซาที่วัดเล็กของคณะนักบวชเอากุสติน

ชื่อวัดซางตามารีอา อินโปสเตรูลา ท่านได้เห็นรูปแม่พระที่นั่น

ภราดาสูงอายุคนหนึ่งได้ชี้ให้ท่านดูบ่อย ๆ

ต่อมาไม่นาน คุณพ่อฟรังซิสโก โบลชี แห่งคณะเยซูอิต ได้เทศน์ที่วัด"เยซู"

ถึงรูปพระมารดานิจจานุเคราะห์ ที่หายไป ท่านกล่าวว่า เป็นความปรารถนา

ของแม่พระที่จะให้รูปนี้ตั้งอยู่ที่วัดระหว่างพระวิหารซางตา มารีอา มายอเร

และวัดนักบุญยอห์น ลาเตลัน ข่าวนี้ทำให้นักบวชคณะพระมหาไถ่

นำไปเสนอคุณพ่ออัคราธิการของคณะ แต่ท่านรอต่อไปอีก 3 ปี

เพื่อให้แน่ใจเสียก่อน ที่สุดในวันที่ 11 ธันวาคม 1865 ท่านนำเรื่องนี้

ไปทูลต่อพระสันตะปาปา ปีโอที่ 9 ในวันที่ 19 มกราคม 1866

รูปอัศจรรย์ของพระมารดานิจจานุเคราะห์

ได้รับการอัญเชิญมายังสถานที่ซึ่งเคยได้รับพระสิริมงคลมาแล้ว คือ

วัดนักบุญอัลฟอนโซ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระวิหารทั้งสอง พระสันตะปาปา ปีโอที่ 9

ได้มอบรูปพระมารดานิจจานุเคราะห์แก่คณะพระมหาไถ่ และยังสั่งด้วยว่า

“จงทำให้พระนางเป็นที่ล่วงรู้ของคนทั่วไป” คณะพระมหาไถ่

ได้กำหนดให้วันที่ 27 มิถุนายน เป็นวันฉลองพระมารดานิจจานุเคราะห์

เมื่อสมาชิกของคณะไปแพร่ธรรมที่ไหน จะนำเอาพระรูปของ

พระมารดานิจจานุเคราะห์ไปด้วยทุกที่ จัดพิธีนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์

เพื่อประกาศให้โลกได้รับทราบถึงความรัก ความห่วงใย

และความพร้อมที่พระแม่จะช่วยลูกของพระนางเสมอ …

:s002: :s002:
ตอบกลับโพส