เรื่องจริง เสริมศรัทธา ( ชุด 1 )
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 02, 2022 12:06 pm
(100ปี )แห่งการพิสูจน์ผ้าพันพระศพแห่งตุริน (1898 – 1998) ตอนที่ 1
โดย เวรอนีเกอ กราเวอเลต์, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ระหว่างวันที่ 18 เมษายน ถึง 24 มิถุนายน 1998 ในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่มีการถ่ายภาพผ้า
พัน พระศพแห่งตุรินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 1898 นั้น นักแสวงบุญนับล้านคนมีโอกาสชมภาพ
[/youtube][/youtube]ฟิลม์ (ภาพเนกาตีฟ)ที่พิสดารล้ำลึก บทความนี้เล่าประวัติความเป็นมาของ
ผ้าฯ และการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อเฉพาะผลจากการหาอายุโดยใช้ธาตุคาร์บอน 14
และพยายามหาเหตุผลว่ามิใช่เป็นผ้าพันพระศพที่แท้จริง
รอยพระมหาทรมานที่ปรากฏบนผ้าพันพระศพ (ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือสิ่งที่พิสูจน์พบบนผ้าฯ)
พระวรสารบันทึกว่า “ปิลาตจึงเอาพระเยซูไปให้โบยตี และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ
สวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง แล้วเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า
‘ท่านกษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ’ และเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์” (ยน. 19, 1-4)
พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า (มธ.26–28; มก.14 – 16; ลก.22–24; ยน.18-19) หลังจากการ
ไต่สวนความผิดแล้ว สภาซานเฮดรินได้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้าข้อหาพระองค์กล่าวผรุสวาทว่า
เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า แต่เนื่องจากในสมัยนั้นโรมันปกครองชาวยิว พวกเขาจึงได้นำพระองค์ไป
ให้ปิลาตตัดสิน ได้รับการถูกโบยตี และการถูกสวมมงกุฎหนาม
เมื่อพระเยซูถูกนำตัวกลับมายังปิลาตครั้งที่สองก็ถูกลงโทษด้วยการโบยตี คือลงโทษ "กึ่งตาย"
เพราะไม่มีการนับจำนวนที่โบยตี แซ่ที่ใช้มีปลายผูกติดกับสายหนัง 2 เส้น และที่ปลายของสายหนัง
แต่ละเส้น ผูกลูกตะกั่วติดกัน 2 ลูก ลักษณะคล้ายเหล็กยกน้ำหนักยาวประมาณ 3 ซม. ผู้ที่อยู่ในผ้าพัน
พระศพผืนนี้ ถูกโบยตี 120 ครั้ง ในลักษณะ 2 ทิศทางจึงมีผู้โบยตี 2 คน
ต่อมา พวกทหารได้ทำร้ายร่างกายพระองค์ สังเกตได้จากริมฝีปากล่าง และที่คิ้วทั้งสองข้าง มีรอยแผล
จากการถูกชก หรือถูกตีด้วยไม้ มีแผลใหญ่ที่แก้มด้านขวา, จมูกบิดเบี้ยว และเคราถูกกระชากจนแหว่ง
มงกุฎหนามมีลักษณะเป็นหมวกแขก สานจากก้านของพุ่มไม้หนาม และหนามได้ฝังทะลุหนังศีรษะ
ลงไปลึกทีเดียว
การแบกกางเขนและการตรึงบนไม้กางเขน
"พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ... ณ ที่นั้นเขาตรึงพระองค์
ไว้ที่กางเขน" (ยน. 19, 16-17) การประหารชีวิตนักโทษด้วยวิธีทรมานของโรมัน คือมีการโบยตีนักโทษ
ไปเรื่อย ๆ และหยุดเมื่อคะเนว่านักโทษยังคงพอมีแรงที่จะแบกกางเขนของตนในลักษณะพาดไม้กางเขน
ด้านขวางไว้กับแขนของตัวเองได้ ไม้กางเขนแนวตั้งวางไว้อยู่ที่บริเวณที่จะตรึงกางเขน ไม้กางเขน
ด้านขวางทำจากต้นสนไซปรัสยาว 180 ซม., หนา 7 ซม. และกว้าง 12 ซม. มีน้ำหนัก 30-50 กก.
เนื่องจากพระองค์ทรงอ่อนแรงมากและคงต้องหกล้มหลายครั้ง ระยะทางที่แบกคือ "1000 ก้าว"
หรือประมาณ 900 ม. ปกติระหว่างทางมีการให้นักโทษดื่มเหล้าผสมเครื่องหอมทำจากมดยอบ
เพื่อทำให้นักโทษมึนเมาและทุเลาความเจ็บปวด แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธ
การประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนปกติจะทำกับทาสหรือผู้ก่อการปฏิวัติ นักโทษที่ถูกตรึงจะ
นอนอยู่กับพื้น และกางแขนออกวางบนท่อนไม้ด้านขวาง ใช้ตะปูที่มีหัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ขนาด 8 มม. ยาว 17 ซม. ตอกลงไประหว่างมือกับข้อมือทะลุผ่านเส้นเอ็นต่าง ๆ ทำให้นักโทษ
ได้รับความทรมานแสนสาหัส จนนิ้วหัวแม่มือเกร็งกดลงไปบนฝ่ามือ รอยพบที่ผ้าฯ จึงมีรอยนิ้วมือ
เพียง 4 นิ้ว หลังจากนั้นก็ยกกางเขนส่วนแขนที่ตรึงมือทั้งสองข้างแล้วไปเข้าเดือยกับไม้กางเขน
ส่วนตั้ง จัดให้เท้าซ้ายทับบนเท้าขวาที่อยู่ติดกับไม้กางเขน และใช้ตะปูตัวเดียวตอกทะลุกระดูก
ส้นเท้าตรึงให้อยู่กับที่
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้
โดย เวรอนีเกอ กราเวอเลต์, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ระหว่างวันที่ 18 เมษายน ถึง 24 มิถุนายน 1998 ในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่มีการถ่ายภาพผ้า
พัน พระศพแห่งตุรินเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 1898 นั้น นักแสวงบุญนับล้านคนมีโอกาสชมภาพ
[/youtube][/youtube]ฟิลม์ (ภาพเนกาตีฟ)ที่พิสดารล้ำลึก บทความนี้เล่าประวัติความเป็นมาของ
ผ้าฯ และการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อเฉพาะผลจากการหาอายุโดยใช้ธาตุคาร์บอน 14
และพยายามหาเหตุผลว่ามิใช่เป็นผ้าพันพระศพที่แท้จริง
รอยพระมหาทรมานที่ปรากฏบนผ้าพันพระศพ (ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือสิ่งที่พิสูจน์พบบนผ้าฯ)
พระวรสารบันทึกว่า “ปิลาตจึงเอาพระเยซูไปให้โบยตี และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ
สวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง แล้วเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า
‘ท่านกษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ’ และเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์” (ยน. 19, 1-4)
พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า (มธ.26–28; มก.14 – 16; ลก.22–24; ยน.18-19) หลังจากการ
ไต่สวนความผิดแล้ว สภาซานเฮดรินได้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้าข้อหาพระองค์กล่าวผรุสวาทว่า
เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า แต่เนื่องจากในสมัยนั้นโรมันปกครองชาวยิว พวกเขาจึงได้นำพระองค์ไป
ให้ปิลาตตัดสิน ได้รับการถูกโบยตี และการถูกสวมมงกุฎหนาม
เมื่อพระเยซูถูกนำตัวกลับมายังปิลาตครั้งที่สองก็ถูกลงโทษด้วยการโบยตี คือลงโทษ "กึ่งตาย"
เพราะไม่มีการนับจำนวนที่โบยตี แซ่ที่ใช้มีปลายผูกติดกับสายหนัง 2 เส้น และที่ปลายของสายหนัง
แต่ละเส้น ผูกลูกตะกั่วติดกัน 2 ลูก ลักษณะคล้ายเหล็กยกน้ำหนักยาวประมาณ 3 ซม. ผู้ที่อยู่ในผ้าพัน
พระศพผืนนี้ ถูกโบยตี 120 ครั้ง ในลักษณะ 2 ทิศทางจึงมีผู้โบยตี 2 คน
ต่อมา พวกทหารได้ทำร้ายร่างกายพระองค์ สังเกตได้จากริมฝีปากล่าง และที่คิ้วทั้งสองข้าง มีรอยแผล
จากการถูกชก หรือถูกตีด้วยไม้ มีแผลใหญ่ที่แก้มด้านขวา, จมูกบิดเบี้ยว และเคราถูกกระชากจนแหว่ง
มงกุฎหนามมีลักษณะเป็นหมวกแขก สานจากก้านของพุ่มไม้หนาม และหนามได้ฝังทะลุหนังศีรษะ
ลงไปลึกทีเดียว
การแบกกางเขนและการตรึงบนไม้กางเขน
"พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ... ณ ที่นั้นเขาตรึงพระองค์
ไว้ที่กางเขน" (ยน. 19, 16-17) การประหารชีวิตนักโทษด้วยวิธีทรมานของโรมัน คือมีการโบยตีนักโทษ
ไปเรื่อย ๆ และหยุดเมื่อคะเนว่านักโทษยังคงพอมีแรงที่จะแบกกางเขนของตนในลักษณะพาดไม้กางเขน
ด้านขวางไว้กับแขนของตัวเองได้ ไม้กางเขนแนวตั้งวางไว้อยู่ที่บริเวณที่จะตรึงกางเขน ไม้กางเขน
ด้านขวางทำจากต้นสนไซปรัสยาว 180 ซม., หนา 7 ซม. และกว้าง 12 ซม. มีน้ำหนัก 30-50 กก.
เนื่องจากพระองค์ทรงอ่อนแรงมากและคงต้องหกล้มหลายครั้ง ระยะทางที่แบกคือ "1000 ก้าว"
หรือประมาณ 900 ม. ปกติระหว่างทางมีการให้นักโทษดื่มเหล้าผสมเครื่องหอมทำจากมดยอบ
เพื่อทำให้นักโทษมึนเมาและทุเลาความเจ็บปวด แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธ
การประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนปกติจะทำกับทาสหรือผู้ก่อการปฏิวัติ นักโทษที่ถูกตรึงจะ
นอนอยู่กับพื้น และกางแขนออกวางบนท่อนไม้ด้านขวาง ใช้ตะปูที่มีหัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ขนาด 8 มม. ยาว 17 ซม. ตอกลงไประหว่างมือกับข้อมือทะลุผ่านเส้นเอ็นต่าง ๆ ทำให้นักโทษ
ได้รับความทรมานแสนสาหัส จนนิ้วหัวแม่มือเกร็งกดลงไปบนฝ่ามือ รอยพบที่ผ้าฯ จึงมีรอยนิ้วมือ
เพียง 4 นิ้ว หลังจากนั้นก็ยกกางเขนส่วนแขนที่ตรึงมือทั้งสองข้างแล้วไปเข้าเดือยกับไม้กางเขน
ส่วนตั้ง จัดให้เท้าซ้ายทับบนเท้าขวาที่อยู่ติดกับไม้กางเขน และใช้ตะปูตัวเดียวตอกทะลุกระดูก
ส้นเท้าตรึงให้อยู่กับที่
โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้