“ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน” ( ตอนที่ 1-15 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 18, 2022 7:27 pm

❤️ " ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" ( With Burning Heart ) 🔥

🙏 บทรำพึงถึงชีวิตในบูชาขอบพระคุณ และศีลมหาสนิท

(#) เขียนโดย คุณพ่อ เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน

(#)แปลและเรียบเรียง โดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์

✍️ บทรำพึง ฯ นี้ แบ่งย่อยออกทั้งหมด 37 ตอน



ตอนที่ (1): บทนำ ลูกา 24: 13-35

ถนนสู่ตำบลเอมมาอุส ; วันนั้นเองมีศิษย์สองคนกำลังเดินไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูสห่างไกล
จากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้น และเป็นไปนั้น
ขณะที่เขากำลังสนทนากันอยู่ พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาใกล้ ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฝ้าฟางไป
จึงจำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ขณะเดินมาที่นี่ ท่านโต้เถียงกันถึงเรื่องอะไร "
เขาหยุดยืนหน้าตาโศกเศร้าคนหนึ่งชื่อ เคลโอฟาส จึงทูลถามพระองค์ว่า " ท่านคงจะเป็นแขกเมือง
ที่อาศัยในกรุงเยรูซาเล็มแต่คนเดียว ที่ไม่รู้เหตุการณ์ทั้งปวง ซึ่งเป็นไปในวันเหล่านี้ " พระองค์จึงตรัส
ถามเขาว่า "เหตุการณ์อะไร? " เขาตอบพระองค์ว่า " เหตุการณ์เรื่องพระเยซูคริสต์ชาวนาซาแร็ธ
ผู้เป็นประกาศก - ผู้เผยพระวจนะ เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์ในกิจการ และวาจา ทั้งต่อพระพักตร์พระเจ้า และ
ต่อหน้าประชาชน พวกมหาปุโรหิตกับบรรดาขุนนางของพวกเรากลับได้อายัดท่านไว้ให้ปรับโทษถึงตาย
และตรึงพระองค์ท่านที่กางเขน พวกเราต่างก็หวังเป็นอย่างยิ่งจะเป็นท่านผู้นั้นที่จะไถ่กู้ชนชาติอิสราแอล
ยิ่งกว่านั้นอีก วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มีผู้หญิงบางคนในหมู่พวกเราที่ได้ทำ
ให้พวกเราประหลาดใจ นางได้ไปที่อุโมงค์เมื่อเวลาเช้าตรู่แต่ไม่พบพระศพ จึงมาเล่าว่า นางได้เห็น
นิมิตเป็นทูตสวรรค์และทูตนั้นบอกว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ บางคนที่อยู่กับพวกเราก็ไปจนถึงอุโมงค์
และได้พบเหตุการณ์เหมือนผู้หญิงเหล่านั้นได้บอกแต่เขาหาได้เห็นพระองค์ไม่ " พระองค์ตรัสแก่ศิษย์
สองคนนั้นว่า "โอ! คนเขลาและมีใจเฉื่อยชา ในการเชื่อต่อถ้อยคำที่บรรดาประกาศกได้กล่าวไว้นั้น
จำเป็นที่พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้น แล้วจึงเข้าสู่พระสิริมงคลของพระองค์มิใช่ดอกหรือ ?"
พระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เจาะจงถึงตัวของพระองค์เองทุกข้อให้เขาทั้งสองฟัง เริ่มตั้งแต่โมเสส
และบรรดาประกาศกอื่น ๆ เมื่อเขาเดินมาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้นพระองค์ทรงกระทำเหมือนจะทรงดำเนิน
เลยไป เขาทั้งสองจึงหน่วงเหนี่ยวพระองค์และปรารภว่า "เชิญท่านหยุดพักกับพวกเราเพราะว่าจวนเย็น
และวันเวลาก็ล่วงไปมากแล้ว " พระองค์จึงเสด็จเข้าไปเพื่อพักกับพวกเขา ต่อมาเมื่อพระองค์เสวย
พระกายาหารกีบพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปังกล่าวขอบคุณแล้วบิปังออกยื่นให้พวกเขา ตาของเขา
ทั้งสองก็หายฝ้าฟางและจำพระองค์ได้ แต่แล้วพระองค์ก็อันตรธานไป พวกเขาพูดกันว่า "ใจพวกเราช่าง
เร่าร้อนภายใน ขณะที่พระองค์ตรัสกับพวกเขาตามทางและขณะที่ทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้พวกเราฟัง
มิใช่หรือ ? " และทั้งสองคนนั้นก็ลุกขึ้นฉับพลันในเวลานั่นเอง และศิษย์ทั้งสองก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นกลางทาง และพวกเขาจำพระองค์ได้โดยการหักขนมปังนั้น (ลูกา 24: 13-35)

โปรดติดตาม ตอนที่ (2) ในวันต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 25, 2022 9:54 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 7:49 pm

ตอนที่ (2): ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา
" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

คนสองคนกำลังเดินด้วยกัน คุณสามารถเห็นได้จากหนทางที่เขาเดินอยู่นั้น เขาไม่มีความสุขเลย
ร่างกายอ่อนเพลึ ใบหน้าโศกเศร้าหมองมัว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เดินแบบคอตกจิตตกเขา
ไม่สนใจแม้จะมองหน้าซึ่งกันเเละกัน นาน ๆ ทีจึงพูดขึ้นมาสักคำหนึ่ง แต่กระนั้น คำพูดเหล่านั้น
ก็เป็นแค่ลอย ๆ ไม่ได้สนทนาต่อกันและกัน เหมือนกับเป็นเสียงที่อันตรธานไปในอากาศเฉย ๆ
ไร้สาระประโยชน์อันใด ทั้ง ๆ ที่เขาเดินไปตามเส้นทางบนถนน ดูเหมือนว่าเขาไม่มีจุดหมาย
ปลายทาง เขาจะเดินกลับไปบ้านเขาหรือ ! บ้านเขาก็ไม่ใช่เป็นบ้านเขาอีกต่อไป เขาไม่มีที่ ๆ
จะไป บ้านกลับกลายเป็นบ้านร้าง ภาพลวง ตา หมดหวังอย่างสิ้นเชิง
เขาแทบไม่อยากนึกภาพเก่า ๆ เลยว่าระยะเวลาเพียงแค่สอง สามปีที่ผ่านไปเท่านั้น เมื่อเขา
ได้พบบุคคลหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา ผู้ซึ่งเข้ามาช่วยแก้ไขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ซ้ำซากจำเจ
ในชีวิตประจำวันของเขาชนิดถอนรากถอนโคน และยังนำเอาความมีชีวิตชีวารูปแบบใหม่เข้ามา
ในทุก ๆ ส่วนแห่งชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เขาได้ละทิ้งบ้านเกิด ติดตามคนแปลกหน้าและเพื่อน ๆ
ของชายคนนั้นเขาได้พบความจริงอันใหม่ทั้งครบที่ซ่อนเร้นอยู่ในม่านแห่งกิจกรรมสามัญของพวกเขา
ความจริงในการให้อภัย การรักษาแผลใจ แผลกาย ความรัก ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ
แต่ว่านั่นเป็นฤทธิ์อำนาจที่สัมผัสได้จากแก่นแท้ในการเป็นมนุษย์ของเขา คนแปลกหน้าจากตำบล
นาซาแรทได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นใหม่อย่างมีชีวิตชีวา เขาผู้นั้นแหละทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ
ปวงชน เพื่อชาวโลกจะได้ไม่ต้องรับภาระหนักอึ้งอีกต่อไปสำหรับพวกเขา แต่นั้นเป็นการท้าทาย
โลกไม่ได้เป็นสนามแห่งกับดักอีกต่อไป แต่เป็นสถานที่เปิดโอกาสอันไร้ขอบเขต เขาผู้นั้นแหละ
นำเอาความปิติยินดีและสันติสุขไปสู่ประสบการณ์แห่งชีวิตประจำวันของประชาชนเขาผู้นั้นแหละ
เป็นผู้ทำให้ชีวิตกลับมาสู่ความรื่นเริงปลื้มปิติยินดีอีกครั้งหนึ่ง...
แต่ว่า ณ เวลานี้ เขาผู้นั้นสิ้นชีพไปแล้ว ! พระวรกายที่ได้เคยแผ่รังสีความสว่างถูกทำลายโดย
น้ำมือของผู้ที่จับพระองค์ไปทรมาน แขนชาของพระองค์ถูกเสียดแทงทุบตีกับเครื่องมือการทารุณกรรม
อันมาจากความเกลียดชัง นัยตาของพระองค์โหล-กลวง มือทั้งสองของพระองค์ไม่มีเรี่ยวแรง
ที่จะจับยึดอะไรทั้งสิ้น เท้าทั้งสองข้างก็หมดแรงที่จะทรงตัว พระองค์กลายเป็นบุคคลที่ไม่พึง
ปรารถนาในบรรดาผู้ที่ไม่พึงปรารถนา ทุกสิ่งทุกอย่างไรคุณค่า ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง !
เขาสูญเสียพระองค์ไปไม่เพียงสูญเปล่าในพระองค์เท่านั้น พวกเขายังสูญเปล่าในชีวิตของ
พวกเขาเองพร้อม ๆ ไปกับพระองค์ด้วยซ้ำไป พละกำลังที่เคยเติมอยู่เต็มในชีวิตของเขาทั้งวันทั้งคืน
ก็สูญหายไปด้วยอย่างสิ้นเชิง พวกเขาได้กลายเป็นบุคคลสองคนที่ซังกะตายสูญเสียแม้สภาพ
ความเป็นมนุษย์ ! ที่กำลังเดินกลับบ้านทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้านจะอยู่อีกแล้ว
ชีวิตของพวกเขาย้อนกลับมาในมุมมืดสนิทอีกครั้ง !

โปรดติดตาม ตอนที่ (3) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 7:53 pm

ตอนที่ (3): ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา
" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

อย่างไรก็ตามในหลายแง่มุม ชีวิตของพวกเราก็เหมือนกับเขาทั้งสองนั้นแหละ พวกเราจะพบ
ความจริงนี้ก็ต่อเมื่อพวกเรากล้าที่จะมองกันอย่างจริงจังในชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราและการ
เผชิญกับจุดนั้น ในความสูญเสียของพวกเรา พวกเรามีประสบการณ์แห่งการสูญเสียด้วยมิใช่หรือ ?..
คํา ๆ หนึ่งที่อาจจะสรุปได้อย่างดีกับความเจ็บปวดของพวกเราก็คือ " การสูญเสีย " พวกเราสูญเสีย
สิ่งต่าง ๆ ไปมากมายในชีวิต ! ดูเหมือนว่าตลอดชีวิตของพวกจะมีช่วงจังหวะแห่งการสูญเสียอย่าง
ต่อเนื่อง เมื่อพวกเราเกิด ได้ลืมตาดูโลก พวกเราสูญเสียความปลอดภัยจากครรภ์มารดา
เมื่อพวกเราเริ่มไปโรงเรียน พวกเราสูญเสียการปกป้องคุ้มครองจากชีวิตครอบครัวเมื่อ
พวกเราเริ่มทำงาน พวกเราสูญเสียอิสระแห่งความเป็นวัยรุ่น เมื่อแต่งงาน หรือบวช พวกเรา
สูญเสียความสนุกรื่นเริงที่มีตัวเลือกมากมาย เมื่อพวกเราแก่เฒ่าเข้าวัยชรา พวกเราสูญเสีย
ทัศนะการมองสิ่งต่าง ๆ สูญเสียเพื่อนเก่าแก่ สูญเสียการมีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อพวกเราอ่อนกำลัง
เริ่มเจ็บป่วย พวกเราสูญเสียสุขภาพ และเมื่อพวกเราตาย พวกเราสูญเสียทุกอย่าง ความสูญเสีย
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเรา แต่ชีวิตที่ธรรมดาสามัญเช่นนี้เป็นของ
ใครกันเล่า ? การสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ยังคงฝังรากลึกในตัวเองอยู่ภายในใจ และอยู่ในจิตพวกเรา
การสูญเสียมิตรภาพหรือความใกล้ชิดสนิทสนมกันอันเนื่องมาจากการแตกแยก สูญเสียความ
ปลอดภัย จากการใช้ความรุนแรง สูญเสียความไร้เดียงสาจากการเอารัดเอาเปรียบ สูญเสีย
เพื่อนและความวางใจต่อกันจากการทรยศหักหลัง สูญเสียความรักจากการทอดทิ้ง สูญเสีย
บ้านและที่อาศัยจากภัยสงคราม สูญเสียจากการมีกินมีอยู่ที่ดีจากความหิวกระหาย ความร้อน
ความหนาว สูญเสียเด็ก ๆ สาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บและอุบัติเหตุ สูญเสียแผ่นดินบ้านเกิด
จากสถานการณ์การเมืองที่ผกผัน และสูญเสียชีวิตจากแผ่นดินไหว น้ำท่วม เครื่องบินตก ระเบิด
และโรคระบาด...
บางทีความมืดมนแห่งการสูญเสียต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ห่างไกลจากชีวิตของพวกเรา บางที่นั่น
เป็นเพียงแค่ในโลกของหนังสือพิมพ์ข่าวต่าง ๆ ผ่านทางโทรทัศน์ หรือทางสื่ออินเตอร์เน็ตทว่า
ไม่มีใครอาจจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดแห่งการสูญเสียเหล่านี้ได้ ซึ่งมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
ของพวกเรา ความสูญเสียแห่งความฝันของพวกเรา ! พวกเราได้คิดวางแผนไว้กับตัวพวกเรา
เองมากมาย และใช้เวลานานทีเดียวเพื่อความสำเร็จในชีวิตความชื่นชอบและพึงพอใจ ความรัก
พวกเราตั้งความหวังในชีวิตเพื่อความมีใจกว้าง การบริการรับใช้ และการเสียสละตัวเอง พวกเรา
วางแผนและตั้งใจจะรู้จักการให้อภัย การเอาใจใส่ผู้อื่นและทำตัวเองให้เป็นบุคคลอ่อนโยน
พวกเรามีภาพลักษณ์ของตัวเราเองในฐานะที่เป็นผู้สร้างสันติสุข และเป็นสื่อกลางแห่งการคืนดี
แต่กระนั้นพวกเราก็ไม่มีความแน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราสูญเสียความฝันของพวกเราไปหมดแล้ว !
พวกเรากลายเป็นบุคคลที่กังวล สงสัย กระวนกระวายใจเมื่อได้ยินเสียงสะท้อนในเรื่องราวต่าง ๆ
เล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อพวกเรามีโอกาสแลกเปลี่ยนข่าวคราวกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง สังคม
การเป็นที่สะดุดของบุคลากรในศาสนจักรที่มีอยู่ทุกวันนี้ นี่เป็นการสูญเสียเจตนารมณ์ที่ดี
และบ่อยครั้งแทบจะไม่อยากรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ และยากที่สุดที่จะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้...

โปรดติดตาม ตอนที่ (4) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 7:56 pm

ตอนที่ (4): ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา
" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

ทว่า ณ ที่ไกลโพ้นไปจากการสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดเหล่านั้น ก็คือ การสูญเสียความเชื่อ !
การสูญเสียความมั่นใจในชีวิตของพวกเรานั้นช่างมีความหมายยิ่งนัก ! ในช่วงเวลาที่พวกเรา
สามารถยอมรับความสูญเสียได้ก็ต่อเมื่ิอพวกเรามีความเข้มแข็ง บากบั่น ต่อสู้กับวิถีชีวิต
เพราะว่าในความสูญเสียนั้น นำพาพวกเราให้เจริญชีวิตใกล้ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้ายิ่งขึ้น
ความเจ็บปวดและความทุกข์ของชีวิต สามารถจะยอมรับได้ก็เพราะพวกเราเจริญชีวิตเสมือนวิถี
ทางหนึ่งที่ทดสอบพลังจิตของพวกเรา เพื่อนำไปสู่การหยั่งรากลึกในความเชื่อมั่น แต่ว่ายิ่งพวกเรา
แก่ตัวมากขึ้นเท่าไร พวกเรากลับพบว่า สิ่งที่คํ้าจุนชีวิตพวกเราปีแล้วปีเล่าอันได้แก่ คำภาวนา
การนมัสการพระเจ้า ศิลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ชีวิตในหมู่คณะ การรับรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่นำทาง
ชีวิตกลับค่อย ๆ สูญหายพลังในตัวพวกเรา มโนภาพสวยหรูที่เคยมีมาก่อนแต่เนิ่นนาน กฏเกณฑ์
ที่เคยปฏิบัติมานักต่อนักธรรมเนียมประเพณีแห่งชีวิตที่เคยยึดถือสืบเนื่องกันมา บัดนี้ไม่ได้ช่วยทำ
ให้จิตใจรู้สึกอบอุ่นอีกต่อไป และพวกเราไม่มีทางจะเข้าใจอีกต่อไปว่าทำไม เพราะเหตุใด และ
อย่างไรที่พวกเราได้ถูกดึงลงมา หรือมีแรงจูงใจให้กระทำเช่นนั้น พวกเราหวนคิดในช่วงเวลาครั้ง
กระโน้นที่พระเยซูคริสต์เคยเป็นยอดชีวิตแท้จริงของพวกเรา พวกเราไม่เคยมีคำถามหรือข้อสงสัย
สักนิดเลยว่า พระองค์ผู้ซึ่งประทับอยู่ในชีวิตของพวกเรา คือเพื่อนสนิทที่สุดของพวกเรา เป็นผู้ให้
คำปรึกษาและนำพาชีวิตของพวกเรา พระองค์คือผู้ที่ให้ความอบอุ่น ปลอบโยน บรรเทาใจ
ให้ความกล้าหาญ และให้ความเชื่อมั่นใจ ครั้งหนึ่งพวกเราเคยและสามารถตอบรับ ครับ/ค่ะ
กับพระองค์ เคยรู้สึกสัมผัสกับพระองค์และบัดนี้เล่า ? พวกเราคิดถึงพระองค์น้อยลงไป และไม่อยาก
จะคิดถึงอีกต่อไป พวกเราไม่ค่อยอยากที่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงให้กับการประทับอยู่ของพระองค์
พวกเราไม่อยากที่จะตอบรับและได้ลิ้มรสสัมผัสกับพระองค์ พวกเรายิ่งจะแปลกใจมากกว่านั้นอีก
ถ้าหากนำเอาเรื่องราวของพระองค์มาขีดเขียนแต่งหนังสือ เพื่อน ๆ ของพวกเราหลายคนคงจะหัวเราะ
เยาะพระองค์นำเอาชื่อของพระองค์มาล้อเลียน หรือ เฉย ๆ ไม่สนใจ ไม่คิดว่านั่นจะสลักสำคัญอะไร
ถ้าพวกเรายอมรับรู้และไตร่ตรองอย่างจริงจัง พวกเราจะพบความโน้มเอียงในตัวพวกเราเช่นเดียวกับ
ที่ว่า พระองค์กลับกลายเป็น " คนแปลกหน้า" หรืออีกนัยหนึ่งพวกเรากำลังสูญเสียพระองค์ไปนั่นเอง...
ข้าพเจ้าไม่ได้พยายามที่จะชี้แนะว่า ความสูญเสียต่าง ๆ กำลังเข้ามาสัมผัสในชีวิตของพวกเรา
แต่ละคน แต่ว่าในฐานะที่พวกเรากำลังเดินไปด้วยกัน ฟังซึ่งกันและกัน ในไม่ช้า พวกเราจะพบเห็น
ความสูญเสียเหล่านั้นแม้นจะไม่ทั้งหมด แต่ความสูญเสียนั้น ๆ เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทาง การเดินทาง
ด้วยตัวของพวกเราเอง หรือการเดินทางไปพร้อม ๆ กับเพื่อนร่วมทาง...


โปรดติดตาม ตอนที่(5) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:00 pm

ตอนที่ (5): ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา
" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

พวกเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างไรกับความสูญเสียเหล่านั้น ? นั่นคือคำถามแรกที่
พวกเราต้องเผชิญ พวกเราควรที่จะซ่อนความสูญเสียไว้หรือไม่ ? หรือว่าเจริญชีวิตต่อไป
โดยสมมุติว่าความสูญเสียไม่ได้เกิดขึ้นจริง ? หรือว่าพวกเราจะถอยห่างโดยละทิ้งมันไป
จากเพื่อนร่วมทางของพวกเรา ? หรือว่าพวกเรามีความเชื่อมั่นในตัวเองกับคนอื่น ๆ ว่า
ความสูญเสียอันนั้นเป็นเพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเราจะได้รับ ? หรือว่า
พวกเราหันไปตำหนิติเตียนบางคน ? แท้จริง พวกเราทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วตลอดเวลา แต่ว่า
ยังมีสิ่งที่เป็นไปได้อีกอันหนึ่งคือ การครํ่าครวญโศกเศร้า! ใช่แล้วพวกเราจำเป็นต้องโศกเศร้า
กับการสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา พวกเราไม่อาจจะพูดหรือกระทำสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นกับความสูญเสีย
แต่พวกเราอาจจะหลั่งน้ำตาให้กับมัน และปล่อยให้ตัวพวกเราจมลึกในความเศร้าสลดด้วย
ความเศร้าและการปล่อยให้น้ำตาไหลพรั่งพรูในการสูญเสียสิ่งต่าง ๆ นี่แหละจะนำพวกเรากลับ
ไปสู่ความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย และนำพวกเราไปสู่ความจริงอันแสนจะเจ็บปวดในความแตก
สลายของพวกเรา ความเศร้านี่แหละนำพวกเราไปสู่ประสบการณ์ในห้วงลึกแห่งชีวิตของตัว
พวกเราเอง ในที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดแน่นอนมั่นคง และแจ๋มแจ้งชัดเจน ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลัง
ผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา...
ในขณะที่พวกเรารู้สึกเจ็บปวดต่อการสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ของตัวเราเอง ความโศกเศร้าในหัวใจนั้น
จะเปิดดวงตาภายในของพวกเราจากโลกที่มีความสูญเสียต่าง ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จะได้ไกล
โพ้นออกไปสู่โลกภายนอก เช่นครอบครัว เพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานของเราเองซึ่งอาจจะเป็นโลก
ของบรรดานักโทษที่อยู่ในเรือนจำ ผู้อพยพลี้ภัย ผู้ป่วยโรคเอดส์ เด็ก ๆ ที่หิวโหยอดอยาก
ผู้ที่เจริญในเงาแห่งความหวาดกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา ความเจ็บปวดที่รํ่าร้องในใจพวกเรา
นี่แหละ ได้ผูกมัดพวกเราไว้กับความเศร้า และครํ่าครวญกับความทุกข์ยากเข็ญแห่งมนุษยชาติ
และแล้ว ความเศร้าก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าตัวของพวกเราเอง...
ทว่าในท่ามกลางความเจ็บปวดเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจและสะกิดใจ กล่าวคือน้ำเสียง
อันหนึ่งนำมาซึ่งความแปลกใจ น้ำเสียงจากผู้หนึ่งที่กล่าวว่า "เป็นบุญของเขาที่โศกเศร้า เหตุว่า
เขาจะได้รับการบรรเทาและการปลอบโยน" นี่คือข่าวดีที่ไม่ได้คาดฝัน พระพรซึ่งซ่อนอยู่ในความ
เศร้าของชีวิต ไม่ใช่ว่าผู้ที่ได้รับการปลอบโยน จะเป็นผู้มีบุญหรือมีความสุขแท้ แต่บุคคลผู้ซึ่ง
โศกเศร้าต่างหาก ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ในท่ามกลางหยาดน้ำตานั้น ยังมีพระพรแฝงอยู่ ไม่ว่า
ด้วยเหตุผลใดก็ตาม น้ำตาที่พรั่งพรูจากความสูญเสียสิ่งต่าง ๅ นั้น จะกลับกลายเป็นความสำนึก
ในพระคุณ..


โปรดติดตาม ตอนที่ (6) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:05 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 6
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. ยูเซน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

พวกเราเข้ามาร่วมในการถวายบูชาขอบพระคุณด้วยหัวใจแตกสลาย อันเนื่องมาจากความ
สูญเสียนานัปการ ความสูญเสียทั้งตัวของเราเองและของคนอื่น ๆ ในโลกเหมือนกับศิษย์สองคน
ที่กำลังเดินกลับบ้านพวกเขาพูดว่า " ความหวังของเราที่พอจะมีอยู่บ้าง แต่...พวกเขาสูญเสีย
ความหวัง ! ความทรมาน และความตายกลับเข้ามาแทนที่" พวกเราก็เช่นกันเดินแบบคอตกแม้แต่
ศีรษะของพวกเราก็มิอาจจะเงยขึ้นมองไปข้างหน้าหมดเรี่ยวหมดแรง แทบจะทรุดลงกับพื้นดิน...
นี่แหละการเดินทางเริ่มเกิดขึ้น ! ปัญหาจึงเกิดขึ้นมาทั้งสองแง่ กล่าวคือ ความสูญเสียต่าง ๆ
นั้นอาจจะนำพวกเราไปสู่ความคับแค้นใจ หรือนำไปสู่ความสำนึกรู้คุณค่า ความแค้นใจอาจจะ
เป็นตัวเลือกเพื่อทางออกของการสูญเสียก็ได้ และในชีวิตจริงหลายคนก็เลือกอันนั้น เมื่อพวกเรา
สูญเสียสิ่งหนึ่งต่อมาสูญเสียอีกสิ่งหนึ่งและสูญเสียต่อ ๆ ไปอย่างนี้ จึงเป็นการง่ายที่ทำให้เสียดุลพินิจ
หงุดหงิด ตาพร่ามัว โกรธ ขมขื่นยิ่งที่ยิ่งแค้นเคือง ขุ่นข้องหมองใจ ยิ่งพวกเรามีอายุมากขึ้นเท่าใด
ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะพูดว่า "ชีวิตนั้นหลอกลวงข้าฯ ช่างจอมปลอมจริง ๆ ! ไม่มีอนาคตสำหรับข้าฯ
ไม่มีความหวังใด ๆ ทั้งสิ้นเหลืออยู่ในข้าฯ เหลือสิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ปกป้องสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยัง
พอมีเหลือเอาไว้ เพื่อว่าข้าฯ จะไม่สูญเสียสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง"
ความเคืองแค้นใจนี่แหละเป็นตัวอันตราย ที่มีพลังทำลายชีวิตพวกเรา เป็นความคับแค้นใจที่
ทั้งเยือกเย็น ทั้งด้านหนาและแข็งกร้าวที่ฝังอยู่ตรงศูนย์กลางในใจของพวกเรา ความแค้นเคือง
ภายในตัวนี้แหละ อาจจะกลับกลายเป็นวิถีชีวิตของพวกเราโดยแสดงออกมาทั้งคำพูดและการกระทำ
และพวกเราไม่มีทางรู้ตัวอีกเลยว่านั่นคืออะไร ?...
ข้าพเจ้าเองก็ยังเคยมีความสงสัย และความหวั่น ๆ กลัว ๆ ว่าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าหากไม่มี
อะไรเลยสักอย่างที่ทำให้ต้องบ่น หรือไม่มีใครสักคนที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องขุ่นเคืองใจ กระนั้นใน
หัวใจลึก ๆ แล้วข้าพเจ้าก็ยังคงมีความรู้สึกคับแค้นใจอยู่หลายต่อหลายมุม ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ
ข้าพเจ้าควรต้องทำอะไรโดยปราศจากสิ่งเหล่านั้น ? ในเมื่อทุกขณะของชีวิตข้าพเจ้ายังคงมีโอกาส
หลายครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน แม้แต่เวลาที่ข้าพเจ้าเริ่มอาหารเช้าข้าพเจ้าก็พบความรู้สึกสงสัย
ระแวง อิจฉา คิดไม่ค่อยดีกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่ชอบ อยากจะหลีกเลี่ยงเขา ไม่อยากจะเจอะเจอเขาเลย !
และหนำซ้ำข้าพเจ้ายังจัดตารางชีวิตในแต่ละวันให้อยู่ในลักษณะป้องกันตัวเอง ไม่อยากเจอคนนั้นจริง ๆ...
ยังมีตัวเลือกอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่คือ การถวายบูชาขอบพระคุณ และศีลมหาสนิท นี่คือตัวเลือก
อย่างที่มีความเป็นไปได้ แทนที่จะเลือกความคับแค้นขุ่นเคืองใจ แต่หันไปเลือกความสำนึกรู้คุณค่า !
ก้าวแรกที่พวกเราโศกเศร้าจากความสูญเสียสิ่งต่าง ๆ แทน ที่พวกเราจะโกรธแค้น แต่พวกเราหันไป
เลือกการสำนึกถึงคุณค่า ! หยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศกอาจจะทำให้หัวใจที่แข็งกร้าวและร้าวราน
กลายเป็นหัวใจอันอ่อนละมุน และอาจเปิดโอกาสให้พวกเราได้เปล่งคำว่า " ขอขอบคุณ "...

โปรดติดตาม ตอนที่ (7) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:11 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 7
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์
ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

จากศัพท์คำว่า " เอวคาริส - Eucharist " การถวายบูชาขอบคุณ - ศีลมหาสนิท แปลตรงตัวก็คือ
" การแสดงออกถึงการขอบคุณ " การถวายบูชาขอบพระคุณและการเจริญชีวิตในศีลมหาสนิทเป็น
การกระทำที่แสดงออกถึงการสำนึกบุญคุณในทุกแง่ทุกมุม การเจริญชีวิตแห่งศีลมหาสนิท เป็นการ
เจริญชีวิตแห่งพระพรแก่ผู้ที่แสดงออกถึงความกตัญญู ทว่าความสำนึกถึงคุณค่าอันนี้ ไม่ใช่เป็นคำ
ตอบที่ชัดเจนที่สุด ในขณะที่พวกเราเผชิญประสบการณ์แห่งการสูญเสียต่อสิ่งสารพัดสารพันในห้วงชีวิต
พวกเราจะตอบรับ " ขอขอบคุณ " ในการสูญเสียหรือ ? รับรองว่าไม่เด็ดขาด ! สิ่งที่ควรคำนึงและมองกัน
ให้ลึกซึ้งก็คือธรรม ลํ้าลึกอันยิ่งใหญ่ที่พวกเราถวายบูชาขอบพระคุณ การเจริญชีวิตในศีลมหาสนิท
อย่างแน่วแน่ก็คือ จำเป็นต้องผ่านทางความโศกเศร้าแห่งการสูญเสีย กลับไปสู่การรู้คุณค่าชีวิตฐานะ
ที่เป็นพระพร ความงดงาม และคุณค่าแห่งชีวิตนั้นเชื่อมสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับความบอบบาง
อันแตกหักง่าย และแม้นแต่ความตายซึ่งพวกเราอาจเผชิญกับประสบการณ์เช่นนั้นทุก ๆ วัน เช่น
เมื่อพวกเราถือดอกไม้ในมือของพวกเรา เมื่อเราเห็น ผีเสื่อบินร่อนไปมาในอากาศ เมื่อพวกเราอุ้ม
เด็กน้อย ๆ ความบอบบางและความเศร้าอยู่ที่นั่นพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันความชื่นชมยินดีก็เชื่อม
สัมพันธ์กับสิ่งทั้งสองนั้น...
การถวายบูชาขอบพระคุณแต่ละครั้งเริ่มต้นด้วย การร้องขอพระเมตตากรุณาจากพระเจ้า อาจจะ
เป็นไปได้ในประวัติ ศาสตร์แห่งชีวิตคริสตชน ไม่มีบทภาวนาอันใดที่จะถูกภาวนาบ่อยครั้ง และอย่าง
ลึกซึ้งเหมือนกับบทภาวนาที่ว่า " พระเจ้าทรงเมตตาเทอญ " บทนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บทภาวนาเริ่มต้น
การถวายบูชาขอบพระคุณ และพิธีกรรมทางจารีตตะวันตกเท่านั้น ในพิธีกรรมจารีตตะวันออก ก็ยิ่งมี
การวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้ามากขึ้นและภาวนาแบบต่อเนื่องทีเดียวโดยเปล่งคำ " กีรีเอ เอเลอีซอน
ในภาษากรีก-พระเจ้าทรงเมตตาเทอญ " อยู่ตลอดเวลา นี่แหละ คือเสียงร่ำร้องจากประชากรของพระเจ้า
เสียงร้องขอของบุคคลที่มีหัวใจทุกข์ระทม..
เสียงร้องขอพระเมตตาอันนี้ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเรายอมรับและสารภาพด้วยความเต็มใจ
ไม่ว่าที่ไหนอย่างไร ว่าตัวพวกเราเองนั้นแหละที่ต้องทำบางสิ่งบางอย่างต่อความสูญเสีย สิ่งต่าง ๆ
ในชีวิตพวกเรา การร้องขอพระเมตตาเป็นการยอมรับ หรือครํ่าครวญต่อพระเจ้า ต่อชาวโลก และต่อ
บุคคลอื่น ๆ เมื่อความสูญเสียต่อสิ่งต่าง ๆ ของพวกเรา โดยที่ไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์
ต่อความเป็นจริงในชีวิตที่พวกเรากำลังเป็นอยู่ ขณะที่พวกเราเต็มใจรับผิดชอบในความเจ็บปวดนั้น
แม้ว่าพวกเราไม่ใช่เป็นสาเหตุโดยตรงก็ตาม การบ่นและตำหนิติเตียนจะกลับกลายเป็นการยอมรับ
บทบาทชีวิตพวกเราอย่างแท้จริง เสมือนมนุษย์ที่หัวใจแตกสลายได้ ผลพวงแห่งความขมขื่นมักจะทำ
ให้ชีวิตมนุษย์ต้องเลือกที่จะพูดว่า " ไม่มีวันหรอก " ที่จะรัก ! ศิษย์ทั้งสองคนที่เดินกลับบ้านแบบคอตก
จิตตก บนถนนสายเอมมาอูส สุดแสนเศร้า เพราะเขาสูญเสียบุคคลผู้ซึ่งเขาได้ตั้งความหวังทั้งหมดเอาไว้
แต่ที่สุดเขาก็รู้คำตอบอยู่เต็มอกว่า ผู้นำชาติบ้านเมืองของเขาเองนั่นแหละ ที่จับกุมบุคคลนั้นไปตรึงบน
ไม้กางเขน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขารู้อยู่แก่ใจว่า ความโศกเศร้าของเขานั้นคละเคล้าอยู่กับ
ความชั่วร้าย ความชั่วร้ายที่แฝงตัวอยู่ภายในหัวใจของเขา...

โปรดติดตาม ตอนที่ (8) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:16 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 8
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

การถวายบูชาขอบพระ คุณนั้น เรียกร้องให้พวกเราต้องยืนหยัดในโลก และการยอมรับต่อความ
รับผิดชอบร่วมกัน ความชั่วร้ายนั้นยังคงมีอยู่รอบข้าง และพยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจรอบ ๆ ตัว
พวกเรา ตราบใดที่พวกเรายังคงติดค้าง ไม่ปล่อยวางในคำบ่นสารพัดเกี่ยวกับช่วงเวลาที่น่าขยาด
ที่พวกเราต้องเจริญชีวิตในเหตุการณ์ที่แสนจะเลวร้าย ต้องทนทุกข์กับชะตากรรมอันน่าสยดสยอง
พวกเราจะไม่มีทางเลยที่จะยอมรับ และกลับมาสู่หัวใจที่ตรมตรอมถ่อมตน และเงื่อนไขอันเดียว
เท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของพวกเราเติบโตขึ้นก็คือ ยอมรับด้วยใจตรมตรอมถ่อมตน เมื่อพวกเราต้อง
เผชิญชะตากรรมการสูญเสียอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พวกเราก็จะได้รับโชคอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นกัน
ชะตา กรรมไม่ได้นำพวกเราไปสู่จิตที่สำนึกรู้คุณ แต่การกล้าเผชิญหน้า และการยอมรับแบบตรมตรอม
ถ่อมตนต่างหาก...
แทัจริง ความขัดแย้งในชีวิตส่วนตัวของพวกเราเอง รวมไปถึงความขัดแย้งที่อยู่ในระดับศาสนา
ระดับชาติ หรือโลกเหล่านี้ล้วนเป็นความขัดแย้งของพวกเราเองทั้งสิ้น หนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเรา
จะกำจัดมันได้ และโยนมันไปให้ไกลโพ้นก็คือ พวกเราต้องกล้าเลือกวิถีชีวิต โดยการให้อภัย สันติสุข
และความรัก
การสวด " พระเจ้า ทรงเมตตาเทอญ " จำเป็นต้องภาวนาจากหัวใจที่ตรมตรอมถ่อมตนจิตใจที่ถ่อม
ตนนั้นจะอยู่ในสภาพตรงข้ามกับหัวใจแข็งกระด้าง เย่อหยิ่ง จองหอง แข็งกร้าว ! ในหัวใจที่ตรมตรอม
ถ่อมตน ไม่ใช่เป็นการบ่น ตำหนิติเตียน แต่ยอมรับในส่วนของมันเองว่าเป็นบาปของชาวโลก จำต้อง
ยอมรับเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับพระเมตตากรุณาจากพระเจ้า...
ข้าพเจ้ายังจำได้ ถึงรายการโทรทัศน์ของชาวดัทช์เกี่ยวกับบทรำพึงตอนเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่ผู้
ดำเนินรายการได้เทน้ำลงบนพื้นแผ่นดินที่แข็งและแห้งผาก พร้อมกับกล่าวว่า "ดูซิ ! ดินนี้ไม่อาจจะรับ
น้ำได้ และเมล็ดพันธุ์พืชก็มิอาจเติบโตได้ " และแล้วเขาก็ใช้มือพรวนดินนั้น และเขาเทน้ำอีกครั้ง
กล่าวว่า "มีเพียงแค่ดินแข็งที่ถูกทุบ พรวน ให้แตกสลายเท่านั้นจึงรับน้ำได้ เมล็ดพันธุ์พืชก็อาจ
เติบโต และเกิด ดอกออกผลได้ "...
หลังจากได้ดูรายการนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจถึงความหมายทันทีว่า จำเป็นต้องเริ่มการถวายบูชา
ขอบพระ คุณด้วยห้วใจที่ตรมตรอมถ่อมตน ด้วยหัวใจที่สลายและเปิดออก จึงจะสามารถรับท่อธาร
แห่งพระหรรษทานจากพระเจ้าได้...
แต่ว่าสิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไรที่จะเริ่มการถวายบูชาขอบพระคุณพระเจ้า ด้วยหัวใจที่แตกสลาย ?
ไม่ใช่ในการยอมรับสภาพการเป็นคนบาปของพวกเราดอกหรือ และสำนึกด้วยว่าพวกเรานั่นแหละ
ก็มีส่วนที่ร่วมรับผิดชอบต่อความชั่วร้ายของความบาปบกพร่องในโลก จนทำให้พวกเรากลายเป็น
อัมพาตทางจิต ? ไม่ใช่การสารภาพบาปอย่างแท้จริงจนหมดสิ้นนั้นดอกหรือ ทำให้ดูว่าพวกเราอ่อน
เปลี้ยเพลียแรงเต็มที่ ? แต่ว่าพวกเราจะไม่ยอมจมอยู่ในบาป เพราะพวกเรารับรู้ถึงพระหรรษทาน
ของพระเจ้า พวกเราจะไม่ยอมจมอยู่ในความโศกเศร้าตลอดไป เหตุว่า ในจิตสำนึกลึก ๆ
ของพวกเรานั้นชี้ว่า พวกเราจะต้องพบชีวิตใหม่อย่างแน่นอน....


โปรดติดตาม ตอนที่ (9) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:21 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 9
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
: ความโศกเศร้าเสียใจต่อความสูญเสียต่าง ๆ ของพวกเรา " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาเทอญ "

ขณะที่ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปที่ตำบล เอมมาอูส พวกเขาได้เล่าถึงความสูญเสียอย่างใหญ่
หลวงของเขา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังบอกกับชายแปลกหน้าคนนั้นว่า บรรดาสตรีไปที่พระคูหา
แต่พบอุโมงค์คูหาที่ว่างเปล่า และยังเห็นทูตสวรรค์อีกด้วย ศิษย์ทั้งสองคนนั้นก็ยังคงสงสัยไม่เชื่อ !
เพราะพระองค์เพิ่งจะถูกจับไปตรึงกางเขนเมื่อสองสามวันมานี้เองไม่ใช่ดอกหรือ ? และนี่เป็นเรื่องอะไร
กันเล่าที่บรรดาสตรีเหล่านั้นมาเล่าเป็นตุเป็นตะว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ใครเล่าจะไปเชื่อจริงจังกับเรื่อง
ตลกนี้ ? ....
นี่แหละรูปแบบทั่ว ๆ ไปที่พวกเราอาจประยุกต์เข้ากับชีวิตพวกเรา เมื่อร่วมการถวายบูชาขอบพระคุณ
และเจริญชีวิตแห่งศีลมหาสนิท ด้วยความรู้สึกที่ออกจะแปลก ๆ ที่คละปนกันไปทั้งความหมดอาลัย
พร้อมกับความหวัง เมื่อพวกเรามองดูชีวิตของคนอื่น ๆ รอบข้างตัวเราส่วนหนึ่งเราก็อยากจะพูดว่า
"ขอให้พวกเราลืมมันไปเสียเถิดปล่อยไปตามบุญตามกรรม ทุกอย่างมันหมดสิ้นแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็
เพราะ พวกเราเคยใฝ่ฝันถึงช่วงเวลาที่ประชาขนมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกและสันติสุข แต่อนิจจา
ความจริงที่ปรากฏอยู่หน้าพวกเรานั้นมันคนละเรื่อง ไม่ใช่โลกสวยอย่างที่คิด เวลานี้พวกเราก็รู้อีกด้วยว่า
สิ่งเหล่านี้เป็นยิ่งกว่าภาพลวงตา และความหลอกหลอนเสียอีก ทั้งนิสัยและสันดานอันเลวร้ายที่ฝังแน่น
ไม่ยอมเปลี่ยนของพวกเรา ทั้งความอิจฉาริษยา และ ความขุ่นเคืองใจของพวกเรา ทั้งความโกรธ และ
การผูกใจพยาบาทแก้แค้นของพวกเรา เหล่านี้ทั้งหมดทำให้พวกเราเผชิญกับความจริงที่ขมขื่น ซึ่งเป็น
ความหวังและจินตนาการอันแสนงดงามที่เคยวาดไว้เมื่อครั้งวัยเยาว์เหมือนกับว่า ถูกตรึงบนกางเขน
อย่างหมดรูปหมดอาลัย....
น่าสังเกตอีกว่ายังคงมี เรื่องราวและเหตุการณ์อื่น ๆ ปรากฏให้เห็นต่อ ๆ มาอีกคือ เรื่องราวเกี่ยวกับ
บุคคลสองสามคนที่ได้เห็นเหตุการณ์กับตา ในลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือเรื่องราวเกี่ยวกับการ
ให้อภัย การเยียวยารักษา เรื่องราวเกี่ยวกับความดี ความงดงาม และความจริง สังเกตดี ๆ ขณะที่
พวกเราตั้งใจฟังเสียงจากห้วงลึกของหัวใจของพวกเราอย่างระมัดระวัง พวกเราต่างรับรู้ได้อย่างดีว่า
ภายใต้ความสงสัย และการเย้ยหยันจากสังคม พวกเราจะพบพลังอันแรงกล้า เร่าร้อนเพื่อสร้างสรรค์
ความรัก ความเป็นหนึ่งเดียว และสายสัมพันธ์ อันมิอาจจะสูญสลายตายจาก ทั้ง ๆ ที่ ที่นั่นยังคงมีความ
ขัดแย้งหลงเหลืออยู่ที่คอยเข้ามารบกวน ลบล้างความทรงจำอันดีงามต่าง ๆ เมื่อครั้งยังวัยเยาว์...
" พระเจ้าทรงเมตตาเทอญ พระเจ้าทรงเมตตาเทอญ พระเจ้าทรงเมตตาเทอญ " จะต้องเป็นการ
ภาวนาที่ออกมาจากห้วงลึกของหัวใจในชีวิตจริงที่พวกเราเป็นอยู่ คำภาวนานี้แหละจะเจาะกำแพง
ความเห็นแก่ตัว และเผื่อแผ่ทะลุไปถึงพวกที่ชอบเยัยหยันพวกเราในสังคม ใช่แล้วพวกเราเป็นคนบาป
ที่หมดหวัง สูญเสียทุกสิ่ง ทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย แต่กระนั้นอย่าลืม ! ยังมีเสียงที่ก้องถึงพวกเราว่า
" ..พระหรรษทานของพวกเรานั้นมีอยู่เพียงพอสำหรับเจ้า " พวกเราต้องวอนขอเพื่อพระพรในการรักษา
ความเห็นแก่ตัวของพวกเรา...
พวกเราพบพระพรซึ่งพวกเรามองเห็นคุณค่า และสำนึกในพระคุณ แต่ว่าในการที่จะมาพบจุดนี้ได้นั้น
พวกเราจำเป็นต้องมีเพื่อนร่วมทางทึ่พิเศษจริง ๆ...


โปรดติดตาม ตอนที่ (10 ) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:27 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 10
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ในขณะที่ศิษย์สองคนเดินทางกลับบ้านด้วยความโศกเศร้า อันเนื่องมาจากการสูญเสียอย่าง
ใหญ่หลวง ! พระเยซูคริสต์ปรากฏองค์มาเป็นเพื่อนร่วมทางเดียวกับพวกเขา แต่นัยตาของพวกเขา
ฝ้าฟางจึงจำพระองค์ไม่ได้ เวลานั้นไม่ใช่คนสองคนเดินทางต่อไป แต่เป็นบุคคลสามคนร่วมเดินทาง
ทันทีบรรยากาศทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปต่างจากเดิม เพื่อนสองคนไม่เดินคอตกมองพื้นดินอีกต่อไป
แต่สายตากลับเพ่งมองชายแปลกหน้าคนนั้น ผู้ซึ่งร่วมเดินทาง และยังถามเขาทั้งสองอีกว่า " ท่านกำลัง
ถกเถียงกันด้วยเรื่องอะไรกัน ระหว่างเดินตามทาง ? " นั่นเป็นคำถามที่ทำให้ทั้งสองคนประหลาดใจ
และเหมือนกับกวนประสาท จึงตอบว่า "คุณน่ะคงจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเหตุการณ์
ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น !" ทันทีพวกเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวถึงความสูญเสีย ถึงข่าวที่น่าพิศวงเกี่ยวกับอุโมงค์ที่
ว่างเปล่า ที่นี่เองอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีคนหนึ่งฟัง ยังมีคนหนึ่งที่เต็มใจรับคำบ่นในความโศกเศร้าเสียใจ
และความสับสนวุ่นวายอย่างที่สุด ดูเหมือนว่าไร้ประโยชน์และไร้เหตุผลมี่จะเล่า ทว่าการเล่าให้คน
แปลกหน้าคนนี้ฟังก็ยังดีกว่าจะคุยกันเองแบบซํ้าไปซํัามา ถึงความจริงที่เกิดขึ้น และต่างก็รู้ ๆ กันอยู่....
และแล้ว ! มีบางอย่างเกิดขึ้น มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงชายแปลกหน้าเริ่มพูด และคำพูดของเขา
ดึงดูดใจจริง ๆ ชายเคยนั้นได้ฟังพวกเขาเล่าเหตุการณ์ที่้กิดขึ้น แต่เวลานี้เขาสองคนฟังชายแปลกหน้า
คนนั้นพูด ถ้อยคำทุกคำของเขาทั้งชัดแจ้งและตรงประเด็น แทงใจดำ ชายคนนั่นพูดในสิ่งที่เขาสองคนรู้
มาก่อนแล้ว แม้ว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตอันยาวนาน ก่อนที่เขาทั้งสองคนเกิดด้วยซํ้า เช่นเรื่อง
ราวของโมเสสผู้นำประชากรอิสราแอลไปสู่ความเป็นไท และบรรดาประกาศกผู้ท้าทายประชาชนที่หน
ทางชีวิตเข้าทางตัน กลับคืนสู่อิสรภาพ ทั้ง ๆ ที่ทุกเรื่องที่เขาเล่านี้ดูเหมือนคุ้นๆ หูเหมือนกับเป็นเหตุการณ์
และเรื่องราวที่พวกเขาเพิ่งได้ยินเป็นครัังแรกอันเป็นเหตุการณ์สด ๆ ใหม่ ๆ ...
ชายแปลกหน้าเล่า และแจกแจงเรื่องราวซึ่งแตกต่างจากคนเล่าเรื่องคนอื่น ๆ ตั้งแต่ชายแปลกหน้าผู้นี้
เริ่มปรากฎตัวดูเหมือนว่าเขาจะมีความสนิทสัมพันธ์กับเหตุการณ์มากกว่าผู้เล่าเรื่องคนอื่น ๆ ที่พวกเขา
เคยประสบมา ความสูญเสีย ความเศร้าโศก ความหลงผิด ความหวาดกลัว ความสิ้นหวังหมดอาลัย
และคำถามอื่น ๆ อีกมากที่ไม่มีคำตอบได้อันตรธานหายไปสิ้น เพราะชายแปลกหน้าคนนั้น จิตใจของ
พวกเขาเร่าร้อนจดจ่อและถูกแทนที่โดยคำอธิบายเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเกินกว่าความเข้าใจของพวกเขาเอง
ที่มีอยู่ ดูเหมือนว่าความสับสนเริ่มเกิดขึ้นในเขาทั้งสองจึงทำให้ชีวิตเริ่มเปลี่ยนทิศทางใหม่ ดูเหมือนว่า
ความรู้สึกอัดอั้นกดดันในหัวใจ ถูกขยับเขยื้อนออกไปสู่อิสระ ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดจากความโศกเศร้า
ถูกปรับเปลี่ยนเป็นความยินดี ขณะที่ชายคนนั้นสนทนากับพวกเขา ทำให้เขาทั้งสองเริ่มสำนึกขึ้นมาว่า
ชีวิตขี้ประติ๋วของพวกเขานั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้สาระอีกต่อไป แต่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมล้ำลึกอันยิ่ง
ใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงแต่สัมพันธ์กับคนยุคแล้วยุคเล่า นั่นเป็นการประสานความกลมกลืนในตัวเองจาก
นิรันดรภาพไปสู่อีกนิรันดรภาพ...


โปรดติดตาม ตอนที่ (11)ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 19, 2022 8:42 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ 11
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
: การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้พูดเลยว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ต้องเศร้า แต่ความโศกเศร้าของพวก
เขานั้นเป็นเพียงแค่ส่วนนิดหนึ่งของความโศกเศร้าที่ใหญ่กว่านั้น และที่นั่นความชื่นชมยินดีถูกฝัง
แฝงอยู่ ชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้พูดเลยว่าความตายที่เขาทั้งสองกำลังโศกเศร้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้
นจริง ๆ แต่ว่าเป็นความตายเพื่อการเริ่มเกิดชีวิตที่สูงกว่า ชีวิตใหม่ ชีวิตจริง ชายแปลกหน้าคนนั้น
ไม่ได้พูดเลยว่า เขาทั้งสองสูญเสียเพื่อนผู้ให้กำลังแก่พวกเขา เพื่อนผู้ให้ความหวังใหม่แก่พวกเขา
แต่ว่าการสูญเสียนี้จะสร้าง สรรค์หนทางแห่งมิตรภาพอันไกลโพ้น เป็นมิตรภาพที่เขาทั้งสองไม่เคยพบ
หรือมี ประสบการณ์มาก่อน ชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้ปฎิเสธแม้แต่น้อยในเรื่องราวที่เขาทั้งสองเล่า
ให้ฟัง ในทางตรงข้าม เขากลับยืนยันว่านี่เป็นเพียงส่วนน้อย ๆ ที่เชื่อมสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่ใหญ่
กว่านั้นมาก ซึ่งเขาทั้งสองคนถูกขอร้องให้มีส่วนรับบทบาทนั้น ๆ ที่เป็นส่วนเฉพาะของพวกเขา.....
สังเกตอีกว่า การสนทนาของพวกเขาทั้งสามไม่ได้เป็นไปอย่างราบเรียบนิ่มนวล ชายแปลกหน้า
คนนั้นมีท่าทีที่ค่อนข้างแข็งกร้าว ไม่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจมากนัก ไม่มีการปลอบขวัญ
ปลอบโยน ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่า เขาได้ชี้แจงในคำบ่นต่าง ๆ ของเขาทั้งสองให้เผชิญกับความจริง
ซึ่งสองคนคงไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ที่แน่ ๆ ก็คือการบ่น ๆ แบบไม่รู้จักหยุด ซึ่งเป็นแนวโน้ม
อย่างหนึ่งในชีวิตมากกว่าการเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ชายแปลกหน้าผู้นั้นไม่ได้กลัวเกรงแม้แต่
นิดเดียวที่จะเจาะลึกเข้าไปถึงท่าที การแก้ตัว และป้องกันตัวเองของทั้งสองคน ยิ่งกว่านั้นยังดึงพวกเขา
ออกไปให้ไกลโพ้นจากสภาพการเป็นบุคคลที่คับแคบทั้งจิตสำนึกและหัวใจ...
" คนเขลา " ชายแปลกหน้าผู้นั้นกล่าวสำทับ "ช่างเขื่องช้าที่จะเชื่อ" คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจของสอง
คนนั้น "คนเขลา-คนโง่" เป็นคำพูดที่หนักและค่อนข้างแรง เป็น คำพูดที่ระรานเขา และท้าทายพวกเขา
ให้ฮึกเหิมตอบกลับ แต่อีกนัยหนึ่งคำพูดที่ทิ่มแทงนี้เป็นการกระเทาะเปลือกแห่งความขลาดกลัวและ
การหมกมุ่นอยู่แต่ตัวเองให้ออกไปสู่ชีวิตใหม่ และเปิดรับทัศนะใหม่ เป็นเสียงที่ปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้น
เป็นการฉีกม่านตาที่มืดบอดออก ทำลายอุบายในการป้องกันตัวเองที่ไร้ประโยชน์ออกเป็นเสี่ยง ๆ
"คนเขลา เจ้าไม่เห็นดอกหรือ ?" "เจ้าไม่ได้ยินดอกหรือ ? " "เจ้าไม่รู้เลยดอกหรือ ?" เจ้าได้มองดูเพียงแค่
ภายในพุ่มไม้เล็ก ๆ แต่ไม่ได้คิดที่จะขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อจะมองโลกทัศน์ที่แสนกว้างไกล เจ้ามัวแต่จมปลัก
ครุ่นคิดถึงเพียงแค่อุปสรรค โดยที่ไม่ได้พิเคราะห์อย่างจริงจังว่าอุปสรรคอันนี้เป็นตัวชี้ให้เจ้าเห็นลู่ทางที่
ถูกต้อง และต้องต่อสู้เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายให้จงได้ เจ้ามัวแต่บ่น ๆ ถึงความสูญเสียสารพัดสารเพอยู่
นั่นแหละ โดยที่ไม่ได้ยอมรับรู้แม้เพียงแค่เล็กน้อยว่าความสูญเสียเหล่านี้
จะนำเจ้าไปรับพระพรต่าง ๆ ในชีวิตข้างหน้า....

โปรดติดตาม ตอนที่ (12)ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 20, 2022 1:10 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 12 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ชายแปลกหน้าได้เรียกคนสองคนนั้นว่า " คนเขลา " เพื่อจะกระตุ้นให้พวกเขาตื่นขึ้น และ
มองเห็น ความจริง อะไรกันเล่าที่ท้าทาย ? ความไว้วางใจ ! พวกเขาไม่ได้วางใจเลยว่าประสบการณ์
ที่พวกเขาได้รับอยู่นั้นใหญ่กว่ามื่อเปรียบเทียบ กับประสบการณ์แห่งการสูญเสียที่พวกเขาเองก็มิอาจ
จะเอาคืนมาได้ ! พวกเขาไม่ได้ไว้วางใจในอะไรอื่น ๆ อีกทั้งสิ้น นอกจากเดินกลับบ้านแบบคอตก
หมดอาลัยตายอยาก และเลือกวิถีแบบเดิม ๆ อีกด้วย ! "คนเขลา... ช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อ" ช้าเหลือเกิน
ที่จะเชื่อ ช้าเหลือเกินที่จะไว้วางใจกับอีก หลายสิ่งหลายอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่ามากนัก เจ้าช้าเหลือเกิน
ที่จะกระโดดข้ามคำบ่นต่าง ๆ ของพวกเจ้า เพื่อจะได้พบลำแสงอันหลากสีและโอกาสใหม่ ๆ มิติใหม่ ๆ
ช่างช้าเหลือเกินที่จะเคลื่อนออกไปให้ไกลพ้นจากความเจ็บปวดต่าง ๆ และคิดว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
ในขบวนการรักษาเยียวยาชีวิตจิตใจ.....
ความเชื่องช้าอันนี้ไม่ใช่เป็นความเชื่องช้าที่จะคว้าพร้าเล่มงาม แต่นั่นจะเป็นการทำให้พวกเรา
ติดกับดัก ตกหลุมพรางแห่งการบ่น กลายเป็นคนขี้บ่น และมีจิตใจคับแคบอีกด้วย นั่นเป็นความช้า
ที่กีดกันพวกเราไม่ให้พบผืนแผ่นดินใหม่ที่พวกเราจะไปอาศัยและเจริญชีวิต และมีทางเป็นไปได้มาก
ทีเดียวที่จะพาพวกเราไปสู่จุดจบแห่งชีวิต โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเราคือใคร พวกเรามีความหมาย
และมีจุดหมายอย่างไร ! ชีวิตนี้สั้นนัก พวกเราอย่าไปคาดหวังเลยต่อประสบ การณ์เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่พวกเราได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และเป็นเครื่องแสดงและชี้บ่งให้แก่พวกเราเกี่ยวกับรูปแบบประสบการณ์
ทั้งครบในชีวิตของพวกเรา ถ้าเช่นนั้นพวกเราคงจะมีมุมมองชีวิตที่สั้นเกินไป หรือคับแคบเกินไป
ในการฟัง ! จำเป็นต้องมีผู้หนึ่งที่เปิดตา เปิดหู และช่วยพวกเราให้พบลู่ทางที่ไกลโพ้นจากมุมมอง
ส่วนตัวของพวกเราเอง จำเป็นต้องมีผู้หนึ่งที่จะมาเผาหัวใจพวกเราให้เร่าร้อน....
พระเยซูคริสต์ผู้ร่วมเดินทางกับพวกเขา ขณะที่เขาสองคนเดินคอตกด้วยความซึมเศร้า พระองค์
พยายามอธิบายพระคัมภีร์พระวาจาของพระเจ้าให้แก่พวกเขา แต่เขาทั้งสองไม่รู้ว่านั่นคือพระเยซูคริสต์เอง !
พวกเขาแค่เพียงคิดว่าพระองค์คือชายแปลกหน้า ที่รู้น้อยกว่าพวกเขาด้วยซ้ำว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิต
ของพวกเขา ! ยิ่งกว่านั้น พวกเขาสำคัญตัวเองว่า พวกเขารู้บางสิ่ง พวกเขาสัมผัสบางอย่าง พวกเขา
หยั่งลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง กล่าวคือ หัวใจของพวกเขาชักเริ่มรู้สึกเร่าร้อน ในจังหวะเวลานั้น ๆ เมื่อ
พระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่อาจเข้าใจจริง ๆ เลยว่าอะไรเกิดขึ้น พวกเขาได้แต่อึ้งไม่ได้
พูดอะไรต่อกัน ! ใช้แล้วในช่วงต่อมา เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป พวกเขาได้พูดกันว่า "ภายในหัวใจของ
พวกเราช่างเร่าร้อนมิใช่ดอกหรือ ในขณะทึ่พระองค์ สนทนากับพวกเราตามถนน และระหว่างที่อธิบาย
พระคัมภีร์ให้พวกเราฟัง ? " ขณะที่พระองค์ร่วมเดินทางกับพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์แนบแน่น
ในการครุ่นคิดไตร่ตรองรำพึง !.....


โปรดติดตาม ตอนที่ (13) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 22, 2022 9:00 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่( 13 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ด้วยการประทับอยู่ที่ลํ้าลึกของพระองค์นี่แหละ คือ "การฟังพระวาจาพระเจ้า" ในแต่ละการถวาย
บูชาขอบพระคุณ พระองค์ปรารถนาที่จะนำพวกเราให้มีความรู้สึกแนบชิดสัมพันธ์การประทับอย่างล้ำลึก
อันเดียวกันนี้แหละที่จะเผยแสดง หรือชี้แนะหนทางแก่พวกเรา ขณะที่พวกเราดำเนินชีวิตศีลมหาสนิท
ทั้งบทอ่านจากพระธรรมเดิม พระธรรมใหม่ และบทเทศน์จะทำให้พวกเราได้หยั่งลึก รับรู้การประทับอยู่
ของพระองค์ ในฐานะเพื่อนร่วมทางของพวกเรา โดยเฉพาะในยามเศร้าโศกแต่ละวันบทอ่านจะแตกต่าง
กันไป แต่ละวันข้อเตือนใจ และคำอรรถาธิบายจะต่างออกไป แต่ละวันพระวาจาของพระเจ้าเป็นเพื่อนร่วม
ทางชีวิตของพวกเรา ! พวกเราไม่สามารถเจริญชีวิตโดยปราศจากพระวาจาที่มาจากพระเจ้า พระวาจาจะ
ดึงพวกเราออกจากความทุกข์ความเศร้า พระวาจาจะยกระดับชีวิตของพวกเราจากที่ที่เป็นอยู่ เพื่อไปพบ
การเจริญชีวิตอย่างแท้จริงและสูงขึ้น....
ไม่ว่าพระวาจาเหล่านี้จะมาถึงพวกเราด้วยวิธีใดก็ตามทั้งจากการอ่าน การสนทนา การฟัง การชี้แนะ
การบอกกล่าว หรือจากการดลใจก็ตาม สิ่งสำคัญที่พวกเราจะต้องน้อมรับและรับรู้ ความหมายแรกและ
หลักสำคัญคือ พระวาจานั้นเป็นพระเยซูคริสต์เองประทับอยู่กับพวกเราในการเดินทาง พระเยซูคริสต์ร่วม
เดินทางและอธิบายถ้อยคำต่าง ๆ ถึงตัวของพระองค์เองไม่ว่าพวกเราจะอ่านจากหนังสืออพยพ บทเพลงสดุดี
หนังสือประกาศก หรือจากพระวรสาร พระวาจาเหล่านี้ล้วนทำให้หัวใจพวกเราเล่าร้อน การประทับอยู่แห่ง
ศิลมหาสนิท เหนืออื่นใดทั้งมวลก็คือ การประทับของพระองค์โดยผ่านทางพระวาจาปราศจากการประทับอยู่
โดยพระวาจานั้น พวกเราไม่มีทางเลยทีจะจำพระองค์ได้ หรือยอมรับการประทับอยู่ของพระองค์ในการ
หักขนมปัง !
พวกเราเจริญชีวิตในโลก สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำนานาชนิด ถ้อยคำสารพัดนึก สารพันชนิดที่
จะท่วมล้นถมทับพวกเราถ้อยคำนั้น ๆ มาจากทั้งการโฆษณาบนแผงป้ายกระดานตามทางแยกจราจร
จากแผ่นพับ นิตยสาร หนังสือ กระดานดำ เครื่องฉายโอเวอร์เฮดโปรเจคเตอร์ แผนภูมิ ฉากภาพยนตร์
ข่าวพาดหัว หนังสือพิมพ์ เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ถ้อยคำเหล่านี้อาจอยู่ในลักษณะเคลื่อนไหว ใช้ระบบ
แสงยิบยับสะดุดตา สลับหมุนกลับไปกลับมา ขยายให้ใหญ่ขึ้น ทำให้สว่างสะท้อนแสง หรืออยู่คงที่ได้ ฯลฯ
นอกนั้นยังอาจจะเสนอรูปแบบต่าง ๆ แก่พวกเราไม่ว่าสีสัน ขนาด ความคมชัด การเล่นคำ แต่ในที่สุด
พวกเราก็กล่าวว่า "ใช้แล้ว ! นี่ก็เป็นแค่ถ้อยคำเท่านั้นเอง " ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าไร ถ้อยคำเหล่านั้นก็
ยิ่งด้อยคุณค่าลงเท่านั้น ดูเหมือนว่าคุณค่าหลักของถ้อยคำนั้น จะอยู่เพียงแค่ "การบอกให้รู้เท่านั้น"
ถ้อยคำหรือวาจาจึงเป็นแค่การบอกกล่าวแก่พวกเราให้รู้ไว้เท่านั้นเอง แต่พวกเราก็จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ
เหล่านั้น เพื่อที่จะเป็นเครื่องชี้บอกว่า พวกเราต้องทำอะไร ? อย่างไร ? ไปไหน ? และพวกเราจะไปที่นั่น
ได้อย่างไร ? ล้วนต้องการถ้อยคำที่บ่งบอก !!!


โปรดติดตาม ตอนที่(14)ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 25, 2022 9:47 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 14 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
: การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ไม่ต้องแปลกใจที่พระวาจา หรือถ้อยคำในการถวายบูชาขอบพระคุณที่พวกเราได้ยินได้ฟังนั้น
หลาย ๆ ครั้งก็อยู่ในลักษณะเป็นเพียงแค่การบอกเล่าแก่พวกเราเท่านั้น หรือเป็นเพียงแค่เรื่องราว
ที่เล่าให้ฟัง เป็นแค่คำชี้แจง เป็นแค่เรื่องฉงนสนเท่ห์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พวกเราได้ยินได้ฟังเป็นส่วนใหญ่
กันมาก่อนแล้ว ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนาน ๆ ที ถ้อยคำอันหนึ่งหรือประโยคหนึ่งของพระวาจานั้นจะสะกิดใจ
พวกเราอย่างลึก ๆ สักครั้ง ! บ่อย ๆ ครั้งเหมือนกันที่พวกเราแทบจะไม่ได้จดจ่อตั้งใจฟังพระวาจาสั้น ๆ
เพราะว่านั่นกลายเป็นความเคยชิน และดูเหมือนซ้ำซากจนเกินไป พวกเราไม่เคยคาดคิดว่าพระวาจา
นั้นจะนำความแปลกใจ ความพิศวง หรือรู้สัมผัสลึก ๆ ในรสพระธรรม ! พวกเราฟังแล้วดูเหมือนกับว่า
นำเอาเรื่องเก่ามาฉายซ้ำ ไม่ว่าจะมาจากการอ่านหรือจากการเทศน์บนธรรมาสน์ ทุกอย่างเหมือนเดิม !...
ความน่าเสียดายและความเศร้าอยู่ที่ว่า ในที่สุดพระวาจานั้น สูญเสียคุณค่าแห่งความศักดิ์สิทธิ์
พระวาจาของพระเจ้าเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์้เป็นถ้อยคำหรือ วาจาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่
กับพวกเรา สอนทางชีวิตแก่พวกเรา ขณะที่พระเยซูคริสต์สนทนากับศิษย์สองคนบนถนนนั้น พระองค์
อธิบายพระวาจาในพระคัมภีร์ให้พวกเขาฟัง เกี่ยวกับตัวพระองค์เอง ทำให้หัวใจของพวกเขาเริ่มเร่าร้อน
อันเนื่องมาจากการเข้าสัมผัสประสบ การณ์แห่งการประทับอยู่ของพระองค์จากพระวาจา และการอธิบาย
ของพระองค์แบบเรียบง่ายนั้น ทำให้ศิษย์ทั้งสองเริ่มคิดถึงพระองค์ วาจานั้นชี้ทางให้พวกเขาเห็นพระองค์
วาจานั้นดลจิตดลใจและผลักดันพวกเขาให้รำลึกถึงพระองค์ โดยทางพระวาจานี้ พระองค์ประทับอยู่
ที่นั่นจริง ๆ กับพวกเขา และนี่แหละความหมายที่แท้จริงของพระวาจาพระเจ้า...
พระวาจาของพระเจ้าคือ เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์เสมอ ! ในหนังสือปฐมการพวกเราทราบว่าพระเจ้า
ทรงสร้างสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ แต่ในจดหมายถึงชาวฮีบรู ใช้คำว่า " พระเจ้าตรัส" ซึ่งเป็นความหมาย
และคำเดียวกันกับ " พระเจ้าทรงเนรมิต - สรรสร้าง" นั่นเอง ถ้าจะแปลกันตรงตัว ก็อาจพูดได้ว่า
"พระเจ้าตรัสให้มีแสงสว่าง และแล้วแสงสว่างจึงอุบัติขึ้น" สำหรับพระเจ้านั้น การตรัสก็คือ การเนรมิต
สรรสร้าง เมื่อพวกเราพูดว่า พระวาจาของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ พวกเราหมายถึงพระวาจาของพระเจ้า
เปี่ยมไปด้วยการประทับอยู่ของพระองค์อย่างแท้จริง บนถนนสู่ตำบลเอมมาอูส พระเยซูคริสต์ประทับ
อยู่โดยอาศัยพระวาจาของพระองค์ และการประทับอยู่ของพระองค์นั้นได้แปรเปลี่ยนความทุกข์
ความโศกเศร้าเสียใจ ให้กลายเป็นความชื่นชมโสมนัส เปลี่ยนจากความโศกเศร้าคร่ำครวญให้เป็น
บทเพลงแห่งความปิติยินดี และนี่แหละ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการถวายบูชาขอบพระคุณแต่ละครั้ง
พระวาจาของพระเจ้าที่พวกเราได้ยินได้ฟัง ทั้งจากการอ่าน และอรรถาธิบาย ต้องการจะชักนำให้
สำนึกถึงการประ ทับอยู่จริงของพระองค์ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงทั้งจิตและใจของพวกเรา....


โปรดติดตาม ตอนที่ (15) ในวันต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 25, 2022 9:51 pm

❤️ "ด้วยดวงใจอันเร่าร้อน" 🔥 ตอนที่ ( 15 )
โดย เฮนรี่ เจ. เอ็ม. นูเวน, แปลและเรียบเรียงโดย มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์
การหยั่งรู้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า " นี่คือพระวาจาของพระเจ้า "

ในพระวรสารเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวอย่างมากมาย ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า โดยทาง
พระวาจาพระเจ้า โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าประทับใจ และสัมผัสจริง ๆ ในเหตุการณ์ของพระเยซูคริสต์
ที่ศาลาธรรม ณ ตำบลนาซาเเร็ธ พระองค์ได้อ่านพระคัมภีร์จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ ความว่า :
" พรจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดี
มายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ป่าวประกาศอิสรภาพ แก่บรรดาเชลย หรือ ผู้ถูกจองจำ
ให้ประกาศแก่คนตาบอด จะได้แลเห็นอีก ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศ
ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า " (ลูกา 4: 18-19)

หลังจากที่พระองค์ได้อ่านพระวาจาตอนนี้ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า " คัมภีร์คอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหู
ของท่าน ก็สำเร็จในวันนี้แล้ว " ทันใดนั้น พระวาจานี้ได้กลายเป็นถ้อยคำที่ชัดเจนว่า คนยากจน บรรดา
เชลย และผู้ที่ถูกจองจำ คนตาบอด คนที่ถูกกดขี่บีบบังคับ ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหนแต่เป็นคนที่อยู่บน
ศาลาธรรมนั้นเองแหละ ที่นั่นคือผู้ที่จะได้รับอิสระและเสรีภาพ เขานั้นแหละคือผู้ที่กำลังฟัง และโดยการ
ตั้งใจฟัง พระเจ้าจะประทับอยู่ และจะเป็นผู้รักษาเยียวยา...
พระวาจาของพระเจ้าไม่ใช่เป็นเพียงถ้อยคำที่พวกเราต้องประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือรับต่อ ๆ
มาเท่านั้นเอง แต่ว่าพระวาจานั้นจะ " ้เยียวยารักษาชีวิตฝ่ายจิต " โดยผ่านการตั้งใจฟังที่นี่และเดี๋ยวนี้....
ดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกว่า ในขณะที่ข้าพเจ้าฟังอยู่นั้น พระเจ้าประทับอยู่กับข้าพเจ้าได้อย่างไร ?
โดยทางพระวาจาตอนไหน ตรงไหน ที่ข้าพเจ้าควรจะหยั่งลึกสัมผัสพระหัตถ์พระเจ้าในการเยียวยารักษา ?
ความโศกเศร้า ความเสียใจของข้าพเจ้าจะถูกแปรเปลี่ยนในช่วงเวลาไหน อย่างไร ? จริงหรือไม่ ?
คำถามเหล่านี้แหละนำข้าพเจ้า ให้รับรู้อย่างดีว่า พระวาจานั้นศักดิ์สิทธิ์ ในพระวาจานั่นแหละเป็น
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่จริง !
ในระยะแรก ๆ อาจจะแลดูว่าเป็นเรื่องใหม่ ! สำหรับบุคคลที่เจริญชีวิตในสังคม ซึ่งคุณค่าสำคัญ
แห่งพระวาจานั้นเป็นเพียงแค่การรู้จักประยุกต์เอามาใช้ในแต่ละวัน แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พลังแห่งการรักษาเยียวยาหรือกำลังใจ กับพลังก่อกวน และการทำลายนั้น
ล้วนมาจากใช้ถ้อยคำหรือวาจาทั้งสิ้น เช่น เมื่อคนหนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "ฉันรักคุณ" หรือ "ฉันเกลียดคุณ"
ใช่ว่าข้าพเจ้ากำลังได้รับการบอกกล่าวธรรมดา ๆ เพียงให้รับรู้ไว้เท่านั้น แต่คำพูดนั้นส่งผลไกลกว่านั้น
ทำให้เกิดมีปฏิกิริยาบางสิ่งบางอย่างในตัวข้าพเจ้า ทำให้เลือดภาย ในตัวข้าพเจ้าสูบฉีดแผ่ซ่าน
หัวใจเต้นแรง หายใจเข้า ออก เร็วขึ้น ก่อให้เกิดความรู้สึกหลายอย่าง ทำให้ต้องคิดไปต่าง ๆ นา ๆ
ซึ่งทำให้ยกระดับชีวิตข้าพเจ้าขึ้น ให้อยู่ในทิศทางใหม่ และได้ให้ความรู้อีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับตัว
ข้าพเจ้าเอง ! คำพูดเหล่านั้นมีพลังที่สร้างสรรค์เยียวยาให้กำลังใจ
หรือตรงข้ามอาจจะทำลายตัวข้าพเจ้าเอง ก็ย่อมได้....


โปรดติดตาม ตอนที่ (16) ในวันต่อไป
ตอบกลับโพส