เรื่องจริง เสริมศรัทธา ( ชุดที่ 2 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 29, 2022 9:54 pm

( 1 )

“ท่านอดอาหาร แต่ซาตานก็ไม่กินอะไร
ท่านทำงานหนัก แต่ซาตานก็ไม่เคยหลับพักผ่อน
สิ่งที่ท่านสามารถทำได้ดีกว่าซาตานก็คือท่านต้องมีใจถ่อมตน เพราะซาตานไม่มีความถ่อมตน”
- นักบุญโมเสส ชาวเอธิโอเปีย

"You fast, but Satan does not eat. You labor fervently, but Satan never sleeps.
The only dimension with which you can outperform Satan is by acquiring humility,
for Satan has no humility." - Saint Moses the Black (Ethiopian)

😇 ชีวประวัติ “นักบุญโมเสส ชาวเอธิโอเปีย (St. Moses The Ethiopian)”

+ จากโจรสู่ชีวิตนักบุญ : เส้นทางชีวิตนักบุญโมเสส ชาวเอธิโอเปีย (St. Moses The Ethiopian) +

เนื่องเมื่อวานนี้เป็นวันฉลองของนักบุญโมเสส แห่งเอธิโอเปีย (อิงตามปฏิทินจูเลียน) นักบุญโมเสส
มักจะรู้จักกันในชื่อ นักบุญโมเสส คนดำ (St. Moses The Black), อับบาโมเสส ผู้เป็นโจร
(Abba Moses The Robber) หรือ อับบาโมเสส ผู้แข็งแรง (Abba Moses The Strong) ท่านนับ
ได้ว่าเป็นปิตาจารย์แห่งทะเลทราย (Desert Father) อีกหนึ่งคนที่เป็นที่รู้จักอย่างมากอีกด้วยครับ
เอาละเพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปกันเลย #เตรียมขนม!
.
= ประวัติของนักบุญโมเสส ชาวเอธิโอเปีย =

นักบุญโมเสสอาศัยอยู่ที่ประเทศอียิปต์ในช่วงศตวรรษที่ 4 ท่านเป็นชาวเอธิโอเปียที่ผิวคล่ำ
อย่างมากกกกกกก เพราะเหตุนี้ท่านจึงถูกเรียกว่า “โมเสส คนดำ” ในวัยเด็กโมเสสเป็นทาสของผู้มี
ต่ำแหน่งสูงในเมือง แต่เมื่อท่านได้ก่อเหตุฆาตรกรรม เจ้านายก็ได้ไล่ท่านออก โมเสส ที่ ณ เวลานั้น
เต็มไปด้วยความโกรธและความขมขื่นใจ จึงตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มโจรที่มักจะโจมตี, บุกปล้น และ
ฆ่าคนอื่น ๆ ที่เดินทางในทะเลทราย ต่อมาทางกลุ่มโจรที่ท่านอยู่นั้นได้เลือกท่านให้ขึ้นเป็นหัวหน้า
เนื่องจากนักบุญโมเสสมีร่างกายที่ใหญ่โตและพร้อมที่จะทำบาปทุกเวลา ผู้คนต่างหวาดกลัวที่จะ
เอ่ยชื่อของท่านมาก (อารมณ์คงคล้าย ๆ โวลเดอมอร์ 5555)
.
หลังจากที่นักบุญโมเสสได้ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความผิดบาปต่าง ๆ มาหลายปี โดยอาศัยพระ
หรรษทานของพระเจ้า ท่านได้กลับใจในที่สุด ได้ออกจากกลุ่มโจรและเดินทางไปที่อารามนักพรต
ในทะเลทรายแห่งหนึ่ง ท่านต้องใช้เวลานานมากในการร่ำร้องและร้องขอเพื่อให้พี่น้องในอารามเชื่อ
ว่าท่านเป็นคนที่จริงใจและกลับใจแล้ว และในที่สุดอารามก็รับนักบุญโมเสสเข้าเป็นหนึ่งในนักพรต
ท่านรู้สึกเสียใจอย่างมากต่อบาปที่ตนเคยทำในอดีต ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเคารพเชื่อฟังคุณพ่ออธิการ
อย่างมาก อับบา (คุณพ่อ) อิซิดอร์ พ่อวิญญญาณและพ่อที่คอยโปรดศีลบาปแก่โมเสส ถือว่าเป็นผู้ที่
มีปรีชาญาณและประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ดีคนหนึ่ง ได้แนะนำท่านนักบุญในเรื่องต่าง ๆ หลังจาก
นั้นไม่นานท่านก็กลับไปยังห้องของตนเองและสวดภาวนา ถือศีลอดอาหาร ต่อสู้กับตัณหาและสิ่งต่าง ๆ
โดยการแนะนำของอับบาอิซิดอร์ อับบาได้สอนท่านในเรื่องการภาวนาทั้งคืนและต่อสู้กับปีศาจ
ความพยายาม ของท่านในการอดทนและต่อสู้กับปีศาจนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะว่ามันสามารถช่วย
ชะล้างความผิดที่ตนเคยทำมาได้ มันเป็นการต่อสู้กับระหว่างทูตสวรรค์และปีศาจ ซึ่งอับบาอิซิดอร์มั่นใจ
ว่านักบุญโมเสส (ทูตสวรรค์) จะผ่านพ้นและเอาชนะมัน (ปีศาจ) ได้
.
วันหนึ่งโจร 4 คน จากกลุ่มโจรที่นักบุญโมเสสเคยเป็นสมาชิกได้เข้ามาทำร้ายท่านในห้อง ซึ่งพวก
โจรนั้นไม่รู้ว่าคนที่ตนทำร้ายอยู่นั้นเป็นใคร นักบุญโมเสสที่อาศัยอยู่ในอารามก็หาได้สิ้นพละกำลังและ
ความแข็งแรงของตนเองไม่ ท่านจับโจรมัด แบกขึ้นบ่า และพาพวกโจรไปที่อารามนักพรต แต่เอลเดอร์
(นักพรตชรา) ก็ได้บอกให้ท่านปล่อยตัวพวกเขา หลังจากพวกโจรได้รู้ว่าคนที่เขาเข้าไปทำร้ายนั้นเป็น
#โมเสส อดีตหัวหน้าก็ตกใจ นักบุญโมเสสได้ปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความเมตตา โจรทั้ง 4 ได้เห็นแบบ
อย่างดังนั้นจึงกลับใจและถวายตัวเป็นนักพรตที่อารามนั้น เมื่อโจรที่เหลือในกลุ่มได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็กลับใจ ทิ้งชีวิตที่เต็มไปด้วยบาปและได้ถวายตัวเป็นนักพรตกันทั้งหมด
.
เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความพยายามทางจิตวิญญาณของตน นักบุญโมเสสได้เริ่มขนน้ำจากบ่อน้ำไป
ให้พี่น้องของตนทุก ๆ คืน โดยเฉพาะเหล่าเอลเดอร์ที่อาศัยอยู่ไกลจากบ่อน้ำ และเพื่อใครก็ตามที่ไม่
สามารถขนน้ำได้ ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านเอนกายพิงบ่อน้ำอยู่นั้นปีศาจก็ได้ล้างแค้นกับนักบุญโมเสส
โดยเหตุที่ท่านได้เอาชนะพวกมันได้ จ่ากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลังของท่านได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและ
ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ท่านต้องใช้เวลาตลอดทั้งปีในการนอนเฉย ๆ ที่ห้องของตน หลังจากนั้นท่านก็
ได้รับการรักษาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
.
หลายปีต่อมาเรื่องราวของนักบุญโมเสสได้ถูกเล่าต่อ ๆ กันไปอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างพากันมา
เยี่ยมท่าน นักบุญโมเสสจึงหนีออกจากห้องของตนและซ่อนตัวจากผู้คน ระหว่างทางท่านได้เจอกับผู้รับใช้
ของผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง เขาได้ถามท่านว่า “จะไปยังห้องของโมเสสผู้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายได้
อย่างไร?” นักบุญโมเสสจึงตอบเขาไปว่า “อย่าไปไกลกว่านี้เพื่อเจอกับนักพรตที่ผิดบาปและไม่คู่ควรนี้เลย”
เมื่อผู้รับใช้คนนั้นไปถึงอารามเขาก็ได้รู้ทันทีว่าคนที่เขาเจอระหว่างทางนั้นคือนักบุญโมเสสที่เขาและ
เจ้านายปรารถนาจะพบ
.
หลังจากฝ่าฟันกับชีวิตนักพรตอยู่หลายปี อับบาโมเสสได้รับศีลบวชเป็นสังฆานุกร แต่ด้วยความถ่อมตน
ของท่านเองจึงคิดว่าท่านไม่คู่ควรกับสถานะนี้เลยแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งท่านได้ถูกทดสอบโดยพระสังฆราช
พระสังฆราชได้บอกให้เหล่านักบวชพูดจาดูถูกและเยาะเย้ยนักบุญโมเสสว่าเป็นเพียงชาวเอธิโอเปียที่
ไม่คู่ควรและต่ำต้อย ทั้งยังได้บังคบให้ท่านออกจากบริเวณพระแท่นด้วย นักพรตผู้ถ่อมตนยอมรับการดูถูก
หลังจากการทดสอบครั้งนี้พระสังฆราชจึงตัดสินใจบวชนักบุญโมเสสให้เป็นพระสงฆ์ อับบาโมเสสมีอายุ
ได้ 60 ปีในเวลานั้น อับบาโมเสสได้พยายามทำหน้าที่ของตนอีก 15 ปี และท่านเองยังมีศิษย์อีก 75 คน
.
เมื่อท่านอายุได้ 75 ปี ในฐานะอธิการอาราม ท่านได้เตือนนักพรตของตนว่าเร็ว ๆ นี้ ผู้ร้ายจะมาโจมตี
ชุมชนนักพรตและจะฆ่าทุก ๆ คน อับบาโมเสสได้ร้องขอให้พวกเขาย้ายออกไปแต่ตนเองจะอยู่ต่อ เพราะว่า
ท่านเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่พระวาจาของพระเจ้าจะเป็นจริงที่ว่า “เพราะทุกคนที่ใช้ดาบ ก็จะต้องพินาศด้วยดาบ”
(มัทธิว 26:52) มีนักพรต 7 องค์ที่ตกลงจะอยู่กับอับบาโมเสส เมื่อผู้รายเข้ามาก็ได้ทำการรฆาตรกรรมอับบา
โมเสสและนักพรตองค์อื่น ๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นราว ค.ศ.400 มีนักพรตคนหนึ่งที่ซ่อนตัวเมื่อกลุ่มผู้ร้ายเข้ามา
และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดในขณะที่ผู้รายฆ่าอับบาโมเสสและนักพรตอีก 6 องค์

* * * * * * * * * *
เรื่องราวของนักบุญโมเสสเป็นแบบอย่างที่ดี (เช่นเดียวกับเรื่องราวของนักบุญมารีย์ แห่งอียิปต์) ที่แสดง
ให้เห็นว่าโดยอาศัยการสำนึกผิดและกลับใจอย่างจริงจังเปลี่ยนให้คนที่บาปที่สุดมาเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ได้
นักบุญโมเสสเป็นทั้งฆาตรกร, โจร และเป็นคนที่รุนแรง ดังนั้น นักบุญโมเสสเป็นแบบอย่างที่สำคัญของเรา
ในเรื่องการกลับใจและการอภัยของพระเจ้า โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกว่าพวกเขานั้นเต็มไปด้วยบาปเกินที่จะคืนดี
กับพระเจ้าและพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเขาหลงผิดและตกสู่บาป “ความชอบธรรม” จะได้รับการ
เพิ่มพูนจากพระเจ้ามากกว่าจากคนบาป เพราะว่า “ความชอบธรรม” ก็เหมือนเรื่องราวที่พระเยซูเจ้าได้ทรง
เล่าในเรื่อง #ฟาริสี กับ #ลูกผู้หลงผิด อย่ามองบาปของพวกเขา เพราะความทะนงตัวจะถูกเพิ่มพูนแทนที่
ความถ่อมตน ในทางตรงกันข้ามเหมือนกับเรื่องราวของบุตรผู้หลงผิดและของคนเก็บภาษี คนที่บาปที่สุด
ผู้ที่สำนึกบาปและกลับใจสามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ โดยการกลับใจอย่างต่อเนื่องของตนเอง ซึ่งเป็นผล
มาจากความอ่อนน้อมถ่อมตนของตนเองนั้นเองครับ

สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านประวัตินักบุญมารีย์ แห่งอียิปต์สามารถอ่านได้ที่นี่เลยครับ
> https://goo.gl/MJ4Ama
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อ่านครับ หากใครชอบฝากกดไลก์กดแชร์ด้วยนะครับบ #ขอพระเจ้าอวยพร
#นักบุญโมเสสโปรดภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อเราเทอญ 😇🙏♥️

CR. : จิตอิสระ
CR. ชีวประวัติ : https://www.facebook.com/834510796680621/posts/pfbid0zp
NoVXGdZ2Yp6gK5J3Zrr8pXWFZ613siYX97kMzurBMxG1RhNrGHqu3vUeYnLDXTl/?d=n

:s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ค. 08, 2022 11:25 pm

( 2 )

…………อยากให้อ่านให้จบว่ามีเด็กชายวัยรุ่นอายุประมาณ 20 ปีออกจากบ้านเกิดเมืองนอน
ประเทศฝรั่งเศสมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสที่โรงเรียนอัสสัมชัญโดยที่ท่านมาอยู่
จนสิ้นชีวิตตอนอายุ 87 ปี ตลอดเวลาเหล่านั้นท่านไม่เคยกลับไปประเทศฝรั่งเศสอีกเลย ท่าน
บอกว่า”ฝรั่งเศสเป็นบ้านเกิด แต่สยามเป็นเมืองนอนและเรือนตาย อั๊วจะฝากกระดูกไว้ในแผ่นดิน
ไทยนี่แหละ”
ตลอดชั่วชีวิตในเมืองไทย ท่านมีความรู้ทางภาษาไทยที่แตกฉานเก่งกว่าคนไทยที่เป็นเจ้าของภาษา
เกือบถึง 100 % แสดงว่าท่านอยู่ในระดับสุดยอดของสยาม ขนาดสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงจัดตั้งสมาคมวรรณคดี ได้เชิญ ท่านมาเป็นกรรมการด้วย ซึ่งเป็นปราชญ์ต่างชาติคนเดียวที่
เป็นกรรมการของสมาคมไทย ตัวอย่างกลอนที่ท่านแต่งและพวกเราได้ท่องได้เรียนกันมาแล้วมี
คร่าวๆดังนี้

““วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า
เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบฯ” (ดรุณศึกษา เล่ม 3)”

“ไม่ว่าโคลงหรือกลอน ท่านก็เขียนได้ดีเช่น

หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้ ทันกาล
สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ ส่งไซร้
ให้ทัน ช่วงใช้งาน ก่อเกิด ประโยชน์นา
สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน

...................

คนฉลาดขาดเฉลียวประเดี๋ยวแย่
เหมือนเรือแพออกค้าสุดฟ้าเขียว
แต่หากขาดเข็มทิศเสียนิดเดียว
อาจแล่นเลี้ยวเกยแก่งแล่งทลาย
ถ้าแม้มีเข็มทิศติดไปแล้ว
คงคลาดแคล้วเกาะแก่งถึงที่หมาย
เข้าเทียบท่าเปิดระวางอย่างสบาย
เสร็จซื้อขายกลับบ้านสำราญรมย์”

และข้อความนี้ที่พวกเราคุ้นเคยกันดีมาจากมันสมองของท่านซึ่งเริ่มมาจาก
“ความสามารถทางด้านกวีของ ท่านนั้นสูงยิ่ง สามารถแปลบท กวีเป็นบทกวี ผลงานที่รู้จักกัน
แพร่หลายคือบทแปลกวีของนักบวชชาวอังกฤษชื่อ Frederick Longbridge

Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars.

เขาแปลว่า สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย”

นี่ไงชาวต่างชาติ(อยากเรียกท่านเป็นคนไทยเหลือเกิน) ที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยเรามาก
และมากกว่าคนไทยอีกหลายๆคน ขอเชิญทุกท่านมารู้จักท่านฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์
ที่น่าเคารพนับถือได้แล้วครับ


%%%%%%%%%%


ในปี พ.ศ. 2443 บาทหลวงเอมิล โอกุสต์ โกลงเบต์ (Émile August Colombet) วัยห้าสิบเอ็ด
เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ฝรั่งเศส หลังจากใช้เวลายี่สิบสองปีในประเทศสยาม ก่อตั้ง
โรงเรียนอัสสัมชัญ สอนเด็กคริสตังและลูกหลานชาวยุโรป

การเดินทางเที่ยวนี้ต่างจากครั้งอื่นคือ ท่านเข้าพบท่านอธิการใหญ่แห่งคณะภราดาเซนต์คาเบรียล
ณ เมืองแซง โลรอง ซูร์ แซฟวร์ (Saint Laurent sur Sèvre) จังหวัดวองเด

“ข้าพเจ้าปรารถนาส่งมอบกิจการโรงเรียนอัสสัมชัญในประเทศไทยให้แก่คณะฯ”

อธิการใหญ่แห่งคณะภราดาเซนต์คาเบรียลตกลง

ปีถัดมา คณะภราดาเซนต์คาเบรียลก็ส่งภราดาห้าคนไปรับหน้าที่บริหารโรงเรียนอัสสัมชัญ

ภราดาผู้มีอายุน้อยที่สุดชื่อ ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ (François Touvenet Hilaire) อายุเพียง
ยี่สิบปีเท่านั้น เกิดที่ตำบลจำโปเมีย (Champniers) เมืองปัวตีเย (Poitiers) ประเทศฝรั่งเศส
ในวัยเด็กเขาสนใจพระธรรมและคิดอุทิศตนแก่ศาสนา ถวายตนปฏิบัติกิจเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
ศึกษาที่คณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองแซ็ง โลร็อง ซูร์ แซ็ฟวร์ อายุสิบแปดเป็นภราดา

เจษฎาจารย์ทั้งห้าลงเรือที่เมืองมาร์เชย์เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2444 ใช้เวลาเดินทางหนึ่ง
เดือนกับสองวันก็ถึงกรุงเทพฯ เรือเทียบท่าห้างบอร์เนียว แตะแผ่นดินสยามในรัชสมัยพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ พูดภาษาไทยไม่ได้สักคำ

…………………

ภราดาหนุ่มได้รับมอบหมายให้สอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส วันหนึ่งเขาได้ยินเด็กนักเรียนไทย
ท่องข้อความบางอย่าง เสียงนั้นสูงๆ ต่ำๆ ไพเราะ มีจังหวะจะโคนงดงาม เขานึกสงสัยว่าเด็กท่อง
อะไร เมื่อสอบถามก็รู้ว่ามันคือ มูลบทบรรพกิจ แบบเรียนภาษาไทยที่ประพันธ์โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร
(น้อย อาจารยางกูร)

ตั้งแต่นั้นภราดาฟรองซัวก็เรียนตำรานี้ และเริ่มเรียนภาษาไทยอย่างจริงจังกับครูหลายคน เช่น
ท่านมหาทิม ครูวัน (พระยาวารสิริ) ท่านมหาศุข ศุภศิริ และครูฟุ้ง เจริญวิทย์ ภราดาหนุ่มเป็นอัจฉริยะ
ด้านภาษา ความเร็วของการเรียนรู้ภาษาไทยของเขาน่าทึ่งอย่างยิ่ง

ผ่านไปหลายปี ภราดาชาวฝรั่งเศสก็แตกฉานภาษาไทยยิ่งกว่าคนไทย ศึกษาวรรณคดีไทยอย่างลึกซึ้ง
เล่ากันว่าเขาสอนเวสสันดรชาดกได้ดีไม่แพ้ท่านมหาศุข

ฟรองซัว ตูเวอแน ฮีแลร์ มีบุคลิกผู้คงแก่เรียน ไว้หนวดเครายาว จนนักเรียนตั้งฉายาให้เขาว่า โจโฉ

คนทั่วไปเรียกเขาสั้นๆ ว่า ฟ. ฮีแลร์

อักษรว่า ฟ. มิได้ย่อมาจากชื่อ ฟรองซัว แต่ย่อมาจาก frère (ภาษาอังกฤษว่า Brother) แปลว่า
ภราดาหรือเจษฎาจารย์

แล้ว ฟ. ฮีแลร์ก็ใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาเป็นครูในเมืองไทย

…………………

ในปี พ.ศ. 2446 ฟ. ฮีแลร์ออกหนังสือโรงเรียนรายสามเดือน ชื่อ อัสสัมชัญอุโฆษสมัย ทำหน้าที่
เป็นบรรณาธิการ เจตนาเพื่อให้นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญใช้ภาษาไทยได้ดีเทียบเท่าภาษาอังกฤษ
และฝรั่งเศส นักเรียนสามารถเขียนบทความ บทกวี ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้

ฟ. ฮีแลร์เองก็เขียนงานมากมายลงอุโฆษสมัย ทั้งบทความ นิทาน บทกวีอย่างต่อเนื่อง

ความสามารถทางด้านกวีของ ฟ. ฮีแลร์นั้นสูงยิ่ง สามารถแปลบทกวีเป็นบทกวี ผลงานที่รู้จักกัน
แพร่หลายคือบทแปลกวีของนักบวชชาวอังกฤษชื่อ Frederick Longbridge

Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars.

เขาแปลว่า สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาว
อยู่พราวพราย ไม่ว่าโคลงหรือกลอน ท่านก็เขียนได้ดี

หมุน เวียนเปลี่ยนใหม่ให้ ทันกาล
สมอง เชี่ยวปรีชาชาญ ส่งไซร้
ให้ทัน ช่วงใช้งาน ก่อเกิด ประโยชน์นา
สมัย ใหม่ย่อมต้องให้ เก่าเคล้า ระคนกัน

...................

คนฉลาดขาดเฉลียวประเดี๋ยวแย่
เหมือนเรือแพออกค้าสุดฟ้าเขียว
แต่หากขาดเข็มทิศเสียนิดเดียว
อาจแล่นเลี้ยวเกยแก่งแล่งทลาย
ถ้าแม้มีเข็มทิศติดไปแล้ว
คงคลาดแคล้วเกาะแก่งถึงที่หมาย
เข้าเทียบท่าเปิดระวางอย่างสบาย
เสร็จซื้อขายกลับบ้านสำราญรมย์

…………………

ครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดให้ท่านแปลจดหมายเหตุของ ฌอง ดงโน เดอ วีเซ
(Jean Donneau de Visé)) เรื่องของโกษาปานไปฝรั่งเศส ท่านก็แปลลงในหนังสืออุโฆษสมัย ชื่อ
ทูตไทยไปเมืองฝรั่งเศส เป็นบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญชิ้นหนึ่ง (ปัจจุบันตีพิมพ์ในชื่อ จดหมายเหตุ
โกศาปานไปฝรั่งเศส)

ในปี พ.ศ. 2453 โจโฉชาวฝรั่งเศสก็เริ่มสร้างงานชิ้นใหม่ที่สำคัญต่อระบบการศึกษาไทย คือตำรา
สอนภาษาไทยเพื่อใช้สอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นมูลจนถึงประถม 4 ท่านใช้เวลาเขียนนานสิบเอ็ดปี
โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจแก้

หนังสือชุดนี้เรียกว่า ดรุณศึกษา เป็นแบบเรียนหนังสือนิทานมีภาพประกอบ ส่วนใหญ่เป็นกลอน
และโคลง เช่น พระยากง พระยาพาล ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2453

ตัวอย่างเช่น

“วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้า
เป็นสำเภาอันโสภา ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบฯ” (ดรุณศึกษา เล่ม 3)

ดรุณศึกษาเล่มแรกเป็นหนังสือที่ระลึกในงานพระบรมศพของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วย

ในงานบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2468
ฟ. ฮีแลร์รับหน้าที่ประพันธ์และอ่านคำถวายพรชัยมงคล ในนามมิซซังโรมันคาทอลิค

ฝีมือและผลงานด้านการประพันธ์รอบด้านของนักบวชผู้นี้ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2474
เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงจัดตั้งสมาคมวรรณคดี ได้เชิญ ฟ. ฮีแลร์เป็น
กรรมการด้วย เป็นปราชญ์ต่างชาติคนเดียวที่เป็นกรรมการของสมาคมไทย

…………………

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในปี พ.ศ. 2475 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงถูกคณะผู้ก่อการจับกุมเป็นตัวประกัน และต่อมาทรงลี้ภัยการเมือง
เสด็จไปประทับที่ปีนัง ฟ. ฮีแลร์ก็ถูกทางการเพ่งเล็งด้วย แต่ท่านไม่แยแสอำนาจการเมืองใหม่
เห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์ในปีถัดมา เกิดกบฏบวรเดช พระยาศราภัยพิพัฒหนึ่งในผู้ก่อการ
ถูกจับเข้าคุก บุตรชายของพระยาศราภัยฯถูกทางการคุกคามให้ออกจากโรงเรียนอัสสัมชัญ
ฟ. ฮีแลร์ เขียนข้อความบนนามบัตรฝากภรรยาของพระยาศราภัยฯส่งไปถึงนักโทษว่า
‘เรื่องบุตรนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะได้รับการศึกษาเหมือนกันกับเมื่อเจ้าคุณยังมีอิสรภาพ
อยู่ทุกประการ’

ท่านรักและเมตตาศิษย์ทุกคน ศิษย์คนใดเดือดร้อน ก็ช่วยเหลือเต็มกำลังเสมอ

ฟ. ฮีแลร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้ปกครอง ท่านอบรมสั่งสอนศิษย์ โดยเน้นศีลธรรม
และจริยธรรม สอนให้เด็กอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู

ท่านปกครองเด็กสมฉายาของ ‘โจโฉ’ คือด้วยทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน

ไม้แข็งคือไม้แข็งจริงๆ เป็นหวายเส้นโตที่หวดก้นเด็กซนโดยไม่เลือกว่าเป็นลูกใคร

ไม้อ่อนคือการเอาใจใส่นักเรียน เป็นกันเอง สำหรับนักเรียนโต ท่านใช้สรรพนาม
“อั๊ว-ลื้อ” ในการคุย

ลูกศิษย์ของท่านได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตจำนวนมาก เช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ

…………………

เมื่อภราดาคณะเซนต์คาเบลียลดำเนินการศึกษาในไทยครบห้าสิบปี มีการจัดสร้างอาคาร
สุวรรณสมโภช ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบและสร้างสรรค์งานประติมากรรม
ชิ้นหนึ่งประดับอาคาร โดยให้สื่อตามบทกวีที่ท่านแต่งว่า

จงตื่นเถิดเปิดตาหาความรู้
เรียนคำครูคำพระเจ้าเฝ้าขยัน
จะอุดมสมบัติปัจจุบัน
แต่สวรรค์ดีกว่าเราอย่าลืม

มันกลายเป็นประติมากรรมนูนสูงงดงามขนาดใหญ่ อยู่คู่โรงเรียนอัสสัมชัญจนทุกวันนี้

ฟ. ฮีแลร์ทำงานทั้งชีวิตโดยไม่ยอมเกษียณ ในวัยเจ็ดสิบกว่า ท่านยังไม่ยอมเลิก ครั้งหนึ่ง
มาสเตอร์เฉิด สุดารา ลูกศิษย์คนหนึ่ง ถามท่านว่า “อาจารย์อายุมากแล้ว ไม่คิดจะกลับบ้าน
ที่ฝรั่งเศสหรือ”

ท่านตอบว่า “อั๊วจะกลับไปทำไม พ่อแม่พี่น้องก็ตายหมดแล้ว ที่หมู่บ้านอั๊วก็ไม่รู้จักใครอีกเลย
อั๊วอยู่เมืองไทยสุขสบายดีเหมือนคนไทยคนหนึ่ง อากาศก็ชิน อาหารก็ชิน รู้จักคนเยอะแยะ
ฝรั่งเศสเป็นบ้านเกิด แต่สยามเป็นเมืองนอนและเรือนตาย อั๊วจะฝากกระดูกไว้ในแผ่นดินไทยนี่แหละ”

วัยชราของท่านไม่สนุกนัก เพราะโรคเบาหวานทำให้ท่านมองไม่เห็นอยู่หลายปี โรงเรียนจัดเวร
นักเรียนไปอ่านหนังสือให้ท่านฟัง บ่อยครั้งท่านก็แต่งบทกวีโดยบอกให้จด

หลังการผ่าตัดเยื่อหุ้มตาโดยแพทย์โรงพยาบาลศิริราช ท่านสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง

ฟ. ฮีแลร์ผ่านชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ถึงแก่กรรมในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2511 อายุ 87 ปี

ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ท่านอุทิศตนเพื่อชาวไทย เป็นครูผู้ให้ความรู้ เป็นแสงนำทาง เป็น ‘สำเภาอันโสภา’
ลำที่พาศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าข้ามฝั่งแห่งความไม่รู้

สังขารของท่านฝังในแผ่นดินที่ท่านถือเป็น ‘เมืองนอนและเรือนตาย’

ส่วน ‘สำเภาอันโสภา’ จอดไว้กลางใจของชาวไทยชั่วนิรันดร

…………………
เครดิตบทความจากคุณ​
วินทร์ เลียววาริณ

:s002: :s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 11, 2022 7:23 pm

( 3 )

………คอร์ทนีย์ถูกตำรวจเรียกให้จอดรถข้างทาง เพราะเธอไม่ได้ต่อทะเบียนรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายนั้นเดินมาขอดูใบอนุญาตและทะเบียนรถ ระหว่างที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาควานหาเอกสาร
เหล่านั้น ไท-ลูกชายตัวน้อยของเธอ ก็ส่งเสียงทักทายนายตำรวจ จากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มสนทนากัน
อย่างสนุกสนาน...
.
ในที่สุด เธอก็หาเอกสารได้จนครบ ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาเดินกลับไปที่รถ ใช้เวลาตรวจสอบ
ข้อมูลและเขียนใบสั่ง คอร์ทนีย์เริ่มกังวลใจว่าเธอต้องโดยเสียค่าปรับมหาศาลแน่ เพราะไม่ต่อ
ทะเบียน และอาจโดนลากรถไปด้วย...
.
ไม่นานนักเขาก็เดินกลับมาที่รถของคอร์ทนีย์อีกครั้ง เธอโดนใบสั่ง 2 ใบ รวมค่าปรับ 100 กว่าเหรียญ
แต่เขาแนะนำว่าไม่ต้องจ่ายตามใบสั่งนี้ ให้ไปขึ้นศาลแทน เพราะจะได้ลดหย่อน พร้อมทั้งอธิบายขั้น
ตอนต่าง ๆ ให้ฟัง
.
นี่เป็นเรื่องปกติของอเมริกา ค่าปรับเมื่อทำผิดกฎจราจรนั้นสูงมาก ถ้าจ่ายไม่ไหว หรือคิดว่าตัวเองไม่ผิด
ก็ให้ไปอธิบายที่ศาล ถ้าข้อหาไม่รุนแรงหรือไม่ตั้งใจทำผิดจริง ส่วนใหญ่ศาลยกโทษให้ ไม่ปรับเลย
สักเหรียญก็มี ผมเองเคยเจอค่าปรับสูงสุดประมาณ 50 เหรียญ ก็ยอมเสียค่าปรับเลย -ไม่ได้ไปศาล
เพราะการมีอุบัติเหตุหรือโดนปรับจากตำรวจบ่อย ๆ จะมีผลต่อการซื้อประกันรถและค่าเบี้ยประกัน
จะสูงขึ้นด้วย (การจ่ายค่าปรับ จะผ่านทางไปรษณีย์, ออนไลน์ หรือที่ศาล ไม่มีการจ่ายตรงกับตำรวจ)
.
นาทีนั้น คอร์ทนีย์โล่งใจมาก - -ได้ใบสั่ง 2 ใบ ค่าปรับไม่มหาศาลจนจ่ายไม่ไหว ยังไงก็ดีกว่าโดนลาก
รถไป เธอนึกขอบคุณพระเจ้าในใจ ที่เรื่องไม่หนักหนารุนแรงกว่าที่คิด มิเพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายนั้น ยังขออนุญาตเธอว่า ให้ไท-ลูกชายของเธอลงจากรถมาถ่ายรูปคู่กับเขาได้ไหม คอร์ทนีย์ยินดียิ่ง
เขาใจดีถึงขนาดถอดหมวกของเขาให้ไทสวมตอนถ่ายรูป - -
.
วันที่ดูเหมือนจะเลวร้าย กลับกลายเป็นวันดี ๆ ในความทรงจำ โดยเฉพาะภาพนั้นจะตราตรึงในใจไท-
ลูกชายของเธอไปจนโต และเรื่องในวันนี้ ก็จะถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสุข!
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้น รู้ดีว่า การเป็นผู้รักษากฎหมาย ไม่ใช่การไล่จับคนทำผิด ไม่ใช่การเคร่งครัด
ในตัวบทอย่างเดียว หากต้องใช้หัวใจในการช่วยเหลือดูแลและแก้ปัญหาให้ได้ผลจริงด้วย - - และการ
ที่เขาถ่ายรูปกับไท ก็เพื่อให้เด็กน้อยไม่กลัวตำรวจ ไม่มีปมฝังใจว่าถูกตำรวจจับ เขาทำให้ภาพจำของ
วันนั้นที่คุณแม่ทำผิดกฎหมาย ให้กลายเป็นภาพจำที่สวยงามแทน - -
. . . . .
.
วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2022) สัปดาห์ที่ 15 ของเทศกาลธรรมดา เป็นบทอ่านจากพระวรสาร
ตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา (ลก 10:25-37) กล่าวถึง นักกฎหมายคนหนึ่งได้ถามเพื่อจับผิดพระเยซู
ถึงเรื่องธรรมบัญญัติ ซึ่งก็คือกฎหมายของโมเสส เขาถามว่าจะทำอย่างไรถึงได้มีชีวิตนิรันดร์ พระเยซู
ย้อนถามว่า แล้วในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร เขาตอบได้ถูกต้องว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์
เหมือนรักตนเอง”
.
จากนั้น เขาถามอีกว่า แล้ว 'เพื่อนมนุษย์' ของเขาคือใคร? พระเยซูจึงทรงเล่าเรื่องอุปมา ‘ชาวสะมาเรียใจดี’
ให้ฟัง - -
.
ชายคนหนึ่งถูกปล้นขณะเดินทาง โดนทุบตีอาการสาหัส สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมา เห็นคนบาดเจ็บ
ก็เดินเลี่ยงผ่านเลยไป หลังจากนั้นไม่นาน ชาวเลวีคนหนึ่งเดินผ่านมา ก็เดินเลี่ยงผ่านไปเหมือนคนแรก
ต่อมาชาวสะมาเรียเดินผ่านมา เห็นแล้วก็สงสาร เข้าไปช่วยทำแผลให้ และพาไปพักรักษาตัวที่โรงแรม
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเขาต้องเดินทางต่อ ยังอุตส่าห์ทิ้งเงินไว้ให้เจ้าของโรงแรมช่วยดูแลอีกด้วย
.
พระเยซูตรัสถามว่าในสามคนนี้ ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของชายผู้ถูกทำร้าย นักกฎหมายตอบถูก และเชื่อ
ว่าทุกคนก็ตอบถูก - - ‘คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา’ ซึ่งก็คือชาวสะมาเรียผู้ใจดีนั่นเอง!
.
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงสองคนแรกที่เดินผ่านไปไม่ยอมช่วยเหลือนั้น ทั้งคู่อยู่ในฐานะและตระกูลสงฆ์+
จึงถือโอกาสอ้างกฎอย่างเคร่งครัด ไม่ทำโน่นทำนี่ซึ่งเกรงจะเป็นมลทิน ให้ความสำคัญกับกฎบัญญัติ
เหนือกว่า ‘เพื่อนมนุษย์’ เลยเดินผ่านไปโดยไม่แสดงความเมตตาแต่อย่างใด - -
.
พระเยซูเจ้าต้องการชี้ให้เห็นว่า การรัก 'เพื่อนมนุษย์' ที่แท้ตามธรรมบัญญัตินั้น ต้องไม่จำกัดแค่เพื่อน
เชื้อชาติเดียวกัน, ฐานะเท่าเทียมกัน, คนรู้จัก เป็นญาติมิตรพี่น้อง หรือมีผลประโยชน์ต่อกันเท่านั้น
หากหมายถึงคนแปลกหน้าที่แค่ผ่านทางมาพบโดยบังเอิญด้วย...
.
อย่างเช่น นายตำรวจที่สั่งปรับคอร์ทนีย์ เขาใช้กฎหมายเพื่อให้เธอรับรู้ความผิดแค่เพียงเล็กน้อย
นอกเหนือจากนั้น เขาใช้หัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักล้วน ๆ แสดงความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
อย่างเห็นอกเห็นใจ ไม่ได้ใช้อำนาจมาบังคับกฎหมายเพื่อความสะใจของตัวเอง
.
เหมือนกรณีของเดลที่ไม่มีคาร์ซีทให้ลูกสาวนั่งในรถ (ที่เคยเขียนเล่าไปแล้ว) นายตำรวจคนนั้น
นอกจากไม่จับหรือให้ใบสั่งต้องเสียค่าปรับแล้ว เขายังใช้เงินตัวเองซื้อคาร์ซีทให้เดล ซึ่งกำลังตกอยู่
ในสภาพยากลำบากด้วย - - เขาบอกเดลว่า “ผมแค่ทำงานตามหน้าที่ของผมเท่านั้นเอง... มันจะมี
ประโยชน์อะไรถ้าให้ใบสั่งคุณ แล้วทำให้คุณยิ่งตกอยู่ในหลุมลึก ยากจะกลับขึ้นมาได้”
.
และไม่ต่างจากอีกหลาย ๆ คนที่ซื้ออาหารให้คนไร้บ้านกิน, ซื้อรองเท้าให้เขาสวมใส่ พวกเขาเหล่านี้
ต่างเป็นชาวสะมาเรียใจดีในยุคปัจจุบัน
.
เมื่อเราทั้งหลายตอบถูกว่า 'เพื่อนมนุษย์' คือคนที่แสดงความเมตตาต่อกัน รักเขาเหมือนรักตัวเราเอง -
- พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 11, 2022 7:29 pm

( 4 )

………ชัค ฟีนีย์ กับภรรยา เฮลกา เช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่ ซาน ฟรานซิสโก เขาไม่มีรถยนต์
ไม่มีข้าวของหรู ไม่มีเครื่องประดับ เขาสวมนาฬิกาพลาสติกคาสิโอเรือนละ 15 เหรียญ

เขามักเดินทางชั้นประหยัด หิ้วของด้วยถุงพลาสติก กินอาหารง่าย ๆ ไม่แพง ไม่เข้าภัตตาคารหรู
ดื่มไวน์ราคาถูกเกือบที่สุดในร้าน

ดูเผินผ่าน ชายวัยใกล้ 90 ผู้นี้เป็นคนยากจน

แต่เขาเคยมีทรัพย์สินมากถึงแปดพันล้านดอลลาร์ และละลายมันไปหมดสิ้น

ชัค ฟีนีย์ บริจาคทรัพย์สินมูลค่าแปดพันล้านดอลลาร์ให้สังคม เพื่อพัฒนาโลกให้ดีขึ้น

.

ชัค ฟีนีย์ เป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายไอริช เติบโตที่ถิ่นคนไอริช ณ อลิซาเบธ เมืองคนงานใน
นิว เจอร์ซีย์ เขาภูมิใจรากเหง้าของเขามาก และมีความผูกพันกับแผ่นดินต้นกำเนิด

ระหว่างสงครามเกาหลี ชัคเป็นเจ้าหน้าที่วิทยุในกองทัพอากาศ เรียนจบมหาวิทยาลัยคอร์แนลด้วย
ทุนของกองทัพ จบปี 1956 เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อเรียนต่อ แต่เข้าไปทำธุรกิจโดยขายสินค้า
ให้ทหารเรือที่ไปประจำท่าเรือต่าง ๆ

ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1960 ชัคร่วมทุนกับเพื่อนชื่อ รอเบิร์ต มิลเลอร์ ก่อตั้งบริษัท Duty Free Shoppers
จำหน่ายเหล้าบรั่นดี ซิการ์ น้ำหอม เพชรพลอย ฯลฯ ที่ฮ่องกง ให้นักท่องเที่ยวในร้านดิวตี-ฟรีของ
สนามบินต่าง ๆ ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม สี่ปีต่อมา ร้านของพวกเขาขยายไป
27 ประเทศ พนักงานสองร้อยคน

แม้ว่าความคิดเรื่องร้านดิวตี-ฟรีเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1947 ที่ไอร์แลนด์ แต่ด้วยฝีมือของ ชัค ฟีนีย์
และเพื่อนที่ทำให้มันแพร่หลายไปทั่วโลก

ในปี 1964 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดประเทศหลังสงคราม ชาวญี่ปุ่นสามารถท่องโลกได้ ด้วยเงินตรา
มากมาย นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นโลดแล่นไปทั่วโลก จุดที่นิยมคือฮาวายและฮ่องกง ฟีนีย์จ้างพนักงาน
สาวชาวญี่ปุ่นและไกด์มาทำงาน กิจการขยายตัวออกไปในวงการอื่น ร้านดิวตี-ฟรีผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ทั่วสหรัฐฯและเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก ทำเงินมหาศาล

ธุรกิจของเขาไปโลดมาก จนนิตยสารฟอร์บส์จัดเขาเป็นคนรวยอันดับที่ 31 ในอเมริกา

แต่ฟอร์บส์พลาดสองเรื่อง ข้อหนึ่ง เขารวยกว่าตัวเลขที่ฟอร์บส์คำนวณ และ ข้อสอง ความรวย
ระดับอภิมหาเศรษฐีของเขาอันตรธานไปแล้ว

.วันที่ 23 พฤศจิกายน 1984 ชัคกับภรรยาคนแรกและทนายความ บินไปที่นัสซอ เมืองหลวง
ของบาฮามาส์ ศูนย์กลางการเงินของโลก กระทำเรื่องลับ ที่นั่นเขาเซ็นเอกสารโอนถ่ายทรัพย์สิน
ทั้งหมดของเขา หุ้น 38.75 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจดิวตี-ฟรี ของเขาฯลฯ ไปไว้ในมูลนิธิที่เขาเพิ่งก่อตั้ง
คือ Atlantic Philanthropies

แล้วกลับบ้าน

เขาเป็นอภิมหาเศรษฐีแค่ชื่อเท่านั้น ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่เพื่อนของเขา

มันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเขาและคนล้าน ๆ คนในโลก

หลังจากนั้น ชัค ฟีนีย์ ก็ดำเนินธุรกิจไปตามเดิม หาเงิน แต่เงินทั้งหมดที่หาได้ถูกมูลนิธิลึกลับนี้
นำไปช่วยเหลือคนทั้งโลก ส่วนใหญ่ในเรื่องการศึกษา

มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตแบบชาวไอริชในอเมริกา ที่สอนให้ประหยัดและช่วยเหลือกัน
ชัคเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เรียบง่าย พอเพียง พ่อแม่ช่วยเหลือชาวบ้าน แม่เป็นนางพยาบาล
สอนเขาด้วยการกระทำ ช่วยเหลือคนอื่นเสมอ

เขายังได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเขียนของ เดล คาร์เนกี ชื่อ The Gospel of Wealth ที่เขียนว่า
“มหาเศรษฐีคือคนดูแลทรัพย์สินให้คนจน”

เขาเชื่อว่าทางช่วยเหลือทั้งบ้านเกิดเมืองนอนของเขาและโลกคือการศึกษา ตลอดสามสิบปีต่อมา
เขาบริจาคเงินมหาศาลเข้าสถาบันศึกษาต่าง ๆ และขอให้สถาบันไม่เผยชื่อผู้บริจาค มหาวิทยาลัย
และองค์กรการกุศลจำนวนมากไม่รู้ว่าเงินมาจากไหน จนบางครั้งเชื่อว่ามันเป็นเงินของพวกมาเฟีย

เขาให้เงินจำนวนมากแก่มหาวิทยาลัยในไอร์แลนด์ นอกจากนี้ยังบริจาคไปที่เวียดนาม ออสเตรเลีย
คิวบา แอฟริกาใต้

.แม้จะส่งเงินทองให้มูลนิธิแทบหมดแล้ว ชัคยังทำงานหาเงินต่อไปอย่างเข้มข้น ขยายธุรกิจดิวตี-ฟรี
หาตลาดใหม่ ๆ เขารักการหาเงิน แต่ไม่ใช่เพื่อสนองตัณหาการใช้จ่ายของตัวเอง

ชัคบอกว่า “ผมไม่ได้เกลียดเงิน แต่คุณใช้เงินได้เท่าที่คุณใช้นั่นแหละ”

มหาเศรษฐีจำนวนมากจ้างนักการตลาดประชาสัมพันธ์ตนเองเมื่อทำเรื่องการกุศลสักอย่าง แต่ต่าง
จากคนรวยที่บริจาคจำนวนมาก เขาไม่เคยให้ชื่อของเขาปรากฏบนป้ายติดอาคารที่เขาสร้าง
ทั้งหลาย เขาเก็บมันเป็นความลับ

ทว่าความลับของเขาก็แตกในปี 1997 เมื่อเขาและหุ้นส่วนขายหุ้น ทำให้โลกรู้ว่าทรัพย์สิน
ของเขาเป็นขององค์กรการกุศล

นิตยสาร Forbes ให้สมญาเขาว่า เจมส์ บอนด์ แห่งการกุศล เพราะเขาเดินทางไปทั่วโลก
ปฏิบัติภารกิจลับ อุทิศเงินเพื่อการศึกษา สาธารณสุข สิทธิมนุษยชน

ในเดือนมีนาคม ปี 2003 เขาก้าวไปอีกขั้น โดยเซ็นมอบยกทรัพย์สินทั้งหมดในชีวิตของตน
ให้องค์กรการกุศล

ชัค ฟีนีย์ เชื่อในปรัชญาที่เขาเรียกว่า Giving While Living คนเราควรให้ตอนที่ยังมีชีวิต
ไม่ใช่หลังตายไปแล้ว

เขาอาจเป็นมหาเศรษฐีคนเดียวในโลกที่ให้เงินเพื่อการกุศลออกไปเกือบหมดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

เขาบอกคนอื่นว่า อย่ารอจนแก่หรือตายค่อยให้เงินคนอื่น ให้เงินไปตอนที่ยังมีแรง สายสัมพันธ์
และอิทธิพลที่จะสร้างให้มันเกิดขึ้น

เขาบอกว่า “ถ้าคุณให้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เงินจะทำงานอย่างรวดเร็ว ทุกคนจะเห็นการกระทำและ
ผลลัพธ์ ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เราเป็น ปัญหาที่เราแก้คือปัญหาที่เราจัดการทำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด
ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้จริง ๆ”

เขาเป็นนักลงทุน มีวิสัยทัศน์และจมูกไวในเรื่องธุรกิจ และเขาก็ใช้วิสัยทัศน์ของนักธุรกิจในการกุศล

ชัค ฟีนีย์ บอกว่า คนมีเงินมากมีหน้าที่บางอย่างเพื่อสังคม เขาเห็นว่าจุดหมายของความร่ำรวย
ก็คือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติ

ภาพลักษณ์ของเขาที่คนอื่นมองคือคนประหยัด แต่ความจริงเขาเป็นคนที่ใช้เงินอย่างฉลาดต่างหาก
เขาใช้เงิน ไม่ให้เงินใช้ตัวเขา เขาประหยัดในเรื่องที่สมควรประหยัด แต่ไม่ประหยัดหากมองเห็นว่า
สมควร เช่น ครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ที่เวียดนาม เขาให้ลูกน้องกลับสหรัฐฯด้วยเครื่องบินคองคอร์ด เพื่อให้
ลูกน้องกลับบ้านทันฉลองวันหยุดกับครอบครัว

ส่วนตัวเขาเอง มักบินชั้นประหยัด เขาบอกว่าบินชั้นหนึ่งหรือชั้นประหยัด ก็ถึงจุดหมายพร้อมกัน

เช่นเดียวกัน สวมนาฬิกาโรเล็กซ์หรือคาสิโอ ก็บอกเวลาได้เหมือนกัน

ชัค ฟีนีย์ เป็นแรงบันดาลใจให้มหาเศรษฐีจำนวนมากเดินตามรอย เช่น วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ และ
บิล เกตส์ รวมไปถึง อามิต จันทรา มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ผู้บริจาคเงินส่วนใหญ่ของตนเพื่อสร้าง
โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล

ชัคไม่ต้องการ ‘บีบ’ มหาเศรษฐีคนใดให้ทำตาม หรือตัดสินคนที่ไม่ยอมคืนกำไรให้สังคม
แต่เขาบอกว่า ถ้าทำอย่างที่เขาทำ “มันสนุกมาก”

มันสนุกมากที่บริจาคจนเหลือเงินเพียงสองล้านเหรียญ หรือเท่ากับ 0.001 เปอร์เซ็นต์ของ
ทรัพย์สินแปดพันล้านที่เขาเคยครอบครอง

มีคนถามเขาว่าทำไปทำไม เขาตอบว่า “มันเป็นสิ่งถูกต้องที่จะทำ”

และมันเป็นสิ่งถูกต้องที่ใช้ชีวิตง่าย ๆ พอเพียง

เพราะ “คุณสามารถสวมกางเกงครั้งละตัว”

.

จากหนังสือใหม่เรื่อง ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข
โดย วินทร์ เลียววาริณ

:s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 22, 2022 3:23 pm

( 5 )


ต้นมะเดื่อ (Fig Tree)
ต้นมะเดื่อ ปรากฏในพระคัมภีร์มากกว่า 50 ครั้ง ตั้งแต่ ปฐมกาล จนถึงวิวรณ์

ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ต้นมะเดื่อปรากฏครั้งแรกในปฐมกาล เมื่อมนุษย์รู้ว่า ตัวเปลือยเปล่าอยู่
พวกเขาจึงเอาใบมะเดื่อมาสำหรับปกปิดร่างกาย จึงนับว่า “มะเดื่อ” เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์มาก
เป็นครั้งแรก

“ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่อง
ปกปิดร่างไว้” (ปฐมกาล 3:7)

พระธรรมปฐมกาลกล่าวถึงต้นไม้ 2 ต้นว่า ต้นไม้แห่งชีวิต ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดี และความชั่ว
โดยไม่ได้ระบุว่าชื่ออะไร ดังนั้น มะเดื่อจึงเป็นชื่อของต้นไม้ครั้งแรก

มะเดื่อ ถือว่า เป็น ผลไม้ เป็นพืชที่สำคัญในพื้นที่ของชนชาติอิสราเอล นิยมปลูกกันในเชิงพาณิชย์ ทาง
เศรษฐกิจดังที่มีปรากฏอยู่ในรายการผลผลิตทางเกษตร ที่นำมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกัน และส่งออก
ในพระธรรมเอเสเคียล 27:12-36 ซึ่งกล่าวถึงการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากันในสมัยนั้น หนึ่งใน
สินค้าของ อิสราเอล คือ ต้นมะเดื่อ และผลของมะเดื่อ ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของอิสราเอล และยัง
พบในพระคัมภีร์อีกหลาย ตอนที่กล่าวถึงต้นมะเดื่อ ในด้าน เชิงพาณิชย์ ทางเศรษฐกิจ
ในสมัยพระคัมภีร์เก่า 1 พกษ 4:25 / 1 พศด 27:28/ สดด 78:47 / สดด 105:33

พระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายก็ได้กล่าวถึงเรื่องต้นมะเดื่อ
วิวรณ์ 6:13 “และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่ออันถูกลมกล้าพัด
จนทำให้ผลที่ยังไม่ทันสุกหล่นลงหมด”

เป็นคำเปรียบเทียบของ ยอห์นที่ได้เห็นนิมิตนั้น เพื่อบรรยายให้เราเห็นภาพตามสิ่งที่ท่านได้พบเห็นนั้น
หมายความว่า ยอห์น ได้เห็นภาพของต้นมะเดื่อที่ถูกลมพายุแรงๆพัดจนทำให้ผลของมันตกเต็มพื้นดิน
อยู่บ่อยหลัง นั้นแสดงว่า ต้นมะเดื่อค่อนข้างมีลูกดกมากทีเดียว  และ คำเปรียบเทียบนี้ บงบอกถึงการ
คุ้นเคยกับต้นมะเดื่อ แสดงว่า คนอิสราเอลนั้น เดินไปไหนมาไหน ก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับ ต้นมะเดื่อ
ดูได้จาก  ลูกา 19:1-10 ที่กล่าวถึงชายที่ ชื่อศักเคียส

3 ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่า พระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย

4 เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อ เพื่อจะได้เห็นพระองค์เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
แสดงว่า ต้นมะเดื่อนั้น เป็นต้นไม้ที่ ขึ้นอยู่ทุกที่ของอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นในเมือง ซึ่ง ศักเคียสอยู่
หรือนอกเมือง ที่พระเยซูทรงวางมือให้มันเหี่ยวแห้งตาย เพื่ออุปมาให้เหล่าสาวกได้เรียนรู้

ต้นมะเดื่อนั้น เป็นต้นไม้ที่ ชนชาติอิสราอยู่กับมันมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล เป็นที่รู้จักกันดี ถ้าเปรียบเทียบ
กับบ้านเรา ก็ คงจะเหมือนต้น มะละกอ หรือ กล้วย  ที่มีกันเกือบทุกบ้าน ปลูกเอาไว้กิน  การมีต้นมะเดื่อ
ในแผ่นดินยังบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินอีกด้วย ดั่งพระวจนะคำของพระเจ้าได้กล่าวเอาไว้
กดว 13:23 / กดว 20:5 / พบญ 8:8 /วนฉ 9:10 / วนฉ 9:11 

และในพระคัมภีร์ ยังมีชื่อที่ทำให้เชื่อว่า น่าจะเป็นของหวานได้อีกด้วย ในชื่อ “ขนมมะเดื่อ” ซึ่งปรากฏ
ในพระธรรม 1 ซมอ 25:18  / 1 ซมอ 30:12 / 2 พกษ 20:7 / 1 พศด 12:40

พระธรรมเหล่านี้ ทำให้ท้ายเชื่อว่า ผลของมะเดื่อ เป็นอาหารที่รู้จักกันดีใน ชนชาติอิสราเอล และเป็น
ผลไม้ที่หากินได้ง่าย เช่นเดียวกับ องุ่น ที่มีเยอะมากเช่นกันในพระคัมภีร์ เพราะอย่างนั้น ต้นมะเดื่อจึงถูก
ใช้ ในเชิงอุปมา เพื่อให้คนฟังได้เห็นภาพ และคิดตามได้ง่ายขึ้น  ดั่งพระธรรม  สภษ 27:18  / พซม 2:13 

นอกจากนั้นในพระคัมภีร์มีการบันทึกถึงเรื่องของต้นมะเดื่อ ซึ่งมีความหมายต่างๆกัน และล้วนมีความลึกซึ้ง
มากมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ความเป็นไป และอนาคตของประเทศชาติ อีกทั้งยังมีความหมายที่เล็งถึง
สันติภาพอีกด้วยดังเช่น  มีคาห์ 4:3-4

มะเดื่อเป็นตัวอย่างหนึ่งที่พระเจ้ามักจะใช้เป็นอุปกรณ์สอนใจ ในพระคัมภีร์พระเจ้าทรงเปรียบเทียบเป็น
คำอุปมาเรื่องมะเดื่อดีและมะเดื่อเลว (เยเรมีย์24) พระคัมภีร์มักจะเปรียบเทียบประเทศอิสราเอล
เปรียบเสมือนต้นมะเดื่อ เช่น

พระธรรมโฮเซยา 9:10 บันทึกว่า “เราพบอิสราเอลเหมือนพบผลองุ่นอยู่ในถิ่นทุรกันดาล เราพบ
บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย เหมือนพบผลมะเดื่อรุ่นแรกที่ต้นมะเดื่อเมื่อออกในฤดูแรก“

“ดังนั้นต้นมะเดื่อซึ่งมีผล คือ ประเทศอิสราเอล ซึ่งสร้างผู้รับใช้ของพระเจ้า ได้แก่ เยเรมีย์ เอลียาห์
หรือ ดาเนียล แต่บ่อยครั้งประเทศอิสราเอลก็ละทิ้งพระเจ้า ชาวอิสราเอลทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย

มัทธิวได้ทันทึกเกี่ยวกับพระเยซู และต้นมะเดื่อในเหตุการณ์เดียวกัน เมื่อพระเยซูเห็นต้นมะเดื่อไม่มีผล
มีแต่ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้นว่า ‘เจ้าจงอย่าผลิผลอีกต่อไป’ ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป”
(มัทธิว 21:18-19)

พระเยซูมีพระประสงค์ที่จะเห็นชนชาติอิสราเอลได้รับความรอด เช่นเดียวกับที่พระเยซูต้องการเห็น
พวกเราได้รับความรอด พระองค์จึงยอมสละชีวิตของพระองค์เองตายแทนความผิดบาปของเรา
เพียงแต่เขาให้เราเชื่อและวางใจในพระองค์ แล้วเราจะได้รับผลแห่งความเชื่อนั้น คือพระพร
เปรียบเสมือนผลของต้นมะเดื่อนั่นเอง

สำหรับผู้ซึ่งปฎิเสธพระเยซูนั้น ถึงเขาจะมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งชีวิตของเขาต้องสิ้นสุดลงโดยไม่มีโอกาส
พบกับชีวิตนิรันดร์ซึ่งพระเยซูจะมอบให้แก่เขา เปรียบเสมือนต้นมะเดื่อซึ่งเหี่ยวแห้งไปในที่สุด

ต้นมะเดื่อมีผลถูกพิจารณาว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับชนชาติอิสราเอล
ในทำนองเดียวกันถ้ามะเดื่อไม่เกิดผล ก็จะถูกสาปให้ตายไป

ต้นมะเดื่อเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของความเป็นหมันอิสราเอล (ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง)
พวกเขาเคร่งพิธีกรรมทางศาสนาภายนอก แต่จิตวิญญาณเป็นหมันเพราะบาปของพวกเขาที่ปราศจาก
ความเชื่อในพระเยซูคริสต์

บทเรียนจากต้นมะเดื่อนั้นคือเราควรจะตระหนักถึงผลพระวิญญญาณมากกว่าผลของการกระทำภายนอก

(กาลาเทีย 5:22-23) พระเจ้าปรารถนาให้เราเป็นต้นไม้ที่ดีสำแดงผลดีออกมา เมื่อเราเข้าสนิทในพระเจ้า
เราจะสะท้อนผลของพระองค์ออกมาเป็นการเกิดผลมาก (ยอห์น 15:5-8)

ในวันนี้แม้ตัวเก่าของเราจะเป็นเช่นใด คนที่ทำความบาปผิดชั่วร้าย อย่างคนเก็บภาษีเช่นศักเคียส
เขาใช้มะเดื่อเป็นอุปกรณ์ข้ามผ่านอุปสรรคเพื่อไปแสวงหาพระเยซูคริสต์ และความรอดจึงมาถึงครอบครัว
ของเขา เมื่อเขากลับใจจากบาปกลับมาหาพระองค์
ลูกา 19:1-10 / ลูกา 21:29-36
ในบทนี้ พระเจ้าทรงแสดงตัวอย่างของคนหลายๆคนที่มีพฤติกรรมเหล่านั้น (ลก. 21:31)

แล้วให้เราสำนึกว่าเวลาของพระองค์กำลังใกล้เข้า เรามีตัวแสดงเวลาที่ชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งใกล้ถึงวันนั้น
เมื่อไหร่ พฤติกรรมจิตใจของคนยิ่งตกต่ำมากขึ้นเท่านั้น จงใช้ชีวิตคริสชนให้ดีเถิด จงเตรียมพร้อม
เพื่อวันที่พระองค์จะเสด็จมา โดยระมัดระวังในการดำเนินชีวิตเสมอ (ลก. 21:34)

เพราะพระเจ้าจะไม่มีคำเตือน พระองค์จะมา ก็คือมา อย่าให้เราหลงมัวเมาไปกับกระแสของโลกเลย
ให้เราอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน ต้นมะเดื่อเป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบดังนาฬิกาของโลกที่นับถ้อยหลัง
สู่วันสิ้นยุคของโลกพระเยซูทรงทำให้เราทราบการล่มสลาย และการได้รับเอกราชของอิสราเอล
และเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สอง โดยผ่านคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ
(มัทธิว 24:32-33)

ดังนั้นแล้ว ต้นมะเดื่อใช้เปรียบเทียบถึงอะไร? ต้นมะเดื่อใช้อ้างอิงถึงอิสราเอล สถานที่ซึ่งพระเยซู
ได้เสด็จมาหาผลอยู่ถึงสามปี ตามคำพยากรณ์ที่ว่า "จงโค่นต้นมะเดื่อ"

ลูกา 13:7 เขาจึงว่าแก่คนที่รักษาเถาองุ่นว่า "นี่แน่ะ เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้ได้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ
จงโค่นมันเสีย จะให้ดินจืดไปเปล่าๆทำไม"

อิสราเอลจึงถูกทำลายในปี ค.ศ. 70 และตามคำพยากรณ์ที่ว่าต้นมะเดื่อนั้น จะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
อิสราเอลจึงได้เอกราชกลับมา หลังจากที่ล่มสลายไปแล้ว 1900 ปี เหตุใดพระเจ้าจึงทรงสำแดง
ความอัศจรรย์นี้แก่พวกเรา? ก็เพื่อที่จะให้โลกรับรู้ว่า พระคริสต์ที่เสด็จมาครั้งที่สองนั้น ทรงเริ่ม
พระราชกิจข่าวประเสริฐในปี 1948 เป็นปีแห่งการรวมชาติของประเทศอิสราเอล หมายถึง เมื่อเริ่ม
ประเทศอิสราเอลแล้ว ไม่เกินหนึ่งชั่วอายุของคน พระเยซูจะเสด็จกลับมา

เราได้เรียนรู้จากคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ (มธ.24:32-34) และใน1ชั่วอายุคนคือเวลาเท่าใด มีหลาย
แนวความคิด บ้างก็ว่า ตามที่โมเสสบอกคือ 70-80 ปี

สดุดี 90:10 กำหนดปีของข้าพระองค์คือเจ็ดสิบ หรือสุดแต่เรื่องกำลัง ก็ถึงแปดสิบ แต่ช่วงชีวิตนั้นมี
แต่งานและความลำบาก ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป

ถ้าเอา 1948+80=2028 แสดงว่าเวลาของโลกยุคเก่านี้จะไม่เกิน ปี คศ.2028 หรือเปล่า
ต้องติดตามดูกันต่อไป

เราไม่ทราบว่าพระเยซูจะมาเมื่อใด แต่เราทราบดีว่าพระองค์จะกลับมารับเราแน่ เราจึงตั้งหน้าตั้งตา
รอคอย แม้ว่าจะนานเท่าใด หรือสถานการณ์จะเป็นเช่นใด ฤดูกาลที่ผ่านไปเราต้องเผชิญสถานการณ์
อย่างไร เราสามารถชื่นชมยินดีได้กับพระองค์ดังบทเพลงเรื่องต้นมะเดื่อ ฮาบากุก 3:17-18

วิวรณ์ 22:14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต
และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู

ในวันนี้เราขอเป็นคนงานที่สัตย์ซื่อ ทำงานอย่างสัตย์ซื่อเพื่อเสนอรายงานเมื่อเจ้านายนั้นกลับมา
และเชื่อว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายที่ยิ่งใหญ่จะกลับมาพร้อมกับรางวัลที่พระองค์จะมอบให้กับเรา

สภษ.27:18 บุคคลที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผลของมัน
และบุคคลที่ระแวดระวังนายของตนจะได้รับเกียรติ

จาก   :  pattamarot.blogspot
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 27, 2022 7:19 pm

( 6 )

"UBUNTU-อูบันตู"

นักมนุษยวิทยาคนหนึ่งไปศึกษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในอัฟริกา
ขณะที่รายล้อมไปด้วยเด็กกลุ่มหนึ่ง เขาเล่นเกมด้วยการเอาตะกร้าผลไม้ ซึ่งมีผลไม้วางอยู่เต็ม
ตะกร้า แล้วเอาตะกร้านั้นวางใต้ต้นไม้ ห่างจากกลุ่มเด็กราว 50 เมตร เขาวางกติกาโดยบอกกับ
เด็กทั้งหมดว่า ใครก็ตามที่วิ่งเร็วสุดถึงตะกร้าเป็นคนแรกเป็นผู้ชนะ จะได้ตะกร้าผลไม้นั้นเป็นรางวัล

ก่อนจะให้สัญญาณเด็กวิ่ง ปรากฏว่าโดยไม่ต้องพูดอะไรกัน เด็กทั้งหมดพากันคล้องแขนกันและกัน
ทั้งสองข้างเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่ง หลังจากได้รับสัญญาณให้เริ่มได้ พวกเขาวิ่งไปพร้อมๆ กัน
และพวกเขาถึงตะกร้าผลไม้พร้อมกันทั้งหมด ทุกคนเอาผลไม้ในตะกร้ามาแบ่งปันกันทั่วหน้า ไม่มีใคร
ได้มากน้อยไปกว่าใคร แล้วต่างก็แกะผลไม้กินกันอย่างเบิกบาน

“ทำไมหนูถึงใช้วิธีวิ่งไปถึงพร้อมๆ กัน แทนที่จะแข่งขันเอาชนะเพื่อน เพื่อจะได้ผลไม้ทั้งตะกร้าไว้กิน
คนเดียว” นักมนุษยวิทยาถาม เด็กๆ ส่งเสียงตอบพร้อมกันว่า “อูบันตู”(UBUNTU) ความหมายก็คือ
“ฉันจะสุขได้อย่างไรถ้าคนอื่นเศร้า” หรือหมายความได้ว่า “ฉันเป็นอะไร เพราะเราเป็นอะไร”
(“ I AM BECAUSE WE ARE”)

เรื่องที่ไม่คาดคิด เกิดขึ้นได้เสมอใช่ไหม ว่าเราจะมีภาพในใจของเราเองว่า เด็กชนเผ่าในอัฟริกานั้น
ไร้การศึกษา อดอยาก แร้นแค้น จนแม้แต่เสื้อผ้าไม่มีจะสวมใส่

ดังนั้นต่อหน้าผลไม้เต็มตะกร้าที่ยั่วยวนใจอย่างนี้ เด็กแต่ละคนคงจะวิ่งสุดแรงเกิด เพื่อไปถึงเป็นคนแรก
จะได้คว้าตะกร้าผลไม้มาเป็นของตนเพียงคนเดียวให้ได้ แต่ที่ไหนได้ แม้แต่นักมนุษยวิทยาเองก็ยังงุนงง
จึงตั้งคำถามและได้รับคำตอบเช่นนั้น

ความอดอยากยากจน จึงไม่ใช่บทสรุปว่า จะเป็นเหตุให้พวกเขาเห็นแก่ตัว

ความแร้นแค้น ก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจที่พึงมีต่อกันและกัน

การขาดการศึกษา ไม่ได้หมายถึงว่าจะทำความดีไม่ได้

อูบันตู (UBUNTU) เป็นคำโบราณในทวีปอัฟริกา แปลตรงตัวว่า “ความเป็นมนุษย์ในคน”
ก็คือความเมตตาในตัวคนนั่นเอง ในความหมายที่กว้าง “เราเป็นมนุษย์ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะเราทุกคน
มีความเมตตาต่อกันใช่ไหมว่าเมตตาธรรมในตัวคนนั่นเอง คือแก่นแกนและความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

:s007: :s007:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ต.ค. 28, 2022 12:40 pm

( 7 )

วิญญาณ​ในไฟชำระ
ช่วยเราได้

พระคาร์ดินัลซีซาร์ บารอนเนียส (Caesar Baronius 1538-1607) บันทึกเรื่องราวของหญิง
ใจศรัทธา ผู้หนึ่งที่มีความเอื้ออาทรต่อวิญญาณในไฟชำระเป็นอย่างมาก

เมื่อเธอกำลังจะตาย
หญิงผู้นี้รู้สึกซึมเศร้าหมดหวัง จากความรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตของเธอนั้นแย่มาก
เธอเริ่มดูถูกตัวเองจากการถูกกระตุ้นให้บอกตัวเองว่า เธอหมดหวังแล้วที่จะได้รับความรอด
........
พลังแห่งนรกพยายามอย่างไม่ลดละ
เพื่อผลักดันหญิงใจศรัทธาให้สูญเสียความเชื่อ
และคิดว่าพระเจ้าของเราจะไม่มีวันเมตตาเธอ

มันพยายามทำให้เธอตกต่ำลงสู่ความสิ้นหวัง
ดังนั้น เหล่าปีศาจก็จะสามารถดึงวิญญาณของเธอไปได้

ทันใดนั้น สตรีใจศรัทธาก็มองเห็นวิญญาณหลายพันดวงมาหาเธอเพื่อช่วยเหลือเธอ

ซึ่งทำให้เธอบังเกิดความเชื่อมั่นและวางใจว่าชัยชนะในการต่อสู้จะเป็นของเธอ
และเธอจะสามารถได้รับสวรรค์เป็นรางวัล

...........
จิตใจของเธอหลุดพ้นจากความหวาดกลัวในที่สุด แต่เธอไม่รู้จักวิญญาณจำนวนมากมายเหล่านั้น

เธอจึงถามพวกเขาว่าพวกเขาเป็นใคร และก็ได้รับคำตอบว่า

“เราเป็นวิญญาณที่คุณได้ช่วยเหลือให้พ้นจากไฟชำระ
พวกเราจึงกลับมาช่วยคุณเป็นการตอบแทน
และเราจะพาคุณไปสวรรค์ในไม่ช้า”

หญิงใจศรัทธารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เสียชีวิตด้วยความสุขอย่างสงบ

.........
หากคุณพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
คือรู้สึกหมดความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า

ขอให้พิจารณาที่จะพัฒนาความเมตตาเอื้ออาทรต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระเถิด
เพราะพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พวกเขาจะพยายามช่วยคุณให้พ้นจากภาวะสิ้นหวังที่บีบคั้นคุณอยู่

พวกเขาอาจช่วยคุณในลักษณะเดียวกับที่คุณช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากไฟชำระก็ได้

จาก นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 246 ปีที่ 41 พฤศจิกายน – ธันวาคม 2022/2565 หน้า 17

Cr.แม่พระยุคใหม่
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 23, 2022 6:45 pm

( 8 )

+ พระมารดามารีย์-กระจกเงาความยุติธรรม +

เราอาจเคยได้ยินบทเร้าวิงวอนแม่พระ ที่เอ่ยสมญานามของแม่พระหลากหลายแบบ และคำหนึ่ง
ที่เราคงจำได้คือ "กระจกเงาความยุติรรม"(Speculum Justitiae) ทำไมเราจึงเรียกแม่พระอย่างนี้

2คร 3:18
"เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมใบหน้า จึงสะท้อน แสงสว่างรุ่งโรจน์ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกระจกเงา
เปลี่ยนเป็นภาพลักษณ์ เดียวกับพระองค์ ทวีความรุ่งโรจน์ยิ่ง ๆ ขึ้น เดชะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง
เป็นพระจิต"

และในบรรดาสิ่งสร้างทั้งมวลที่เป็นดังกระจกสะท้อนพระฉายาลักษณ์พระเจ้า สตรีธรรมดาต่ำต้อย
คนนี้ เป็นกระจกเงาที่สะท้อนพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าออกมาได้อย่างเที่ยงตรงชัดเจนและแจ่ม
กระจ่างที่สุด

ในอดีตหลายคนเคยมีคำถามว่า ถ้าพระเจ้าสร้างอาดัมตามพระฉายาลักษณ์ของพระองค์
แล้วเอวาที่ เกิดจากเลือดเนื้อของอาดัมอีกทีแต่รูปร่างแตกต่างกันทางสรีระในทางตรงข้ามล่ะ
ถือว่าเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าด้วยไหม ชายเท่านั้นหรือเปล่าที่เป็นพระฉายาลักษณ์
ของพระเจ้า หรือทั้งสองเพศ แต่ที่แน่ๆ เมื่อพระศาสนจักรขนานนามพระมารดามารีย์ว่า กระจกเงา
ความยุติธรรม แปลว่า สตรีคนนี้ก็คือตัวแทนของคำตอบดังกล่าวว่า ภาพสะท้อนพระฉายาลักษณ์
ของพระเจ้าที่เยี่ยมยอดที่สุด คือ สตรี ด้วยเหมือนกัน พระแม่มารีย์จึงสมกับที่บรรดาปิตาจารย์
ในสมัยแรกเริ่มพระศาสนจักรขนานนามให้ว่า "ทนายของนางเอวา" โดยแท้ พระแม่ยังเป็นตัวแทน
ยกฐานะของสตรีในฐานะความศักดิ์สิทธิ์ เหนือกว่าชายทุกคน

สิ่งนี้ไม่น่าจะแปลกอะไร เพราะเมื่อพระเยซูเจ้า พระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ ได้รับเอากายมาบังเกิด
เป็นมนุษย์ ด้วยเลือดและเนื้อจากพระมารดา ฐานะบุตรมนุษย์ที่ได้รับมาจากการประสูติและรับ
เอากายจากแม่ จึงทำให้พระบุตร เป็นลูกชายที่ "ถอดแบบแม่" ออกมาอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกที่
หลายๆคนเรียกพระองค์ว่า บุตรของมารีย์ ทั้งที่โดยปรกติชาวยิวจะพ่วงท้ายชื่อด้วยชื่อพ่อ เพราะ
ในสมัยนั้น เพื่อนบ้าน หรือ ใครก็ตามที่เห็นแม่ลูกคู่นี้ คงทักกับมารีย์ ชาวนาซาแรธ ว่า
"ลูกของเธอช่างหน้าตาเหมือนแม่จริง" สองแม่ลูกนั่งข้างกันคงเหมือนส่องกระจก แต่สักกี่คนที่จะ
รู้ว่าบุตรของมารีย์นี้ คือพระเจ้า ดังนั้นจะแปลกไหม หากพระเจ้าสร้างมารีย์ผู้นี้มา เพื่อเตรียมเป็น
ภาพสะท้อนของพระฉายาลักษณ์ของพระองค์อย่างแจ่มชัด เพราะพระบุตรกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อน
เนรมิตสร้างโลกแล้วว่า หญิงคนนี้จะได้รับเกียรติยิ่งใหญ่คือ เป็นมารดาที่พระองค์จะมารับเอา
กายบังเกิดเป็นมนุษย์

พระมารดามารีย์-กระจกเงาความยุติธรรม
โดย น. ยอห์น นิวแมน

(Cardinal John Henry Newman พระคาลดินัล ยอห์น เฮนรี่นิวแมน อดีตโปรแตสแตนท์
แองกลีกัน ที่หลังจากศึกษาเทววิทยาและประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้ ท่านได้เปลี่ยนมาเป็น
คาทอลิค และบวชจนได้เป็นถึงพระคาลดินัล ท่านได้รับการประกาศเป็นนักบุญเมื่อปีคศ. 2019

ในยามที่ท่านได้เขียนถึงพระมารดามารีย์ ท่านเขียนได้อย่างลึกซึ้ง เพราะท่านคือผู้ที่ค้นพบ
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีย์ และการสมควรเคารพพระแม่ จากการศึกษาเทววิทยาขั้นสูง
และประสบการณ์ส่วนตัว ตั้งแต่ยังอยู่ในสถานะนิกายโปรแตสแตนท์)

When our Lady is called the "Mirror of Justice," it is meant to say that
she is the Mirror of sanctity, holiness, supernatural goodness.

What is meant by calling her a mirror? A mirror is a surface which reflects.
What did Mary reflect? She reflected our Lord - but He is Infinite Sanctity.
She then, as far as a creature could, reflected His Divine Sanctity.

(Cardinal Newman)

เมื่อพระมารดาถูกเรียกว่า "กระจกเงาความยุติรรม" มันหมายความว่า แม่พระเป็น
กระจกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ความบริสุทธิ์ และความดีบริบุรณ์เหนือธรรมชาติ

จุดมุ่งหมายที่เรียกแม่พระว่ากระจกคืออะไร?
-กระจกคือพื้นผิวที่สะท้อน

แล้วพระมารดามารีย์สะท้อนอะไร?
-แม่สะท้อน องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

แต่พระเจ้าทรงเป็นความศักดิ์สิทธิ์อนันต์ ส่วนพระแม่นั้นเล่า ก็เป็นที่สุดที่สิ่งสร้างจะสามารถ
เป็นได้ คือการสะท้อนความศักดิ์สิทธิ์อันประเสริฐนั้น

พระคาลดินัล นิวแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มี.ค. 29, 2023 11:08 pm

( 9 )

เรื่องสั้น บทเรียนหลากชีวิต
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนมิถุนายน 2541
โดย H. Jackson Brown รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนเรื่อง “หนังสือเล่มน้อยคอยเตือนใจ” (Life’s Little Instruction Book)
เป็นการเขียนขึ้นจากคำแนะนำที่ให้แก่ลูกชายตอนที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและได้รับการตีพิมพ์
ในปี 2534 หนังสือเล่มนี้ติดอันดับยอดขายสูงจนผมเองยังแปลกใจ ผู้อ่านหลายท่านทยอยส่งคำคม
ที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันและคำแนะนำที่สามารถปฏิบัติตามได้มาให้มากมาย

ข้อคิดคำคมต่อไปนี้รวบรวมมาจากบุคคลหลายท่าน บางข้อไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ง่าย ๆ ข้อคิดหลาย
ข้อเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์นานปี บางข้อเป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งขึ้นเอง และในข้อคิดคำคมแต่ละ
ข้อนั้น บุคคลผู้เป็นเจ้าของได้เรียนรู้ว่า :

1) พูดโกหกขณะสบตาแม่นั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง – อายุ 9

2) อย่าอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟทั้งที่มีช้อนส้อมคาอยู่ในจาน – อายุ 13

3) ยิ่งทำผิดบ่อยเท่าไร ยิ่งฉลาดขึ้นเท่านั้น – อายุ 13

4) การหยุดพักกลางคันขณะยังทำงาน ไม่ช่วยให้ปลอดโปร่งโล่งใจเท่ากับการหยุดพัก
เมื่อเสร็จงาน – อายุ 16

5) ขนมหวานไม่กี่ขีดอาจเพิ่มน้ำหนักตัวได้เป็นกิโล – อายุ 16

6) เอ่ยทักทายกับใครสักคนในวันนี้ อาจทำให้มีเพื่อนใหม่ในวันหน้า – อายุ 18

7) ลองใส่ชุดว่ายน้ำใหม่ตอนเปียกๆ ก่อนใส่ให้คนอื่นดู – อายุ 21

8) หากยังพูดถึงแต่สิ่งที่ทำเมื่อวาน แสดงว่าวันนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไร – อายุ 21

9) คิดนานขึ้นอีกสักนาทีก่อนทำสิ่งใด จะได้ไม่ต้องวิตกกังวลอีกหลายชั่วโมงในภายหลัง –
อายุ 22

10) เมื่อพ่อแม่พูดว่า “พ่อแม่จะคิดยังไงก็คงไม่สำคัญ ลูกเป็นคนคบหาเขานี่” แปลว่าพ่อแม่
ไม่ชอบผู้ชายคนนั้น – อายุ 24

11) อย่าซื้อพรมสีขาวเป็นอันขาด หากคุณเลี้ยงสุนัขสีดำ – อายุ 30

12) เพื่อนบ้านที่ดีมีเสมอ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน – อายุ 30

13) การให้เพื่อนหรือญาติยืมเงิน ทำให้พวกเขาเป็นโรคความจำเสื่อม - อายุ 32

14) เราจะประหลาดใจเมื่อพบว่า คนที่คิดว่าจะซ้ำเติมเวลาเราล้ม กลับเป็นคนที่เอื้อมมือ
มาดึงเราขึ้นมา – อายุ 32

15) เมื่อไม่มีโทรศัพท์เข้า จงโทรศัพท์ไปหาคนอื่น – อายุ 35

16) ถ้าคุณไม่มีเวลาให้เพื่อน แปลว่าคุณไม่มีเวลาจริง ๆ – อายุ48

17) ความสุขของแม่อยู่ที่เห็นลูกมีความสุข – อายุ 49

18) จงเปิดใจ แต่อย่าเปิดมากจนเสียสติ – อายุ 54

19) นักศึกษาที่หาเงินเรียนเอง ไม่มีวันสอบตกจนถูกออก – อายุ 55

20) ชีวิตเหมือนรถจักรยานสิบเกียร์ หลายเกียร์เราไม่เคยได้ใช้ – อายุ 59

21) สถานการณ์อาจเลวร้าย แต่อารมณ์ร้ายของคุณอาจทำให้แย่ลงไปอีก – อายุ 71

22) เมื่อสิ้นวัน ฉันมีความสุขอย่างยิ่งที่จะถามตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับฉัน
ในวันนี้” – อายุ 72

23) การกระทำที่ดีงามไม่เคยสูญเปล่า อาจใช้เวลาสักหน่อยกว่าคนอื่นจะเห็น เหมือนกระเป๋าเ
ดินทางที่เลื่อนมาบนสายพาน มิช้ามินานก็จะวนกลับมาใหม่ – อายุ 77

24) โอกาสไม่เคยสูญหายไปไหน หลุดจากมือคุณ ก็ไปตกอยู่ในมือคนอื่น – อายุ 89

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 17, 2023 10:11 pm

( 10 )

เ ข า เ ห็ น แ ล ะ มี ค ว า ม เ ชื่ อ !
. . . . .
.
นีล เดอกราสส์ ไทสัน นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอเมริกันเคยกล่าวถึงความจริงว่ามีสองแบบ
คือ Objective Truth-ความจริงที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ค้นพบหรือพิสูจน์ได้ ณ ปัจจุบัน
(เน้น ณ ปัจจุบัน เพราะบางเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ - ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือไม่มีจริง)
ความจริงแบบนี้ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันก็ปรากฏดำรงอยู่- - กับ Personal Truth - ความจริง
ที่เป็นความเชื่อโดยส่วนตัวของเราเอง ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อได้
นีลยกตัวอย่างเช่น “พระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด” ซึ่งความจริงนี้ ตราบใดที่ไม่ได้บังคับให้ผู้อื่น
เชื่อก็ไม่มีปัญหาใด ทุกคนต่างมีความเชื่อของตัวเองแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา, วัฒนธรรม,
อุดมคติทางการเมือง หรือวิถีการใช้ชีวิต - -
. . . . .
.
เมื่อปีค.ศ. 2009 เอ็นริเก้ โรดริเกซได้เข้าไปใช้ชีวิตพัวพันกับพวกแก๊งนักเลง หลังจากที่พี่ชายของเขา
ถูกจับเข้าคุก - - การสูญเสียพี่ชายทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง เตลิด หลงทาง โหยหา ‘ความเป็นครอบครัว’
ที่ผิดประเภท! เขากรีดเลือดสาบานร่วมเป็นพี่น้องกับแก๊งท้องถิ่น เพราะเข้าใจผิดว่านั่นเป็นความอบอุ่น
แบบครอบครัวที่ดูแลรักกันอย่างที่เขาต้องการ แถมหาเงินได้ง่ายดายรวดเร็วด้วย...
.
ในที่สุด เขาก็พบว่า “...วิถีชีวิตของพวกแก๊งเป็นเรื่องหลอกลวงล้วน ๆ พวกเขาทำให้คุณรู้สึกว่า วางใจ
พวกเขาได้เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาใส่ใจเป็นห่วงคุณ แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือ ใช้คุณทำ
งานแทน เพื่อไม่ให้มือของพวกเขาสกปรก”
.
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของโรดริเกซมาถึง ตอนที่เขาทำร้ายผิดคน แล้วแก๊งฝ่ายตรงข้ามได้ออกตามล่าเขา
รวมถึงคุณแม่ของเขาด้วย... และในห้วงเวลาที่กลัวสุดขีดนั้นเอง โรดริเกซเล่าว่า “ผมได้พบพระเจ้าในขณะที่
กำลังเผชิญกับปัญหายากลำบากยิ่งในชีวิต และพระองค์ทรงแสดงพระองค์ต่อผม ในช่วงที่ผมกำลังต้อง
การพระองค์มากที่สุด”
.
โรดริเกซเชื่อว่า เป็นเพราะพระกรุณาของพระเจ้าที่ทำให้คุณแม่ของเขารอดชีวิตจากการถูกตามล่า
ทำร้ายถึงสองครั้ง ก่อนที่คนร้ายจะถูกจับกุมในที่สุด
.
ครั้งหนึ่ง จากสมาชิกแก๊งที่ไม่เคยเกรงกลัวใคร เขาสำนึกถึงความผิดพลาดและยอมจำนนต่อพระเจ้า - -
“ผมได้ทำสิ่งเลวร้ายมากมาย และยุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดีมาไม่น้อย - - ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ดูแลผม
และครอบครัว ให้โอกาสผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ และยังให้ความสามารถพิเศษในการเล่นดนตรี ซึ่ง
เป็นส่วนสำคัญในการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้อีกด้วย...”
.
โรดริเกซเริ่มทำงานในโรงพยาบาลปี 2012 ในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด หนึ่งปีต่อมา
เขาสำเร็จ การฝึกอบรมเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยใน ICU และปัจจุบันทำงานเป็นนักโลหิตวิทยานำส่งตัวอย่าง
เลือดจาก ห้องแล็ปต่าง ๆ - -
.
ทุกวันนี้ โรดริเกซทำงานในโรงพยาบาลมาเก้าปีแล้ว ระหว่างนั้นเขาค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถ
ทางด้านดนตรี เลยใช้เวลาว่างเล่นให้คนไข้ฟังบ่อย ๆ พร้อมทั้งสตรีมสดทาง TikTok เพื่อส่งความรัก
และความสุขผ่านทางบทเพลงของเขาให้กับคนทั่วไปด้วย ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ที่เขาร้องเป็นบทเพลงสรรเสริญ
พระเจ้า อันเป็นความหวังและแสงสว่าง...
.
โรดริเกซบอกว่า “ผมรักสิ่งที่ผมทำ ผมเชื่อว่าเป้าประสงค์ของผมในโลกนี้คือช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อผม
ร้องเพลงให้คนไข้เหล่านี้ฟัง ผมรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงถึงกัน และมันยอดเยี่ยมมาก- -
มีอยู่ครั้งหนึ่ง, ขณะที่ผมกำลังร้องเพลงให้คนไข้โคม่าฟัง เขาฟื้นขึ้นมาครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์!
มันเป็นปาฏิหาริย์จริง ๆ”
.
นั่นคือความเชื่อของโรดริเกซ!
มีหลายเรื่องในโลกนี้ ที่ยังคงลึกลับ, ยากจะเชื่อ แต่ก็มีคนเชื่อ - - หนึ่งในหลายเรื่องนั้น คือการอัศจรรย์
ที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันอาทิตย์ปัสกานี้ (วันอีสเตอร์)!
. . . . .
.
บทอ่านวันนี้ จากพระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน 20:1-9) เล่าว่า เช้าตรู่ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลา
ออกไปที่พระคูหาซึ่งฝังพระศพพระเยซูเจ้า เมื่อไปถึง ก็เห็นหินที่ปิดปากทางเข้า ถูกเลื่อนออกไปจากพระคูหา
และพระเยซูไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว นางจึงรีบวิ่งไปบอกซีโมน เปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรัก- -
พวกเขาเห็นและมีความเชื่อ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่า พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากความตายได้อย่างไร...
.
คริสตชนสืบทอดความเชื่อนี้มากว่าสองพันปีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง! ไม่ใช่เป็นเรื่องอุปมาที่เขียนเพื่อ
ให้ตีความเหมือนเรื่องอื่น ๆ ในพระคัมภีร์แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยากยิ่งสำหรับคนที่ไม่เชื่อ - -
แม้แต่อัครสาวกโทมัสที่อยู่ร่วมยุคเดียวกับพระเยซู ก็ยังไม่เชื่อว่าพระองค์คืนชีพได้หลังถูกตรึงบนไม้กางเขน
เขาบอกว่า ถ้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์หรือไม่ได้เอานิ้วแยงรอยแผลที่พระสีข้างของพระองค์แล้ว ก็จะ
ไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด! (ซึ่งต่อมาพระเยซูได้มาปรากฎต่อหน้าเขา พร้อมรอยแผล จนเขายอมเชื่อในที่สุด)
. . . . .
.
ฟรานซิส คอลลินส์ นายแพทย์นักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิดและ
เป็นผู้นำโครงการจีโนมมนุษย์ เดิมทีเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า จนวันหนึ่ง ขณะเดินป่าบนภูเขา ได้กลับใจ
เป็นคริสตชน เขียนหนังสือเรื่อง Language of God
.
ครั้งหนึ่งมีนักข่าวป้อนคำถามว่า “ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่มองหาคำอธิบายตามธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ
และต้องการหลักฐาน แล้วทำไมคุณถึงเชื่อในปาฏิหาริย์ เช่นการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า?"
.
คอลลินส์ตอบว่า “การต่อสู้ครั้งแรกของผมคือการเชื่อในพระเจ้า (ไม่ใช่เทพทั่วไปที่อยู่ใต้ธรรมชาติ)
แต่เป็นพระเจ้าที่อยู่เหนือธรรมชาติ การต่อสู้ครั้งที่สองของผมคือการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า
ดังที่พระองค์ทรงอ้างว่าเป็น แต่ทันทีที่ผมไปถึงความเชื่อนั้นแล้วว่าพระองค์ทรงเป็น ความคิดที่ว่า
พระองค์จะฟื้นจากความตายจริงหรือไม่ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอีกต่อไป...”
. . . . .
.
สำหรับผมเชื่อในพระเยซูเจ้า เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับพระองค์ โดยที่ไม่เคยรู้จักหรือสนใจมาก่อน
เรียกได้ว่าไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ! ความศรัทธาในพระองค์จึงไม่ได้มาจากการอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล - -
หากเมื่อรู้จักแล้ว, เห็นแล้ว, เชื่อแล้ว ถึงมาศึกษาเรื่องราวพระวาจาในภายหลัง ผมจึงเข้าใจดีว่า
เรื่องของความเชื่อนั้นไม่สามารถบังคับกันได้ เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคลกับพระเจ้า
โดยตรงเท่านั้น!
.
และเพราะความเชื่อแบบเดียวกันนี้เอง... ที่ทำให้โรดริเกซเปลี่ยนชีวิต ละจากวิถีคนบาปสู่เส้นทางนักบุญ
พระเยซูเจ้ามิเพียงทรงฟื้นคืนชีพเท่านั้น หากยังเลื่อนหินเปิดทาง ให้โอกาสอิสระแก่พวกเราทุกคนเป็นผู้
กำหนดชีวิตใหม่ของตัวเอง ว่าจะเลือกและตัดสินใจ- - ฝังตัวเองดำดิ่งลึกลงในความมืดของโถงถ้ำ หรือ
โผบินขึ้นสู่แสงสว่างของฟ้าใหม่...?
.
บทอ่านพระวรสารของนักบุญยอห์นในวันนี้ กล่าวถึงผู้ที่ไปถึงพระคูหาและเกิดความเชื่อ
คือนางมารีย์ชาวมักดาลา, เปโตร กับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรัก- - ที่จงใจไม่ระบุชื่อ,
บางที ‘ศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรัก’ นั้น อาจเป็นคุณก็ได้...
.
สุขสันต์วันปัสกา
Happy Easter
.
ปะการัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 05, 2023 8:07 pm

( 11 )


วันนี้ขอนำบทความที่คุณพ่อเจ้าอาวาสวัดได้เผยแพร่ในสารวัดประจำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เรื่อง “ทำไมผู้มิใช่คาทอลิกจึงรับศีลมหาสนิทไม่ได้” มีทั้งหมด 3 หน้านะคะ
ในพิธีมิสซาก่อนการรับศีลมหาสนิท เรามักจะได้ยินผู้ประกาศข้อความว่า “การรับศีลมหาสนิท
ขอสงวนไว้สำหรับคริสตชนคาทอลิกที่เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วเท่านั้น” 😇 แม้นผู้ที่เป็นคริสตชน
คาทอลิก ยังต้องเตรียมตัวมาอย่างดีก่อนการรับศีล
เพื่อสร้างความเข้าใจแก่บุคคลทั่วไปที่สนใจ และได้เข้าเยี่ยมชมที่วัดเอง หรือติดตามเพจของวัด
ได้มีความรู้และเข้าใจในความสำคัญของศีลมหาสนิทที่พวกเราคริสตชนเคารพ อย่างเช่น พิธีกรรม
ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านมา ได้มีบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมพิธีกรรมที่วัด ซึ่งทางวัดเองก็มีความยินดี
ที่ได้ต้อนรับผู้สนใจ และผู้ต่างความเชื่อได้มาร่วมพิธีกรรม จึงอยากให้บุคคลทั่วไป สามารถเข้าใจ
และปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในการเข้าพิธีกรรมด้วยเช่นกัน
ทางวัดเองเปิดรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ และวิถีชิวิตการเป็นคริสตชน
คาทอลิก หรือผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมมาเป็นครอบครัวคาทอลิก เพื่อเรียนคำสอนและหลักศาสนาคริสต์
โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมกับคุณพ่อเจ้าอาวาสวัด และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานวัดได้นะคะ
************************
ทำไมผู้มิใช่คาทอลิกจึงรับศีลมหาสนิทไม่ได้
++ เนื่องจากวัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์ เป็นวัดเก่าแก่และตั้งอยู่ใน ชุมชนตลาดน้อย ซึ่งปัจจุบัน
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวบนถนนเจริญกรุง ตัววัดเองก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวจะ
แวะเข้ามาเยี่ยมชมอยู่เสมอ บางครั้งนักท่องเที่ยวและผู้สนใจก็เข้าร่วมในพิธีมิสซาของทางวัด
และเมื่อถึงช่วงรับศีลมหาสนิทในพิธีมิสซา

++ เนื่องจากพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นคาทอลิก ท่านก็ส่งศีลมหาสนิทให้กับทุกคน
ที่เดินออกมารับ ต่อเมื่อผู้รับศีลที่มิใช่คาทอลิกรับศีลฯ จากพระสงฆ์แล้ว ท่านจึงทราบ ที่ทราบเพราะ
ผู้รับไม่ส่งแผ่นศีลเข้าปากทันทีแต่กลับถือกำเดินกลับไปที่นั่ง จึงต้องวานพี่น้องคริสตชนคาทอลิก
บางคนเดินไปตามขอแผ่นศีลฯ จากผู้นั้นกลับมาคืนพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธี เพราะต้องเป็นคริสต
ชนคาทอลิก ที่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีแล้วเท่านั้นจึงจะรับศีลมหาสนิทได้
++ คำถามก็คือ ทำไมผู้ที่มิใช่คาทอลิกจึงไม่สามารถรับศีลมหาสนิท (แผ่นปังที่เสกแล้วในพิธี) ได้
...ตอบ... เพราะแผ่นปังที่เสกแล้วเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า บันดาลให้ผู้รับได้รับ
พระหรรษทานและพระพร เป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณและร่างกายของผู้รับ แต่จะบังเกิดผลก็ต่อ
เมื่อผู้รับอยู่ในสถานะ พระหรรษทานคือเป็นลูกของพระเป็นเจ้า มีพระจิตเจ้าซึ่งทำให้เขาสามารถ
เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สามารถรับศีลศักดิ์สิทธิ์แล้ว บังเกิดผลในชีวิตวิญญาณ ผู้มิได้รับศีลล้างบาป
เป็นคริสตชนคาทอลิกจึงไม่มีการประทับอยู่ของพระจิตเจ้าในชีวิตที่จะทำให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
ดังนั้นการรับศีลมหาสนิท (แผ่นปังที่เสกแล้ว) จึงไม่บังเกิดผลสมเจตนาที่ศีลศักดิ์สิทธิ์มุ่งประทานให้
บางคนอาจบอกว่าเขาเลื่อมใส บังเกิดผลหรือไม่บังเกิดผลเขาก็รู้สึกอยากได้รับ
ทำไมรับไม่ได้...คำตอบก็คือ ศีลมหาสนิทมิใช่แผ่นปังธรรมดา แต่เป็นพระกายและพระโลหิตของ
พระเยซูเจ้า ผู้ที่จะรับได้ต้องเป็นผู้ที่แสดงเจตจำนงออกมาภายนอกว่ามีความเชื่อในพระเยซูเจ้าด้วย
การขอรับศีลล้างบาป ถ้าเราไม่มีพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในศีลล้างบาปประทับอยู่ในชีวิต ทำให้เราต่อ
สนิทกับพระเจ้าในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า การไปรับแผ่นปังที่เสกแล้วก็ไม่บังเกิดผล การรับศีลมหาสนิท
จึงมิได้มีไว้เพื่อให้คนมาแสดงความเลื่อมใสแต่มีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงวิญญาณคริสตชนผู้เป็นลูกของพระเจ้า
เราสามารถแสดงความเลื่อมใสด้วยการแสดงคารวะต่อศีลมหาสนิทด้วยการไหว้ คุกเข่าแสดง
ความเคารพ ฯลฯ แต่การออกไปรับศีลมหาสนิทในพิธีมิสซาไม่ได้เป็นแค่เพียงการแสดงความเคารพ
นับถือเท่านั้นแต่เป็นสายสัมพันธ์ที่มีมาก่อนแล้วด้วยการรับศีลล้างบาปเป็นลูกของพระเป็นเจ้าและพระเจ้า
ทรงหล่อเลี้ยงเขาคนนั้นด้วยศีลมหาสนิทไปตลอดนิรันดร

++ ดังนั้น เมื่อถึงตอนรับศีลมหาสนิท ผู้ที่มิได้เป็นคาทอลิกจึงเพียง แค่เปล่งเสียงร่วมร้องเพลง
ในพิธีหรือนั่งอยู่กับที่ ร่วมใจในพิธีกรรมอย่างศรัทธา ก็ได้รับพระพรจากศีลมหาสนิทของ
พระเยซูเจ้าด้วยเช่นกันเรียบร้อยแล้ว
****************************
#วัดกาลหว่าร์
#ศีลมหาสนิท
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 07, 2023 10:47 pm

( 12 )

จงเข้าใจเขา... ( บทความสอนใจ )

ได้ข่าวว่าศิษย์เก่าคนหนึ่งได้ลาออกมาจากการเป็น บราเดอร์ครับ ..
ก็ .. จะให้พูดง่ายๆเลยคือ ไม่ผ่านกระแสเรียกใช่ไหมครับ ... เสียดายไหม ก็ เสียดายอยู่
เพราะเท่าที่รู้เจ้าตัวก็จะบวชในอีกไม่กี่ปีแล้วครับ ...

มีเพื่อนครูคำสอนคนหนึ่ง เคยมาอยู่เมืองไทยด้วยกัน แต่อยู่ได้สามปีแล้วเขาได้กลับไปบ้านเกิดเ
มืองนอนของเขาคือที่ประเทศเมียนมาร์ครับ...

หลังจากนั้นสองปีเขาได้แต่งงาน และแล้วได้ลูกชายครับ ... ลูกชายได้อายุ 10 ปีก็ได้ส่งเข้าไปอยู่ใน
บ้านเณรเล็กครับ .. ( Seminary )

หลังจากนั้นได้บวชเป็นบราเดอร์ตอนอายุ 21 ครับ.. ( ขอใช้คำว่าบวช ) หลังจากนั้นในปีที่ห้า
ช่วงปิดเทอมบ้านเณรใหญ่เขาได้มาเป็นผู้ดูแลเด็กในบ้านเณรเล็กที่ตัวเองเคยอยู่มาก่อนครับ...

พวกเด็กๆจากบ้านเณรเล็กบอกว่าเขาคนนั้นเป็นบราเดอร์ที่ใจดีมากครับ...และวันหนึ่ง เด็กๆมา
ขออนุญาตจากบราเดอร์เพื่อจะเก็บมะพร้าวกินครับเพราะ หน้าบ้านเณรเล็กมีต้นมะพร้าวที่มีลูก
มะพร้าวเยอะนะ ...

บราเดอร์ไม่อยากให้เด็กขึ้นต้นมะพร้าวครับเพราะท่านกลัวเด็กจะตกลงมาและได้รับบาดเจ็บนะ
บราเดอร์จึงขึ้นไปเก็บให้เอง และน่าเสียใจมากครับ บราเดอร์พลาดตกลงมาและคอหักเสียชีวิตครับพี่น้อง ...

พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า ผู้ที่ถูกเรียกจะเยอะก็จริง แต่ผู้ที่ได้รับเลือกนั้นจะน้อยครับ ... พี่น้องครับ
ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ได้รับกระแสเรียก จะมีมากหรือจะมีน้อย ถือว่าแล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์นะครับ ...

และที่นี่ เพื่อนๆครับเราอาจเคยเห็นมาแล้วใช่ไหมว่าเพื่อนๆของเรา , เพื่อนบ้านของเราหรือญาติพี่น้อง
ของเรา ที่เคยไปบวชไม่ว่าจะเป็นบราเดอร์หรือซิสเดอร์ก็แล้วแต่ ที่เขาได้ลาออกมาจากการบวช
แล้วเราจะคิดอย่างไรกับเขาบ้างครับ...

คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ เราจะต้องเข้าใจพวกเขานะครับ .. เอาใจเขามาใส่ในใจเรานะเพราะว่า ....
ถือแม้เขาไม่ได้รับความสำเร็จในกระแสเรียกก็จริง...

†... เขาได้รับคำสอนมาเป็นอย่างดี ...

† ... เขาได้เรียนรู้ผิดชั่วหรือความดีเรื่องกฏของพระศาสนจักรมาเป็นอย่างดีและสามารถไปสอน
ไปแบ่งปันกับคริสตชนได้ต่อไปอีกนะ ...

†... ถ้าเขาหรือเธอแต่งงานมีลูกก็เขาจะสามารถสอนคำสอนให้กับคู่ชีวิตของตนและลูกๆ
ของตัวเองเป็นอย่างดีครับ...

† ... เขายังสามารถจะเป็นแบบอย่างที่ดีใน หมู่บ้านและ สามารถสอนเยาวชนได้อีก ....

† ... เขายังได้รับความรู้มาจากวิทยาลัยบ้านเณรใหญ่หลายๆวิชาที่ไม่มีการสอนในโรงเรียนทั่วไป
และสามารถแบ่งปันความรู้เหล่านั่นได้กับชาวบ้านเมื่อจำเป็นอีกนะ ...

*** และมีข้อดีอีกมากหมายที่ มากกว่าคนทั่วไปอย่างเราๆนะครับ
เพราะฉะนั้น ดูดีกับเขา
หรือเธอ พูดดีกับเขาหรือเธอ เห็นดีกับเขาหรือเธอ นะครับพี่น้องครับ ....

ในพระคริสต์ แรคยอห์น
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 08, 2023 4:11 pm

( 13 )

เจนกำลังต้องการพนักงานทำงานแค่ 3 ชั่วโมงเฉพาะช่วงพักเที่ยงในร้านฟาสต์ฟูดของเธอ
ซึ่งหายากมาก ไม่มีใครต้องการงานที่ไม่คุ้มค่าเพราะชั่วโมงทำงานน้อยเกินไป เธอภาวนาต่อพระเจ้า
ให้ช่วยเธอด้วย แล้วนิกกี้ก็ปรากฏตัวขึ้น เขามาสมัครงานและเต็มใจที่จะทำงานนั้น ขณะที่เจนเองสองจิต
สองใจ เพราะนิกกี้เป็นผู้ที่มีความล่าช้าด้านพัฒนาการหรือเชาว์ปัญญา (ดาวน์ซินโดรม)
.
เจนไม่เคยรับมือหรือทำงานกับผู้มีข้อจำกัดทางพัฒนาการมาก่อน เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่ก็ตัดสินใจเดินหน้าสัมภาษณ์เขา เจนพบว่านิกกี้มีทัศนคติที่ดี, ใส่ใจในหน้าที่, กระตือรือร้น
และมีชีวิตชีวา ในที่สุด เจนรับเขาเข้าทำงาน วันละ 3 ชั่วโมง / 3 วันต่อสัปดาห์
.
ทันทีที่พนักงานในร้านทราบข่าวนี้ หลายคนแสดงความจำนงว่า ‘ไม่ต้องการทำงานร่วมกับ
คนปัญญาอ่อน’ ซึ่งคำนี้เจนรู้สึกว่าหยาบคายมาก จึงเรียกประชุมพนักงานทำความเข้าใจกัน
และเตรียมพร้อมต้อนรับการมาทำงานของนิกกี้
.
วันแรก เขามาตรงเวลา จดจ่อหน้าเครื่องตอกบัตร และเริ่มงานทันที - - ย้อนกลับไปในสมัยนั้น
ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ทุกออเดอร์สั่งโดยแคชเชียร์ ซึ่งพนักงานต้องใช้สมาธิอย่างมากเพื่อจำออเดอร์
และทำให้ถูกต้อง ขณะที่นิกกี้กำลังฝึกในกะแรก พนักงานที่ทำแซนด์วิช ได้ถามเขาว่าแซนวิชชิ้นต่อไป
คืออะไร นิกกี้ตอบได้ทันทีว่า "ไม่ใส่ผักดอง ไม่ใส่หัวหอม" ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ตอบได้ถูกต้องอีก
ตอนนั้นเองที่ทุกคนค้นพบว่านิกกี้มีทักษะที่ล้ำค่าซ่อนอยู่ภายใน
.
เขาจำทุกสิ่งที่เขาได้ยิน! อย่างแม่นยำและถูกต้อง! เพียงทำงานแค่ 3 วัน คนทำแซนด์วิชทุกคนต่าง
ยอมรับและอยากทำงานกับนิกกี้โดยไม่เกี่ยงงอน หลังจากนั้น พนักงานในร้านต่างสนุกที่จะทำงานร่วมกับเขา - -
.
การปรากฏตัวของนิกกี้ได้เปลี่ยนความคิดของผู้คนมากมาย เจนมักบอกใครเสมอว่า การตัดสินใจ
จ้างนิกกี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน พระประสงค์ของพระเจ้านั้นมาถูกที่และถูกเวลาเสมอ!
. . . . .
.
วันนี้ เป็นวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2023 เป็นสัปดาห์ที่ 5 ของเทศกาลปัสกา บทอ่านวันนี้ มาจาก
พระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน 14:1-12) เปิดด้วยประโยคที่ทำให้เราอบอุ่นใจว่า พวกท่านทั้งหลาย
อย่าได้หวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเรา - - ความหมายคือ เชื่อในพระเยซูเจ้าก็หมายถึงเชื่อ
ในพระบิดา เปรียบเทียบง่าย ๆ ดังนี้ ถ้าเราเป็นเพื่อนกับพระเยซู เราก็ต้องได้ไปเยี่ยมบ้านของเพื่อน
ได้พบกับคุณพ่อของเพื่อนแน่นอน เพราะอยู่บ้านเดียวกัน และวิธีเดียวที่จะรู้จักทางที่จะไปบ้านได้นั้น
คือ ผ่านทางเพื่อนของเรา-พระเยซูนั่นเอง
.
พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจาก
ผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา
และเห็นพระองค์แล้ว”
.
การเห็นพระบิดา ก็คือการเห็นพระเยซูเจ้า และเราจะเห็นพระเยซูเจ้าได้จากกิจการที่พระองค์
ทรงกระทำ และผู้ที่จะไปบ้านของพระองค์ได้ ก็ต้องเชื่อในพระองค์ กระทำกิจการตามที่พระองค์
ทรงกำลังทำ!
.
นิคกี้ อาจดูเหมือนไม่ใช่ของขวัญจากพระเจ้า เพราะข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบ
แต่นั่นแหละคือของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าต้องการมอบให้เราได้เรียนรู้ - -
.
เราทุกคนเป็นเหมือนนิกกี้ เราแต่ละคนมีข้อบกพร่องที่แตกต่าง และเราแต่ละคนก็มีจุดแข็ง
ที่ไม่เหมือนกัน ถึงกระนั้น, เราทุกคนต่างมีคุณค่า พระเจ้าตั้งใจสร้างแต่ละคนเป็นเช่นนั้น
โดยไม่ผิดพลาด นิคกี้จึงไม่ใช่สิ่งชำรุดหรือของมีตำหนิอย่างแน่นอน!
.
หากเราเห็น อย่างที่เจนเห็นว่า นิกกี้เป็นกิจการที่พระเยซูเจ้าทรงกำลังกระทำ และเราเชื่อ
อย่างที่เจนเชื่อในคำสอนของพระองค์ ด้วยการให้โอกาส ให้ความรักกับนิกกี้ - - เราก็จะเห็น ‘
หนทาง’ ที่จะไปสู่บ้านพระบิดา ซึ่งยังมีที่พำนักมากมาย และพระเยซูเตรียมไว้ให้แล้ว, เราก็จะเห็น
‘ความจริง’ที่แท้ในพระองค์, และเราก็จะมี ‘ชีวิต’อีกครั้ง ที่เป็นนิรันดร์!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 17, 2023 9:33 pm

. ( 14 )

มีคนเคยถามแม่ชีเทเรซา (นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา) ว่า ทำไมถึงไม่เข้าร่วมประท้วงต่อต้าน
สงคราม ท่านตอบว่า “ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอก แต่ถ้าสร้างสันติภาพ ฉันจะไป...”
.
ตอนที่ได้ฟังครั้งแรก ผมก็นึกในใจว่า ต่างกันตรงไหน น่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน?
.
แต่เมื่อผมได้อ่านเรื่องราวเล็ก ๆ เรื่องหนึ่งนี้ - - คุณครูอนุบาลชาวอิสราเอลและเป็นคุณแม่ลูกสาม
ชื่อ อิดิท แฮรัล ซีกัล ต้องการให้วันเกิดครบ 50 ปีของเธอมีความหมาย แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง
แทนที่จะเป็นฝ่ายรับของขวัญ เธอขอเลือกที่จะเป็นผู้ให้แทน
.
ซีกัลตัดสินใจที่จะบริจาคไตเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น - ผู้อื่นที่ว่าไม่ใช่คนทั่วไป ที่เป็นชาวยิวเช่นเดียวกับเธอ
หากผู้รับไตเป็นเด็กชายชาวปาเลสไตน์อายุ 3 ขวบ จากฉนวนกาซา ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการ
ยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากต่างความเชื่อ, ต่างเผ่าพันธุ์ และต้องข้ามพรมแดนแห่งปัญหา... กว่าเด็กน้อย
จะได้เข้ารับการผ่าตัดก็เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2021 - -
.
ก่อนหน้านั้น ซีกัลได้เขียนจดหมายถึงเด็กชายเพื่อเขาจะได้อ่านตอนโต และรับรู้ว่าการให้ของขวัญชิ้นนี้
มีความหมายต่อเธอมากแค่ไหน
.
“เธอไม่รู้จักฉันหรอก... เธอไม่เข้าใจภาษาของฉันและฉันก็ไม่เข้าใจภาษาของเธอ, แต่ในไม่ช้าเราจะ
ใกล้ชิดกันมากขึ้นเพราะไตของฉันจะอยู่ในตัวเธอ ฉันหวังหมดหัวใจว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จ
เธอจะมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี และเป็นชีวิตที่มีความหมาย...”
.
ซีกัลยอมรับว่า การกระทำครั้งนี้ของเธอ ใช่ว่าจะราบรื่นเสียทีเดียว การตัดสินใจทำให้เกิดความขัดแย้ง
ขึ้นภายในครอบครัวของเธอเอง สามีของเธอ ลูกชายคนโต และคุณพ่อของเธอต่างก็ไม่เห็นด้วยใน
แผนการนี้ แต่เธอก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่หลังการประทุของสงครามครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นช่วง 11 วัน
(ก่อนบรรลุข้อตกลงหยุดยิง)
.
“ฉันโยนทิ้งความโกรธและความหงุดหงิดขุ่นเคืองใจทั้งหลาย ตอนนั้น ฉันเห็นเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น
ฉันเห็นความหวังในสันติภาพและความรัก”
.
น่าดีใจ ที่ในที่สุด ครอบครัวของเธอก็เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของเธออย่างชื่นชม - -
.
ซีกัลรู้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่ใหญ่กว่าแล้ว สิ่งที่เธอทำก็เป็นเพียงแค่ “สิ่งเล็กน้อย”เท่านั้นเอง
แต่ถึงกระนั้น เธอเชื่อมั่นว่า ย่างก้าวใดก็ตามที่คืบเข้าใกล้สันติสุขด้วยความจริงใจ ล้วนเป็นก้าวย่าง
ที่ถูกต้องและไปถูกทาง!
. . . . .
.
เมื่อวิถีแห่งชีวิตเต็มไปด้วยความขัดแย้งและต้องลงเอยด้วยอาวุธ การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอาจดูเหมือน
ไกลเกินเอื้อม แต่การเริ่มต้นด้วยความกล้าหาญของคนตัวเล็ก ๆ ที่ยื่นมือข้ามเส้นแบ่งแห่งเชื้อชาติ
ด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์ ก็อาจสร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ดอกไม้แห่งสันติภาพเบ่งบานได้...
.
เรื่องของซีกัล ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแม่ชีเทเรซาอีกครั้งที่ว่า “แต่ถ้าสร้างสันติภาพ ฉันจะไป...”
.
การเริ่มต้นลงมือสร้างสันติภาพของคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างเราที่แสนเรียบง่ายและทำได้ทันที...
เป็นเช่นนี้เอง โดยไม่ต้องลงถนนชูกำปั้นประท้วงต่อต้านสงครามอย่างดุดัน!
.
น่ายินดี ที่ต่อมาคุณพ่อของเด็กชายชาวปาเลสไตน์ก็ตกลงที่จะบริจาคไตให้กับผู้ป่วยหญิง
ชาวอิสราเอลด้วยเช่นกัน..
.
ซีกัลย้ำว่า “ถ้าทุกคนทำเหมือนเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่มีอะไรให้เราต้องสู้กันอีก”
.
สันติภาพไม่ใช่มาได้แค่วางอาวุธลง แต่มาจากการวางความเกลียดชังลง และให้ความรักเข้า
ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของหัวใจ!
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เราเริ่มต้นวันนี้ด้วยสันติสุขและความรักเต็มหัวใจ ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 17, 2023 9:40 pm

(15 )



. เรื่องเล็ก ๆ ของคนสองคน ที่เกิดขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง กลายเป็นสายสัมพันธ์อันแสน
พิเศษและสวยงาม!
.
ที่เมืองคอมเมิร์ซ รัฐโคโลราโด- - ขณะที่เชอร์รี่ กอนซาเลซ กำลังเดินเลือกซื้อของในห้างแห่งหนึ่ง
เธอสวนกับหนูน้อยที่นั่งอยู่ในรถเข็นช็อปปิ้งที่คุณแม่เป็นคนเข็น เด็กน้อยเห็นเชอร์รี่เป็นคนผิวสี
เลยตะโกนคำฮิตที่กำลังเป็นประเด็นการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนทั่วสหรัฐอเมริกาว่า ‘
Black Lives Matter’ แปลตรงตัวว่า ชีวิตคนผิวดำก็มีความสำคัญ!
.
ตอนที่หนูน้อยแคมริน วัย 4 ขวบ ตะโกนคำนั้นออกไป คุณแม่ของเธอ แคสซี่ ตกใจเล็กน้อย เพราะ
เธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนที่ได้ยินจะรู้สึกหรือมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไร?
.
แต่เชอร์รี่เล่าว่า หนูน้อยแคมรินพูดคำนั้นอย่างหนักแน่น จริงจังจนเธอรู้สึกได้ เลยตอบกลับไปว่า
“ขอบใจมากจ้ะ ที่พูดอย่างนั้นและมองเห็นว่าชีวิตของฉันก็มีความสำคัญ”
.
แล้วจากคำพูดนั้น ก็เชื่อมโยงทั้งคู่ให้เป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาถ่ายรูปด้วยกัน หนูน้อยแคมริน
ถึงกับออกปากชวนเชอร์รี่ให้ไปนอนค้างที่บ้าน ซึ่งทำให้เธอซาบซึ้งใจยิ่งนัก พวกเขาเลยแลกเปลี่ยน
เบอร์โทรศัพท์กัน
.
หลังจากนั้น ทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันมากขึ้น ถึงขั้น-เมื่อเร็ว ๆ นี้ หนูน้อยแคมรินกับคุณแม่ของ
เธอได้เปิดขายของที่ไม่ต้องการใช้แล้วตรงโรงรถหน้าบ้าน (เรียกว่า Garage Sale) เพื่อหารายได้มา
ช่วยกิจกรรมในองค์กรของเชอร์รี่ ซึ่งเธอได้ตั้งองค์กรขึ้นเพื่อช่วยเด็กผู้หญิงในประเทศเคนยาให้ได้
ไปโรงเรียน เพียงแค่เปิดขาย 2 วัน หนูน้อยแคมรินกับคุณแม่ก็หาเงินได้ถึง 2,070 เหรียญสหรัฐ!
และเงินจำนวนนั้น ถูกส่งไปช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่เคนยา
.
“...ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ ก็เพราะหนูน้อยที่แสนน่ารักคนหนึ่งมองเห็นชีวิตของฉันว่าสำคัญและมีค่า”
เชอร์รี่กล่าวทิ้งท้ายด้วยความประทับใจ!
.
ไม่น่าเชื่อ ด้วยวัยและผิวที่แตกต่างตรงข้าม กลับสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ กลายเป็นตัวอย่างเล็ก ๆ
ให้โลกมองเห็นถึงความรักนั้น-ว่าทรงพลังและสันติสุข ใช่ต้องขัดแย้งทำลายกันอย่างที่เป็นอยู่...
. . . . .
.
ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันแค่ไหน - - ทั้งสีผิว, วัย, หรือความคิด ต่างมีและขาดในสิ่งไม่เหมือนกัน แต่ถ้า
เรามองกันและกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ยอมรับในความต่างของอีกฝ่าย ส่งเสริมในส่วนที่มีและ
ขาดของกันและกัน พลังแห่งประกายรักนั้น ก็จะสร้างแรงกระเพื่อมสั่นไหวไปทุกดวงใจ มิใช่เพียงแค่
คนสองคน หากกระจายเป็นวงกว้างไปยังผู้อื่น และในที่สุดก็จะสะท้อนถึงกันทั้งโลก!
.
ดอกไม้หลากพันธุ์ล้วนมีความสวยงามต่างกันทั้งในรูปทรงและสีสันเฉพาะตัว- - ไม่ว่าจะดอกใหม่ หรือ
ดอกเก่าล้วนทรงค่าในกาลเวลาแห่งขณะผลิบานนั้น... ขอเราทุกคนจงเป็นดอกไม้ที่ประสานสีสัน ส่งเสริมกัน
ให้เป็นทุ่งดอกไม้งดงาม ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่างขัดแย้งนี้...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกดวงใจประสานความแตกต่างเป็นหนึ่งเดียว! ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ส.ค. 16, 2023 5:19 pm

( 16 )

ถึงโอกาสเหมาะที่จะส่งเรื่องดีดีเรื่องนี้อีกครั้งครับ
...อ่านเจอเรื่องดีๆ ขออนุญาตแบ่งปันต่อครับ... (hands together)อโหสิกรรม
เถิดนะคนดี......…….

*อโหสิกรรมที่ยิ่งใหญ่
ของคุณแม่ท่านหนึ่ง*

(เรื่องจริงที่ได้สร้าง
ความประทับใจ
ให้ผู้คนมาแล้วมากมาย

เมื่อแม่ส่งลูกชายไปเรียนต่างเมือง แล้วได้ทราบข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์...)

จากหมู่บ้านเกาหมิง
ในมณฑลหูหนาน
เดินทางมายังเมืองต้าเหลียน
ของ มณฑลเหลียวหนิง
ระยะทางไม่ต่ำกว่า
3,000 ก.ม.

หลัวอิงใช้เวลาเดินทาง
สองวันหนึ่งคืนเต็มๆ

ตอนแรก คู่กรณีทางฝั่ง
ต้าเหลียนกำชับให้นั่งเครื่องบินไป แต่พอหล่อนเห็นราคาตั๋วเครื่องบินแล้ว
คิดว่าช่วยคู่กรณีประหยัดเงินไว้หน่อยน่าจะดีกว่า

ชั่วชีวิตเขาอย่างเก่งก็แค่เดินทางเข้าไปซื้อของ
จากตลาดนัดในตัวเมือง

เดินทางไกลขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอจริงๆ

ต่อรถมาแล้วสองทอด และนี่คือขบวนรถไฟตรงสู่จุดหมายปลายทางต้าเหลียนเสียที

พอได้ที่นั่งเรียบร้อย
เหงื่อยังไม่ทันแห้ง
แต่น้ำตาก็เริ่มซึมแล้ว

หากไม่เดินทางออกจากบ้านมาก็คงไม่มีวันรู้ว่า โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน

หล่อนคิดแค่ว่า การที่ลูกชายตนดั้นด้นเดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆที่ไกลโพ้นขนาดนั้นเพื่อไปศึกษาต่อ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด

สองปีก่อน เพื่อนบ้านมาส่ง
เซียงเอ๋อลูกชายของตนถึง
หน้าหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้ม
ต่างกำชับว่า

"ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ เรียนจบแล้วมารับแม่แกไปเสพสุขในเมือง แม่แกเลี้ยงดูแก
ตั้งแต่เล็กจนโตโดยลำพัง ถึงเวลาต้องรู้จัก ทดแทนบุญคุณแม่นะ"

สองปีผ่านไป.....
เพื่อนบ้านต่างมาส่งตนหน้าหมู่บ้านพร้อมคราบน้ำตา กำชับหล่อนว่า ........

"เอาเรื่องไอ้คนขับรถให้ถึงที่สุด เขาคือคนที่พังทลายอนาคตครอบครัวแกจนหมดสิ้น"

มีญาติๆอาสาจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อเจรจาต่อรอง

หลังตรึกตรองแล้ว หล่อนเกรงว่าพอมีคนเยอะ จะเข้าตำรา

”มากหมอมากความ”
มีแต่จะทำให้เธอ
ตัดสินใจลำบากขึ้น

เธอจึงตัดใจเดินทางไปคนเดียว

***********

พอขบวนรถไฟมาถึง
สถานีต้าเหลียน
คณะครูบาอาจารย์
เพื่อนๆของลูกชายตน
ยังมีเจ้าหน้าที่ของ

บริษัทรถโดยสารสาธารณะ รวมทั้งคนขับรถคู่กรณี
ชื่อเสี่ยวซูก็มาต้อนรับเธออย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

หลังจากบริษัทจัดการให้หล่อนเข้าพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว

หล่อนขอไปเยี่ยมบ้านของคนขับรถคนนั้นทันที ขอร้องให้ทุกคนกลับไปก่อน

บริษัทต้นสังกัดกำชับคนขับที่ชื่อเสี่ยวซูว่า ไม่ว่าหล่อนจะโวยวายขนาดไหน ก็ต้องทนรับสภาพให้ได้

หล่อนสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนไปแล้ว จะอาละวาดขนาดไหนก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้

หลังมาถึงบ้านพักของเสี่ยวซู แท้จริงมันก็เป็นแค่ห้องพักห้องขนาดค่อนข้างเล็กไม่เกินห้าสิบตารางเมตร
อยู่กันห้าคน พ่อ แม่ ของเสียวซูที่เริ่มใกล้เข้าสู่วัยชราแล้ว พร้อมภรรยาและลูกที่ยังเรียนชั้นประถมอยู่
ทุกคนในบ้านต่างเกร็งกันจนพูดอะไรไม่ออก หล่อนพูดขึ้นอย่างราบเรียบก่อนว่า "คนในเมืองอย่าง
พวกคุณช่างมีที่อยู่อาศัยกันแบบคับแคบเหลือเกิน"

ภรรยาของเสี่ยวซูน้ำตาซึมทันที เธอพูดว่า "หลังจากแต่งงานแล้วก็อยู่ด้วยกันมาตลอด พวกเราล้วน
ทำมาหากินแบบคนธรรมดาๆ ไม่มีปัญญาจะไปหาบ้านช่องใหญ่โตมาอยู่กัน ราคาห้องนี้หมื่นกว่าหยวน
ต่อตารางเมตร ห้องเพียงแค่นี้ก็ผ่อนกันไปทั้งชาติแล้ว......"
หลัวอิงตกใจ "อะไรนะ ตารางเมตรนึงกว่าหมื่นหยวน ห้องใหญ่เท่ารูหนูแค่นี้ละนะ"

ภรรยาของเสี่ยวซูพูดต่อว่า "เสี่ยวซูมีเงินเดือนไม่ถึงสองพันหยวน เดือนหนึ่งมีวันหยุดไม่เกินสามวัน
ทำเช้าทำเย็น เบี้ยเลี้ยงอาจได้เพิ่มบ้างก็มาจากระยะทางของรถที่วิ่ง วิ่งน้อยก็ได้น้อย นับจากวันที่
ทำงานที่นี่ ไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มสักครั้ง จนกลายเป็นคนเส้นประสาทอ่อนล้าไปแล้ว พี่เขาไม่เคยมี
โอกาสได้ร่วมกินข้าวฉลองเทศการใดๆกับคนในครอบครัวเลย แล้วคราวนี้ก็ยังไปก่อเรื่องใหญ่ขึ้น......."
พูดไปก็ร้องไห้ไป

หลัวอิงเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่เห็นใจ เพื่อที่จะไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป หล่อนเปรยขึ้นว่า
"ฉันขอกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบ้านนะ"

เธอรีบเช็ดน้ำตา กำชับให้สามีรีบออกไปจ่ายตลาด แต่หลัวอิงห้ามไว้ "ในบ้านมีอะไรก็กินแบบนั้นแหละ
ไม่ต้องลำบาก"

นั่นเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายมากๆ สมาชิกในครอบครัวก็แลดูเรียบง่ายเหมือนกับข้าวกับปลาบนโต๊ะ
ล้วนแลดูซื่อๆตรงๆ เกรงอกเกรงใจ และไม่ใช่พวกช่างเจรจา

หลังทานข้าวเสร็จ หลัวอิงขอตัวไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่ลูกเคยเรียน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบ้านจนออก
จากบ้านไปแล้ว หลัวอิงไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงการตายของลูกชายตนเลยสักคำ

***********

เพื่อนๆของเซียงเอ๋อพาหลัวอิงเดินชมห้องเรียนที่ลูกหล่อนเคยนั่งเรียนหนังสือ หอพักที่เคยพัก
สนามบาสเกตบอลที่เล่นประจำ ทางโรงเรียนได้เตรียมทนายความคณะใหญ่ให้เรียบร้อยแล้ว
เป้าหมายมีอยู่สองข้อ คือลงโทษคนขับรถให้หนัก และเรียกร้องค่าเสียหายให้มากที่สุด

หลัวอิงยังไม่ต้องการพบคณะทนายความ แต่ขอคุยกับคุณครูผู้ปกครองของลูกชายก่อน "ต้องขอโทษที่
เซียงเอ๋อก่อปัญหาทิ้งไว้ให้วุ่นวาย ดิฉันขอรบกวนคุณครูต่ออีกหน่อย ช่วยจัดการเผาศพเซียงเอ๋อ
ให้เรียบร้อย แล้ววานให้เพื่อนที่สนิทของเซียงเอ๋อ พาดิฉันและเซียงเอ๋อเที่ยวชมเมืองต้าเหลียนสักรอบ
เอาที่ๆเซียงเอ๋อไม่เคยไปมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น เดี๋ยวดิฉันจะจัดการเอง ไม่ขอรบกวนโรงเรียนให้มาก
กว่านี้ และก็ไม่อยากให้นักเรียนทั้งหลายต้องมาเสียการเรียนเพราะเรื่องของลูกชายดิฉัน"

ก่อนที่คุณครูผู้ปกครองจะทันพูดอะไรออกมา หล่อนพูดต่อว่า "เมื่อคืนลูกชายมาเข้าฝัน กำชับให้ทำอย่างที่
ดิฉันได้บอกไปแล้ว ช่วยกรุณาจัดการตามที่ดิฉันขอร้องให้ด้วย"

หลัวอิงอุ้มกล่องอัฐิของลูกชายไว้ที่อก เหมือนอุ้มลูกน้อยเมื่อตอนยังเล็ก ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อเที่ยวชม
แหล่งท่องเที่ยวของเมืองต้าเหลียนที่ลูกชายยังไม่เคยไป

ตลอดทั้งวัน เพื่อนของเซียงเอ๋อน้ำตาร่วงแล้วร่วงอีก แต่ไม่เห็นน้ำตาสักหยดจากคนเป็นแม่ เพื่อนของลูก
บอกว่า "คุณน้าครับ ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะครับ"

แต่หลัวอิงบอกว่า "พ่อเซียงเอ๋อตายตั้งแต่ตอนลูกอายุแค่สี่ขวบ ตั้งแต่นั้นมา น้าก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าลูก
แม้แต่ครั้งเดียว เพราะเกรงว่าลูกจะหนักใจถ้าเห็นน้ำตาแม่......"

***********

วันถัดมา ทางโรงเรียนตามหาหลัวอิงไม่พบ ปรากฏว่าหล่อนได้นัดแนะและตรงไปยังบริษัทโดยลำพัง
บริษัทได้เตรียมเงินก้อนหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจำนวนเงินตามที่กฏหมายกำหนดไว้ รวมกับเงินที่คน
ขับรถพร้อมจะรับผิดชอบ แค่คิดว่าหากหล่อนรับได้ก็จบเรื่องกันเพียงเท่านี้ แต่ก็พร้อมพิจารณาหากคู่กรณี
มีข้อเรียกร้องมากกว่านี้ที่พอรับได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปตกลงกันที่ศาล

เพื่อกันไม่ให้บรรยากาศเกิดความอ่อนไหวเกินไป ผู้ใหญ่ของบริษัทกำชับไม่ให้คนขับรถมาปรากฏตัว
ในระหว่างการเจรจา พวกเขามีทนายความพร้อมเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ของความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากหลัวอิงก้าวลงจากรถและเดินเข้าห้องเจรจา ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ พวกเขารู้ว่า
นี่เป็นความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะโหมกระหน่ำ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอุ่นใจคือ หล่อนมาเพียงลำพังอย่างพลิก
ความคาดหมาย พวกเขามีคนเยอะกว่า ถ้าช่วยกันพูดกันคนละประโยคสองประโยค ก็สามารถประวิงเวลา
ให้ทอดยาวออกไปได้แล้ว เรื่องเจรจาต่อรอง การซื้อเวลา หรือการถ่วงเวลาไปเรื่อยๆเป็นเทคนิคที่สำคัญ
พอเวลาทอดยาวออกไป เดี๋ยวก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบา โดยเฉพาะเรื่องเลวร้ายใหญ่โตขนาดนี้
คงต้องใช้เวลามากมายในการต่อรอง

หลัวอิงใช้เวลาอยู่กับคณะเจรจาไม่ถึงสิบนาที หล่อนสรุปอย่างเรียบง่ายที่สุด "ดิฉันมีเรื่องขอร้องอยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก ขอร้องอย่าลงโทษคนขับรถที่ชื่อเสี่ยวซูในกรณีนี้ เรื่องที่สอง คนขับคนนี้มีปัญหาเรื่องของการนอน
หลับพักผ่อนที่อาจไม่เพียงพอ บริษัทควรพิจารณากรณีใช้งานพนักงานหนักเกินไปหรือเปล่า และนี่เป็นสูตร
ยาพื้นบ้านที่หมู่บ้านเรามีไว้รักษาอาการของคนที่หลับไม่ดี ช่วยมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวซู ทำตามที่บอก
แค่เดือนเดียวก็น่าจะเห็นผล"

คณะเจรจายังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ หล่อนหยุดชะงักไปนิด ก่อนจะพูดต่อว่า "ต้องขอโทษที่ลูกดิฉันได้
ก่อปัญหาให้ปวดหัววุ่นวาย ดิฉันอยากให้เรื่องจบเพียงเท่านี้"

หล่อนลุกเดินออกจากห้องเจรจา พอทุกคนที่เหลือตั้งสติได้ หัวหน้าคณะเจรจารีบวิ่งไปมอบเงินที่เตรียมไว้
ให้หล่อน แต่หล่อนปฏิเสธไม่ยอมรับ "ดิฉันคงไม่ขอรับเงินจำนวนนี้ คุณช่วยเอาเงินส่วนของคนขับคืน
เขาไป ส่วนที่เหลือไปแบ่งให้คนขับรถในบริษัททุกคน เมืองนี้รถราเยอะมาก การจราจรหนาแน่น
คนเดินถนนก็ไม่ปลอดภัย และคนขับรถทั้งหลายก็ขับรถด้วยความยากลำบาก ดิฉันเข้าใจและเห็นใจ"

***********

หลังจากหลัวอิงกลับบ้านไปแล้ว พร้อมกับสัมภาระที่เพิ่มขึ้นอีกชิ้น นั่นคืออัฐิของลูกชาย หล่อนอุ้ม
กล่องอัฐิไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอมตลอดทาง

เจ้าหน้าที่ทุกคนของบริษัทล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทได้จัดงบ
ประมาณพิเศษไว้จำนวนหนึ่ง ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่สองคัน บรรทุกข้าวสาร เส้นบะหมี่ น้ำมันพืช
และเสบียงอาหารแห้ง ตรงสู่หมู่บ้านเกาหมิง ก่อนออกเดินทาง พวกเขาทำใจไว้แล้วว่า นั่นเป็นหมู่บ้าน
ที่อยู่ไกลมาก แต่พอเดินทางมาถึง พวกเขาต้องตกตะลึงกับความยากจนของหมู่บ้าน บ้านทุกหลัง
โรงเรียนของหมู่บ้าน ล้วนเก่าและทรุดโทรมมาก เด็กๆไม่เคยได้ลิ้มรสหรือรู้จักอาหารดีๆเลย บ้านของ
หลัวอิงเป็นบ้านที่ค้ำด้วยเสาเพียงไม่กี่ต้น ถ้าเจอลมแรงๆก็อาจมีสิทธิ์ล้มได้

หลัวอิงพาเจ้าหน้าที่จากบริษัท นำเอาเสบียงอาหารไปฝากทุกบ้าน หล่อนบอกเพื่อนบ้านว่า
"เห็นไหม ฉันไม่ได้พูดเกินจริง พวกเขาล้วนเป็นคนที่จิตใจดีงามทั้งนั้น"

ได้เวลาเดินทางกลับ คณะที่มาเยือนประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สิบห้าคน เก็บเงินไว้กับตัวคนละเล็กละน้อย
แค่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้าน แล้วก็รวบรวมเอาเงินที่เหลือทั้งหมดแอบทิ้งไว้ที่บ้านหลัวอิง
นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น

**********

วันเวลาผ่านไป นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่ก็มีผู้คนจากเมืองต้าเหลียนมาเยี่ยม
หมู่บ้านเกาหมิงบ่อยๆ ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่จากบริษัทคู่กรณี ยังมีผู้คนอีกมากมายรวมทั้งพวกนักศึกษา
ที่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้วเกิดความศรัทธา พวกเขาไม่ได้มาแค่เยี่ยมคุณน้าหลัวอิงที่บัดนี้แก่ชราภาพ
ลงไปทุกปี แต่พวกเขาทำตัวเป็นพวกจิตอาสามาช่วยหมู่บ้านเกาหมิงสร้างถนนหนทาง ซ่อมแซมบ้าน
ให้ชาวบ้าน ช่วยพัฒนาวิชาชีพให้ชาวบ้าน และยังบริจาคเงินสร้างตึกหลังใหม่ให้โรงเรียน........

เซียงเอ๋อเป็นลูกที่แม่หลัวอิงภูมิใจเป็นนักหนาในชั่วชีวิตหล่อน
แต่การตัดสินใจให้อโหสิกรรมของแม่ที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้
ทำให้เรื่องที่เศร้าที่สุดกลับมีทางออกที่น่ายกย่องที่สุด
และอานิสงส์ของมันได้แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน

"ขจรศักดิ์"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 06, 2023 11:36 pm

( 17 )


พระองค์มาทันเวลา เสมอ
เด็กชาย 5 ขวบไปร้านขายยา บอกกับเภสัชกร (คนขายยา) ว่า
" นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ผมอดออม ผมมาขอซื้ออัศจรรย์ ครับ"
เภสัชกรถาม "อัศจรรย์อะไรที่หนูต้องการ...ทำไมหรือ"
เด็กน้อยตอบ “หมอบอกว่าแม่ต้องการอัศจรรย์ มารักษาอาการป่วยของแม่
ผมเก็บเงินเพื่อซื้อจักรยาน แต่ผมรักแม่มาก ผมอยากให้แม่หายป่วย ช่วยผมด้วยครับ
เงินนี้พอไหมครับ"
เภสัชกรตื้นตันใจมาก ตอบเด็กว่า "ฉันไม่มีอัศจรรย์ที่หนูต้องการ ถ้ามี ฉันก็อยากให้
หนูฟรีๆ มีแต่พระเยซู บุตรพระเจ้าเท่านั้น รักษาได้ หนูไปที่วัดและขออัศจรรย์จากพระองค์นะ”
เด็กชายไม่รอช้า รีบไปที่วัดใกล้ๆ เขาเห็นรูปพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน เหนือพระแท่น
เขาอ้อนวอนว่า "ผมเห็นพระองค์กำลังทนทุกข์ บนไม้กางเขน ผมรู้ว่าพระองค์คงไม่มีเวลาให้ผม
มากนัก แต่เภสัชกรบอกผมว่า พระองค์มีอัศจรรย์ช่วยรักษาแม่ของผม พระองค์รู้ว่าผมรักแม่มาก
ผมเตรียมเงินมาให้พระองค์ ผมตั้งใจจะซื้อจักรยาน ผมสัญญาว่า ผมจะช่วยพระองค์ลงจาก
ไม้กางเขนนี้ แต่ขอพระองค์รักษาแม่สุดที่รักของผมก่อน”
แต่พระเยซูคริสตเจ้าบนไม้กางเขนไม่มีคำตอบ
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กโกรธ จึงขึ้นเสียง
" ถ้าพระองค์ไม่ช่วยผม ผมจะไปหาพระแม่มารีย์ แม่ของพระองค์ ผมรู้ว่าพระองค์รักแม่มาก
เหมือนที่ผมรักแม่ของผม ขอร้องครับ ช่วยรักษาแม่ของผมด้วย ผมสัญญาจะรีบกลับมา
ช่วยพระองค์ลงจากไม้กางเขน"
ขณะนั้นพระสงฆ์องค์หนึ่งได้ยินเสียงเด็กภาวนาขอพระเยซู ท่านจึงเข้าไปหาเด็กน้อย
กล่าวว่า " หนูพูดกับพระองค์ดีๆซิ อย่าขึ้นเสียงดัง พระเยซูได้ยินเธอแล้ว”
เด็กรู้สึกเสียใจ พระสงฆ์จึงพาเด็กกลับบ้าน ระหว่างทาง เด็กบอกพระสงฆ์ว่า เขารัก
แม่มาก เพราะคนขายยาบอกว่ามีแต่พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยรักษาแม่ได้ด้วยอัศจรรย์
เมื่อไปถึงบ้าน เด็กตกใจที่ไม่เห็นแม่บนเตียง เขาตะโกนเรียกแม่ และพบแม่ในครัว สบายดีแล้ว
เธอเล่าให้ลูกชายฟังว่า “ชายคนหนึ่งมา และบอกแม่ว่าเขาเป็นแพทย์ที่ลูกขอให้มาตรวจอาการ
ของแม่ เขาได้ตรวจ และตอนนี้แม่สบายดีแล้ว ตามที่ลูกเห็น หมอขอให้บอกลูกว่า เขาก็รักแม่
ของเขามากๆเหมือนลูก...ลูกไปพบคุณหมอคนนี้ที่ไหนล่ะ “
พระสงฆ์น้ำตาไหล ได้สะอื้น กล่าวว่า “พระเยซูเมตตาทำอัศจรรย์ ที่หนูได้ขอพระองค์ให้
รักษาแม่แล้ว พระองค์ได้มาที่นี่ก่อนเรามาถึง”
โปรดจำไว้ว่า พระเยซูเจ้าทรงเห็นทุกสิ่งที่เราทนทุกข์ในชีวิตนี้ ทรงเช็ดน้ำตาทุกหยด
พระองค์ทรงรู้ความต้องการต่างๆของเรา พระองค์ทรงตั้งใจฟังคำภาวนาของเราเสมอ
พระองค์ทรงตอบคำภาวนาของเรา ทันเวลาของพระองค์

ฟ.วีระ อาภรณ์รัตน์ แปลจาก Face book

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 06, 2024 6:19 pm

( 18 )


🥳 ดีใจมากกับการตอบรับของพระเจ้า 🥳

ก่อนอื่นเราอยากจะบอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความศรัทธาและความเชื่อของเราเอง
ตัวเรานับถือพุทธ ไปวัดและทำทุกอย่างในวันสำคัญทางศาสนาทุกอย่าง เมื่อก่อนเรา
จะไม่เคยสนใจศาสนาอื่นนอกจากพุทธ แม้แต่ศาสนาคริสต์ <อันนี้ต้องขอโทษชาวคริสต์
ทุกคน> เรามองศาสนานี้ว่า เป็นเรื่องที่ประหลาด เชื่อในพระเจ้าพระเยซู ซึ่งมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

มีเพื่อนๆที่เป็นคริสต์ก็พาเราเข้าไปร่วมพิธีของทางศาสนา เราก็ไปนะแต่ก็เฉยๆ มีมาชวนเรา
ก็เฉยๆ เพราะคิดว่า ศาสนาเราดีที่สุดแล้ว จนกระทั่งมีเหตุ ทำให้เรารู้ว่ามีบางสิ่งไม่ทอดทิ้งเรา
เราตกงานมาเกือบ 3 เดือน ไปสมัครงานที่ไหนก็ใช้เส้นกันบ้าง คนเต็มบ้าง สิ่งที่เราทำได้ก็คือ
เป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งรายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่พอที่จะมีพอใช้ได้บ้าง เรารู้สึกท้อแท้และเหนื่อย
ไปไหว้พระขอพรรู้สึกว่า สิ่งที่เราขอจากท่านมันยากจัง

จนกระทั่งวันนี่งเราเดินไปเจอผู้ชายคนนึ่งซึ่งเค้าเป็นเจ้าของร้านอาหารในย่านของถิ่นคนรวย
ผู้ชายคนนี้คุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นผู้หญิง ในมือของผู้ชายคนนี้ถือลักษณะเหมือนสร้อย
(แอดมินคาดว่าน่าจะเป็นสายประคำ) นั่งคุกเข่านานมาก เราผ่านไปเราก็จะเห็นเสมอ มีอยู่คืนหนึ่ง
เราก็เดินผ่านตรงนี้ แต่ไม่เห็นผู้ชายคนนี้มาคุกเข่าเหมือนเคย เพราะว่าร้านปิดแล้วเวลานั้นประมาณ
เกือบสี่ทุ่ม

เราก็ยืนมองรูปปั้นนั้น คิดในใจว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้คือใคร? ทำไมหน้าตาใจดีจัง เราก็เลยยกมือ
ไหว้และลองขอดูบ้าง ขอให้เราได้งานและได้งานที่ใกล้บ้าน แล้วเราก็เดินกลับบ้าน ไม่เคยติดใจว่า
จะต้องได้ตามที่ตัวเองขอ จนกระทั่งมีโทรศัพท์จากเพื่อน เพื่อนบอกให้เราเข้าไปคุยกับเจ้านายเค้า
เรารู้สึกดีใจมากและที่สำคัญมันใกล้บ้านเรา เราดีใจ และเราก็ได้ทำงานที่นั่นจนถึงบัดนี้ เรานึกถึง
ผู้หญิงคนนั้นขี้นมาทันทีและไปเลาให้เพื่อนฟัง เพื่อนเราทำงานแถวนั้นเค้าบอกว่า รูปปั้นนั้นเป็นรูปปั้น
พระแม่มารีย์ของคริสต์ เราก็ไม่รู้จักหรอกรู้ก็คือ พระเยซู เท่านั้น

หลังจากนั้นเราก็ไปเปิดหาข้อมูลในกูเกิ้ล และก็ได้รู้จักกับพระแม่มารีย์เยอะขึ้น เกือบ 5 ปีหลังจาก
ที่เราขอพรจากท่าน เราตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาเมื่อไม่นานนี้เอง เราเริ่มหาที่เรียนคำสอนเดินเข้าไป
ถามที่โบสถ์ว่า เรียนที่ไหน? เขาแนะนำให้เรามาเรียนที่อัสสัมชัญ ระยะเวลาเรียนเกือบปี

แรกๆเข้าไปเรารู้สึกว่า ทำไมเค้าสอนไม่เน้นความงมงาย มีให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ด้วย มีแง่คิด
ต่างๆ เวลาเข้าโบสถ์ก็รู้สึกว่า สงบ ไม่ได้แตกต่างจากพุทธเลย แต่ความศรัทธาในใจเราได้ให้กับ
ศาสนาคริสต์ไปแล้ว เรารู้สึกชื่นชมพระเยซูที่ท่านไม่ได้รู้สึกโกรธคนที่ทำร้ายท่านและตอกตะปูท่าน
บนไม้กางเขน กลับให้อภัยทุกคน มันไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่จะไม่โกรธเวลาที่ใครมาทำให้เราเจ็บ
รู้สึกรักแม่พระเพราะท่านเป็นคนที่จิตใจดีงาม

การเปลี่ยนศาสนาของเราจึงเป็นสิ่งที่เรารักและศรัทธา จนมาถึงวันนี้เราได้ผ่านการเรียนคำสอน
ตามที่เค้ากำหนด รู้สึกดีใจที่เราได้เป็นลูกแกะของพระองค์ ตอนนี้เรากำลังหาชื่อนักบุญ และพ่อแม่
ทูนหัว ชื่อนักบุญคงเป็นมารีอา เพราะเราเป็นผู้หญิง แต่เราอยากมีนักบุญชายอีกคน เราอยากจะ
บอกทุกคนที่อยากเปลี่ยนศาสนา ทุกศาสนาดีหมด ไม่มีศาสนาไหน ให้ไปทำร้ายผู้อื่น แต่ความรัก
และความศรัทธาขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า เราใช้เวลาในการตัดสินใจเกือบ 5 ปี และเราก็รู้ว่าสิ่ง
ที่เรารักคือ พระเจ้า พระเยซู และแม่พระ

ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่า เคยเห็นเหรอ? มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เหมือนตอนเราเป็นพุทธเราก็
คิดนะ พระพุทธเจ้ามีจริงเหรอ? ใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริง? คลอดมาเดินได้ 7 ก้าวเลยเหรอ?
แต่นั่นคือความศรัทธา ของแต่ล่ะบุคคล...

CR. : https://www.facebook.com/share/p/ZHhGjj ... tid=I6gGtw
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 06, 2024 6:40 pm

( 19 )


✝️ เล่าประสบการณ์ที่ได้รู้จักพระเจ้า

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป
วันนี้ผมขอมาระบายนิดน่อย
คือผมอยากจะเล่าเรื่องราวต่อไป ที่เกี่ยวกับพระเจ้า อาจจะยาวสักหน่อย

เมื่อผมอยู่ ม.3 ผมเป็นคนที่ติดบุหรี่มาก เลิกไม่ได้ และชอบไปแว๊นกับเพื่อนๆตอนกลางคืน
กลับบ้านที่ก็ตี3ตี4 บางวันยังไม่ได้นอนเลย

และผมก็ได้ลองยาโปร ครั้งแรกที่กินก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอเพื่อนเอามาให้เยอะๆก็กินตามเพื่อน
แล้วก็ติด แม้ผมจะรู้ว่าของพวกนั้นเป็นสิ่งไม่ดี แต่ผมก็ยังทำ

จนวันหนึ่งที่ผมไปแว๊นกับเพื่อน ก็มีชาวคริสตังอยู่คนหนึ่งเค้าแก่แล้ว เค้าพูดกับผมว่าพระเจ้ารัก
เธอนะ เค้าพูดกับผมคนเดียวทั้งๆที่เพื่อนผมก็อยู่กับผมหลายคนแต่เค้าก็ไม่ได้พูดกับเพื่อนผม
ตอนแรกในใจผมตอนนั้นก็คิดว่าป้าบ้าหรือเปล่าวะ

ผมไม่เคยตั้งใจกับการเรียนเลย ผมโดดเรียนประจำ

จนมีอยู่วันหนึ่งแม่ผมบอกว่าถ้าไม่ยอมเลิกบุหรี่และยาโปร ท่านจะพาผมไปบำบัด ซึ่งผมที่อยู่กับ
ของพวกนั้นอย่างดีจะรู้ว่าการบำบัดของเค้านั้นไม่ได้ง่ายเลย และผมก็ไม่อยากไป ผมหมดที่พิงแล้ว
ผมก็คงต้องไปเป็นเหมือนไอ้ขี้ยาที่ขายยาให้พวกผม ตอนนั้นผมคิด

แล้วจู่ๆคำพูดของชาวคริสตังคนนั้นก็ดังในหัวผม ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ผมเมื่อได้ยินคำว่าพระเจ้า
ก็เลยลองศึกษาดู และทดลองท่านว่า ถ้าผมเลิกบุหรี่และยาเสพติดทั้งหลายได้ ผมจะเชื่อ
และติดตามพระองค์ ตอนนั้นดูเหมอนว่าผมจะเริ่มกลับใจแล้วด้วยเล็กน้อย

จนผ่านไปสามวันที่ผมลองไม่ยุ่งกับของเหล่าดู ตัวผมก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอเพื่อนชวนก็ไป เมื่อเพื่อนๆ
สูบบุหรี่กัน ก็มีคนหนึ่งให้บุหรี่ผมเหมือนแต่ก่อน แต่คราวนี้ผมยังไม่ทันหยิบจากมือมันเลย ผมก็
อาเจียนอย่างหนักจนเพื่อนถามว่าเป็นไรป่าว ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรและให้เอาบุหรี่คืนไป ผมรู้สึก
หมดอารมณ์ในการสูบบุหรี่อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ มันเหมือนพร้อมจะอาเจียนได้ตลอกเวลาที่
หยิบสิ่งเสพติดทั้งหลาย จนสุดท้ายกับก็เลิกได้ทั้งหมดเลย

และเมื่อเพื่อนผมชวนไปแว๊นตามปกติ ผมก็กลับไม่อยากไปทั้งๆที่แต่ก่อนอยากไปจะตาย
อยากไปจนต้องแอบหนีพ่อแม่ไปก็มี พอวันใหม่ที่ต้องไปเรียน ผมก็กลับตั้งใจเรียนอย่าง
บอกไม่ถูก จนคนรอบข้างหลายคนชื่นชมในตัวผมที่กลับใจได้
การเรียนของผมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับตัวผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ตอนนั้นก็เริ่มคิดกับตัวเองแล้วต้องเป็นเพราะอัศจรรย์ของพระเจ้าแน่นอน
และผมก็เริ่มตีตัวออกห่างเพื่อนๆเก่าของผม จนพวกมันไม่พอใจและหาว่าผมเป็นเพื่อนกิน
ไม่ใช่เพื่อนตาย แต่ผมก็เลือกที่จะเดินออกมา

เมื่อผมขึ้นม.4 ศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างจริงจัง และเริ่มติดต่อคุณพ่อเพื่อเรียนคำสอน
ผมรู้ดีทุกครั้งที่ได้อ่านไบเบิ้ลและเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์
จนแม่ผมผิดสังเกตเลยถามว่าไปไหนมา ผมกลับไม่กล้าพูด ทั้งๆที่แต่ก่อนมีอะไรก็พูดไม่ใช่
พูดสิตอนนั้นต้องเรียกว่าตะคอกแล้วกัน แต่ตอนนี้กับกับนับถือท่านและเกรงใจท่านที่จะพูด
ออกไป เพราะครอบครัวเป็นพุทธกันหมด แต่สำหรับผมคิดคิดว่าศาสนามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
คือระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าหรือจะเป็นพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธก่อนได้ ดังนั้นผมจึงคิดว่า
ยังไงๆศาสนาก็มีเพียงหนึ่งเดียวคือสอนให้คนเป็นคนดี
แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบพ่อแม่ไปเรียนคำสอนผมเรียนมาได้ 4 เดือนแล้ว และก็ได้ฟังมิสซาและ
พยายามเก็บมาคิดและนำมาใช้ที่สุด และพยายามทำตามพระบัญญัติทุกประการ มันถึงเวลา
ที่ต้องบอกพวกท่านหรือหรือยังครับ
คือผมไม่อยากแอบๆอีกต่อไป อยากให้พวกท่านรู้ไปเลยแม้ว่าพวกท่านจะไม่ยอมรับก็ตาม
ผมอายุ 15 ปีครับเพราะเข้าโรงเรียนเร็วตอนนี้เลยอยู่ม.4 และผมสามารถเข้าพิธีล้างบาป
ได้หรือเปล่าครับเมื่อเรียนจบ แต่ก่อนจะรับศีลล้างบาปผมคงอายุ 16 ครับ ก็เลยอยากขอ
คำแนะนำอ่ะครับ ตัวผมคงคิดไม่ออก อยากได้ความคิดเห็นเยอะๆ

ผมเลยพูดกับพวกท่านในเชิงเล่นๆไม่ได้จริงเพื่อไม่ให้เครียดว่า ที่ผมกลับตัวกลับได้ก็เพราะ
พระเจ้าผมยอมรับเลยว่าถ้าไม่ได้รู้จักพระเจ้า ผมคงเป็นไอ้ขี้ยา แต่พวกท่านก็บอกว่าไร้สาระ
ที่ผมเปลี่ยนตัวผมได้ก็เพราะตัวผมเอง มันยิ่งทำให้ผมไม่กล้าพูดกับท่านอีก

CR. : https://www.facebook.com/share/p/VVLe1M ... tid=WC7FNe
ตอบกลับโพส