เรื่องเล่าเสริมศรัทธา ( ชุดที่ 2 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ค. 12, 2022 10:46 pm

( 1 )

คุณคือ “ พระเยซู หรือคะ “

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีพนักงานขายกลุ่มหนึ่งไปประชุมการขายระดับภูมิภาคในนิวยอร์กเป็น
เวลาหนึ่งสัปดาห์ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี และด้วยความเร่งรีบ กับพวกตั๋ว
และกระเป๋าเอกสารเพื่อจะเดินทางกลับไปเท็กซัล พนักงานขายคนหนึ่งบังเอิญไปชนโต๊ะที่มี
คนขายแอปเปิ้ลอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขารีบมากไม่ได้หยุดดู พวกเขาทั้งหมดสามารถไปถึง
เครื่องบินได้ทันเวลาสำหรับเที่ยวบินที่เกือบพลาดไป
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น รู้สึกเห็นอกเห็นใจหญิงสาว ที่ตั้งขายชั้นแอปเปิ้ล แล้วถูก
ชนพลิกคว่ำ เขาบอกเพื่อนๆ ว่าให้ไปโดยไม่มีเขา และฝากบอกพวกเขาคนหนึ่งให้โทรหาภรรยา
ของเขา เมื่อพวกเขาไปถึงไนโรบี และให้อธิบายว่าเขาจะขึ้นเครื่องบินในภายหลัง
จากนั้นเขาก็กลับไปที่ท่าเรือซึ่งมีแอปเปิ้ลเกลื่อนอยู่เต็มพื้น เขาเห็นเด็กหญิงวัย 16 ปี ตาบอดสนิท
เธอร้องไห้เบาๆ น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความหงุดหงิด ในขณะที่เธอคลำหาผลผลิตที่ตกหล่น ของเธอ
อย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่ฝูงชนมองดูและผ่านไปมา ไม่มีใครหยุดและไม่มีใครดูแลชะตากรรมของเธอ
พนักงานขายคนนี้ ก็คุกเข่าลง รวบรวมแอปเปิ้ล วางกลับลงบนโต๊ะและช่วยจัดวางตั้งขายให้โดย
ช่วยแยก ส่วนที่ ช้ำ เก็บไว้ในตะกร้าอีกใบ เมื่อเขาทำเสร็จแล้ว เขาก็เอาเงินออกมาจากกระเป๋า ยื่น
ให้ ผู้หญิงคนนั้น และพูดว่า นี่เป็นเงิน 100 เหรียญ สำหรับเป็นค่าความเสียที่พวกเราได้ทำ คุณโอเคไหม
เธอพยักหน้าทั้งน้ำตาและเขาก็พูดต่อด้วยว่า ฉันหวังว่า เราจะไม่ทำให้วันดีๆของคนเสียเกินไป
ขณะทื่พนักงานขายเริ่มเดินจากไป หญิงตาบอดที่กำลังงุนงง ก็เรียกเขาว่า "นาย.."
เขาหยุดและเดินกลับไปมองเข้าไปในดวงตาที่มืดบอดนั้น หญิงนั้นพูดต่อว่า คุณคือพระเยซูหรือ?
เขาหยุดกลางคัน และสงสัย เขาพูดเบาๆ ว่า เปล่าฉันไม่เหมือนพระเยซู เพราะพระองค์ท่านเป็นคนดี
ใจดี เอาใจใส่ รัก
หญิงสาว พยักหน้าเบาๆ พูดว่า ฉันได้อธิษฐานขอให้พระเยซูมาช่วยเก็บแอปเปิ้ล พระองค์ทรงส่งคุณมา
ช่วยฉัน คุณจึงเป็นเหมือนพระองค์ มีเพียงพระองคฺ์เท่านั้นที่รู้ว่าใครจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์
ขอบคุณที่รับฟังการเรียกของพระองค์
เขาค่อยๆ ครุ่นคิดอย่างช้าๆ ขณะที่นั่งไล่ดูตามเที่ยวบินต่อไปด้วยคำถามที่ลุกโชนและสะท้อนอยู่ใน
จิตวิญญาณของเขา
"คุณคือพระเยซูใช่หรือไม่"
“ผู้คนเข้าใจผิดว่า คุณเป็นพระเยซูหรือไม่”
นั่นคือชะตากรรมของเราในฐานะคริสตชนใช่ไหม
เราต้องเป็นเหมือนพระเยซูอย่างมาก จนผู้คนไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ในขณะที่เรายังมี
ชีวิตอยู่และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกที่มองไม่เห็นความรัก ชีวิต และพระคุณของพระองค์ถ้าเราอ้างว่า
รู้ เข้าใจพระวาจาของพระองคฺ์ เราควรมีชีวิตอยู่ เดิน และกระทำตามที่พระองค์ จะทรงทำ (มีคา 6:8)
การรู้จักพระองค์ต้องเป็นมากกว่าการอ้างพระคัมภีร์โดยไปที่คริสตจักร
แต่มันคือการดำเนินชีวิตตามพระวาจาในขณะที่ใช้ชีวิตในแต่ละวัน
คุณคือแก้วตา ดวงใจของพระองค์ แม้ว่าคุณเองเคยกระทำผิดพลาด
เช่นดังตัวอย่างที่ผ่านมา ที่พวกเขาได้ทำความเสียหาย แต่เขาก็ได้หยุด และเลือกที่จะตามแบบ
อย่าง พระองค์
คุณกับฉันได้ขึ้นไปบนเนินเขาชื่อ Calvary ที่เต็มไปด้วยผลไม้ที่เสียหายของเรา
ได้โปรดให้ใครซักคนได้ยินเรื่องเหล่านี้ อาจเป็นพระพร
หวังว่าคุณจะชอบที่จะแบ่งปันสิ่งนี้


:s002:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 13, 2022 8:57 pm

( 2 )

คุณครูวินสตัน เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในรัฐเคนตักกี้
เขาได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตครูซึ่งสอนมานานกว่า 12 ปี - -
.
ในการสอบวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อสงครามโลกครั้งที่ 2 นักเรียนชายที่เขาไม่เปิดเผยชื่อได้ทำ
คะแนนสอบสูงสุดถึง 94 คะแนน ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนชาย
คนนี้เรียนเก่งมาก แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ตรงด้านล่างกระดาษคำตอบ- - นักเรียนคนนี้
ได้เสนอคะแนนโบนัส 5 คะแนน ที่เขาจะได้รับพิเศษจากการทำคะแนนสอบสูงสุด มอบให้กับ
นักเรียนคนไหนก็ได้ที่ทำคะแนนสอบต่ำสุด!
.
คุณครูวินสตันเล่าว่า ปกตินักเรียนชายคนนี้มีจิตใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า
เขาจะยอมสละ 5 คะแนนนั้น เพราะถ้าเก็บไว้เอง ก็จะทำให้เขาได้คะแนนรวมถึง 99 คะแนน
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า-โดยทั่วไป ธรรมชาติของเด็กเรียนเก่ง มักจะยึดติดกับเรื่องคะแนนมาก
และอยากได้เป็นที่หนึ่งสูงสุดเสมอ!
.
แต่ไม่ใช่นักเรียนคนนี้ เขากลับเสียสละได้อย่างง่ายดาย และให้โดยไม่สนใจว่าคนที่ได้รับคะแนน
พิเศษนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา, เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาให้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ไม่เกี่ยงด้วยซ้ำว่า
นักเรียนคนนั้นจะขี้เกียจ เกเร หรือสมควรได้รับคะแนนพิเศษหรือไม่
.
คุณครูวินสตันทำตามที่เขาขอ - - และปรากฏว่า 5 คะแนนนั้น ได้ช่วยนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งสอบ
ไม่ผ่าน เพราะได้เพียง 58 คะแนน กลับกลายเป็นสอบผ่านด้วยคะแนน 63 จากคะแนนโบนัสที่
นักเรียนชายใจดีสละให้! แน่นอน, คุณครูวินสตันไม่บอกทั้งสองฝ่ายว่าใครเป็นคนได้คะแนน
และใครเป็นคนให้คะแนนพิเศษนั้น...
.
หลังจากที่คุณครูวินสตันได้แบ่งปันเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย มีคนพูดถึงและส่งต่อกันไปเป็น
จำนวนมากจนกลายเป็นกระแส - - หลายคนชื่นชม ในขณะที่อีกหลายคนตำหนิคุณครูว่าไม่ควร
ทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว คุณครูวินสตันกับทางโรงเรียนก็ยัง
ยืนยันและมองเห็นตรงกันว่าได้ผลดีมากกว่าผลเสีย!
. . . . .
.
เราเกิดมาในระบบของการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นความเป็นที่หนึ่งมาตลอด ไม่ต้องดูอื่นไกล ตั้งแต่
เริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาล เราก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับเกมยอดนิยม”เก้าอี้ดนตรี”ที่เล่นกันมาทุกยุค
ทุกสมัย เล่นได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เกมนี้ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เน้นความบันเทิงอย่างเดียว
แต่ลองคิดดูดี ๆ ว่าเกมนี้บอกอะไรกับเราบ้าง - -
.
เพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับการเป็น “ที่หนึ่ง” ไม่ว่าในเรื่องการเรียน เกมหรือแม้แต่กีฬา
ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จึงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เรากำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเกือบ
ทุกประเภทจนถือเป็นมาตรฐานว่า ผู้ชนะคือผู้ที่เก่งกว่า, ฉลาดกว่า, แข็งแรงกว่า, ตัวใหญ่กว่า,
หรือรวดเร็วกว่าเท่านั้น และแน่นอน ผู้แพ้ที่ถูกคัดออก ก็คือผู้ที่อ่อนแอ ตัวเล็ก ไม่ฉลาด หรือช้านั่นเอง - -
โลกทุกวันนี้ จึงมีแต่ผู้ที่มุ่งมั่นต้องการเป็นที่หนึ่ง ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว...
.
ผมนึกถึงคุณพ่อวิลเลี่ยมเคยพูดที่โบสถ์ St. Therese Parish (แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย) ถึงเกม
'เก้าอี้ดนตรี"นี้ไว้อย่างน่าฟังเมื่อนานมาแล้ว... ท่านบอกว่า ถ้ากติกาการเล่นเกมนี้เปลี่ยนไป - -
เก้าอี้มีน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นเหมือนเดิม แต่เมื่อเสียงดนตรีหยุดลง กติกาใหม่กำหนดว่า ผู้เล่น
ทุกคนต้องมีที่นั่งเสมอ นั่นหมายความว่าใครบางคนต้องแบ่งที่นั่งร่วมกับคนอื่น หรือให้ใครอีก
คนนั่งตัก ลองนึกภาพดูสิว่า มันจะเป็นอย่างไร?
.
เมื่อกติกาเปลี่ยนไปอย่างนี้ การเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันจะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำ เด็กตัวเล็ก บอบบาง
จะไม่ถูกผลักออกไปเป็นคนแรกอย่างที่เคยเป็น แต่กลับถูกดึงให้มานั่งร่วมเก้าอี้ตัวเดียวกัน
เพราะเด็กตัวเล็กจะกินเนื้อที่น้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่าหากจำเป็นต้องให้นั่งตัก เมื่อเล่นต่อไปเรื่อย ๆ
เกมจะสนุกมากยิ่งขึ้นตรงที่พวกเขาต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้นั่งในขณะที่จำนวน
เก้าอี้เหลือน้อยลงทุกที... จนในที่สุดเด็กทุกคนต่างนั่งซ้อนตักต่อ ๆ กันไปบนเก้าอี้ตัวเดียวกันครบ
ทุกคน ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ที่ถูกคัดออก- -
.
ชัยชนะเป็นของทุกคน ชัยชนะที่ได้มาจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่”ที่หนึ่ง”ของใครเพียงคนเดียว
ทุกคนล้วนเป็นที่หนึ่ง!
. . . . .
.
เรื่องของคุณครูวินสตันกับนักเรียนเก่งคนนี้ก็เช่นกัน - - สะท้อนให้เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และสามารถ
มองได้หลายมุม แต่มุมหนึ่งที่สำคัญ- - คุณครูวินสตันต้องการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจและรู้จัก
ช่วยเหลือของเด็กนักเรียนคนนี้ ที่เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องคะแนนที่ต้องสูงสุดเป็นที่หนึ่งเสมอ!
.
เพราะที่ผ่านมา เราต่างเห็นผลร้ายจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวมามากมายแล้ว... บางครั้ง, การสอบผ่านหรือ
ไม่ผ่าน เก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่สาระของชีวิตเลย เมื่อเราออกมาใช้ชีวิตนอกโรงเรียน เราจึงรู้ว่าความรัก
, การเห็นอกเห็นใจ, เสียสละ, แบ่งปัน ถึงจะทำให้โลกนี้อบอุ่น สวยงาม และยังคงน่าอยู่ต่อไป...
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าประทานพรให้เราเป็น'ที่หนึ่ง'ของกันและกันด้วยความรัก ]
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 13, 2022 9:24 pm

( 3 )'

โจ' เรียนอยู่ ม.3 แม่พาโจมาตรวจด้วยความรู้สึกว่าลูกชายค่อนข้างเครียดกับหลายๆ เรื่อง

โจเป็นเด็กหัวดี เรียนรู้เร็ว สอบได้คะแนนดีมาตั้งแต่ชั้นประถม

ตอนแรกที่คุยกัน หมอไม่แน่ใจว่ามีอะไรที่ผิดปกติ เพราะดูแล้วก็โอเคไปหมด แต่สุดท้ายโจก็
เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่รบกวนใจของเขาก็คือ ความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ

ยกตัวอย่างว่า ก่อนหน้านี้ โจสอบชิงทุนภาคฤดูร้อนไปเรียนภาษาอังกฤษที่อังกฤษ พ่อแม่
สนับสนุนให้ไป แต่โจก็ปฏิเสธไม่ไป เพราะว่ากลัวการไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว แม้เป็น
ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่อยากจะไป

โจบอกว่า จริงๆอยากไป รู้สึกเสียดายมาก แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นทำให้ไม่กล้า

นอกจากเรื่องไปต่างประเทศ แม้แต่เรื่องอื่นๆที่ผ่านมา เช่น ได้รับเลือกเป็นตัวแทนห้องไปแข่งขัน
ตอบปัญหาวิชาการของระดับชั้น โจก็ปฏิเสธ เพราะกลัวว่าจะทำผิด กลัวคนอื่นมองไม่ดี

เมื่อถามว่าคิดว่าตัวเองมีความมั่นใจว่าทำอะไรได้ดีในเรื่องอะไรบ้าง หลังจากนั่งคิดอยู่นาน
โจก็ตอบมาว่า

"ผมไม่แน่ใจ อยากให้หมอลองถามแม่ดูว่าผมมีอะไรดีๆบ้างไหม รู้แต่ข้อเสียของตัวเอง แม่จะเป็น
คนที่รู้จักผมดีที่สุด ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันไม่เคยดีในสายตาแม่เลย"

จากการพูดคุยกับโจและแม่ พบว่าแม่ของโจไม่ค่อยชมเชยลูกเท่าไหร่ เธอกลัวว่าจะทำให้ลูกเหลิง
ส่วนใหญ่จะคอยติและตำหนิมากกว่า ถึงลูกจะทำได้ดีเท่าไหร่ แต่เธอก็มักจะบอกว่าต้องดีกว่านี้
และนอกจากนั้นจะคอยตัดสินใจทุกๆ เรื่องแทนลูก เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอคิดให้จะดีที่สุด

.

มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่หมอพบบ่อย นั่นก็คือเด็กที่ไม่กล้า ไม่เชื่อมั่น ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ทั้งที่ทำได้
มีความสามารถอยู่ จึงค่อนข้างน่าเสียดาย เพราะทำให้เสียโอกาสในชีวิตไปหลายๆครั้งเพราะ
ไม่กล้าที่จะทำ หรือตัดสินใจ

บ่อยครั้งที่หมอพบว่า พ่อแม่ของเด็กๆที่ไม่เชื่อมั่นและขี้กลัวเหล่านี้มักมีลักษณะการเลี้ยงลูกที่
คล้ายคลึงกัน ที่มักจะพบบ่อย ก็คือ

- พ่อแม่ที่ทำให้ลูกทุกอย่าง

จริงๆ เพราะรักและปรารถนาดีต่อลูก อยากให้ลูกสบาย ก็จะทำทุกอย่างให้ หรือเพราะความเคยชิน
ที่ทำให้ตั้งแต่เด็ก รู้สึกไม่มั่นใจว่าถ้าปล่อยให้เด็กทำเองจะทำได้ดีหรือไม่ ทั้งๆที่บางเรื่องเด็กควรจะ
ทำเอง รับผิดชอบตัวเอง เช่น กินข้าวเองได้แต่ก็ยังป้อนข้าว เด็กก็จะรู้จักแต่โลกที่สบาย จนขาดทักษะ
ในการช่วยตัวเอง

และเมื่อลูกไม่เคยทำอะไรเอง เพราะมีแต่คนทำให้ ลูกอาจจะสบายก็จริง แต่ลึกๆก็จะรู้สึกกลัวและ
ไม่แน่ใจว่า ถ้าไปทำเองจะทำได้หรือไม่ เพราะมีคอยคนทำให้ตลอด และความรู้สึกแบบนี้ก็จะติดตัว
ไปจนโต จนถึงทุกๆเรื่องที่เขาจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง เขาก็จะไม่มั่นใจ ไม่กล้า เพราะไม่เคยได้รับ
การฝึกฝนให้ทำอะไรเองมาก่อน

- พ่อแม่ที่คิดและตัดสินใจแทนลูกไปทุกเรื่อง

เพราะมีความกังวลว่าถ้าลูกคิดเองทำเองอาจจะไม่ดี ต้องเป็นแบบที่พ่อแม่คิดและตัดสินใจให้
เมื่อบ่อยครั้งเข้า ลูกก็จะเคยชินกับการที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ให้คิดและตัดสินใจแทนลูก แต่พ่อแม่ลืม
ไปว่า พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดไป สุดท้ายต้องมีสักครั้งที่ลูกจะต้องพึ่งความคิดและการ
ตัดสินใจของตัวเอง แต่เมื่อไม่เคยได้คิดและตัดสินใจเองในเรื่องเล็กๆ ทำให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
จึงทำให้เครียด ไม่กล้า กังวลง่าย ไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อถึงคราวที่ต้องคิดหรือตัดสินใจเอง

- พ่อแม่ที่ช่างว่าและติ จับผิดลูกเป็นประจำ

ถ้าไม่ดีถูกใจพ่อแม่ ก็จะเกิดการดุว่าตำหนิ เช่น แม่บอกลูกว่า "ทำไมถึงไม่ทำแบบนี้..." หรือ
"ถ้าทำแบบนั้นตามที่แม่บอก มันต้องดีกว่านี้" ลูกก็จะรู้สึกว่า ตัวเองคงไม่มีความสามารถเท่าไหร่
ทำอะไรก็ไม่ดีในสายตาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับสายตาคนอื่น ลูกก็จะรู้สึกกลัวไปก่อนเวลาที่ต้อง
ทำอะไรเอง ว่าคงจะออกมาไม่ดี คนอื่นจะต้องว่าต้องตำหนิแน่ๆ

-พ่อแม่ที่ไม่ค่อยชมเชยลูกแม้ว่าลูกจะทำอะไรได้ดี

แม้ว่าพ่อแม่จะเห็นว่าลูกทำได้ดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากชมเพราะกลัวว่าลูกจะเหลิง ต้องสรรหา
ข้อไม่ดีมาดุมาว่า คิดว่าน่าจะทำให้ลูกได้ดี แต่ในความเป็นจริง ลูกๆก็เหมือนต้นไม้ที่กำลังโต
คำชมที่ได้อย่างเหมาะสมเมื่อลูกทำอะไรได้ดี ก็เหมือนปุ๋ยที่ทำให้ต้นไม้เจริญงดงาม ลูกๆจะนำ
เอาคำชมที่ได้รับไป ทีละเล็กทีละน้อย ว่าเขาก็มีความสามารถที่จะทำอะไรได้ ข้อดีต่างๆ ที่พ่อแม่บอก
ให้เขารับรู้ จะสะสมไว้ในจิตใจ และฟูมฟักจนกลายเป็นความภาคภูมิใจในตัวเอง เห็นคุณค่าที่ตัวเอง
เป็นและมีอยู่ และกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองต่อมาเมื่อเป็นผู้ใหญ่

หากพ่อแม่คนไหนเริ่มรู้สึกว่าตรงกับตัวเอง ก็ไม่สายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง
แต่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้และตอนนี้

ต้องเข้าใจว่าความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา
และเป็นสิ่งที่เด็กต้องรู้สึกด้วยตัวเองจากประสบการณ์ชีวิตและการเลี้ยงดูในวัยเด็กอย่างเหมาะสม

หมายเหตุ: เรื่องของโจ เป็นเรื่องที่หมอดัดแปลงมาจากกรณีที่เกิดขึ้นจริง
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบแก่บุคคลที่สาม

#หมอมินบานเย็น

:s015:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 13, 2022 9:34 pm

( 4 )

ชะตาชีวิตแปรเปลี่ยนได้

คุณหลี่เป็นพ่อค้าอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง วันนี้ระหว่างที่เดินอยู่ในตลาด ได้มีซินแสหมอดู
เข้ามาทักว่า "ปีนี้คุณอายุ 40 แล้ว และก็ยังไม่มีลูกหลานเลยใช่ไหม" คุณหลี่รู้สึกแปลกใจ
จึงหันไปตอบว่า "ใช่ครับ แม่นจริงซินแส" ซินแสพูดต่อไปว่า "แม่นแค่นี้ยังไม่พอ คุณต้อง
ระวังตัวให้จงดี เกรงว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินตุลาคมปีนี้" ซินแสเตือนด้วยความหวังดีต่อไปว่า
"คุณควรจะเตรียมตัวเตรียมใจให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า" คุณหลี่ตกใจ แต่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
พอสอบถามเพื่อนฝูงและชาวบ้านแถวนั้น จึงรู้ว่าซินแสคนนี้ไม่ธรรมดา การทำนายทายทักมักจะ
แม่นจนชาวบ้านนับถือมาก

คุณหลี่คิดหนักอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าน่าจะเตรียมการอะไรไว้บ้างตามที่ซินแสแนะนำ
แกจึงออกเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อตามเก็บหนี้สินที่ลูกค้าติดค้างกันไว้ในช่วงทำการค้า หลังเก็บ
หนี้สินส่วนใหญ่เรียบร้อยแล้วก็เตรียมเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางเจอฝนตกหนักตลอดทาง
จนสุดท้ายน้ำท่วมถนนหนทางจนเดินทางต่อไปไม่ไหว แกจึงหาโรงเตี๊ยมพักระหว่างทาง

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ แกก็ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายละแวกโรงเตี๊ยม ก็พอดีเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
กระโดด ลงไปในแม่น้ำต่อหน้าต่อตาเพื่อฆ่าตัวตาย แกตกใจมากรีบตะโกนบอกว่า "มีผู้หญิง
กระโดดน้ำ ใครก็ได้ช่วยชีวิตเธอที ใครช่วยได้มารับเงินรางวัลไป 20 ตำลึง" ในยุคนั้นเงิน
จำนวนนี้ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย แม้น้ำในแม่น้ำจะเชี่ยวกรากแค่ไหน แต่ก็มีคนรีบกระโดด
ลงไปช่วย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ถูกช่วย ขี้นมาจนสำเร็จ แน่นอนที่สุด เงินรางวัล 20 ตำลึง
ก็ถูกจ่ายให้คนช่วยทันที

คุณหลี่หันไปถามผู้หญิงว่า "อายุก็ยังไม่เยอะ ทำไมจึงคิดสั้น ถ้าช่วยไม่ทันก็คงตายไปแล้ว"
ผู้หญิงเล่าทั้งน้ำตาว่า "ที่บ้านขัดสนจนไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ ค่าเช่าที่นาก็ถึงเวลาต้องจ่ายค่า
เช่าแล้ว สุดท้ายก็เลย นำเอาหมูที่เลี้ยงไว้เพียงตัวเดียวไปขายที่ตลาด โชคร้ายที่เงินที่ขายได้
ดันเป็นเงินปลอมทั้งหมด สามีที่บ้าน ก็มีนิสัยมุทะลุดุดันไม่ยอมฟังเหตุผล ดิฉันไม่มีทางออก
เลยคิดฆ่าตัวตายให้มันจบๆกันไป" คุณหลี่ถามว่า ขายหมูไปได้เงินเท่าไหร่ พอรู้จำนวนแล้ว
แกก็ควักเงินอีกเท่าตัวมอบให้ผู้หญิงไป "นำเงินกลับไปตั้งหลักใหม่ หนี้สินไปจ่ายให้เรียบร้อย
ที่เหลือก็จัดการให้ดีเพื่อชีวิตจะได้ดีขึ้นกว่าเดิม" ผู้หญิงก้มรับเงินจำนวนนั้น ด้วยคราบน้ำตา

เมื่อกลับถึงบ้าน ผู้หญิงเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟัง แต่สามีไม่เชื่อเด็ดขาด แน่ใจว่าภรรยา
ต้องเล่นไม่ซื่อกับแก แกบอกว่า "ยังมีคนดีขนาดนี้บนโลกใบนี้อีกหรือ ต่อให้เธออมพระมาพูด
ก็ไม่เชื่อ ออกเงินจ้างคนงมเธอขึ้นมาจากน้ำ แล้วยังให้เงินก้อนโตมาอีก มันต้องมีอะไรซ่อนเร้น
แน่นอน" เรื่องทำท่าจะบานปลายไม่จบง่ายๆ สุดท้ายบังคับให้เมียพาไปพบผู้ชายคนนั้น
เมียจำใจต้องทำตาม

เมื่อทั้งสองมาถึงโรงเตี๊ยม ซึ่งก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว เมื่อทราบเบอร์ห้องแล้ว ผู้หญิงก็ไปเคาะประตู
ในขณะนั้นคุณหลี่ได้หลับไปแล้ว พอได้ยินเสียงเคาะประตูเลยตะโกนถามว่า "ใคร" ผู้หญิงตอบว่า
"ดิฉันเองค่ะ คนที่คุณช่วยชีวิตไว้เมื่อตอนเย็น ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงอยากมาขอบคุณเป็น
ทางการอีกครั้ง" คุณหลี่รีบตอบว่า "ไม่ได้เด็ดขาด เป็นสาวเป็นนาง ดึกดื่นเที่ยงคืนมาเคาะประตู
ห้องแบบนี้ได้ไง ถ้ามีธุระอะไร พรุ่งนี้ค่อยพาสามีมาพบพร้อมกันดีกว่า"

เมื่อสามีของผู้หญิงได้ยินเช่นนั้น รู้แน่ว่านี่คือสุภาพบุรุษผู้มีเมตตาจิตเป็นเลิศอย่างแท้จริง จึงรีบตะโกน
บอกไปว่า "เถ้าแก่ครับ ผมกับภรรยามาพร้อมกันอยู่หน้าห้องเถ้าแก่แล้วครับ ขอพวกเราได้มีโอกาส
กราบขอบพระคุณบุญคุณอันมหันต์ครั้งนี้อีกสักครั้งนะครับ"

เมื่อคุณหลี่ได้ยินดังนั้น จึงได้รีบลุกจากเตียง เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วเดินตรงไปเปิดประตู
วินาทีที่ประตูถูกเปิดออก กำแพงห้องที่อยู่ด้านหลังก็พังทะลายลงมาทันที สาเหตุคงเพราะฝนตก
ติดต่อกันมาหลายวัน กำแพงปูนคงอมน้ำและแบกน้ำหนักไม่ไหว พร้อมฐานกำแพงก็อาจไม่แข็งแรงพอ
ทำให้กำแพงห้องด้านนั้นพังครืนลงมาทับเตียงนอนพอดิบพอดี เมื่อคุณหลี่หันไปเห็นก็ตกใจแทบช็อก
นี่ถ้าแกไม่ลุกจากเตียงมาเปิดประตูห้อง ป่านนี้คงกลายเป็นผีเฝ้าโรงเตี๊ยมไปแล้ว

เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป น้ำลดจนผู้คนกลับมาสัญจรได้แล้ว คุณหลี่เดินทางกลับบ้านด้วยความสบายใจ
ระหว่างทางได้เจอซินแสท่านนั้นอีกโดยบังเอิญ ซินแสเข้ามาทักว่า "คุณไปทำบุญทำกุศลเรื่องใหญ่เรื่อง
โตอะไรมาหรือเปล่า ทำไมหน้าตาอิ่มบุญราศีจับจนกลายเป็นคนละคนไปเลย" คุณหลี่ตอบไปว่า
"ก็ไม่มีอะไรมากมายนักหรอก เล็กๆน้อยๆตามประสามนุษย์ที่ดีที่เขาควรจะทำกัน" แต่ซินแสยืนกรานว่า
"ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กเรื่องน้อยธรรมดาสามัญแน่นอน คุณรอดแล้วด้วยน้ำใจของคุณเอง ดีใจด้วยจริงๆ"

นับจากวันนั้นมา ไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตคุณหลี่อีกเลย ธุรกิจการค้าและชีวิตครอบครัวล้วน
ราบรื่นไปหมด แถมแกยังมีอายุอยู่เกินร้อย แล้วยังมีลูกหลานถึงสิบเอ็ดคนในบั้นปลายของชีวิต

คำสอนจีนโบราณสอนไว้ว่า

คนที่ทำแต่ความดีงาม แม้สุขอาจจะยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์โศกก็หนีห่างหายไปแล้ว

ส่วนคนที่ทำแต่ความชั่วร้าย แม้ความอาบัติอาจจะยังไม่มาเยือน
แต่สุขที่ควรจะได้ก็ห่างหายจากไปไกลโขแล้ว

為善之人 福雖未至 禍己遠行
做惡之人 禍雖末到 福己遠行

Facebook:ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
จากเรื่องเล่าโบราณของจีน

:s007:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:40 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ค. 20, 2022 11:31 pm

( 5 )

………ขณะเดซี่กำลังจ่ายเงินตรงช่องชำระเงินของร้านวอลมาร์ต เธอพบว่าเงินที่เหลือในบัตรของเธอมี
ไม่มากพอที่จะจ่ายค่าสินค้าที่จำเป็นต้องซื้อ เธอจึงตัดสินใจเลือกเอาของบางอย่างออกทีละชิ้น เพื่อ
ให้พอดีกับวงเงิน พนักงานแคชเชียร์ผู้แสนใจดีและใจเย็น ก็ยินดีช่วยเธออย่างเต็มที่...
.
จนในที่สุด ก็มาถึงอาหารสำหรับเด็ก ราคาไม่กี่ดอลลาร์ก็จริง แต่เมื่อมันเกินเงินในบัตร เธอก็จำใจ
เอาออกไปก่อน พนักงานแคชเชียร์คงเดาความรู้สึกเธอออก เลยบอกว่า เอาไปเถอะ แล้วพนักงาน
คนนั้น ก็ล้วงเอาเงินจากกระเป๋าของตัวเองจ่ายค่าสินค้าชิ้นนั้นให้เธอ!
.
เดชี่น้ำตาไหลตลอดทางกลับบ้าน เธอเขียนเล่าความรู้สึกว่า
.
“พนักงานแคชเชียร์คนนั้น คงไม่รู้หรอกว่าสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ครอบครัวของฉันลำบากมาก
เธอไม่รู้หรอกว่าแค่เงินไม่กี่ดอลลาร์นั้นมีความหมายกับฉันมากแค่ไหน เธอคงนึกไม่ออกเลยว่า
ความเอื้ออาทรเล็กๆ น้อยๆ ของเธอนั้น มันสำคัญและยิ่งใหญ่มากสำหรับฉัน”
.
ที่สำคัญ ทำให้เดซี่อบอุ่นใจ ไม่ว้าเหว่เกินไปในโลกนี้... เมื่อรู้ว่า ยังมีคนดีอีกมากมายรอบตัวเรา
. . . . .
.
ชายคนหนึ่ง กำเงินในมือ-ดูรู้ว่าจำนวนไม่มากนัก เดินเข้าไปในร้านฟาสต์ฟูด ขณะกำลังยืนเข้าคิว
จะสั่งอาหาร ผู้หญิงคนหนึ่งกับลูกน้อยเดินเข้ามาขอเงินเพื่อเป็นค่ารถไปยังศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน
ชายคนนั้นก้มมองเงินในมือ แล้วก็ตัดสินใจยื่นเงินทั้งหมดให้ผู้หญิงคนนั้น เมื่อเธอกับลูกเดินจาก
ไปแล้ว ชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกจากแถวที่ยืนรอ... เพราะเขาไม่มีเงินที่จะซื้ออาหารสำหรับ
ตัวเองแล้ว...
.
เฟอร์นันโด เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเลยตะโกนเรียกชายคนนั้นให้กลับมา บอกให้สั่งอะไรก็ได้
ที่อยากทาน เขาจะจ่ายให้เอง ชายคนนั้นท่าทีถ่อมตน ตอบปฏิเสธ บอกไม่เป็นไร หลังจากที่เฟอร์นันโด
คะยั้นคะยออยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงยอมตกลง แต่ก็ยังสั่งอาหารชุดเล็กที่มีราคาถูกที่สุดในเมนู - -
เฟอร์นันโดเลยสั่งของตัวเองเป็นชุดใหญ่ที่มีขนมปังและเครื่องดื่มด้วย แต่เมื่อได้รับอาหาร เฟอร์นันโด
สลับอาหาร ให้เขาชุดใหญ่ และตัวเองทานชุดเล็กแทน
.
เฟอร์นันโดเล่าว่า - - “ผมขอบคุณเขาที่แสดงให้ผมเห็นว่า เงินไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าไม่ช่วยเหลือ
ผู้อื่น เขาขอบคุณพลางร้องไห้ ขณะกอดผมแน่น”

เฟอร์นันโดสรุปด้วยข้อคิดที่น่าสนใจ - -

“บางคนได้รับพระพรมากกว่าคนอื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราดีกว่าพวกเขา เป็นการทดสอบที่
พระเจ้ามอบให้เรา เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วเราเป็นคนอย่างไร... จงช่วยเหลือผู้อื่น เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่า
สักวันหนึ่ง คุณอาจต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน"

. . . . .
.
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง‘เศษเงินของหญิงม่าย’ จากพระวรสารนักบุญมาระโก บทที่ 12 ข้อที่ 41
เล่าถึงเหตุการณ์ขณะที่พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลายคน
ใส่เงินจำนวนมาก ต่อเมื่อหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอเอาเหรียญทองแดงแค่สองเหรียญ
ใส่ลงในตู้ทาน - - ไม่ว่าใคร เมื่อเห็นดังนั้น ต่างก็นึกชื่นชมคนมั่งมีที่ใส่เงินมากมาย และดูแคลนเงินเล็ก
เงินน้อยของคนยากจน ในยุคปัจจุบันก็เช่นกัน เรามักเห็นรายชื่อเศรษฐีใจบุญบริจาคเงินครั้งละหลาย
สิบล้านบาท และเป็นที่ยกย่องนับหน้าถือตา เชื่อกันว่าได้บุญใหญ่!
.
แต่พระเยซูเจ้ากลับตรัสต่อบรรดาศิษย์ว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำทานมากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลง
ในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด
นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”
. . . . .
.
ไม่ต่างจากชายคนนั้นที่ยอมยกเงินทั้งหมดให้ผู้หญิงกับลูกน้อยเพื่อจะได้เป็นค่ารถกลับไปยังที่พักพิง
จนตัวเองต้องยอมอดอาหาร, เช่นเดียวกับพนักงานแคชเชียร์-เธอเองก็ไม่ได้มีเงินมากมาย แค่ลูกจ้าง
ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ยังยอมช่วยจ่ายเงินให้เดซี่ซึ่งขัดสนกว่า หน้าที่แคชเชียร์ของเธอไม่จำเป็นต้องทำ
ขนาดนั้น แต่ด้วยหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ หัวใจเธอบอกให้ทำ!
.
แม้ว่าการให้ของ ‘คนตัวเล็ก’ด้วย ‘เงินจำนวนน้อย’เหล่านี้ จะไม่ได้รับการประกาศยินดี เป็นที่รับรู้
ของโลก

แต่จงเชื่อเถอะว่า มันมีค่า-ยิ่งใหญ่ในสายตาของพระเจ้า และเป็นที่รับรู้บนสวรรค์แล้ว!
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าประทานพรให้ใจเรายิ่งใหญ่ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ]

.
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:41 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ค. 31, 2022 10:05 pm

( 6 )

ทุกเช้า, ผมเขียนเรื่องดี ๆ ให้อ่านแทนข่าวร้าย ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว และพยายามเขียนทุกวัน
โดยไม่หยุดแม้วันเสาร์อาทิตย์ หลายคนเข้าใจว่าผมตื่นเช้ามาเขียน แต่ความจริง
ผมเขียนเสร็จตอนเช้าแล้วถึงเข้านอน - -
.
เดิมที ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะเขียนทุกวัน แต่พอหายไป มีผู้อ่านจำนวนหนึ่งที่คอยเฝ้ารอ จะเขียนมาถามว่า
วันนี้ไม่มีให้อ่านหรือ?, บางคนบอกว่าต้องอ่านทุกเช้า แล้วจะมีความสุขไปทั้งวัน, บางคนเขียนมาเล่าว่า
อ่านก่อนไปทำงาน ทำให้มีพลังสดชื่นได้จริง - -
.
วันใดที่อ่อนล้า พอนึกถึงผู้รออ่านเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกมานั่งเขียน! บางวันคนอ่านเยอะมากจน
คาดไม่ถึง บางวันคนอ่านน้อย จน(ต้องยอมรับว่า)แอบรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันใด...
แต่บังเอิญได้อ่านเจอเรื่องนี้ - -
. . . . . .
.
คุณพ่อปีเตอร์เดินทางมาประจำที่โบสถ์ของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง วันแรกของการประกอบพิธีมิสซา
ท่านรอจนเลยเวลาก็ยังไม่มีใครมาสักคน หลังจากผ่านไป 15 นาที สามีภรรยาคู่หนึ่ง เดินเข้ามานั่ง
ที่เก้าอี้แถวสุดท้าย คุณพ่อจึงตัดสินใจเริ่มพิธี... ขณะที่กำลังจะเทศน์ ก็มีชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมม
ในมือถือเชือก เดินเข้ามานั่งฟังแบบเหนื่อยหน่ายอีกคน...
.
เมื่อนึกได้ว่า จากนาทีแรกที่ไม่มีใครเลย ตอนนี้มี 3 คน ก็ถือว่ามากกว่าที่คิด ท่านจึงประกอบพิธีกรรม
และเทศน์อย่างมีความสุขและเต็มไปด้วยความรัก
.
หลังเสร็จพิธี ระหว่างเดินกลับที่พัก โจรสองคนได้ดักปล้นคุณพ่อปีเตอร์ ผลักท่านล้มลง และแย่งกระเป๋าไป
ซึ่งในนั้นมีแค่เอกสารและพระคัมภีร์ไบเบิลหนึ่งเล่ม ที่ท่านใช้ติดตัวมาเป็นเวลานาน ในพระคัมภีร์เล่มนั้น
เต็มไปด้วยวรรคที่ขีดเส้นใต้, ไฮไลท์ท่อนสำคัญ และเขียนอธิบายกำกับในบางช่วงตอน ท่านรู้สึกเสียดาย
แต่ก็ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เดินกลับที่พักไปทำแผล พลางนึกในใจว่า
.
“นี่เป็นวันที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิต ดูเหมือนจะล้มเหลวตั้งแต่วันแรกที่ประกอบพันธกิจ แต่ไม่เป็นไร ฉันตั้งใจ
ทำทุกสิ่งร่วมกับพระเจ้าและเพื่อพระองค์”
.
ห้าปีต่อมา ระหว่างเทศน์ในเย็นวันหนึ่ง คุณพ่อปีเตอร์ได้เล่าประสบการณ์ที่น่าผิดหวังจากวันแรกของท่าน
ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เมื่อเล่าจบลง สามีภรรยาคู่หนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้า ก็ยกมือขึ้น พูดว่า “คุณพ่อครับ
สามีภรรยาที่นั่งอยู่แถวหลังในวันนั้น ก็คือเราครับ วันนั้น เราตั้งใจจะหย่าร้าง ก็เลยนัดมาคืนแหวนกัน
ที่โบสถ์ แต่หลังจากที่ได้ฟังท่านเทศน์วันนั้น เรากลับเปลี่ยนใจ และทำให้เรามีวันนี้ ที่ยังเป็นครอบครัว
เดียวกันครับ”
.
หลังจากนั้นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ได้ขอพูดบ้าง - - “คุณพ่อครับ ผู้ชายที่เนื้อตัว
มอมแมม มีเชือกอยู่ในมือ คือผมเองครับ วันนั้น ผมคิดสั้น เพราะล้มละลาย ผมพยายามฆ่าตัวตาย
แต่เชือกขาด เลยต้องไปซื้อใหม่ ขณะเดินกลับจากซื้อเชือก ผมเห็นโบสถ์เปิด เลยเดินเข้ามานั่งฟัง
พร้อมกับเชือกในมือที่คุณพ่อเห็นนั่นล่ะครับ คำเทศน์ของคุณพ่อทำให้ผมกลับออกไปด้วยจิตวิญญาณที่
จะมีชีวิตอยู่ต่อไป วันนี้ผมกลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของเมืองครับ”
.
เมื่อพูดจบ ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงประตู ก็พูดขึ้นว่า “คุณพ่อครับ ผมเสียใจที่จะบอกว่าผมเป็นหนึ่งใน
โจรสองคนนั้นครับ หลังจากแย่งกระเป๋ามาจากคุณพ่อ พอเปิดดูเห็นแต่เอกสารและพระคัมภีร์ไบเบิล
ผมรู้สึกผิดละอายใจ เลยตัดสินใจกลับบ้าน แต่เพื่อนโจรอีกคนผิดหวังมาก เมื่อไม่พบเงินในกระเป๋าเลย
เขาโยนพระคัมภีร์ทิ้ง แล้วไปปล้นต่อในคืนนั้น เลยถูกตำรวจยิงตาย ผมเก็บพระคัมภีร์กลับมาและอ่าน
ทุกวัน จนในที่สุด ผมก็หางานสุจริตทำได้ครับ”
.
คุณพ่อปีเตอร์ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับน้ำตาไหล วันที่เขาคิดว่าล้มเหลวมาตลอดหลายปีนี้ กลับเป็นวันที่
ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างคาดไม่ถึง!
.
เช่นเดียวกัน บางวันที่ผมคิดว่าสิ่งที่เขียนไม่มีคนอ่าน หรืออ่านน้อย ในความจริง อาจมีใครอีกหลายคน
ที่กำลังอ่านเงียบ ๆ และได้รับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ได้...
. . . . . .
.
เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณ Piya Na Bangchang ได้เขียนเล่าในเฟซบุ๊กของเขาว่า เจอชายพิการทางสายตา
ที่กำลังต้องการน้ำดื่ม แต่บังเอิญคุณปิยะมีแค่ขนมปังติดตัวเลยจะให้เก็บไว้กิน แต่ชายพิการตอบว่า
"ไม่ครับ อยากได้น้ำมากกว่า ผมหิวน้ำมาก" คุณปิยะเขียนเล่าต่อไปว่า - -
.
“...ขณะเดียวกัน มีน้องผู้หญิงอีกคนกำลังจะเดินขึ้นรถไฟฟ้ากับเพื่อน ๆ ผ่านมาได้ยินเข้า น้องเลยรีบเข้าไป
หาและบอกเพื่อนว่า "พี่เขาหิวน้ำ จะเป็นลมหรือปล่าว เดี๋ยวเรารีบไปซื้อน้ำก่อนนะ" พูดจบก็รีบวิ่งไปร้าน
สะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด โดยเพื่อน ๆ รออยู่ที่บันได และอีกคนคอยยืนอยู่ใกล้ ๆ ชายคนนั้นคอยระวังให้
เวลามีรถมอเตอร์ไซค์ที่ขึ้นมาวิ่งบนฟุตบาธ สักพักน้องก็กลับมาพร้อมน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบขวดใหญ่ 1.5 ลิตร
ภาพที่ประทับใจมากคือน้องใช้มือซ้ายประคองแขนชายคนนั้นขึ้นมา และใช้มืออีกข้างยื่นขวดน้ำดื่มส่งให้
โดยไม่มีท่าทีรังเกียจใด ๆ เลย "น้ำค่ะ" น้องบอก ชายพิการคนนั้นขอบคุณน้อง แล้วเปิดขวดดื่มด้วย
ความกระหาย ผมก็บอกขอบคุณน้องเขาก่อนจะเดินไปต่อเช่นกัน...”
.
เป็นเรื่องราวดี ๆ กลางเมืองใหญ่ ที่ชื่นใจไม่แพ้น้ำเย็นขวดนั้น คุณปิยะยังเล่าอีกว่า
.
“...ในบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเป็นวันที่เปิดบูธขายของเป็นวันสุดท้าย ผมซื้อขนมปังไส้ครีมเป็นชุด 4 ก้อน
และเดินตามหาคน ๆ หนึ่งตรงเวิ้งสตาร์บัคส์ของเซ็นทรัลเวิร์ลชั้น 1 เดินหาอยู่นานจนคิดว่าอาจจะไม่เจอแล้ว
ในที่สุดก็เห็นคน ๆ นั้นเดินมาจากทางไปห้องน้ำ ใช่แล้วครับพี่เขาเป็นพนักงานทำความสะอาดที่มีรูปอยู่
ในโพสต์นี้เอง... (อ่านฉบับเต็มที่ https://www.facebook.com/nbpiya/posts/10158879773489290 )
.
"ซื้อขนมปังมาให้ครับ" ผมพูดพร้อมยื่นถุงขนมปังให้ พี่เขารับไว้แล้วทำหน้างง ๆ

"ให้พี่หรือคะ?"

"ใช่ครับ ผมเห็นพี่ตั้งแต่วันแรกที่มาขายของที่นี่ พี่ตั้งใจทำงานมากเลย จึงอยากให้เป็นการขอบคุณพี่ครับ"
. . . . .
.
ขนมปังไส้ครีมของคุณปิยะอาจทำให้เธออิ่มท้องในวันนั้น แต่ความซาบซึ้งในการใส่ใจงานของคนตัวเล็ก ๆ
อย่างเธอ ที่ไม่มีใครมองเห็น แต่คุณปิยะมองเห็น จะทำให้เธออิ่มใจไปหลายวัน และทุกครั้งที่ลงมือทำ
ความสะอาด เธอจะรู้สึกถึงความสำคัญยิ่งใหญ่ของหน้าที่ และมีความสุข!
.
คุณปิยะสรุปตอนท้าย(ที่ผมคาดไม่ถึง)ว่า - -
.
“...จริงๆ โพสต์นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคุณปะการัง นักเขียนในดวงใจอีกท่านที่โพสต์เรื่องราวอบอุ่น
หัวใจแบ่งปันกันทุกวัน ในวันที่สื่อส่วนใหญ่มีแต่ข่าวชวนหดหู่ การได้อ่านเรื่องราวแห่งความรักจาก
คุณปะการังทุกวันถือเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจได้มากเลยครับ จึงอยากส่งต่อความสุข
ไปเช่นเดียวกันบ้างครับผม”
. . . . .
.
เรื่องราวของคุณพ่อปีเตอร์บอกเราว่า แม้ในวันที่คิดว่าเลวร้ายที่สุด เหนื่อยหน่ายที่สุด ก็จงทำทุกวัน
ให้ดีที่สุด เพราะพระเจ้าอาจใช้เราเป็นเครื่องมือ, เป็นสื่อกลาง ส่งต่อพระพร, ความรัก และพลังแห่ง
การเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตใครบางคนก็ได้
.
คุณปิยะมิเพียงทำให้วันของพนักงานทำความสะอาดคนนั้นสดชื่น แต่ยัง made my day
ทำให้วันนี้ของผมเต็มไปด้วยดอกไม้บาน!
.
เช้านี้ ผมจึงยังมีแรงเขียนต่อไป...
เราจะสร้างสังคมใหม่แห่งความรักด้วยกัน!
.
ปะการัง

.
[ ขอพระเจ้าอวยพระพร ให้เราได้ส่งต่อความรักและพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงแก่กัน ]
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:41 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 08, 2022 5:18 pm

( 7 )

รู้จักเศรษฐีแสนล้านที่ตั้งใจบริจาคเงิน(แบบลับ ๆ)ให้เงินตัวเองเหลือ 0 เมื่อถึงวันที่ลาจากโลก
.
ถ้าคุณมีเงิน 240,000 ล้านบาท…คุณจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำอะไร?
.
บางคน…นำเงินไปก่อตั้งบริษัทและทำตามความฝัน
บางคน…นำเงินไปลงทุนต่อยอดเพื่อให้มีมากขึ้นไปอีก
บางคน…ปรนเปรอตัวเองด้วยคฤหาสน์หลังโต ซูเปอร์คาร์คันงาม และไลฟ์สไตล์ราวกับเทพนิยาย
.
แต่ชายคนหนึ่งเลือกที่จะเดินสวนทางและทำสิ่งที่เหลือเชื่อ เขาเลือกที่จะ “บริจาค” เงินก้อนนั้นจนเหลือ
“0” เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต
.
ชายคนนั้นชื่อว่า… ชัก ฟีนี (Chuck Feeney)
.
#ชีวิตวัยเด็กอันขัดสน
.
ชัก ฟีนี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1931 ในนิวเจอรซีย์ (New Jersey) ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางวิกฤติ
เศรษฐกิจ The Great Depression พอดี นั่นทำให้ครอบครัวชนชั้นแรงงานของเขาต้องมีชีวิตที่สมถะ
อดออมประหยัด ไม่หรูหราฟุ้งเฟ้อไปโดยปริยาย เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ที่ยากลำบากซึ่งผู้คน
นับล้านทั่วอเมริกาประสบพบเจออยู่
.
ชีวิตวัยเด็กของเขาจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ใครจะไปรู้ว่า…ประสบการณ์ชีวิตอันขัดสน
ในวัยเด็ก จะเป็นเครื่องเตือนใจให้เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในวัยผู้ใหญ่
.
เมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมในปี 1949 ชัก ฟีนี ไปรับใช้ชาติต่อในสงครามเกาหลี
(Korean War: 1950-1953) ประจำตำแหน่งทหารสื่อสารวิทยุให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งจะนำพา
ให้เค้าไปพบกับโอกาสทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขา…และของผู้อื่น ในเวลาต่อมา
.
#ร่ำรวยจากธุรกิจดิวตี้ฟรี
.
สงครามสิ้นสุดลง…แต่ไอเดียธุรกิจเริ่มต้น ระหว่างที่ประจำการ เขาได้มองเห็นโอกาสขายสินค้าให้กับ
เหล่าทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคเอเชีย เขาจึงเริ่มทดลองขาย “เครื่องดื่มปลอดภาษี”
โดยมีทหารอเมริกันเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก
.
จนในปี 1960 เขาร่วมก่อตั้งบริษัท Duty Free Shoppers Group (DFS Group) ขึ้นมา เป็นร้านค้าที่ขาย
สินค้าปลอดภาษีในสนามบิน (ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการนี้) โดยเริ่มต้นที่ฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลาง
การบิน ก่อนขยายไปยุโรป ฮาวาย และภูมิภาคอื่นทั่วโลก
.
ช่วงเวลานั้น เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลาง (โดยเฉพาะชาวอเมริกัน) และอานิสงส์จากอุตสาหกรรม
การบินพาณิชย์ที่เริ่มผลิบานในยุคนั้น ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการนั่งเครื่องบิน ไปไหนต่อไหนได้ง่ายขึ้น
จับจ่ายใช้สอยในสนามบินมากขึ้น ทำให้ DFS Group ประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อนขยายช่องทาง
จำหน่ายไปยังร้านค้านอกสนามบิน จนกลายเป็น Duty Free ที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในฮ่องกง
.
เมื่อถึงทศวรรษ 1990s DFS Group ทำหน้าที่เป็นเครื่องผลิตเงินให้แก่ ชัก ฟีนีย์ มากถึง 9,000 ล้านบาทต่อปี
.
ก่อนที่ในปี 1996 DFS Group จะถูกกลุ่มธุรกิจ Louis Vuitton Moët Hennessy (LVMH) เข้าซื้อทั้งกิจการ
ซึ่ง ชัก ฟีนี (ที่มีหุ้นอยู่ในบริษัท) ได้รับเงินจากดีลนี้ไปกว่า 50,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
.
เมื่อรวมกับเงินทองที่หามาได้ก่อนหน้า เราสามารถเรียกเค้าว่าเป็น “นักธุรกิจแสนล้าน” ได้เต็มตัว
.
#มหาเศรษฐีใจบุญ
.
ความใจบุญของ ชัก ฟีนี ไม่ได้เพิ่งมาเกิดหลังขายกิจการจนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐี แต่เริ่มมาก่อน
หน้านั้นร่วมทศวรรษแล้ว
.
ในปี 1982 เขาก่อตั้งมูลนิธิ The Atlantic Philanthropies ขึ้นมา ซึ่งโฟกัสการบริจาคเงินในด้าน
การศึกษา / สาธารณสุข / ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม / ความเท่าเทียมทางเพศ /
การวิจัยด้านการชะลอวัย / การวิจัยทางชีวเวชศาสตร์
.
เขามีความเชื่อว่า “ความมั่งคั่งของคน ๆ หนึ่ง จะดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น”
.
เพียง 2 ปีให้หลัง ความมั่งคั่งมากถึง 38.75% ของเขาที่ได้มาจากธุรกิจดิวตี้ฟรี (กว่า 15,000 ล้านบาท)
ถูกโอนมายังมูลนิธิแห่งนี้เพื่อนำไปมอบให้กับสังคมต่อไป และทยอยโอนอย่างต่อเนื่อง
.
ที่สำคัญคือ การโอนเงินก้อนมหาศาลล้วนเกิดขึ้นแบบ “ลับๆ” ไม่มีการเปิดเผยผู้มอบ ไม่มีสื่อมวลชน
เจ้าไหนรู้ แม้แต่พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเขา ณ เวลานั้นก็ไม่มีใครรู้
.
นี่คือการ “ปิดทองหลังพระ” อย่างแท้จริงใช่หรือไม่?
.
กาลเวลายังพิสูจน์อีกว่า มูลนิธินี้ไม่ใช่ช่องทางเลี่ยงภาษีให้กับคนรวยอย่างเขา เพราะเมื่อเดินทาง
มาถึงปี 2020 มูลนิธิ The Atlantic Philanthropies ได้ยุติบทบาทลง เพราะได้บริจาคสิ่งที่ ชัก ฟีนี
มอบให้จนหมดสิ้น
.
ตลอดการดำเนินงาน มูลนิธิได้บริจาคเงินของเขาไปมากถึง 240,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
.
#แรงบันดาลใจที่ส่งต่อ
.
ชัก ฟีนี เคยกล่าวว่า “ใครที่กำลังคิดลังเลอยู่ว่าจะบริจาคเงินที่ตัวเองมีดีไหม? เชื่อผม…มหาเศรษฐีอย่าง
คุณน่ะทำไปเถอะ มันจะทำให้คุณรู้สึกดีและภาคภูมิใจแน่นอน”
.
ซึ่งดูเหมือนว่าจะไปกินใจบิล เกตส์ (Bill Gates) และวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) สองมหาเศรษฐี
อันดับต้นของโลกอยู่ไม่น้อย จน Warren Buffett เคยกล่าวชื่นชมว่า “ชัก ฟีนีย์ เป็นฮีโร่ของผมและบิล เกตส์…
อันที่จริง เขาควรเป็นฮีโร่ของทุกคนด้วยซ้ำ”
.
โดยทั้งคู่ได้ผลักดันให้เกิด “The Giving Pledge” แคมเปญที่เชื้อเชิญให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีของโลก
มาเข้าร่วมและปฏิญาณตนบริจาคทรัพย์สินอย่างน้อย 50% ที่ตัวเองมีให้แก่ผู้อื่น
.
นี่คือแรงกระเพื่อมที่ทรงพลังมาก เพราะถึงปัจจุบัน มีผู้เข้าร่วมกว่า 220 คนแล้ว อาทิ
.
Mark Zuckerberg - ผู้ก่อตั้ง Facebook
Elon Musk - ผู้ก่อตั้ง SpaceX, Tesla และอีกมากมาย
Barron Hilton - ซีอีโอเครือโรงแรม Hilton
Melanie Perkins - ผู้ร่วมก่อตั้งแอป Canva
Kim Beom-soo - ผู้ก่อตั้งแอป Kakao
.
ในอนาคต ถ้าการบริจาคเกิดขึ้น สเกลเม็ดเงินจะยิ่งทวีคูณ และสังคมจะได้รับประโยชน์กลับคืนไปในที่สุด
นี่คือความทรงพลังของ “แรงกระเพื่อม” ที่ถูกส่งต่อกันมา
.
ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวความใจบุญของคน ๆ เดียว จะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นตามมาได้
.
#ปรัชญาการใช้ชีวิต
.
เขาไม่มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว…แต่มักเดินทางด้วยชั้นประหยัด
เขาไม่มีคฤหาสน์หลังใหญ่…แต่เช่าอะพาร์ตเมนต์ขนาดกะทัดรัดอยู่
เขาไม่มี Patek Philippe…แต่ใส่ Casio หลักร้อย
.
ปัจจุบัน เขาเหลือเงินติดตัวอยู่ราว 2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 60 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นเศษเงินจากสิ่งที่เขา
หามาได้ทั้งชีวิต แต่เมื่อลองมาคิดดูดี ๆ แล้ว…เศษเงินที่ว่านี้อาจไม่ใช่ “เศษเงิน” เสมอไป
.
ในมุมหนึ่ง การจะมี “คุณภาพชีวิตที่ดี” ในศตวรรษที่ 21 ในฐานะมนุษย์โฮโมเซเปียนส์คนหนึ่ง คุณอาจ
ไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นพันล้าน-หมื่นล้าน-แสนล้านเลยก็ได้ เอาเข้าจริงแล้ว เงินหลักสิบล้านที่ ชัก ฟีนี
เหลืออยู่ก็สามารถมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้ได้หมดแล้ว (แถมมีทอนด้วยซ้ำ)
.
ในอีกมุมหนึ่ง การดำเนินชีวิตของเขายังสอดคล้องกับแนวคิด “ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้” เช่นกัน
ถ้าเงินที่คุณหามาได้มากเกินความต้องการในชีวิตของคุณไปมากโขแล้ว การนำไป “ให้เปล่า” แก่ผู้อื่น
ที่ลำบากกว่าอย่างไม่มีเงื่อนไข…คงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี?
.
นี่คงจะเป็นสิ่งที่ ชัก ฟีนี อยากบอกอะไรกับเรา…โดยเฉพาะเหล่ามหาเศรษฐี
.
เรื่อง: ปริพนธ์ นำพบสันติ
ภาพ: ภาพถ่ายเมื่อปี 2007 จาก Getty Images
.
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 30 พฤษภาคม
.
#ThePeople #ธุรกิจ #บริจาค #ChuckFeeney #DFSGroup #การกุศล
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:42 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ส.ค. 09, 2022 4:00 pm

( 8 )

🌹รำพึงประจำวัน🌹

🌹เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความเข้าใจและการให้โอกาส
ในวันที่ฉันล้มเหลว
และทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

คนมากมายมองดูฉันอย่างสะอิดสะเอียนและเกลียดชัง
เขาคงอยากจะขว้างฉันให้ตายสินะ
ถ้าทำได้

แต่ในสายตาของพระองค์นั้นปราศจากการตำหนิ
ปราศจากความเกลียดชัง 
แต่กลับเต็มไปด้วย
ความรักและความเข้าใจ
และด้วยสายตานั้นเอง
ที่ทำให้ฉันเป็นคนใหม่
ด้วยสายตานั้นเองที่ทำ
ให้ฉันไม่กลับไปเป็นเช่น 'ฉัน' คนเดิม

🌹เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความอ่อนโยนที่ลึกซึ้ง
กว่าความอ่อนโยนใดๆที่พึงมีในโลก
เป็นความอ่อนโยนที่โอบล้อม
อยู่รอบกาย 
เป็นเหมือนผ้าห่มในวันเหน็บหนาว
เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ในวันที่แดดแรงกล้า
เป็น
เหมือนยาวิเศษในวันที่ฉันเจ็บป่วย
เป็นทุกสิ่งที่อัศจรรย์เกินที่ฉันจะสามารถบรรยาย
🌹เมื่อมองตาพระองค์นั้น….

แม้ไม่ทรงตรัสฉันก็ได้ยิน
เสียงที่บอกกับฉันว่า …
"เราอยู่กับเจ้าเสมอ ในทุกทางที่เจ้าเดิน
เราจะไม่ละหรือทอดทิ้งเจ้าเลย"

🌹เมื่อฉันมองตาพระเยซู....

ฉันเห็นความห่วงใย
ในท่ามกลางความทุกข์ยากที่เข้ามารุมล้อมชีวิตฉัน
ในวันที่แม้แต่เพื่อนสนิท
ก็หนีจาก
คนที่รักก็ละทิ้ง …
🌹สายตาของพระองค์มองมาที่ฉันอย่างเข้าใจ
แม้ไม่ทรงพูด …
แม้ไม่ทรงทำให้สถานการณ์เป็น
ไปอย่างที่ใจฉันร่ำร้องและต้องการ... 
แต่ฉันก็มองเห็น...ความห่วงใยนั้นเป็นเหมือนเสียงที่กำลัง
บอกกับฉันว่า
"ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง
และจะไม่เมตตาบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ

แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้
กระนั้นเราจะไม่ลืมเจ้า" 

🌹เมื่อฉันมองตาพระเยซู.... 

ฉันเห็นการหนุนใจ
ในการงานที่ยุ่งยาก หนทางที่ขรุขระไม่ราบรื่น 
หลายครั้งทำให้ฉันอยากถอยหนี

แต่สายตาของพระองค์ก็ยึดฉันไว้
ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ
ด้วยสายตาที่มองมาทำให้ฉันเห็น....

โนอาห์ลุกขึ้นถือขวาน
และเดินออกจากบ้านเข้าไปในป่า...
ท่านตัดต้นไม้ลงเพื่อทำเรือใหญ่ตามพระบัญชา

แม้ว่าคนจะหัวเราะเยาะ ติเตียน สบประมาท
แต่ท่านก็นิ่ง …
มุ่งทำงานของท่านต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ฉันมองเห็นอับราฮัมลุกขึ้นผูกอานลา
พาครอบครัวเดินไปในทิศทางที่ท่านเองก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าผู้ทรงสร้าง
ท่านบัญชาให้ไป...ก้าวต่อก้าว
จะให้ฉันพูดถึงอะไรอีกเล่า?

เหตุการณ์มากมายในพระคัมภีร์
ได้ทำให้ฉันเข้าใจสายตาที่พระองค์ทรงมองมาที่ฉัน.....
🌹และเมื่อฉันมองไปที่พระองค์ ….

ฉันก็ปราศจากคำพูดใดๆ 
แต่เอื้อมมือหยิบงานที่ทรงมอบหมายให้
เดินออกไปเพื่อทำให้สำเร็จ...

ฉันลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้า....ก้าวต่อก้าว....

:s005:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:44 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ส.ค. 13, 2022 5:48 pm

( 9 )

“ที่ชีวิตฉันราบรื่นสวยงาม ขรุขระน้อยที่สุดนั้น เป็นเพราะถนนของฉันโรยด้วยกลีบกุหลาบ
แห่งความรักของแม่”
.
ซาลีน่าเคยบอกใครต่อใครด้วยความภาคภูมิใจ แต่กว่าเธอจะลึกซึ้งเข้าใจ ก็ต้องเสียเวลา
ไปมากมายหลายปี
.
เธอเคยเล่าให้ฟังว่า “ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยโกรธแม่มาก ที่เห็นคนอื่นดีกว่าฉัน”

“เป็นยังไง” เพื่อน ๆ ถาม

“ฉันอยากได้รองเท้าคู่ใหม่สีชมพู แต่คุณแม่ไม่ซื้อให้ บอกให้ใช้คู่เดิมไปก่อน เพราะยังไม่มีเงิน
ตอนแรกฉันก็เข้าใจนะ และยอมรับฟังโดยดี แม้จะหงุดหงิดบ้างก็ตาม แต่ที่ทำให้ฉันโกรธจนตัวสั่น
และแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ก็ตอนที่เห็นแม่ยื่นเงินให้กับเพื่อนบ้าน- - ฉันถามแม่ แม่ตอบแค่
เพียงว่า เขาไม่มีกิน แต่เธอยังมีรองเท้าใส่”
.
ซาลีน่าย้ำว่า ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ยังมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันอีกหลายครั้ง
.
“ไปซูเปอร์มาร์เก็ต ขณะยืนรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ คนที่ยืนข้างหน้าในแถว มีเงินไม่พอ
แม่ก็ยังอุตส่าห์ยื่นเงินช่วยเขา... บางครั้ง ไปช่วยเพื่อนบ้านปลูกต้นไม้ จูงหมาเดินเล่น ดูแลเด็ก ๆ
โดยไม่คิดค่าแรง แม่เป็นนางฟ้าของทุกคน-ยกเว้นฉัน!”
.
ซาลีน่าบอกว่า ครั้งหนึ่ง เธอเคยต่อว่าแม่แรง ๆ - -

“แม่ของเพื่อนฝากเงินในแบงค์ให้ลูก เพื่อต่อไปในวันข้างหน้า ชีวิตของลูกจะได้เดินราบรื่นบน
กลีบกุหลาบ แล้วแม่ทำอะไรเพื่อหนูบ้าง นอกจากคอยโรยกลีบกุหลาบให้คนอื่นเดิน มีแต่ทำเพื่อ
หน้าตัวเอง เพื่อจะให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าเป็นนางฟ้า”
.
พูดไปแล้วก็อดเสียใจไม่ได้... ซาลีน่าสารภาพ- -
.
“แต่ตอนนั้น ฉันสะใจมาก เพราะเห็นแม่อึ้งไป ฉันคิดในใจว่าคงหาคำตอบไม่ได้ล่ะสิ ... หลายปีต่อมา
แม่ถึงเอ่ยตอบ จนฉันเกือบลืมคำถามไปแล้ว...”
แม่บอกว่า- -
.
“ที่แม่ทำดีกับทุกคนรอบตัวนั้น ก็ไม่ต่างจากแม่ของเพื่อนหนูที่ฝากเงินในธนาคารให้ลูก เพียงแต่วิธี
ฝากเงินของแม่ต่างกัน แม่ไม่มีเงินเยอะอย่างแม่ของเพื่อนหนู ซึ่งฝากแล้วก็ได้ดอกเบี้ยงอกงาม
แม่เลยคิดเลือกฝากเงินในธนาคารตามประสาแม่ ถึงแม้เงินน้อย แต่ดอกเบี้ยงามไม่แพ้กัน”
.
ตอนที่ฟังแม่อธิบาย ซาลีน่าก็ยังไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าถามหรือต่อปากต่อคำด้วย เพราะแม่ของเธอ
อธิบายขณะนอนบนเตียงผู้ป่วย ในห้วงระยะสุดท้ายของชีวิต...
.
กว่าเธอจะลึกซึ้งเข้าใจ ก็ต้องเสียเวลาไปมากมายหลายปี และสายเกินกว่าที่จะกล่าวคำขอบคุณ
.
ดอกเบี้ยจากสิ่งที่แม่ฝากไว้นานหลายปี เริ่มสะสมงอกงามทันทีที่แม่จากไป... ผู้คนมากมายมางานศพ
หลายคนหยิบยื่นเงินทองช่วยเหลือ แม้เมื่อเธอย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านแม่ เพื่อนบ้านที่เป็นช่างไม้ช่างสีต่าง
พากันช่วยซ่อมแซมบ้านของเธอจนสวยใหม่น่าอยู่ โดยไม่ต้องเสียเงินเลยแม้สักดอลลาร์เดียว...
.
และเมื่อเธอคิดจะหางานทำ บริษัทต่าง ๆ ในเมืองที่เธออยู่ต่างยื่นข้อเสนอให้ เธอไม่ต้องเดินหางานเองเลย
ผู้จัดการบริษัทหนึ่ง บอกว่า แม่ของเธอเคยให้เงินค่าขนมเขาไปโรงเรียนบ่อย ๆ เพราะเขากำพร้าพ่อ
มาตั้งแต่เด็ก เขาจำได้ไม่ลืม...
.
ครั้งหนึ่ง เธอล้มป่วย ไม่มีเรี่ยวแรงลุกจากเตียง ปรากฏว่าเพื่อนบ้านผลัดกันมาดูแล คอยส่งอาหาร
ให้จนเธอหายดี - - ตอนนั้นเอง ที่เธอน้ำตาไหล และเข้าใจลึกซึ้งว่า การฝากธนาคารด้วยแบบฉบับ
ของแม่เองนั้น ทำให้ถนนชีวิตของเธอราบรื่น ขรุขระน้อยลง สวยงาม และโรยด้วยกลีบกุหลาบจริง ๆ !

. . . . .
.
วันแม่ทุกปี เราจะได้ยินเพลง ‘ค่าน้ำนม’ หรือ ‘อิ่มอุ่น’ จนดูเหมือนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกัน
วันแม่ทุกปีของที่นี่ ก็จะมีเรื่อง ‘ดอกไม้วันแม่’ให้อ่าน อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ เผื่อมีใครยังไม่เคยอ่าน - -
. . . . . .
.
คุณครูให้การบ้านนักเรียนตอบคำถามเรื่องดอกไม้สำหรับวันแม่ นักเรียนทั้งชั้นตอบมาถูกต้องว่า
ดอกมะลิ มีเพียงเด็กชายจอมที่ตอบว่าดอกกุหลาบ คุณครูจึงกาเครื่องหมายผิดให้ แต่เด็กน้อย
ยืนยันว่าเป็นดอกกุหลาบ!
.
“เธอคงจำสับสนแล้วล่ะ...” คุณครูอธิบาย- -
“ดอกกุหลาบสำหรับวันวาเลนไทน์ แต่วันแม่เขาใช้ดอกมะลิ”

“ผมทราบครับ ผมไม่ได้จำสับสน”

“งั้นเธอมีเหตุผลอะไรที่จะใช้ดอกกุหลาบ”

เด็กชายจอมตอบครูโดยไม่ต้องคิด
“ที่บ้าน คุณแม่ปลูกมะลิไว้เต็มบ้าน ผมว่าท่านคงจะเห็นจนเบื่อแล้วล่ะ... แล้วอีกอย่าง
ผมแอบได้ยินคุณแม่พูดว่า ยังไม่เคยได้รับดอกกุหลาบจากผู้ชายที่คุณแม่รักและรักคุณแม่เลย...”
.
คุณครูอมยิ้ม เด็กชายพูดต่อไปว่า

“ผมรู้ว่าคุณแม่ตั้งใจหมายถึงผม เพราะผมเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่รักคุณแม่และคุณแม่รัก ...
ผมเลยเก็บเงินสะสมของผมเอง ซื้อดอกกุหลาบให้คนที่รักผมและผมรักที่สุดในโลกครับ...”
.
คุณครูหัวเราะทั้งน้ำตา และเปลี่ยนใจ-กาเครื่องหมายถูกที่หน้าคำตอบของเด็กชายแทน
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันแม่ ขอพระเจ้าอวยพรคุณแม่และลูกของคุณแม่ทุกคน ]

.
___
* เรื่องจากหนังสือ ‘#ขอให้เป็นปีที่ดีที่สุด’ โดย #ปะการัง
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:44 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2022 7:44 pm

( 10 )

Mom’s Heart
ครูเล่าเรื่องจริงให้นักเรียนฟังว่า “เรือท่องเที่ยวทะเลเกิดอุบัติเหตุและกำลังจะจม สามีภรรยาคู่หนึ่งรีบมา
ที่เรือชูชีพแต่มีคนแน่นไปหมดในเรือกู้ชีพ มีที่พอให้ลงไปได้เพียงที่เดียวเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ในเรือ ตอนนั้นเองสามีตัดสินใจผลักภรรยาของเขาและกระโดดลงไปในเรือชูชีพ ภรรยายืนอยู่บนเรือที่
กำลังจะจมและตะโกนบอกสามีประโยคหนึ่ง” ครูถามเด็กๆ ว่า “พวกเธอคิดว่าภรรยาตะโกนบอกอะไร
กับสามี?” เด็กๆส่วนใหญ่รีบตอบว่า “ฉันเกลียดแก” “ฉันมันตาบอดตั้งแต่แรกที่แต่งงานกับแก” ครูเห็น
เด็กคนหนึ่งนั่งเงียบๆเลยบอกให้เขาตอบ เด็กคนนั้นตอบว่า “ครูครับ ผมเชื่อว่าเธอจตะโกนบอกว่า
"ดูแลลูกของเราด้วยนะ" ครูแปลกใจมากจึงถามว่า “เธอเคยได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือ?” “ไม่เคยครับ แต่นั่น
คือสิ่งที่แม่ผมบอกพ่อผมก่อนที่เธอจะเสียชีวิตด้วยโรคร้ายครับ” “คำตอบของเธอถูกต้อง เรือนั้นจมลง
และสามีกลับบ้านและเลี้ยงดูลูกสาวของเขาด้วยตนเองอย่างดี หลายปีหลังจากที่สามีคนนี้เสียชีวิต
ลูกสาวได้พบไดอารี่ของพ่อและพบข้อความที่พ่อบันทึกไว้ว่า “พ่อแม่ของเธอไปเที่ยวเรือทะเลเพราะแม่
ตรวจพบโรคร้ายระยสุดท้ายและในช่วงเวลาวิกฤตนั้นพ่อต้องตัดสินใจเอาชีวิตรอดเพื่อทำหน้าที่เลี้ยง
ดูลูก” สามีบันทึกว่า "ฉันอยากจะจมไปอยู่ใต้มหาสมุทรกับเธอเหลือเกินแต่เพื่อเห็นแก่ลูกสาวของเรา
ฉันทำได้เพียงปล่อยให้เธอนอนอยู่ใต้มหาสมุทรเพียงลำพัง" นักเรียนในห้องพากันเงียบกริบ ในความดี
และความชั่วร้ายที่มีอยู่ในโลกนี้ ต่างก็มีความซับซ้อนซ่อนอยู่เบื้องหลังที่ยากที่เราจะเข้าใจได้หมด นี่แหละ
ทำไมเราจึงไม่สามารถดูเพียงผิวเผินและตัดสินผู้อื่นโดยที่ไม่พยายามจะเข้าใจพวกเขาก่อน เราพบความรัก
ที่ยิ่งใหญ่มากของพ่อและแม่ ที่ได้สละชีวิตของตน แม่สละชีวิตทั้งกายและใจ พ่อสละชีวิตทางสังคมเพราะ
การถูกประณามต่างๆ นาๆ ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่าและยากที่จะเข้าใจ คำสุดท้ายของแม่ทุกคนก็คือ
“ดูแลลูกของฉันด้วย” ลูกจึงเป็นดวงใจและชีวิตของแม่เองเสมอ สุขสันต์วันแม่นะครับ Happy Mother’s Day.

Cr : คุณพ่อ สุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:45 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2022 7:49 pm

( 11 )

คุณครูลอว์เล่าว่า เด็กนักเรียนชายในห้องของเธอคนหนึ่ง มาโรงเรียนทุกเช้าด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง
และเธอต้องคอยหวีผมของเขาให้เรียบร้อยก่อนเรียนทุกครั้ง...
.
เช้าวันหนึ่ง เมื่อหวีผมเสร็จแล้ว เขาหันมากอดเธอแน่น แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ คุณแม่ผมป่วย
และไม่สามารถหวีผมให้ผมได้อีกต่อไปแล้ว... ผมมีความสุขมากที่คุณครูทำให้ครับ”
.
โชคดีของเด็กน้อยที่ยังมีคุณครูลอว์คอยดูแล... แต่หลายครั้ง, เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเด็กคนหนึ่ง
ต้องประสบปัญหา เผชิญโชคชะตาอย่างไรบ้าง หากเราไม่ใส่ใจ เขาก็อาจถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวและ
หลงทางในที่สุด...
. . . . .
.
เจมส์ เกิดมาในครอบครัวยากจน แย่ไปกว่านั้น ทั้งพ่อและแม่ติดเหล้าการพนัน ไม่มีอาชีพจริงจัง
เมื่อถึงเวลาหิว ก็ออกไปขโมยของกินตามร้านสะดวกซื้อ แม่สอนเจมส์ให้ร้องขอเงินจากคนอื่น พอโตขึ้น
พ่อก็สอนให้ลักเล็กขโมยน้อย ไปจนถึงล้วงกระเป๋า เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
.
เจมส์อยากกลับไปเรียนหนังสือ แต่ในเมื่อผู้ปกครองไม่จ่ายค่าเทอม จึงถูกไล่ออก เขาไปป้วนเปี้ยน
ที่หน้าโรงเรียนบ่อย ๆ เผื่อมีคุณครูใจดีถามว่าทำไมเขาถึงหายไป หรือจะช่วยแก้ปัญหาให้ แต่ไม่มีเลย...
.
วันหนึ่ง เขาเก็บกระเป๋าเงินที่มีคนทำหล่นไว้ข้างถนน วูบแรก เขาดีใจมากเพราะในนั้นมีเงินมากพอที่จะซื้อ
อาหารสำหรับเย็นนี้ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงขโมยของในร้าน เขากลับบ้านเล่าให้พ่อแม่ฟัง พวกเขาชื่นชมและ
สั่งให้ไปซื้ออาหารมาเลี้ยงฉลองทันที...
.
แต่เมื่อเปิดนับเงินในนั้น เขาเห็นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนว่า 'อย่าลืมซื้อขนมปังและนมสำหรับลูกนะ'
.
...เจมส์อ่านแล้วน้ำตาไหล เขานึกถึงตัวเอง หากเป็นลูกของคนที่กระเป๋าเงินหาย คืนนี้คงหิวโหยและ
เป็นวันที่เลวร้ายจนนอนไม่หลับ เขาเปลี่ยนใจ บอกพ่อว่าจะเอาไปคืนเจ้าของ พวกเขาด่าไล่ทุบตี
จนเจมส์ต้องวิ่งหนีออกมา...
.
ในกระเป๋าเงินนั้นมีบัตรประจำตัวที่ทำให้รู้ที่อยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าไปคืนเจ้าของด้วยตัวเอง เพราะกลัวคน
เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนขโมย - - โดยปกติคนทั่วไปจะเอาไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่นั่นเป็นเรื่อง
น่ากลัวเกินไปอีกสำหรับขโมยอย่างเขา - - ในที่สุด เจมส์จึงตัดสินใจเอาไปทิ้งที่ช่องรับจดหมายของ
ประตูโบสถ์ คุณพ่อฟิลิปส์เปิดประตูออกมาพอดี เห็นสารรูปของเด็กหนุ่มที่ถูกทุบตี จึงเรียกเข้าไปนั่งข้างใน
ทายารักษาแผล หาอาหารให้ทาน แล้วไต่ถามเรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไร...
.
คงเพราะรู้สึกอึดอัดใจกับการกระทำของตัวเองมาตลอด เจมส์สารภาพความในใจกับคุณพ่อ เริ่มตั้งแต่
ถูกสอนให้เป็นขโมย ทั้งที่ไม่อยากทำ ไปจนถึง...เรื่องที่เก็บกระเป๋าเงินได้ เขายืนยันว่าถึงแม้จะเคยขโมย
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ขโมย เขาเก็บได้จริง ๆ และเขารู้สึกสงสารเจ้าของกระเป๋าเงินที่ไม่ได้ซื้อขนมปังและนม
ให้ลูก จนถูกพ่อแม่ไล่ตีมา...
.
“เธอมีจิตใจที่ดีจริง ๆ ต่อไปนี้ ถ้าหิวให้มาที่โบสถ์ ฉันมีงานให้เธอทำ... ถึงแม้เธอเป็นลูกของพ่อแม่ที่
อาจทำผิดพลาดไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าเธอก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย... อย่าสิ้นหวัง!”
. . . . .
.
บทอ่านประจำวันอาทิตย์นี้ (14 สิงหาคม 2022) มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา
(ลก 12:49-53) ใจความสำคัญกล่าวว่า ‘มาเพื่อจะจุดไฟในโลก และจะมีการล้าง’ - - คำว่า 'ไฟ'
ในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่หมายถึงการทำลายล้าง หรือลงโทษ ในที่นี้ดูเหมือนจะเป็นไฟแห่งการพิพากษา
แต่อาจมีความหมายตามนัยของการชำระได้ด้วย - - คือ การเผาผลาญกิเลส ความชั่วร้าย สิ่งที่เราผูกติด
กับทางโลกให้หมดสิ้นไป... เป็นไฟชำระที่ทำให้เราบริสุทธิ์ - - การมาเพื่อจุดไฟในโลก จึงหมายถึง
มาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโลก หรือนำความสว่างมายังโลกก็ได้...
.
ส่วนการล้างที่พระเยซูเจ้าทรงกังวลใจ หมายถึง ภารกิจบนไม้กางเขนของพระองค์ที่จะล้างชำระบาป
ของมนุษย์ ซึ่งเป็นภาระหนักหนา และทั้งหมดนี้คือกระบวนการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเกิด
การเปลี่ยนแปลง - แน่นอน ความคิดใหม่ย่อมแตกต่างจากความคิดเก่า ก่อให้เกิดการขัดแย้งขึ้นอย่าง
ง่ายดาย!
.
พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า การเสด็จมาของพระองค์จึงไม่ใช่นำสันติภาพมาสู่โลก หากนำความแตกแยก
มาให้ - - พระวาจานี้ ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวและสับสนมากขึ้น ทว่าความจริงที่ซ่อนนัยตรงนี้คือ สันติภาพที่
พระองค์นำมาให้จริง ๆ นั้น หมายถึงสันติภาพระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ให้มนุษย์คืนดีปรองดองกับ
พระองค์ จึงไม่ใช่นำสันติภาพมาสู่โลก! - - ไม่ใช่ปรองดองทำตัวสอดคล้องกับโลก เพราะนั่นจะไม่ทำ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
.
เมื่อเราเป็นคนใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ แตกต่างและเป็นปฏิปักษ์ต่อบาปของโลก ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น
เริ่มต้นใกล้ตัวที่สุด คือขัดแย้งกับตัวเราเองก่อน หลายครั้งเรายังติดอยู่กับโลภกิเลส - - ฝ่ายกาย
อยากทำ แต่ฝ่ายใจเริ่มปฏิเสธ - - เมื่อเรามั่นคงชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะขัดแย้งกับคนในครอบครัว กับ
เพื่อน กับสังคม กับโลก...
.
ชีวิตของเจมส์เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัด เมื่อใจเขาเกิดสำนึก, เกิดความสงสาร, เห็นอกเห็นใจ
เขากลายเป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีกต่อไป จึงต้องขัดแย้งกับครอบครัว
ที่สอนให้เขาเป็นโจร - - ความแตกแยกกลายเป็นสิ่งจำเป็น ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเรา
ต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม!
.
ตราบทุกวันนี้ เรายังอยู่ในโลกที่ล่มสลายและแบ่งแยก ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบอกล่วงหน้าไว้ตั้งแต่
เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เพราะไม่ว่ายุคสมัยใด ยังมีการต่อสู้ขัดแย้งกันระหว่างความมืดกับความสว่าง
ตลอดมา - -
.
บางครั้ง เราจึงต้องกล้าขัดแย้งกับตัวตนเดิมของเรา กับสภาพแวดล้อมเดิมของเรา
เพื่อเป็นคนใหม่ที่มีลมหายใจแห่งสันติสุขอย่างแท้จริง!
.
ปะการัง

.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:45 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ส.ค. 14, 2022 7:53 pm

( 12 )

''วันที่มี 😊
แม่ถามว่า ทำไมไม่เก็บที่นอน
แม่ถามว่า ทำไมไม่ล้างจาน
แม่ถามว่า ทำไมไม่ทำความสะอาดบ้าน
แม่ถามว่า จะไปไหน
แม่ถามว่า ไปกับใคร
แม่ถามว่า กลับเมื่อไหร่
แม่ถามว่า ทำไมกลับบ้านดึก
แม่ถามว่า ทำไมไม่รับสาย
แม่ถามว่า กินอะไรมาหรือยัง
แม่ถามว่า ทำไมไม่อ่าน line แม่
👉 แล้ว วันหนึ่ง!!
มีที่นอนรกรุงรัง
จานกองเต็มอ่าง
บ้านที่มีแต่ฝุ่น
ไปไหนก็ได้
ไปกับใครก็ได้
กลับกี่โมงก็ได้
กลับดึกแค่ไหนก็ได้
ไม่มี " สายที่ไม่ได้รับ "
ไม่มี อาหารวางรอบนโต๊ะ
ไม่มี ข้อความทาง line ของแม่
👉 นั่นหมายถึง ..
ความห่วงใย ได้ตายไปจากคุณแล้ว
ถ้าวันนี้ความห่วงใย .. นั้นยังอยู่!
จงถนอมรักษาไว้ให้จงดี
จงมองที่เจตนา
จงอย่ารำคาญ .. ความห่วงใย
เพราะเงินมากแค่ไหน ..
ก็ซื้อความห่วงใยของแม่ไม่ได้
รักแม่ให้มากเมื่อท่านยังมีชีวิตดีกว่าอุทิศบุญเมื่อตอนไม่มีท่านแล้ว🥺🥺🥺
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ส.ค. 16, 2022 5:44 pm

( 13 )

เมื่อเศรษฐีเห็นเด็กชายที่ข้างถนน กำลังนำทางมดตัวหนึ่ง ให้กลับฝูง
จากนั้น ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป!

00000000000

วันหนึ่งเศรษฐี Daniel ออกไปเดินเล่น เขาได้เห็นเด็กชายคนหนึ่ง นั่งยองๆ อยู่ข้างทาง เด็กคนนี้
ใช้ใบหญ้าปัดไปมาบนถนน Daniel แปลกใจ ถามเด็กน้อยว่า "เจ้าหนูทำอะไรอยู่?" เด็กชายยังคง
ก้มหน้า แล้วตอบว่า "กำลังนำทางให้มดตัวหนึ่งครับ"

Daniel ได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะ กล่าวว่า "แค่มดตัวเดียว ทำไมต้องนำทางให้มันด้วย?"

เด็กชายตอบอย่างตั้งใจว่า "มดตัวนี้กำลังหลงทางกับเพื่อนๆ มันเดินกลับรังเองไม่ถูก ผมจะนำทาง
ให้มันไปถึงฝูงมด ถ้าทำได้ มันก็จะรอด"

Daniel สังเกตได้ว่า เด็กน้อยกำลังใช้ใบหญ้า เขี่ยให้มดเดินกลับไปยังฝูง เด็กชายทำอย่างตั้งใจ ไม่นาน
มดตัวนั้นก็เดินกลับไปถึงฝูงของมัน มดตัวนั้นใช้หนวดทักทายกับเพื่อนๆ ของมัน อย่างตื่นเต้นดีใจ

Daniel ชมเชยที่เด็กชายจิตใจดี มีเมตตา "ขอบใจนะหนู ที่ทำให้มดที่หลงทาง กลับไปที่ฝูงของมันได้"

เด็กชายแหงนหน้าขึ้นมอง Daniel กระพริบตาแล้วยิ้มอย่างดีใจ รอยยิ้มนั้นทำให้ Daniel
ไม่อาจลืมเลือนได้เลย!

ที่จริงแล้ว Daniel เป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง ในอเมริกา เขาประทับใจมาก
ที่ได้เห็นเด็กชายนำทางให้มด เขาเอง ก็อยากทำให้มดที่หลงทาง ได้กลับไปยังบ้านของมัน
ให้พวกมดไม่ต้องสับสน หรือตกใจอีกต่อไป เขาคิดว่า นี่คือการทำความดีอย่างหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อ Daniel ไปถึงบริษัท พบหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ยืนขวางทางเขาอยู่ หญิงคนนั้น
พาเด็กมาด้วย เธอร้องไห้และพูดว่า "คุณ Daniel ช่วยสงสารฉันกับลูกเถอะ สามีฉันป่วยตาย
ฉันเอง ก็ตกงาน ตอนนี้ฉันกับลูกกำลังลำบากมาก"

Daniel ได้ฟังก็นึกสงสาร ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะควักเงินให้เธอ แต่วันนี้เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขาถามเธอว่า เธอเคยทำงานอะไรมา?

เธอยังคงร้องไห้และตอบว่า "ฉันเคยทำงานการเงินมาก่อน"

Daniel จึงพูดว่า "เดี๋ยวผมจะให้คุณเข้าสัมภาษณ์ กับแผนกการเงินที่นี่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็เริ่ม
ทำงานได้เลย และผมอนุญาตให้คุณ เบิกเงินเดือนล่วงหน้าได้ 3 เดือน" เธอได้ยินแล้ว ก็ยิ้มอย่างมี
ความหวัง พร้อมกล่าวขอบคุณ Daniel อยู่หลายครั้ง

ปีถัดมา Susan ได้ขึ้นเป็นผู้จัดการแผนกการเงิน ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ เธอมีความสามารถ
และมีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ Daniel ยอมรับและชอบเธอมาก Susan เข้าร่วมงานเลี้ยงของบริษัท
และพูดกับ Daniel ว่า "ขอบคุณค่ะ ที่นำทางให้แก่ฉัน และทำให้ฉัน ได้ศักดิ์ศรีความเป็นคน กลับคืนมา"

Daniel หัวเราะพลางพูดว่า "Susan คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก นี่เป็นเพราะความสามารถ
และความตั้งใจ ของคุณต่างหากล่ะ" Susan เผยอยิ้มอย่างมีความสุข

จุดเริ่มต้นความรักก็คือ "การนำทาง" ให้กัน และ จุดสูงสุดของการทำดีนั้น ไม่ใช่การให้
แต่คือ "การนำทาง"

จากไลน์กลุ่มเพื่อน ไม่ระบุที่มา

"จางวางเต่า" แค่ขลิบเล็ม และหาภาพประกอบเพิ่มเติม
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ส.ค. 16, 2022 5:49 pm

( 14 )

อาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า เมื่อวาน เธอปล่อยให้นักศึกษาคนหนึ่งหลับในชั้นเรียน เพราะนักศึกษาคนนี้
ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จึงเดาว่าต้องมีเหตุจำเป็นจริง ๆ - - เช้าวันต่อมา นักศึกษารีบมาขอบคุณ
อาจารย์ที่ยอมให้นอนพักได้ เพราะคืนก่อนหน้านั้น ลูกวัย 2 ขวบของเธอไม่สบาย
ต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินทั้งคืน!
.
อาจารย์ท่านนี้สรุปกับตัวเองว่า บางครั้ง ก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจให้กับนักศึกษาบ้าง โชคดี
ที่เธอตัดสินใจได้ถูกต้อง.
. . . . .
.
ฮานาห์เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปเมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอจึงอีเมลไปหาอาจารย์เพื่อขอขยายเวลา
ส่งงานออกไปอีก 24 ชั่วโมง - -
.
อาจารย์ท่านแรก ตอบมาว่าอนุญาตให้แค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น!

ส่วนอาจารย์ท่านที่สอง บอกว่า ให้ทำงานที่มอบหมายเมื่อตอนที่เธอพร้อม และยังถามฮานาห์ด้วยว่า
“...หรือจะแบ่งปันความทรงจำที่เธอชอบเกี่ยวกับคุณแม่แทนไหม?”
.
ฮานาห์เองคาดไม่ถึง กับความเห็นอกเห็นใจของอาจารย์ท่านที่สองนี้ ที่มีต่อศิษย์!
. . . . .
.
แอชตันเขียนอีเมลถึงอาจารย์ว่า มีบางอย่างสุดวิสัยเกิดขึ้น และเธอไม่สามารถหาพี่เลี้ยง
ให้กับลูกชายตัวน้อยของเธอได้ วันนี้จึงขอลาหนึ่งวัน - -
.
แอชตันรู้ดีว่าการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นยากลำบากและเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะ
ต้องทำงานด้วย เรียนด้วย และต้องดูแลลูกอีกด้วย เธอหวังว่าอาจารย์คงเข้าใจและเห็นใจ
.
เมื่อดอกเตอร์เฮนรี่-อาจารย์ของเธอได้รับอีเมล ก็โทรศัพท์กลับมาทันที บอกว่า
“พาลูกชายของเธอมาด้วย...”
.
มิเพียงอนุญาตให้แอชตันพาลูกมาเข้าชั้นเรียนได้ ดอกเตอร์เฮนรี่ยังช่วยอุ้มลูกชายของเธอระหว่างสอน
เพื่อให้คุณแม่ได้มีสมาธิตั้งใจเรียนโดยไม่ต้องมีอะไรมารบกวน!
.
แอชตันบอกว่า นี่จะเป็นวันที่เธอจะต้องจดจำไปตลอด ไม่มีวันลืม และอดรอไม่ไหวที่จะบอกลูกชาย
ในวันหนึ่งว่า “...เพราะคนอย่างดอกเตอร์เฮนรี่ทำให้แม่เรียนจบได้จากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก!”
. . . . .
.
บางครั้ง, การทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ก็อาจไม่ช่วยให้บรรลุตามเป้าประสงค์หลักที่วางไว้
หากผ่อนปรนได้ ในบางกฎ ก็ควรพิจารณา - - เพราะหน้าที่ของการเป็นครูบาอาจารย์ คือ
ปรารถนาและหาทางส่งเสริมให้ศิษย์ทุกคนได้เรียนรู้และสำเร็จการศึกษาออกไปประกอบวิชาชีพ
เลี้ยงตัวเองและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่มีหน้าที่คอยหาทางกำจัดคัดกรองด้วยข้อกำหนด
กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้บางคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน - -
.
ด้วยหน้าที่ของการเป็นครูอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สอนตามตัวอักษรเฉพาะในตำรา
หากต้องสอนให้รู้จักใช้ ‘หัวใจ’ ในการดำเนินชีวิตทั้งของตัวเอง และต่อผู้อื่นด้วย!
.
ปะการัง

.
[ ขอพระเจ้าอวยพรคุณครูอาจารย์ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจและความรัก ]

.
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 19, 2022 8:19 pm

( 15 )

ช่วงปีที่แล้ว ตอนโควิดระบาดหนัก ชั้นเรียนของฮันนาห์จะมีการสอนออนไลน์ผ่านทางซูมทุกเย็น
คุณแม่ของเธอเล่าว่า วันหนึ่งฮันนาห์รู้สึกเหงาเศร้าอย่างรุนแรง แล้วก็นั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้สิ่งใด...
คุณแม่ตกใจมากจึงรายงานให้คุณครูฟัง - - เช้าวันต่อมา คุณครูรีบขับรถมาที่บ้าน มาชวนฮันนาห์
พูดคุย เล่าเรื่องโน่นนี่ อ่านหนังสือให้เธอฟัง โดยนั่งเว้นระยะห่างที่ลานจอดรถหน้าบ้าน คุณครู
ท่านนี้ มีลูก 5 คน แต่เธอก็ยังอุตส่าห์แวะมานั่งเล่นกับฮันนาห์เป็นชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าฮันนาห์
จะรู้สึกร่าเริงขึ้นและสบายดี!
. . . . .
.
หนูน้อยวัย 12 ขวบ ไรลี แอนเดอร์สันก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ต้องเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน- - เธอไม่
เข้าใจการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งคุณแม่ของเธอก็ไม่เก่งเรื่องกราฟและฟังก์ชั่นทางพีชคณิตเสียด้วย
เธอจึงอีเมลหาคุณครูคริสต์ วาบา คุณครูตอบกลับมาพร้อมด้วยคำอธิบายวิธีถอดสมการ แต่รู้ว่าคง
เข้าใจยากสำหรับเด็กน้อย...
.
บ้านคุณครูคริสต์อยู่ไม่ไกลจากหนูน้อยไรลี เขาจึงตัดสินใจหอบกระดานไวท์บอร์ดเดินมาที่บ้าน
ของเธอ แล้วลงมือเขียนบนไวท์บอร์ดสอนกันที่หน้าบ้านนั้นเลย... เนื่องจากการเว้นระยะห่างเป็นเรื่อง
สำคัญ คุณครูจึงสอนอยู่ที่หน้าระเบียงบ้าน ส่วนหนูน้อยก็ยืนเรียนจากในบ้านผ่านประตูกระจก- -
. . . . .
.
เดลีลาห์นอนป่วย ไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวัน เมื่อคุณครูมาร์ตินกาโผล่มาเยี่ยม เธอลุกนั่งอย่างดีใจ
ยิ้มสว่างสดใสเต็มใบหน้า เพราะเขาเป็นคุณครูที่ยอดเยี่ยมของเธอ เป็นผู้คอยสนับสนุนเธอที่โรงเรียน
เป็นที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนของเธอ คุณครูมาร์ตินกา นอกจากซื้อขนมมาฝากแล้ว ยังไปที่ห้องสมุดยืม
หนังสือมาให้เธออ่านแก้เหงาด้วย - -
.
อาจเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งของคนทั่วไป แต่เป็นวันที่มีชีวิตชีวาที่สุดของเดลีลาห์ และอาจเป็นเรื่อง
เล็กน้อยที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับผม-มองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
จะสวยงามเช่นนี้...
.
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครคนหนึ่งจะเป็นคุณครูคนโปรดของนักเรียน โดยเฉพาะเมื่อเห็นหน้าคุณครู ทำให้
เธอมีความสุขเต็มใบหน้า ไม่ใช่เบื่อจนอยากหลบหน้า... คุณครูมาร์ตินกาต้องมี ‘หัวใจ’พิเศษแค่ไหน
ทุ่มเทมากเพียงใด ไม่ต่างจากคุณครูของฮันนาห์, คุณครูของไรลี ที่ทำทุกสิ่งด้วย ‘ความรัก’ ไม่ใช่เพราะ
หน้าที่!
. . . . .
.
ซีเนียไม่คิดเลยว่า หลังจากที่เธอลาพักการเรียนเทอมที่ผ่านมา จะมีใครสนใจและถามหา - -
.
หลังจากที่ซีเนียต้องเผชิญกับความรู้สึกผิดและละอายใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็น
ช่วงเวลาที่ยากลำบาก เธอตัดสินใจหยุดเรียนเพราะรู้ว่าคงไม่มีสมาธิพอที่จะเรียนต่อไปได้ ซึ่งนั่น
หมายถึงเธอต้องย้ายออกจากหอพักของมหาวิทยาลัยด้วย เมื่อไม่ได้เป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน
เต็มเวลาแล้ว เธอจึงต้องหาที่อยู่ใหม่ทันที...
.
ซีเนียหายเงียบไปหลายเดือน... จนโปรเฟสเซอร์มาธินี - อาจารย์ของเธอพยายามติดต่อถามไถ่
เธอวุ่นวายกับชีวิต กว่าจะได้เขียนตอบก็นาน เธอเล่าว่า - -
.
“ช่วงที่เงียบหาย หนูต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายเดือน เนื่องจากพยายามฆ่าตัวตายค่ะ
พอออกจากโรงพยาบาลก็ต้องรีบหาที่พักใหม่ ต้องรีบหาเงินด้วยการทำงานหลายกะในร้านอาหาร
และหาเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลด้วย และในที่สุดก็ได้ที่พักอาศัยชั่วคราว แต่ก็ยังมีปัญหาตามมา
เพราะร้านอาหารที่ทำงานอยู่จะปิดลงในไม่ช้า...
.
ท่ามกลางความโชคไม่ดีเหล่านี้ ถึงอย่างไร หนูก็ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ หนูซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่อาจารย์ได้
ติดต่อมา เพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของหนู ขอบคุณอาจารย์ที่เป็นคนเดียวในชีวิตหนู ที่อยากรู้
ความเป็นไปของหนู มันมีความหมายสำหรับหนูมากค่ะ...”
.
โปรเฟสเซอร์มาธินี ตอบกลับมาว่า “ ฉันเสียใจอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ยากลำบากที่เธอเผชิญ
แต่มันเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเธอว่า สามารถหางานทำและที่พักชั่วคราวได้ - - แทนที่จะหัน
กลับไปมองอดีต แล้วรู้สึกผิดละอายใจ ขอให้มองไปข้างหน้าและจงภูมิใจที่เธอกำลังแสดงให้เห็นถึง
ความกล้าหาญและจัดการตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าได้หนึ่งก้าวเสมอ ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนรอ
อยู่ข้างหน้าอีกมากมายก็ตาม - - ที่สำคัญ จงอย่ากลัวที่จะยื่นมือออกไปขอความช่วยเหลือ...”
.
นอกจากความอาทรที่ส่งถึง, คำพูดดี ๆ ที่จุดพลังใจ อาจารย์ยังได้ส่งเงินให้เธอ 1,000 เหรียญ!
. . . . .
.
ไม่มีใครในโลกนี้เดินไปบนถนนชีวิตโดยไม่เคยล้มเลยสักครั้ง หากมีโอกาสเป็นครู/อาจารย์ที่ได้รับ
‘สิทธิ์พิเศษ’ในการดูแลใกล้ชิดชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังเติบโต จงใช้โอกาสนี้ทำให้เต็มที่! - - ให้เขาได้
ร่าเริงมีความสุข เหมือนที่คุณครูของฮันนาห์ทำ, ให้เขาได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับคุณครูของไรลี,
ให้เขามั่นใจว่ามีคนคอยสนับสนุน ไม่ต่างกับคุณครูของเดลีลาห์, ให้เขาอุ่นใจว่ามีคนห่วงใยและพร้อม
ยื่นมือช่วยเหลือ อย่างโปรเฟสเซอร์มาธินี
.
เพราะบางคนคิดว่า ความสำเร็จคือการเดินไปบนถนนชีวิต โดยไม่เคยล้มเลยสักครั้งเดียว แต่จริง ๆ แล้ว
ความสำเร็จ คือ ก า ร ลุ ก ไ ด้ ทุ ก ค รั้ ง ที่ ล้ ม ! จงภูมิใจหากเราได้มีโอกาสยื่นมือออกไป ช่วยพยุง
ให้พวกเขาได้ลุกยืนอีกครั้ง...

ที่สำคัญ! - -อย่ามัวติดกรอบของคำว่า 'หน้าที่' แต่จงลงมือทำทันที และอย่าบอกให้ใครต้องรอถึงพรุ่งนี้
เพราะบางทีอาจสายเกินไป เราทุกคนต่างต้องการตะเกียงในยามมืดมิด ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ตอนรุ่งเช้า - -
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าอวยพรคุณครูอาจารย์ทุกคนที่ทำหน้าที่ด้วยหัวใจและความรัก ]

.
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 03, 2022 8:39 pm

( 16 )

:s013: เรื่องเตือนใจ ถ้าคุณมีภรรยาที่ดีแล้ว อย่าทำตัวโง่เหมือนผมเลย

ผมทิ้งเมียกับลูกมาเพื่อคนที่รัก สุดท้ายก็ไปคว้าเอาคน ชั่วมา มันก็สมกันแล้ว
ไม่ใช่หรือ คนเราพอคบกันนาน มันก็ไม่ตื่นเต้น มันเบื่อ พูดอะไรก็ไม่เข้าหู
ยิ่งมีของใหม่ เข้ามาทำให้ตื่นเต้น ใจก็ยิ่งเตลิด สาวกว่า เอ๊าะกว่า ขี้อ้อน
เอาใจเก่งมากกว่า
ผมหลงหัวปักหัวปำ ลืมทุกๆ อย่าง ที่เคยสร้างกันมากับ ภรรยา ลืมความดี
ของผู้หญิงที่รักผมมากที่สุดในชีวิตลืมลูก ลืมครอบครัว ลืมหน้าตาทางสังคม
ลืมเพื่อนฝูง คิดแต่ อยากได้ อยาก มีแฟนใหม่ อยาก มีสังคมใหม่
จนวันหนึ่งก็ได้มาเมีย เด็ก ที่เอาแต่ใจ ประเคนให้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ
แถมยังแอบคุย แอบกิ๊กกับผู้ชายอื่นไปทั่ว เพื่อให้เราตาม หึงตามหวง แรก ๆ
มันก็สนุกดีหรอก แต่นานไป บ้านก็ อยาก ได้ รถก็ อยาก ได้
ด้วยความโง่ บวกความควาย ล้วนๆ ของผม ก็หามาให้ พอมันได้ทุก
อย่าง มันกลับบอกว่า ผมไม่ดี ผมไม่หล่อ หัวล้าน อ้วน ผมไม่ดูแลตัวเอง
ผมให้ได้ไม่มากพอ ผม พยายามง้อ เพราะเคยทำอดีตพัง
อยาก จะเริ่มต้นใหม่ พยายาม ตามใจ อยากได้เมียสวย ต้องหาเงินให้มัน
เข้าคอร์สทำหน้า ให้เงินมันแต่งตัว พามันไปกิน ไปเที่ยว ทั้ง ๆ ที่อยู่กับเมียเก่า
ไม่เคยแม้จะหยิบยื่น เงินให้ใช้สักบาท ไม่เคยให้อะไรสักอย่าง
วันนี้จับได้ว่ามันมีชู้ ผมแทบ อยาก จะฆ่ามันทั้งคู่ แต่มันพูดมาคำหนึ่งว่า
ผมยังทิ้งเมียกับลูกมาได้ มีหรือที่จะรักมันจริง ผมหยุด น้ำตาผมไหล
เลยปล่อยมันทั้งคู่ไป คิดถึงอดีตเมียกับลูก ก็ทำได้แต่นั่งร้องไห้
วันนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ผู้หญิงที่ยอมทนยอมลำบากกับผม ยอมทุก อย่าง
เพราะเขารักผม ผมกลับทำ ร้าย เขาไม่มีชิ้นดี ทำลายลูกเพราะทอดทิ้งเขามา
ทำลายทุก ๆ คนที่เคยมองว่าผมดี
หากมีเมียดีอยู่แล้ว อย่าโง่เหมือนผม หากมีครอบครัว อบอุ่นอยู่แล้ว
อย่าโง่ อย่าทอดทิ้งพวกเขามา คิดถึงความดีของเมียแล้ว
ผมก็ร้องไห้ออกมา ไม่อายสักนิด เขาดีมากจนผมรู้สึก
ขยะแขยงตัวเอง ไม่กล้ากลับไป สู้หน้าเขา

ขอขอบคุณที่มา thatlikegood, na-aan

:s008: :s008:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 24, 2022 7:54 pm

( 17 )

ดอกไม้ช่อเล็กมิอาจสวยงามเท่าทุ่งกว้าง แต่ก็ช่วยให้ห้องคับแคบหดหู่-สดชื่นขึ้น...
ในความเจ็บป่วยทางกายและความโดดเดี่ยวทางใจ แม้เพียงเพลงแผ่วแว่วมาบางเบา
ก็ทำให้ความปวดทุเลาหาย...
.
คุณยายเฮเลนนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลมานาน นอกจากต้องรักษาทางกายแล้ว พยาบาลสาว
อิสซาเบลรู้ดีว่าต้องเยียวยาทางใจด้วย - - ทุกวันศุกร์ นอกเหนือจากหน้าที่การงาน เธอจะมานั่ง
ร้องเพลงอยู่ข้างเตียงคุณยาย เพื่อผ่อนคลายใจเศร้าเหงานั้น ที่อาจเจ็บปวดไม่แพ้โรคทางกาย...
.
จนเมื่อทราบข่าวว่าคุณยายเฮเลนใกล้ถึงเวลาจากไปแล้ว อิสซาเบลยังอุตส่าห์แวะมาที่
โรงพยาบาล ในวันหยุดของเธอ เพื่อนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือไว้ ลูบไล้เบา ๆ พร้อมทั้งร้องเพลง
ส่งคุณยายเดิน ทางไกลครั้งสุดท้าย...
.
บางคน อาจคิดว่าอิสซาเบลทำเกินหน้าที่ แต่สำหรับเธอแล้ว พยาบาลคือผู้ช่วยดูแลรักษา
ทั้งกาย เยียวยาทั้งใจ เธอทำตรงตามหน้าที่-ที่เธอควรทำและทำได้เท่านั้นเอง
. . . . .
.
บางครั้ง, เราอาจมีเรื่องโชคไม่ดีเข้ามาในชีวิต ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เราโชคดีที่มีใครคนหนึ่ง
เข้ามาช่วยเหลือ อาจเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่และสำคัญต่อนาทีนั้น หรือเป็นห้วงเวลา
ที่มีความหมายในทรงจำ - -
.
คุณแม่ของแมรี่จำเป็นต้องได้รับการฉีดยาเพื่อบำรุงรักษาดวงตาทุกสี่สัปดาห์ ถ้าปล่อยนาน
กว่านั้นจะมีเลือดไหล และอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ
ดวงตาข้างซ้ายมาแล้ว - - โชคไม่ดี! เมื่อใกล้ถึงกำหนดฉีดยาครั้งต่อไป คุณแม่กลับป่วยเข้า
โรงพยาบาลไปหลายวัน ทำให้พลาดนัดฉีดยาครั้งสำคัญกับคุณหมอโยเซฟ
.
แต่โชคดี! - เมื่อคุณหมอโยเซฟทราบถึงความจำเป็นที่พลาดนัดไป และบังเอิญติดกับสุดสัปดาห์
ปล่อยทิ้งนานไปไม่ได้ จำเป็นต้องรักษาดวงตาข้างขวาไว้ เขาจึงต้องมาเปิดคลินิกในวันเสาร์
เพื่อให้แมรี่พาคุณแม่มาฉีดยาได้...
.
นั่นเป็นช่วงฤดูหนาวของปลายเดือนธันวา และเนื่องจากเป็นวันเสาร์ - วันสุดสัปดาห์ที่ไม่ทำงาน
จึงไม่มีการกวาดหิมะกองสูงตรงบริเวณทางไปยังหน้าประตูคลินิก โชคไม่ดีกลับมาอีกครั้ง!
เพราะเธอไม่สามารถใช้รถเข็นวีลแชร์พาคุณแม่จากลานจอดรถไปที่คลินิกได้ หิมะตกหนักหนา
เต็มพื้น!
.
เธอถอนหายใจ ดูเหมือนโชคดีกับโชคไม่ดีผลัดกันทำให้เธอหมดใจกับโล่งใจสลับไปมา จนแทบจะ
วางใจในนาทีต่อไปไม่ได้เลย... คุณหมอโยเซฟเห็นเหตุการณ์ เขาตัดสินใจอุ้มคุณแม่ของเธอเดินฝ่า
หิมะเข้าไปในคลินิก
.
ปัญหาของใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนอับจนหนทาง กลับแก้ได้อย่างง่ายดายโดยใครอีกคนหนึ่ง
ซึ่งไม่ยึดถือศักดิ์ศรีใด หากเต็มเปี่ยมด้วยความเข้าใจและกรุณา สมกับหน้าที่หมอที่ถูกกำหนดมา
เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์!
.
แมรี่บอกว่า เป็นเพราะความมีน้ำใจที่น่าทึ่งของคุณหมอโยเซฟ ทำให้คุณแม่ของเธอสามารถ
มองเห็นแสงไฟอัศจรรย์ของวันคริสต์มาสในปีนั้น...
. . . . .
.
หากโลกนี้ไม่มีใครแปลกหน้าต่อกัน มันจะดีแค่ไหนนะ, หาก'โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน' มันจะ
สวยงามสักเพียงใด... เพราะพยาบาลอย่างอิสซาเบล หรือคุณหมออย่างโยเซฟ มองคนไข้ว่า
เป็นเหมือนคุณยาย, คุณแม่ของตัวเอง การดูแลรักษาจึงไม่ใช่เพราะหน้าที่แห่งวิชาชีพ หากเป็น
หน้าที่แห่งหัวใจด้วยสัญชาตญาณแห่งความรัก!
.
ไม่ว่างานของคุณจะเหนื่อยหนักแค่ไหน, ตำแหน่งหน้าที่จะสูงส่งเพียงใด
จงให้ทุกเรี่ยวแรงที่ลงมือ มีความรักนำหน้า สิ่งที่ตามมาจะเป็นความสุขล้นใจ.
.
ปะการัง

.
[ ขอพระเจ้าประทานพรให้เราทำทุกหน้าที่ด้วยสัญชาตญาณแห่งความรัก ]

.
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 11, 2022 1:03 pm

( 18 )

ก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน - - เดไลลาห์ นักศึกษาสาวจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต มีปัญหา
เล็กน้อยกับทางสายการบิน กระเป๋าที่เธอจะเอาติดตัวขึ้นเครื่องบินนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่
กำหนด เธอต้องเสียค่าธรรมเนียม 50 เหรียญ ซึ่งต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น ไม่รับเงินสด!
ปัญหาคือเธอไม่มีบัตรเครดิตติดตัว!
.
พนักงานสายการบินบอกว่ามิเช่นนั้น ต้องกลับไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วด้านนอก ซึ่งนั่นจะทำให้
เธอพลาดเที่ยวบินนี้ ขณะกำลังหมดหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ชายคนหนึ่งคงได้ยินเรื่องราว
ทั้งหมด เดินมาถามว่า “เท่าไหร่ครับ” พนักงานสายการบินบอกว่า 50 เหรียญ เขาตอบสั้น ๆ ว่า
“ผมจ่ายให้เอง”
.
เดไลลาห์ตกตะลึงในความใจดีของชายคนนี้ แม้จะพยายามบอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ยื่น
บัตรเครดิตให้ทางพนักงานสายการบินรูดทันที เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาหันมาบอกเธอว่า เดินทาง
ปลอดภัยนะครับ แล้วรีบจากไปขึ้นเครื่อง...
.
เดไลลาห์น้ำตาไหลกับความใจดีของชายแปลกหน้า ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาช่วยทันเวลา เธอคิดในใจ
เขาต้องเป็นเหล่าเทวดานางฟ้าที่ปลอมตัวมาช่วยเธอแน่ ๆ เลย - -
.
แล้วเธอก็เห็นเขาอีกครั้งบนเครื่อง นั่งอยู่ในชั้นเฟิสต์คลาส จึงตรงไปหาพร้อมยื่นเงินสดคืนให้
เขาปฏิเสธไม่รับบอกว่า ให้ pay it forward ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป...
.
หัวใจของเดไลลาห์พองโตด้วยความปีติ เมื่อรู้ว่ายังมีคนดี ๆ อยู่ในโลกนี้ - -
.
จงเป็น‘ใครคนนั้น’สำหรับใครบางคนในยามที่เขาหรือเธอต้องการ เดไลลาห์บอกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไป
เธอจะเป็น ‘ใครคนนั้น’สำหรับคนอื่นอย่างแน่นอน!
.
หากเรื่องจะจบลงแค่นี้ ก็สวยงามอบอุ่นใจแล้ว...
.
แต่หลังจากที่เดไลลาห์เล่าเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย พร้อมรูปถ่ายเซลฟี่กับชายแปลกหน้าใจดีคนนั้น
เธอก็มีข้อมูลอัพเดทต่อมาว่า - - แท้จริงแล้ว ชายแปลกหน้าที่ช่วยเธอคนนี้ คือ เจอร์เมน เกรชแฮม
นักกีฬาระดับ NFL (National Football League) เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพของอเมริกา!
.
เรื่องนี้จึงดูพิเศษขึ้นมาทันที และเมื่อผมลองไปค้นคว้าต่อ ก็พบว่ามันพิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก!
.
เจอร์เมน เกรชแฮม เป็นนักกีฬามีชื่อเสียงและมีรายได้หลายสิบล้านเหรียญ! แต่ที่น่าสนใจคือ
เขาเป็นคนมีน้ำใจดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว กรณีของเดไลลาห์ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายื่นมือช่วยเหลือ - -
มีเรื่องเล่าผ่านทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเจอร์เมนอยู่เสมอ เช่น เขาเคยจ่ายเงินให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่พยายามรวบรวมเศษเหรียญเพื่อจ่ายค่านมขนมปังและผ้าอ้อม...
.
ครั้งหนึ่ง พนักงานโรงแรมหรู ตกตะลึงเมื่อเห็นเจอร์เมนขับรถเข้ามาจอด แล้วมีคนไร้บ้าน
(ที่สกปรกส่งกลิ่น – ตามคำบอกเล่าของพนักงานคนนั้น) ลงจากรถตามมาด้วยอีกสามคน เขาพา
คนเหล่านั้นมาทานอาหาร และยังพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ด้วย!
. . . . .
.
เคยมีคำถามสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าถึงสร้างคนเรามาไม่เท่ากัน? ในความเป็นจริง พระเจ้าได้ให้
พระพรสวรรค์ติดตัวมากับเราทุกคน เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกัน เราต้องหา ‘ความสามารถพิเศษ’นั้น
ในตัวเองให้เจอ ต้องมีวินัย ฝึกฝน มุ่งมั่น และหมั่นใช้ให้ถูกทาง! หากโชคดี-ใช้พระพรนั้นจนประสบ
ความสำเร็จ สร้างความแข็งแรงและความมั่งมีให้กับตัวเองได้ ก็ต้องรู้จักเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ แบ่งปัน
คนที่อ่อนแอและยากไร้กว่า...
.
เจอร์เมน เกรชแฮม รู้กฎข้อนี้ดี เมื่อทางโลกประกอบสร้างตัวตนให้ยิ่งใหญ่ เขาไม่เคยหลงใหล-
เอาเปรียบใคร กลับยิ่งถ่อมตนลงต่ำ-ทำตัวเล็กลง คอยดูแลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน…
.
นี่คือตัวอย่างจากสวรรค์! นี่คือคนที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น!
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เราทุกคนเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างจากสวรรค์ ]
.
ภาพ/ที่มา : Deliliah Cassidy
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2022 11:10 pm

( 19 )

ขณะกำลังตัดหญ้าสนามหน้าบ้านตัวเอง คุณยายเอลซี่ ในวัย 90 เผลอกดปุ่มเครื่องส่งสัญญาน
ฉุกเฉินที่ห้อยคอโดยไม่รู้ตัว - -
.
หลังจากนั้นไม่นาน รถดับเพลิงพร้อมเจ้าหน้าที่รีบรุดมาถึงหน้าบ้าน คุณยายยังแปลกใจว่ามา
ทำไมกัน? หลังจากที่พูดคุยจึงรู้ว่า เป็นสัญญาณเตือนภัยที่เกิดจากความผิดพลาด! ไหน ๆ ก็มาแล้ว...
แทนที่จะกลับไปโดยเปล่าประโยชน์ นักผจญเพลิงแบรนดอน ฮูเบอร์ ก็เลยช่วยคุณยายตัดหญ้าที่
สนามหน้าบ้านจนเสร็จเรียบร้อย
.
เท่านั้นไม่พอ แบรนดอนเห็นคุณยายอยู่คนเดียวกับบ้านหลังเก่า ที่สร้างตั้งแต่ปี 1934 สีบนผนังดู
ลอกล่อนมานาน จนแทบไม่เหลือความสดใส เขาจึงอาสาว่าจะมาช่วยซ่อมแซมทาสีให้ใหม่
คุณยายตะลึงในน้ำใจงาม เพราะเธอไม่ได้เอ่ยปากร้องขอแต่อย่างใด...
.
แบรนดอนมีลูกชาย 4 คน แถมงานในหน้าที่นักผจญเพลิงก็เป็นงานหนักหน่วง ที่ต้องทำเป็นกะสลับ
ไปไม่แน่นอน แต่เขาก็ยังสละเวลาว่างที่ควรพักผ่อนมาทาสีบ้านให้คุณยายเอลซี่ ไม่เพียงตัวเขาเอง
ยังได้พาลูกชายทั้งสี่มาช่วยทาสีด้วย...
.
ภายใน 4 วัน บ้านเก่าผุพังซีดเซียว กลายเป็นบ้านใหม่สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที!
.
เมื่อเรื่องดี ๆ แบบนี้แพร่กระจายออกไป นักข่าวมาสัมภาษณ์แบรนดอนถึงสาเหตุที่เขามาช่วยทาสีบ้าน
เขาตอบสั้น ๆ - - เป็นเพราะบ้านอยู่ในสภาพที่ผุพัง ผนังไม้แทบไม่มีสีเหลืออยู่เลย... และเขาคิดว่า
มันต้องการความรักสักหน่อย... เท่านั้นเอง!
.
ส่วนคุณยายดีใจมาก คอยบอกใครต่อใครว่า “มหัศจรรย์จริง ๆ ...มันเปลี่ยนชีวิตฉันเลยทีเดียว!”
. . . . .
.
นักผจญเพลิงแบรนดอน มิเพียงใช้ความแข็งแรงของตัวเอง ดูแลผู้อ่อนแอกว่าอย่างคุณยายเอลซี่
เขายังได้ถ่ายทอดความอ่อนโยนนั้นไปยังลูกชายทั้งสี่ด้วยตัวอย่างที่เขาลงมือกระทำให้เห็น ไม่ใช่
เพียงคำพูดที่พร่ำสอน อีกทั้งให้ลูก ๆ ได้มีส่วนสัมผัสความสุขที่ได้รับโดยตรงจากการเป็นผู้ให้!
.
เมื่อแบรนดอนทาสีบ้านคุณยายให้สวยใหม่ มันได้เติมความรักลงในใจเราให้สดใสด้วยเช่นกัน...
แล้ววันหนึ่ง, เราจะเอื้อมมือข้ามรั้ว ส่งหัวใจให้กันมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ เปลี่ยนชีวิต
ทั้งของผู้อื่นและตัวเราเอง.
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เรามีหัวใจอ่อนโยนที่คอยเติมความรักให้ผู้อื่น ]

.
ภาพ/ที่มา : CBS19

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:50 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2022 11:12 pm

( 20 )

โจอี้ พรูแซคเด็กหนุ่มวัย19 ผู้จัดการร้านแดรี่ ควีน เมืองฮอปกินส์ รัฐมินนิโซตา ได้ยืนหยัด
ในสิ่งถูกต้อง ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเขา หากกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
ในสายตาของคนทั่วไป...
.
ขณะที่โจอี้กำลังคิดเงินลูกค้าตาบอดอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เขาสังเกตเห็นชายตาบอดทำเงินหล่น
ลงพื้น 20 เหรียญ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ได้ก้มเก็บเงินใส่กระเป๋าตัวเอง โจอี้บอกผู้หญิงคนนั้น
ให้คืนเงินกับชายตาบอด แต่เธอปฏิเสธ เขาจึงจำเป็นต้องยื่นคำขาด!
.
“คุณผู้หญิงครับ คุณคืนเงิน 20 เหรียญนั้น หรือไม่ก็ต้องออกจากร้าน เพราะผมจะไม่บริการคน
ที่ไม่น่าเคารพนับถืออย่างคุณครับ”
.
ผู้หญิงคนนั้นโกรธจัด แต่ก็ไม่ยอมคืน ในที่สุด ก็ต้องจำยอมออกจากร้านไป... โจอี้ไม่จบเพียงแค่นี้
เขาล้วงกระเป๋าเงินของตัวเอง หยิบ 20 เหรียญคืนให้กับชายตาบอด!
.
ลูกค้าในร้านคนหนึ่ง เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเขียนจดหมายไปยังบริษัทต้นสังกัดแดรี่ ควีน
เพื่อเล่าเรื่องของพนักงานที่น่าชื่นชมนี้ให้รับรู้ ในที่สุด ก็เป็นข่าวแพร่กระจายออกไปทางโซเชียลมีเดีย
.
และเช่นทุกครั้ง - - คนจิตใจดีชอบถ่อมตนและไม่พูดมาก โจอี้ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมคิดว่า
ถูกต้องเท่านั้นเอง... ขณะที่ทำผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก... ผมเชื่อว่า 90 % ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น
เขาก็ต้องทำแบบเดียวกับผม”
.
ใช่! แทบทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เขาทำถูกต้อง แต่เอาเข้าจริง จะมีใครสักกี่คนเอาใจใส่ในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของ
ตัวเอง กล้าที่ยืนหยัดเพื่อความถูกต้องนั้น!
.
เมื่อเรื่องของโจอี้เริ่มเป็นข่าวในบางสื่อหลัก คนจำนวนมากได้แวะมาเยี่ยมโจอี้ที่ร้านและโทรมาคุย - -
บ้างเสนองานให้เขาทำ และบ้างก็มอบทุนการศึกษาเพื่อให้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย - - ยิ่งไปกว่านั้น
ครั้งหนึ่ง วอเร็น บัฟเฟ็ทถึงกับยกหูโทรมาคุยด้วยตัวเอง และเชิญโจอี้ไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป
(เนื่องจากบริษัทของบัฟเฟ็ทเป็นเจ้าของแดรี่ ควีน)
. . . . .
.
ขณะที่สังคมกำลังหลงทาง ความผิดกลายเป็นความถูก การไม่สัตย์ซื่อและดึงดันไม่ยอมรับกลายเป็นเ
รื่องปกติ เราควรต้องสร้างอีกหลายโจอี้ในทุกแวดวง ไม่ใช่เฉพาะโจอี้ในร้านอาหาร แต่เป็นโจอี้ใน
สถาบันศึกษา หรือเป็นโจ้อี้ในรัฐสภา
.
เพราะโจอี้ พรูแซคคือเยาวชนตัวอย่างของไอดอลที่ควรจะเป็น ไม่ใช่คลั่งไคล้กันที่หน้าตา
หากศรัทธาในหัวใจงาม - - หัวใจที่ยึดมั่นในสิ่งถูกต้อง และกล้าหาญที่จะยืนหยัดในสิ่งนั้น!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เรามีหัวใจที่กล้าหาญและยืนหยัดในสิ่งถูกต้อง ]
.
ภาพ/ที่มา : HT John Tesh

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:50 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 18, 2022 3:43 pm

( 21 )

หากแค่เห็นภาพ-เจ้าหน้าที่ตำรวจแบกเด็กชายนั่งอยู่บนไหล่ กำลังเดินบนชายหาด เราคงนึกว่า
สองพ่อลูกมาเที่ยวชายทะเล แต่ในความเป็นจริง-ไม่ใช่อย่างที่เห็น เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นอยู่
ในเครื่องแบบและเดินกลางแดดบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ เขาคงไม่มีอารมณ์มาเที่ยวเล่นด้วยชุดเต็มยศ
ที่หนาหนักและร้อนขนาดนั้น - -
.
เรื่องเกิดขึ้นเพราะเด็กชายลงเล่นน้ำทะเล เมื่อกลับขึ้นมาบนหาด เขาหาแม่ไม่เจอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึง
พาเขาเดินหาตลอดแนวชายหาด แต่เด็กน้อยคงเดินไม่ไหว เลยต้องให้ขึ้นนั่งบนไหล่แทน... และในที่
สุดก็ได้เจอกับคุณแม่ ก่อนจากกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยังใจดีมอบตราสังกัดสถานีตำรวจของเขาเองกับ
เด็กน้อย พร้อมด้วยแว่นกันแดดอันใหม่ และลูกบอลชายหาดเป็นที่ระลึก - -
. . . . .
.
จากบ้านของเอมี่มองไปยังฝั่งตรงข้าม เธอเห็นนายตำรวจคนหนึ่งจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้ร่มไม้
เพื่อตรวจจับความเร็วของคนขับรถ!
.
เธอเล่าว่า ในตอนแรกเด็กชายตัวเล็ก ๆ สองคนที่ดูน่าจะอายุประมาณ 10 ขวบนั่งห่าง ๆ อยู่บนขอบถนน
จ้องมองเจ้าหน้าที่และมอเตอร์ไซค์ของเขาด้วยความสนใจ ต่อเมื่อรวบรวมความกล้าได้ พวกเขาเดินเข้า
ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและได้ดูอุปกรณ์เรดาร์ที่ใช้ตรวจจับความเร็ว... เด็กชายคุยเสียงดังตื่นเต้นและ
สนุกกับความรู้ใหม่
.
ครู่เดียวต่อมา เด็กชายคนหนึ่งก็วิ่งข้ามถนนเล็ก ๆ ด้านข้างอย่างเร็ว ทั้งเจ้าหน้าที่และเด็กชายอีกคนก็ส่ง
เสียงเชียร์เพื่อนเขาให้วิ่งเร็วขึ้น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนว่า “สิบเอ็ดไมล์ต่อชั่วโมง!” เด็ก ๆ ได้เรียนรู้
และหัวเราะชอบใจ
. . . . .
.
เชื่อว่า หนูน้อยที่พลัดหลงกับคุณแม่ และหนูน้อยสองคนที่ได้สัมผัสเรดาร์ตรวจจับความเร็ว พวกเขา
คงเติบโตต่อไปพร้อมด้วยภาพจำของความใจดีว่าเป็นอย่างไร?
.
ไม่ว่าเราเป็นใคร อยู่ในเครื่องแบบไหนก็ตาม ได้เคยแบกรับน้ำหนักของความใจดีบ้างหรือยัง โดยเฉพาะ
เมื่อต้องทนกับโลกรอบตัวที่เมินเฉย กลางฤดูร้อนแล้งในใจคน... แต่ไม่ว่าอย่างไร จงส่งต่อความใจดีนี้
ให้แพร่กระจายออกไปให้มากที่สุด แม้จะด้วยความเร็วแค่ “สิบเอ็ดไมล์ต่อชั่วโมง”ก็ตาม!
.
ปะการัง

.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้ความใจดีได้กระจายไกลสู่ใจของทุกคน ]
.
ภาพแรก/ที่มา : Jessica Barnes
ภาพสอง/ที่มา : Amy Lloyd

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
ตอบกลับโพส