ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา มี ( 5 )ตอนจบ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 25, 2022 8:31 pm

"ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ตอนที่ ( 1 )
รวบรวมจากกูเกิ้ล เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 ที่วชิรพยาบาล เป็นบุตรคนที่สองของหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย
กับ เฉลิมขวัญ ชุมสาย ณ อยุธยา ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีส
เซเวียร์คอนแวนต์และ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลจนจบชั้น ป.4 ก่อนเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย 6 เดือนและย้ายตามคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ที่ปารีสขณะมีอายุ 9 ขวบโดยเรียน
ที่ “Lycée Janson de Sailly” จนอายุ 12 ปี ช่วงนั้นท่านทำตัวเป็นเด็กเกเร ชอบชกต่อยกับเพื่อน ๆ

หลังจากนั้น คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจส่งลูก ๆ ไปเรียนต่อในอังกฤษที่โรงเรียน “Enfield Grammar School”
และ “Haileybury and Imperial Service College” โดยอยู่กับครอบครัวชาวอังกฤษ เจ้าบ้านที่ท่าน
อาศัยอยู่มีลูกชายโตกว่าไม่มาก ทั้งสองซุกซนชอบทำเรื่องตื่นเต้นรุนแรงถึงขั้นทำระเบิดเล่น เด็กชาย
อาจองเกเรมากขึ้น ใช้แม่ไม้มวยไทยปราบเด็กฝรั่งจนราบคาบและเที่ยวเตร่ไปทั่ว

เมื่อท่านอายุได้ 15 ปีก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากเป็นนักเรียนประจำอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์
ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์ขึ้นในคืนหนึ่งขณะนอนอยู่ในห้องนอนรวม 50 คนในหอพัก กลางดึกของคืนวันนั้น
ท่านตกใจตื่นเมื่อมีแสงสว่างจ้าไปทั่วห้องโดยที่เพื่อน ๆ ในห้องยังคงหลับสนิท ท่านได้ยินเสียงเรียก
ชื่อ 3 ครั้งว่า “อาจอง...อาจอง...อาจอง...ทำไมถึงทำอย่างนี้?” และเหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในเวลา
เดียวกันซ้ำ 3 คืนติดกัน สองคืนแรกท่านคิดว่าเป็นผี ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากและนอนหลับต่อ แต่เมื่อเกิดขึ้น
เป็นครั้งที่ 3 ท่านถึงกับนอนไม่หลับและเริ่มคิดถึงชีวิตของตัวเองอย่างจริงจัง และสรุปว่าตนเป็นคนเกเร
ชอบชกต่อยหาเรื่อง และคงเป็นเพราะเหตุนี้ว่า ท่านจึงได้ยินคำถามที่ว่า “ทำไมถึงทำอย่างนี้?” เมื่อคิดได้
แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนตัวเองได้อย่างไร
ท่านจึงไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นและขอคำแนะนำกับบาทหลวงในศาสนาคริสต์ บาทหลวงดีใจที่ท่านไปพบ
และแนะนำให้ไปศึกษาพระคัมภีร์ซึ่งท่านก็ทำตาม

ต่อมาไม่นาน บาทหลวงสอนท่านเรื่องการสวดธิษฐานโดยอธิบายว่า เราต้องออกเสียงสวดในโบสถ์พร้อมกัน
ท่านก็แย้งว่าไม่จำเป็น เราสามารถสวดในมุมเงียบ ๆ ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในโบสถ์ แม้แต่ใน
ห้องน้ำก็สวดอธิษฐานได้ บาทหลวงโกรธมากและไล่ท่านออกจากห้อง ท่านจึงเดินออกจากห้อง น้ำตา
ไหลพรากเพราะไม่คิดว่าบาทหลวงจะโกรธถึงเพียงนั้นเนื่องจากประเทศอังกฤษให้เสรีภาพการแสดงความ
คิดเห็นได้อย่างเสรี ท่านจึงไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาจารย์ใหญ่ ๆ ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยหัน
หน้ามาพูดคุยกันใหม่ ที่สุด ท่านก็ได้รับคำแนะนำให้ศึกษาด้วยตัวเองในห้องสมุด
ท่านเริ่มค้นคว้าศึกษาหนังสือในห้องสมุดจนพบบทความเกี่ยวกับ “การฝึกนั่งสมาธิ” และรู้สึกว่า “ใช่เลย”
จากนั้นก็เริ่มฝึกสมาธิเป็นต้นมา และเมื่อฝึกวันละครึ่งชั่วโมงได้หนึ่งเดือน ก็รู้สึกนิ่งสงบ มีความสุขและ
เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น เกิดปัญญา”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ค. 31, 2022 8:47 pm

"ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ตอนที่ (2 )
รวบรวมจากกูเกิ้ล เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ดร.อาจองเล่าว่า : ผมเริ่มคิดหนักถึงอนาคตและอยากสอนธรรมะคนอื่นเพื่อให้ผู้นั้นมีความสุขเช่นกัน
ผมเริ่มมีความคิดแปลกๆ ในเรื่องของกรรมดีว่า ถ้าสวรรค์มีจริง ผมไม่อยากไป ผมสวดอธิษฐาน
ขอตกนรก เพราะสวรรค์มีแต่คนดี เราไปช่วยเขาไม่ได้ แต่ในนรกนั้นมีแต่คนที่เขาทนทุกข์ทรมาน
และต้องการความช่วยเหลือจากเรา ฉะนั้นผมขอตกนรกดีกว่า จะได้ช่วยเหลือพวกเขาได้

หลังจากนั้นผมก็คิดหาวิธีช่วยเหลือคนอื่นในโลกนี้ ซึ่งแน่นอน ก่อนอื่นผมต้องมีอาชีพหลัก
อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้ก่อนจะไปช่วยเหลือคนอื่น และอาชีพที่มีรายได้ดีก็น่าจะเป็นทาง
ด้านสายวิทยาศาสตร์

ผมฝึกสมาธิวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน นิสัยของผมเปลี่ยนไปเป็นคนใจเย็นและการเรียนก็ก้าวหน้า
ไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฝึกไปได้ 1 ปี ผลการสอบปรากฏว่าผมได้ที่ 1 ทุกวิชาทั้งที่เมื่อตอนที่ผม
อายุ 14 ปีผมสอบได้ที่สุดท้ายของห้อง และขณะที่ฝึกสมาธิก็รู้สึกมีความสุขสงบมาก จึงคิดว่า
เมื่อเป็นผู้ใหญ่ผมน่าจะไปอยู่ในป่าตามลำพังดีกว่า แต่ตอนนั้นผมอายุแค่ 15-16 จึงยังไม่อาจ
ทำตามความคิดนี้ได้

ดร.อาจองค้นพบว่า ความสำเร็จในการเรียนและการทำงานอย่างไม่น่าเชื่อของท่านเกิดจากการ
มีสมาธิอย่างแท้จริง เพราะการมีสมาธิช่วยให้มีความจำดีขึ้นมากจนสอบได้ที่ 1 ทุกวิชาในระดับ
ไฮสคูลแล้ว และยังสามารถสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเป็น
มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในอังกฤษได้อีกด้วย

ที่จริงผมสนใจด้านธรรมะมากกว่า และเคยคิดที่จะบวชอยู่หลายครั้ง เมื่อมีโอกาสกลับมาประเทศไทย
ผมก็ขอคุณพ่อคุณแม่บวช แต่ท่านรู้ว่าถ้าผมบวชแล้ว ผมคงจะไม่สึกแน่ ท่านจึงบอกให้ไปคิดดูให้ดีก่อน
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อผมกลับไปประเทศอังกฤษ ผมฝันกลางดึก เห็นพระรูปหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่มาก
ผมเข้าไปกราบท่าน พูดคุยกับท่าน ๆ บอกผมว่า ชีวิตของผมไม่ใช่ชีวิตของนักบวช แต่จะต้องอยู่ในสังคม
ช่วยเหลือสังคม ผมจึงตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปีก็ได้รับ
ปริญญาตรี แถมมหาวิทยาลัยยังมอบปริญญาโทให้อีกด้วยโดยไม่ต้องเรียน

หลังจากนั้น ผมก็ตัดสินใจเรียนปริญญาเอกต่อ เพราะการที่จะไปสอนธรรมะให้คนสมัยใหม่ ถ้าเรา
เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นดอกเตอร์ ผู้คนจะเชื่อถือเรามากกว่าเพราะเราพูดอย่างมีเหตุมีผล มีหลักการ
มากขึ้น ดังนั้นผมจึงศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัย “Imperial College Science and Technology” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์
ที่ดีที่สุดในกรุงลอนดอน

การเรียนในช่วง 2 ปีแรก ผมทำกิจกรรมมากและแทบไม่ได้เข้าเรียน พอถึงปีที่ 3 ก็อยากรีบจบ
จึงเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านบอกให้ผมทำ “ วิทยานิพนธ์” ผมจึงใช้วิธีนั่งสมาธิคิดหาเรื่องที่จะทำ
วิทยานิพนธ์ และอยู่ ๆ ก็แว้บขึ้นมา เห็นภาพเครื่องมือที่ใช้ขยายคลื่นไมโครเวฟด้านการสื่อสาร
โทรคมนาคม ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ยังไม่มีใครเคยสร้าง ผมจึงนำเรื่องนี้มาทำเป็นวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์
ท่านก็บอกว่า โอ้..วิทยานิพนธ์นี้ยอดเยี่ยม และอนุมัติให้จบปริญญาเอกเป็นดอกเตอร์เมื่ออายุ 24 ปี
แต่เนื่องจากผมรับทุนเรียนปริญญาเอกจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งมีข้อตกลงกับรัฐบาลไทยว่า เมื่อจบแล้ว
ผมจะต้องกลับมารับราชการ ผมจึงมารับราชการเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามเงื่อนไข
ของข้อตกลง

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ค. 31, 2022 8:51 pm

"ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ตอนที่ ( 3 )
รวบรวมจากกูเกิ้ล เรียบเรียงโดยกอบกิจครุวรรณ

ขณะเป็นอาจารย์ ผมพยายามสอนเรื่องการทำสมาธิควบคู่ไปกับวิชาการด้วย ผมเข้าไปช่วยชมรม
พุทธศาสน์สอนนิสิตจนนั่งสมาธิเป็นกันหลายคนและมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น. ในปี 2512
ผมสอนนิสิตเรื่องการแผ่เมตตาให้กับต้นไม้ พวกเขาก็ถามผมว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ผมก็บอกว่า
ให้เรามาทดลองพิสูจน์กันเพราะ “ความเมตตาเป็นพลังที่ละเอียดอ่อน”
การทดลองแผ่เมตตาให้ต้นไม้ในครั้งนั้น เริ่มจากให้นิสิตและอาจารย์จุฬากลุ่มหนึ่งเตรียมที่ดิน
2 แปลงและนำต้นดาวกระจายสูง 2 นิ้วที่เพาะไว้ก่อนหน้านั้นมาปลูกในแปลงที่ดินทั้งสองนี้ หลัง
จากนั้นก็ใส่ปุ๋ย รดน้ำและให้การดูแลทุกอย่างเหมือนกัน โดยแปลงแรกมีนิสิต 15 คนแผ่เมตตาให้
ส่วนอีกแปลงหนึ่งเป็นแปลงควบคุม ไม่มีการแผ่เมตตา หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน ปรากฏว่าแปลง
ที่มีการแผ่เมตตานั้นต้นดาวกระจายสูงกว่าต้นที่ปลูกในอีกแปลงหนึ่ง 49.2% และเริ่มออกดอกทุกต้น
ขณะที่ต้นในแปลงควบคุมยังไม่มีต้นใดออกดอกเลยแม้แต่ต้นเดียว ผลการทดลองจึงสรุปได้ว่า
การแผ่เมตตาสามารถช่วยสิ่งมีชีวิตเติบโตได้ดีกว่า แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ไปปล่อยข่าวว่าผมสติไม่ดี

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวหน้า 1 ว่า ‘ดอกเตอร์หนุ่มจุฬาฯ สติเฟื่อง แผ่เมตตาให้ต้นไม้’ (หัวเราะ)

หลังจากผมเป็นอาจารย์สอนได้ 2 ปีก็รู้สึกว่า เนื้อหาวิชาที่สอนอยู่เริ่มล้าสมัยแล้ว เพราะเทคโนโลยี
ก้าวหน้าไปเร็วมาก ผมจึงตัดสินใจว่า อีก 2 ปีผมจะขอลาราชการไปทำงานและศึกษางานต่างประเทศ
สัก 6-7 เดือน พอได้ความรู้มากขึ้นแล้วจะกลับมาสอนต่อ

ผมลาไปหาความรู้และประสบการณ์ครั้งแรกที่อเมริกาในปี 2511 ผมหางานทำได้โดยไม่มีปัญหา
ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะเรามีปริญญาเอกทางด้านวิศวฯ จากสถาบันที่มีชื่อเสียง
ผมได้งานเป็นวิศวกรออกแบบชิ้นส่วนไมโครเวฟอยู่ 6-7 เดือน ก็นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลับมาสอน
นิสิตต่อได้อีก 2 ปี ก็รู้สึกว่าจะตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ทันอีกแล้ว ผมจึงขอลาราชการไปอีกเป็นครั้งที่ 2
การไปครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกมาก เพราะเศรษฐกิจในอเมริกากำลังมีปัญหา ผมหางานทำด้วยวุฒิ
ปริญญาเอกไม่ได้ เพราะเงินเดือนสำหรับคนมีปริญญาเอกสูงมาก เวลาสมัครงานผมจึงบอกไปว่า
มีเพียงวุฒิปริญญาตรี และขอทำงานเป็นช่างระดับธรรมดาจึงได้งานเป็นช่างทำงานในโรงงาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากทำงานได้ไม่นาน เขาก็รู้ว่าผมมีความรู้มากกว่าที่บอกเขา เพราะผมทำงาน
ยากๆ ได้หมด เขาจึงเลื่อนตำแหน่งให้เป็นวิศวกรของบริษัทไมโครเมก้า และที่สุดก็ให้เป็นหัวหน้า
ฝ่ายไมโครเวฟของบริษัท

ในช่วงนั้นเอง องค์การนาซ่ามีประกาศรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมทำงานในโครงการส่งยานอวกาศ
“ไวกิ้ง” ไปสำรวจดาวอังคาร ดร.อาจองได้เขียนโครงการเสนอตัวเข้าไปในนามบริษัท แต่ถูกปฏิเสธ
เพราะอุปสรรคด้านเชื้อชาติ สัญชาติ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นความลับทางเทคโนโลยีขั้นสูงสุด
ที่สหรัฐอเมริกาเกรงว่าจะรั่วไหลไปสู่ประเทศคู่แข่งอย่างประเทศรัสเซียในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม ท่านก็ไม่ลดละความพยายาม และศึกษากฏหมายของสหรัฐฯ จนทราบว่ามีช่องโหว่ที่
อนุญาตให้คนต่างชาติร่วมทำงานได้ในกรณีที่ขาดแคลนผู้รู้สัญชาติสหรัฐฯ ซึ่งในขณะนั้นสหรัฐฯ
ยังไม่มีผู้ใดคิดระบบการนำยานอวกาศลงจอดบนพื้นผิวดาวเคราะห์ได้ ท่านจึงส่งประวัติและโครงการ
เข้าไปใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้นาซ่าส่งข้อมูลของท่านให้หน่วยข่าวกรอง FBI และ CIA ตรวจสอบอย่างละเอียด
อยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ตอบรับให้ท่านเข้าร่วมโครงการได้

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ค. 31, 2022 8:53 pm

"ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ตอนที่ ( 4 )
รวบรวมจากกูเกิ้ล เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บริษัทที่รับการว่าจ้างดำเนินการจากนาซ่า คือ บริษัท “Martin Marrietta” ใช้วิธีสร้างต้นแบบ
(Prototype) ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ จากนั้นก็ทดสอบด้วยเครื่องทดลองเสมือนจริง
เพื่อจำลองการร่อนลงของยาน ซึ่งมีการดัดแปลงแก้ไขอยู่หลายครั้งใช้เวลาเป็นปีก็ยังไม่สำเร็จ
จนทุกคนในโครงการพากันเครียดไปหมด

ดร.อาจอง จึงคิดว่าวิธีการแบบอเมริกันที่คิดค้นและทดลองภายใต้ความกดดันไม่ได้ผล ท่านจึง
เปลี่ยนมาใช้วิธีนั่งสมาธิบนยอดเขา Big Bear ในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่ 5 วัน ท่านปล่อยวางจิตจน
สงบและเกิดปัญญาหยั่งรู้ขึ้นมาในเช้าวันที่ 5 ของการทำสมาธิ และท่านก็พบวิธีการใช้คลื่นไมโครเวฟ
ควบคุมการร่อนลงจอดของยาน ซึ่งเมื่อนำเอามาทดลอง ปรากฏว่าได้ผล สามารถควบคุมยานจำลอง
ให้ลงจอดได้อย่างนุ่มนวล สร้างความตื่นเต้นและมหัศจรรย์ใจแก่เพื่อนร่วมงานเป็นอย่างมาก

ดร. อาจอง เล่าต่อไปว่า หลังจากนั้น ทางนาซ่าก็ให้ผมสร้างต้นแบบให้ 3 ชุด สำหรับยานไวกิ้ง 3 ลำ
และไม่นานต่อมาก็มีการส่งยานไวกิ้งไปดาวอังคาร 2 ลำ ใช้เวลาเดินทาง 11 เดือน เมื่อยานไปถึง
ดาวอังคารก็สำรวจหาพื้นที่ลงจอด จากนั้นยานก็ส่งสัญญาณไปกระตุ้นเครื่องที่ผมสร้างไว้ ให้ควบคุม
ยานลงจอดโดยอัตโนมัติ ยานทั้ง 2 ลำแตะพื้นเบา ๆ โดยไม่มีปัญหาใด ๆ และสามารถส่งข้อมูลกลับ
มาที่โลกของเรา เป็นเวลาเกือบ 7 ปี
เมื่อผมขอลาออกกลับประเทศไทย องค์การนาซ่าเสนอเพิ่มเงินเดือนให้ 20 เท่ารวมทั้งจะให้สัญชาติ
อเมริกันและมอบโครงการใหญ่อื่นๆให้ผมด้วย แต่ผมปฏิเสธอย่างสุภาพเพราะผมต้องการ กลับมา
สอนลูกศิษย์ที่บ้านเกิดไม่ได้คิดจะไปทำงานกินเดือนสูง ๆ ผมจึงกลับเมืองไทย แต่ชีวิตก็ยังมีอุปสรรคอยู่
เพราะเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้ว หน่วยสืบราชการลับอเมริกายังคงตามประกบผมอยู่ เพราะกลัวว่าผมจะ
เผยความลับระดับสุดยอดนวัตกรรมขององค์การนาซ่า อีกทั้งยังมีหน่วยสืบราชการลับประเทศอื่นมาติดต่อ
ขอซื้อข้อมูลด้วยการเสนอเงินก้อนโต แต่ผมก็เอาตัวรอดมาได้

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ค. 31, 2022 8:58 pm

"ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ตอนที่ ( 5 ) (ตอนจบ)
รวบรวมจากกูเกิ้ล เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

โรงเรียนสัตยาไส เกิดจากแรงบันดาลใจที่ ดร.อาจอง ได้รับเมื่อท่านได้ไปพบท่านสัตยาไส บาบา
(2469-2554) ที่ประเทศอินเดีย ขณะนั้นท่านสัตยาไส บาบาอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่หลายคน
เชื่อว่าเป็นผู้มีญาณทิพย์ ท่านสัตยาไส บาบาแนะนำ ดร.อาจอง ว่าควรใช้เวลาที่เหลือของชีวิตพัฒนา
เรื่องการศึกษาที่มีคุณธรรม ซึ่งนำสู่การเปิดโรงเรียนสัตยาไสในประเทศไทยในปี 2535 เป็น
โรงเรียนประจำ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับปีการศึกษาปัจจุบัน เปิดรับเฉพาะชั้นอนุบาลและ ป.1 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
ไม่เก็บค่าเล่าเรียนแต่ต้องเสียค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเทอมละ 10,000 บาท

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนต้นแบบของโรงเรียนสัตยาไสในประเทศอื่นๆ อีก 57 โรงเรียนใน 35 ประเทศ
ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน
ดร.อาจอง อุทิศตนเต็มที่ให้กับการอำนวยการและดูแลโรงเรียน ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่กินอยู่และ
อำนวยการเรียนการสอนที่นั่น ตั้งแต่การตื่นนอนเวลา 04.30 น. และตั้งแต่ 05.00 น.ท่านจะร่วมนำ
การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ และการเรียนรู้ “คุณค่าความเป็นมนุษย์” ฯลฯ ให้กับนักเรียนก่อนที่จะ
ไปทำกิจกรรมอื่นๆ

โรงเรียนตั้งอยู่ในบริเวณเหนือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตำบลลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี มีพื้นที่ 300 ไร่เศษ
ที่มีสภาพเป็นป่าเขา หนองบึง สงบ ร่มรื่น มีนักเรียนประมาณ 350 คนและครู 50 คน อัตราส่วนครูต่อ
นักเรียนประมาณ 1 : 6 ห้องเรียนละไม่เกิน 30 คน นักเรียนทุกคนพักค้างภายในโรงเรียน ยกเว้นนักเรียน
ชั้นอนุบาลที่มีบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน ทุกคนรับประทานอาหารมังสวิรัติของโรงเรียน นักเรียนในระดับ
มัธยมปลาย มีสายวิทย์-คณิต ศิลป์-ภาษา (อังกฤษ,ญี่ปุ่น,จีน) ช่วงปิดภาคฤดูร้อน มีการส่งนักเรียนไป
อยู่กับครอบครัวในต่างประเทศเป็นการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม

โรงเรียนนี้ดำเนินการโดยยึดหลัก "ความรัก ความเมตตา" ทุกคนดูแลช่วยเหลือกันและเป็นส่วนหนึ่ง
ของครอบครัวใหญ่ มีอาจารย์แลกเปลี่ยนจากต่างประเทศมาสอนภาษา ทางโรงเรียนเน้นให้เด็ก
นักเรียนเป็นคนดี มีความสามารถและเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
โรงเรียนใช้หลัก “การเรียนรู้แบบบูรณาการโดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง” เช่น ให้นักเรียน
(ตั้งแต่ชั้นอนุบาล) ร่วมกำหนดหัวข้อที่จะเรียนรู้ โดยมีครูเป็นผู้ช่วยแนะนำ (ไม่ใช่สอน) ให้นักเรียนได้
เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงอย่างเหมาะสม เช่น เรื่อง “สุขกาย สบายใจ” ก็จะให้นักเรียนชั้น ม. 1 - 3 เรียน
ด้วยกัน เริ่มจากการนั่งสมาธิร่วมกัน แล้วแบ่งเป็น 4 กลุ่ม แยกกันไปเรียนรู้ตามฐานการเรียนรู้ 4 ฐาน
ก่อนจะกลับมารวมกันในช่วงท้าย จากนั้นแต่ละกลุ่มจะนำเสนอผลการเรียนรู้ที่ได้จากแต่ละฐานและ
อภิปรายร่วมกัน จบเรื่องที่เรียนรู้ด้วยการทำสมาธิ แผ่เมตตา และทำความเคารพ
โรงเรียนดำเนินตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตัวเองให้มากที่สุด มีการใช้แผงโซลาร์เซลล์
ผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ใช้พลังงานลม พลังงานจากขยะ แบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ ให้เด็กดำนา
ปลูกข้าว (60 ไร่) ปลูกพืชและผักสวนครัวทุกอย่างเพื่อนำมาเป็นอาหารมังสวิรัติ นอกจากนั้นยังปลูก
ต้นปาล์ม ปลูกกระเจี๊ยบและนำเมล็ดกระเจี๊ยบมาใช้ทดแทนพลังเชื้อเพลิง มีการผลิตไบโอดีเซลจาก
น้ำมันพืชที่ใช้แล้วมาทดแทนน้ำมันดีเซล โรงเรียนผลิตสบู่ดำ ยาสระผม น้ำยาล้างจานจากสมุนไพร ฯลฯ
จำหน่ายเพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดภาวะโลกร้อน

**********************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส