เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ (ชุดที่ 14 )
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 04, 2022 9:13 pm
ศาสตราจารย์พิเศษ เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ ตอนที่ ( 1 )
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550 + นิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 565 ปี 2550
และจากกูเกิ้ล รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ เธอไม่ได้เป็นคนเก่งขั้นสุดยอดเท่านั้น
แต่ยังเป็นคนกล้าบ้าปิ่น และมีจิตใจเมตตาสร้างความอบอุ่นแก่คนรอบข้างเสมอ เธอมุ่งมั่นอุทิศตนเป็น
“เภสัชกรยิปซีพเนจร” คิดค้นผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ทั่วทวีปแอฟริกาเพื่อให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ยากไร้โดยไม่มีข้อจำกัดทางเชื้อชาติหรือศาสนา เธอกล่าวว่า..."ชีวิตคนทุกคนมีค่า
เท่ากัน ไม่ว่าจะผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ หรืออาศัยอยู่ที่ซีกโลกใดก็ตาม" มีผู้ให้คำนิยามว่า “เธอเป็น
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้สมองและหัวใจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด”
เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 มีพี่น้อง 2 คน
บิดาเป็นแพทย์และมารดาเป็นพยาบาล ในช่วงวัยเด็กได้รับการศึกษาที่เกาะสมุยบ้านเกิด แล้วย้ายมา
ศึกษาระดับมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนราชินี และหลังจากสำเร็จปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว เธอรู้สึกว่ายังไม่อยากทำงานเพราะคิดว่ายังไม่มีความรู้มากพอ จึงตัดสินใจ
ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ สำเร็จปริญญาโทสาขาเภสัชวิเคราะห์ มหาวิทยาลัยสตรัชคไลด์ (Strathclyde)
ในปี 2521และรับปริญญาเอก สาขาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยบาธ (Bath) ในปี 2524
ภายหลังสำเร็จการศึกษา ดร.กฤษณาได้นำความรู้ที่กลับมาทำงานใกล้ภูมิลำเนาเดิมโดยเป็น
อาจารย์ประจำในตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปี พ.ศ.2524
แต่ในขณะนั้นสาขาวิชานี้ไม่เป็นที่สนใจกันนัก เธอจึงเป็นอาจารย์อยู่เพียง 2 ปีก็รู้สึกเบื่อ เพราะคิดว่า
ความรู้ที่เราอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนมา น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่านั้น เธอจึงเปลี่ยน
มาทำงานที่องค์การเภสัชฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2526 ซึ่งมีนโยบาย ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐและ
ประชาชน และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เธออยากผลิตยาที่มีคุณภาพดีราคาถูกให้กับคนไทย
ดร.กฤษณาเล่าว่า : ดิฉันเริ่มทำงานที่องค์กรเภสัชในตำแหน่งหัวหน้าแผนกพัฒนาวิธีวิเคราะห์ยา
ซึ่งตรงกับวิชาสำคัญวิชาหนึ่งที่เรียนที่ประเทศอังกฤษและเป็นวิชาที่มีประโยชน์มาก ผู้เรียนต้องรู้จักถอด
เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์และผลิตยาออกมาเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ต้องประกอบขึ้นมาใหม่เอง
ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ดิฉันอยากเปลี่ยนสายที่เรียนอยู่มาเป็นไบโอเคมี (ชีวเคมี)
แทน เพราะเห็นว่าที่เกาะสมุยบ้านเรามีมะพร้าวเยอะมาก จึงคิดว่าไบโอเคมีคงนำความรู้กลับมาใช้ได้
มากกว่า แต่เมื่อไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านถามกลับว่า ในประเทศไทยมีคนที่เรียนสาขาไบโอเคมีกี่คน
– ดิฉันก็ตอบไปว่ามีมากกว่าพันคน -- อาจารย์จึงถามต่อว่า แล้ววิชาที่เธอกำลังเรียนอยู่ตอนนี้น่ะ มีอยู่กี่คน
-- ดิฉันตอบไปว่ามีอยู่ 5 คน รวมตัวดิฉันด้วย
ที่สุด อาจารย์ก็โยนคำถามสุดท้ายมาให้ว่า เธออยากเป็นคนที่ห้า หรืออยากจะเป็นคนที่พันกว่า
-- เท่านั้นแหละ ดิฉันก็ได้คำตอบ
ดิฉันเป็นหัวหน้าแผนกพัฒนาวิธีวิเคราะห์ยาอยู่จนถึงปี 2532 ผู้อำนวยการองค์การเภสัชฯ เรียกดิฉัน
เข้าไปพบ และให้มาเริ่มทำงานวิจัย เพราะเป็นแผนกที่ตั้งมานานแล้ว แต่ไม่มีใครเข้ามาทำเลย แจ๊กพ็อต
เลยมาแตกที่ดิฉัน ดิฉันก็ตอบตกลงโดยมีข้อแม้ 3 อย่าง คือ
1. ขอเลือกคนที่จะมาร่วมทำงานเอง
2. ต้องปรับปรุงเรื่องสถานที่ให้ และ
3. ขอเป็นคนดูแลด้านการจัดชื้อเครื่องมือเอง และให้เวลากับตัวเองว่าถ้าภายใน 2 ปี ดิฉันยังไม่สามารถ
พัฒนาด้านการวิจัยได้ ก็จะลาออก
ตอนแรก ทั้งแผนกมีบุคลากรเพียงคนเดียวคือตัวดิฉันเอง แต่ตอนที่ดิฉันลาออกในปี 2545 ดิฉันอยู่
ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา และแผนกที่ดิฉันทำอยู่นั้นมีบุคลากรประมาณ 70 คน
ซึ่งเป็นผู้ที่ดิฉันคัดเลือกเองเมื่อตอนที่ออกไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนธันวาคม 2550 + นิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 565 ปี 2550
และจากกูเกิ้ล รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ เธอไม่ได้เป็นคนเก่งขั้นสุดยอดเท่านั้น
แต่ยังเป็นคนกล้าบ้าปิ่น และมีจิตใจเมตตาสร้างความอบอุ่นแก่คนรอบข้างเสมอ เธอมุ่งมั่นอุทิศตนเป็น
“เภสัชกรยิปซีพเนจร” คิดค้นผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ทั่วทวีปแอฟริกาเพื่อให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ยากไร้โดยไม่มีข้อจำกัดทางเชื้อชาติหรือศาสนา เธอกล่าวว่า..."ชีวิตคนทุกคนมีค่า
เท่ากัน ไม่ว่าจะผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ หรืออาศัยอยู่ที่ซีกโลกใดก็ตาม" มีผู้ให้คำนิยามว่า “เธอเป็น
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้สมองและหัวใจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด”
เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 มีพี่น้อง 2 คน
บิดาเป็นแพทย์และมารดาเป็นพยาบาล ในช่วงวัยเด็กได้รับการศึกษาที่เกาะสมุยบ้านเกิด แล้วย้ายมา
ศึกษาระดับมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนราชินี และหลังจากสำเร็จปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว เธอรู้สึกว่ายังไม่อยากทำงานเพราะคิดว่ายังไม่มีความรู้มากพอ จึงตัดสินใจ
ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ สำเร็จปริญญาโทสาขาเภสัชวิเคราะห์ มหาวิทยาลัยสตรัชคไลด์ (Strathclyde)
ในปี 2521และรับปริญญาเอก สาขาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยบาธ (Bath) ในปี 2524
ภายหลังสำเร็จการศึกษา ดร.กฤษณาได้นำความรู้ที่กลับมาทำงานใกล้ภูมิลำเนาเดิมโดยเป็น
อาจารย์ประจำในตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปี พ.ศ.2524
แต่ในขณะนั้นสาขาวิชานี้ไม่เป็นที่สนใจกันนัก เธอจึงเป็นอาจารย์อยู่เพียง 2 ปีก็รู้สึกเบื่อ เพราะคิดว่า
ความรู้ที่เราอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนมา น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่านั้น เธอจึงเปลี่ยน
มาทำงานที่องค์การเภสัชฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2526 ซึ่งมีนโยบาย ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐและ
ประชาชน และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เธออยากผลิตยาที่มีคุณภาพดีราคาถูกให้กับคนไทย
ดร.กฤษณาเล่าว่า : ดิฉันเริ่มทำงานที่องค์กรเภสัชในตำแหน่งหัวหน้าแผนกพัฒนาวิธีวิเคราะห์ยา
ซึ่งตรงกับวิชาสำคัญวิชาหนึ่งที่เรียนที่ประเทศอังกฤษและเป็นวิชาที่มีประโยชน์มาก ผู้เรียนต้องรู้จักถอด
เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์และผลิตยาออกมาเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ต้องประกอบขึ้นมาใหม่เอง
ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ดิฉันอยากเปลี่ยนสายที่เรียนอยู่มาเป็นไบโอเคมี (ชีวเคมี)
แทน เพราะเห็นว่าที่เกาะสมุยบ้านเรามีมะพร้าวเยอะมาก จึงคิดว่าไบโอเคมีคงนำความรู้กลับมาใช้ได้
มากกว่า แต่เมื่อไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านถามกลับว่า ในประเทศไทยมีคนที่เรียนสาขาไบโอเคมีกี่คน
– ดิฉันก็ตอบไปว่ามีมากกว่าพันคน -- อาจารย์จึงถามต่อว่า แล้ววิชาที่เธอกำลังเรียนอยู่ตอนนี้น่ะ มีอยู่กี่คน
-- ดิฉันตอบไปว่ามีอยู่ 5 คน รวมตัวดิฉันด้วย
ที่สุด อาจารย์ก็โยนคำถามสุดท้ายมาให้ว่า เธออยากเป็นคนที่ห้า หรืออยากจะเป็นคนที่พันกว่า
-- เท่านั้นแหละ ดิฉันก็ได้คำตอบ
ดิฉันเป็นหัวหน้าแผนกพัฒนาวิธีวิเคราะห์ยาอยู่จนถึงปี 2532 ผู้อำนวยการองค์การเภสัชฯ เรียกดิฉัน
เข้าไปพบ และให้มาเริ่มทำงานวิจัย เพราะเป็นแผนกที่ตั้งมานานแล้ว แต่ไม่มีใครเข้ามาทำเลย แจ๊กพ็อต
เลยมาแตกที่ดิฉัน ดิฉันก็ตอบตกลงโดยมีข้อแม้ 3 อย่าง คือ
1. ขอเลือกคนที่จะมาร่วมทำงานเอง
2. ต้องปรับปรุงเรื่องสถานที่ให้ และ
3. ขอเป็นคนดูแลด้านการจัดชื้อเครื่องมือเอง และให้เวลากับตัวเองว่าถ้าภายใน 2 ปี ดิฉันยังไม่สามารถ
พัฒนาด้านการวิจัยได้ ก็จะลาออก
ตอนแรก ทั้งแผนกมีบุคลากรเพียงคนเดียวคือตัวดิฉันเอง แต่ตอนที่ดิฉันลาออกในปี 2545 ดิฉันอยู่
ในตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา และแผนกที่ดิฉันทำอยู่นั้นมีบุคลากรประมาณ 70 คน
ซึ่งเป็นผู้ที่ดิฉันคัดเลือกเองเมื่อตอนที่ออกไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้