คุยเรื่องลูกหลานเราเปลื่ยนไป “รู้แล้ว รู้แล้ว”

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 8:58 pm

(1)

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว

อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบกว่านั้นเขาตอบว่า ~

"รู้แล้ว รู้แล้ว" 👈

ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือน
โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า

"ครับ" หรือ "ค่ะ" 👈

คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้
ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ"
ผมว่าไม่มีสักครอบครัว

ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชา
ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว

ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆๆ"
อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลยกว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค
ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง?
คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่าได้เสียใจ

ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด
ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับ
มหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว

ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก

เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง :

"ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว" 👈

เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอน
ของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขาคิดว่าโตๆกันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว
ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อที่ผิด

วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่
ผมเล่าหรือไม่ เช่น

ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า
"ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"🤔

ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์
มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้

ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมากเป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร?

เขาก็เป็นอย่างนี้ 👈

1.คิดตื้นชั้นเดียว 😟

ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้า
ใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที


2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี 😟

เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่า
อยากทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่สำคัญ
เท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต 👈

คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิด
อยู่กันชั่วคราวถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวยไว้ก่อน
เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา มีตัวเองคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง 👈

โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร
เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคต
ประเทศชาติไว้กับพวกเขา

เพราะว่าเขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณีมีแต่เขา
คนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใดมีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าวจงดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน🤣

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว” 👈

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ

"โรครู้แล้ว รู้แล้ว" 👈
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้

👉 สื่อโซเชียล

ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้เขา
ไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับ
โทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด บุคลิกกลายเป็นคนเฉย หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร
ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว

ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลก
โซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า 🤫

ประการสำคัญ 😲
เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์
ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามากถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

👉 การเคลื่อนตัวของจักรวาล
คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ
ในอวกาศที่ว่างทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไป
จากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป

👉 ศาสนา
โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์มีใจบาป ทำลายคนและสัตว์มากมาย
มาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และกินสัตว์เป็นอาหาร

ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้ามกินเนื้อสัตว์ก็อะลุ่มอล่วย
ให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร
การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์ฆ่า
หรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และ
ญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

👉 สังคม

มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่
ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใครเพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน

การพูดจาไม่ต้องสุภาพ ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี
ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ

4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”

ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า
“มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”

ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า
“รู้แล้ว รู้แล้ว”

ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา
โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

"ขอให้ท่านโชคดี"👈
ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง
"รู้แล้ว รู้แล้ว”
เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม? 🤣

บุญ ไท 🙏🙏🙏

* ขออนุญาติเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจกับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส
ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ

ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
ที่อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรมความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจ
ของคนต่างวัยในชายคาเดียวกัน😯

"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า 😱
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565

:s015: :s015:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 11:21 pm

( 2 )


…………. เพื่อนในไลน์ส่งมา……
วาง “อคติ” และ “ความยึดติด” ของตนลงเสีย คุณก็จะกลายเป็นคนใจกว้างขึ้นมาในทันที

เพราะมีหู ก็ต้องได้ยินทั้งคำดี คำร้าย เพราะมีตา ก็ต้องได้เห็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย

อย่าเก็บทุกเรื่องที่พบที่เห็นใส่ไปให้รกใจเปล่าๆ เรื่องดีๆ ก็เก็บไว้ เรื่องร้ายๆ ก็ปล่อยผ่าน

ใครดี ไม่ดี แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ

เรื่องบางเรื่อง แค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ทุกข์ใจ

“คนใจกว้าง” คือ คนที่มีความขัดแย้งในชีวิตน้อย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว
ย่อมมีความสุขได้มาก เป็นคนที่ผู้คนอยากคบหา
ชีวิตจึงรื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะของมิตรสหาย เป็นคนที่มีความสมานฉันท์กับผู้คน
จึงสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทั่วสารทิศ
.
จะฝึกตนอย่างไรให้เป็นคนใจกว้าง

1. ไม่ติดใจในเรื่องเล็กน้อย จบได้ก็จบไป
2. ลดตัวตนลง ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง “ความถูกต้อง”
3. เชื่อว่า “ความอดทนอดกลั้น” ไม่ใช่ “ความอ่อนแอ”
4. ต่อว่าคนอื่นให้น้อยลง
5. ไม่ร่ำร้องให้ผู้อื่นทำตามความต้องการของเราตลอดเวลา
6. อ่อนน้อมถ่อมตน คือ คุณสมบัติ “คนใจกว้าง”
7. ไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบตัดสินเรื่องต่างๆ
8. อย่าเรียกร้องความสมบูรณ์แบบ
9. อยากใจกว้างต้องรู้จักลืม
10. การลืมเรื่องรกสมองเล็กๆ น้อยๆ คือ “การให้อภัย”
11. ให้อภัยคนอื่น ก็คือให้อภัยตนเองด้วย
12. เมื่อผู้อื่นทำผิด ลองแทนตัวเองเป็นเขา
13. ลองคิดว่า “ถ้าเป็นเรา” เราต้องการอะไรหลังทำพลาด
14. เปิดโอกาสให้คนผิดปรับปรุงตัว แก้ไขสิ่งที่พลาด
15. ใจกว้างย่อมไม่ผูกใจเจ็บเป็นเรื่องราวใหญ่โต
16. อยู่กับผู้อื่นเบิกตากว้าง ไม่มองหาแต่จุดด้อย
17. ไม่กล่าวตำหนิข้อผิดพลาดของคนอื่นอยู่ร่ำไป
18. ลดความมักมากและฟุ้งเฟ้อ นี่คือที่มาของ “ความอิจฉา”
19. ส่งเสริมเวลาผู้อื่นทำดี
20. มีความสุขกับความสำเร็จของผู้อื่น
21. อภัยได้ ลดความระแวงสงสัยได้ ชีวิตก็สงบ
22. เมื่อไม่เห็นด้วย เพียงสงบนิ่งอาจจะพอแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 3 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ย. 14, 2022 8:40 pm

( 3 )

ทันตแพทย์สม สุจีรา

“ไอคิว”
จากการสำรวจ world ranking IQ ( https://worldpopulationreview.com/countr… )
พบว่าคนไทยมีไอคิวเฉลี่ยที่ 89 เท่านั้นเอง ถือว่าต่ำมาก เลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจ กับแชร์ลูกโซ่
ที่โดนโกงกันวงหนึ่งระดับพันล้านขึ้น วงแล้ววงเล่า ไม่หมดสิ้นเสียที ไม่แปลกใจเน็ตไอดอลที่
นุ่งบิกินนี่สองชิ้น โชว์เต้าเต้นโชว์ มียอดไลค์หลายแสน คลั่งหวยกันทั้งแผ่นดินทั้งที่โอกาสถูก
มากสุดคือเลขท้ายสองตัว ยังตั้ง 1 ใน 100 (โยนหัวก้อยแค่ 1 ใน 2 ยังมีโอกาสทายถูกน้อยเลย)

ในระดับนักเรียน ก็เริ่มมองเห็นปัญหา สังเกตจากคะแนนสอบเข้าคณะแพทย์ ซึ่งนักเรียนที่
สมัครจัดว่าเป็นระดับชั้นนำของประเทศแล้ว วิชาคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ทำได้คือ 20
จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ข้อสอบมีห้าตัวเลือก (ก ข ค ง จ) แสดงว่านักเรียนไทยทำคะแนนได้
เท่ากับค่ามั่วพอดี (ข้อสอบช้อยส์ มั่วโดยไม่คิดก็ได้ 20/100) วิชาอื่นก็ใช่ว่าจะมาก อย่างฟิสิกส์
เคมี อยู่ที่ประมาณ 22 เต็ม 100

การสอบเข้าแพทย์ปีนี้ จึงกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาคือ วิชาไหนได้คะแนนไม่ถึง 30%
จะไม่อนุญาตให้เรียนแพทย์ แม้ว่าสามารถทำคะแนนวิชาอื่นมาชดเชยได้ก็ตาม
(ส่วนใหญ่จะชดเชยด้วยวิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ แต่เข้ามาเรียนแพทย์จริงแล้วเรียนไม่ไหว )
ดังนั้นในปีนี้ แม้จะได้คะแนนภาษาไทย 80 เต็ม 100 แต่คณิตศาสตร์ได้ 20 ก็จะไม่คิดคะแนนทั้งหมดทันที

เกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาไทย กระทรวงที่ใช้งบประมาณแผ่นดินมากที่สุด ถึงปีละ
กว่า 300,000 ล้านบาท เกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจติวเตอร์ มูลค่าหลายหมื่นล้าน ทำไมไม่ได้ช่วยอะไรเลย

มีเพื่อนเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า แม้แต่นักศึกษาปริญญาตรี
เอกคณิตศาสตร์ ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเวลาย้ายข้างสมการแล้ว จากฝั่งหนึ่งเป็นคูณ อีกฝั่งต้อง
กลายเป็นหาร แล้วอย่างนี้จะจบออกไปสอนนักเรียนได้อย่างไร

หลายคนอาจบอกว่า มีข่าวเด็กไทยได้เหรียญคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โอลิมปิกทุกปี
นั่นคือนักเรียนที่อยู่บนยอดปิรามิด ซึ่งมีจำนวนเพียงหลักร้อยของประเทศ แต่หลักแสนที่เหลืออยู่
คุณภาพน่าเป็นห่วง

ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ คุณภาพนักการเมืองไทย ถ้าไอคิวเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่ 89 แล้วเกิด
นักการเมืองมีไอคิวที่ 80 ให้มารับผิดชอบประเทศ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
(เท่าที่ฟังจากการปราศรัยหรือประชุมสภาก็ประมาณนั้น เพียงแต่พูดเก่ง)

แต่ก็ยังโชคดีที่ประเทศไทยเรา มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย อยู่กึ่งกลางพอดี
ประเทศติดทั้งสองมหาสมุทร มีน้ำตกพันกว่าแห่ง (มากที่สุดในโลก) หาดทรายสวยหลายร้อยหาด
( เกาะญี่ปุ่นทั้งประเทศยังหาหาดสวยแบบบางแสนของเราได้ยาก)
มีผลไม้หลากหลายชนิดที่กินกันได้ทั้งปี หว่านเมล็ดพืชไปตรงไหนของแผ่นดินก็งอกเป็นต้นได้

อีกทั้งคนไทยเรา จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องมีราว ไม่โกง
(ลองไปเที่ยวเวียดนาม หรืออินโดดู จะรู้ว่าโคตรโกงเป็นอย่างไร) เปี่ยมด้วยพรหมวิหาร 4
(แต่ขาดอิทธิบาท 4 ) จึงทำให้ประเทศไทยเรา อยู่รอดปลอดภัย อย่างมีความสุขมาโดยตลอด

รัฐบาลควรตั้งเป็นวาระแห่งชาติ มาวิเคราะห์ว่าทำไมไอคิวคนไทยต่ำลง เป็นที่ระบบ
การศึกษา ระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้หมกมุ่น ระบบสื่อสารมวลชน หรือเพราะอะไร สังเกตจาก
หนังสือพิมพ์ชั้นนำสามฉบับ ฉบับหนึ่งเน้นเรื่องไหว้หมูสามขา อีกฉบับเน้นเรื่องเซ็กส์เสื่อม
(พาดหัวได้ทุกวัน) อีกฉบับสนับสนุนกัญชาเสรี ส่วนละครไทย ภาพยนตร์ไทย บทก็ง่ายๆ
แบบหนังสือการ์ตูนเล่มละบาทในยุค 70 ( ใครทันอ่าน แสดงว่าวัยเดียวกับผู้เขียน )

:s008: :s008:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 08, 2022 8:13 pm

( 4 )


🌼ชอบจัง อ่านกี่ครั้งก็โดนใจ..

ต้นไม้แก่ ขอฝนจากเมฆก้อนน้อย เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า

น้ำฝนมีอยู่น้อย กลัวว่ามันคงจะไม่พอ...ให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

วันต่อมา... เมฆก้อนน้อยก็ยังคง บอกเช่นเดิม มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้...!!!

เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง และพยายามสะสมฝน เพื่อที่จะให้มันมากพอ...!!!
พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

เมื่อมีปริมาณมากพอ เมฆน้อยจึงกลับมา...

แต่สิ่งที่พบข้างหน้า มีเพียงซากต้นไม้แก่ ที่ตายแล้ว...!!!

เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้ แล้วถามว่า...ทำไม ?ความพยายามของฉัน ไม่มีค่าเลยเหรอ...!?!

ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้ จึงได้แหงนหน้า........ แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า...

* การที่เราจะให้อะไร? แก่ใครสักคนที่เรารัก...มันไม่ต้องรอให้มากพอ
หรือรอความพร้อมอะไรหรอก ให้เท่าที่มี.....ก็ทำให้คนรับ ชื่นหัวใจได้.....
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไข !!!

อย่าไปรอให้รวย !!! ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก อย่าไปรอให้พร้อม !!!
ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก เพราะคนที่เรารัก......อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา !!! *

แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป เขาฝากบอกเธอไว้ว่า
ถ้าเห็นเธอผ่านมา ให้บอกเธอว่า..เขารักเธอ

เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตา ออกมาเป็นเม็ดฝนอย่าง ไม่ขาดสาย..ให้กับต้นไม้
ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็น อีกต่อไป..ตลอดกาล !!!

*อ่านกี่ทีก็ชอบ..เพราะเตือนสติ ได้ดีมาก...ในสิ่งที่เรามองข้าม....

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดารา ตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นใน
วันที่ 11 กันยายน 2001 (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม)หลังจาก ที่ทราบว่าภรรยาของเขา
เสียชีวิตในตึกนั้นด้วย..!!!.

ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ !!! ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น แต่ ความอดกลั้นน้อยลง...!!!

เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ ครอบครัวเรากลับเล็กลง...!!!

เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ สุขภาพกลับแย่ลง...!!!

เรามีความรักน้อยลง แต่ มีความเกลียดมากขึ้น...!!!

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่ เรากลับพบว่า.................
แค่การข้ามถนนไปทักทาย เพื่อนบ้านกลับยากเย็น...!!!

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่ แค่ห้วงในหัวใจกลับ ไม่อาจสัมผัสถึง...!!!

เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ ศีลธรรมกลับตกต่ำลง...!!!

เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้น แต่ สุขภาพแย่ลง...!!!

ทุกวันนี้.. ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่ การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา...

อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้าง ว่าเพื่อใช้โอกาสพิเศษ...!!!

เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่ คือโอกาสที่พิเศษสุดแล้ว...!!!

จงแสวงหา...การหยั่งรู้ !!!

จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อ ชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความอยาก

จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่รักให้มากขึ้น

กินอาหารให้อร่อย....... ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป

ชีวิตคือ โซ่ห่วงของนาที แห่งความสุข ไม่ใช่เพียง แค่การอยู่ให้รอด...!!!

เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้

เอาคำพูดที่ว่า "สักวันหนึ่ง……" ออกไปเสียจากพจนานุกรม

บอกคนที่เรารักทุกคนว่า เรารักพวกเขาเหล่านั้น แค่ไหน !

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตาม..... ที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน..ทุกชั่วโมง..ทุกนาที มีความหมาย...เราไม่อาจรู้ เลยว่าเมื่อไร?มันจะสิ้นสุดลง !

และเวลานี้….........

ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลา ที่จะ forword ข้อความนี้ ให้คนที่คุณรักอ่าน แล้วคิดว่า
"สักวันหนึ่งค่อยส่ง" ละก้อ...!

คุณอาจจะไม่มีโอกาสนั้นก็ได้ !?! ใครจะรู้...ใช่ไหม ?!?🌼🌼

...รัก & คิดถึง


:s012:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 10, 2022 11:27 pm

( 5 )


ช่องว่างที่ใกล้ที่สุด ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเรียกว่า “อ้อมกอด”
ช่องว่างที่ไกลที่สุด ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเรียกว่า “การรอคอย”
ช่องว่างที่แนบสนิทที่สุด ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเรียกว่า “ให้อภัย”
ช่องว่างที่น่ากลัวที่สุด ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเรียกว่า “ทั้งที่สายตามองมาแต่กลับไม่เห็น”

เราทุกคนเหมือนหนังสือ อ่านคน อ่านยากกว่าภาษาใด ๆ ในโลกนี้!
คนบางคน ยื่นร่มให้คุณในวันฟ้าใส แต่พอวันฝนตก เขากลับดึงร่ม
แล้วเดินจากคุณไปอย่างไม่ใยดี!

หากคุณอ่านคน ๆ หนึ่งและมาถึงบท ๆ นี้ อย่าโกรธหรือแค้นเคืองเขาคนนั้น
เพราะไม่มีใครในโลกใบนี้ ที่ยอมเปียกฝนแทนคุณนอกเสียจากพ่อแม่
และเหนือสิ่งอื่นใด ร่มคันนั้น ก็ไม่ได้เป็นของคุณตั้งแต่แรก

คนบางคน ยามที่คุณมีทรัพย์มีชื่อเสียง จากคนที่ไม่เคยรู้จักกลับเข้ามาทัก
เข้ามารุมล้อมประหนึ่งรู้จักกันมาเป็นพันร้อยชาติ แต่พอคุณลงจากเวทีแห่งละครชีวิต
เขาเหล่านั้นกลับหายไปอย่างไม่ใยดี แม้แต่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำเป็นไม่รู้จัก

หากคุณกำลังอ่านคนๆ หนึ่ง และอ่านมาถึงบท ๆ นี้ อย่าโกรธ
อย่าแค้นเคืองเขาเหล่านั้น เพราะตอนที่คนเหล่านั้นเข้ามาหาคุณ
เขาไม่ได้เข้ามาเพราะรักหรือชื่นชมคุณ เขาชื่นชมคุณเพราะผลประโยชน์
และบัดนี้ ผลประโยชน์เหล่านั้น มันหาไม่ได้จากตัวคุณอีกแล้ว
คุณต้องย้อนกลับมามองตัวเอง ตอนที่เขารุมล้อมคุณอยู่นั้น
คุณเสแสร้งเหมือนที่เขา เสแสร้งต่อคุณหรือเปล่า?
หากเสแสร้งก็สมน้ำสมเนื้อ หากไม่เสแสร้งก็สมเหตุสมผล

หนังสือบางเล่มสอนให้เราใช้ชีวิต
บางเล่มสอน ให้เรารู้จักชีวิต
บางเล่มสอน ให้เรารู้จักความสุข โศก พบ พราก
บางเล่มสอน ให้หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ
บางเล่มสอน ให้รู้จักรักใคร่ รู้จักชิงชัง
บางเล่ม... เกิดประโยชน์จนชีพวาย
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือชนิดใด หน้าสุดท้ายมักมีบทสรุปให้เข้าใจเสมอ

อ่านคนเหมือนอ่านหนังสือ ยามที่กำลังอ่านคนอื่น ก็กำลังอ่านตัวเองด้วยเช่นกัน
.....

Cr: นุสนธิ์บุคส์
ขอบคุณเจ้าของภาพ

#กล้าตะวัน
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:06 pm

( 6 )


"ยิ่งหวงยิ่งหาย ยิ่งให้ยิ่งได้คืน จะเป็นแค่น้ำแก้วหนึ่ง หรือ เป็นลำธารหนึ่งสาย"

รู้มั้ยทำไมน้ำตกถึงสวยงาม…?

ที่น้ำตกสวยงามน่ะ เพราะ ไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองไง สังเกตไหมล่ะว่า…
เวลาน้ำตก ตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว น้ำนั้นจะถูกส่งต่อลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที
เพราะน้ำตกไม่เห็นแก่ตัว แต่ยอมส่งน้ำที่ตกลงมาจากชั้นอื่น
แล้วส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ น้ำตกถึงสวย

ถ้าอยากให้ตัวเองเป็นคนที่งดงาม… ควรจะเป็นอย่างน้ำตก
หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวเรา อย่าเก็บสิ่งดี ๆนั้นไว้คนเดียว…!!

ต้องเรียนรู้ที่จะ ‘แบ่งปัน’ ออกไปให้มากที่สุด
มีก็แต่คนที่ ‘ให้’ ออกไปเท่านั้น จึงจะเป็นคนที่ ‘ได้รับ’ อย่างแท้จริง

นี่คือความลับของฟ้า.. ที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่คุณเริ่ม “ให้” คุณไม่เคยจนลง
มีแต่มั่งคั่งร่ำรวยขึ้น

เมื่อคุณเริ่ม “ให้” จะมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต เมื่อคุณเริ่ม “ให้” กับ “ตัวเอง”
คุณจะมีความสุข และ ความภาคภูมิใจ

เมื่อคุณเริ่ม “ให้” กับ “คนที่รัก” คุณจะได้รับความรักกลับมาร้อยเท่าพันทวี

และเมื่อคุณเริ่ม “ให้” กับ “ผู้อื่น” จะมีผู้คนมากมายอวยพรให้คุณ และ ครอบครัว

เมื่อเราเริ่ม “ให้” โลกจะผลัก คนที่ไม่ใช่แบบเดียวกับเรา ออกไปจากชีวิต และ ยิ่งไปกว่านั้น…
โลกจะดึงคนที่เป็นแบบเดียวกับเราเข้ามา

คุณ ต่อ ธนญชัย ผู้กำกับหนังโฆษณา อันดับ 1 ของโลกบอกว่า
“ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ คือ การเอาออก ไม่ใช่เอาเข้า”
คนประสบความสำเร็จทุกคนรู้ความลับเรื่องนี้
และ เขาจะ “ให้” กับคนที่สมควรจะได้… ไม่ใช่คนที่ร้องขอ

“ให้” ในที่นี้มิได้หมายถึง ทรัพย์สินเงินทองแต่เพียงอย่างเดียว

แต่หมายความถึง ให้ความรัก ให้ความรู้ ให้ความปรารถนาดี ให้ความเมตตาปราณี
ให้อภัย ฯลฯ

พลังของการ “ให้” นั้นยิ่งใหญ่มาก แต่สิ่งสำคัญ คือ… ต้อง “ให้” โดยไม่คาดหวังว่าจะ
ได้อะไรตอบแทน ให้แล้วทำใจให้มีความสุขกับการให้นั้น

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ถ้าเรา “ให้” มากพอืโลกจะตอบแทนกลับมาอย่างสาสม ผมพิสูจน์เรื่องนี้มาแล้ว

อย่าลืมความลับของฟ้าเรื่องนี้นะครับ… “ หวงคือไล่ ให้คือเรียก ”

Cr. rugyim
#เฮียติงลี่ #เฮียติงลี่โชคดีแสนล้าน
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 8:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 17, 2022 8:15 pm

( 7 )

ลอกเขามาให้อ่าน

วิธีคิดและแก้ปัญหาแบบอินเดีย

ด.ช. ปัญญา เป็นเด็กที่เกิดในเมือง แต่ได้ย้ายไปอยู่ชนบท
วันหนึ่งไปซื้อแพะจากชาวนาในราคา 1000 รูปี ซึ่งชาวนายินดีที่จะส่งมอบแพะให้ในวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้นชาวนาก็ไปหา ดช.ปัญญา บอกว่า "ข่าวร้ายจ้าหนู แพะที่หนูขอซื้อ เพิ่งตายไปเมื่อคืนนี้เอง"

ดช.ปัญญา ก็บอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นคืนเงินให้ผมก็แล้วกัน"
ชาวนาพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆว่า "โอ เสียใจด้วยจริงๆ แต่ฉันใช้เงินนั่นไปหมดแล้ว"

ดช.ปัญญาบอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้างั้นเอาแพะตัวนั้นมาให้ฉัน"
"หนูจะเอาแพะตายไปทำอะไร" ชาวนาถามด้วยความฉงน
"ฉันจะเอาไปจับฉลากขาย"
"จะไปจับฉลากแพะที่ตายแล้วได้อย่างไร ใครจะไปซื้อ"
"ได้ซิ คอยดูละกัน"

จากนั้นชาวนาก็มอบแพะที่ตายให้ ดช.ปัญญาไป

หนึ่งเดือนผ่านมา... ชาวนาพบกับ ดช.ปัญญา อีก จึงถามว่า "ตกลงเอาแพะที่ตายไปทำอะไร?"
"ฉันก็ทำฉลาก 500 ใบ ขายใบละ 10 รูปี แล้วบอกว่าใครดวงดีจับฉลากได้ก็ได้แพะไปเลย 1 ตัว"
"ฉันได้เงินมา 5000 รูปี ได้กำไรหลังจากหักที่จ่ายให้ลุงชาวนาไปแล้ว 3990 รูปี "
"แล้วไม่มีคนโวยวายหรือ (เพราะได้แพะที่ตายแล้ว)" ชาวนาถามด้วยความสงสัย
"ก็มี แต่มีคนเดียว คือคนที่จับฉลากได้ และฉันก็แค่คืนเงินค่าฉลากจำนวน 10 รูปีให้คนๆนั้นไป"

ในเรื่องบอกว่า ดช.ปัญญา ต่อมาเติบโตและเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างมาก...

เรื่องราวแบบนี้เป็นสิ่งที่คนอินเดียสอนกัน...
ที่สำคัญก็คือการแก้ไขปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ที่เผชิญหน้า หรือคิดคำตอบโจทย์ที่ยากๆ แบบนี้
คนอินเดียจะเก่งมาก คนอื่นอาจไม่ได้สังเกตุ
เวลาดีลกับแขกอินเดีย ก็ระวังมากๆหน่อยแล้วกัน

:s023: :s023:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 7:56 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 07, 2023 7:55 pm

( 8 )

4 มกราคม ค.ศ.2018 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ฮอลลี่ บุตเชอร์ สาววัยเพียง 27 ปี ในเมืองเกรฟตัน
รัฐนิวเซาธ์เวล ประเทศออสเตรเลีย ต้องจากโลกใบนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง Ewing sarcoma ซึ่งเป็นมะเร็ง
ในกระดูกและเนื้อเยื่อ กว่าฮอลลี่จะรู้ก็เข้าสู่ระยะที่ 4 แล้ว เธอมีเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือนที่จะยอมรับชะตา
กรรมและตระหนักถึงวาระสุดท้ายของตน

ก่อนที่เธอจะจากไปนั้น ฮอลลี่ก็ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเพื่อนของเธอ และมันได้กลายเป็นจดหมาย
อันทรงคุณค่าที่สุดที่ทำให้เราได้ตระหนักถึงชีวิตของตนจากเบื้องลึกของจิตใจคนที่กำลังจะจากโลกนี้ไป

หลายคนอาจเคยอ่านมันแล้ว แต่อาจลืมมันไป วันนี้ครบรอบ 5 ปีการจากไปของฮอลลี่ จึงขอนำข้อความ
ของเธอมาแปลให้เราได้ตระหนักถึงสิ่งที่เธอพยายามบอกเราทุกคนอีกครั้ง

จากฮอลลี่ บุตเชอร์

——————

“มันแปลกที่ต้องเข้าใจและยอมรับความตายของตนในวัยเพียง 26 ปี

ความตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต่างเพิกเฉย วันเวลาดำเนินผ่านไป เราต่างคาดหวังว่าชีวิตจะดำเนินต่อไป
เรื่อยๆ จนเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ฉันมักจินตนาการว่าในอนาคตฉันจะแก่ มีรอยเหี่ยวย่น และผมหงอก
เป็นสีเทา ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตกับครอบครัวที่สวยงาม(มีลูกเยอะ) ฉันวางแผนที่จะสร้างมันด้วย
ความรักในชีวิตของฉัน ฉันต้องการชีวิตแบบนั้นมาก

แต่ฉันคงไม่มีวันได้มีชีวิตแบบนั้น มันรู้สึกทรมานจนเจ็บปวดไปหมด

นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าชีวิต มันเปราะบาง มีคุณค่า และคาดเดาไม่ได้ แต่ละวันที่มีชีวิตอยู่คือของขวัญ
ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต

ตอนนี้ฉันอายุ 27 ปี ฉันไม่อยากจากโลกนี้ไป ฉันรักชีวิตของฉัน ฉันมีความสุข ฉันเป็นหนี้สิ่งเหล่านี้ต่อคน
ที่ฉันรัก แต่ไม่มีใครควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ทั้งนั้น

ฉันเขียน 'บันทึกก่อนตาย' นี้เพื่อให้เรากลัวความตาย แต่ฉันอยากจะบอกว่าความตายคือความจริงที่เรา
ส่วนใหญ่ต่างหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน ยกเว้นเมื่อฉันต้องการพูดถึงมันและกลับถูกปฏิบัติเหมือนเป็นหัวข้อ
'ต้องห้าม' ที่จะไม่เกิดขึ้นกับพวกเราคนใดคนหนึ่ง

ฉันแค่อยากให้พวกเราเลิกกังวลกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความหมายและสร้างความเครียดในชีวิต
จำไว้ว่าเราทุกคนต้องเจอชะตากรรมเดียวกันหลังจากนั้น ดังนั้นทำในสิ่งที่คุณทำได้เพื่อให้เวลาที่เสียไปมี
คุณค่ามากที่สุด ตัดเรื่องปัญญาอ่อนไร้สาระทั้งหมดไปซะ

ฉันทิ้งความคิดไว้มากมายในนี้ เพราะฉันมีเวลาไตร่ตรองชีวิตมากมายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
และส่วนใหญ่มันก็ผุดขึ้นมาตอนช่วงเวลากลางดึก

ช่วงเวลาที่คุณกำลังบ่นเรื่องไร้สาระ (สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นส่วนใหญ่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา) ให้ลองนึกถึง
คนที่กำลังเผชิญปัญหาจริงๆ ที่หนักกว่าคุณ ดังนั้นจงขอบคุณปัญหาเล็กๆ น้อยๆ และมองข้ามมันไป
ไม่เป็นไรเลยที่จะยอมรับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้เรารำคาญ แต่พยายามปล่อยมันไป เพราะมันจะส่งผลเสีย
ต่อคนรอบข้างด้วย

เมื่อคุณปล่อยมันไปแล้ว ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ดูสิว่าท้องฟ้านั้นสีฟ้าแค่ไหน และต้นไม้
เขียวขจีเพียงใด มันสวยงามมากเลย คิดดูสิว่าคุณโชคดีแค่ไหนที่ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ได้ -หายใจ

วันนี้คุณอาจกำลังรถติดหนักอยู่ หรือนอนไม่หลับเพราะลูกน้อยแสนสวยของคุณ ช่างตัดผมทำผมคุณสั้น
เกินไป เล็บที่ไปต่อมามีรอยแตก หน้าอกของคุณเล็กเกินไป มีเซลลูไลท์ที่บั้นท้าย และท้องของคุณปลิ้นไปมา
ช่างมันเถอะ

ปล่อยเรื่องไร้สาระพวกนี้ไป ฉันสาบานว่าคุณจะไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลยเมื่อคุณกำลังจะตาย เมื่อคุณมองดู
ชีวิตทั้งหมด เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยยิ่งกว่าธุลี

ฉันนั่งเฝ้าดูร่างกายร่วงโรยไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะไรไม่ได้ และทั้งหมดที่ฉันปรารถนาในตอนนี้
คือขอเพียงแค่ให้มีวันเกิด หรือวันคริสต์มาสกับครอบครัวอีกครั้ง ขอเพิ่มเพียงแค่หนึ่งวันเพื่อได้อยู่กับ
คนที่รัก หรือได้อยู่กับสุนัขของฉัน

ขอเพียงอีกหนึ่งครั้งเท่านั้น

ฉันได้ยินคนบ่นว่าที่ทำงานเลวร้ายแค่ไหน หรือไปออกกำลังกายยากเพียงใด จงดีใจเถิดที่คุณยังคงมี
เรี่ยวแรงมีพลังกาย การทำงานและการออกกำลังกายอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญ จนกระทั่ง
ถึงวันที่ร่างกายของคุณไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป

ฉันพยายามดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ อันที่จริงมันคือแพชชั่นหลักของฉันเลยล่ะ ดีใจเถิดที่
ตนเองมีสุขภาพที่ดีและมีร่างกายที่ใช้งานได้ปกติ แม้ว่าขนาดรูปร่างของเราจะไม่ใช่อุดมคติก็ตาม
แต่จงดูแลมันและดูสิว่ามันมหัศจรรย์แค่ไหน ออกกำลังกายและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ แต่อย่า
หมกมุ่นกับมันมากเกินไปล่ะ

จำไว้ว่าการมีสุขภาพที่ดีมีความหมายมากกว่าร่างกายที่แข็งแรง สิ่งสำคัญนอกจากการดูแลร่างกาย
คือการค้นหาความสุขทางจิตใจ ดูแลอารมณ์ และสุขภาพจิตของตน คุณจะตระหนักว่าสื่อสังคมออนไลน์
ที่เต็มไปด้วยการอวดรูปร่างที่สังคมกำหนดว่าเพอร์เฟคนั้นไร้สาระและไม่สำคัญกับชีวิต ลบบัญชีและ
เพจที่ทำให้คุณรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเองไปซะ เลิกคบกับเพื่อนหรือใครก็ตามที่ทำร้ายการอยู่ดีมีสุขของคุณ

ขอบคุณทุกวันที่คุณไม่มีอาการปวดใดๆ หรือแม้แต่วันที่คุณเป็นไข้หวัด เจ็บหลัง หรือข้อเท้าแพลง
ขอบคุณที่มันเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต และจะหายไปเอง
บ่นให้น้อยลง และช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้มากขึ้น

“การให้ การให้ และการให้” การทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่นมีความสุขมากกว่าทำเพื่อตนเอง ฉันหวังว่าฉันจะ
ให้ได้มากกว่านี้ ตั้งแต่ฉันป่วย ฉันได้พบกับผู้คนที่ให้ฉันและใจดีกับฉันอย่างที่สุด ได้รับคำพูดที่ห่วงใย
และรักใคร่ฉันที่สุด ฉันได้รับความรักจากครอบครัว จากเพื่อน และคนแปลกหน้า มันมากเกินกว่าที่ฉัน
จะตอบแทนได้ ฉันจะไม่ลืมสิ่งนี้และขอขอบคุณทุกคนตลอดไป

แปลกมากที่ฉันมีเงินใช้ตอนกำลังจะตาย นั่นเป็นเพราะฉันไม่ได้ออกไปซื้อสิ่งของตามปกติ เช่นเสื้อผ้าใหม่ๆ
อีกต่อไป มันทำให้ฉันคิดได้ว่าเราเสียเงินไปมากมายเท่าไหร่ไปกับสิ่งของไร้สาระ เสื้อผ้า และสิ่งของสิ้นเปลือง
มากมายในชีวิตของเรา

ซื้อของให้เพื่อนแทนที่จะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือเครื่องประดับสำหรับงานแต่งงานครั้งต่อไป
1.ไม่มีใครสนใจถ้าคุณใส่ซ้ำ
2.พาพวกเขาออกไปทานอาหาร กาแฟ หรือทำอาหารให้พวกเขากิน ซื้อต้นไม้ นวดให้ หรือมอบเทียน
และบอกเขาว่าคุณรักพวกเขา

ให้ความสำคัญกับเวลาของผู้อื่น อย่าปล่อยให้พวกเขารอเพราะคุณเป็นคนไม่ตรงเวลา เตรียมตัวให้พร้อม
แต่เนิ่นๆ ถ้ารู้ว่าเป็นคนแบบนั้น จงยินดีที่เพื่อนแบ่งปันเวลาที่พวกเขามีร่วมกับคุณ หากคุณเคารพพวกเขา
คุณจะได้รับความเคารพจากพวกเขากลับเช่นกัน

ปีนี้ ครอบครัวของเราตกลงที่จะไม่มอบของขวัญ ต้นคริสต์มาสจึงดูเศร้าและว่างเปล่า
(ฉันเกือบทำลายวันคริสต์มาสอีฟ!) แต่มันก็มีข้อดีเพราะทำให้พวกเขาไม่ต้องกดดันตนเอง
ในการซื้อของขวัญ และทำให้พวกเขาทุ่มเทไปกับการเขียนการ์ดให้กันและกัน

ลองจินตนาการว่าครอบครัวของฉันพยายามที่จะซื้อของขวัญให้ฉัน โดยที่สุดท้ายแล้วเมื่อฉันตาย
ของพวกนั้นก็จะกลับไปอยู่กับพวกเขา เพราะคนตายเอามันไปไม่ได้ แปลก!

อาจฟังดูเชย แต่การ์ดเหล่านี้มีความหมายกับฉันมากกว่าการซื้อของใดๆ มาให้ แต่อยากให้ทราบว่า
การทำสิ่งเหล่านี้ในบ้านของเรานั้นง่ายเพราะครอบครัวเราไม่มีเด็กตัวเล็กๆ ที่รอขอขวัญ อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีหรือไม่มีของขวัญไม่ได้ทำให้คริสต์มาสมีความหมายลดน้อยลง

ใช้เงินของคุณกับการซื้อประสบการณ์ หรืออย่างน้อยก็อย่าใช้เงินทั้งหมดไปกับสิ่งไร้สาระ
จนไม่สามารถมีประสบการณ์ใดๆ

ทุ่มเทให้กับการเดินทาง เช่นการไปชายหาดที่คุณอยากไปแต่ไม่ไปเสียที จุ่มเท้าลงในน้ำ
ไถนิ้วเท้าไปกับหาดทราย ล้างหน้าของคุณด้วยน้ำทะเล อยู่ท่ามกลางธรรมชาติให้มากที่สุด

ใช้ช่วงเวลาดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แทนที่มองมันผ่านหน้าจอมือถือของคุณ
ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตผ่านหน้าจอ ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้ภาพถ่ายที่สมบูรณ์แบบ
มีความสุขกับช่วงเวลาตรงหน้าเถิดทุกคน! เลิกถ่ายภาพเพื่อให้คนอื่นดูแทนที่ตนเองจะได้มี
ความสุขกับสิ่งตรงหน้าเสียที

สิ่งฉันไม่เคยเข้าใจเกี่ยวกับผู้หญิง ทำไมพวกเขาต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการทำผม
และแต่งหน้าเพียงเพื่อออกไปในแต่ละวัน หรือเพียงแค่ออกไปเที่ยวกลางคืน มันคุ้มหรือไม่?

ตื่นแต่เช้าบางวัน เพื่อฟังเสียงนกในขณะที่จ้องมองแสงสีอันสวยงามของดวงอาทิตย์เมื่อมันกำลังขึ้น

ฟังเพลง ฟังเพลงช่วยคุณได้จริง ดนตรีคือการบำบัด

โอบกอดสุนัขของคุณด้วยความรัก ฉันจะคิดถึงมันมากๆ เมื่อฉันจากไป

คุยกับเพื่อนของคุณ วางโทรศัพท์ของคุณลง และถามพวกเขาว่าชีวิตช่วงนี้โอเคไหม?

จงเดินทางหากมันเป็นความต้องการของคุณ แต่อย่าเดินทางหากมันไม่ใช่

ทำงานเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน

ทำในสิ่งที่ทำให้หัวใจคุณมีความสุข

กินเค้กซะ แบบไม่ต้องรู้สึกผิดใดๆ

จงปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการจริงๆ

อย่ารู้สึกกดดันที่จะต้องทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นการเติมเต็มชีวิต คุณอาจต้องการชีวิตธรรมดา
ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ

บอกคนที่คุณรักว่าคุณรักเขา ทุกครั้งที่มีโอกาส และจงรักเขาด้วยทุกสิ่งที่คุณมี

จำไว้ว่าหากมีสิ่งใดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ คุณมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ทั้งในเรื่องงาน ความรัก
หรืออะไรก็ตาม จงมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง คุณไม่รู้ว่าคุณเหลือเวลาบนโลกนี้อีกเท่าไหร่ ดังนั้น
อย่าเสียเวลาไปกับความทุกข์ ฉันรู้ว่ามีคำพูดแบบนี้บ่อย แต่มันคงไม่จริงไปกว่านี้อีกแล้ว

นี่เป็นเพียงคำแนะนำในการใช้ชีวิตของสาวคนหนึ่ง จะเอาหรือจะไม่เอา ฉันไม่ว่าเลย!

อ้อ และสุดท้าย ถ้าทำได้ ทำความดีเพื่อเพื่อนมนุษย์(และตัวเอง) การบริจาคโลหิตเป็นประจำจะทำ
ให้คุณรู้สึกดีกับการช่วยชีวิตคนอื่น ฉันว่าการบริจาคเลือดเป็นเรื่องที่ใครหลายคนมองข้ามไป เพราะทุกๆ
การบริจาคสามารถช่วยชีวิตคนได้ถึง 3 คน! นั่นเป็นเรื่องราวที่ทำได้ง่ายและสร้างผลประโยชน์ได้มากจริงๆ

ฉันได้รับเลือดจากการบริจาค (จำนวนถุงมากเกินกว่าที่ฉันจะนับได้) ซึ่งช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหนึ่งปี
มันเป็นหนึ่งปีที่ฉันจะขอบคุณตลอดไป หนึ่งปีที่ฉันได้ใช้มันบนโลกนี้กับครอบครัว เพื่อน และสุนัขของฉัน
มันคือหนึ่งปีฉันมีช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

จนกว่าจะพบกันใหม่

ฮอล

——————

ต้นฉบับจากโพสต์ของฮอลลี่
: https://www.facebook.com/1617044230/pos ... tid=cr9u03
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2023 7:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 02, 2023 9:21 pm

( 9 )

โลกหมุนไวเกินกว่าที่คุณคิด ถ้าไม่รีบปรับตัว เดือดร้อนหนักแน่ๆ

⚫️ เมื่อก่อน โลกเปลี่ยนทุก 10 ปี ขณะนี้ โลกเปลี่ยนทุก 1 ปี

⚫️ ข้อมูล ความรู้ใหม่ๆ ทุกสาขาวิชาชีพเกิดใหม่ทุกสัปดาห์ แอปพลิเคชั่น ออกมาวันละ
หลายร้อยแอปพลิเคชั่น

⚫️ ในช่วงชีวิต 20 ปีที่ผ่านมา เราเห็นวิวัฒนาการมากมายในโลก

⚫️ เด็กยุคใหม่ไม่จบ ป.ตรี ขายของออนไลน์สร้างรายได้หลักล้านภายในไม่กี่เดือน

⚫️ ป.โท จบมามีรายได้เดือนละเพียง 3 หมื่น

⚫️กรอบความรู้ความคิดเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน แทบจะทำอะไรกับโลกยุคใหม่ไม่ได้เลย

⚫️ ก๋วยเตี๋ยวเมื่อก่อน 10 บาท ทองคำ 400 บาท ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยว 40 บาท ทองคำ 30,000 บาท

⚫️ เงินฝาก จากดอกร้อยละ 8 คนเลยขยันฝากเงินเก็บดอกกิน แต่ตอนนี้ฝากธนาคาร
ได้ดอกเพียงร้อยละ 1

⚫️ อาชีพมากมายหลายอาชีพตกงาน นับไม่ถ้วน

⚫️ พนักงานแบงก์ ถูกแทนที่ด้วย internet banking ธนาคารต่างๆทยอยปิดสาขา

⚫️ พนักงานทางด่วน ถูกแทนที่ด้วย easy pass

⚫️ รปภ.ถูกแทนที่ด้วย ระบบป้องกันภัย อัตโนมัติ

⚫️ นักข่าว นักนิเทศน์ สื่อต่างๆถูกแทนที่ด้วย Facebook live, YouTube IG ฯลฯ

⚫️ การสร้างตึก สร้างสิ่งของ ใช้ 3D printing การออกแบบจะอยู่ในคอม ทั้งหมด

⚫️ โลตัส และ พนักงานขายตามห้างฯ ให้พนักงานออก นับไม่ถ้วน

⚫️ ตอนนี้เราจ่ายบัตรเครดิตได้เอง กดที่คอมได้เองแล้ว

Toy Rus บริษัทของเล่นระดับโลก อยู่มานาน ที่อเมริกา เป็นหนี้สิน แสนล้าน ปิดสาขา
เกือบ 200 แห่งทั่วโลก

⚫️ บริษัททิชชู่ Kleenex ที่นุ่มๆ ให้พนักงานออก 5,000 ตำแหน่ง

⚫️ เฟสบุ๊ค ปรับ algorythm ทีเดียวคนขายออนไลน์ สะเทือนทั้งโลก

⚫️ บริษัทให้เช่า-ขับ แท็กซี่ เปิดมา 20-30 ปี วินมอไซค์ เจอ grab แอปเดียว สะเทือนวงการ

⚫️ CP ปรับตัว disrupt ตัวเองก่อนที่คนอื่นจะมา disrupt สร้างโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์จัดงบ
พัฒนาผู้นำ

⚫️ ฝึกคนให้เป็นผู้ประกอบการ มากกว่าลูกจ้างป้อนตลาด อนาคตทรัพยากรมนุษย์
มีค่ามากกว่าที่ดิน

⚫️ "อายุมากขึ้น 1 ปี สมองต้องลดลง 1 ปี ต้องคิดใหม่ตลอดเวลา"

⚫️ เดี๋ยวนี้ สว. ทุกคนที่ตื่นตัว ต้องถามหลานว่า มีอะไรใหม่ๆมาอัพเดทให้ปู่ ตา ฟังบ้าง

⚫️ กระเพราไก่ไข่ดาวสำเร็จรูป จะถูกกว่าแม่ค้าขายข้างทาง อีกทั้งได้มาตรฐานกว่ารสชาติคงที่
ไม่มีอารมณ์แม่ค้ามาเกี่ยว

⚫️ บริษัทใหญ่ๆ เอาคนออกโดยดูว่าเรา เป็น cost หรือเป็น talent ถ้าเป็น cost โดนโละทิ้งอย่าง
ไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าเป็นtalent ยังพอคุยกันได้

⚫️ การพัฒนาตัวเองตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

⚫️ เกษตรกร ปลูกยางพารา มา 5 ปี กรีดยาง อัดยางโลละ 40 บาท ต่างชาติซื้อไป คืนเดียว
เปลี่ยนเป็นถุงมือยางมาขายคนไทย คู่ละ 200 บาทยางรถยนต์เส้นละ 3,000 บาท

⚫️ หุ่นยนต์แพทย์ ทำข้อสอบเก่งกว่าแพทย์ผู้ชำนาญการบันทึกเคสคนไข้กว่า 2 ล้านเคสใน
ระบบตรวจโรคได้แม่นยำไม่มีอารมณ์ขึ้นลงมาเกี่ยวข้อง รพ.เอกชน เริ่มเอา robot มาช่วย
ผ่าตัดแล้วได้ผลดีกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

⚫️ ชนชั้นกลาง และ ชั้นล่าง ต่อไปจะถูกแทนที่ด้วย หุ่นยนต์ และ คอมพิวเตอร์ทั้งหมดชนชั้นบน
ก็มิใช่จะรอดจะถูกแทนที่ด้วย AI

⚫️ หุ่นยนต์รุ่นใหม่ ทั้งสวย หอม นุ่ม และหล่อสมาร์ท จะมาทำงาน 24 ชม ไม่มีเหนื่อย ไม่มีบ่น
บริการเต็มที่

⚫️ AI เทรดหุ้น ประมวลผล เก่งกว่าคน ไม่มีอารมณ์ มาเกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน

⚫️ McKinsey บริษัท consult ระดับโลก คาดว่าในปี 2030 (ไปอีกประมาณ 8ปี) แรงงานคน
จะตกงานประมาณ 800 ล้านตำแหน่ง ทั่วโลก

⚫️ ลูกหลานเรา และ ตัวเราเอง จะยืนอยู่ตรงไหน ?ถ้าเราไม่ปรับตัว ในโลกยุคนี้

⚫️ เราจะมีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าชีวิตเราจะสบายไปตลอด ไม่เกิดวิกฤติปีนี้อาจจะยังสบายดีอยู่
แต่ อีก 10 ปีข้างหน้าโอกาสแย่ความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

⚫️ ถ้าไม่เริ่มปรับตัวเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตที่มีความไม่แน่นอนแต่ มีความเปลี่ยนแปลงสูง
และเร็วมากที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

⚫️ วันนี้ คุณเตรียมความพร้อมรับมือ จัดการกับสถานการณ์ที่ว่านี้อย่างไร

สมเกียรติ โอสถสภา
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 21, 2023 7:55 pm

( 10 )

Siwa Hong
9 ชม. ·
วินทร์ เลียววาริณ
17 February 2023
·
วันนี้บางกอกโพสต์ลงข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งว่า 'หมอซินเธีย หม่าว' และบุคลากรทางการแพทย์ชาวพม่า
หลายคนยื่นเรื่องขอสัญชาติไทย
ก่อนอื่นใครคือ ซินเธีย หม่าว?
เธอคือหมอที่รักษาชาวบ้านที่ชายแดนไทย-พม่า ผมเขียนเรื่องของหมอซินเธีย หม่าว ในบทความ
บทหนึ่ง เมื่อปี 2550 ก็ 16 ปีมาแล้ว (ตีพิมพ์ใน #อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก)
นำมาให้อ่านตรงนี้ก่อน...
"เมื่อฉันมาเมืองไทยครั้งแรก ฉันคิดจะอยู่เพียงสามเดือน..." คนพูดชื่อ ซินเธีย หม่าว แต่ผู้คนเรียก
เธอว่า หมอซินเธีย ใบหน้าของเธอไม่จางจากรอยยิ้ม และนัยน์ตาไม่ขาดความเมตตา
สามปีต่อมาเธอยังอยู่ที่นี่ แล้วห้าปีก็ผ่านไป เธอก็ยังอยู่ที่นี่
จนบัดนี้ เธอมาอยู่เมืองไทยกว่าสิบห้าปีแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะอยู่ต่ออีกนานเท่าใด
ในฐานะคนไร้สัญชาติ หนีตายจากแผ่นดินเกิดที่อยู่อีกฟากฝั่งแม่น้ำ ที่นี่กลายเป็นบ้านของเธอและ
ผู้อพยพอีกจำนวนมาก
เรือนไม้หลังเล็กถูกดัดแปลงเป็นสถานพยาบาล เตียงคนไข้ทำจากไม้ต่ออย่างหยาบ เครื่องมือแพทย์
ต่ำกว่ามาตรฐาน เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาจากโรงเรียนแพทย์ แต่ที่นี่มีน้ำใจ
ชีวิตที่นี่ไม่ง่าย การรักษาชีวิตคนในพื้นที่กันดารไม่เคยเป็นเรื่องง่าย การถูกขับไล่ไสจากบ้านเกิด
และถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกก่อการร้ายที่ปลูกฝิ่น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่นี่เป็นสถานที่เดียวที่ชาวบ้านได้รับการรักษาฟรี คนไข้ที่เหยียบกับระเบิดจะได้รับขาเทียมฟรี ที่นี่
เป็นมากกว่าคลินิก มันยังเป็นศูนย์กลางการพัฒนาสังคม แคมป์เด็กอพยพเด็ก รวมไปถึงโรงเรียน
และศูนย์แพทย์เคลื่อนที่ มีกลุ่มคนที่อาสามาทำงานนี้ ทั้งที่รู้ว่าอันตราย
ทีมแพทย์เคลื่อนที่ไปทุกที่บริเวณชายแดนพม่าเพื่อรักษาคนเจ็บป่วย บ่อยครั้งต้องตัดแขนขาคนบาดเจ็บ
กลางป่า และจำนวนคนไข้ก็มักมีมากเกินกำลังคนรักษาเสมอ แต่อุปสรรคของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
มีมากกว่านั้น กับระเบิดจำนวนมากที่ฝังตามแนวชายแดนและทหารพม่า ทำให้งานนั้นบรรลุเป้ายาก
กว่าเดิม หลายคนเสียชีวิตจากการทำงานนั้น แต่พวกที่เหลือก็ยังคงทำงานนี้ต่อไป
...........
หมอซินเธียเกิดในครอบครัวกะเหรี่ยงที่เมืองมะละแหม่ง เรียนจบจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ร่างกุ้ง ปี พ.ศ. 2528 ฝึกงานที่อิรวดี เปิดคลินิกที่ผาอ่างได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่
เปลี่ยนชีวิตของเธอโดยสิ้นเชิง เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าในปี พ.ศ. 2531
และเป็นหนึ่งในพวกที่หนีตายจากการกวาดล้าง เดินป่านานเจ็ดวันเต็มเข้าเขตแดนไทย
ณ พื้นที่แม่ตาว หมอซินเธียเปลี่ยนบ้านชาวนาเป็นคลินิก รักษาชาวบ้านที่หนีจากพม่าโดยไม่คิดเงิน
คนพลัดถิ่นจากสงครามกลางเมืองมีราวหนึ่งล้านคน พวกนี้ต้องอพยพหนีภัยสงครามเสมอ ๆ คนไข้
ของเธอมีทั้งผู้อพยพ ชาวบ้านที่ชายแดนไทย-พม่าราวห้าหมื่นคนแถบนั้น แม้กระทั่งทหารพม่าก็ยัง
มาขอรับการรักษาทุก ๆ วันมีผู้คนราวสองร้อยคนจากที่ต่าง ๆ มาขอรับการรักษา พวกเขาใช้เครื่องมือ
เท่าที่มี ฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือแพทย์ด้วยหม้อหุงข้าว
ผ่านไปหลายปี ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น จำนวนแพทย์และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครเพิ่มมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ
จากต่างประเทศเริ่มส่งยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์เข้ามาช่วยเหลือ
หมอห้าคน เจ้าหน้าที่ด้านต่าง ๆ อีกร้อยกว่าคน ทำงานตัวเป็นเกลียว รักษาทุกโรค ตั้งแต่โรคง่าย ๆ
ไปจนถึงการผ่าตัด การถ่ายเลือด
"ฉันเคยคิดเสมอว่าสถานการณ์การเมืองในพม่าจะดีขึ้น"
แต่มันไม่เคยดีขึ้น "ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ผู้คนยังคงอดอยากเช่นเดิม"
ในโลกที่ดำเนินไปด้วยหลัก 'ตัวใครตัวมัน' และ 'มือใครยาวสาวได้สาวเอา' หาคนเสียสละเพื่อสังคม
ยากเย็นขึ้นทุกที เพราะมองไม่เห็นว่า หากคนอื่นอยู่ไม่ได้ ช้าหรือเร็วเราก็อยู่ไม่ได้
แต่เพราะโลกยังมีน้ำใจหลงเหลืออยู่บ้าง เราจึงยังมีความหวังในการสร้างสรรค์โลกของเราให้น่าอยู่ขึ้น
แม้ว่าสันติภาพจะเป็นแสงอันริบหรี่ แต่หากชาวโลกช่วยกันจุดคนละดวง มันก็สว่างไสวได้
...............
บทความนี้เขียนเมื่อ 16 ปีก่อน ตอนนี้หมอซินเธียยังทำงานอยู่ที่เดิม
สิบเอ็ดปีหลังจากตั้งคลินิกคนยาก หมอซินเธียได้รับรางวัล จอนาธาน มานน์ จากองค์การสุขภาพของ
สวิตเซอร์แลนด์และอเมริกา ตามมาด้วยอีกหลายรางวัล เช่น รางวัลอิสรภาพ จอห์น ฮัมฟรีย์ส จาก
กลุ่มสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพแห่งแคนาดา, รางวัลรามอน แม็กไซไซ สาขาผู้นำชุมชน
ในปี พ.ศ. 2546 นิตยสารไทม์จัดให้เธอเป็นหนึ่งในผู้กล้าแห่งเอเชีย
จากข่าวบางกอกโพสต์ จนถึงวันนี้ หมอซินเธีย หม่าว และบุคลากรทางการแพทย์ชาวพม่าเหล่านี้
รักษาชาวบ้านไปแล้วกว่าหนึ่งล้านคน โดยไม่ได้ขอเงินจากรัฐบาลไทย
นอกจากนี้ยังตั้งศูนย์ดูแลพัฒนาการของเด็ก ให้การศึกษาเด็กชายแดน มีเด็กราวหนึ่งพันคนในศูนย์นี้
งานขนาดนี้ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล
วันนี้เธอขอสัญชาติไทย เหตุผลหนึ่งเพื่อทำให้สามารถจดทะเบียนมูลนิธินี้เป็นของไทย เพื่อให้
ขอความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ สะดวกขึ้น
บางคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องแยแสเรื่องของคนต่างถิ่น เรื่องของพม่าพลัดถิ่น โรฮิงญา ฯลฯ
ก็เพราะพรมแดนเป็นเพียงเส้นสมมุติ มนุษยชาติมีเพียงหนึ่งเดียว
และเพราะยังมีหัวใจที่ชายแดนอยู่เสมอ
วินทร์ เลียววาริณ 17-2-2566
https://www.facebook.com/photo/?fbid=79 ... 9707328395
------------------------------------------------
อัลบั้ม: แรงบันดาลใจ
https://www.facebook.com/media/set/...
---------------------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 17, 2023 10:04 pm

( 11 )

“เมื่อไหร่ ผมจะแก่เท่าพ่อ”
เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามผู้เป็นบิดา ซึ่งสูงกว่าเขาถึง 3 เท่า
“ทำไมหรือ?” พ่อสงสัย
“ผมจะได้ทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองสักที”
เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงงอนเล็กน้อย จนพ่ออดยิ้มไม่ได้ และเริ่มเข้าใจว่าทำไมถึงถามเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้ เด็กน้อยขอจักรยานคันโต แต่เขาไม่อนุญาต บอกยังไม่ถึงเวลา

“ลูกหมายถึง ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตอบยาก บางคน 18 ก็แก่พอที่จะตัดสินใจได้ บางคน 80 ก็ยังไม่...”
เด็กน้อยทำหน้างง ถามเสียงดังลั่น
“อะไรนะ ตั้ง 80 ก็ยังไม่แก่พอเหรอครับ?”

คุณพ่อหัวเราะเบา ๆ - -

“แก่ กับ เติบโต เป็น 2 คำที่ไม่เหมือนกันนะ แก่ (Growing Old) เป็นเรื่องของธรรมชาติ ทุกคนต้อง
แก่ตามเลขอายุ แต่เติบโต (Growing Up) เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้เอง ไม่ใช่ทุกคนจะเติบโตทาง
ความรู้ความคิดได้เท่ากัน... เข้าใจหรือตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนกัน”

ฉะนั้น เราทุกคน Growing Old แต่ไม่ทุกคนที่จะ Growing Up!
.
คุณพ่อสรุปและยกตัวอย่างว่า - - ผู้ใหญ่บางคน แค่ดูจากคำพูดคำจา/กริยาอาการ/ไม่รู้จักกาละเทศะ
ก็รู้ว่า Growing Old คือแก่ไปตามอายุเท่านั้นเอง แต่บางคนดูรู้ว่า Growing Up เพราะมีการเรียนรู้
และเติบโตทางความคิดความอ่าน พูดจามีเหตุผล มีสำนึก มีวุฒิภาวะสมวัย สง่างามน่านับถือ - -
ลูกต้องรู้จักเลือกที่จะเติมโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน!
.
“ถ้าเช่นนั้น คนที่ Growing Up ต้องมีการศึกษา อย่างน้อยผมต้องจบปริญญาตรีก่อนใช่ไหม?”
.
“ไม่จำเป็น” คุณพ่อตอบ “เพราะปริญญานั้นเป็นแค่กระดาษหนึ่งแผ่นเท่านั้นเอง ส่วนการศึกษานั้น
มีหรือไม่ จะมองเห็นได้จากตัวเรา จะพิสูจน์ได้จากการกระทำของเราเอง”
.
“อีกหน่อย เมื่อลูกโตขึ้น พบเจอผู้คนมากมาย... ลูกจะเห็นคนหลากหลายแบบ แล้วลูกจะเข้าใจ
และแยกแยะได้เอง”
. . . . .
.
ทุกนาที เรากำลังเดินทางไปสู่ตัวเลขที่มากขึ้น...หากจะมีริ้วยับย่นบนใบหน้าขอให้มาจากร่องรอย
ของการยิ้ม ไม่ใช่กลัดกลุ้มเศร้าหมอง, นับอายุด้วยจำนวนเพื่อนมิตร และวัดความสำเร็จของชีวิต
ด้วยจำนวนครั้งที่เรายื่นมือช่วยเหลือผู้อื่น...
.
ไม่ว่าภายนอกจะเสื่อมสภาพเพียงใด
แต่ภายในจิตวิญญาณ ต้องสดชื่น แบ่งบานและเติบโตเสมอ!
.
ขอพระเจ้าประทานพร และ “พรมน้ำสะอาดเหนือท่านทั้งหลาย
แล้วท่านจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหมด” (เอเสเคียล 36:25)
.
ปะการัง
.
สุขสันต์วันสงกรานต์
และวันผู้สูงอายุแห่งชาติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 03, 2023 7:38 pm

( 12 )

เด็กผู้หญิงถาม :
ทำไมตัวภาษาอังกฤษ
เรียงตัวอักษรเป็น
ABCDEFG

เด็กผู้ชายตอบว่า :
A boy can do everything for girls

เด็กผู้หญิงคนนี้
ตื้นตันใจมาก คิดว่า​
ชาตินี้​ ยังไงก็ต้อง
แต่งงานกับผู้ชายคนนี้

แต่....เธอลืมไปว่า อักษรภาษาอังกฤษ
ที่เรียงตามมาคือ
HIJK

He is just kidding
🤣😂🤣😂🤣😭
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 05, 2023 7:18 pm

( 13 )


……………… ข้อคิดควรคำนึง2023……………

1. ) สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้คือ......
1.สมบัติผู้ดี 2. จรรยาบรรณ 3. ความเคารพ/ความนับถือ 4. บุคลิก 5. สามัญสำนึก
6. ความเชื่อใจ 7.ความอดทน 8. ชนชั้น 9. ความสมบูรณ์ 10 ความรัก

2.) จงสวดภาวนาเสมอ เพื่อจะเห็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อมีหัวใจที่ให้อภัยสิ่งชั่วร้ายที่สุด
เพื่อมีใจที่จะลืมสิ่งชั่วร้าย และมีวิญญาณที่จะไม่เสียความเชื่อเลย
2.1 ถ้าคุณมีเวลาสวดภาวนา พระเจ้าก็เอาเวลามาฟังคุณ

3. ) ของเหลวที่ล้ำค่าที่สุดในโลกคือน้ำตา. มันประกอบด้วยน้ำ 1 เปอร์เซนต์ และความรู้สึก 99%
ดังนั้น คิดให้ดีก่อนที่คุณจะทำให้ใครคนหนึ่งเจ็บใจ

4.) ชีวิตจะดีขึ้น เมื่อคุณไม่สนใจว่า คนอื่นจะคิดอะไรเกี่ยวกับคุณ

5. ) สิ่งใหญ่โตไม่มาจากพื้นที่ที่ปลอดภัย (เพราะไม่มีการท้าทาย)

6.) การแก้แค้นที่ดีที่สุด คือไม่แก้แค้นใครเลย. ให้ดำรงชีวิตต่อไป ให้มีความสุขเสมอ

7.) ผูกมิตร จงเลือกเป็นมิตรกับคนที่มีใจดี ไม่ใช่คนที่มีใบหน้างาม

8. ) คนๆหนึ่งจะมีเสน่ห์ 10 เท่า ไม่ใช่จากลักษณะภายนอก แต่จากภายในใจคือจาก
ความเมตตา ความเคารพ ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดี

9.) จงเป็นคนเมตตากรุณา มันทำให้คุณสวยงาม

10.) อย่าให้พฤติกรรมของคนอื่นทำลายสันติสุขในใจของคุณ

11.) คุณจะไม่เสียใจเลยที่เป็นคุณเป็นคนเมตตากรุณา

12. ) คนไม่สวยงามอย่างที่เขาแสดงออกและพูดดอก แต่พวกเขาจะสวยงามก็ต่อเมื่อเขารัก
ห่วงใย และแบ่งปันกับคนอื่น

13.) ไม่มีความสวยงามใดจะเจิดจ้ากว่าใจงาม

14. ) จงขอบคุณดนตรีที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง รักษาใจให้หาย และยกจจิตใจให้สูงส่ง

15.) จงกระทำดีต่อคนอื่น คุณจะได้รับการตอบแทนในเวลาที่คุณไม่นึกไม่ฝัน

16.) ความรู้ให้คุณแค่พลัง แต่นิสัยดีจะทำคุณได้รับความนับถือ

17.) สิ่งที่ทำให้คุณเจ็บปวดวันนี้ จะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นในวันหน้า

18.) จงอย่าไว้ใจสิ่งที่ตาคุณเห็น เพราะแม้เกลือก็ยังดูเหมือนน้ำตาลเลย

19.) ความประพฤติเลวๆของคุณก็เหมือนกับยางแบน มันไปไกลไม่ได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนมัน

20.) ข้าพเจ้ามีความสุขแม้จะเผชิญกับอะไรก็ตาม เพราะพระเจ้าไม่เคยละทิ้งช้าพเจ้า

21.) จงอย่าเชื่อว่าคุณด้อยหรือเด่นกว่าคนอื่น แต่จงมีใจสุภาพไว้

22. ) เคล็ดลับของการดำรงชีวิตดีและยืนยาวคือ ทานอาหารครึ่งหนึ่ง เดินสองเท่า
หัวเราะสามเท่า และจงรักเสมอไป

23. ) มีหลายคนยังรักคุณ ฉะนั้นอย่าสนใจกับคนที่ไม่รักคุณ

24. ) ความรักไร้ค่าถ้าไร้กิจการ ความไว้ใจไร้ค่าถ้าไร้การพิสูจน์ ความเสียใจ
ไร้ค่าถ้าไร้การเปลี่ยนแปลง

25 ) จงกล้าหาญเถิด โลกเรามีคนขี้ขลาดมากเกินไปแล้ว

26. ) อย่าประทับใจกับเงิน กับคนที่มีบริวารติดตาม กับปริญญา กับตำแหน่งของคนใดเลย
แต่ให้ประทับใจในความเมตตา กรุณา ในควาสสุภาพ ในความีใจกว้าง

27. ) จงภูมิใจในความเป็นคนของคุณ จงมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 20, 2024 8:09 pm

( 14 )



สุมาอี้ พูด 5 ประโยคชีวิต ไว้ว่า
1. ชีวิตยังอยู่คือชัยชนะ
2. หาเงินได้ แค่เป็นเรื่องสนุก
3. ยศศักดิ์​ตำแหน่ง​แค่ชั่วครู่​ชั่วคราว
4. สุขภาพดีนั่นแหละคือจุดหมาย
5.ความผาสุขถึงจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการมีชีวิต"
ในเรื่องสามก๊กมีการกล่าวถึงตัวละครที่ร้ายกาจที่สุดของเรื่อง
ผู้ที่ชนะทุกก๊ก และ รวมสามก๊กเป็นหนึ่ง
เขาคือสุมาอี้ เขาไม่ได้ฉลาดมากเหมือนขงเบ้ง
ไม่ได้มีพรรคพวกเยอะเหมือนโจโฉ
ความร้ายกาจของเขา คือ เขามีสุขภาพที่ดี
โจโฉสิ้น ลูกของโจโฉสิ้น จนสืบทอดมาถึงรุ่นหลาน…
แต่สุมาอี้ยังคงอยู่ต่อไป ค่อยๆสั่งสมบารมีทีละเล็กละน้อย
แม้ไม่ฉลาดพอที่จะเอาชนะขงเบ้งได้ แต่ก็ทำให้ขงเบ้งตรากตรำได้
สุดท้ายอาณาจักรของทั้งสามก๊กตกมาอยู่ในมือของสุมาอี้
เพราะฉะนั้นคนเราถ้าคิดจะทำการให้สำเร็จ
สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อย่าให้จุดหมายทำลายสุขภาพ
มีอุดมการณ์ มีความสามารถ มีชีวิต มีเงินทอง
หากไม่มีสุขภาพที่ดี ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย
บางครั้งการไม่มีอะไร แต่มีสุขภาพที่สมบูรณ์ก็เหมือนมีทุกอย่างแล้ว
” หาเงินได้ แค่เป็นเรื่องสนุก ชีวิตยังอยู่คือชัยชนะ
ยศศักดิ์​ตำแหน่ง​แค่ชั่วครู่​ชั่วคราว สุขภาพดีนั่นแหละคือจุดหมาย “
ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเราคือโรคภัย
คนเราส่วนใหญ่มักนึกว่าคนที่ไม่ดีกับเราคือศัตรูของเรา
แต่ว่าโดยความเป็นจริงแล้ว ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดไม่ใช่คนอื่น
แต่เป็นสุขภาพของเรานี่แหละ
ศัตรูนอกกายเรายังมองเห็นได้ ง่ายที่จะป้องกัน
แต่สำหรับความเจ็บป่วยแล้วยากที่จะรับมือ
เห็นบางคน กำลังมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ กำลังเจริญก้าวหน้า
แต่แล้วอยู่ๆมาก็ต้องล้มป่วยอย่างฉับพลัน และ จากไป
บางคนชีวิตราบรื่น มีล้มบ้าง สะดุดบ้าง แต่ก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ
กลับกลายเป็นว่า เขาสามารถอยู่ชื่นชมความสำเร็จของตัวเองได้นานกว่า

:s023:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 20, 2024 8:44 pm

( 15 )


วินัยเกิดจากการ “เริ่ม” ไม่ได้เกิดจากการ “รอ”
ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการ “ขอ” แต่เกิดจากการ “ลงมือทำ

1. ในแต่ละปี... จงทำชีวิตให้ " ดีขึ้น "
เพราะในแต่ละวัน... ชีวิตกำลัง " สั้นลง "

2. การ " อยู่กับปัจจุบัน "
ไม่ใช่การ " หยุดทำ " ในเรื่องสำคัญ
แต่มันคือการ " หยุดทุกข์ " ไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ

3. อารมณ์ " ลบ " ทุกชนิด จะทำร้ายเรา
ก่อนที่จะทำร้ายคนอื่นเสมอ...
ส่วนอารมณ์ " บวก " ทุกชนิด จะให้พรเรา
ก่อนที่จะให้พรคนอื่นเสมอ เช่นกัน...

4. วิจารณ์คนอื่นทุกวัน... ใจต่ำลงทุกวัน
วิจัยตัวเองทุกวัน... ใจสูงขึ้นทุกวัน

5. ถ้าไม่มีคนมาทำให้คุณโกรธ
... คุณจะไม่รู้เลยว่าระดับจิตคุณอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีใครมาทำให้คุณทุกข์ใจ
... คุณจะไม่รู้เลยว่าตัวเองยังมีอะไรต้องพัฒนา

6. ไม่ว่า " ภายนอก " เราจะอยู่กับคนมากแค่ไหน
แต่ " ภายใน " เรายังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ
จงหาวิธี " รักตัวเอง " ให้เจอ
เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่กับเธอ
สม่ำเสมอเท่ากับ " ตัวเธอเอง "

7. การฝึกจิตและพัฒนาตัวเอง
อาจไม่ทำให้เรา " พ้นทุกข์ตลอดกาล "
แต่มันทำให้เรา " เป็นทุกข์นานน้อยลง "

8. การ " แก้กรรม " ที่ดีที่สุด
คือการแก้ไข " ความคิด " " คำพูด "
และ " การกระทำ " ของตัวเอง

9. ความดีเล็ก ๆ ที่ทำไปนาน ๆ
สุดท้ายอาจสร้าง " ปาฏิหารย์ " ให้ชีวิต

10." ไป " ได้เร็วแค่ไหน ก็ถึงเร็วเท่านั้น...
" ปล่อย " ได้เร็วแค่ไหน ก็สุขเร็วเท่านั้น

11. จำไว้ว่า " ความทุกข์ "
และ" ความเจ็บปวด " ทั้งมวล
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา... เพื่อมอบ " คำสาป "
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเรา... เพื่อมอบ " คำสอน "

12. ก้าวแรกของการใช้ชีวิตอย่าง " ผู้ตื่น "
คือการหยุดยุ่งวุ่นวายเรื่อง " คนอื่น"
แล้วหันกลับมาวิเคราะห์ใจ " ตัวเอง "

13. ความทุกข์ทั้งหมดในชีวิต ไม่ได้เกิดจาก
" สิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ "
แต่มันเกิดจาก
" สิ่งที่คุณคิด ว่าคนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ "

14. ต้องขอบคุณคนที่ทำ " ไม่ดี "
ที่ช่วยเป็นตัวอย่างที่ " ดี "
ว่าอะไร " ไม่ควรทำ "

15. ไม่ว่าจะทุกข์หนักหนาสาหัสสักแค่ไหน
ทางออกก็ไม่เคยอยู่ไกลไปกว่า " ใจ " ของเราเอง...

16. เกลียดเขา " เราทุกข์ "
เมตตาเขา " เราสุขเอง "

17. คนเราฝึกเดินจนเก่งได้ ฉันใด
ก็สามารถฝึกใจจนเป็นสุขได้ ฉันนั้น...

18. " ความตาย " เป็นเรื่องธรรมดา
แต่การได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า
เป็นเรื่อง" อัศจรรย์ "

19. โปรดสังเกตุดูให้ดี... ว่าสิ่งที่ทำให้เราทุกข์
บ่อยที่สุดในแต่ละวัน
ไม่ใช่ " พฤติกรรม " ของคนอื่น
แต่คือ " ความคิด" ของเราเอง

20. อย่าถือโทษ โกรธคน ไม่คู่ควร
อย่าตีตรวน ตนไว้ กับอดีต
ชะตาเรา อย่าให้ใคร มาเขียนขีด
อย่าเอาคำ ที่เหมือนมีด มากรีดใจ
( แถมให้อีกหนึ่งอัน ! )

21. หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะมี " เงิน "
วันไหนเงินหมด คุณค่าคุณก็หมด
หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะ " หน้าตา " ดี
วันไหนคุณแก่ลง จนหน้าตาไม่ดี คุณค่าคุณก็หมด
แต่ตราบใดที่คุณรู้ว่าตัวเองมีค่า เพราะเป็น " คนดี "
ตราบใดที่คุณมีความดี
คุณก็จะ " มีคุณค่า "ได้ตลอดไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 22, 2024 11:27 pm

( 16 )


คุณแม่ชราคนหนึ่ง เดินเข้าไปหาหนังสือพิมพ์ในห้องของลูกชาย เผอิญลูกชายกลับบ้าน
มาพอดี ลูกชายหัวเสียมาจากการเจรจาการค้า ลูกค้าไม่ยอมสั่งออร์เดอร์ตามเดิม
จึงรู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อเห็นแม่เหมือนกำลังควานหาอะไรบนเตียงของเขา
ความหงุดหงิดในใจจึงประทุเป็นความไม่พอใจ เขาตวาดออกไปว่า
“แม่! มาทำอะไรที่ห้องผม อย่ายุ่งของๆผมนะ ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้ว!”

แม่ของเขาหันมาอธิบายแก่ลูกชายว่า
“แม่หาหนังสือพิมพ์ ก็เลยนั่งบนเตียงของแกแป๊บเดียวเอง”

ลูกชายแสดงสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนเดินออกจากห้อง ก็กล่าวทิ้งท้ายว่า
“อยู่บ้านก็ไม่ทำอะไร ว่างมากหรือไง?”

เที่ยงคืนของคืนนั้น แม่ผู้อาภัพ ตัดสินใจโดดจากตึกชั้น 7 และเสียชีวิตในทันที
……

ท่านขงจื้อกล่าวไว้ว่า
"การปรับสีหน้าให้เป็นปกติ คือกตัญญู"

เหตุใดการปรับสีหน้าให้เป็นปกติคือความกตัญญู ก็เพราะการจะทำสีหน้าให้ปกติเป็นเรื่องยาก

“กับข้าวอยู่ที่โต๊ะนะ กินไปเลยไม่ต้องรอ หนูงานยุ่ง!”
“ของพวกนี้ราคาแพงนะ เวลาใช้ก็ประหยัดหน่อยนะแม่!”
“ดึกขนาดนี้จะมานั่งรอผมทำไม ผมโตแล้วนะ วันหลังไม่ต้องนะแม่ รู้ไปถึงไหนผมก็อายไปถึงนั่น!”

เรางานยุ่งถึงขนาดนั่งกินข้าวกับพ่อแม่ไม่ได้เลยหรือ?
หากของที่ซื้อมาในราคาแพงนั้น เราเอาไปให้เจ้านาย เราจะกล้าพูดแบบนี้ไหม?
ความห่วงหาอาทรที่พ่อแม่มีต่อลูก มันไม่เคยจางหายไปจากใจ ขอบคุณท่าน เมื่อคุณเห็นท่าน
นั่งรอคุณกลับบ้าน เหมือนคุณขอบคุณเพื่อนๆ เวลาคุณไปถึงงานเลี้ยงสาย คุณทำกับคนอื่นได้
แต่กับพ่อแม่ คุณทำไม่ได้เลยหรือ?

ท่านขงจื้อจึงกล่าวไว้ว่า
“ยามท่านอยู่ เลี้ยงดูด้วยความเคารพ
ยามปรนนิบัติ ให้ความสุขสบาย
ยามท่านป่วย ให้การดูแลเอาใจใส่
หากวันหนึ่งท่านจากไป ให้ความอาลัยอย่างสุดซึ้ง (อย่าครึกครื้นเฮฮา แต่งหน้าแต่งตา
กินดื่มไม่ต่างอะไรกับงานมหรสพทั้ง ๆ ที่พ่อแม่เพิ่งเสียไป)
ยามบูชาเซ่นไหว้ ให้ความสำรวม”

โปรดระลึกว่า
วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแก่ เพียงแต่พ่อแม่แก่ก่อนเรา สิ่งที่เราควรมีก็คือความเข้าใจและ
ปฏิบัติต่อท่านเหมือนที่เราอยากได้จากลูกหลานในอนาคต เราจึงมีความเพียรในการดูแล
ไม่ปรักปรำพร่ำบ่น

ยามท่านอยู่ ดูแลเอาใจใส่ท่านเพิ่มอีกสักนิด เพราะเวลาของเรานับกันเป็นปี
แต่เวลาของท่านอาจนับเป็นวันแล้วก็ได้

.....

นุสนธิ์บุคส์
ตอบกลับโพส