คุยเรื่องลูกหลานเราเปลื่ยนไป “รู้แล้ว รู้แล้ว”
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2022 8:58 pm
(1)
อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)
ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว
อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบกว่านั้นเขาตอบว่า ~
"รู้แล้ว รู้แล้ว"
ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือน
โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า
"ครับ" หรือ "ค่ะ"
คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้
ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ
ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ"
ผมว่าไม่มีสักครอบครัว
ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชา
ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว
ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆๆ"
อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลยกว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค
ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง?
คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่าได้เสียใจ
ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด
ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับ
มหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก
เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง :
"ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว"
เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอน
ของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขาคิดว่าโตๆกันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว
ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อที่ผิด
วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่
ผมเล่าหรือไม่ เช่น
ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า
"ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"
ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์
มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้
ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมากเป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร?
เขาก็เป็นอย่างนี้
1.คิดตื้นชั้นเดียว
ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้า
ใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที
2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี
เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่า
อยากทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่สำคัญ
เท่าความคิดของตน
3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต
คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิด
อยู่กันชั่วคราวถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวยไว้ก่อน
เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด
4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา มีตัวเองคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร
เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย
ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคต
ประเทศชาติไว้กับพวกเขา
เพราะว่าเขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณีมีแต่เขา
คนเดียวในโลกของเขา
ท่านผู้ใดมีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าวจงดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”
การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ
"โรครู้แล้ว รู้แล้ว"
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้
สื่อโซเชียล
ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้เขา
ไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับ
โทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด บุคลิกกลายเป็นคนเฉย หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร
ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว
ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลก
โซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า
ประการสำคัญ
เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์
ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามากถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่
การเคลื่อนตัวของจักรวาล
คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ
ในอวกาศที่ว่างทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไป
จากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป
ศาสนา
โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์มีใจบาป ทำลายคนและสัตว์มากมาย
มาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และกินสัตว์เป็นอาหาร
ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้ามกินเนื้อสัตว์ก็อะลุ่มอล่วย
ให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร
การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์ฆ่า
หรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และ
ญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ
สังคม
มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่
ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใครเพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน
การพูดจาไม่ต้องสุภาพ ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี
ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ
4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”
ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า
“มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”
ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า
“รู้แล้ว รู้แล้ว”
ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา
โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว
"ขอให้ท่านโชคดี"
ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง
"รู้แล้ว รู้แล้ว”
เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?
บุญ ไท
* ขออนุญาติเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจกับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส
ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ
ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
ที่อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ
การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรมความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน
การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจ
ของคนต่างวัยในชายคาเดียวกัน
"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565
อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)
ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว
อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบกว่านั้นเขาตอบว่า ~
"รู้แล้ว รู้แล้ว"
ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือน
โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า
"ครับ" หรือ "ค่ะ"
คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้
ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ
ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ"
ผมว่าไม่มีสักครอบครัว
ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชา
ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว
ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆๆ"
อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลยกว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค
ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง?
คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่าได้เสียใจ
ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด
ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับ
มหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก
เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง :
"ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว"
เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอน
ของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขาคิดว่าโตๆกันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว
ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อที่ผิด
วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่
ผมเล่าหรือไม่ เช่น
ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า
"ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"
ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์
มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้
ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมากเป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร?
เขาก็เป็นอย่างนี้
1.คิดตื้นชั้นเดียว
ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้า
ใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที
2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี
เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่า
อยากทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่สำคัญ
เท่าความคิดของตน
3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต
คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิด
อยู่กันชั่วคราวถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวยไว้ก่อน
เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด
4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา มีตัวเองคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร
เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย
ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคต
ประเทศชาติไว้กับพวกเขา
เพราะว่าเขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณีมีแต่เขา
คนเดียวในโลกของเขา
ท่านผู้ใดมีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าวจงดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”
การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ
"โรครู้แล้ว รู้แล้ว"
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้
สื่อโซเชียล
ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้เขา
ไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับ
โทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด บุคลิกกลายเป็นคนเฉย หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร
ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว
ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลก
โซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า
ประการสำคัญ
เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์
ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามากถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่
การเคลื่อนตัวของจักรวาล
คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ
ในอวกาศที่ว่างทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไป
จากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป
ศาสนา
โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์มีใจบาป ทำลายคนและสัตว์มากมาย
มาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และกินสัตว์เป็นอาหาร
ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้ามกินเนื้อสัตว์ก็อะลุ่มอล่วย
ให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร
การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์ฆ่า
หรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และ
ญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ
สังคม
มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่
ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใครเพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน
การพูดจาไม่ต้องสุภาพ ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี
ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ
4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”
ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า
“มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”
ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า
“รู้แล้ว รู้แล้ว”
ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา
โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว
"ขอให้ท่านโชคดี"
ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง
"รู้แล้ว รู้แล้ว”
เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?
บุญ ไท
* ขออนุญาติเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจกับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส
ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ
ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
ที่อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ
การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรมความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน
การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจ
ของคนต่างวัยในชายคาเดียวกัน
"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565