“ภูมิปัญญาของที่ปรึกษา “

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 11:30 am

(เรื่องสั้น) "ภูมิปัญญาของที่ปรึกษาเบอร์บัล"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “Birbal’s Wisdom”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งกษัตริย์อัคบาร์ทรงทำพระธำมรงค์ (แหวน) หาย พระองค์จึงเสด็จไปที่ศาลพร้อมกับ
ข้าราชบริพารทุกคนโดยทรงแต่งตั้งที่ปรึกษาเบอร์บัลผู้รอบรู้เป็นผู้ช่วยไขคดี พระองค์ตรัส
กับเบอร์บัลในที่ทำการศาลว่า

"เราทำแหวนหาย เป็นแหวนที่สำคัญมากเพราะเป็นของกำนัลที่บิดามอบให้ในโอกาสพิเศษ
ท่านช่วยติดตามหาให้ได้ไหม” ที่ปรึกษาเบอร์บัล ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงเป็นกังวล
พระทัยไปเลย ข้าพระองค์จะนำพระธำมรงค์ที่หายมาคืนให้พระองค์ ณ บัดนี้”

จากนั้น ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็แจ้งกับทุกคนที่อยู่ที่นั่นว่า “พระธำมรงค์ของพระองค์อยู่
ในศาลนี้แหละ แต่ซ่อนอยู่ในเคราของข้าราชบริพารคนหนึ่ง” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น
ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ใช้สายตากวาดมองไปยังข้าราชบริพารทุกคนอย่างรวดเร็วและทันทีที่
พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นข้าราชบริพารคนหนึ่งรีบเอามือแตะเคราของตนทันที ที่ปรึกษา
เบอร์บัลจึงชี้ไปที่ข้าราชบริพารคนนั้นและกล่าวว่า "จับตัวชายคนนี้ เขามีพระธำมรงค์ของ
พระองค์อย่างแน่นอน” และก็เป็นดังที่เบอร์บัลได้พูดไว้ หลังจากตรวจค้นไม่นานก็พบว่า
ข้าราชบริพารคนนั้นซ่อนพระธำมรงค์ของกษัตริย์ไว้ในห่อผ้าที่อยู่ข้างตัวของเขานั่นเอง

กษัตริย์อัคบาร์ไม่เข้าใจว่า ทำไมที่ปรึกษาเบอร์บัลจึงสามารถหาตัวคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว
เช่นนี้ ที่ปรึกษาเบอร์บัลจึงกราบทูลว่า “คนทำผิดมักจะกลัวความผิดของตน และเขาก็เป็น
คนเดียวที่มีพิรุธเพราะเขาเผลอใช้มือจับเคราของตน ขณะที่ข้าราชบริพารคนอื่นที่มีเครา
เช่นกันแต่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์จึงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ กับคำพูดของข้าพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 11:33 am

(เรื่องสั้น) "วิธีหุงข้าวของที่ปรึกษาเบอร์บัล"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “Birbal’s Khichri (Rice)”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ


วันหนึ่งเป็นวันที่อากาศหนาวมาก กษัตริย์อัคบาร์และที่ปรึกษาเบอร์บัลกำลังเดินพักผ่อน
อยู่ริมทะเลสาบ อยู่ ๆ ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ในยามคับขัน คนเรา
จะยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับเงิน” จากนั้น เขาก็ทูลความคิดเห็นนี้ให้กษัตริย์ทราบ
กษัตริย์อัคบาร์จึงใช้พระหัตถ์จุ่มลงไปในทะเลสาบที่อยู่ติดกับทางเดินและรีบยกพระหัตถ์
ขึ้นจากน้ำทันที เพราะความเย็นจัดของน้ำ แล้วพระองค์ก็ตรัสแย้งว่า
“เราไม่คิดว่าจะมีใครทนอยู่ในน้ำที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ได้ตลอดคืนเพื่อแลกกับเงิน”

ที่ปรึกษาเบอร์บัลทูลตอบว่า “แต่ผมมั่นใจว่าจะสามารถหาคนที่จะทำเช่นนี้ได้”

กษัตริย์อัคบาร์จึงทรงท้าให้ที่ปรึกษาไปหาบุคคลดังกล่าวและจะประทานรางวัล
1000 เหรียญทองคำให้แก่ผู้นั้นด้วย หลังจากนั้นที่ปรึกษาเบอร์บัลก็เสาะหาไปทั่วแดน
ที่สุดก็พบชายยากจนข้นแค้นและสิ้นหวังคนหนึ่งตกลงทำตามเงื่อนไขของกษัตริย์
ค่ำวันนั้น ชายผู้สิ้นหวังเดินลุยน้ำลงไปในทะเลสาบที่เย็นเฉียบและยืนอยู่เช่นนั้นขณะที่
กษัตริย์อัคบาร์ทรงจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าชายผู้นั้นจะทำตามเงื่อนไขจริง ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารพาชายผู้น่าสงสารไปเฝ้ากษัตริย์อัคบาร์ พระองค์ตรัสถามว่า เขาอดทน
ยืนทั้งคืนอยู่ในทะเลสาบที่มีน้ำเย็นจัดได้อย่างไร

ชายผู้นั้นทูลตอบว่า เนื่องจากมีโคมไฟส่องสว่างริมถนนติดกับทะเลสาบ เขาจึงพุ่งความสนใจ
อย่างเด็ดเดี่ยวตลอดทั้งคืนไปที่ความร้อนของโคมไฟ และดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกหนาวจนทนไม่ได้
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ กษัตริย์อัคบาร์ทรงปฏิเสธไม่ประทานรางวัลให้โดยทรงอ้างว่า ชายผู้
ยากไร้ทำผิดเงื่อนไขเพราะเขารอดชีวิตได้เนื่องจากได้รับไอร้อนจากโคมไฟริมถนน

เช้าวันต่อมา ที่ปรึกษาเบอร์บัลไม่ได้ไปถวายงานให้กษัตริย์อัคบาร์เช่นที่เคยปฏิบัติอยู่ทุกวัน
กษัตริย์ทรงเป็นกังวลและไม่นานต่อมา พระองค์ก็ทรงส่งมหาดเล็กหลวงไปตามเขาที่บ้าน
มหาดเล็กกลับจากบ้านที่ปรึกษาและรายงานว่า
“ที่ปรึกษาเบอร์บัลจะมาถวายงานหลังจากหุงข้าวสุกแล้ว”

กษัตริย์ทรงอดทนรออยู่เป็นชั่วโมงแต่ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ยังคงไม่ปรากฏตัว ที่สุด กษัตริย์ทรง
ตัดสินพระทัยเสด็จไปที่บ้านของที่ปรึกษาด้วยพระองค์เองเพื่อจะทราบถึงสาเหตุที่แท้จริง
ของเรื่องที่ผิดปรกติวิสัยนี้

เมื่อเสด็จไปถึง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นที่ปรึกษาเบอร์บัลนั่งอยู่บนพื้นใกล้เตาไฟคอยเติมฟืน
ใส่เตาไฟอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็เห็นหม้อที่กำลังหุงข้าวอยู่ แขวนอยู่บนกิ่งไม้เหนือเตาไฟ
สูงขึ้นไปเกือบ 2 เมตร กษัตริย์และข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็อดหัวเราะไม่ได้กับภาพที่เห็น

กษัตริย์จึงตรัสกับที่ปรึกษาเบอร์บัลว่า “หม้อข้าวอยู่ห่างจากเตาไฟขนาดนี้ แล้วอีกกี่ชาติข้าวถึงจะสุกล่ะ”

ที่ปรึกษาเบอร์บัลทูลตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า “สิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ก็เป็นเหมือนกับสิ่งที่ชายผู้ยากไร้
ยืนหยัดต่อสู้กับความหนาวเหน็บของน้ำในทะเลสาบโดยอาศัยไออุ่นจากโคมไฟริมถนนที่อยู่ห่าง
จากตัวเขามากกว่า 10 เมตร พ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์จึงทรงตระหนักถึงความผิดพลาดของพระองค์และประทานรางวัล
ให้กับชายผู้ยากไร้ตามที่ได้ทรงสัญญาไว้

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 11:38 am

(เรื่องสั้น) "เงิน 100 เหรียญทองกับที่ปรึกษาเบอร์บัล"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “Hundred Gold Coins & Birbal”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในรัชสมัยของกษัตริย์อัคบาร์ ภูมิปัญญาของที่ปรึกษาเบอร์บัลเป็นที่กล่าวขานกันทั่วแดน
จนทำให้พระญาติท่านหนึ่งของกษัตริย์ฯ อิจฉาและทูลกษัตริย์ให้ไล่ที่ปรึกษาเบอร์บัลออกจาก
ตำแหน่ง และแต่งตั้งเขาทำหน้าที่แทน ทั้งนี้เพราะเขามั่นใจและพร้อมที่จะพิสูจน์ให้กษัตริย์
ทรงเห็นว่า ตัวเขามีความสามารถมากกว่าที่ปรึกษาเบอร์บัล

อย่างไรก็ตามก่อนที่กษัตริย์อัคบาร์จะตัดสินพระทัยในเรื่องนี้ ข่าวนี้ก็ได้ยินไปถึงหูของที่ปรึกษา
เบอร์บัล โดยไม่รอช้า เช้าวันรุ่งขึ้นที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์และกราบทูลขอลาออก
จากตำแหน่งด้วยตนเอง และในวันเดียวกัน พระญาติดังกล่าวก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา
แทนแบบสายฟ้าแลบ กระนั้นก็ดี เพื่อความโปร่งใสและไม่เป็นที่ครหานินทากัน กษัตริย์อัคบาร์
ทรงตัดสินพระทัยจะทดสอบความรู้ความสามารถของที่ปรึกษาคนใหม่

เย็นวันนั้นขณะที่ที่ปรึกษาคนใหม่ทูลลากลับบ้านหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานในวันแรก พระองค์
ทรงมอบถุงใส่เหรียญทอง 300 เหรียญให้พร้อมกับตรัสว่า “ให้ใช้เหรียญทองเหล่านี้เพื่อที่ฉัน
จะได้เหรียญทอง 100 เหรียญในชีวิตนี้, 100 เหรียญในโลกหน้า และอีก 100 เหรียญฉันจะไม่ได้
รับคืนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า”

ที่ปรึกษาคนใหม่งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อทราบพระประสงค์ของกษัตริย์ เขาใช้เวลาขบคิดอยู่ทั้งคืน
ไม่เป็นอันกินอันนอน ยิ่งคิดก็ยิ่งงงเป็นเขาวงกตจนแทบเป็นบ้า เช้าวันรุ่งขึ้น ภรรยาของเขา
เห็นสภาพที่น่าสังเวชของสามีจึงแนะนำให้เขาขอความช่วยเหลือจากอดีตที่ปรึกษาเบอร์บัล
ซึ่งเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี แม้จะรู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยก็ตาม

หลังจากที่เขาเล่าถึงสิ่งที่กษัตริย์ทรงมีรับสั่งให้ทำแล้ว ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็กล่าวด้วยน้ำเสียง
เรียบ ๆ ว่า “ส่งเหรียญทองทั้ง 300 เหรียญมาให้ฉัน แล้วฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”

เมื่อรับเหรียญทั้งหมดมาแล้ว ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็เดินไปตามถนนในเมืองโดยถือถุงเหรียญทอง
ไว้ในมือ เขาสังเกตเห็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งกำลังจัดงานแต่งงานของลูกชายอยู่ในสนามหน้าคฤหาสน์
หลังหนึ่ง ที่ปรึกษาเบอร์บัลจึงเข้าไปโค้งคำนับพ่อค้าคนนั้นอย่างสุภาพก่อนจะมอบเงิน 100 เหรียญ
ให้เขาพร้อมกับกล่าวว่า

“กษัตริย์อัคบาร์ทรงส่งความปรารถนาดีและพรสำหรับงานแต่งงานของลูกชายของท่าน
โปรดรับของกำนัลที่พระองค์ประทานให้ด้วยครับ”

พ่อค้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่กษัตริย์ทรงพระกรุณาส่งผู้นำสารพิเศษพร้อมของกำนัลล้ำค่าเช่นนี้
เขาจึงให้เกียรติที่ปรึกษาเบอร์บัลอย่างสูง และมอบของขวัญราคาแพงจำนวนมากรวมทั้งเหรียญทอง
อีกหนึ่งถุงเพื่อตอบแทนน้ำพระทัยดีของพระองค์

ต่อจากนั้น ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ไปยังย่านที่อยู่อาศัยของคนยากไร้ เขาใช้เหรียญทอง 100 เหรียญ
ซื้ออาหารและเสื้อผ้าก่อนจะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ยากไร้เหล่านั้นในนามของกษัตริย์อัคบาร์

หลังจากนั้น เขาก็กลับเข้ามาในย่านกลางเมือง และใช้ 100 เหรียญสุดท้ายจัดคอนเสิร์ตดนตรี
และงานเต้นรำซึ่งมีผู้คนมากมายมาร่วมงานที่จัดขึ้นอย่างสนุกสนาน

เช้าวันรุ่งขึ้นที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อัคบาร์ และประกาศว่าเขาได้ทำทุกอย่างตามที่
พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้พระญาติทำแล้ว กษัตริย์ตรัสถามถึงวิธีการใช้เงินของเขา ที่ปรึกษา
เบอร์บัลจึงเล่าสิ่งที่ตนทำตามลำดับของเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมกับอธิบายว่า
“เงินที่ได้มอบให้กับพ่อค้าในงานแต่งงานของลูกชายของเขา – พระองค์ทรงได้รับกลับคืนมาทั้งหมด
ในชีวิตนี้แล้ว, เงินที่ใช้ซื้ออาหารและเสื้อผ้าสำหรับคนจน – พระองค์จะทรงได้รับตอบแทนคืน
ในโลกหน้า ส่วนเงินที่ใช้ไปในการจัดคอนเสิร์ตและงานเต้นรำ – พระองค์จะไม่ทรงได้คืนทั้งใน
โลกนี้และในโลกหน้า พ่ะย่ะค่ะ”

พี่เขยของอัคบาร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างกษัตริย์เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงขีดความสามารถที่จำกัดของตนเอง
พร้อมกับยอมรับและชื่นชมภูมิปัญญาที่สูงส่งของเบอร์บัลที่เหนือกว่าเขามาก เขารีบก้มกราบทูล
ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาและไม่คิดอิจฉาเบอร์บัลอีกต่อไป

ข้อคิด : เงินที่ท่านใช้จ่ายกับเพื่อนฝูง ท่านจะได้รับคืนหรือตอบแทนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
; เงินที่ใช้ไปเพื่อการกุศลจะถูกเปลี่ยนเป็นพระพรจากพระเจ้าซึ่งจะเป็นทรัพย์สมบัตินิรันดร์ของท่าน
ส่วนเงินที่ใช้ไปเพื่อแลกกับความสุขจะหมดไป ดังนั้น เมื่อท่านใช้จ่ายเงินเพื่อความสนุกสนาน
ตามสมควรของท่าน ก็ไม่ต้องคิดมากกับการใช้เงินนั้น

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 1:08 pm

(เรื่องสั้น) "คนโง่เขลาที่สุดในอาณาจักร"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “Tenali Rama and the Trader”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กษัตริย์กฤษณะเทวราชทรงรักม้ามากและทรงมีม้าพันธุ์ดีที่สุดในคอกม้าส่วนพระองค์ ครั้งหนึ่ง
มีพ่อค้าม้าคนหนึ่งจากอาระเบียมาที่ราชสำนักแจ้งว่า เขามีม้าอาหรับพันธุ์ดีหายากหลายตัว
และต้องการจะขาย เขาจึงขอเชิญพระราชาไปชมม้าตัวอย่างที่เขานำมาด้วย และหากเป็นที่
ต้องพระประสงค์ เขาก็จะส่งม้าที่เหลือมาที่คอกม้าของพระองค์ตามจำนวนที่ทรงสั่งซื้อ

พระราชาทรงพอพระทัยกับม้าตัวอย่างเป็นอย่างมากและทรงสั่งซื้อม้าทั้งหมดที่เขามี พระองค์
ทรงชำระค่าม้าทั้งหมดล่วงหน้าเป็นจำนวนเงินถึง 5,000 เหรียญทองคำ หลังจากรับเงินแล้ว
พ่อค้าก็ให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า เขาจะกลับมาพร้อมกับม้าทั้งหมดภายใน 2 วัน

2 วันผ่านไป..., 2 สัปดาห์ผ่านไป... พ่อค้าม้าคนนั้นก็ยังไม่กลับมาให้เห็นแม้แต่เงา พระราชาทรง
วิตกกังวลมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ล่วงมาจนเย็นวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินเพื่อ
ผ่อนคลายพระราชหฤทัยในอุทยานหลวง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเตนาลีซึ่งเป็นคนถวายงาน
อยู่ในคณะที่ปรึกษากำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษ พระองค์จึงเสด็จเข้า
ไปใกล้และตรัสถามถึงสิ่งที่เขากำลังเขียนอยู่ เตนาลีไม่ตอบแต่ยังคงก้มหน้าเขียนต่อไป พระองค์
จึงตรัสถามซ้ำ เตนาลีจึงหยุดเขียนและเงยหน้าขึ้นทูลพระราชาว่า เขากำลังจดเรียงลำดับรายชื่อ
ผู้คนที่ฉลาดน้อยอยู่ตามลำดับ

พระองค์จึงทรงขอดูรายชื่อเหล่านั้น

พระราชาทรงพระพิโรธทันทีที่ทรงอ่านแผ่นรายชื่อนั้น เพราะพระนามของพระองค์ปรากฏอยู่
เป็นชื่อแรก ดังนั้นพระองค์จึงทรงขอคำอธิบาย เตนาลีจึงทูลตอบว่า ผู้ใดก็ตามที่มอบเงินเป็น
จำนวนถึง 5,000 เหรียญทองคำให้กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกันมาก่อนย่อมถูก
จัดไว้ในรายชื่อเป็นลำดับแรก

พระองค์จึงตรัสถามเตนาลีว่า “แล้วถ้าเขากลับมาพร้อมกับม้าตามที่ตกลงกันไว้ล่ะ ท่านจะว่าอย่างไร?”

เตนาลีทูลตอบว่า “ถ้าเขากลับมาพร้อมกับม้าทั้งหมดจริง
ชื่อของเขาก็จะเป็นชื่อแรกแทนพระนามของพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 1:12 pm

(เรื่องสั้น) "ลิงกับจระเข้"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “The Monkey and the Crocodile”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลิงที่มีไหวพริบดีมากตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นแอปเปิ้ลที่มีผลสีชมพู
และมีรสชาติหอมหวาน มันมีความสุขมากกับการพักพิงอยู่ที่ต้นแอปเปิ้ลนี้ วันหนึ่งจระเข้ตัว
หนึ่งว่ายน้ำมาที่ต้นแอปเปิ้ลที่มีลิงตัวนี้อาศัยอยู่และพูดกับลิงว่า มันเดินทางมาไกลและหิวมาก
เนื่องจากมันเป็นลิงใจดี มันจึงยื่นแอปเปิ้ลสีชมพูให้ 2-3 ผล จระเข้ติดใจรสชาติของแอปเปิ้ล
มากและถามลิงว่ามันจะกลับมากินอีกได้ไหม ลิงผู้ใจกว้างอยู่แล้วตอบตกลงโดยไม่ลังเล

จระเข้กลับมาในวันรุ่งขึ้น และวันต่อ ๆ ไป ในไม่ช้าทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกมัน
พูดคุยถึงชีวิตของการเป็นเพื่อนที่ดีและชีวิตครอบครัว จระเข้บอกลิงว่ามันมีภรรยาแล้วและ
อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ลิงผู้ใจดีจึงมอบแอปเปิ้ลสีชมพูเพิ่มให้จระเข้นำกลับไปฝาก
ภรรยาที่บ้านด้วย ภรรยาของจระเข้ชอบแอปเปิ้ลสีชมพูมากเช่นกัน และขอให้จระเข้สามีสัญญาว่า
จะเอากลับมาให้กินทุกวัน

ในขณะเดียวกัน มิตรภาพระหว่างลิงกับจระเข้ก็สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นและแทบจะใช้เวลาอยู่
ด้วยกันทั้งวันจนจระเข้ผู้ภรรยาเริ่มหึงและต้องการยุติมิตรภาพของทั้งสอง วันหนึ่งเธอจึงแกล้ง
ทำเป็นไม่เชื่อว่าจระเข้สามีจะเป็นเพื่อนกับลิงได้ ผู้เป็นสามีพยายามเกลี้ยกล่อมเธอว่ามันกับ
ลิงเป็นเพื่อนแท้กันจริง ๆ นอกจากนั้นภรรยาของจระเข้ยังคิดด้วยว่า ลิงที่กินแอปเปิ้ลสีชมพูที่
หอมหวานเป็นอาหารทุกวัน เนื้อของลิงตัวนั้นย่อมจะต้องหอมหวานมากด้วย เธอจึงออกอุบาย
ให้สามีเชิญลิงมาที่บ้าน

จระเข้สามีไม่มีความสุขเมื่อได้ยินคำขอเช่นนี้ มันพยายามหาข้ออ้างว่าลิงว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายข้าม
แม่น้ำมาไม่ได้ แต่ภรรยาของมันตั้งใจที่จะกินเนื้อลิง เธอจึงคิดวางแผนอย่างรอบคอบ และ
วันรุ่งขึ้นจระเข้ภรรยาก็แกล้งป่วยหนักและพูดกับสามีว่า หมอบอกว่าเธอจะหายได้ก็ต่อเมื่อได้
กินหัวใจของลิง ดังนั้นถ้าจระเข้สามีของเธอต้องการช่วยชีวิตเธอ ก็ต้องเอาหัวใจของเพื่อนลิงมา
ให้เธอกิน จระเข้สามีตกตะลึงเมื่อได้ยิน มันอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้านหนึ่งมันรัก
เพื่อนของมัน อีกด้านหนึ่ง มันก็ไม่อาจปล่อยให้ภรรยาตายได้
จระเข้สามีจึงไปเชิญลิงมาที่บ้าน โดยบอกกับลิงว่าให้นั่งบนหลังของมันข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน
ลิงตกลงไปด้วยความยินดี แต่พอจระเข้ว่ายไปถึงกลางแม่น้ำ มันก็เริ่มจมตัวลง ลิงตกใจกลัวและ
ถามมันว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น จระเข้จึงเผยความจริงว่ามันจำเป็นจะต้องฆ่าเพื่อนลิงเพื่อช่วยชีวิต
ภรรยาของมัน อย่างไรก็ตาม ลิงเป็นสัตว์ฉลาดมีไหวพริบจึงพูดตอบไปว่า มันยินดีที่จะสละหัวใจ
เพื่อรักษาชีวิตภรรยาของเพื่อน แต่เผอิญวันนี้มันได้ถอดหัวใจเก็บไว้ที่ต้นแอปเปิ้ลแล้ว มันจึงขอใ
ห้จระเข้พามันกลับไปที่ต้นแอปเปิ้ลเพื่อไปเอาหัวใจของมันที่นั่น
จระเข้ที่ไม่มีหัวคิดรีบพาลิงว่ายกลับไปที่ต้นแอปเปิ้ลอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึง ลิงก็รีบกระโดดจาก
หลังจระเข้ขึ้นไปบนต้นแอปเปิ้ลเพื่อความปลอดภัย แล้วจึงตะโกนบอกจระเข้เพื่อนรักว่า

"น่าเสียดายที่เพื่อนมีภรรยาที่ชั่วร้ายและภรรยาของเพื่อนก็ได้เลือกแต่งงาน
กับจระเข้ที่โง่ที่สุดในโลกด้วย!"

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 1:17 pm

*เรื่องสั้น "ช้างเผือก"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/ เรื่อง “The White Elephant”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งมีฝูงช้างขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในป่าของเทือกเขาหิมาลัยที่สูงตระหง่าน จ่าฝูงเป็น
ช้างเผือกที่สง่างามและมีจิตใจงาม แม้ว่าแม่ของจ่าฝูงเป็นช้างตาบอดและไม่สามารถดูแล
ตัวเองได้ แต่จ่าฝูงก็รักแม่ของมันมาก ทุกวันช้างเผือกจ่าฝูงจะหาอาหารและผลไม้ที่ดีที่สุด
ในป่าลึกส่งมอบให้ช้างในฝูงนำอาหารไปมอบให้กับแม่ของมัน แต่อนิจจาแม่ของมันกลับ
ไม่เคยได้รับอาหารของลูกเลย เพราะช้างผู้นำอาหารทุกตัวถือโอกาสกินอาหารนั้นเอง
ระหว่างทาง ทุกคืนเมื่อมันกลับไปหาแม่ มันรู้สึกแปลกใจที่แม่ของมันไม่ได้กินอาหารเลย
ที่สุดมันก็ตัดสินใจทิ้งฝูงและพาแม่เดินทางไปอยู่ในถ้ำข้างทะเลสาบที่เต็มไปด้วยดอกบัว
สีชมพูที่สวยสดงดงาม

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ช้างเผือกกำลังป้อนอาหารให้แม่ของมันอยู่ มันได้ยินเสียงร้องโหยหวล
ของผู้พิทักษ์ป่าเมืองพาราณสีที่หลงทางอยู่ในป่าขณะทำการสำรวจป่าและหาทางออกจากป่า
ไม่ได้ เมื่อผู้พิทักษ์ป่าเห็นช้างเผือกขนาดใหญ่ตัวนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวและวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
แต่ช้างเผือกวิ่งเร็วกว่าและวิ่งตามมาจนทันพร้อมกับบอกว่า มันวิ่งตามเขามาก็เพื่อจะให้ความ
ช่วยเหลือเขาเท่านั้น จากนั้นมันก็ทราบว่า ผู้พิทักษ์ป่าหลงทางมาแล้ว 7 วันและยังหาทางออก
จากป่าไม่ได้ ช้างเผือกจึงกล่าวว่า มันรู้จักป่านี้ทุกตารางนิ้วและสามารถพาเขากลับสู่ที่ปลอดภัยได้
พอพูดเสร็จมันก็พับขาเอนตัวลงเพื่อให้ผู้พิทักษ์ป่าปีนขึ้นไปนั่งบนหลังและพาไปที่ชายป่า และใน
ที่สุดผู้พิทักษ์ป่าก็สามารถเดินทางกลับไปเมืองพาราณสีได้โดยปลอดภัย

เมื่อไปถึงเมือง ก็มีข่าวว่าช้างส่วนพระองค์ของกษัตริย์เพิ่งล้ม (เสียชีวิต) และกษัตริย์ทรงมีประกาศ
หาช้างส่วนพระองค์เชือกใหม่ ผู้พิทักษ์ป่าตื่นเต้นมากเมื่อทราบข่าวจึงรีบเข้าเฝ้ากษัตริย์โดยไม่รอช้า

กษัตริย์ทรงพอพระทัยกับข้อมูลของเขามาก พระองค์ทรงส่งทหารและครูฝึกช้างจำนวนมากไปพร้อม
กับผู้พิทักษ์ป่าทันที หลังจากบุกป่าฝ่าดงอยู่นาน ที่สุดคณะก็มาถึงทะเลสาบที่ช้างสองแม่ลูกอาศัยอยู่
พวกเขาค่อย ๆ ลงไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ริมทะเลสาบ ขณะนั้นช้างเผือกกำลังเก็บฝักบัวเพื่อนำไป
ให้แม่ มันได้กลิ่นมนุษย์และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้พิทักษ์ป่าคนนั้นที่กลายเป็นคนอกตัญญู นำผู้คน
ของกษัตริย์มาล้อมจับทั้งที่มันเคยให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ช้างเผือกคิดว่า หากมันต่อสู้
ผู้คนจำนวนมากที่ล้อมมันอยู่จะถูกมันฆ่าตายอย่างแน่นอน และมันก็มีจิตใจดีงามเกินกว่าจะคิดทำร้
ายผู้ใด ช้างเผือกจึงตัดสินใจยอมไปกับคณะแต่โดยดีไปถึงเมืองพาราณสีแล้ว มันก็จะกราบทูลขอ
ความเมตตาจากกษัตริย์ ขอให้ปล่อยมันเป็นอิสระ
ค่ำวันนั้นช้างเผือกไม่กลับบ้าน แม่ของมันเป็นห่วงมาก เพราะวันนั้นผู้เป็นแม่ได้ยินเสียงอึกทึก
โกลาหลดังอยู่และคิดว่าคนของกษัตริย์คงมาจับตัวลูกชายของนางไป เธอกลัวว่ากษัตริย์จะทรง
ส่งลูกชายไปออกรบและคงจะถูกฆ่าตายในสมรภูมิรบอย่างแน่นอน

เธอยังกังวลด้วยว่า ต่อไปจะไม่มีใครดูแลและหาอาหารให้เธออีก เธอจึงล้มตัวลงนอนและร้องไห้
อย่างขมขื่น
ในขณะเดียวกัน ลูกชายของเธอได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขณะเดินเข้าเมือง หัวหน้าผู้ฝึกช้าง
จัดงานเลี้ยงด้วยอาหารอย่างดีที่สุด แต่ช้างเผือกกลับไม่แตะต้องอาหารเลิศรสเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าผู้ฝึกช้างรู้สึกเป็นกังวลใจมาก และรีบไปกราบทูลรายงานสถานการณ์ต่อกษัตริย์ทันที
เนื่องจากกลัวว่าจะเสียช้างไป เพราะช้างไม่ดื่มน้ำและแตะต้องอาหารเลย

กษัตริย์ทรงเป็นกังวลพระทัยยิ่งนักเมื่อทราบข่าวและเสด็จไปให้อาหารด้วยพระองค์เอง พระองค์
ตรัสกับช้างเผือกว่า มันควรภูมิใจและถือเป็นเกียรติที่ได้รับเลือกให้เป็นช้างประจำชาติและมีโอกาส
ได้รับใช้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ตรัสถามถึงสาเหตุความทุกข์ใจของมัน

ช้างเผือกจึงตอบว่ามันจะไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะได้พบกับแม่ก่อน จากนั้นมันก็เล่าถึงสภาพความ
เป็นอยู่ของแม่ที่ตาบอด หาอาหารเองไม่ได้ให้พระองค์ทราบ เมื่อกษัตริย์ทราบเรื่อง ก็ทรงมี
พระราชานุญาตให้มันกลับไปใช้ชีวิตดูแลแม่ดังเดิม ช้างเผือกผู้มีความสุขรีบวิ่งกลับไปและโล่งใจ
เมื่อพบว่าแม่ของมันยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายเล่าให้แม่ฟังว่ากษัตริย์แห่งพาราณสี
ทรงมีน้ำพระทัยเมตตามาก และทรงปล่อยให้มันกลับมาดูแลแม่ตลอดไป

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 3:08 pm

(เรื่องสั้น) "ที่ปรึกษาชาญฉลาดกับต้นสมุนไพรวิเศษ"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/
เรื่อง “Tenali Rama and the Brinjal Curry” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กษัตริย์ศรีกฤษณะมีที่ปรึกษา 8 คน ‘เตนาลี’ เป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษานี้ เขาเป็นคนรอบรู้
และคิดแก้ปัญหาได้เร็ว กษัตริย์ฯ มีสมุนไพรวิเศษต้นหนึ่งปลูกอยู่ในสวนของพระองค์
และเป็นสมุนไพรเพียงต้นเดียวที่พบได้ในโลกนี้ เมื่อนำก้านเล็ก ๆ ของสมุนไพรต้นนี้มา
ใช้ปรุงเป็นเครื่องแกงกะหรี่จะทำให้แกงนั้นมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยจนสุดที่จะบรรยายได้
สมุนไพรต้นนี้จึงได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี กษัตริย์ฯ ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใด
นำกิ่งก้านของสมุนไพรต้นนี้ออกไปขยายพันธุ์ปลูกที่อื่น พระองค์ทรงคัดเลือกผู้ที่ไว้
วางพระทัยมากที่สุดเป็นผู้ดูแลสมุนไพรต้นนี้

วันหนึ่ง กษัตริย์ทรงจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำให้กับคณะที่ปรึกษาของพระองค์และมีการเสิร์ฟ
แกงกะหรี่ที่ใช้สมุนไพรวิเศษนี้ เตนาลีที่ปรึกษาคนสำคัญของพระองค์ติดใจรสชาติของ
แกงนี้มากและได้ขอนำแกงที่เหลือส่วนหนึ่งกลับไปให้ภรรยาที่บ้านได้ลิ้มรสด้วย ภรรยาก็
ติดใจรสชาติแกงนี้เช่นกันและขอให้เตนาลีไปเอาก้านสมุนไพรวิเศษมาใช้ทำแกงกะหรี่ที่
บ้านบ้าง แต่เตนาลีปฏิเสธเพราะทราบดีถึงข้อห้ามของกษัตริย์และทราบด้วยว่าพระองค์
ทรงตรวจตราต้นสมุนไพรวิเศษนี้อยู่ทุกวัน ถ้าพระองค์ทรงตรวจพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
กับต้นสมุนไพรนี้ พระองค์คงจะทรงลงโทษผู้ที่ก่อเหตุอย่างหนักแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เตนาลีถูกภรรยารบเร้าขอก้านสมุนไพรวิเศษอย่างไม่ลดละ ที่สุดเตนาลีก็
จำใจวางแผนเพื่อให้ได้ก้านสมุนไพรวิเศษตามที่ภรรยาเรียกร้อง คืนหนึ่งเขาจึงลักลอบ
เข้าไปในสวนของกษัตริย์ และเด็ดสมุนไพรวิเศษไป 2 ก้าน คืนนั้นเป็นเดือนมืดมาก เตนาลี
จึงขโมยก้านสมุนไพรวิเศษไปได้โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
เมื่อกลับถึงบ้าน ภรรยาของเขาดีใจมากและนำไปเตรียมทำแกงกะหรี่เป็นอาหารเย็นในวัน
ต่อมา
เนื่องจากภรรยาของเขาเป็นแม่บ้านที่รักลูกมากเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ทั่วไป หลังจากทำ
อาหารเสร็จ เธอก็อยากให้ลูกชายที่รักได้ลิ้มรสอาหารสุดวิเศษนั้นด้วย แม้ว่าเตนาลีจะห้ามปราม
แต่ที่สุดก็ต้องตกลงยอมทำตามภรรยาพร้อมกับวางแผนล่วงหน้าหากเกิดปัญหาในภายหลัง
ทั้งนี้เพราะที่จริงเตนาลีเองก็รักลูกชายมากเช่นกัน

ขณะนั้นลูกชายตัวน้อยของทั้งสองกำลังหลับอยู่หลังจากนั่งทำการบ้านอยู่บนหลังคาบ้าน
เขาจึงไปปลุกลูกชายตามแผนที่คิดไว้ คือใช้น้ำเต็มถังราดไปบนตัวลูก เมื่อลูกตื่นขึ้นด้วย
ความตกใจก็ร้องขึ้นว่า "ฝนตก! เรารีบเข้าไปในบ้านกินข้าวมื้อเย็นกันเถอะ”

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกและกินอาหารเย็นในห้องด้วยกันแล้ว เตนาลีก็ออกมาข้างนอก
และส่งเสียงดังพูดกับภรรยาว่า “ข้างนอกฝนตก ให้ลูกนอนในห้องเลยนะ”

วันรุ่งขึ้น กษัตริย์ไปที่สวนเพื่อตรวจต้นสมุนไพรวิเศษตามปกติ และทราบแทบจะทันทีว่ามีคน
ขโมยเด็ดสมุนไพรไป 2 ก้าน พระองค์จึงทรงออกประกาศให้รางวัลผู้ที่จับขโมยได้ หัวหน้า
คณะที่ปรึกษาสงสัยว่าคงมีแต่เตนาลีเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ จึงเข้าเฝ้ากราบทูล
ข้อสงสัยนี้กับกษัตริย์ พระองค์ทรงส่งคนไปเรียกเตนาลีมาสอบสวนทันที เมื่อถูกถาม เตนาลี
ปฏิเสธว่าตนไม่ได้ขโมยไป หัวหน้าที่ปรึกษาจึงค้านขึ้นว่า “เตนาลีโกหก และให้สอบถาม
ความจริงจากลูกชายของเขา”

กษัตริย์ส่งคนไปตามลูกชายของเตนาลี เมื่อเด็กมาถึงก็ถูกถามถึงอาหารค่ำที่กินในคืนวันก่อน
เด็กตอบว่า “แกงกะหรี่อร่อยสุดวิเศษเลยครับ”

หัวหน้าที่ปรึกษาจึงคาดคั้นให้เตนาลียอมรับผิด แต่เตนาลียืนกรานว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์
และพูดต่อไปว่า ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ลูกชายของเขาเข้านอนเร็วมาก
และอาจละเมอพูดเพ้อเจ้ออะไรขึ้นมาก็ได้

กษัตริย์จึงถามเด็กน้อยว่า “เมื่อวานนี้ หนูได้ทำอะไรบ้างหลังจากกลับจากโรงเรียน”

ลูกชายของเตนาลีตอบอย่างไร้เดียงสาว่า “เมื่อวานหลังจากกลับมาจากโรงเรียน ผมออกไป
วิ่งเล่นอยู่ข้างบ้านพักหนึ่งแล้วก็ขึ้นไปบนหลังคา ทำการบ้าน จากนั้นก็นอนหลับอยู่บนหลังคา
จนฝนตกก็ยังไม่รู้ พ่อเป็นคนมาปลุกผมตื่น ตอนนั้นชุดนักเรียนของผมที่ใส่อยู่เปียกไปหมด
เราจึงเข้าไปในบ้าน แม่เปลี่ยนให้ผมใส่ชุดนอนแทนชุดนักเรียนที่เปียก
จากนั้นเราก็กินอาหารเย็นกัน แล้วผมก็เข้านอนต่อเลยครับ”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ หัวหน้าที่ปรึกษาถึงกับตกตะลึงเพราะเมื่อวานไม่มีฝนตกเลย
และสภาพอากาศช่วงนั้นก็ไม่ใช่หน้าฝน ทุกคนที่สอบสวนเรื่องนี้จึงเข้าใจว่า สิ่งที่เด็กพูดมาเป็น
เพียงความฝันเท่านั้น กษัตริย์จึงทรงปล่อยเตนาลีไปโดยไม่ได้ลงโทษใดๆ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเตนาลีก็ได้สารภาพความจริงกับกษัตริย์ผู้ทรงพระราชทานอภัยโทษให้
เนื่องจากพระองค์ทรงชื่นชอบความคิดที่หลักแหลมของเขา

ข้อคิด : การขโมยเป็นสิ่งที่ผิด! แต่เราก็สามารถใช้สมองคลี่คลายสถานการณ์ที่ยากลำบากได้เสมอ

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 12, 2022 3:30 pm

"ชะตากรรมของช่างตัดผมที่ชั่วร้าย" ตอนที่ ( 1 )
ถอดความ จาก https://www.moralstories.org/
เรื่อง “The Wicked Barber’s Plight” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ราษฎรทุกคนทราบกันดีว่า ที่ปรึกษาเบอร์บัลไม่ได้เป็นเพียงมหาดเล็กคนโปรดของกษัตริย์
อัคบาร์เท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลที่รักของสามัญชนด้วย เนื่องจากเบอร์บัลพร้อมเสมอที่จะใช้
ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของตนช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับทุกคนที่มาขอพบเขา
จึงไม่แปลกที่มีผู้คนจากที่ห่างไกลมาปรึกษาขอคำแนะนำทั้งปัญหาของชุมชนและเรื่องส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ความมีชื่อเสียงโด่งดังของเขากลับกลายเป็นที่อิจฉาของมหาดเล็กกลุ่มหนึ่ง
แม้ภายนอกมหาดเล็กกลุ่มนี้จะแสดงความชื่นชมเขาอย่างแนบเนียน แต่เบื้องหลัง พวกเขา
กำลังวางแผนกำจัดที่ปรึกษาเบอร์บัลอยู่

วันหนึ่งพวกเขาไปพบช่างตัดผมส่วนพระองค์ของกษัตริย์พร้อมกับแผนการร้าย เนื่องจากช่างตัดผม
ผู้นี้มีฝีมือและเป็นผู้ที่พระองค์ทรงโปรดเป็นพิเศษ พวกเขาขอให้ช่างตัดผมคิดหาวิธีกำจัดที่ปรึกษา
เบอร์บัลอย่างถาวร และแน่นอน พวกเขาสัญญาจะตอบแทนช่างตัดผมด้วยเงินจำนวนมหาศาล
ซึ่งช่างตัดผมก็ได้ตกลงรับงานด้วยความกระตือรือร้น

ดังนั้น ในการถวายงานตัดผมกษัตริย์อัคบาร์ครั้งถัดไป ช่างตัดผมเริ่มดำเนินตามแผนการด้วยการ
ชื่นชมผลงานต่าง ๆ ของพระชนก (บิดา) ที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับบ้านเมืองจนเป็นที่กล่าว
ขวัญกันในหมู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า และขณะที่กษัตริย์ทรงรับฟังด้วยความพอพระทัยอยู่นั้น
ช่างตัดผมถือโอกาสใช้ความสนิทสนมตั้งคำถามกับกษัตริย์อัคบาร์ว่า พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งใด
ตอบแทนพระชนกของพระองค์บ้างหรือไม่

กษัตริย์ทรงพระพิโรธกับคำถามที่โง่เขลาไร้เหตุผลของช่างตัดผมและตรัสห้วน ๆ ตอบไปว่า
“บิดาสวรรคตไปหลายปีแล้ว จะตอบแทนพระคุณได้อย่างไร!”

จากนั้นก็เป็นไปตามแผนร้าย ช่างตัดผมทูลกษัตริย์อัคบาร์ว่า ตนรู้จักนักพรตขมังเวทย์คนหนึ่ง
ซึ่งสามารถส่งคนขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบของพระชนกของพระองค์ได้
แต่แน่นอนว่าบุคคลที่จะถูกส่งขึ้นไปนี้จะต้องเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบดีจึงจะสามารถ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของนักพรตขมังเวทย์ผู้นี้ได้สำเร็จ จากนั้นช่างตัดผมก็เสนอผู้ที่เหมาะสมกับ
งานนี้ที่สุดซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากที่ปรึกษาเบอร์บัล

กษัตริย์อัคบาร์ทรงพอพระทัยมากที่จะมีโอกาสทราบข่าวความเป็นอยู่ของบิดาในสวรรค์ และทรง
อนุมัติให้ช่างตัดผมดำเนินการได้ทันที ช่างตัดผมจึงอธิบายรายละเอียดของวิธีการว่า เริ่มแรก
ให้จัดขบวนข้าราชบริพารของพระองค์แห่นำที่ปรึกษาเบอร์บัลไปยังสุสานฝังพระศพของพระชนก,
ให้ที่ปรึกษาเข้าไปอยู่ใต้กองไฟขนาดใหญ่ก่อนจะจุดไฟขึ้นมา หลังจากนั้น นักพรตขมังเวทย์จะ
ร่ายมนต์วิเศษทำให้ร่างของที่ปรึกษาฯ ลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ในม่านควัน โดยมนต์วิเศษซึ่งจะ
ช่วยปกป้องที่ปรึกษาฯ จากความร้อนของกองไฟโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ย. 13, 2022 12:47 pm

"ชะตากรรมของช่างตัดผมที่ชั่วร้าย" ตอนที่ (2)
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/
เรื่อง “The Wicked Barber’s Plight” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กษัตริย์ทรงปลาบปลื้มมากกับแผนการนี้ และทรงแจ้งให้ที่ปรึกษาเบอร์บัลทราบ ที่ปรึกษาฯ
ทูลตอบว่าเป็นความคิดที่เฉียบแหลมทีเดียว จากนั้นเขาก็ทูลถามรายละเอียดวิธีการ
ของแผนการ และทราบด้วยว่าแผนการทั้งหมดเป็นความคิดของช่างตัดผม

ที่ปรึกษาเบอร์บัลตกลงที่จะไปสวรรค์ตามพระประสงค์ของกษัตริย์โดยมีเงื่อนไขว่า พระองค์จะ
ประทานเงิน 1000 เหรียญทองคำให้ก่อนสำหรับการเตรียมการเดินทางไกลในครั้งนี้ และขอเวลา
1 เดือนเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวจะได้ไม่มีปัญหาระหว่างที่เขาจะไม่อยู่กับครอบครัวเป็น
เวลานาน พระราชาทรงอนุมัติทุกอย่างตามเงื่อนไขทั้งสอง
ในช่วงเวลา 1 เดือนก่อนวันทำพิธีนั้น ที่ปรึกษาเบอร์บัลได้จ้างคนที่ไว้ใจได้ 3 คนขุดอุโมงค์จาก
บริเวณที่จะใช้เป็นกองไฟในพิธีมาโผล่ที่บ้านของเขา และดังนั้นในวันประกอบพิธีส่งเขาขึ้นสู่สวรรค์นั้น
ทันทีที่จุดกองไฟจนเกิดควันขโมงลอยขึ้นมา เขาก็ได้หลบหนีผ่านประตูลับใต้กองไฟที่เปิดลงสู่อุโมงค์
และลอดอุโมงค์ไปโผล่ที่บ้าน

หลังจากนั้นเขาก็เก็บตัวใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอย่างมิดชิดอยู่ 3 เดือนโดยมีทุกสิ่งที่จำเป็นจัดเตรียมไว้
เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน ผมและเคราของเขาก็ยาวจนรกรุงรังทีเดียว
ช่วงเวลาที่เขา “เดินทางไปกลับระหว่างโลกกับสวรรค์นานถึง 3 เดือน” นั้น ศัตรูของเขาต่างพากันดีใจ
เป็นอย่างมากเพราะคิดว่าได้กำจัดที่ปรึกษาเบอร์บัลได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงคิดไม่ถึงว่า หลังจาก
เวลาผ่านไป 3 เดือน จู่ ๆ พวกเขาก็เห็นที่ปรึกษาเบอร์บัลเดินเข้ามาในพระราชวังพร้อมกับรายงาน
ข่าวคราวของพระชนกของกษัตริย์ พระองค์ทรงปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบมหาดเล็กคนโปรดอีก
ครั้งหนึ่ง และทรงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับบิดาของพระองค์ ที่ปรึกษาฯ ทูลรายงานว่า พระชนกของ
พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญอย่างเหลือล้นในสวรรค์ เว้นแต่อย่างเดียวคือ บนสวรรค์ไม่มีช่างตัดผมเลย
และนั่นคือสาเหตุที่ตัวเขาเองจึงมีผมและเครายาวรุงรังดังที่เห็นกันอยู่นี้ จากนั้น เขาก็กราบทูลพระองค์ว่า
พระชนกทรงขอให้พระองค์ทรงส่งช่างตัดผมฝีมือดีขึ้นไปให้ด้วย

โดยไม่รอช้า กษัตริย์อัคบาร์ทรงมีรับสั่งทันที พระองค์ทรงเรียกช่างตัดผมเข้าพิธี โดยมีนักพรตขมังเวทย์
ร่ายมนต์ส่งเขาสู่สวรรค์ และดังนั้นช่างตัดผมจึงติดกับดักของตัวเองในกองไฟ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใด
กล้าคิดร้ายต่อที่ปรึกษาเบอร์บัลอีกต่อไป

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.ย. 14, 2022 8:30 pm

(เรื่องสั้น)
"จำนวนนกกาในอาณาจักร"
ถอดความจาก https://www.moralstories.org/
เรื่อง “Crows in the Kingdom” โดย กอบกิจ ครุวรรณ

เช้าวันหนึ่ง กษัตริย์อัคบาร์และที่ปรึกษาเบอร์บัลกำลังเดินอยู่ในอุทยานข้างวังหลวง
เนื่องจากวันนั้นท้องฟ้าปลอดโปร่งจึงมีนกกาจำนวนมากพากันบินไปมาในบริเวณสระน้ำ
หลังจากเพลิดเพลินกับการเฝ้าดูฝูงกาโผบินไปมาได้ไม่นาน กษัตริย์อัคบาร์ก็เกิดนึกอยาก
จะทราบถึงจำนวนนกกาที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ พระองค์จึงทรงหันไปตรัสถาม
เรื่องนี้กับที่ปรึกษาฯ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่ปรึกษาเบอร์บัลก็ทูลตอบว่า “ในพระราชอาณาจักรนี้ มีนกกา 95,463 ตัว”
กษัตริย์อัคบาร์ทรงรู้สึกทึ่งกับคำตอบอย่างรวดเร็วของเขา พระองค์จึงตรัสแย้งขึ้นว่า
“แล้วถ้ามีมากกว่าจำนวนที่ท่านบอกเราล่ะ?” --- ที่ปรึกษาเบอร์บัลทูลตอบโดยไม่ลังเลว่า
“ถ้ามีมากกว่าคำตอบนี้ ก็แสดงว่ามีบางตัวบินมาจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน” --

พระองค์ยังคงแคลงพระทัยอยู่ และตรัสแย้งขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “แล้วถ้ามีน้อยกว่าล่ะ” ---
ที่ปรึกษาทูลตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “ก็แสดงว่ามีกาบางตัวจากอาณาจักรของเรา
ไปเที่ยวพักร้อนในต่างแดนอย่างแน่นอน”

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 15, 2022 5:14 pm

(เรื่องสั้น)
"วงจรความชั่วร้าย" ถอดความเค้าเรื่องจาก https://www.moralstories.org/
เรื่อง “Cycle of Evil”
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงปกครองบ้านเมืองอย่างโหดร้ายและกดขี่ข่มเหงประชาชน
อย่างหนักจนพวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่และคิดหาทางโค่นพระองค์ลงจากบัลลังก์

อย่างไรก็ตาม อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทรงสร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนด้วยการประกาศว่า
พระองค์ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่า นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป พระองค์จะทรงดำเนินชีวิตที่เหลือด้วย
การขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพลเมืองทุกคนโดยถ้วนหน้า พระองค์ทรงสัญญาว่า
“จะไม่มีความโหดร้ายและความอยุติธรรมอีกต่อไป”

ไม่นานนับแต่นั้นมา ก็เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนว่ากษัตริย์ของพวกเขาทรงปฏิบัติตามคำสัญญา
และราษฎรก็ได้ถวายพระนามพระองค์ขึ้นใหม่ว่า 'พระราชาผู้อ่อนโยน' หลายเดือนผ่านไป
มหาดเล็กของพระองค์คนหนึ่งรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าและทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรง
เปลี่ยนชนิดกลับตาลปัตรนี้

กษัตริย์ตรัสตอบว่า “วันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังควบเข้าไปในป่า เราเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังวิ่งหนี
สุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ สุนัขจิ้งจอกพยายามวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในโพรงของมัน แต่หนีไม่ทันและถูก
สุนัขล่าเนื้อกัดเข้าที่ขาข้างหนึ่งจนกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกพิการไปตลอดชีวิต”

“วันรุ่งขึ้น เราขี่ม้าเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากป่าที่เราขี่ม้าเข้าไปในวันก่อน เราเห็นสุนัขล่าเนื้อ
ตัวเดิมที่กัดสุนัขจิ้งจอกกำลังเห่าใส่ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างม้าของเขา ชายคนนั้นก้มตัวลง หยิบหิน
ก้อนใหญ่ขึ้นมาขว้างใส่สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นอย่างแรงจนมันขาหัก และแทบจะทันทีที่ชายคนนั้นขว้าง
ก้อนหินใส่สุนัขล่าเนื้อตัวนั้น เขาไม่ได้ตระหนักว่า ตนกำลังยืนอยู่ข้างม้าของเขาที่เกิดตกใจเพราะมือ
ที่เงื้อขว้างก้อนหินไปชนท้องม้าอย่างแรงจนม้าตกใจสะดุ้งและสบัดขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่หัวเข่าของเขา
แตกและกลายเป็นคนทุพพลภาพไปตลอดชีวิต.”

“ส่วนม้าที่ตื่นตกใจก็ไปไหนไม่รอดเช่นกัน เพราะอารามที่ตกใจ มันพุ่งตัวอย่างแรงไปข้างหน้าและ
อึดใจต่อมา ขาข้างหนึ่งของมันก็ตกลงไปในช่องหินแคบ ๆ และกลายเป็นม้าพิการไปนับแต่นั้น
จากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อหน้าต่อตาเรา ทำให้เราเริ่มคิดไตร่ตรองดูและตระหนักถึง
เหตุร้ายเหล่านี้ว่า : 'ความชั่วร้ายเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายเป็นลูกโซ่ ฉะนั้นหากตัวเราเป็นต้นเหตุ
ของความชั่วร้าย ก็จะเกิดความชั่วร้ายไปไม่มีที่สิ้นสุด และท้ายที่สุด ตัวเราเองก็จะถูกปีศาจตามมา
คิดบัญชีในฐานที่เป็นต้นเหตุอย่างแน่นอน เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองนับแต่นั้นมา”

***************************
จบบรบูรณ์
ตอบกลับโพส