เรื่องเล่า เสริมศรัทธา ( ชุดที่ 3 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 23, 2022 6:22 pm

( 1 )

กลางดึกคืนหนึ่ง ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีมานูเอล ขับรถตระเวนหาอะไรรองท้อง เขาสังเกต
เห็นผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งกำลังขับรถมุ่งหน้าไปฟลอริด้าคนเดียว เธอขับแกว่งไปมาตลอด บางทีก็
เกือบออกนอกเลน และครั้งหนึ่งเกือบเฉี่ยวรถบรรทุก คนขับบีบแตรลั่น จนเธอต้องหักหลบเบี่ยง
ไปอีกเลน...
.
อีมานูเอลตัดสินใจเรียกจอดข้างทาง หญิงสูงวัยบอกว่า เธอมาจากซาน อันโตนิโอ และกำลัง
พยายามไปให้ถึงเพ็นซาโคลา เธอยืนยันว่าสบายดี ไม่เป็นอะไร... อีมานูเอลถามว่า แล้วทาน
อะไรบ้างหรือยัง ครั้งสุดท้ายที่จอดทานเมื่อไหร่ เธอบอกว่าก็ประมาณเที่ยง - - นั่นหมายถึงเธอ
ไม่ได้ทานอะไรเลยจนค่ำ อีมานูเอลจึงจัดการพาเธอไปร้านอาหาร โดยเขานั่งรอในรถข้างนอก
.
เมื่อทานเสร็จ เธอพยายามจะขอจ่ายเงินคืนให้ แต่อีมานูเอลปฏิเสธ บอกว่ารับไม่ได้ เพราะมัน
เป็นส่วนหนึ่งของงานในหน้าที่ ที่จะต้องจะต้องปกป้องดูแลประชาชนไม่ให้เกิดอันตราย เธอจึง
ถามว่า แล้วจะรับกอดได้ไหม อีมานูเอลยิ้มบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ยินดีรับครับ
.
อีมานูเอลบอกความในใจว่า เขาภูมิใจและรักงานที่ทำ แม้จะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจเล็ก ๆ
ก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้…
. . . . .
.
บุรุษไปรษณีย์สตีเฟ่น ทำหน้าที่ส่งจดหมายมานานกว่า 30 ปี เขาจึงมีความคุ้นเคยกับสภาพ
แวดล้อมเป็นอย่างดี และสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ค่อนข้างไว...
.
ครั้งหนึ่ง, สตีเฟ่นเห็นเด็กชายวัยสองขวบกำลังเดินอยู่ข้างทาง เขาเคยเห็นหนูน้อยคนนี้มาก่อน
เลยถามว่าคุณแม่อยู่ไหน เขามีท่าทีตื่นกลัว ชี้ไปที่บ้านของเขา...
.
เมื่อสตีเฟ่นไปที่บ้าน พบคุณแม่ล้มอยู่ข้างรถเข็นเด็ก ไม่ตอบสนองและหมดสติ เขาจึงโทรสายด่วน
ฉุกเฉิน เรียกเจ้าหน้าที่มารับตัวเธอส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่า หากไม่ใช่เพราะสตีเฟ่นไปพบ
และแจ้งเข้ามา อาจช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ทัน...
.
สตีเฟ่นได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ ทางสำนักงานไปรษณีย์มอบรางวัลให้เขา แต่เจ้าตัวเองกลับ
ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง เขากล่าวว่า มันเป็นแค่วันทำงานวันหนึ่ง ที่เขาไปอยู่ถูกที่
ถูกเวลา แล้วใครคนหนึ่งมีปัญหา เขาก็แค่ช่วยเหลือเท่านั้นเอง...
.
ส่วนคุณแม่ของเด็กน้อย เล่าว่า สตีเฟ่นเป็นคนที่ดีงามคนหนึ่ง เราไม่เคยมองว่าเขาเป็นบุรุษ
ไปรษณีย์ แต่เป็นคนคุ้นเคยที่พบเจอบ่อย ๆ จนเหมือนเพื่อนบ้านคนหนึ่ง แม้ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้...
. . . . .
.
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจอีมานูเอลไม่สนใจ-ไม่สังเกตการขับรถของหญิงสูงวัยคนนั้น ด้วยคิดว่า
หน้าที่ฉันคือจับผู้ร้ายเท่านั้น ยังไม่เกิดเหตุ ฉันก็ไม่ต้องไปวุ่นวายให้เสียเวลา... หญิงสูงวัยอาจ
ไปไม่ถึงจุดหมาย!
.
หรือ หากบุรุษไปรษณีย์สตีเฟนไม่สนใจ-ไม่สังเกตเด็กน้อยที่เดินคนเดียว ด้วยคิดว่าหน้าที่ฉัน
คือส่งจดหมาย ถ้ามัวไปตามเด็กพากลับบ้าน ฉันอาจทำงานไม่เสร็จทันเวลา... เด็กน้อยที่
น่าสงสารอาจสูญเสียคุณแม่ไป!
.
ไม่ว่าจะเป็นตำรวจเล็ก ๆ คนหนึ่ง, บุรุษไปรษณีย์ธรรมดา หรือใครก็ตาม... หากเราไม่เพิก
เฉยต่อกัน สนใจผู้คนรอบตัว ดูแลกันและกัน โลกนี้ก็จะปลอดภัย มีหลายเรื่องเศร้าที่ไม่มี
โอกาสเกิดขึ้น เพราะป้องกันเสียก่อนด้วยมือเล็ก ๆ ของเรา...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้โลกและเราดูแลกันและกัน ]
.
ภาพแรก/ที่มา : Emanuel Dotch
ภาพสอง/ที่มา : CBS New York

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:02 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 23, 2022 6:39 pm

( 2 )

บ่ายวันหนึ่ง ขณะรีเบ็คกากำลังขับรถ น้ำตาลในเลือดของเธอลดลงถึงระดับอันตราย โชคดี
ที่มีร้านเบอร์เกอร์คิงอยู่ข้างหน้า!
.
เธอรีบขับรถเข้าไปตรงช่องบริการไดรฟ์ทรู บอกพนักงานผ่านทางสปีคเกอร์ว่า - ฉันเป็นเบาหวาน
และต้องการอาหาร! น้ำตาลในเลือดต่ำทำให้ยากที่จะคิดหรือทำอะไรได้เหมือนตอนปกติ...
เธอพยายามขับไปที่ช่องหน้าต่างแรกเพื่อจ่ายเงิน แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าพนักงานคนหนึ่ง
ชื่อทีน่า ฮาร์ดี รีบวิ่งออกจากร้าน มาที่หน้ารถเธอ แล้วยื่นไอศกรีมถ้วยเล็ก ๆ ให้
.
ทีน่าเล่าให้รีเบ็คกาฟังในภายหลังว่า สามีของเธอก็เป็นโรคเบาหวานเหมือนกัน เธอจึงรู้ดีว่ารีเบ็คก้า
กำลังต้องการความช่วยเหลือด่วน - - หลังจากจ่ายเงินค่าอาหารที่เธอสั่งตรงช่องหน้าต่างแรก เธอก็
ขับตรงไปที่หน้าต่างของทีน่าเพื่อรับอาหาร ทีน่าบอกรีเบ็คก้าให้เธอจอดตรงลานใกล้ ๆ บริเวณนั้น
เพื่อเธอจะได้จับตาดูจนกว่ารีเบ็คก้าจะรู้สึกดีขึ้น...
.
หลังจากนั่งทานอาหารในรถเสร็จ รีเบ็คก้ารอจังหวะที่ทีน่าว่าง เพื่อขับเข้าไปขอบคุณเธออีกครั้ง และขอ
ถ่ายรูปเธอไว้เพื่อกระจายความมีน้ำใจดีของเธอออกไปให้โลกรู้ และไม่ลืมที่จะรายงานให้หัวหน้า
ของเธอทราบด้วย...
. . . . .
.
บนเที่ยวบินจากอิสราเอลมุ่งหน้าสู่ยุโรป หลังจากที่เลื่อนเวลาออก-ล่าช้าถึง 3 ชั่วโมง!
ผู้โดยสารทุกคนต่างอ่อนล้า...
.
ระหว่างบิน เด็กชายคนหนึ่งซึ่งมีภาวะออทิสซึมเริ่มมีอาการหงุดหงิดควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่งเสียง
ร้องดังไปทั้งเครื่องบิน แม้แต่ผู้ปกครองก็ไม่สามารถทำให้เขาสงบลง บรรยากาศตึงเครียดชวน
อึดอัด ผู้โดยสารต่างนั่งนิ่งเงียบ...
.
หลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที รัชเชล โกรเนอร์ได้ตัดสินใจลุกเดินตรงไปที่นั่งของเด็กชาย
ขออนุญาตผู้ปกครองของเขา - - ก่อนยื่นมือออกไปหาเด็กน้อย เขาเงยหน้ามองแล้วจับมือเธอ
รัชเชลพาเด็กชายเดินไปนั่งตรงส่วนฉากกั้นระหว่างโซน เธอโอบกอดเขาโยกตัวเล่นกับเขา
ไม่กี่นาทีต่อมา เด็กน้อยก็สงบลง ดูมีความสุขมากขึ้น ท่ามกลางสายตาของผู้โดยสารและ
ผู้ปกครอง ที่มองมาด้วยความทึ่งชื่นชม พวกเขาไม่รู้ว่า รัชเชลเคยทำงานฝึกอบรมผู้พิการมาบ้าง
เธอจึงมีความเข้าใจ, อดทน และอ่อนโยนมากกว่าคนทั่วไป - -
. . . . .
.
ในโลกนี้ มีนางฟ้าอยู่รอบตัวเราเสมอ บางครั้ง เราจำเป็นต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
อย่างกรณีรีเบ็คก้า เมื่อรู้ว่าเธอเป็นโรคเบาหวาน นางฟ้าทีน่าก็ปรากฏตัวทันที...
.
หรือบางครา อาจไม่มีนางฟ้าอยู่รอบตัว ถ้าเป็นไปได้ เราก็ต้องลุกขึ้นมาสวมปีกเป็นนางฟ้าเอง
อย่างรัชเชลที่มิเพียงทำให้หนูน้อยหยุดร้องไห้ แต่ยังทำให้ผู้โดยสารทั้งลำของเที่ยวบินนั้นมี
ความสงบสุขตลอดการเดินทาง...
.
เมื่อมีคนถามเธอทำได้อย่างไร รัชเชลตอบสั้น ๆ ว่า - - เพียงแค่ยื่นมือออกไปด้วยความรักและ
การยอมรับ - - สิ่งมหัศจรรย์ก็จะตามมาเอง!
.
- - การเป็นนางฟ้าให้ใครสักคน ไม่ใช่เรื่องยากเลย...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรและประทานปีกนางฟ้าให้เราทุกคน ]

.
ภาพแรก/ที่มา : Rebecca Boening
ภาพสอง/ที่มา : Bentzion Groner

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ย. 23, 2022 7:13 pm

( 3 )

#เรื่องราวของหนูน้อย

วันหนึ่งเด็กหญิงตัวน้อยบอกแม่ว่าเธอเห็นภาพใบหน้าของผู้คนมากมายผุดขึ้นมาในหัว
เธอวาดภาพหน้าเหล่านั้นให้แม่ดู จากจุดเริ่มต้นวันนั้น............ วันนี้เธอคือสาวน้อยที่ทั่วโลก
ยกให้เป็น“ศิลปินเด็กอัจฉริยะ”

อะคิอาน่า แครมแมริค เกิดวันที่ 9 กรกฏาคม 1994 ที่รัฐอิลลินอยล์ สหรัฐฯอเมริกาขณะอายุได้
3 ขวบครึ่งเล่าให้แม่ฟังว่าได้รับนิมิตจากพระเยซูเจ้าเป็นภาพและเสียง จึงถ่ายทอดออกมาเป็น
ภาพต่างๆ ตามที่เห็น เธอบอกว่า “พระเยซูเจ้าบอกให้เธอวาดภาพ”

ประมาณ 4 ขวบ อะคิบาน่าเริ่มวาดภาพลายเส้นหน้าคนและสถานที่ที่เห็นในความคิอย่างจริงจัง
ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มีทีวี วิทยุ หนังสือ พ่อแม่ไม่เคยพาไปโบสถ์หรือสอนเกี่ยวกับศาสนา สวดมนต์
หรือพูดถึงพระเจ้าให้เธอฟัง เพราะแม่เป็นผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาใด จู่ๆ เธอก็เห็นภาพหน้าคนเหล่านั้น
ขึ้นมา และเล่าให้แม่ฟัง ซึ่งทำให้แม่ประหลาดใจมาก

กว่ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเธอพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นด้วยการวาดใบหน้าเหล่านั้นออกมานับร้อยภาพ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน้าคน นั้นทำให้พ่อแม่ค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ในการวาดภาพและเริ่มสนับสนุน
เธออย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

จากภาพวาดลายเส้นดินสอ มาเป็นสีพาสเทล เมื่ออายุ 6 ขวบ พัฒนามาจนเป็นสีอะคริลิกและเริ่มเขียน
บทกวีควบคู่ไปด้วย และเมื่ออายุ 9 ขวบอะคิอาน่าก็ดังเป็นพลุแตกเมื่อไปออกรายการทีวียอดฮิตของ
อเมริกา โอปรา วินฟรีย์ ผู้ชมและโอปราตะลึงในความสามารถเกินเด็กของเธออย่างมาก จากนั้น
สื่อมากมายก็เขียนถึง และขอสัมภาษณ์เธอ โดยยกย่องให้เป็น “ศิลปินเด็กอัจฉริยะ”

ครั้งหนึ่งอะคิอาน่า ให้สัมภาษณ์วาภาพวาดที่เธอชอบที่สุดหนึ่งคือภาพ Prince of peace ซึ่งวาดด้วย
สีน้ำมันบนผ้าใบขนาดค่อนข้างใหญ่ มีคนถามเธอว่าทำได้ยังไง เธอตอบว่า “ไม่รู้.....หนูแค่วาดมันออกมาค่ะ”

อะคิอาน่าไม่ได้เข้าเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่เรียนหนังสือที่บ้าน โดยตื่นตั้งแต่ตี 4 สัปดาห์ละ 6 วัน
วาดรูปวันล่ะ 5 ช.ม บางครั้งนานถึง 12-14 ช.ม นอกจากนี้ยังเขียนบทกวีเล่นเปียโน แต่งเพลงของเธอเอง
และพูดได้ 4 ภาษา อะคิอาน่าอยากให้คนค้นพบความหวังจากภาพเขียนของเธอ และนำไปสู่ความศรัทธา
ในพระเจ้า เงินที่ได้จากการขายภาพราคาสูงลิ่วและของที่ละลึกบางส่วนนำไปช่วยผู้ด้อยโอกาสในประเทศต่างๆ

มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาขอบคุณเธอ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต อะคิอาน่าบอกว่ามีความสุขมาก
ที่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก

โดยที่ไม่มีครูสอนศิลปะ อะคิอาน่าเรียนรู้การวาดภาพด้วยตัวเองล้วนๆ เธอสอนตัวเองด้วยความอดทน
มึวินัย เรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งเธอบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อนาคตเธออยากจะเป็นครูสอนศิลปะสอน
ให้เด็กไม่กลัวความผิดพลาด ให้เรียนรู้จากมันและทำสิ่งต่างๆ จากหัวใจ ......ไม่ใช่แค่สมอง

:s005:
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 9:13 pm

( 4 )

คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธ์ุ
📌
ความรักหรือความยุติธรรม Love or Justice
พนักงานเสิร์ฟในภัตตาคาร Golden Coral กำลังนำเอาน้ำสลัดพิเศษของภัตตาคารโถใหญ่
ผ่านประตูสวิงเพื่อไปเติมให้กับลูกค้า ประตูบานที่เปิดตีกลับมาดันให้เธอเสียหลัก น้ำสลัดทั้งโถ
จึงหกและเทใส่ชายคนหนึ่งตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงเท้า เสื้อผ้าของเขาและกางเกงจึงเต็มไปด้วยน้ำสลัด
เขาโกรธมากและเริ่มตะโกนด่าว่าหญิงพนักงานคนนั้น "งี่เง่าที่สุด ไม่นึกเลยว่าเธอจะงี่เง่าได้ถึง
ขนาดนี้ รู้มั้ยนี่เป็นชุดใหม่ของฉัน ราคา 300 เหรียญ" ภรรยาของเขาก็เริ่มสำทับว่า "ใช่แล้ว เธอทำ
ให้ชุดเสื้อผ้าของเขาราคา 300 เหรียญพินาศหมดและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใส่ชุดนี้ด้วย" ชายคนนั้น
ตะโกนว่า "ฉันต้องการพบผู้จัดการร้านเดี๋ยวนี้" พนักงานเสิร์ฟตัวสั่นรีบวิ่งไปเรียกผู้จัดการมา ลองนึก
ภาพดูนะครับ พอมาถึง ผู้จัดการถามว่า "มีปัญหาอะไรหรือครับ" ชายนั้นตอบว่า "มีปัญหาอะไร? คุณยัง
มาถามผมว่ามีปัญหาอะไร ลูกน้องคุณทำลายเสื้อชุดใหม่ราคา 300 เหรียญของผม ผมต้องการเสื้อผ้า
ชุดใหม่" ผู้จัดการพูดว่า "เรายินดีจะรับผิดชอบในการซักเสื้อผ้าของคุณให้สะอาดครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้
และเราก็เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ" “ไม่ครับ ไม่ ผมไม่ต้องการเรื่องการซักล้าง ผมต้องการ
ชุดใหม่และผมต้องการเช็คราคา 300 เหรียญเดี๋ยวนี้เลย" เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมามากขึ้น
ผู้จัดการจึงจ่ายเช็คให้เขาไป 300 เหรียญ
สิ่งที่เรื่องนี้ยังไม่ได้เล่าก็คือ สามีภรรยาคู่นี้เพิ่งออกจากวัดวันอาทิตย์ เขาสวมชุดใหม่มาเพื่อมาวัด
บทเทศน์วันนั้นคือเรื่อง ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน”
วันนั้นเขาได้รับความยุติธรรม แต่ไม่มีวี่แววของความรักเพื่อนมนุษย์อยู่เลย เป็นเรื่องจริงที่ว่า หลายคน
มาวัดโดยที่ไม่ได้อะไรกลับติดตัวไปเลย บางคนมาวัดและออกจากวัดไปโดยที่ยังเกลียดชังพี่น้อง
คดโกงพี่น้อง และยังสาปแช่งใครต่อใครอยู่เลย ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องไปวัดแล้วนะครับ แต่หมาย
ความว่า ไปวัดต้องขอพระช่วยเราเสมอต่างหาก “แม้ผู้ชอบธรรมก็เกือบจะไม่ปลอดภัย” หลายครั้งเรา
ก็เลือกยากมากระหว่าง ความรักกับความยุติธรรม สามารถให้ทั้งสองอย่างได้
ดีที่สุดแล้ว Giving and Forgiving.
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 03, 2022 10:22 pm

( 5 )

วันนี้ (2 ธันวาคม) เมื่อปี 2012 นักวิ่งชาวเคนยา อาเบล มูไต กำลังเข้าใกล้เส้นชัยที่อยู่ห่างออกไป
เพียงไม่กี่ฟุต แต่จู่ ๆ กลับรู้สึกสับสนกับป้าย เขาคิดว่าถึงเส้นชัยแล้ว หรือเข้าใจว่าจบการแข่งขันแล้ว
เลยหยุดวิ่งเสียเฉย ๆ ...
.
อีวาน เฟอร์นันเดซ นักวิ่งชาวสเปน ที่วิ่งตามหลังมา รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตะโกนบอกให้วิ่งต่อไป
อาเบลเป็นนักวิ่งเคนยา ไม่รู้ภาษาสเปนจึงไม่เข้าใจสิ่งที่อีวานกำลังบอก เมื่อวิ่งเข้ามาใกล้ตัวอาเบล
อีวานจึงพยายามผลักอาเบลให้วิ่งต่อ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีโอกาสวิ่งแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปเลย ซึ่งชัยชนะ
ครั้งนี้มีความสำคัญต่อเขา แต่อีวานกลับไม่ทำ - - เขาดันให้อาเบลวิ่งเข้าเส้นชัยไปในที่สุด!
.
เมื่อนักข่าวถามว่า ทำไมทำเช่นนั้น? อีวานตอบว่า “ความฝันของผม คือสักวันหนึ่ง เราจะมีชีวิตในสังคม
แบบผลักดันและช่วยเหลือกันเพื่อชัยชนะ...”

“แต่ทำไมคุณถึงปล่อยให้นักวิ่งเคนยาชนะ?” ดูเหมือนนักข่าวจะไม่เข้าใจ ยังยืนกรานที่จะถามเช่นเดิม

“ผมไม่ได้ปล่อยให้เขาชนะ เขาต้องชนะ เกมนี้เป็นของเขาอยู่แล้ว” อีวานก็ตอบหนักแน่นไม่แพ้กัน

“แต่คุณก็มีสิทธิ์ชนะ” นักข่าวย้ำถาม
.
อีวานมองไปที่เขาและตอบว่า "แต่ชัยชนะของผมจะมีประโยชน์อะไร ศักดิ์ศรีของเหรียญนั้นอยู่ที่ไหน?”
. . . . .
.
ซีโมน เคียร์ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติของเดนมาร์ก และเอซี มิลาน ถ้าเทียบกับดาวเด่น เขาก็ไม่ถึงขนาดนั้น...
แต่เขาก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ในวิถีของตัวเอง
.
ครั้งหนึ่ง ซีโมนเคยช่วยเพื่อนร่วมทีมที่ชื่อคริส เอริคเซ่น ซึ่งหมดสติล้มลงกลางสนาม ด้วยการช่วย
ปฐมพยาบาลทันทีในวินาทีแรก ๆ ที่สำคัญต่อชีวิต จากนั้น เขาบอกให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ช่วยกัน
ยืนเป็น ‘กำบัง’ ล้อมเพื่อนที่กำลังหมดสติ ระหว่างที่แพทย์สนามลงมาตรวจดูอาการ เพื่อปกป้องเพื่อน
จากแสงไฟ, กล้องนักข่าว และภาพที่อาจไม่น่าดู...
.
เมื่อคุณหมอพาเพื่อนที่ป่วยออกจากสนามแล้ว เขายังตรงไปที่อัฒจันทร์ เพื่อให้กำลังใจกับภรรยา
ของคริส (ดังที่เห็นในภาพประกอบ) ซึ่งกำลังตกใจเมื่อเห็นสามี (และเป็นพ่อของลูกน้อยสองคนของเธอ)
กำลังต่อสู้กับนาทีสำคัญของชีวิต!
. . . . .
.
ขณะที่โลกกำลังหลงทางว่าชัยชนะคือความเป็นที่หนึ่ง พากันลุ่มหลงในเกียรติยศเงินตรา จนหลงลืม
คุณค่าศักดิ์ศรีสำคัญของมนุษย์ที่จะต้องดูแลช่วยเหลือกัน - - โชคดีที่เรายังมี อีวาน เฟอร์นันเดซ และ
ซีโมน เคียร์ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่านักกีฬาที่แท้จริงเป็นอย่างไร... ยังมีสิ่งสำคัญมากกว่าการห้ำหั่นกัน
เพื่อเป็นที่หนึ่ง!
.
แม้อีวานจะไม่ใช่นักวิ่งฝีเท้าดี ระดับเหรียญทอง หรือซีโมนจะไม่ใช่ดาวเด่น นักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุด
แต่พวกเขาก็เหมาะสมที่จะเป็นแบบอย่างสำหรับเด็ก ๆ ของเราให้เติบโตอย่างสมบูรณ์
.
อย่าสอนให้พวกเขามุ่งมั่นเพียงเพื่อที่จะเป็นเมสซี่หรือโรนัลโด้คนใหม่ แต่สร้างเขาให้เป็นผู้ชายหัวใจ
อ่อนโยนอย่างอีวานและซีโมน - - เพื่อว่าสักวันหนึ่ง - - บนลู่วิ่งชีวิตหรือสนามการแข่งขันใด
เราทุกคนจะชนะไปด้วยกัน!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เราได้รับเหรียญทองแห่งความเป็นมนุษย์ ]

..
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 05, 2022 9:33 pm

(6 )

ถึงพ่อแม่ทุกคน

มีเด็กชายฉลาดอัจฉริยะที่ได้100%ในด้านวิทยาศาสตร์ได้รับคัดเลือกเรียนใน IIT Madras
และได้คะแนนดีเยี่ยมในด้านนี้มาตลอด เรียนต่อและจบ MBA ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ได้งานที่มีรายได้สูงมากในอเมริกาและตั้งรกรากที่นี่

แต่งานกับสาวสวยชาวทมิฬ
ซื้อบ้านหลังใหญ่ และรถหรูราคาแพง

มีทุกอย่างที่ทำให้ประสบความสำเร็จ แต่2-3ปีหลังจากนั้น เขาฆ่าตัวตาย หลังจากฆ่าลูกและภรรยา

*** เกิดอะไรขึ้น มีอะไรผิดพลาดในชีวิตเขาหรือ?****

สถาบันจิตวิทยาของแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Clinical Psychology
)ได้ทำการศึกษากรณีนี้ และ พบว่า อะไรคือความผิดพลาด

นักวิจัยได้คุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของผู้ชายคนนี้ พบว่า เขาตกงานเนื่องจาก
วิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกา ต้องอยู่เฉยๆโดยไม่มีงานทำเป็นเวลานาน

ถึงแม้จะลดค่าตัว(เงินเดือน)ลง เขาก็ยังไม่ได้งาน

การผ่อนบ้านจึงยุติลง เขาสูญเสียบ้านไป

ครอบครัวเขาอยู่รอดมาได้อีก2 -3เดือนด้วยเงินจำนวนน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาและภรรยาร่วมกันตัดสินใจฆ่าตัวตาย

เขาเริ่มด้วยการยิงภรรยาและลูก และโดยยิงตัวเองเป็นคนสุดท้าย

ผลงานวิจัยสรุปว่า เขาถูกโปรแกรมเพื่อ "ความสำเร็จ" แต่ไม่ถูกโปรแกรมให้เรียนรู้ที่จะ
"ฝึกการรับมือกับความล้มเหลว"

ขอกลับมาสู่คำถามที่แท้จริงว่า

*อะไรคือนิสัยของผู้ประสบความสำเร็จ*

อย่างแรก ฉันขอบอกคุณว่า
ถ้าคุณประสบความสำเร็จทุกอย่าง คุณก็มีโอกาสที่จะสูญเสียทุกอย่างเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่า
เมื่อไรวิกฤตเศรษฐกิจของโลกจะเกิดขึ้นอีก

นิสัยที่ดีที่สุดของผู้ประสบความสำเร็จคือ การฝึกที่จะรับมือกับความล้มเหลว

ฉันอยากวิงวอนพ่อแม่ทุกคนได้โปรดอย่าโปรแกรมลูกคุณเพียงเพื่อ "ความสำเร็จ" แต่ "สอนเขาถึง
วิธีที่จะรับมือกับความล้มเหลว" และ ช่วยสอนเขาเรื่องบทเรียนที่เหมาะสมเกี่ยวกับชีวิตด้วย

ระดับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่สูงจะช่วยเขาได้ในเวทีการแข่งขันขันการสอบ แต่ความรู้เรื่อง
ชีวิตจะช่วยให้เขาเผชิญกับทุกปัญหาได้

สอนเขาให้รู้ว่า " บทบาทของเงินเป็นอย่างไร" แทนการสอนให้ " ทำงานเพื่อเงิน"

ช่วยเขาให้ค้นหาแรงบันดาลใจของตัวเอง เพราะปริญญาเหล่านี้ มิได้ช่วยเขาได้ในวิกฤตโลก
ครั้งต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร

*ความสำเร็จเป็นครูที่แย่มาก ความล้มเหลวสอนเราได้มากกว่า

ขอช่วยแบ่งปันไปยังพ่อแม่ด้วยนะคะ
To all parents🙏

There was a very brilliant boy, he always scored 100% in Science.

Got Selected for IIT Madras and scored excellent in IIT.

Went to the University of California for MBA.
Got a high paying job in America and settled there.

Married a Beautiful Tamil Girl.

Bought a 5 room big house and luxury cars.
He had everything that make him successful but a few years ago
he committed suicide after shooting his wife and children.

*WHAT WENT WRONG?*

California Institute of Clinical Psychology Studied his case and found
*“what went wrong?”*

The researcher met the boy's friends and family and found that he lost his job due to
America’s economic crisis and he had to sit without a job for a long time.

After even reducing his previous salary amount, he didn't get any job.

Then his house installment broke and he and his family lost the home.

They survived a few months with less money and then he and his wife together
decided to commit suicide.

He first shot his wife and children and then shot himself.

The case concluded that the man was Programmed for *success* but he was not
*trained for handling failures*.

Now let's come to the actual question.

*What are the habits of highly successful people?*

First of all, I want to tell you that if you have achieved everything, there is a chance
to lose everything, nobody knows when the next economic crisis will hit the world.

*The best success habit is getting trained for handling failures*.

I want to request every parent, please do not only program your child to be *successful*
but *teach them how to handle failures* and also teach them proper lessons about life.

Learning high-level science and maths will help them to clear competitive exams
but a knowledge about life will help them to face every problem.

Teach them about how *money works* instead of teaching them to *work for money*.

Help them in finding their passion because these degrees will not help them in the next
economic crisis and we don’t know when the next crisis will hit the world.

*"Success is a lousy teacher. Failure teaches you more."*

*_Please share with other parents._*
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2022 11:16 pm

( 7 )

เมื่อพบเห็นปัญหาของผู้อื่น เราทุกคนล้วนมีจิตใจดี-เห็นอกเห็นใจ อยากช่วยเหลือ แต่มักจะติด
โน่นติดนี่ ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ถอนหายใจ ส่ายหน้า เดินผ่านไป หรืออย่างมาก
ตบหลังตบไหล่ บอกว่า สู้ ๆ เป็นกำลังใจให้นะ - - ทว่า ‘กำลังใจ’จากปากนั้นให้ง่ายกว่า
‘การกระทำ’จากใจ...
.
แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กชายวัย 11 ขวบคนนี้ - คาร์เทียร์ แคร์รีย์ เมื่อเขาเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วง
ระหว่างเกิดโรคระบาดโควิดเมื่อสองปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้นิ่งเฉย ทั้งที่ไม่ใช่ธุระของเด็กอย่างเขา
แต่เขาก็คิดหนักและลงมือทำทันที!
.
คาร์เทียร์สังเกตเห็นว่าผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปในห้างร้านค้าต่าง ๆ ขาดแคลนหนัก เขานึกถึงครอบครัว
ที่เพิ่งมีลูกน้อยว่าพวกเขาจะทำอย่างไร คาร์เทียร์บอกกับตัวเอง เขาต้องหาทางช่วยเหลือ - -
.
ในช่วงฤดูร้อน คาร์เทียร์เริ่มกิจการแผงขายน้ำมะนาว และหาเงินได้มากถึง 4,500 เหรียญ
(ประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นกว่าบาท) ในเดือนแรก! แผงของเขายังใช้เป็นที่รับบริจาคผ้าอ้อมเด็ก
สำเร็จรูปด้วย
.
ในวันแรกที่เขาต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียน (หลังจากเรียนทางออนไลน์หลายเดือน) คาร์เทียร์ยังคง
ทำงานอย่างหนักเพื่อขนผ้าอ้อมเด็กบริจาคกว่า 22,000 ชิ้นขึ้นรถบรรทุก!
.
คุณแม่คนหนึ่งที่ได้รับผ้าอ้อมเด็กบริจาค กอดเด็กชายคาร์เทียร์ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจในสิ่ง
ที่เขาทำ “รู้ไหม หนูได้ช่วยคนมากมาย หนูเป็นเด็กน้อยที่น่าทึ่งมาก และมีอนาคตไกล...”
.
คาร์เทียร์บอกว่าเขาเองก็เกือบจะร้องไห้ไปด้วย และจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่น่าประทับใจนี้ - -
เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เขามุ่งมั่นที่จะทำต่อไป...
.
แม้ว่าตอนนี้คาร์เทียร์กลับไปเรียนตามปกติแล้ว แต่เขายืนยันว่าจะยังคงปฏิบัติภารกิจให้ต่อเนื่อง
คาร์เทียร์และแม่ของเขาจึงได้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรชื่อ “Kids 4 Change” เพื่อช่วยให้
เด็กคนอื่นๆ มีส่วนร่วมริเริ่มในโครงการนี้ด้วย...
.
“คนอื่น ๆ ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้เหมือนกับที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้” เขากล่าว “..
.พวกเขาสามารถช่วยชีวิตและเป็นฮีโร่ได้เช่นกัน ไม่มีใครเด็กเกินกว่าที่จะลงมือทำครับ”
. . . . .
.
หลายครั้ง ผู้ใหญ่อย่างเรา เมื่อคิดจะลงมือทำสิ่งใด เรามักจะเริ่มต้นด้วยการยกข้ออ้าง ๆ ต่าง ๆ
มาวางเรียงเป็นก้อนหินเพื่อก่อกำแพงขังตัวเราเองไว้ ไม่ให้ก้าวต่อไป ขณะที่เด็ก ๆ จะมองว่าก้อนหิน
แห่งอุปสรรคปปัญหานั้นเป็นเหมือนแต่ละขั้นบันไดที่ท้าทายให้เราไต่ขึ้นไปสู่ความสำเร็จ...
.
เรามักจะได้ยินคำพูดปลอบใจแบบนี้บ่อย ๆ ‘ไม่มีใครแก่เกินไปที่จะเรียนรู้หรือเริ่มต้นสิ่งใหม่ในชีวิต’
แต่ขณะเดียวกัน คาร์เทียร์ก็ได้สอนให้เรารู้จักอีกคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีใครเด็กเกินกว่าที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใด’
ยิ่งโดยเฉพาะการยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ไม่ต้องรอให้มีเสียก่อน ไม่ต้องรอให้พร้อม - -
เวลาที่พร้อมคือเมื่อเราลงมือทำทันทีนั่นเอง!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เรามีหัวใจที่พร้อมลงมือทำทุกความดี ]
.
ภาพ/ที่มา : ABC News
. . . . .
.
ขอแนะนำ

**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
***********************************
.
ร่วมสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ ของ ปะการัง
ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ ข้ามปี... และตลอดไป
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”

หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง
พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
. . . . .
.
สนใจสั่งซื้อ ทางกล่องข้อความ
ราคาเล่มละ 340 บาท (รวมค่าส่ง) + พร้อมลายเซ็น (ถ้าต้องการ)
.
โอนเงินได้ที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี ณรงค์ฤทธิ์ ยงจินดารัตน์
เลขที่บัญชี 052-420235-4
.
เมื่อโอนเงินแล้ว อย่าลืมส่งสลิปยืนยัน พร้อมชื่อที่อยู่ เบอร์โทร และจำนวนเล่มที่สั่ง
มาทางกล่องข้อความด้วยครับ (ระบุด้วยหากต้องการลายเซ็นผู้เขียน) ขอบคุณครับ
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 8:34 pm

( 8 )

บ่ายวันหนึ่งของก่อนปีใหม่ ประวิทย์ขับรถไปเที่ยวนอกเมืองกับเพื่อน
พอจอดรถที่ลานวัด ก็มีชายชราคนหนึ่งเดินถือถุงผักเข้ามาเสนอขาย

แต่ผักในมือของชายชรา เหมือนจะช้ำน้ำและดูไม่น่าซื้อเลย
ประวิทย์ตัดสินใจซื้อผักของชายชรา 3 ถุง

เมื่อชายชราได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเกรงใจว่า
"ผักกาดพวกนี้ตาเป็นคนปลูกเอง แต่ว่าช่วงก่อนฝนตกหนัก ผักถูกน้ำแช่ไว้หลายวัน
เลยดูช้ำ ไปหน่อย ต้องขออภัยพ่อหนุ่มนะ!"

หลังจากชายชราเดินจากไป เพื่อนของเขาได้เอ่ยขึ้นว่า
"ลื้อจะเอาผักกาดไปแกงจริงเหรอ?"
"บ้าเหรอ! ผักช้ำจนกินไม่ได้ นายก็เห็นอยู่!" ประวิทย์ตอบ
"แล้วลื้อซื้อทำไมวะ?" เพื่อนถามด้วยความไม่เข้าใจ
"เพราะอั้วเชื่อว่าผักช้ำน้ำแบบนี้ไม่มีใครซื้อหรอก แต่หากอั๊วไม่ซื้อ ตาแก่คงไม่มีเงิน"

เมื่อเพื่อนเขาได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งตามชายชราพร้อมตะโกนเรียกให้หยุด และขอซื้อผักกาด
จำนวน 3 ถุงที่เหลือ

ชายชรายิ้มขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า
"ตาเอาผักมาขายตั้งแต่เช้า ไม่มีใครซื้อเลย มีแต่พ่อหนุ่มและเพื่อนที่ซื้อผักของตา ขอบคุณจริง ๆ
ขอให้พ่อหนุ่มและเพื่อนจงมีความเจริญนะ"

....
ในวันที่คุณตกอับ สิ่งที่ยังพอทำให้คุณอยู่รอด อาจเป็นเพียงสิ่งด้อยค่าในสายตาใคร ๆ
คุณในขณะนั้น รอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง
แต่ในขณะที่คุณมีพละกำลัง คุณยินดีสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดกับชีวิตของคนอื่นหรือไม่?
เราต่างเป็นผู้อุปถัมภ์

.....
นุสนธิ์บุคส์
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ม.ค. 07, 2023 8:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 01, 2023 8:07 pm

( 9 )

บ่ายของวันส่งท้ายปี พนักงานทุกคนต่างเร่งเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

ณ เวลานั้น จางหย่ง CEO ของบริษัทได้ปรากฏตัวและประกาศว่า "บริษัทมีออเดอร์ด่วน
ที่ต้องลงนามเซ็นสัญญา 300 ล้านในค่ำวันนี้ เสร็จแล้วจึงให้หยุดปีใหม่ ไม่เช่นนั้น
ทุกคนก็อดรับโบนัสประจำปี"

เมื่อสิ้นเสียงของจางหย่ง จิตใจของทุกคนต่างสู้รบกับความรู้สึกของตนเอง
วันหยุด!
วันครอบครัว?
หรือโอกาสทำเงินให้กับบริษัท?
เสียงถอนหายใจของพนักงานดังขึ้นเป็นระยะ

ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์ของบ่ายก่อนวันหยุดยาว จางหย่งเร่งแท็กซี่ให้หาทางไปถึง
จุดหมายโดยเร็ว แม้โชเฟอร์จะรู้สึกโมโหแต่ก็ไม่กล้าโววาย พอถึงจุดหมาย มิเตอร์ก็ปรับ
เพิ่มราคา 275 หยวนพอดี จางหย่งโวยวายว่า"เอาเปรียบเกินไปแล้ว ถือราคาก่อนจอดเป็นเกณฑ์!"
แม้โชเฟอร์จะโกรธแค่ไหนก็ข่มใจเพราะกลัวจะโดนถ่ายคลิปประจาน

จางหย่งโยนเงินให้ 300 หยวน พร้อมกับบอกโชเฟอร์ว่า "ทอนมา 30"
จากนั้นก็รีบเปิดประตูรถแล้วเดินไปยืนบนฟูตบาท จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินชนเขาเข้าอย่างจัง
ทั้งตัวเด็กและกุหลาบในมือของเธอร่วงลงกองกับพื้น เธอรีบลุกขึ้นพร้อมกับควานหากุหลาบ

เสียงร้องตกใจของเด็กน้อย ดึงให้ผู้คนหันมามองว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น?
จางหย่งกลัวเสียหน้าเลยก้มลงไปถามเด็กน้อยว่า
"เจ็บตรงไหนไหม?"
เสียงเด็กน้อยตอบกลับด้วยความตกใจว่า
"ขอบคุณค่ะคุณลุง หนูรีบวิ่งไปขายดอกกุหลาบ จนมองไม่เป็นคุณลุง หนูขอโทษค่ะ"

จากสายตาที่ทุกคนมองมาพร้อมกับรอฟังคำตอบของจางหย่ง เขาจึงเอ่ยกับเด็กน้อยว่า
"งั้นลุงขอซื้อกุหลาบของหนูดอกหนึ่งนะจ๊ะ หนูขายดอกละเท่าไหร่?"
สายตาของเด็กน้อยรู้สึกประหลาดใจและกล่าวออกไปด้วยความสดใสว่า
"ดอกละ 10 หยวนค่ะ"

จางหย่งล้วงกระเป๋า เจอเงินทอนจากรถแท็กซี่เมื่อครู่ เนื่องจากผู้คนยังมองพวกเขาอยู่
จางหย่งจึงยื่นทั้งหมดให้เด็กน้อย พร้อมกับพูดว่า
"ลุงซื้อหนึ่งดอก ให้หนู 30 เหรียญนะจ๊ะ"
จากนั้นก็ยื่นเงินให้เด็กน้อย

เธอเงยหน้ามองเขานิ่ง จากนั้นก็กอดขาเขาไว้แน่น พลางพูดขึ้นว่า
"ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ คุณลุงเป็นคนดีจริง ๆ ค่ะ"

จากนั้น เธอก็วิ่งเข้าไปในซอย พลางจูงมือเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเธอออกมา
(กะจากสายตาน่าจะประมาณ 5 ขวบ) "ไปน้องไป เรามีเงินพอค่าก๋วยเตี๋ยวแล้ว!"

เด็กน้อยสองคนที่เดินจูงมือกันไป ทำให้สายตาของเขาพร่าลงในทันที ภาพที่เห็นตรงหน้า
ทำให้เขาตัดสินใจวิ่งไปหาเด็กน้อยทั้งสอง พลางตะโกนเรียกให้หยุด
"ลุงให้หนู 1 พัน แลกกับดอกไม้ที่เหลือของหนู"
เด็กน้อยทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า
"จริงเหรอค่ะ?"
"หนูได้เงินซื้อของให้แม่ตั้งเยอะเลยนะคะ"
จากนั้นก็รีบยื่นกุหลาบ 7 ดอกที่เหลือให้กับเขา เด็กท้้งสองมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วย
ความซาบซึ้ง พี่คนโตถามเขาด้วยความเหนียมอายว่า
"คุณลุงคะ คุณลุงเป็นเทวดาใช่ไหมค่ะ?"

ณ เวลานั้น ท้องถนนที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บของฤดูหนาว กลับพังทลายกลายเป็นความ
อบอุ่นขึ้นมาในทันที แสงสีสลับกันไปมาดังภาพการ์ตูนในวัยเด็ก เสียงเพลง เสียงหัวเราะ
เสียงเป่าปากวี๊ดวิ้วดังขึ้นเป็นระยะ ๆ

จางหย่งยืดกายลุกขึ้นยืน เขาตัดสินใจล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา
สายแรก เขาโทรไปหาผู้จัดการบริษัท สั่งให้พนักงานหยุดทำงานในทันที และให้ทุกคนกลับบ้าน
เพื่อไปทานมื้อค่ำกับครอบครัวอย่างมีความสุข และสั่งผู้จัดการแจกเงินพนักงานทุกคน
คนละ 6,600 หยวน พร้อมกับอวยพรให้ทุกคนมีความสุขในช่วงปีใหม่

ก่อนที่เขาจะวางสาย เขาได้ยินเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะด้วยความดีใจของพนักงาน
และมีเสียงพูดหนึ่งดังเข้ามาว่า "อันที่จริง CEO จางเป็นคนดีมากเลยนะ..."

สายที่สอง เขาโทรไปขอยกเลิกการเซ็นสัญญากับลูกค้าในค่ำวันนี้ เมื่อคู่ค้าทราบถึงสาเหตุว่า
เขาต้องการให้พนักงานกลับไปทานมื้อส่งท้ายปีกับครอบครัว จึงบอกกับจางหย่งว่า
"ผมชอบทำธุระกิจกับคนที่มีความเมตตา มีคุณธรรม เรื่องสัญญาซื้อขายเอาไว้ค่อยเซ็นกัน
หลังตรุษจีน และจะสั่งออเดอร์เพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง"

จางหย่งวางสายแล้วยิ้ม
เขาให้เงินเด็กน้อยหนึ่งพัน แต่เขาได้เครดิตจากลูกค้าแถมเพิ่มจำนวนเป็นถึง 400 ล้านหยวน

จากนั้นเขาโทรศัพท์ไปที่บ้าน ลูกสาวเป็นคนรับโทรศัพท์
"จริงเหรอคะคุณพ่อ? แม่คะ พ่อจะกลับมาทานข้าวที่บ้านนะคะ พ่อถามว่าแม่ทำเผื่อพ่อหรือเปล่า?"

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเทวดาจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะโทรศัพท์ไปหาใคร ปลายสายต่าง
ก็ยินดีปรีดาเหมือนกันหมด

จากนั้นเขาก็หันไปมองหาแท็กซี่เพื่อเรียกรถกลับบ้าน
รถคันที่เขานั่งมายังจอดรอลูกค้าอยู่ที่เดิม จางหย่งรู้ทันที่ว่าเขาควรทำอะไร!

บนทางกลับบ้าน เสียงพูดคุยให้กำลังใจและเสียงหัวเราะของโชเฟอร์ดังขึ้นเป็นระยะ โชเฟอร์มองเขา
ผ่านกระจกรถ ไม่กล้าจะเชื่อว่าชายที่นั่งอยู่บนรถในตอนนี้ คือคนเดียวกันกับที่เพิ่งลงรถไปก่อนหน้านี้

เมื่อถึงจุดหมาย จางหย่งจ่ายค่ารถพร้อมกับให้ทิปโชเฟอร์ไปอีก 100 หยวน และอวยพร
ให้เขามีความสุขในช่วงเทศกาลตรุษจีน

โชเฟอร์รับเงินไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะออกรถ ได้โทรศัพท์ไปหาภรรยาที่บ้านว่า
"พี่จะส่งรถและกลับบ้านเลยนะ กลับถึงบ้านพี่จะเล่าให้ฟัง วันนี้พี่เจอเทวดาเดินดิน..."

.....
สุขสันต์วันปีใหม่คนเดียว
.....

ที่มา : บทความจากอินเตอร์เน็ตชื่อ 先生,請問你是天使嗎 ?
แปลโดย : นุสนธิ์
นุสนธิ์บุคส์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 08, 2023 9:15 pm

( 10 )

จัสติน พนักงานฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่งในชิคาโก รู้สึกหงุดหงิดกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ครั้งแล้วครั้งเล่า...
.
เด็กชายวัย 15 แอบลักลอบเข้ามาเล่นบาสเก็ตบอลในสถานออกกำลังกายที่จัสตินทำงาน
อยู่เกือบทุกวัน - - เพราะเห็นว่าเป็นเด็ก จัสตินเลยใช้วิธีตักเตือน แต่เด็กชายก็ไม่เคยเชื่อฟัง
เขาจะหาวิธีแอบเข้ามาเล่นให้ได้ ตั้งแต่ เดินปะปนกับลูกค้ารายอื่นผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้า
หรือแอบซ่อนอยู่ในห้องน้ำ... จนจัสตินจำใจต้องขู่ว่า "ครั้งต่อไป จะเรียกตำรวจมาจัดการ
ให้จริงจังเสียที!"
.
คล้อยหลังไปไม่กี่วัน เด็กชายก็โผล่เข้ามาที่สนามบาสเก็ตบอลอีก
.
“ครั้งนี้ เราไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องโทรเรียกตำรวจ” จัสตินเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟัง - -
.
“เขาเคยเป็นสมาชิกของที่นี่ แต่มันหมดอายุแล้ว และคุณแม่ของเขาไม่สามารถจ่ายได้อีกต่อไป...
เขาแอบเข้ามา ก็เพื่อต้องการเล่นบาสเก็ตบอลอย่างเดียวเท่านั้น”
.
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาริโอมาถึง และทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ทุกคนประหลาดใจ! - -
มาริโอควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเงิน 150 เหรียญ เป็นค่าสมาชิกให้เด็กชาย ซึ่งด้วยเงินจำนวนนั้น
ทำให้เด็กชายเข้ามาเล่นได้ประมาณ 3-4 เดือน
.
เมื่อทางเจ้าของสถานที่ออกกำลังกายทราบเรื่องนี้ ก็เลยเสนอว่าจะขยายเวลาสมาชิกของ
เด็กชายให้เป็น 2 ปีเต็ม!
.
ทั้งจัสตินและมาริโอเพิ่งรู้ในเวลาต่อมาว่า เด็กชายคนนี้มีฝีมือในการเล่นบาสเก็ตบอลที่โดดเด่นมาก
ทุกครั้งที่เล่นในทีมโรงเรียน เขาจะถูกจับตามองตลอด ถึงขนาดมีความหวังว่าจะไปไกลถึงขั้น
ระดับอาชีพ NBA เลยทีเดียว!
.
โชคดี! ที่เหตุการณ์ครั้งนี้พลิกผัน จากการกล้าตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาริโอ แทนที่เด็กชาย
จะถูกจับจนหมดอนาคต เขากลับเป็นคนแรกที่แก้ปัญหาด้วยการต่อเวลาให้เด็กชายได้มีความหวังต่อไป - -
.
“ผมอยากเห็นเขาเล่นบาสเก็ตบอลในนี้ ดีกว่าออกไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกตามท้องถนน
ซึ่งอาจเป็นปัญหามากกว่านี้ก็ได้...”
.
นั่นคือสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาริโอตัดสินใจทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง เพราะทุกคนต่างคิดไปทางเดียวว่า
หน้าที่ของตำรวจ คือ การจับผู้ทำผิดมาลงโทษ!
.
“...ในที่สุดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณกันหรอกครับ พวกเรา(ตำรวจ)ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อ
ช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่เพื่อทำร้ายใคร หลายครั้ง งานของตำรวจถูกมองในด้านลบ แต่ในความเป็นจริง
งานของเราช่วยเหลือคนดี ๆ ที่พบกับวันแย่ ๆ เป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ไม่เป็นข่าวออกไปเท่านั้นเอง...”
. . . . .
.
ไม่ว่าปัญหาใด ย่อมมีวิธีแก้มากกว่าหนึ่งหนทางเสมอ - - บางวิธีแค่หยุดปัญหาตรงหน้าชั่วคราว
แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ, บางวิธีแก้ปัญหาแบบขอไปที แล้วก็สร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม...
.
และบางครั้ง เราแก้ปัญหาด้วยกรอบของหน้าที่แบบตรงแน่วเกินไป ผลที่ได้อาจถูกต้องตามกฎที่
มนุษย์บัญญัติ แต่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ตามเจตนาที่ต้องการ
.
ไม่ว่าเรากำลังทำหน้าที่ใด ลองคิดนอกกฎ ให้หัวใจได้กำหนดแนวทางแก้ไข แล้วเราจะพบว่า
บางทีสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตเลย แค่ให้โอกาส ‘ความรัก’ได้ทำหน้าที่แทนเท่านั้นเอง...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าประทานพรให้เราทุกคนทำหน้าที่ด้วยความรัก ]
.
ภาพ/ที่มา : Chicago Tribune

.
. . . . . .
.
แนะนำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม ใ ห ม่ ข อ ง ปี
**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
**********************************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 09, 2023 8:43 pm

( 11 )

ขณะเดินทางกลับจากดวงจันทร์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจไปเหยียบยืนประทับรอยเท้าเป็นครั้งแรก
ของมนุษย์ เมื่อ 50 กว่าปีก่อน - - นักบินอวกาศยานอพอลโล 11 เอ็ดวิน บัซ อัลดริน
(ซึ่งต่อมาเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจของการสร้างตัวการ์ตูน-บัซ ไลท์เยียร์ ใน Toy Story)
ได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลกลางอวกาศ (เพลงสดุดี 8:3-4)
.
“เมื่อข้าพเจ้าแหงนมองท้องฟ้า ซึ่งนิ้วพระหัตถ์บรรจงสร้างไว้ มองดูเดือนดูดาวที่พระองค์ทรง
ประดับไว้อย่างมั่นคง มนุษย์เป็นใคร พระองค์จึงทรงระลึกถึงเขา บุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร
พระองค์จึงต้องทรงเอาพระทัยใส่...”
.
เราอาจเคยสงสัย นึกว่านักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักบินอวกาศที่พุ่งทะยานสู่ฟ้าสวรรค์
คงไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง นักบินอวกาศที่เคยร่วมโครงการอพอลโล
เป็นผู้เชื่อถึง 29 คน (โปรเตสแตนต์ 23 คน, คาทอลิก 6 คน)
.
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น - วันคริสต์มาสอีฟ เมื่อปี 1968 (พ.ศ. 2511) ขณะยานอพอลโล 8
ได้เคลื่อนเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ นักบินอวกาศได้ถ่ายทอดสดทางทีวี โดยแสดงภาพของ
โลกและดวงจันทร์เมื่อมองจากยานอวกาศ จากนั้นพวกเขาผลัดกันอ่านพระคัมภีร์-ปฐมกาล
“ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน” และจบด้วย “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” พร้อมทั้ง
กล่าวปิดท้าย “ราตรีสวัสดิ์ โชคดี สุขสันต์วันคริสต์มาส และขอพระเจ้าอวยพรพวกคุณทุกคน -
พวกคุณทุกคนบนโลกที่ดีงาม”
.
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ NASA ต้องออกกฎจำกัดไม่ให้นักบินอวกาศพูดถึงความเชื่อศรัทธา
มากนักในขณะสวมชุดนักบิน - - แต่นั่นไม่สามารถหยุดยั้งพลังแห่งความเชื่อได้ - - ตามรายงานของ
Catholic News Service นักบินอวกาศ ซิด กูเทียเรส, โธมัส โจนส์ และ เควิน ชิลตัน เคยประกอบ
พิธีศีลมหาสนิทบนกระสวยอวกาศในปี 1994 ซึ่งอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก 125 ไมล์
.
ในปี 2013 นักบินอวกาศของสถานีอวกาศนานาชาติ ไมค์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นคาทอลิก ได้รับอนุญาต
จากสังฆมณฑลของเขาให้นำแผ่นศีลศักดิ์สิทธิ์ (ขนมปังแผ่นบาง) ติดตัวไป 6 แผ่น หักแบ่งเป็น 4 ชิ้น
เพื่อให้เพียงพอสำหรับเขาที่จะได้รับศีลมหาสนิททุกวันอาทิตย์ เป็นเวลา 24 สัปดาห์ ขณะที่เขาอยู่
ในอวกาศ!
. . . . .
.
วันอาทิตย์นี้ (วันที่ 8 มกราคม 2023) เป็นวันสมโภชพระคริสต์เจ้าแสดงองค์ บทอ่านวันนี้ มาจาก
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 2:1-12) กล่าวถึง ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้า
ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย โหราจารย์ได้ล่วงรู้เหตุการณ์นี้จากการดูดวงดาว พวกเขา
จึงออกเดินทาง ตามดวงดาวที่เห็นปรากฏทางทิศตะวันออก จนมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับ
ของพระกุมาร
.
โหราจารย์ในยุคนั้น ก็เปรียบเสมือนนักปราชญ์ มีความรู้เรื่องดวงดาวในระดับหนึ่ง เชื่อในการมา
ปรากฏของพระคริสต์ จึงรอนแรมเดินทางเพื่อไปดูการแสดงองค์ครั้งแรกในร่างพระกุมารบนพื้นโลก
และความเชื่อนั้นยังคงดำรงต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนจากทุกชนชั้นเชื้อชาติต่างออกเดินทาง
แสวงหาพระองค์ - - บ้างก็พบ บ้างหลงทาง บ้างก็ไม่เชื่อ
.
เมื่อมนุษย์เรียนรู้มากขึ้น คิดว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ถึงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องมีเหตุผล
พวกเขาก็เริ่มถอยห่างจากพระเจ้า เพราะคิดว่าหากยังพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
ก็จะไม่เชื่อ พวกเขาหลงลืมไปว่าวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนั้น มาจากความเฉลียวฉลาดของ
สมองมนุษย์เท่าที่มีได้ ณ ตอนนี้เท่านั้นเอง - - สิ่งใดที่มองไม่เห็น ยังไม่เข้าใจ ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง!
. . . . .
.
ดร. ฟรานซิส คอลลินส์ นายแพทย์นักพันธุศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด
และเป็นผู้นำโครงการจีโนมมนุษย์ เดิมทีก็เป็นก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เมื่อศึกษาจีโนม
(พันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง) มากเข้า เขาก็พบความซับซ้อนที่น่าประหลาดใจ ราวกับ
ใครออกแบบระบบเหล่านี้ไว้...
.
คอลลินส์ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ที่เขารักมากนั้น ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ เช่น "ความหมาย
ของชีวิตคืออะไร", "ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่", "ทำไมคณิตศาสตร์ถึงใช้งานในการคำนวณสร้างได้?"
"ถ้าจักรวาลมีจุดเริ่มต้น ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา?" "เหตุใดค่าคงที่ทางกายภาพในเอกภพจึงได้
รับการปรับอย่างละเอียดเพื่อให้สามารถเกิดสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนได้" "ทำไมมนุษย์ถึงมีสำนึกทาง
ศีลธรรม" และ "จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราตาย"
.
คอลลินส์ครุ่นคิดและเริ่มศึกษาแบบนักวิทยาศาสตร์... วันหนึ่ง ขณะเดินป่าบนภูเขาสูง เขาก็ยอมจำนน
กลับใจเป็นคริสตชน เขียนหนังสือ Language of God - - ในฐานะผู้เชื่อ เขามองว่า “DNA ซึ่งเป็น
โมเลกุลข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้น เป็นภาษาของพระเจ้า, ความงดงามและความซับซ้อนของ
ร่างกายเราเองและธรรมชาติอื่น ๆ เป็นภาพสะท้อนถึงแผนการของพระเจ้า”
.
คอลลินส์ย้ำว่า “...ผมไม่เห็นความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาตรงไหนเลย
จริง ๆ แล้ว ผมพบว่ามีความสอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์ในความจริงที่ส่งเสริมกันของวิทยาศาสตร์
และความเชื่อ - - พระเจ้าของพระคัมภีร์ ก็เป็นพระเจ้าของจีโนมด้วย”
.
ครั้งหนึ่ง นักข่าวถามเขาว่า “ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่มองหาคำอธิบาย และต้องการหลักฐาน
แล้วทำไมคุณถึงเชื่อในปาฏิหาริย์ เช่นการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า?"
.
คอลลินส์ตอบว่า “การต่อสู้ทางความเชื่อครั้งแรกของผมคือการเชื่อในพระเจ้า
(ไม่ใช่เทพทั่วไปที่อยู่ใต้ธรรมชาติ) แต่เป็นพระเจ้าที่อยู่ ‘เหนือธรรมชาติ’! การต่อสู้ครั้งที่สองของผม
คือการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ดังที่พระองค์ทรงอ้างว่าเป็น แต่ทันทีที่ผมไปถึงความเชื่อนั้นแล้วว่า
พระองค์เป็น ความคิดที่ว่าพระองค์จะฟื้นจากความตายจริงหรือไม่ ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมอีกต่อไป...”
.
เช่นเดียวกับเอ็ดวิน บัซ อัลดริน และบรรดาเพื่อนนักบินอวกาศ ที่เป็นเสมือนโหราจารย์ในยุคปัจจุบัน
มิเพียงรอนแรมตามหาดวงดาว หากท่องไปในหมู่ดาวบนฟ้าสวรรค์ด้วยท่าทีนักวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่า
พวกเราหลายร้อยเท่า ทว่าพวกเขายังมองเห็นการปรากฏของพระเจ้าอย่างมิอาจปฏิเสธได้ อีกทั้งทำ
ให้ความเชื่อมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม ดังที่อัลดรินชี้ให้เห็นว่า - “พระเจ้าทรงแสดงพระองค์ในอวกาศ
เมื่อมนุษย์เอื้อมออกไปในจักรวาล”
.
หรืออย่างที่ฟรานซิส คอลลินส์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกปัจจุบัน กล่าวว่า
“พระเจ้าแสดงองค์ในทุกที่ - - เราสามารถพบได้ทั้งในมหาวิหารหรือในห้องทดลอง การตรวจสอบการ
สร้างที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของพระเจ้าทางวิทยาศาสตร์นั้น จริง ๆ แล้ว ก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง
ในการสรรเสริญพระองค์”
.
โชคดีแค่ไหนแล้ว... ที่พระเจ้าทรงแสดงองค์ทุกที่ แม้ในโลกของคนบาป
โชคดีแค่ไหนแล้ว... ที่เราเชื่อแม้มองไม่เห็น แต่อย่างน้อยเราสัมผัสได้ ขณะพระคริสต์เจ้า
แสดงองค์ในความรู้สึกของเรา.
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้าและวันสมโภชแสดงองค์ ]
.
ขอบคุณ ข้อมูล : Catholic News Service, Scientific American, BioLogos,
CNN ภาพ : Scott Kelly/NASA via AP

. . . . .
.
แนะนำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม ใ ห ม่ ข อ ง ปี
**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
***********************************
.
ร่วมสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ ของ ปะการัง
ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ ข้ามปี... และตลอดไป
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง
พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
. . . . .
มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือ คฤศตัง (ชั้น 1 โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์), ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
.
ถ้าอยู่ไกล ไม่สะดวก สั่งซื้อได้ ทางกล่องข้อความ
ราคาเล่มละ 340 บาท (รวมค่าส่ง) + พร้อมลายเซ็น (ถ้าต้องการ)
[ พิเศษ - สั่งซื้อ 3 เล่มขึ้นไป ราคาเล่มละ 320 บาท ]
.
โอนเงินได้ที่บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี ณรงค์ฤทธิ์ ยงจินดารัตน์
เลขที่บัญชี 052-420235-4
.
เมื่อโอนเงินแล้ว อย่าลืมส่งสลิปยืนยัน พร้อมชื่อที่อยู่ เบอร์โทร และจำนวนเล่มที่สั่ง
มาทางกล่องข้อความด้วยครับ (ระบุด้วยหากต้องการลายเซ็นผู้เขียน) ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2023 11:37 pm

(12 )


อัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอ แต่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต เลยบ่นน้อยใจว่า
ไม่เคยได้รับสิ่งอัศจรรย์ใดเลย...
.
แต่ถ้าลองเปลี่ยนคำว่าอัศจรรย์ ให้เป็นคำที่เล็กลง เช่น โชคดี หรือ บังเอิญ เราก็จะพบว่า
เราได้รับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวหลายครั้งหลายครา เช่น โชคดีจริง ๆ มาถึงสนามบินขึ้นเครื่องทัน
ทั้ง ๆ ที่รถติดหนัก นั่นคือ อัศจรรย์!, ทำกระเป๋าตังค์หล่นหาย บังเอิญเจอเพื่อนเก่าในร้านอาหาร
เขาเลี้ยงข้าวมื้อนั้น นั่นคือ อัศจรรย์!
.
แต่เรามักเมินเรื่องดี ๆ เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เลยไม่ใส่ใจจำ ไม่ให้ค่า
แล้วนึกอิจฉาน้อยใจ เพราะไปเปรียบเทียบกับอัศจรรย์ของคนอื่น และการเปรียบเทียบนี่เอง ที่ทำให้
เรารู้สึกว่าต้องรออัศจรรย์นานกว่าใคร ทั้งที่การรอคอยนั้นอาจมีเหตุผลและความหมายซ่อนอยู่ก็ได้...
.
เมื่อหลายวันก่อน ผม-บังเอิญ... ไม่สิต้องเรียกว่า โชคดี ที่ได้อ่านเรื่องนี้... คิดอีกที คงไม่ใช่ทั้งบังเอิญ
หรือโชคดีหรอก หากเป็นอีกหนึ่งอัศจรรย์เลยทีเดียว ที่ทำให้ผมได้อ่านเรื่องนี้ในจังหวะเวลาที่ต้องการ
พอดี และสามารถนำมาแบ่งปันให้เพื่อนบางคนที่กำลังท้อแท้กับบางเรื่องในชีวิต - -
. . . . .
.
ช้างตัวหนึ่ง ตั้งท้องพร้อม ๆ กับสุนัขตัวหนึ่ง ภายในสามเดือน สุนัขก็ให้กำเนิดลูกถึงหกตัว หกเดือนต่อมา
สุนัขก็ตั้งท้องอีกครั้ง และหลังจากนั้นเก้าเดือน ก็เกิดลูกอีกหนึ่งโหล และยังคงดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
.
เดือนที่สิบแปด สุนัขก็อดสงสัยไม่ได้ ถามช้างว่า “แน่ใจเหรอว่าท้อง? เราตั้งท้องพร้อมกัน ฉันเกิดลูกมา
สามรอบแล้วนิ มีลูกเป็นโหล โตหมดทุกตัวแล้ว แต่เธอยังตั้งท้องอยู่อีก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย! เข้าใจไรผิดป่ะ!”
.
ช้างยิ้มนิด ๆ ตอบว่า “มีบางอย่างที่เธอควรจะต้องเข้าใจ สิ่งที่ฉันอุ้มท้องอยู่นี่ ไม่ใช่เป็นแค่ลูกหมาน้อย
แต่เป็นช้าง! ฉันใช้เวลาสองปีถึงจะเกิดลูกช้างสักตัว และเมื่อถึงวันที่ลูกของฉันตกถึงพื้น แผ่นดินโลก
จะสั่นสะเทือนรู้สึกได้, เมื่อลูกของฉันข้ามถนน มนุษย์ต้องหยุดให้และมองอย่างชื่นชม ฉะนั้น ที่ฉันต้อง
อุ้มท้องนานนั้น เพราะสิ่งนั้นมันยิ่งใหญ่และทรงพลัง!”
. . . . .
.
เช่นเดียวกัน - - อย่าเพิ่งสิ้นหวังสูญศรัทธา เมื่อเห็นคนอื่นได้รับสิ่งที่ร้องขอจากการอธิษฐานในเวลาที่
รวดเร็วทันใจ หรืออย่าอิจฉาในพระพรหรือความสำเร็จที่คนอื่นได้รับ ขณะที่ตัวเองยังมองไม่เห็น
แสงสว่างใด... เพราะทุกสิ่งล้วนมีเวลาและวาระ เมื่อมาถึงในจังหวะที่ใช่สำหรับชีวิตเรา
นั่นก็คือ อัศจรรย์!
.
จงบอกใจเราเองเสมอว่า “เวลาของฉันกำลังมา และเมื่อมันมาถึง แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือนและ
มองอย่างชื่นชม!”
.
ฉะนั้น อย่าเสียเวลาคิดเปรียบเทียบชีวิตกับการเดินทางของใครเลย เพราะแต่ละคนต่างมีจังหวะ
ย่างก้าวของตัวเอง ที่หนักเบาไม่เท่ากัน!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าประทานพระพรอัศจรรย์ในทุกวันแห่งการเริ่มต้นชีวิต ]

.
. . . . .
.
แนะนำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม ใ ห ม่
**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
***********************************
.
ร่วมสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ ของ ปะการัง
ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ ข้ามปี... และตลอดไป
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”

.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:42 pm

(. 13. )


เมื่อปี 2005, วันที่ 11 มีนาคม เควิน เบอร์เธียเจอทางตันของชีวิต - -
.
ลูกสาวของเขาคลอดก่อนกำหนดเมื่อปีก่อน ค่ารักษาพยาบาลสำหรับการดูแลพุ่งสูงถึงเกือบ
250,000 ดอลลาร์! เขารู้สึกมืดมนไปรอบด้าน มองไม่เห็นหนทางปลดหนี้ จึงตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
อย่างหนักและตัดสินใจจบชีวิตที่สะพานโกลเดนเกต ซานฟรานซิสโก!
.
เควิน บริกส์ ตำรวจทางหลวงแคลิฟอร์เนียผ่านมาพบเหตุการณ์ ขณะที่เควิน เบอร์เธียยืนอยู่นอก
ราวสะพาน บริกส์ใช้เวลากว่า 90 นาทีพูดโน้มน้าวให้เบอร์เธียเปลี่ยนใจ ปีนกลับเข้ามา เดินหน้า
บนถนนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง...
.
สิบปีต่อมา พวกเขาเพิ่งมีโอกาสพบกันอีกครั้ง ในงานมอบรางวัลให้กับบริกส์ และเพื่อนตำรวจ
ทางหลวงคนอื่น ๆ ในฐานะที่เป็น ‘ผู้พิทักษ์แห่งสะพานโกลเดนเกต’ ซึ่งจัดโดยมูลนิธิอเมริกัน
เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย
.
เบอร์เธียได้มาร่วมงาน เขาเล่าว่าใช้เวลาถึงแปดปีพยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องบนสะพาน วันนั้น
เขาโกรธตัวเองที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่มืดมนสิ้นหวัง
.
“แต่ความเห็นอกเห็นใจในน้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริกส์ ทำให้ผมลดความระมัดระวังลงมาก
พอที่จะคุยกันได้” และพวกเขาคุยกันนานถึง 92 นาที บริกส์พยายามพูดโน้มน้าว วาดภาพให้เขา
เห็นอนาคตที่จะอยู่ร่วมกับลูกสาว
.
แต่สิ่งหนึ่งสำคัญที่ทำให้เบอร์เธียเปลี่ยนใจ เขาบอกว่า ปกติเขาไม่ค่อยวางใจใคร แต่ขณะที่พูดคุย
บริกส์ไม่ตัดสินในสิ่งที่เขาทำเลย นั่นทำให้เกิดความวางใจ...
.
“วันนั้น เจ้าหน้าที่บริกส์พยายามที่จะหยุดผมซึ่งผมไม่ต้องการ แต่ตอนนี้ ผมดีใจที่เขาทำ” เบอร์เธียกล่าว
“ผมพูดได้เต็มปากว่า ผมรู้สึกขอบคุณจริง ๆ คุณให้โอกาสผมได้มีชีวิตอยู่”
.
บริกส์ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ช่วยชีวิตคนที่พยายามฆ่าตัวตายบนสะพานโกลเดนเกตสำเร็จมาแล้ว
หลายร้อยคน สูญเสียไปเพียงแค่คนเดียว แต่นั่นก็เป็นรอยฝังใจที่ทำให้เขาไม่เคยลืมตลอดชีวิต
บริกส์กล่าวถึงกรณีของเบอร์เธียว่า นั่นเป็นเพราะ - -
“เขาค้นพบความกล้าหาญในตัวเอง ที่จะปีนข้ามราวสะพานกลับมา...”
.
จริงทีเดียว ต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะปีนข้ามออกไปยืนนอกราวสะพานที่น่ากลัวนั้น...
แต่ต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่า ที่จะปีนกลับมายืนบนถนนชีวิตแล้วเดินหน้าต่อไป...
.
หากวันนี้ เราพบใครบนสะพานแห่งการตัดสินใจ พูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ ไม่ตัดสิน
ในทุกการกระทำของเขา เพราะเราไม่มีทางเข้าใจแต่ละเรื่องราวของใครได้
.
เราทุกคนต่างเคยเดินข้ามสะพานที่ทอดผ่านสายน้ำแห่งปัญหามาแล้วทั้งนั้น... ไม่ว่าเบื้องล่าง
จะเชี่ยวกรากเพียงไร ขอจงมุ่งหน้าเดินข้ามไปให้ถึงอีกฝั่ง หากยังรีรออยู่นอกราวสะพาน จงใช้ความ
กล้าหาญปีนกลับเข้ามา ลองสู้กับชีวิตอีกสักครั้ง เพราะทุกปลายสะพานคือการเริ่มต้นใหม่ที่เต็ม
ไปด้วยความหวังและสวยงามเสมอ...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าประทานพรและเสริมกำลังให้เราเดินข้ามทุกสะพานแห่งปัญหาได้ปลอดภัย ]
.
ภาพ/ที่มา : NPR, Dailymail
.
. . . . .
.
แนะนำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม ใ ห ม่
**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
***********************************
.
ร่วมสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ ของ ปะการัง
ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ ข้ามปี... และตลอดไป
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2023 9:08 pm

( 14 )


ระหว่างขับรถผ่านบ้านหลังหนึ่ง คีธ โอไบรอัน พนักงานขับรถส่งพัสดุ UPS สังเกตเห็นเด็กหญิง
ตัวน้อยวัย 6 ขวบนั่งอยู่ที่หน้าบ้านคนเดียวด้วยท่าทีตื่นกลัว และเป็นวันที่ต้องไปโรงเรียนด้วย
เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงตัดสินใจจอดรถ เข้าไปสอบถาม
.
เมื่อหนูน้อยเห็นคีธก็รีบวิ่งตรงเข้ามาหา บอกว่าคุณแม่ของเธอไม่รู้เป็นอะไร เธอพยายามปลุก
คุณแม่หลายชั่วโมงแล้ว เพราะต้องขับรถส่งเธอไปโรงเรียน แต่คุณแม่ก็ไม่ตื่นสักที... คีธรีบเข้าไป
ในบ้าน พบคุณแม่ของเด็กน้อยนอนหมดสติ จึงโทรเรียกรถพยาบาล ระหว่างนั้น เขานั่งรออยู่เป็น
เพื่อนกับหนูน้อยจนเจ้าหน้าที่พยาบาลมาถึง หลังจากตรวจอาการคุณแม่ พบว่า เธอมีอาการโคม่า
จากโรคเบาหวาน และนำส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา - - โชคดี เธอปลอดภัย!
.
หากวันนั้น คีธไม่สนใจเรื่องรอบตัวที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง, คีธเพิกเฉยไม่อยากยุ่งยาก เสียเวลา,
ไม่ตัดสินใจแวะจอดซักถาม เหตุการณ์อาจแตกต่างโดยสิ้นเชิง - - ชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งต้อง
เปลี่ยนไปเพราะสูญเสียคุณแม่...
.
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐคอนเนตทิคัตชื่นชมการกระทำที่เป็นฮีโร่ของคีธ และได้ส่งจดหมายถึงผู้บริหาร
ท้องถิ่นของ UPS เพื่อยกย่องการกระทำของเขา - - แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจติดต่อกลับมา หรือให้
ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย... เป็นที่น่าผิดหวังยิ่ง
.
ทว่าสำหรับคีธ โอไบรอัน เขากลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำในนาทีนั้น
เป็น ‘ความสุขแท้จริง’สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่คำชื่นชมจากใคร...
. . . . .
.
เดวิด กรีน เจ้าของร้าน Hobby Lobby ซึ่งเป็นร้านขายงานศิลปะและงานฝีมือที่มีชื่อเสียง เขามีกิจการ
ในเครือมูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์ ถึงกระนั้น เดวิดมักจะพูดเสมอว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเขา เขาไม่ใช่
เจ้าของที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ เดวิดจึงบริจาคเงินคืนให้กับสังคมบ่อย ๆ โดยเฉพาะองค์การทางศาสนา
เป็นจำนวนมาก เพราะเขาเชื่อว่า เจ้าของเงินที่แท้จริงคือพระเจ้านั่นเอง!
.
“ถ้าคุณมีสิ่งใดหรือผมมีสิ่งใด นั่นเป็นเพราะเราได้รับสิ่งนั้นจากพระผู้สร้างของเรา พระองค์เป็นผู้ประทาน
ผมจึงเรียนรู้ที่จะพูดว่า ทั้งหมดนี้เป็นของพระเจ้า ผมจะมอบให้พระองค์”
.
เดวิดเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างหนักแน่น ครั้งหนึ่ง, มีคนถามว่าเขาแยกเรื่องงานธุรกิจกับความเชื่อออก
จากกันอย่างไร เขาตอบว่า เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น - -
“คุณไม่สามารถมีระบบความเชื่อในวันอาทิตย์แบบหนึ่ง แล้วไม่ใช้ชีวิตแบบนั้นในอีกหกวัน!”
.
คำตอบของเดวิด กรีน ชัดเจนมาก เพราะเขารู้แล้วว่า ‘ความสุขแท้จริง’นั้น ไม่ได้อยู่ที่เงินพันล้าน
. . . . .
.
วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2023) เป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4 ของเทศกาลธรรมดา บทอ่านประจำวัน
มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 5:1-12)
.
กล่าวถึงพระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นภูเขา ตรัสสอนบรรดาศิษย์ที่เข้ามาห้อมล้อมว่า - - ผู้มีใจยากจน,
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า, ผู้มีใจอ่อนโยน, ผู้หิวกระหายความชอบธรรม, ผู้มีใจเมตตา, ผู้มีใจบริสุทธิ์,
ผู้สร้างสันติ, ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหง - - คนเหล่านี้ คือคนที่มี 'ความสุขแท้จริง'!
.
แม้จะสวนกระแสความคิดของชาวโลกทั่วไป แต่พระองค์ทรงยืนยันว่า จงชื่นชมยินดีเถิด พวกเขาย่อม
เป็นสุข "เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก!"
.
พระสันตะปาปาฟรานซิสเคยกล่าวว่า ‘ความสุขแท้จริง' (Beatitudes) ทั้ง 8 ประการนี้ เป็นเสมือน '
บัตรประจำตัว' ของคริสตชน ถ้าใครถามว่า การเป็นคริสตชนที่ดีต้องทำอย่างไร คำตอบนั้นชัดเจน
นั่นคือ เราต้องทำตามสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์บนภูเขาแต่ละข้อนั้นในวิถีชีวิตของเราเอง
.
ดังที่คีธ โอไบรอันได้ลงมือทำนอกเหนือหน้าที่ด้วยการช่วยชีวิตคุณแม่ของเด็กน้อย - - นั่นแสดงชัดเจน
ถึงการเป็นผู้มีใจอ่อนโยน, ผู้มีใจเมตตา, รวมทั้งผู้มีใจบริสุทธิ์ เพราะเขาทำโดยไม่ได้คาดหวังคำชื่นชม
สรรเสริญใด - - เขาจึงพบ'ความสุขแท้จริง'
.
หรือเดวิด กรีน ที่เข้าใจดีว่าสิ่งที่เราได้รับนั้น ล้วนมาจากน้ำพระทัยของพระเจ้า เขาจึงคืนกลับไปที่พระองค์
ด้วยการบริจาคช่วยเหลือสังคม ไม่ได้ติดยึดกับเงินไม่ว่าจะมากมายกี่พันล้านก็ตาม - - นั่นย่อมแสดงชัดเจน
ถึงการเป็นผู้มีใจอ่อนโยน, ผู้มีใจเมตตา, และผู้มีใจบริสุทธิ์เช่นกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังแสดงให้เห็นถึง
การเป็นผู้มีใจยากจนด้วย!
.
อาจฟังดูแปลก แต่‘ผู้มีใจยากจน’ ในคำเทศน์ของพระเยซูเจ้า ไม่ได้หมายถึง ผู้ยากจนทางวัตถุทรัพย์สมบัติ
หากหมายถึงผู้ที่ยากจนหรือบกพร่องทางฝ่ายจิตวิญญาณ มีความโหยหาต่อสิ่งที่ดีกว่า เดวิด กรีนรู้ว่า
จิตวิญญาณตนยังต้องการพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด 'ความสุขแท้จริง' จึงไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง!
.
ทั้งคีธและเดวิดแสดงตัวอย่างให้เราเห็นว่า หากทำตามคำสอนทั้ง 8 ประการของพระเยซูเจ้า มิเพียงมี
'ความสุขแท้จริง'ทันใดในโลกนี้ หากยังมีโอกาสได้เข้าถึงอาณาจักรสวรรค์ด้วย!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
.
ภาพแรก/ที่มา : Teamsters
ภาพสอง/ที่มา : Sky Dancing
.
. . . . .
.
แนะนำ ห นั ง สื อ เ ล่ ม ใ ห ม่
**********************************
ของขวัญปีใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสำหรับคุณเอง และคนที่คุณรัก...
***********************************
.
ร่วมสนับสนุนหนังสือเล่มใหม่ ของ ปะการัง
ที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจ ข้ามปี... และตลอดไป
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 02, 2023 9:51 pm

( 15 )

ความทุกข์ของลูกกตัญญู

January 11, 2023 By Sant Chaiyodsilp

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

ดิฉันเป็นแฟนด้อมคุณหมอคะ ชอบอ่านเรื่องจิตวิญญาณมากๆ คุณหมออธิบายได้ตรงไปตรงมา
เข้าใจง่าย เป็นบทความที่มีคุณค่ามาก ขอบคุณเหลือเกินค่ะ

ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ ดิฉันเกษียณ ตั้งใจมาดูแลคุณพ่อค่ะ คุณพ่ออายุ 85 ปีแล้ว เป็นโรคยอด
นิยมทุกอย่าง เบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจและต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ใช้ชีวิตกึ่งติดเตียง
ดิฉันดูแลคุณพ่อเต็มเวลา 24 ชั่วโมง การดูแลโดยทั่วไปก็ราบรื่นดีค่ะ แต่ที่มีปัญหามาปรึกษาคุณหมอ
ก็คือ คุณแม่ที่อายุเท่ากับคุณพ่อ ซึ่งท่านยังแข็งแรงทำอะไรเองได้ ท่านยังไม่ทิ้งนิสัยแม่บ้านที่ชอบหา
ของอร่อยมาให้สามีทาน โดยไม่สนใจว่าอาหารนั้นคนป่วยจะสมควรทานหรือไม่ ไม่ว่าดิฉันจะเพียร
บอกอย่างไร ท่านก็ไม่สนใจ ดิฉันคิดว่าคุณแม่มีความสุขกับการเห็นคุณพ่อทานอาหารที่ท่านจัดหา
มาอย่างเอร็ดอร่อย

ขณะที่ดิฉันก็เป็นคนเป๊ะเว่อร์ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร คุณพ่อเป็นหลายโรค ดิฉันพยายามหาอาหาร
ที่ลดมัน ลดหวาน ลดเค็ม แล้วหมอโรคไตก็ห้ามกินผลไม้สีสัน เบเกอรี่ และธัญพืช เพราะคุณพ่อเคย
มีอาการเกร็ง อาการเจ็บหน้าอกจนต้องตื่นกลางดึก คุณหมอบอกว่าเกิดจากอาหารพวกถั่วและผลไม้สีสัน
คุณพ่อจึงมีอาหารที่ต้องเลี่ยงหลายอย่าง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ดิฉันจะจัดอาหารที่จืดลง ลดข้าวในจาน เพิ่มผัก ผลไม้ ลดของหวาน คุณพ่อก็ทานได้
ไม่มีปัญหา เพราะเป็นคนกินง่าย แต่ระหว่างทาน คุณแม่ก็จะมานั่งด้วยพร้อมชวนคุณพ่อทานกับข้าวที่
ท่านทำหรือซื้อมาให้ ซึ่งเป็นของชอบคุณพ่อ เช่น ขาหมู คากิ หมูทอด ฯลฯ ทั้งเค็ม ทั้งมัน บ่อยครั้งก็เป็น
ของหวานแบบจัดเต็ม คงไม่ต้องบอกว่าคุณพ่อจะเลือกทานอะไร ดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
ปล่อยแบบนี้คุณพ่อจะแย่ ก็พยายามบอกคุณแม่ด้วยเหตุด้วยผล ท่านก็ไม่ค่อยฟัง ไม่พอใจ เถียงว่า
คนป่วยก็ต้องกินอร่อยๆจะได้มีความสุข มันจะอะไรกันนักหนา เคยกินเคยอยู่กันมาแบบนี้ บลาๆ เมื่อ
คุณแม่ยังคงไม่สนใจ ทำเหมือนเดิม ที่สุดดิฉันยกจานอาหารของท่านออกไปจากโต๊ะเลย
(ซึ่งยอมรับว่าไม่เหมาะสม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว)
ปัญหานี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับคุณแม่แย่ลง ท่านไม่พอใจดิฉันไปเสียทุกอย่าง ดิฉันไม่
อยากทะเลาะด้วย จึงไม่พูดด้วย ต่างคนต่างอยู่ จนถึงเวลานี้เราแทบไม่พูดกันเลย ทั้งที่เมื่อก่อนนี้เรา
เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พากันไปดูหนัง ฟังเพลงด้วยกัน จนพี่น้องยังบอกว่าดิฉันสนิทกับคุณแม่มากกว่าใคร

คำถามค่ะ
1) ดิฉันควรจัดการความสัมพันธ์กับคุณแม่อย่างไรดี จริงๆ ปัญหาระหว่างดิฉันกับแม่มีเพียงเรื่องเดียว
คือเรื่องอาหารของคุณพ่อ ดิฉันคิดจะหลีกทางให้คุณแม่ เขาอยู่ด้วยกันมานานกว่า 60-70 ปี มีวิถี
การกินที่คุ้นเคย วันนี้คุณแม่ก็ชราเกินกว่าจะปรับตัว ถ้าดิฉันปล่อยให้คุณแม่ทำตามใจ ความสัมพันธ์
ของเราก็จะดีขึ้น ที่สำคัญ เชื่อว่าคุณแม่ซึ่งอายุท่านก็มากแล้ว ท่านคงเครียด ไม่มีความสุข ดิฉันกลัวว่า
สร้างคนป่วยเพิ่มขึ้นอีกคน ส่วนปัญหาสุขภาพคุณพ่อนั้น ดิฉันควรต้องปล่อยวาง ถือคติสัตว์โลกย่อม
เป็นไปตามกรรม หรือวางใจในจักรวาลอย่างที่คุณหมอบอกไหมคะ ถ้าเลือกทางนี้ ดิฉันสงสารคุณพ่อค่ะ
ท่านคงต้องพบปัญหาสุขภาพตามมาแน่ ขอคุณหมอแนะนำวิธีทำใจด้วยค่ะ

2) กรณีนี้ นอกจากคุณแม่ คุณพ่อก็ไม่พอใจดิฉันที่ห้ามโน่น ห้ามนี้ เห็นของอร่อยมาวางตรงหน้า แต่ก็
โดนดิฉันกดดันไม่ให้ทานบ้าง ตักให้ครึ่งเดียวบ้าง ท่านก็ไม่พอใจ ถึงจะบอกเหตุผลไปก็จะไม่สนใจ
เพราะอดใจไม่ได้ จนหลังๆชักเหม็นหน้าดิฉันแล้ว ดิฉันกำลังทำคุณบูชาโทษอยู่รึเปล่าค่ะ มันต้องมีอะไร
ผิดแน่ๆ ทั้งที่เราทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อเขา ดิฉันทำผิดอะไรไปค่ะ

3) ผู้ป่วยโรคไต หัวใจ ความดัน เบาหวาน อย่างคุณพ่อ ไม่ควรทานถั่ว ธัญพืช ผักผลไม้ที่มีสีเข้ม
จริงหรือค่ะ อย่างนั้นคงเหลือผักผลไม้ไม่กี่ชนิดที่ทานได้ ถั่วนี่ของโปรดคุณพ่อเลย เคยงดไป การขับถ่าย
มีปัญหาเลย เราทานบ้างวนๆไปได้ไหมค่ะ มันส่งผลอะไรต่อร่างกาย เกี่ยวกับอาการเกร็งขาตอนกลางคืน
หรืออาการแน่นหน้าอก รึเปล่าค่ะ

4) ดิฉันเกษียณมาโดยต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณค่า สะสมความดี ที่ผ่านมาใช้ชีวิตทำงาน หาเงิน
แสวงหาความสุขเพื่อตัวเองมาตลอด ต่อจากนี้ตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อประโยชน์คนอื่น คือดูแลคุณพ่อ
คุณแม่ และไม่ขอความช่วยเหลืออะไรจากพี่น้อง เพื่อให้พี่น้องได้มีเวลาไปดูแลตัวเองและครอบครัว แต่ตอนนี้
ชีวิตเกษียณของดิฉันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง ดูแลคุณพ่อ ก็ขัดใจคุณพ่อ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร และขัดใจ
คุณแม่ ทำให้ท่านไม่มีความสุข ตัวเองก็เหนื่อย ทุกๆวันจิตใจก็ขุ่นมัว กลัวจะติดนิสัยไปจนถึงตอนแก่ กลาย
เป็นคนแก่ขี้หงุดหงิด ไม่มีชีวิตที่ สงบ เย็น และสร้างสรรค์ ดิฉันควรจะวางจิตใจอย่างไรดีค่ะ ตั้งใจจะมาเป็น
นางฟ้า ไหงกลายร่างเป็นซาตานไปซะงั้น

คุณหมอจะตอบหรือไม่ก็จะเป็นแฟนคลับตลอดไปค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าจะดูแลอาหารการกินให้คุณพ่อ คุณแม่ก็มาขัด จะรับมือกับทั้งคุณพ่อคุณแม่อย่างไรดี ต
อบว่าผมจะสอนหลักพื้นฐานวิชาแพทย์สักสองสามข้อให้คุณเอาไปใช้นะ เพราะคุณทำหน้าที่ดูแล
สุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ ก็คือคุณต้องทำหน้าที่แพทย์นั่นเอง

หลักพื้นฐานวิชาแพทย์มีอยู่ว่า เราจะไม่ทำร้ายคนไข้ นั่นประการหนึ่ง เราจะไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์
นั่นอีกประการหนึ่ง และเราจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของคนไข้ นั่นอีกประการหนึ่ง
เอาหลักไม่ทำร้ายก่อน อย่างน้อยตอนนี้คุณทำร้ายจิตใจของคุณแม่และคุณพ่อโดยการใช้อำนาจ
ของความเป็นลูกเข้าไปบังคับจัดการเอาอย่างใจตัวเองข้างเดียว คุณผิดไปหนึ่งหลักแล้วนะ

แล้วหลักไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ละมันเป็นอย่างไร คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งที่มีประโยชน์ในทางการแพทย์
มีอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ (1) ความยืนยาวของชีวิต (2) คุณภาพชีวิต ที่เหลือนอกจากสองข้อนี้ล้วนเป็น
สิ่งไร้ประโยชน์ในทางการแพทย์

เอาประเด็นความยืนยาวของชีวิตก่อน คนอายุ 85 ปีพูดแบบบ้านๆก็คือใช้สัมประทานไปหมดแล้ว
รอแต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะมาเรียกกลับ ในทางการแพทย์อายุขนาดนี้ก็มักจะไม่ทำการรักษาแบบรุกล้ำ
ใดๆแล้ว ดังนั้นถ้าผมเป็นคุณผมจะไม่พยายามขยายความยืนยาวของชีวิตของคนอายุปูนนี้ออกไป
เพราะพยายามไปก็อาจจะได้แค่นิดหน่อยแต่ต้องแลกกับอะไรที่แยะจนไม่คุ้มกัน การดื้อดึงทำสิ่งซึ่งรู้ๆ
อยู่ว่าแทบจะไม่มีผลอะไรต่อความยืนยาวของชีวิตเพราะชีวิตได้ยืนยาวมาจวนเจียนจะสุดขอบของมันแล้ว
นั่นแหละคือการทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะหันมาสนใจประเด็นคุณภาพชีวิตมากกว่า ว่าทำอย่างไรจะให้คุณภาพชีวิตของท่าน
ดีขึ้น ตอนผมเป็นนักเรียนแพทย์ที่ปกสมุดของนักเรียนทุกคนจะปั๊มโลโก้ไว้ว่า “อัตตานัง อุปมัง กเร”
ผมแปลง่ายๆว่าถ้าเราเป็นคนไข้ในสภาพอย่างนี้เราจะคิดอย่างไร คุณก็ใช้หลักนี้เลย สมมุติว่าคุณ
อายุ 85 ปี นอนกึ่งติดเตียงแบบคุณพ่อ คุณอยากทำอะไรให้คุณภาพชีวิตของคุณดีขึ้นบ้าง คุณจะกินอะไร
จะอยู่อย่างไร จะทำอะไร นั่นแหละ คือคำตอบว่าคุณควรจะเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คุณพ่อได้อย่างไร
อย่าไปคิดจากมุมของลูกสาวดีเด่นในสายตาของชาวบ้านเพราะคำตอบที่ได้ไม่ใข่คำตอบที่คุณพ่ออยากได้

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่ทุกครั้งที่เจอหน้าท่าน เพราะแค่คุณยิ้มให้คุณภาพชีวิต
ของท่านทั้งสองก็ดีขึ้นแล้ว

ผมจะเปิดให้ทั้งสองท่านได้โอ๋ได้เอาใจกันเพราะเวลาที่ท่านจะอยู่ด้วยกันก็เหลือไม่มาก เปิด
ให้ท่านได้กินอะไร ได้ทำอะไรที่ท่านอยากกินอยากทำ หากคุณอยากจะสอดแทรกอะไรด้วยความหวังดี
อย่างมากก็แค่สอดแทรกหลักธรรมะซึ่งมีประโยชน์สำหรับบั้นปลายชีวิต เช่นชวนฝึกสติสมาธิ ชวนฝึก
ผ่อนคลายร่างกาย เป็นต้น

2.. ถามว่าผู้ป่วยโรคไต หัวใจ ความดัน เบาหวาน อย่างคุณพ่อ ไม่ควรทานถั่ว ธัญพืช ผักผลไม้ที่มีสีเข้ม
จริงหรือคะ ตอบว่าไม่จริงหรอกครับ คำสอนแบบนั้นมันเป็นคำสอนตามความเชื่อในคอนเซ็พท์บาง
อย่างแต่ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ เพราะหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยได้ในคนตัวเป็นๆบ่งชี้ว่า
อาหารที่ดีที่สุดของผู้ป่วยโรคเรื้อรังรวมทั้งโรคไตคืออาหารพืชเป็นหลัก ซึ่งก็คือทุกอย่างที่คุณรับฟัง
มาว่าหมอห้ามกินนั่นแหละ คุณควรจะขวานขวายไปหามาให้ท่านกิน รายละเอียดเกี่ยวกับความเข้าใจผิด
สับสนระหว่างไฟเตทกับฟอสเฟตจนนำไปสู่การห้ามผู้ป่วยโรคไตกินถั่วกินนัทนั้นผมพูดไปบ่อยแล้ว
ไม่ขอพูดซ้ำ คุณไปหาอ่านเอาเอง

3.. ถามว่าตัวเองจะวางจิตใจอย่างไรดีจึงจะไม่กลายเป็นคนแก่ขี้หงุดหงิดไม่สงบเย็น ตอบว่า..อ้าว
ก็ไหนคุยว่าเป็นแฟนหมอสันต์ชอบอ่านเรื่องจิตวิญญาณมากๆ แล้วที่อ่านมาไปไหนเสียหมดละครับ
(หิ หิ เปล่าต่อว่า แค่ล้อเล่น) เอาเป็นว่าผมซักซ้อมความเข้าใจคอนเซ็พท์ชีวิตง่ายๆกับคุณสักอย่างสองอย่าง

คอนเซ็พท์แรกก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วันนี้พูดถึงแค่ “อนัตตา” ตัวเดียวก็พอ ปัญหาของคุณคือ
“อัตตา” ของความเป็นลูกกตัญญูมันใหญ่คับฟ้าจนพ่อแม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะมีลูกใหญ่ระดับบ้าอำนาจ
คุณก็แค่เอาคอนเซ็พท์อนัตตามาใช้สิครับ ว่าความอยากเป็นลูกกตัญญูระดับที่ชาวบ้านมองกันด้วย
สายตาชื่นชมนั้นมันเป็นแค่บทละครที่คุณเขียนขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ของจริง เวลาเล่นละครบทนี้
คุณไม่ต้องอินมากจนพ่อแม่กระเจิดกระเจิงก็ได้ เอาแค่พอดีๆ

คอนเซ็พท์ที่สองก็คือการอยู่นิ่งๆตรงกลาง มัชฌิมา ปฏิปทา อยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งไปหาหรือ
ไปกอดรัดสิ่งที่ใจชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ใจไม่ชอบ เพราะใจนั้นมันเป็นแค่ความคิดหรือคอนเซ็พท์ชั่วคราว
ไม่ใช่ของจริง ให้คุณอยู่นิ่งๆตรงกลาง มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ยอมรับมันทั้งหมด acceptance
ยอมรับ ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับมันตามที่มันเป็น ท่องคาถาสี่บทของหมอสันต์ทุกวัน ขอบคุณ
ขอโทษ ให้อภัย เมตตา

ควบคู่กับคอนเซ็พท์อนิจจังทุกขังอนัตตา และคอนเซ็พท์มัชฌิมาปฏิปทา ให้คุณฝึกสร้างความช่ำชอง
ในการใช้เครื่องมือวางความคิด กรณีของคุณผมแนะนำให้ใช้เครื่องมือชิ้นเดียวให้เป็น คือผ่อนคลาย
กล้ามเนื้อ relaxation ซึ่งคุณประเมินผลการใช้ได้ด้วยตัวเองด้วยการมองหน้าตัวเองขณะยิ้มกับกระจก
ยิ้มกับพ่อแม่ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ทำแค่นี้อย่างเดียวทุกวันก็พอ แล้วคุณจะบรรลุธรรม และคุณพ่อคุณแม่ของคุณ
ก็จะได้อานิสงส์ มีความสุขไปด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

:s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 05, 2023 8:50 pm

( 16 )

เมื่อปี 2002 - - ผู้หญิงอพยพคนหนึ่งให้กำเนิดลูกชายที่เมืองมาดริด ประเทศสเปน คลอดได้
เพียงสองวัน เธอกับสามีและลูกน้อยก็ต้องออกจากโรงพยาบาลมานอนข้างถนน...
.
โชคดีที่คอนราโด ฆิเมเนซ ได้ไปพบและช่วยเหลือพวกเขา ขณะนั้น คอนราโดเพิ่งตั้ง
The Godmother Foundation (มูลนิธิแม่ทูนหัว หรือ แม่อุปถัมภ์) ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือ
สตรีมีครรภ์และทารก ในช่วงเริ่มแรก เขาทำงานทั้งหมดเพียงคนเดียว
.
คอนราโดเล่าถึงสาเหตุที่ตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพียงสั้น ๆ - - “ผมรู้สึกได้ว่าพระเจ้าขอให้ผมลาออกจาก
งานธนาคาร แล้วมาจัดการงานช่วยเหลือคุณแม่เหล่านี้...” แน่นอน งานของเขาหนักและเหนื่อย
ตลอดมา แต่จู่ ๆ สิ่งที่เขาแทบจะไม่เคยคาดหวังมาก่อนและทำให้เขามีความสุขในสิ่งที่ทำก็มาถึง - -
.
เขาได้รับจดหมายจากทารกที่เขาเคยช่วยเหลือให้มีโอกาสใหม่ในชีวิต - - เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม
คอนราโดได้รับ "ของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุด ที่ผมเคยได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย... ผมไม่เคยได้รับ
จดหมายแบบนี้มาก่อน” มันทำให้น้ำตาเขาคลอเบ้า ขณะอ่านจดหมายจากเด็กทารกคนนั้นที่เขา
เคยช่วยเหลือในปี 2002 ซึ่งปัจจุบันโตเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปี ชื่อเดวิด - -
. . . . .
.
จดหมายถึงพ่อทูนหัวของผม :
.
วันนี้ครบ 20 ปี ตั้งแต่วันที่คุณเข้ามาในชีวิตของเรา วันนั้น ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน
และถึงแม้ผมจะจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้ แต่คุณแม่ของผมก็ได้เล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับช่วง
เวลานั้น พวกเขายังเด็กนัก อยู่ในประเทศแปลกหน้าและห่างไกลจากญาติพี่น้องหลายพันไมล์...
.
เหตุการณ์โชคร้ายหลายต่อหลายครั้งทำให้พวกเขาต้องอยู่บนถนนพร้อมกับเด็กแรกเกิดในกลาง
เดือนธันวาคม - - คุณแม่ไม่เคยหยุดขอบคุณผมเลย เพราะวันนั้นผมเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดในครอบครัว
ตลอด 17 ชั่วโมงที่พวกเขาเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนในกรุงมาดริด ท่านบอกว่า ผมไม่ปริปากร้องเลย
แม้แต่ครั้งเดียว ผมได้แต่มองด้วยตาโตจ้องไปยังผู้ใหญ่สองคนที่เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายและ
บางครั้งก็น้ำตาไหล...
.
ผมรู้ว่ามันยากลำบากมาก ผมเห็นได้จากสีหน้าของท่าน ทุกครั้งที่เล่าเรื่องวันนั้นให้ฟัง แต่ในทันใด
ผมก็จะเห็นใบหน้าของท่านสว่างสดใสขึ้นเมื่อท่านพูดถึงคุณ เพราะท่านเล่าว่า … จู่ ๆ คุณก็ปรากฏตัวขึ้น!
.
(คุณเป็น) เทวดาที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อซับน้ำตาของท่าน คุณเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ได้สวมผ้าคลุม แต่ด้วย
สองมือที่อบอุ่นและรอยยิ้มที่อ่อนโยน...
.
มีคำกล่าวว่า ชีวิตวัดกันตรงช่วงเวลาที่(มีความสุข)จนทำให้คุณลืมหายใจ แต่นั่นไม่จริง! ชีวิตวัดกันตรง
ที่ผู้คนให้ลมหายใจกับคุณ เมื่อชีวิตถูกกระหน่ำซัดอย่างแรงจนทำให้หายใจไม่ออก
.
ช่างเป็นเรื่องดีเพียงใด หลังชีวิตพังพินาศ ก็ได้พบใครสักคนที่เข้าใจและเห็นคุณค่าในตัวคุณในที่สุด
.
ช่างดีแค่ไหนที่ล้มลงแล้ว มีมือใหญ่โตพร้อมจะรับคุณไว้...
...
.
ผมชื่นชมคนที่ไม่ซับซ้อนอย่างคุณ คุณช่างยอดเยี่ยม!! ผมชื่นชมคนที่มีเรื่องให้พูดแต่จะไม่พูดมาก,
คนที่เป็นสัญญาณไฟช่วยวิญญาณซึ่งหลงอยู่ในความมืดให้พบทาง, คนที่ปรบมือและชื่นชมยินดีกับ
ความสำเร็จของผู้อื่น,
ผมชื่นชมคนที่จากไป แต่ยังคงอยู่เสมอ เพราะผมเติบโตมาห่างไกลจากคุณ แต่ผมก็รู้สึกว่าคุณอยู่ด้วย
ตลอดเวลา...
.
ขอบคุณ ที่คุณทำให้ผมเข้าใจว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไปเสมอ เพื่อเราจะสามารถเขียนบทใหม่ต่อไปได้
เพราะความสุขจะอยู่ที่นั่น... เพราะผมสมควรได้รับและคุณก็สมควรได้รับความสุขนั้น ผมเห็นได้จากหน้า
คุณแม่ทุกครั้งที่ท่านเอ่ยชื่อคุณ...
.
...คุณมีของประทาน (จากสวรรค์) ในการรู้วิธีใช้กุญแจที่ถูกต้องเพื่อทำให้หัวใจสูบฉีดด้วยความกระตือ
รือร้นและความหวัง เพื่อให้เด็กที่เกิดมาสามารถยิ้มได้ ในสถานการณ์ที่ไม่ควรเป็นอย่างที่เห็น...
.
ขอบคุณสำหรับการไม่ยอมแพ้ สำหรับเวลาหลายต่อหลายชั่วโมงในการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินนับร้อย ๆ เคส
รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรและสร้างความมั่นใจในทุกเวลา ขอบคุณสำหรับความหวังมากมาย...
.
ขอบคุณที่คุณทำให้ วันนี้ ผมเป็นหนุ่มน้อยผู้สร้างเส้นทางของตัวเองได้ด้วยความสงบและความมั่นใจ
ที่คุณส่งต่อให้ ในโลกที่ไม่ได้น่ารักเสมอไป...
.
ขอบคุณที่คุณทำให้ ผมเป็นผู้รอดชีวิตคนหนึ่ง ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เพราะผมวางแผนที่
จะไปให้ไกล ผมเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่สนุกกับทุกช่วงเวลาและยึดมั่นในประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผม
ขอขอบคุณ สิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดจะเป็นความสำเร็จในนามของคุณเสมอ
.
นี่คือ 20 ปี ที่อยู่ในถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมด แต่ยังมีอีกมากที่จะเขียนต่อไป
.
ในขณะเดียวกัน ผมจะเก็บคุณไว้ในจิตวิญญาณและหัวใจของผม
.
เดวิด
. . . . .
.
คอนราโด รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับจดหมายขอบคุณนี้ เขาตอบกลับสั้นๆ ว่า :
.
"...ขอบคุณ เดวิดตัวน้อยของฉัน มันคุ้มค่าที่จะอยู่ทุกวันเพื่อให้ชีวิตผู้อื่น เพราะ
“เด็กทุกคนที่เกิดมาจะนำสารบางอย่างมาให้เสมอ พระเจ้ายังไม่สิ้นหวังในมนุษย์”

ฉันเชื่อว่า “พระเจ้าทรงเลือกและสร้างเด็ก-ที่โลกไม่ต้องการหรือรัก แต่กลับเป็นคนที่พระเจ้า
ต้องการและรักมาก...”
. . . . .
.
ผมเอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะประทับใจในสิ่งที่คอนราโดทำ ตอนที่เขาออกจากงานมั่นคงมาตั้ง
มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น นอกจากความกล้าแล้ว ยังต้องอดทนต่อคำถามหรือคำพูดของคนรอบข้าง
ที่มีแต่น่ารำคาญและบั่นทอนใจให้อ่อนล้า...
.
อย่าว่าแต่คนอื่นไม่เข้าใจ บางครั้ง, เราเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง ที่อยู่ดี ๆ ก็ลาออกจากงานเงินเดือนสูง
เปลี่ยนอาชีพมาเป็นพนักงานฟลูไทม์ของพระเจ้า แถมรายได้ก็แค่พออยู่พอกินเท่านั้นเอง...
.
เรื่องของคอนราโดทำให้ผมมองเห็นและเข้าใจแล้วว่า ถึงจะแค่พอกินไม่อิ่มท้อง ทว่าก็ทำให้อิ่มใจได้
ด้วยความสุข - - และถึงแม้ 'ความสุข'นั้น บางครั้ง กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาตั้ง 20 ปี! แต่มันก็เป็น
'ความสุขแท้จริง' ที่อิ่มไปนาน-อาจถึงนิรันดร์!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรพนักงานของพระองค์ด้วย 'ความสุขแท้จริง' ]
.
ภาพ/ที่มา : Gentileza Fundación Madrina / Aleteia
.
. . . . . . . . .
.
แนะนำหนังสือเล่มใหม่ของ ป ะ ก า รั ง
**********************************
ของขวัญสำคัญ วันแห่งความรัก
ถูกกว่าดอกไม้ ให้กำลังใจได้นาน -ไม่โรย!
***********************************
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง
พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
. . . .
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 12, 2023 2:48 pm

( 17 )

มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง มีแต่ความสุข ไม่เคยมีทุกข์...

วันหนึ่ง โยมนิมนต์ไปเทศน์ แต่ไม่มาสักที ท่านบอกว่า
“ไม่มาก็ดีเหมือนกันเนาะ ฉันข้าวเลยดีกว่า”

ฉันได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับ กราบขอโทษว่ารถเสีย

หลวงพ่อจึงหยุดฉัน “ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ”

ไปสักพักรถก็ดับ คนขับบอก “รถเสียครับ”

หลวงพ่อก็ว่า “ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ”

คนขับทำยังไงเครื่องก็ไม่ติด จึงขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ
แม้ท่านจะแก่แล้ว ข้าวก็ฉันไปไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น
กลับยิ้มบอกว่า “โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ”

กว่าจะถึงงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันอาหาร
เป็นอันว่าวันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้ง 2 มื้อ ขึ้นเทศน์เลย
ท่านบอกว่า “ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ”

เทศน์จบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล
ท่านจิบแล้วก็บอกว่า “ดีเนาะ”

ตามธรรมเนียมของผู้ที่ศรัทธาเกจิอาจารย์
เวลาท่านฉันอะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากทานต่อ ถือเป็นมงคล
แต่จิบกาแฟนิดเดียวก็พ่นพรวดออกมา

“เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันเข้าไปได้ยังไง !”

“ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆมานาน เค็มมั่งก็ดีเหมือนกัน”

ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นแย่แค่ไหน
หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี จึงไม่มีความทุกข์เลย

เคยมีลูกศิษย์ทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า
“ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต”

วันหนึ่งมีโจรบุกจี้หลวงพ่อบนกุฏิ
“นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ”
ท่านกลับยิ้มบอกว่า “ปล้นก็ดีเนาะ”

โจรจึงถามว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีล่ะหลวงพ่อ”

หลวงพ่อตอบว่า ...
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติ
บ้าๆนี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมด ข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก”

โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียว ฉันต้องฆ่าปิดปากหลวงพ่อด้วย”
หลวงพ่อก็ตอบ “ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรแปลกใจ “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”
ท่านตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายก็ดี จะได้ไม่ทุกข์”

โจรเลยบอกว่า “ไม่ฆ่าแล้ว”
หลวงพ่อก็พูด “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”

โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”
ท่านตอบว่า “การฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาติ
นี้และชาติหน้า ตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก
หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก”

โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นท่านแล้ว”
หลวงพ่อก็ตอบว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ”

โจรเลยสำนึกบาปเข้ามอบตัว เมื่อพ้นโทษก็ขอบวชกับหลวงพ่อ

คนจึงให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อดีเนาะ ..
เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน
มองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าหรือจับผิดใคร
เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ”

ท่านได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น
“พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที”
ซึ่งแปลว่า...ผู้เปล่งอุทานเป็นธรรมะ

วัดมัชฌิมาวาส ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี

อายุ 98 ปี (พ.ศ.2415 - 2513)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 12, 2023 2:53 pm

( 18 )

โลกยุคดิจิตัลทุกวันนี้ ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แม้แต่การทำความดี แทนที่
จะดีตรงออกมาจากใจบริสุทธิ์ กลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนไข จะทำความดีทั้งที ยังต้องคิดสร้างเรื่อง
เป็น ‘คอนเทนต์’ เพื่อดึงยอดไลก์!
.
ผมเคยเห็นคลิปทางโซเชียลมีเดีย- - ชายคนหนึ่งทำทีเป็นเดินผ่านคนไร้บ้านที่นั่งอยู่ข้างถนน
แล้วทำซองเงินตก ชายไร้บ้านพยายามจะร้องบอก แต่ชายอีกคนเดินผ่านมาพอดี พร้อมก้มลง
เก็บเงิน เขาแบ่งเงินในซองส่วนหนึ่งให้คนไร้บ้านเป็นค่าปิดปากว่าอย่าบอกใคร แล้วเอาเงินที่เหลือไป...
.
เมื่อชายคนแรกเจ้าของเงินเดินกลับมา ถามคนไร้บ้านว่าเห็นซองเงินที่เขาทำตกไหม ชายไร้บ้าน
อึกอัก ไม่กล้าสบตา พูดไม่เต็มปากว่าไม่เห็น... เมื่อโดนซักไซ้มาก ๆ เข้า และเมื่อรู้ว่ามีกล้องคอย
ถ่ายอยู่ตลอดเวลา ชายไร้บ้านถึงกับร้องไห้อดสูใจในการกระทำของตัวเอง เขาคืนเงินและขอโทษ...
ขณะที่เจ้าของซองเงินปลอบโยนว่าไม่เป็นไร จะมอบเงินซองนั้นให้อยู่แล้ว เป็นแค่ถ่ายคอนเท็นต์ลองใจ...
.
บางครั้ง ผู้คนต้องการสร้างเรื่องราวเพื่อใช้เป็น ‘คอนเทนต์’ในโซเชียลมีเดีย จนลืมความเป็นมนุษย์
ของผู้อื่น คนไร้บ้านซึ่งอยู่ในสถานะลำบากยากไร้หิวโหย กลับถูกนำมาทดสอบความดีในชั่วเสี้ยว
วินาที ด้วยการยัดเยียดโจทย์จริยธรรมให้เขาตัดสินใจ แล้วยังแอบถ่ายคลิปมาให้คนดูชื่นชม
ความใจบุญของตัวเอง ซึ่งมาจากการทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น...
.
จิม แคร์รีย์ นักแสดงตลกเคยกล่าวเตือนสติว่า
.
“ลองนึกภาพว่าถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพลำบากเป็นคนไร้บ้าน แล้วมีคนเอากล้องมาจ่อหน้าคุณ
เพื่อให้อาหารคุณ แล้วคุณต้องยื่นมือรับ ลองนึกถึงความรู้สึกตอนนั้นดูสิว่าเป็นอย่างไร... ได้โปรด
หยุดทำอย่างนั้นเถอะครับ ถ้าคุณจะช่วยเหลือใคร ทำด้วยความกรุณา ไม่ใช่ด้วยอัตตาของคุณ”
.
โลกในยุคอดีต การให้ ไม่ใช่แค่ให้อย่างเดียว ยังต้องมี 'ศิลปะในการให้'ด้วย ทำอย่างไรไม่ให้ผู้รับ
รู้สึกไม่ดี อับอาย หรือเสียศักดิ์ศรี - -
...
.
เด็กหญิงแปลกใจเมื่อได้ยินคุณแม่ขอเกลือจากเพื่อนบ้านซึ่งยากจนกว่า และมาขอสิ่งต่าง ๆ จากบ้าน
ของเธอเสมอ จึงถามท่านว่าทำไมถึงไปขอเขา ทั้งที่บ้านเราเองก็มีเกลือ คุณแม่ตอบว่า
.
“ก็เพราะพวกเขาไม่มีเงินและมาขอจากเราบ่อย แม่เลยคิดว่า จะขออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เป็นภาระ
จากพวกเขาบ้าง ซึ่งจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า พวกเขาก็มีประโยชน์ต่อเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ จะทำให้
พวกเขารู้สึกสะดวกใจที่จะขออะไรจากเราเมื่อถึงคราวจำเป็น...”
.
เมื่อเราจะให้ ต้องให้จากใจที่ดี และคิดถึงใจผู้รับด้วย...
. . . . .
.
บทอ่านสำหรับวันอาทิตย์นี้ (12 กุมภาพันธฺ 2023) มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญ
มัทธิว (มธ 5:20-22, 27-28, 33-34, 37) พระเยซูเจ้าตรัสว่า ถ้าใครต้องการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์
ความชอบธรรมของเขาต้องดีกว่าพวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสี ความหมายก็คือ ไม่ใช่แค่ดีแบบ
ที่ทางโลกกำหนด หากต้องดีกว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า!
.
ใคร ๆ ก็รู้กฎอย่าฆ่าคน ซึ่งปฏิบัติตามได้ไม่ยาก แต่หลายคนกลับ“แทงข้างหลัง”ผู้อื่น ทำลายชื่อ
เสียงหน้าที่การงานด้วยวิธีไม่สัตย์ซื่อ, แม้แต่กับพี่น้อง หากแม้นด่าด้วยคำหยาบคาย นั่นย่อม
มาจากใจที่ตัดสินผู้อื่นและไม่ให้อภัย นับว่าผิดหันต์ เช่นเดียวกับ อย่าล่วงประเวณี ทุกคนรู้กฎนี้ดี
ถึงไม่ได้กระทำ แค่คิดร้ายในใจ ก็ถือว่าผิดบาปแล้ว...
.
พระเยซูเจ้ายังเตือนเรื่อง อย่าอ้างพระเจ้า ในการเอ่ยคำสาบาน จงพูดเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’
อย่างตรงไปตรงมาจากใจ นั่นหมายถึง ผู้เชื่อควรซื่อสัตย์ในสิ่งที่พูดและทำ โดยไม่ต้องใช้แรงกดดัน
จากคำสาบาน และควรดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อถือโดยไม่ต้องพึ่งพาคำสาบานใด
.
ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าทำร้าย, โกรธเคือง, ผิดประเวณี หรือเอ่ยคำสาบาน ทุกการกระทำล้วนมีจุดเริ่มต้น
มาจากใจทั้งสิ้น ฉะนั้น เราต้องรักษาใจให้สะอาดและมั่นคง อย่างเช่น การให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่โลก
ยุคใหม่ทำให้ ‘ความดีงามจากการให้’ ถูกบิดเบือนไป แทนที่จะให้เพราะใจกรุณา กลับทำไป
เพื่อเสริมอัตตาตัวเอง!
.
ทุกวันนี้ การทำร้ายทำลาย ด่าทอหยาบหยาม หรือผิดประเวณีทางสื่อโซเชียล เกิดได้ง่าย มีให้เห็น
มากมาย ดังนั้น จงระวังใจตนเองให้แน่นหนัก อย่าลื่นไหลไปในกระแสเชี่ยวกรากของดิจิตัล ซึ่งนับวัน
จะพาเราหลงทาง ถลำลึกจมลงสู่ห้วงบาปอย่างรวดเร็วและไม่รู้ตัว - - คงไม่มียุคไหนแล้วที่เราต้องการ
'พระผู้ช่วยให้รอด'มากเท่ายุคนี้!
.
พระเยซูเจ้าจึงไม่ได้มาเปลี่ยนกฎ หากปรับมาตรฐานใหม่ให้ชัดเจนกว่ามาตรฐานเดิม หรืออีกนัยหนึ่ง
มาบอกใบ้ติวให้เราตอบข้อสอบให้ถูกต้องตรงคำถาม - - ถึงจะผ่านประตูสู่อาณาจักรสวรรค์ได้!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 24, 2023 1:00 pm

( 19 )


ทุกคืน หลังเสร็จสิ้นงานประจำวัน ฮูลิโอ ดิแอซ นักสังคมสงเคราะห์วัย 31 ปี จะนั่งรถไฟใต้ดิน
ไปยังบรองซ์ และลงก่อนถึงจุดหมายหนึ่งสถานี เพื่อแวะทานอาหารในร้านโปรดของเขา
.
ดึกดื่นคืนหนึ่ง ขณะที่ดิแอซก้าวลงจากขบวนรถไฟหมายเลข 6 และเดินไปบนชานชาลาที่เกือบ
จะว่างเปล่า ร้างไร้ผู้คน ค่ำคืนของเขากลับพลิกผันอย่างคาดไม่ถึง - -
.
ขณะเดินตรงไปที่บันได ชายวัยรุ่นคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาใกล้และดึงมีดออกมา ไม่ทันที่โจรวัยรุ่น
จะกล่าวอะไร ดิแอซก็พูดขึ้นก่อนว่า
.
“เธอต้องการเงินใช่มั้ย งั้น...เอาไปเลย” ดิแอซยื่นกระเป๋าเงินให้เขา
.
เมื่อได้รับกระเป๋าเงิน วัยรุ่นคนนั้นก็รีบเดินจากไปทันที ดิแอซตะโกนว่า

“เดี๋ยวก่อน เธอลืมอะไรบางอย่าง”

วัยรุ่นหันกลับมามองด้วยความสงสัย
.
“ถ้าคืนนี้ จะไปปล้นคนอื่นอีกตลอดทั้งคืน ก็ควรเอาเสื้อโค้ทของฉันไปด้วยเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น”
.
พูดพลางดิแอซก็ถอดเสื้อโค้ทให้ วัยรุ่นยืนงง ถามว่า “ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้?”
.
ดิแอซตอบว่า: “ถ้าเธอยอมเสี่ยงต่อการถูกจับสูญเสียอิสรภาพด้วยเงินเพียงไม่กี่ดอลลาร์
ฉันก็เดาว่าเธอจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ...ส่วนฉัน เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เสื้อโค้ท
และทั้งหมดที่ฉันต้องการทำตอนนี้ คือไปนั่งทานอาหารในร้านอุ่น ๆ เท่านั้นเอง อ้อ...
ถ้าเธอต้องการไปทานด้วยกัน … ก็ยินดีนะ”
. . . . .
.
วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2023 เป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 7 สัปดาห์สุดท้ายของเทศกาล
ธรรมดา ก่อนเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลมหาพรต บทอ่านประจำวันนี้ มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่า
ของนักบุญมัทธิว (มธ. 5:38-48)
.
พระเยซูเจ้ายังคงปรับความเข้าใจของบรรดาศิษย์ในเรื่องกฎต่าง ๆ ที่จำผิด ๆ สืบทอดต่อกันมา...
อย่างเช่นคำว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ซึ่งคนทั่วไป ยึดเป็นหลักชีวิตมาตลอดโดยเฉพาะสังคมปัจจุบันว่า
ใครร้ายมาต้องร้ายตอบ แต่พระเยซูเจ้ากลับสอนว่า อย่าตอบโต้คนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน
จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย...
.
มิเพียงเท่านั้น พระองค์ยังสอนว่า “...ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถม
เสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขอ
อะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน...”
.
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงให้มนุษย์ด้วยกันกระทำ
ต่อกัน หากเป็นหลักที่ใช้อธิบายถึงกฎการลงโทษของพระเจ้าสำหรับการตัดสิน กล่าวคือบทลงโทษ
จะต้องเหมาะสมกับความผิด การลงโทษไม่ควรเบาเกินไปและไม่ควรหนักเกินไป ความยุติธรรมคือ
การลงโทษที่เหมาะสมกับการทำความผิดนั้นนั่นเอง!
.
อีกหนึ่งคำพูดที่คริสตชนรู้จักกันดี หรือแม้แต่คนทั่วไปก็เคยได้ยิน นั่นคือ “ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน
จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” เป็นคำพูดของพระเยซูเจ้าที่มักจะถูกคนนอกความเชื่อหัวเราะเยาะใส่เสมอ
คริสตชนเองก็ใช่ว่าจะเชื่อฟังทำตาม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าทำได้ยากมาก- - ยิ่งสังคมปัจจุบันเต็มไปด้วย
ความรุ่มร้อน โดยเฉพาะการขับรถบนท้องถนน เราจะเห็นเหตุการณ์อยู่บ่อย ๆ ว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ไม่มีใ
ครยอมหันแก้มอีกข้างให้ นอกจากตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือ ‘หมัดต่อหมัด’เลยทีเดียว!
.
จุดหนึ่งที่ทำให้เราตีความประโยคเหล่านี้ผิดพลาด เพราะเราลืมไปว่า พระเยซูเจ้ามักใช้คำอุปมาในการ
สอนเสมอ เมื่อเราตีความตามตัวอักษรตรงเกินไป จึงหลงเลือนความหมายและคมความคิดบางอย่าง
ที่ซ่อนในทุกตัวอักษรนั้น...
.
ความหมายที่แท้จริงในการหันแก้มอีกข้าง ก็คือ หากเขาทำความชั่วร้ายใส่เรา เราต้องไม่ใช้ความชั่วร้าย
โต้คืนกลับใส่เขา เพราะนั่นยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย (อย่างเช่น หลายกรณีบนท้องถนน แทนที่จะแยกย้าย
กลับบ้าน กลับต้องไปโรงพัก หรือนอนที่โรงพยาบาลแทน)
.
อุปมาในการหันแก้มอีกข้าง ซึ่งบางคนมองว่าเป็นลักษณะของคนขลาด ไม่สู้คน แต่จริง ๆ แล้ว การที่ยอม
หันแก้มอีกข้าง ชี้ชัดให้เห็นถึงความเหนือกว่า, ความนิ่งกว่า และบ่งบอกเป็นนัยว่า 'เราไม่กลัว' และที่สำคัญ
คือ เรามีวุฒิภาวะทางใจที่สูงกว่า คือการให้อภัย!
.
ถ้าเราไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะได้ผลจริง ลองกลับไปอ่านเรื่องข้างบนของฮูลิโอ ดิแอซอีกครั้ง - - เขาเลือกทำตาม
คำสอนอย่างแท้จริง นอกจากไม่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งอาจโดนแทงตายไปแล้ว... เมื่อถูกปล้น เหมือน
ถูกตบหน้าครั้งหนึ่ง เขายังยอมหันแก้มอีกข้างให้ ด้วยการยื่นกระเป๋าเงินให้เสียเฉย ๆ แถมใจดียกเสื้อโค้ท
ให้อีก ไม่หันหลังให้คนที่มาขออะไรจากเรา - - ดิแอซทำตามคำสอนของพระเยซูเจ้าทุกประการ!
.
ผลลัพธ์หรือ? ผมลืมเล่า... คืนนั้น ดิแอซกับวัยรุ่นมือมีดไปทานอาหารด้วยกันในร้านอุ่น ๆ กลางสายลม
สังคมที่หนาวเหน็บ!
.
คำสอนของพระเยซูเจ้ายังมีต่ออีกว่า “จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน...” ดูเหมือน
ดิแอซจะทำได้ครบถ้วนจริง ๆ! - -จง“เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน
ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”
.
ทั้งหมดนี้ คือวิธีเผชิญปัญหาของพระเยซูเจ้า ที่พระองค์ทรงอุตส่าห์นำเคล็ดลับวิธีโต้ตอบและแก้ปัญหา
ของชาวสวรรค์มาสอนมนุษย์เดินดินอย่างเราว่า ปัญหาบนโลกนี้ แก้ได้จริงด้วยวิธีนี้เท่านั้นเอง เชื่อสิ!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
.
[ ภาพประกอบ : Mission Basilica San Diego de Alcalá เป็นโบสถ์เก่าแก่แห่งแรกของ
แคลิฟอร์เนีย สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1769 อยู่ที่แซน ดิเอโก สหรัฐอเมริกา ]
. . . . .
.
*************************************
แนะนำหนังสือเล่มใหม่ของ ป ะ ก า รั ง
*************************************
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง
พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
. . . .
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.พ. 24, 2023 1:03 pm

( 20 )


ให้ค่าแก่มิตรภาพ Value your Friendship.
เพื่อนกันสองคนกำลังเดินทางผ่านทะเลทราย ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอากาศร้อนจัด
ทั้งสองเกิดทะเลาะกันจนเพื่อนคนหนึ่งตบหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อนคนที่ถูกทำร้ายรู้สึก
เจ็บปวดมากทั้งกายและใจ ไม่พูดอะไรและเขียนไว้บนผืนทรายว่า "วันนี้เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน
ตบหน้าฉัน" พวกเขาเดินทางต่อไปจนถึงโอเอซิส พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำในบ่อน้ำทีนั่น
เพื่อนคนที่ถูกตบเกิดติดในโคลนและกำลังจะจมน้ำตาย แต่เพื่อนรักของเขาเข้ามาช่วยชีวิต
เขาไว้ได้ เมื่อเขารู้สึกดีขึ้นแล้วเขาสลักคำพูดบางคำไว้ในหินว่า "วันนี้เพื่อนรักของฉันช่วยชีวิตฉันไว้"
เพื่อนคนที่เคยตบหน้าเขาจึงถามว่า "ตอนฉันตบหน้าแก แกเขียนไว้บนทราย แต่ตอนนี้แกกลับสลัก
ไว้ในหิน ทำไม?" เพื่อนตอบว่า "เมื่อมีคนทำร้ายเรา ทำให้เราเจ็บเราควรบันทึกมันไว้บนทราย
ลมแห่งการให้อภัยสามารถลบล้างให้มันหายไปได้ แต่เมื่อมีใครทำบางอย่างที่ดีแก่เรา
เราต้องสลักมันไว้ในหิน ลมอะไรก็ไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้"
(“when someone hurts us we should write it down in sand where winds of forgiveness
can erase it away. But, when someone does something good for us, we must engrave
it in stone where no wind can ever erase it.”
) การให้อภัยนั้นปลดปล่อยเราออกจากวิถีทางของโลกและนำพาเรามาสู่หนทางของพระเจ้าได้
หนทางนี้มีเมตตาและความรักครับ
(The above story circulated by email during the 1990’s as “author unknown” and
appeared on Christian websites. Since that time it has also appeared on websites
of many faiths, being adapted slightly to suit each faith tradition. Thanks.)

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ เม.ย. 17, 2023 10:01 pm

( 21 )



ล า ย ก า ง เ ข น บ น ห ลั ง ล า
.
ในพระคัมภีร์ไบเบิลจะกล่าวถึงสัตว์ต่าง ๆ มากกว่า 100 ชนิด สัตว์ที่ปรากฏบ่อยที่สุดในพระคัมภีร์
น่าจะเป็นนกพิราบ ส่วนสัตว์ที่ใกล้ชิดพระเยซูในช่วงไม่กี่วันสุดท้ายก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์บนไ
ม้กางเขนกลับเป็นลาน้อยตัวหนึ่งที่พระองค์ทรงขี่เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ดังนี้...
.
“...พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูก
ลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมาให้เราเถิด ถ้าผู้ใดถามว่า ท่านแก้
เชือกผูกลาทำไม จงตอบเขาว่า พระอาจารย์ต้องการใช้มัน” (ลูกา 19:30-31)
.
ลาเป็นสัตว์ใช้งานยามสงบ ส่วนม้านั้นไว้ใช้ในยามศึกสงคราม การที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกขี่ลาเข้าไป
ในเมืองเยรูซาเล็ม ก็เพื่อส่งสัญญาณว่าพระองค์มาเพื่อสันติสุข ไม่ใช่ฐานะนักรบ!
.
สำหรับลาน้อยตัวนั้น มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า...
.
ลาตัวหนึ่งเกิดมาตัวเล็ก จึงไม่สามารถใช้ทำงานหนักขนของได้มากเท่าลาตัวอื่น ชาวไร่เจ้าของลา
อยู่ในฐานะยากจน ไม่อาจเลี้ยงลาที่ไม่ได้ใช้งานให้สิ้นเปลืองอาหาร เขาจึงคิดจะฆ่าลาตัวนั้นเสีย
แต่ลูก ๆ ห้ามไว้ เพราะสงสารมัน พวกเขาแนะนำว่า แทนที่ฆ่า ทำไมไม่ขายให้คนอื่นไปเลี้ยงล่ะ
ชาวไร่ผู้เป็นบิดาบอกว่า ไม่มีใครอยากซื้อลาที่ใช้ทำงานไม่ได้หรอก ลูกสาวคนโตจึงเสนอว่า ถ้างั้น
เอาไปผูกไว้ที่ต้นไม้ริมถนนสายหลักที่มุ่งหน้าเข้าเมืองเยรูซาเล็ม แล้วบอกว่ายินดียกให้ไม่ต้องเสียเงิน
ชาวไร่ผู้เป็นบิดาเลยตัดสินใจทำตามนั้นในเช้าวันต่อมา...
.
ไม่นานนัก ชายสองคนปรากฏตัว เอ่ยปากขอลาตัวนี้ ชาวไร่บอกว่า “แต่มันใช้ทำงานขนของหนัก
มากมายไม่ได้หรอกนะ”
.
“พระเยซูแห่งนาซาเร็ทต้องการใช้ลาตัวนี้” ชายคนหนึ่งตอบ
.
ชาวไร่ไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงจะเอาลาตัวนี้ไปทำไม แต่ก็ยกให้แต่โดยดี
.
ชายทั้งสองได้จูงลาไปให้พระเยซู พระองค์ทรงลูบหน้ามันด้วยความขอบคุณ แล้วขึ้นขี่หลังของมัน
นำขบวนผู้ติดตามมุ่งหน้าไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งวันนั้นก็คือวันอาทิตย์ใบลานที่คริสตชนรู้จักดีนั่นเอง-
- ชาวเมืองพากันตัดกิ่งไม้มาปูทางและใช้ใบลาน(ใบปาล์ม)มาแห่ต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ขณะที่พระเยซู
ทรงเลือกขี่ลาตัวเล็กที่ไม่มีใครอยากได้ เพราะใช้งานไม่คุ้มประโยชน์ เข้าเมืองมาอย่างคนธรรมดา...
.
ลาน้อยตัวนั้นรู้สึกรักเจ้าของใหม่ ที่อ่อนโยนกับมันตั้งแต่แรกเห็น จึงคอยติดตามพระเยซูเจ้าไป
ที่กัลวารีโอ (หรือ กลโกธา ซึ่งเป็นเนินเขาที่พระองค์ทรงถูกลงโทษตรึงบนไม้กางเขนจนกระทั่งสิ้นพระชนม์)
.
ลาน้อยเป็นห่วงเจ้านายของมัน ตั้งแต่ตอนที่เห็นพระเยซูแบกไม้กางเขนแล้ว มันอยากเข้าไปช่วย
แต่ไม่อาจฝ่าฝูงชนที่กำลังมุงดู แล้วยังโดนไล่ออกมา มันจึงติดตามอยู่ห่าง ๆ - -
.
จนเมื่อไปถึงเนินประหาร ลาน้อยเห็นพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน จึงแอบเดินเข้าไปด้านหลังด้วย
ความรู้สึกเศร้าเสียใจ ขณะนั้นเงาของไม้กางเขนได้ทอดลงบนหลังของลาพอดี ตั้งแต่นั้นมา ลาทุก
ตัวจึงมีลายกางเขนบนหลัง พาดบนไหล่ และเป็นแนวยาวไปตามกระดูกสันหลัง
.
นั่นเป็นตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่าทำไมบนหลังลาจึงมีลายกางเขน นักเทววิทยายืนยันว่าเรื่องเล่านี้
ไม่ปรากฏในพระคัมภีร์ใด แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม กลับมี
เรื่องลาพูดได้ของบาลาอัม (กันดารวิถี 22:22-35)
.
สำหรับคำถาม-ทำไมบนหลังลามีลายกางเขน นักพันธุศาสตร์ของสัตว์อธิบายเพียงว่า ลา ม้า ม้าลาย
เดิมทีมาจากสายพันธุ์เดียวกันเมื่อนานมาแล้ว... บรรพบุรุษของพวกมันอาจมีลายหรือแถบคาดจึง
สืบทอดต่อกันมา อย่างม้าลาย มีลายเต็มตัว ลาก็อาจมีแถบคาดตามหลังไหล่... ซึ่งอาจใช้ในการพรางตัว...
.
บางคนสงสัยว่า ลาทุกตัวมีลายกางเขนบนหลังจริงหรือ? คำตอบจากประธานสมาคมผู้เลี้ยงลาของ
ออสเตรเลียยืนยันว่า ลาทุกตัวมีลายกางเขนอยู่บนหลัง แม้แต่ตัวที่มีสีดำ ถ้าโกนขนออก ก็จะเห็นรอย
กางเขนบนผิวหนังของมัน!
.
ปะการัง
.
[ ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต ]
ตอบกลับโพส