สู่สงครามมหาประลัย ( 1–20 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 8:31 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
(เนื้อเรื่องโดยประมาณ 108 ตอน)
👉 ตอนที่ (1)👈
✴️~ สู่สงครามมหาประลัย (A) ~✴️
          สู่สงครามมหาประลัย ชื่อหนังสือที่ผมตั้งใจจะให้ออกมาอวดโฉมในโอกาสที่วันสิ้นยุค
ใกล้จะมาถึง เนื้อหาที่เข้มข้นเกี่ยวกับวันสิ้นยุค ซึ่งผมจะเฟ้นบทความที่ได้เขียนมาตั้งแต่ปี 2000
มารวมไว้ในหนังสือเล่มนี้
          ถือโอกาสนี้ชี้แจงความเป็นมาย่อๆว่า ทำไมผมจึงได้มาเป็นคอลัมนิสต์ให้คุณเปลว ตั้งแต่
อยู่ นสพ. "สยามโพสต์" เป็นเพราะคุณเปลวเกิดพิสมัยในหนังสือ "นอสตราดามุส" ของผม ซึ่งถือ
เป็นอุบัติเหตุที่ได้บังอาจแปลหนังสือที่ค่อนข้างยาก ทั้งนี้เพราะมีเหตุจูงใจอยู่ 2 ข้อ คือ
ข้อ 1 ขณะเกาะติดข่าวทีวี "สงครามอ่าวเปอร์เซีย" ที่บุชผู้พ่อยกทัพไปตีอีรัก ทำท่าจะบานปลาย
กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะอ่านพบในคำทำนายของ "นอสตราดามุส" ที่กล่าวว่า
สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเป็นสงครามที่ชาวอาหรับกระชับมือกับชาวตะวันออก คงจะหมายถึงจีน
และรัสเซียจะยกโขยงไปบดขยี้ชาวตะวันตก คือ E.U. กับ U.S.A เหตุผลข้อที่ 2 ในคำพยากรณ์
ของนอสตราดามุสนั้นเองว่า "จะมีโป๊ปท่านหนึ่งจะต้องหนีไปจากกรุงโรม" ด้วยเหตุผล 2 ข้อนี้
จึงได้ตัดสินใจแปลคำทำนายของนอสตราดามุส ขณะที่กำลังแปลอยู่นั้น ยังมีแรงกระตุ้นให้เร่ง
แปลให้เสร็จทันเวลาที่นอสตราดามุสได้ทำนายไว้ว่า "ลัทธิคอมมิวนิสต์จะล่มสลาย" หลังเกิดมา
ได้ 73 ปี 7 เดือน ซึ่งก็ได้เป็นจริงตามนั้นใน เดือน มิถุนายน ปี 1991 ทั้งนี้ เพราะได้ล้มระบบกษัตริย์
มาเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1917 เป็นเวลา 73 ปี 7 เดือน พอดี
แต่หนังสือ "นอสตราดามุส" ของผมพิมพ์เสร็จในเดือนกันยายน 1991 เป็นคอลัมนิสต์ให้คุณเปลว
ตั้งแต่ปี 1992 เขียนไปได้ 2 - 3  ปี คุณเปลวออกจาก "สยามโพสต์" จะไปเป็นเถ้าแก่เสียเองผมก็ตั้งใจ
จะแปล "นอสตราดามุส" ภาค 2 ต่อ แต่ได้รับเชิญให้ไปเขียนที่ "กรุงเทพธุรกิจ" ในทันที จนถึงตอนที่
คุณทักษิณจะลงเลือกตั้ง ผมจึงถูกขอร้องให้หยุดเขียนสัก 1 เดือน ก็เป็นจังหวะที่นิวยอร์กถูกพวก
บินลาดินถล่ม เมื่อปี 2001 คุณเปลวจึงดึงผมไปอยู่กับ "ไทยโพสต์" จนถึงปัจจุบัน
          ในช่วงแรกๆ ที่อยู่กับ "ไทยโพสต์" ก็ได้รับของฝากจากบาทหลวงเตนุสโซ ซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียน
หนังสือมาด้วยกันที่อิตาลีเมื่อกว่าห้าสิบปีก่อน เพิ่งกลับจากเยี่ยมบ้านเกิด ปัจจุบันท่านเป็นอธิการ
Camillian Social Center ที่เชียงราย ของฝากของท่านก็คือ "หนังสือแห่งความหวัง"
(Libro Della speranza) เป็นหนังสือที่ตีความพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายชื่อ "พระธรรมวิวรณ์"
(Apocalypse) เป็นหนังสือขายดีในช่วงก่อนปี 2000 ซึ่งมาถูกจังหวะทีเดียว หลังจาก "นอสตราดามุส"
หมดความเข้มข้นลงไปบ้าง จึงขยับมาเขียนคำทำนายโบราณของชาวคริสต์ แล้วก็มาถึง "พระธรรมวิวรณ์"
ซึ่งก็ทราบคร่าวๆ ว่าเป็นการพยากรณ์ถึงพระศาสนจักรคาทอลิกตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นยุค แบ่งออกเป็น
7 ยุค ยุคละ 300 ปี "พระธรรมวิวรณ์นี้ชาวคาทอลิกทั่วๆ ไปไม่ค่อยได้อ่าน เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจ
เพราะใช้ภาษาสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่" หนังสือแห่งความหวังนี้เรียบเรียงโดย บาทหลวงมาร์ตีโน
เปนาซา (Rev.Martino Penasa) ถือเป็นหนังสือตีความ "พระธรรมวิวรณ์" แต่ไม่ใช่อ่านแล้วจะเข้าใจ
ได้ทะลุปรุโปร่ง ต้องไปขอคำอธิบายจากท่านหลายครั้ง ที่เมืองปาดัว อิตาลี ครั้งยังดำรงตำแหน่ง
พระอธิการ ประจำมหาวิหารเซนต์แอนโทนี แต่ภายหลังถูกย้ายไปอยู่ที่หลังเขาที่หมู่บ้าน Arsio
เมืองเตรนโต คงถูกพวกนักเขียน (โดยเฉพาะนักเขียนต๊อกต๋อยอย่างผม) บรรดาบาทหลวง
แม้พระสังฆราชไปรบกวนเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับหนังสือของท่าน
          จากการอ่านหนังสือของท่านก็ได้ความรู้ใหม่ๆ และใหญ่ๆ เช่น สมาคมลับฟรีเมซอน
(Freemasonry) ไปถึง "ระเบียบโลกใหม่" (New World Order) ซึ่งพวกเราในปัจจุบันใกล้จะได้สัมผัสแล้ว
          โดยสรุป "พระธรรมวิวรณ์เป็นการทำนายถึงพระศาสนจักรคาทอลิก ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงสิ้น
ยุคราวศตวรรษที่ 20 ส่วนศตวรรษที่ 21 คือ ยุคสันติสุขพันปี ณ ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ แล้วจะถึงวันสิ้นโลก"
          ถ้ามองย้อนหลังไป 25 ปี ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามโลก
ครั้งที่ 3 ? ทำไมโป๊ปจึงต้องหนีไปจากกรุงโรม? แล้วที่สุดอยากจะรู้ "พระธรรมวิวรณ์" มีเนื้อหาสาระอะไร?
เพราะเคยอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะเป็นภาษาสัญลักษณ์ จึงอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
เช่นสงครามอาร์มาเกดดอน หรือ สงครามล้างโลก ซึ่งมาสอดคล้องกับความลับฟาติมาข้อที่ 3 ซึ่งควรจะ
ถูกเปิดเผยในปี 1960 แต่โป๊ปไม่ยอมเปิดเผย ที่สุด โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 ในปี 2000 ก็ยอมเปิดเผย
แต่ไม่หมด จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยส่วนที่เหลือ จึงต้องสันนิษฐานว่า คงจะเป็นเรื่องใหญ่และ
ร้ายแรงจริงๆ


💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ เสาร์ ธ.ค. 03, 2022 10:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 8:37 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (2)👈
✴️~ สู่สงครามมหาประลัย (B) ~✴️
🔸คำทำนายโบราณอายุ 6 พันปี🔸
          เมื่อไม่นานมานี้ ได้รับของฝากจากเพื่อนชาวอิตาลี เป็นเครื่องชงกาแฟ Espresso และ
Cuppuccino และหนังสือหลายเล่ม มีเล่มหนึ่งที่จะนำมาแปลสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของผม
มีชื่อว่า "1995 - 2015 FINE DEL MONDO ?" โดยเฟเดริโก เชลลีนา "อวสานโลกปี 1995 - 2015?"
เป็นการรวบรวมคำทำนายต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณมากๆ จากพระธรรมเก่า (Old Testament)
ซึ่งมีอายุราวห้าพันปีมาแล้วและจากพระธรรมใหม่ (New Testament) ซึ่งเป็นคำทำนายของพระเยซูเอง
ถึงวันสิ้นยุค ที่สำคัญที่สุดจากหนังสือวิวรณ์ (Apocalypse) อันเป็นปริศนาธรรมที่กล่าวถึงวันสิ้นยุค
โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีคำทำนายเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ เช่น Gioacchiino da Fiore, Malachy,
Merin, Nostradamus, Jakob Lorber, Anna Maria Taigi, Anna k.Emmerrich, Elena Aiello,
Padre Pio, Edgar และ Jeane Dixon
          คำทำนายโบราณอายุหกพันปีที่กล่าวถึงวันสิ้นยุคนั้น ช่างสอดคล้องกับคำทำนายของบรรดา
นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่นำเสนอโดยท่านศาสตราจารย์ นพ.ประสาน ต่างใจ ที่เพิ่งเขียนลงไทยโพสต์
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2005 ในบทความเรื่อง "เมื่อถึงเวลาแมลงเม่าก็บินเข้ากองไฟ" ซึ่งผมขอตัดตอน
มาดังนี้ : ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนและอย่างไร - หากไม่ลำเอียงเพราะอิทธิพลทางการเมืองของนักการเ
มืองระดับนำของโลก (ที่อยู่ใต้อิทธิพลบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ควบคลุมสื่ออีกทีหนึ่ง) - เราก็ต้องมองเห็นอย่า
งชัดแจ้งว่า สังคมโลกและมนุษยชาติ - ภายใต้ระบบเศรษฐกิจการเมืองที่มีอยู่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ - มันกำลัง
ถึงจุดจบ เรากำลังอยู่ในช่วงท้ายสุดของอารยธรรมวัตถุวิสัยที่ตั้งบนแสงสีที่เจิดจ้า ทุกวันนี้ แทบจะไม่มี
นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่พอสมควรและเคารพตัวเองพอสมควรที่ไม่พูดเช่นนี้แม้แต่คนเดียว หรือไม่เคย
เตือนไว้ ดังที่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลทุกคน (กว่า 1,600 คน) ลงลายมือเตือนไว้
(warning to humanity, 1992) และทุกวันนี้มันสายเกินไปที่เราจะยับยั้งความหายนะอย่างสิ้นเชิงของ
อารยธรรมวัตถุนิยมเก่า กระบวนทัศน์เก่าได้อีกแล้ว ไม่ว่าด้วยประการใดทั้งสิ้น เพียงแต่รอดูว่าเมื่อไร
และอย่างไร
       แต่นั่นคือกระบวนการของการจัดองค์กรธรรมชาติ กฎแห่งวิวัฒนาการที่ "มันเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง"
อย่างที่ไม่มีสติปัญญาใดและไม่มีเทคโนโลยีแบบไหนสามารถยับยั้งหรือคลี่คลายได้แม้แต่น้อย มีแต่ผู้ที่
"ตื่น" และ "เปลี่ยนแปลง" เท่านั้นที่จะมีอนาคตดังที่ เคน วิลเบอร์ เขียนไว้ในบทที่ 18 - "อนาคต"
(Ken Wilber : Up From Eden, 1986 ) ที่จะถอดใจความบางส่วนมาให้อ่านดังนี้ :
          มนุษยชาติและสังคมได้มีวิวัฒนาการทางจิตมาถึงระดับสี่ (ration self-egoic) ของระดับจิตที่ต้อง
มีวิวัฒนาการทั้งหมดแปดระดับ พฤติกรรมทั้งหมดของเราและสังคมล้วนอยู่บนตัวตนและเหตุผล โดยมี
อหังการเป็นเจ้าเรือนและมีอาตนะภายนอกทั้งห้าเป็นเครื่องมือ สำหรับคนส่วนน้อยที่อหังการน้อยและมี
ความเสถียรอย่างมั่นคง (หรือผ่านการทำสมาธิมานานพอควร) ที่เรียกว่า "คนที่เป็นคนจริงพร้อม"
(a real person) แล้วก็จะผ่านไปสู่ระดับจิตระดับที่ห้าซึ่งเป็นระดับผ่านพ้นตัวตนระดับแรก
(วิลเบอร์เรียกระดับนี้ว่า     "นิรมารกาย" ) ระดับที่ญาณหยั่งรู้เริ่มมีเข้ามา (psychic intuition) ความตื่นตัว
และความกระจ่างชัดของข้อความคิดที่เหนือไปจากสติปัญญาและสมองปกติธรรมดา ๆ ทุกวันนี้ เราพบ
คนส่วนน้อยกำลังเข้าสู่ระดับจิตระดับนี้ แต่ (เคน วิลเบอร์) คิดว่า เราจะมีคนส่วนใหญ่เข้าสู่ระดับนี้ แต่
เคน วิลเบอร์ คิดว่าเราจะมีคนส่วนใหญ่เข้าสู่ระดับนี้ได้ก็ในศตวรรษหน้า (หนังสือเขียนในศตวรรษที่แล้ว)
โดยเนื้อหาสาระ จิตระดับนี้ได้เริ่มมีขึ้นมาบ้างแล้ว และเมื่อมากพอเราก็จะพบการเปลี่ยนแปลงของสังคม
วัฒนธรรม รัฐบาล รูปแบบของการแพทย์และเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างล้ำลึก
          แต่หากมิใช่เช่นนั้น เมื่อหน้าที่หมดไปหรือทำไม่ได้ นั่นคือเมื่อเวลามาถึง
หมู่แมลงเม่าก็บินเข้าสู่กองไฟ - จบบทความของท่านอาจารย์หมอประสาน ต่างใจ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 8:42 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (3)👈
✴️~ สู่สงครามมหาประลัย (C) ~✴️
🔸คำทำนายที่โบราณที่สุด (A)🔸
          เราจะเริ่มพูดถึงคำทำนายที่เก่าแก่ที่สุดจากต้นฉบับภาษาอินเดีย นับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา
ถึง 6 พันปีทีเดียวในสมัยอันไกลโพ้น "วิษณุ ปุรานา" เป็นต้นตำรับอันศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย ซึ่ง
พรรณนาถึงจุดหนึ่งของพวกเราว่า เป็นยุคมืดยุคหนึ่งในบรรดายุคต่างๆ นั่นก็คือ เป็นยุคแห่ง
ความโกลาหลวุ่นวาย คือ "กลียุค นั่นเอง"
          นักปราชญ์อินเดียเมื่อหกพันปีที่แล้วได้ทำนายถึงสถานการณ์ของยุคสมัยของเราโดยไม่
จำเป็นต้องใช้คำขยายความ เมื่อเราอ่านก็จะเข้าใจได้ในทันทีดังตัวอย่างต่อไปนี้ :
- หัวหน้าทางการเงิน ภายใต้ตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายของราชการจะโกง และยักยอกทรัพย์
เอาไปจากชาวบ้านตาดำๆ พวกเขาจะทำลายทรัพย์สมบัติของเอกชน
- ศีลธรรมและกฎหมาย จะลดน้อยถอยลงยิ่งวันยิ่งตกต่ำจนกระทั่งโลกทั้งโลกจะวิปริตผิดปกติ
ความชั่วช้าสามานย์เข้าครอบงำทั่วทุกหัวระแหง
- ผู้คนจะพากันใส่ใจในเรื่องทะนุถนอมทรวดทรงเอวองค์ คนจะผูกพันด้วยเรื่องกิเลสตัณหา
- ความเท็จจะเป็นหนทางเดียวแห่งความสำเร็จ
- แผ่นดินจะได้รับการคารวะ ก็เพราะให้ทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุ
- เสื้อผ้าของพระสงฆ์จะแทนที่คุณธรรมของพระสงฆ์
- การแต่งงานที่มีพิธีรีตองจะถูกยกเลิก
- ผู้มีเงินและบริจาคมากกว่าคนอื่นจะถือเป็นเสมือนเจ้านายของประชาชน ซึ่งต่างก็ทุ่มเทและมุ่งมั่น
ที่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ถึงแม้จะหาได้มาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม
- ผู้คนจะกลัวความตายและความอดอยาก เพราะข้อนี้เองจึงปฏิบัติศาสนกิจแบบผิวเผิน
- บรรดาสตรีจะไม่ทำตามคำสั่งของสามีและพ่อแม่ พวกเธอเห็นแก่ตัว โกหกพกลม ทำตัวทุเรศๆ
เหลาะแหละ พวกเธอจะอ้าแขนต้อนรับพวกผู้ชายเสเพล พวกเธอจะกลายเป็นวัตถุแห่ง
ความพึงพอใจทางเพศ
          มีคำทำนายโบราณมากมายของธิเบต ซึ่งกล่าวถึงช่วงหลายปีท้ายๆ ของโลก
          คำทำนายเหล่านี้จะระบุถึง "สารแห่งความรอดพ้น" ซึ่งจะประกาศถึง "ดาวดวงใหม่" ดวงหนึ่ง
เรียกกันว่า "ดาวมรกต" ดาวดวงนี้จะปรากฏในท้องฟ้าของเรา เมื่อแผ่นดินโลกจะล่มสลายจากสงคราม
อันสยดสยองพองเกล้า และตามคำทำนายของบรรดาคุรุชาวธิเบต ดวงดาวนี้จะนำความหายนะมาสู่
ทุกคนที่ตระบัดสัตย์
          ขณะที่กำลังประจัญบานกันอยู่นั้น พลังอันยิ่งใหญ่ของโลกทางจิตวิญาณก็เตรียมตัวที่จะขจัด
มนุษย์ทุกคนที่ไม่คู่ควรในการรับแสงสะท้อนของแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ของดวงดาวนั้นไปจากแผ่นดิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกเราก็จะปรับความสมดุลกันใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาอันยาวนาน
          เมื่อผู้คนทอดทิ้งหลักทางจิตวิญาณ เพื่อทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ซึ่งข้าวของเงินทองและความ
พึงพอใจของโลก คำทำนายของชาวธิเบตนี้ยังเสริมอีกว่า ในยุคที่สุดแล้วสงครามใหญ่จะระเบิดขึ้น
ซึ่งจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้รวบรวมไว้ให้สูญสลายมลายไปสิ้น
          ดาวมรกตที่งามล้ำและยิ่งใหญ่จะส่งแสงแรงเฉิดฉายในท้องฟ้านภากาศ เมื่อมหาภัยพิบัติที่จะ
ได้กระหน่ำมนุษยชาติให้พินาศย่อยยับได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ดาวมรกตนี้จะเป็นผู้ประกาศถึง ยุคใหม่
ซึ่งความยุติธรรมจะได้รับการสถาปนาขึ้นมา ซึ่งในความยุติธรรมนี้มนุษย์จะเริ่มการไต่ขึ้นสู่ที่สูงไป
เรื่อยๆ จนกระทั่งจะถึงเวลาหนึ่ง...
       ในยุคทองผ่องอำไพนี้ "ดาวมรกต" จะเพิ่มความรุ่งโรจน์รุ่งเรืองอลังการไปเรื่อยๆ และจะส่องแสง
แรงกล้าขึ้นเป็นลำดับทั่วทั้งท้องฟ้านภากาศ เป็นประหนึ่งสัญญาณแห่งความหวังและความวางใจ
สำหรับมนุษยชาติแห่งอนาคต...
          และแล้วยังมีบุคลสำคัญอีกหลายคน ถูกเล่าขานเป็นตำนานล่วงเลยมานานกว่า 800 ปี
ก่อนคริสตกาล ซึ่งคำทำนายของพวกเธอได้ถ่ายทอดบางส่วนมาถึงพวกเรา พวกเธอมีชื่อ
เรียกว่า "SibyIla" ในภาษาละติน และ Sibyl ในภาษาอังกฤษ เป็นนักพยากรณ์หญิงในยุคกรีก
และโรมัน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 คน
          บรรดา ซีบิลลา เหล่านี้มีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคต พวกเธอถูกนับเข้าอยู่ในวง
สังคมชั้นสูง ในโลกสมัยโบราณ บ่อยครั้งได้เป็นถึงที่ปรึกษาของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐในสมัยนั้น
รวมไปถึงนักปรัญชาเมธีเข้าไปด้วย อย่างเช่น พลาโต
          นักพยากรณ์หญิงเหล่านี้จะต้องเข้าฌาณสมาบัติในท่าแน่นิ่ง บางทีก็ล้มตัวนอนลงแล้วจึง
ทำการทำนาย
          นักพยากรณ์ที่ดังที่สุดต้องมาจากเมือง Cuna และจากเมือง Delfi ต้นฉบับนั้นจะมาถึงพวกเรา
วันนี้ก็มักถูกต่อเติมกันบ้างเป็นธรรมดา มีนักพยากรณ์หญิงประมาณ 12 คน ถูกถ่ายทอดมาถึงพวกเรา
          นักพยากรณ์หญิงเหล่านี้พยากรณ์อะไรบ้าง?
          สิ่งที่พวกเธอพยากรณ์นั้นมีหลากหลาย เป็นการทำนายล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัย
ของเธอเองก็มี เช่น เหตุการณ์สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็พยากรณ์ถึงยุคสันติสุขหนึ่งพันปี
และการพิพากษาครั้งสุดท้าย ซึ่งข้อนี้เป็นที่น่าสนใจของพวกเรา เพราะจะเป็นคำพยากรณ์ที่จะเกิดขึ้น
ในอนาคตอันใกล้นี้
          ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของบรรดาคำพยากรณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนและมีความหมายต่อผู้คนสมัยของเรา
จะสังเกตเห็นภาพที่พรรณนานั้นจะหนักและเป็นไปในทางลบเสียส่วนใหญ่

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 8:46 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (4)👈
✴️~ สู่สงครามมหาประลัย (D) ~✴️
🔸คำทำนายที่โบราณที่สุด (B)🔸
          พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุดจะบันดาลให้มนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำไว้...
          โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามและทุพภิกขภัยจะทำให้มนุษย์ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
          ผิวของแผ่นดินจะปราศจากฝน และพระเจ้าจะทรงให้มันแข็งเหมือนเหล็ก มนุษย์ทุกคนจะ
คร่ำครวญ จะเจ็บที่ไม่อาจจะไถและหว่านได้
          และผู้สร้างแห่งสวรรค์และแผ่นดินจะทรงส่งไฟที่ลุกร้อนมาบนแผ่นดิน และมนุษย์จะเอา
ชีวิตรอดไม่ถึงหนึ่งในสาม
(ซีบิลลา แห่งเดลฟี)
     ...จะเกิดทุพภิกขภัย สงคราม เปลวไฟอันลุกโซนลงมาจากฟากฟ้า คำพยากรณ์ของซีบิลลาชาวกรีก...
อนิจจา นักพยากรณ์หญิงบางคนได้ให้คำพยากรณ์โดยวาดภาพให้เห็นถึงความเลวร้ายไม่น้อยกว่ารายอื่นๆ
ดังนี้ :
       ณ วันสิ้นยุค ในช่วงท้ายๆ ที่พระจันทร์ยังส่องแสง จะเกิดสงครามใหญ่ที่จะทำลายล้างโลก...
     ความมืดที่ปราศจากดวงจันทร์จะบันดาลให้ท้องฟ้ายึดครองเมฆหนาทึบอันจะปิดบังรอยแผลของแผ่นดิน
(ซีบิลลา เอริเตรอา)
          แต่ว่าหลังจากการโรมรันพันตูกันประมาณ 4 ปี แผ่นดินจะโดนกระหน่ำโดยเหตุการณ์อันมโหฬาร
พันลึกทั่วทั้งจักรวาล :
          หลังจาก 4 ปี ดาวใหญ่ดาวเด่นดวงหนึ่งจะสาดแสงแรงกล้าซึ่งจะถล่มแผ่นดินให้เป็นผุยผงลงในพริบตา
          ฉันได้เห็นพระอาทิตย์ที่ลุกร้อนส่งประกายพวยพุ่งท่ามกลางดวงดาวสกาวฟ้า
(ซีบิลลา เอริเตรอา)
          และแล้วก็ถึงเวลานั้น : บรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าจะไม่เริงร่าอีกต่อไป จะไม่มีกลางวัน ไม่มีเวลาเช้า
ไม่มีความวิตกกังวลใดๆ อีก ไม่มีฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีฤดูร้อน ไม่มีฤดูหนาว และไม่มีฤดูใบไม้ร่วงที่ร่าเริงอีก
ทั้งนี้เพราะจะมีการพิพากษาครั้งใหญ่ของพระเจ้า
(ซีบิลลา ลีบิกา)
          พระเจ้าจะทรงรวบรวมเครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ให้ปรากฏดังนี้ : พระองค์จะทรงจุดดวงดาว
ให้พราวแพรวแวววับ ดูเป็นรูปร่าง คล้ายกางเขนส่งประกายแสงแรงกล้า จนท้องฟ้าสว่างไสวละลานตาทั่ว
นภากาศเป็นเวลายาวนาน
(ซีบิลลา ลีบิกา)
          เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้แห่งยุคสุดท้าย จะเปิดหนทางอย่างหน้าชื่นชมในทางบวก "ยุคทอง"
ใหม่ของมนุษยชาติ
          ลองมาฟังคำพยากรณ์ของนักพยากรณ์หญิงผู้หนึ่งอีกตอนหนึ่ง : และในที่สุด จะมีสันติสุข และมี
ความรู้ที่แท้จริง และแผ่นดินจะอุดมสมบูรณ์ และให้ผลิตผลมากมายยิ่งกว่าเก่าก่อน จะไม่มีแย่งกันทำ
มาหากิน และจะไม่ต้องทำงานให้คนอื่น ท่าเรือทุกแห่ง ท่าทอดสมอทุกแห่ง เราสามารถใช้อย่างเสรี
ดั่งที่เคยเป็นมาครั้งหนึ่ง และการแย่งกันทำมาหากินอย่างหน้าดำคร่ำเครียดจะอันตรธานไป
(ซีบิลลา ลีบิกา)
          ดังนั้น มนุษย์ที่มีชีวิตบนแผ่นดินในยุคนั้นจะประสบแต่ความสุขชั่วกาลนาน
(ซีบิลลา ลีบิกา)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 02, 2022 8:51 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (5)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (1) (A) ~✴️
          เมื่อไม่นานมานี้ เข้าร้านขายหนังสือในอิตาลี เห็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งเตะลูกตา รีบคว้าโดย
ไม่รั้งรอ หนังสือชื่อว่า "คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 พร้อมคำบรรยายว่า การเผยสำแดงของ
พระเยซูต่อพระสันตะปาปาถึงอนาคตของมนุษยชาติ" โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงครองพระอาสน์ตั้งแต่
ค.ศ.1939 วันที่ 2 มีนาคม แล้วอีก 6 เดือนก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงสิ้นพระชนม์
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1958 เป็นเวลาถึง 19 ปี 7 เดือน อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง เรื่องมหาอุทกภัยแห่งประชาธิปไตยจะกลายเป็นอนาธิปไตย เพราะมีนักการเมืองที่คอรัปชั่น
ไม่เว้นใคร เศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะล่มสลาย ซึ่งล้วนเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสมัยของเรานี่เอง
สมแล้วที่ "มาลาคี" นักพยากรณ์ชื่อดังได้ทำนายถึงพระองค์เป็น "คนเลี้ยงแกะเทวดา" พระเยซูทรง
เรียกพระองค์เองว่าเป็น "คนเลี้ยงแกะที่ดี" วลีนี้จึงมักใช้กับผู้ปกครองทางศาสนาคริสต์ ไม่ว่าจะเป็น
พระสันตะปาปา พระสังฆราช หรือพระสงฆ์ทั่วๆ ไป ก่อนจะไปดูคำทำนาย ให้เราดูวาทะของผู้เขียน
สักหน่อย
          อารัมภบทของผู้เขียนได้พยายามถามความเห็นของพระเถระผู้ใกล้ชิด ก็มีทั้ง pro และ contro
ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงประเด็น "คนเลี้ยงแกะเทวดา" อันเป็นคำทำนายของพระสังฆราชชาวไอริชผู้
มีสมญาว่า "มาลาคี" ซึ่งเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ได้ทำนายถึงพระสันตะปาปาตั้งแต่สมัยของท่านจนถึงสิ้นยุค
ผู้รู้กล่าวว่า "แม่นยำแบบสุดๆ" ท่านได้ทำนายถึงโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ว่า "คนเลี้ยงแกะเทวดา" (Pastor angelicus)
ผู้เขียนเพียงให้ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ ในพระศาสนจักรมีความสับสนวุ่นวายและความขัดแย้งกันขนาดไหน
จนคนรุ่นใหม่ต่างเรียกร้องให้หันกลับมาใช้ชีวิตที่เคร่งครัดดังเก่าก่อน โดยหันหลังกับสวรรค์ของพวก
บริโภคนิยม
          เขาบอกว่าหนังสือเล่มนี้มิได้มีความมุ่งหมายที่จะพูดถึงเอกลักษณ์ กิจกรรม และนโยบายทาง
การเมืองของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 แต่ต้องการเพียงจะพูดถึงพระพรพิเศษจากเบื้องบน (Charisma) ของโป๊ป
ที่ถูกลืม หนังสือเล่มนี้มิได้มีคำทำนายที่มีการเผยแพร่ในปี 1959 หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์
ในปี 1958 เท่านั้น แต่ยังได้จากการรวบรวมคำทำนายจาก น.ส.พ. Domenica del Corriere ซึ่งได้เผยแพร่
เรื่องครึกโครมว่าพระเยซูได้ทรงปรากฏองค์ข้างที่บรรทมของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 เมื่อปี 1954 และได้ทรง
ปรากฏมาในนิมิตอีกหลายครั้ง ณ วังพักร้อนขณะที่โป๊ปกำลังทรงพระดำเนินในสวนดอกไม้
          หากจะวิเคราะห์ชีวิตของโป๊ปองค์นี้ อาจพูดได้ว่า พระองค์มีพระพรพิเศษจากเบื้องบนอย่างแท้จริง
เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพระองค์นั้นถูกผูกไว้กับ "ตราประทับ" ที่เร้นลับแห่งตัวเลข
9 เอวเจนิ โอ ปาเชลลี Eugenio Pacelli เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1876 ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา
ในการลงคะแนนครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1939 และเมื่อได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา ขณะมีอายุ
63 ปี (6+3=9) เป็นพระสันตะปาปา อันดับที่ 261 (2+6+1=9)
          ก่อนสิ้นพระชนม์ ทรงเข้าตรีทูตเป็นเวลา 9 ชม. และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1958 วันที่บวช
เป็นพระสงฆ์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1899 เพียงแค่นี้พอที่จะพูดได้ว่า เป็นบุคคลไม่ธรรมดา ยังมีอีก พระองค์
ทรงได้รับการอภิเษกให้เป็นพระสังฆราชโดยโป๊ป เบเนดิกต์ ที่ 15 ในวิหารน้อย ชิสติน
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 เป็นวันเดียวกันที่พระแม่มารีย์ได้ปรากฏองค์มาพบเด็ก 3 คน ที่ฟาติมา
ประเทศโปรตุเกส
          คนที่ไม่มีดวงตาพิเศษก็บอกว่านี่ก็เป็นแค่ความบังเอิญ แต่คนที่มีสายตาพิเศษจะ เห็น และ รู้สึก
แล้วจะเข้าใจว่า นี่คือสัญญาณอันหนึ่งในหลายๆ สัญญาณ ซึ่งขีดไปไขว้ให้ออกมาเป็น "ภาพ" ที่ "มาลาคี"
ได้วาดให้เป็น "คนเลี้ยงแกะเทวดา" หรือ "นายชุมพาบาลเทวดา"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 03, 2022 10:37 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (6)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (1) (B) ~✴️
          1. อาจเป็นสัญญาณอันหนึ่ง
          "ดวงดาว 7 ดวงจะส่องสว่างบนทางเดินของข้าพเจ้า" โป๊ป เบเนติกด์ ที่ 15 ทรงเป็นผู้อภิเษก
บาทหลวง เอวเจนิโอ ปาเชลลี เป็นพระสังฆราชแห่งชาร์ดิส (เป็นธรรมเนียม เมื่อมีพิธีอภิเษกสังฆราชใหม่
จะมีการสถาปนาให้เป็นพระสังฆราชครองเมืองสำคัญในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดศาสนจักรที่
ระบุในพระธรรมวิวรณ์) เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 ในโอกาสนั้น ญาติผู้หนึ่งผู้เข้าร่วมพิธีได้ตั้ง
ข้อสังเกตให้หลายคนฟังว่า ชาร์ดิสเป็น 1 ใน 7 ศาสนจักรในพระธรรมวิวรณ์ พระสังฆราชใหม่ยิ้ม
แล้วกล่าวว่า "อาจเป็นสัญญาณอันหนึ่ง..." ในคำพูดเหล่านี้ บางทีอาจเป็นลางสังหรณ์เกี่ยวกับการสืบ
ตำแหน่งสู่บัลลังก์ปีเตอร์
          ในพระธรรมวิวรณ์มีตอนหนึ่งที่เซนต์จอห์นเขียนจดหมายถึงศาสนจักร ชาร์ติส ได้เตือนใจต่อ
ชุมชนนั้นถึงพระคุณ 7 ประการขององค์พระจิตเจ้า และดวงดาว 7 ดวง และยังให้เรารำลึกถึง "เสื้อชุดขาว"
สัญลักษณ์ของผู้ชนะ ในพระธรรมวิวรณ์ยังกล่าวถึง ม้าขาว สัญลักษณ์ของผู้ชนะ สัญลักษณ์ของพระคริสต์
          ด้วยเหตุนี้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจึงตีความจากพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า "ท่านถูกเรียกมาให้สู้รบ ท่านจะ
สามารถเป็นผู้ชนะ เพราะท่านถูกนำทางโดยแสงสว่างของพระเจ้า"
          และแล้วในที่สุด 21 ปีให้หลัง พระคุณเจ้าปาเชลลีก็ได้รับเลือกให้เป็น "พระสันตะปาปา" ผ่าน
"พายุร้ายมหากาฬแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2" ฝ่าด้านขวา "ชาตินิยม" ด้านซ้าย "คอมมิวนิสต์" แต่ทว่า
ดังที่ได้ทำนายไว้แล้วว่า "ท่านจะได้เป็นผู้ชนะ"
          (ข้อสังเกต โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ขึ้นครองบัลลังก์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 1939 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 และสิ้นสงครามเมื่อปี 1945 พระองค์ทรงครองบัลลังก์พระสันตะปาปา
จนถึงวันที่ 9 ตุลาคม 1958)
          2. พวกท่านไม่ได้ยินเสียงดังโครมครามของก้อนน้ำแข็งบนภูเขาน้ำแข็งที่กำลังลื่นไถลลงมาดอกหรือ?
          "....มีก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ บนภูเขาน้ำแข็งกำลังลื่นไถลลงมาทับมนุษยชาติ แต่ทว่าไม่มีใครรู้สึกกันเลย..."
          พระคาร์ดินัล ปาเชลลี กระตุ้นให้ประชาชนรอบๆ กรุงโรมให้ร่วมมือเพื่อจะยับยั้งการกระทบกระทั่งอัน
ร้ายกาจของเมืองปีศาจ... เป็นคำพูดที่ออกจากปากพระคาร์ดินัล ปาเชลลี ก่อนที่ท่านจะขึ้นสู่บัลลังก์พระสันตะปาปา
          เป็นวาทกรรมต่างๆ ซึ่งยืนยัน "นิมิต" อันสว่างไสวของท่านถึงอนาคต และยังมีอะไรที่มีความหมายมาก
ขึ้นไปอีก หากจะพิจารณาคำพูดที่ออกจากปากของท่าน ขณะที่ชาวเยอร์มันมักจะพูดถึง "สงครามสายฟ้าแลบ"
และพวกฟาสซิสต์ก็ประดับประดาป้ายโฆษณาตามถนนหนทางว่า "มังกรแดง ลัทธิคอมมิวนิสต์" ซึ่งน่าจะ
ต้องปราบให้ราพณาสูรในนามของพระเจ้า
          มีการหลอกลวงชาวบ้าน ให้คำมั่นสัญญาว่าชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่มีใครตระหนักเลยว่า
ก้อนน้ำแข็งใหญ่บนภูเขาน้ำแข็งกำลังลื่นไถลถล่มมนุษยชาติแล้ว
          ไม่มีใครตระหนักถึงโศกนาฎกรรมที่กำลังเผชิญหน้าพวกเขา
          เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง "ยก" วิญญาณของโป๊ป ปีโอ ที่ 11 ไปนั้น มีบางคนได้ยินบางวลีจาก
พระคาร์ดินัล ปาเชลลี ซึ่งถือว่าเป็นวลีคำพยากรณ์จากปากของพระสันตะปาปาในอนาคตว่า
"พระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความกรุณาปรานีอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้
โป๊ป ปีโอ ที่ 11 ได้หลีกเลี่ยงโศกนาฎกรรม ซึ่งจะกล้ำกรายไปทั่วโลก"
          โศกนาฎกรรมได้สิ้นสุดลงด้วยการทำลายล้างโลกทั้งโลก โดยหว่านความโศกสลดรันทดใจ
และความตายในที่สุด
          ก้อนน้ำแข็งใหญ่บนภูเขาน้ำแข็งที่กำลังไถลถล่มในคำพยากรณ์ของพระคาร์ดินัล ปาเชลลี ที่กำลัง
กลายเป็นความจริงที่เจ็บปวดและรุนแรงแก่โลกไปเสียแล้ว
          ความจริงที่จะก่อให้เกิดความตายเป็นล้านๆ แต่มีน้อยคนได้เข้าใจในสารของโป๊ปองค์ใหม่
เพราะในห้วงเวลาแห่งโศกนาฎกรรมจะมีแค่บุคคลหนึ่งเดียว "ที่ถูกส่องสว่าง และสามารถมองเห็นวันพรุ่งนี้"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 04, 2022 3:29 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (7)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (1) (C) ~✴️
          3. เรามีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ได้เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ "เราปรารถนาจะเดินทางไปพักผ่อน
สักระยะเวลาหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ แต่เรารู้สึกค่อนข้างแน่นอนว่าความปรารถนานี้จะไม่เป็นจริง
ขึ้นมาได้ ให้พวกเราวางใจในน้ำพระทัยพระเจ้าเถิด"
          วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1939 โป๊ป ปีโอ ที่ 11 ทรงสิ้นพระชนม์ พระคาร์ดินัล ปาเชลลี รับหน้าที่
เป็นพระคาร์ดินัลคาแมร์เล็งโก (Camerlengo) ปกติตำแหน่งนี้มีหน้าที่เป็นผู้บริหารดูแลทรัพย์สิน
สิทธิ และการคลังของรัฐพระสันตะปาปา เมื่อพระสันตะปาปาทรงสิ้นพระชนม์ พระคาร์ดินัล ปาเชลลี
จะกลายเป็นหัวหน้าของบรรดาพระคาร์ดินัลในทันที และมีบทบาทหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่แรกที่สำคัญ
คือ จัดพิธีปลงพระศพพระสันตะปาปาผู้ล่วงลับแล้ว เรียกพระคาร์ดินัลจากทั่วโลกเพื่อเข้าประชุมลับ
(Conclave) เพื่อเลือกโป๊ปซึ่งเป็นภาระที่ไม่ง่ายเลย หากจะต้องคำนึงถึงบรรยากาศทางการเมือง
ในขณะนั้น ก็อาจจินตนาการได้ไม่ยากว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อย และหนักหน่วงด้วยแรงกดดัน
หลายด้านสำหรับพระคาร์ดินัล ปาเชลลี มากสักเท่าใดหนอ
          หนังสือพิมพ์ฝ่ายฟาสซิสต์ และฝ่ายนาซี ต่างก็นำเสนอรายชื่อของบรรดาผู้มีสิทธิรับเลือก
เป็นโป๊ป (Papabili) จะไม่มีชื่อพระคาร์ดินัล ปาเชลลี หนังสือพิมพ์ชื่อ Farinacci ของระบบฟาสซิสต์
กล่าวว่า ถ้าพระคาร์ดินัล ปาเชลลี ได้รับเลือกเป็นโป๊ปจะเกิดสังฆเภท (การแตกแยก) อย่างแน่นอน
หนังสือพิมพ์ของพวกนาซี S.S. ชื่อ Das Schwarze Korps ใช้วาทกรรมย้ำในความมุทะลุดุดันหนักขึ้น
ไปอีกว่า พระคาร์ดินัล ปาเชลลี จะต้องไม่ถูกเลือกเป็นโป๊ป
          ที่สุดผู้ร่วมงานใกล้ชิดได้เสนอแนะให้พระคาร์ดินัล ปาเชลลี ไปพักผ่อนสักระยะหนึ่ง หลังจาก
ภารกิจอันเหน็ดเหนื่อยและขมขื่นใจในหลายเรื่อง โดยได้ติดต่อไปยังอารามเล็กๆ ในสวิตเซอร์แลนด์
เพื่อให้เตรียมที่พักพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกตามสมควร แต่พระคาร์ดินัลได้ตอบแก่ผู้หวังดี
เหล่านั้นว่า "เราอยากจะไปอยู่เหมือนกัน แต่เรามีความรู้สึกค่อนข้างแน่ว่า ความปรารถนาของเรา
คงจะไม่เป็นจริงขึ้นมาได้"
          นั่นคือลางสังหรณ์ อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น คือ วันที่ 2 มีนาคม พระคาร์ดินัล ปาเชลลี ก็ได้รับเลือก
เป็นพระสันตะปาปา ฉะนั้นความปรารถนาที่จะไปพักผ่อนในสวิตเซอร์แลนด์สัก 2-3 วันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ตามลางสังหรณ์นั้น
          4. มนุษย์จะพูดกับเทวดา
       "จะมาถึงวันหนึ่งซึ่งมนุษย์จะพูดกับเทวดา... และในวันนั้นจะได้พิสูจน์ถึงความยินดีมากสักเพียงใด
เพราะจะไม่มีคำใดในภาษามนุษย์จะสามารถบรรยายได้"
     ในปี 1956 ขณะที่โป๊ปทรงพักร้อนที่วังกาสเตลกัน ดอลโฟ พระองค์ตรัสกับคณะผู้ฝึกตนเป็นบาทหลวง
ชาวฝรั่งเศสว่า "ยุคสมัยโน้มน้าวมนุษย์เราให้ห่างเหินไปจากเรื่องจิตวิญญาณ เพื่อจะทำให้มนุษย์เป็นทาส
แก่สิ่งของของโลก ภารกิจของพวกเธอก็คือ ดึงมนุษย์ที่ผูกติดกับสิ่งของภายนอกไปสู่สิ่งภายในที่มองไม่เห็น
แต่ทว่ามีอยู่จริง และจะคงอยู่ตลอดไป... จำเป็นที่จะต้องขยายขอบฟ้าของมนุษย์ จำเป็นจะต้องให้มนุษย์เข้า
ใจว่าพวกเขามิได้อยู่ตามลำพัง เพราะมีกองทัพเทวดาอยู่บนโลก จะมาถึงวันหนึ่งซึ่งมนุษย์จะสนทนากับเทวดา"
        วันหนึ่งพระองค์ทรงมีนิมิต เป็นไปได้ที่พระองค์จะถูกดึงเข้าสู่บรรยากาศเหนือธรรมชาติ พระองค์ตรัสว่า
: บรรดาเทวดาอยู่ใกล้พวกเรามาก ขณะที่พวกเราอยู่ในความสงบลึกๆ พวกเราจะสามารถมีความรู้สึกใน
ความมีอยู่ของพวกเขา..." พระสันตะปาปาเคยผ่านชีวิตในมิติลี้ลับ ซึ่งผู้ที่มีชีวิตจิตสูงส่งสามารถจะรู้สึกได้
          มีผู้ทำนายหลายท่านพูดถึงการปรากฏอยู่จริงของเทวดาบนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาซึ่ง
แผ่นดินโลกจะถูกเปิดออกเพื่อถูกล้างและชำระให้สะอาด
          มีคำทำนายในศตวรรษที่ 16 ว่ามีโบสถ์ที่เมืองโลเรนา หลังปฏิวัติฝรั่งเศส กองทัพเทวดาจะลงมา
บนโลก เผชิญหน้ากับพวกมาร
          มนุษย์จะรู้สึกการปะทะระหว่างพลังแห่งความดีและพลังแห่งความชั่ว พวกเขาจะรู้สึก
แต่ จะไม่เห็น การปะทะครั้งสุดท้าย
          เทวดาจะเป็นฝ่ายชนะ และจากนั้นมนุษย์จะหัดพูดกับเทวดา เพราะระยะทางระหว่าง
สวรรค์ กับ โลก จะถูกตัดให้สั้นลง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 05, 2022 9:47 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (8)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (2)(A) ~✴️
           5. พวกเราต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญกับความหนาวครั้งใหญ่และความร้อนครั้งใหญ่
          "ในอีกหลายปีในอนาคต เราจะต้องบันทึกไว้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ
ครั้งใหญ่ จะเป็นการดี ที่จะต้อง  เตรียมตัวเพื่อจะเผชิญความหนาวครั้งใหญ่และความร้อนครั้งใหญ่"
          ในฤดูหนาวปี 1944 - 45 จะเกิดการขาดแคลนเครื่องทำความร้อน แม้กระทั่งในวังของ
พระสันตะปาปา การขาดแคลนถ่านหินบังคับให้ทุกคนต้องทนหนาวในห้องทำงานต่างๆ ในนครวาติกัน
ที่เปิดสำหรับสาธารณะ
          สุภาพสตรีแห่งสังคมชั้นสูงผู้หนึ่ง ได้ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ ได้ส่งเครื่องทำความร้อนไปมอบให้
พระสันตะปาปาในทันที แต่ทว่าพระองค์ท่านทรงปฏิเสธที่จะรับไว้ เนื่องจากทรงถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
ที่พระองค์จะมีความอบอุ่น ในเมื่อคนอื่นต้องทรมานด้วยความหนาว
          วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปแสดงความยินดีกับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คาทอลิก "Feurreiter"
ชื่อ Hans Struth ระหว่างการสนทนา พระองค์ได้ทรงเล่าถึงสมัยยังทรงพระเยาว์ ที่บ้านของบิดาของ
พระองค์ไม่มีเครื่องทำความร้อน จะมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่จะให้ความอบอุ่นได้ คือห้องครัว ที่มี
ภาชนะทองแดงใช้บรรจุถ่านหินขณะใช้งานในครัว และ ณ ที่นี้ ทุกคนจะมาพร้อมหน้ากันในมื้อ
อาหารระหว่างวัน และอีกโอกาสหนึ่งทรงเตือนว่า "พวกเราต้องเตรียมตัวเพื่อเผชิญกับความหนาว
ครั้งใหญ่ และความร้อนครั้งใหญ่"
          เป็นวาทกรรมแห่งการพยากรณ์โดยแท้ เพราะทำให้พวกเราเข้าใจว่าในอีกหลายๆ ปีในอนาคต
จะต้องถูกบันทึกไว้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศในวัฏจักรแห่งฤดูกาลต่างๆ
          คำพยากรณ์นี้ยังไปสอดคล้องกับคำทำนายอื่นที่กล่าวว่า "ฤดูกาลระหว่างกลาง
(ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง) จะหายสาบสูญไป แต่จะกลับกลายเป็นว่า ในวันหนึ่งฤดูหนาวจะแต่งงาน
กับฤดูร้อน" ยังมีอีก "การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันที จากหนาวไปร้อน" หรือกลับกัน
"ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคระบาด และคนมากมายจะต้องทนทุกข์ทรมาน"
          หากเราจะวิเคราะห์กันอย่างละเอียดถึงน้ำ ลม ฟ้า อากาศ และจังหวะของฤดูกาลและพินิจพิจารณา
ถึงความเสียหายที่เกิดจากก๊าซไปสู่ผืนของโอโซนซึ่งครอบโลกของเรา เราก็สามารถสะกดจิตให้เข้าไป
อยู่ในห้วงเวลา ซึ่งฤดูระหว่างกลางทั้งสองจะอันตรธานไป "เพราะถูกดูดซับจากความหนาวครั้งใหญ่
และจากความร้อนครั้งใหญ่"
          6. การคุกคามของน้ำจะกลายเป็นเรื่องที่น่าวิตกยิ่งทียิ่งมากขึ้น "หายนะที่ได้เกิดขึ้นกรณี Polesine
ที่แคว้นปิเอมอนเต ควรจะเป็นเสมือนกระดิ่งเตือนภัย ยิ่งกว่านั้น มันเป็นการคุกคามของน้ำที่จะกลาย
เป็นเรื่องน่าวิตกยิ่งทียิ่งมากขึ้น"
          ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1951 แม่น้ำ Po ได้เอ่อล้นฝั่งท่วมไปเป็นบริเวณกว้างกว่าหนึ่งแสนเฮกตาร์
(1 เฮกตาร์ = 6 ไร่) มีผู้เสียชีวิตมากมาย ส่วนความสูญเสียถึงยี่สิบเจ็ดพันล้านลีเร ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็น
ตัวเลขที่สูงมาก
          โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงมีพระประสงค์ให้พระศาสนจักรใช้ทุกวิถีทางที่จะช่วยผู้คนที่ไร้ที่อยู่ และช่วย
เหลือตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงมีพระประสงค์จะสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ให้ทุกคน
          ในวันแห่งความปวดร้าวครั้งนั้น พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้ผู้คนสวดวิงวอน เพื่อว่า การลงโทษจาก
เบื้องบนด้วยน้ำนี้ อย่ากลับมากระหน่ำซ้ำเติมแก่มนุษย์อีกเลย
          เช่นเดียวกันในระหว่างนั้น โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงประกาศว่า : "หายนะแห่ง "Polesine" ควรจะต้อง
เป็นบทเรียน ควรจะเป็นประหนึ่งกระดิ่งเตือนภัย... แต่ทว่าจะเป็นการคุกคามของน้ำจนกลายเป็นเรื่องที่
น่าวิตกมากยิ่งขึ้น"
          วาทกรรมแห่งคำพยากรณ์นั้นปรากฏว่า ผู้คนยังจำได้ดี 12 ปีผ่านไป ในปี 1963 ก็ได้มีการบันทึกว่า
โศกนาฎกรรมแห่ง Vajont เมืองเล็กๆ บนฝั่งแม่น้ำ Arno ได้หายไปพร้อมกับกระแสน้ำ
กลืนชีวิตไป 2,500 คน และในครั้งนั้นก็เช่นเดียวกัน พระศาสนจักรได้ให้บริการด้วยความช่วยเหลือแก่
ผู้ถูกผลกระทบแห่งโศกนาฎกรรมครั้งนี้
          การคุกคามของน้ำ ถือว่าเป็นผลมาจากการปล่อยปละละเลยของผู้คนในท้องไร่ท้องนา
และการตัดไม้ทำลายป่า ในอีกหลายๆ ปีในอนาคต นักนิเวศวิทยาถือว่าสิ่งเหล่านี้คือ แส้ ของพระเจ้า
โดยใช้น้ำจะต้องมีขึ้นอีก

 และในบางที คงเป็น "แส้" ของพระเจ้า ซึ่งโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ได้ทรงเชิญให้สวดวิงวอนตั้งแต่ปี 1951 นั่นเอง       
💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 06, 2022 2:34 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (9)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (2)(B) ~✴️
          7. พวกเธอจะถวายทะเลแก่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์
"สักวันหนึ่งมนุษย์จะถวายทะเลแก่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์"
          ระหว่างการพักร้อนที่ตำหนักพักร้อน Castelgandolfo ในปี 1954 พระสันตะปาปาทรงกล่าว
คำพยากรณ์ว่า "วันหนึ่งจะมาถึง ที่มนุษย์จะพากันถวายทะเลแก่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์
เพราะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากทะเล 2 ปีก่อนที่รัสเซียจะถูกถวายแก่ดวงหทัยนิรมล
ของพระแม่มารีย์ เพราะภัยใหญ่หลวงจะมาจากสหภาพโซเวียต
          เพราะฉะนั้นก็สามารถเข้าใจกันได้เช่นเดียวกันว่า ในอนาคตอีกหลายๆ ปี มหันตภัยมิใช่เกิด
จากอุดมการณ์หนึ่งเท่านั้น แต่ทว่าจะเกิดจากทะเลด้วย ซึ่งจะคุกคามอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในบริเวณชายฝั่งทะเล แน่นอนในทศวรรษ 1950 คำเตือนนี้ไม่สามารถปลุกเร้าผู้คนให้หันมา
สนใจมากสักเท่าใด แต่ทว่าในปัจจุบัน คำพยากรณ์นี้ดูเหมือนจะยืนยันข้อวิจัยทางวิทยาศาสตร์
นักวิจัยชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์ L.J. Lewis ได้ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า อุณหภูมิของโลกถูกกำหนด
ไว้แล้วว่าจะเพิ่มขึ้นที่รู้สึกได้ในอนาคตอันใกล้ ข้อวิจัยจะไปจบลงที่อุณหภูมิไปกระตุ้นให้ก้อนน้ำแข็ง
ละลายไปบางส่วน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เพิ่มระดับน้ำทะเล แล้วน้ำจะไปบุกรุกชายฝั่งหลายแห่ง และจะทำ
ให้บางเมืองจมลงในทะเลไปเลย แต่ปัญหามิใช่จบลงแค่นี้ เพราะว่าน้ำเค็มของทะเลจะเข้าไปในท่อน้ำประปา
ฉะนั้นจะเกิดอันตรายที่จะมีน้ำ แต่จะรู้สึกกระหาย น้ำโดยปกติจะดื่มได้ แต่น้ำเค็มจะไม่สามารถดื่มได้
          และที่นี้ก็จะทำให้ระลึกถึงคำทำนายของศตวรรษที่ 16 ที่กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ไม่ไกลจากปี 2000
บ่อน้ำจะเต็มด้วยน้ำ แต่คนจะตายเพราะความกระหาย
          8. พวกเธอจะไม่มีประชาธิปไตย จะมีแต่ความเน่าเฟะ "คนซื่อสัตย์จะกลายเป็นเรื่องหาทำยายาก
แต่การคอรัปชั่นจะครองโลก"
         วันหนึ่งโป๊ป ปีโอ ที่ 12 กล่าวว่า "สักวันหนึ่งอิตาลีจะถูกเหวี่ยงเข้าวังวนแห่งคอรัปชั่น... ประชาธิปไตย
จะจบลงแค่เป็นเสื้อแจ็กเก็ตกันลม กันฝน เพื่อจะใช้ปิดบังความไม่ดีทุกชนิด คนไม่ซื่อสัตย์จะถูกนำ
โดยซาตานจนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ ทางการเมือง พวกเขาจะต้มชาวบ้านและรังควานเศรษฐกิจ"
          และยังทรงกล่าวอีกว่า "จะมีวันหนึ่งจะไม่มีประเทศใดที่ยืนอยู่ได้โดยไม่มีเรื่องอื้อฉาว...
การเสื่อมถอยทางการเมืองจะนำไปสู่การเสื่อมทางศีลธรรม... และจะมีวันหนึ่งซึ่งการคอรัปชั่นจะกลาย
เป็นวิถีแห่งชีวิต"
          เกี่ยวกับเรื่องคอรัปชั่นนี้ ยังมีคำทำนายของบาทหลวง ฤาษีโอลีเวตัน กล่าวว่า "สหัสวรรษจะสิ้นสุดลง
ในคอรัปชั่นและความเกลียดชังพวกโจร คนหลอกลวงจะครองตำแหน่งผู้บริหาร และคำสั่งต่างๆ จะมาจาก
ซาตาน เพราะยุคนี้เป็นยุคของซาตาน ยังมีคำทำนายของศตวรรษที่17 ทำนายไว้อีกว่า
"เมื่อสหัสวรรษ (ปี 2000) ความซื่อสัตย์และความยุติธรรมก็จะตายไปด้วย"
          9. จะมาถึงยุคของอาจารย์ปลอม "ยุคของอาจารย์ปลอมเข้ามาใกล้แล้ว... พวกเขาจะทำเป็น
นักการเมือง หรือวางฟอร์มเป็นนักวิทยาศาสตร์... และจะก่อทุกข์เข็ญไว้ในภายหลัง"
          ในพระวรสารเซนต์มัทธิวก็ทำนายถึงเหตุการณ์ของ "บรรดา อาจารย์จอมปลอม" จงระวังให้ดี...
เพราะจะมีคนประเภทหมาป่าหุ้มหนังแกะ"
          ฉะนั้นจะมีการหลอกลวง เพราะผู้คนจะหลงด้วยคำลวงเรื่องความรัก และเรื่องความยุติธรรม
โป๊ป ปีโอ ที่ 12 โดยวิเคราะห์ยุคซึ่งมนุษย์กำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ "มองเห็น" อาจารย์ปลอม
ในการเมืองเน่าเฟะ และนักวิทยาศาสตร์ซึ่งทวนกระแสของกฎธรรมชาติ
          เกี่ยวกับเรื่องนี้มีวลีหนึ่งที่น่าสนใจออกจากพระโอษฐ์ของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ในปี 1952 "ยุคของ
อาจารย์ปลอมเข้ามาใกล้แล้ว... พวกเขาจะหลอกลวงคนใจบริสุทธิ์อย่างง่ายดาย เพราะพวกเขา
วางฟอร์มดีว่าเป็นคนมีความสามารถสูง มีใจบุญสุนทาร แต่ที่แท้เป็นนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีมโนธรรมอันละเอียดอ่อน"
          พวกเรากำลังอยู่ในยุคของอาจารย์ปลอมแล้ว เช่น ปฏิบัติการ "มือสะอาด"
(mani pulite ซึ่งเป็นขบวนการของอัยการหนุ่มชาวอิตาลี ชื่อ Di Pietro ที่ไปขุดคุ้ยเปิดโปงการโกงกิน
ในกระทรวงสาธารณสุข และอีกหลายๆ กระทรวง จนกลายเป็นฮีโร่ แล้วก็เข้าเล่นการเมือง และแล้ว
ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอัศวินม้าขาวอย่างที่ชาวบ้านอยากจะให้เป็นเสียแล้ว) นั่นแหละคือตัวอย่างที่ชัดเจน
แต่นี่แค่บทเริ่มต้น เพราะจะมาถึงเวลาที่พวกเขาเข้าสู่การเมืองในแวดวงของ "อาจารย์ปลอม"
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะรับใช้สังคม แต่จะมาเอาสังคมไปเป็นประโยชน์ เพื่อจุดมุ่งหมายที่ถูกกฎหมาย
มากบ้างน้อยบ้าง
          นักวิทยาศาสตร์ซึ่งมุ่งที่จะทำให้โลกทึ่งด้วยงานวิจัย จะถูกนักการเมืองโกงกินชวนเข้าแก๊งด้วย
และ ณ ที่นี้ มีการให้เกียรติอย่างสูงกับนักวิจัย ในเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรมด้วยการให้เช่ามดลูก
การผสมข้ามพันธุ์ (เช่น คนกับลิง)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:14 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (10)👈

✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (3)(A) ~✴️
      10. สัญญาจากฟากฟ้าจะปรากฏให้เห็นกันถ้วนหน้า
     "หลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป... แต่การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่จะถูกประกาศิตจากฟากฟ้า"
     "ในอีกหลายปีในอนาคต การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่จะถูกบันทึกไว้แก่ผู้คนทุกระดับชั้น... โทรทัศน์
จะเปิดท้องฟ้าใหม่ที่กว้างและไกลกว่า ทั้งนี้โดยอาศัยเทคโนโลยีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ... แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลง
อันยิ่งใหญ่จะจบลงด้วยการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง... ซึ่งจะถูกประกาศจากฟากฟ้า และมนุษย์ทุกคน
ยังสามารถที่จะเห็นได้ พวกเขาจะเห็นสิ่งนี้และเข้าใจสิ่งนี้"
          คำทำนายนี้ถูกประกาศจากโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ในปี 1952
  ในสารพยากรณ์อื่น พวกเราก็พบการประกาศแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ในจดหมายเหตุ
คำพยากรณ์ของคุณแม่อธิการิณีแห่ง Dresda กล่าวว่า "...หลายสิ่งถูกเปลี่ยนแปลงโดยมนุษย์ หลายอย่างจะ
ถูกเปลี่ยนแปลงโดย กฎนิรันดร"
          และแล้ว "...ท้องฟ้าจะส่งลำแสงชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการประกาศ"
          บางคนสันนิษฐานว่า "การประกาศนี้จะเกี่ยวกับดาวหาง ดวงหนึ่ง สมมติฐานนี้ถูกส่งออกมา
ในปี 1976 เมื่อดาวหาง West มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและสมมติฐานเพิ่มลูกเล่นด้วยดาวหาง Halley
      แล้วยังถูกลูกเล่นดึงความสนใจด้วยดาวหาง Hyakutake ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในปี 1996 แล้ว
ความสว่างสุกใสของดาวทางดวงนี้ถูกบันทึกไว้แล้วเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่พระแม่มารีย์ได้รับ
แจ้งจากเทวดาคาเบรียลว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้พระนางรับเป็นมารดาพระเมสสิยาห์ ผู้จะเสด็จลงมา
ปลดปล่อยมนุษยชาติ
          บางที "ความบังเอิญนี้อาจหมายถึงบางอย่าง"
          แต่พวกเราต้องไม่ลืมว่า การปรากฏมาของดาวหางดวงหนึ่งจะถูกแจ้งไว้ล่วงหน้า แม้ในปี 1999 นี้
ด้วยซ้ำ บางที สิ่งนี้อาจเป็น "สัญญาณนั่นเอง" ที่มีอยู่ในคำพยากรณ์
          ยังจะมีสัญญาณเหล่านี้อีกสักเท่าไร ถึงขั้นที่เห็นได้และเข้าใจได้?
          เป็นคำถามที่ทำให้หงุดหงิด แต่ก็มีเหตุผล เพราะสารพยากรณ์มากมายกล่าวว่า ในวาระสิ้นสุด
สหัสวรรษ (ปี 2000) ว่า : เสียงดังกึกก้อง จนไม่สามารถแยกแยะว่าเป็นเสียงของอะไรนอกเหนือไปจาก
"เสียงดังกึกก้อง" พาให้สยองขวัญนั่นเอง
           11. ความเรียบง่ายจะกลายเป็นพรสวรรค์อันบรรเจิด "ในอนาคตอันใกล้ ทุกอย่างจะสลับซับซ้อน
และจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไปหมด... ความเรียบง่ายในชีวิตจะกลายเป็นพรสวรรค์อันบรรเจิด"
          นี่เป็นการกล่าวถึงสารพยากรณ์ ซึ่งสะท้อนถึงยุคของเรา หลักฐานมากมายเห็นได้ในแวดวงราชการ
เกี่ยวกับการโกงกิน มักจะจบลงในความอัปยศจะเห็นจากนักการเมืองในรัฐสภา ซึ่งไม่รู้แต่ละคนมีหน้าที่อะไร
จะถกเถียงเรื่องอะไร พวกเขามักจะพูดอะไรให้มันสลับซับช้อนเข้าไว้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ
          ข้อนี้ถือเป็นอันตรายสำหรับวันเวลาในอนาคต อันตรายที่จะมาจากความอยากได้ใคร่ดี เพราะมนุษย์
ทุกคนต้องการเป็นอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น ด้วยการบิดเบือนกฎเกณฑ์มากมายของคนเดินถนนทั่วๆ ไป
          เกี่ยวกับเรื่องนี้มีสารพยากรณ์ของศตวรรษที่ 18 ซึ่งจะเว้นไม่กล่าวเห็นจะไม่ได้ : ในปลายสหัสวรรษ
(ปี 2000) จะมีลักษณะเด่นเกี่ยวกับการขาด ความเรียบง่าย ผู้คนจะไม่สามารถแสดงออกหรือปฏิบัติตัว
ในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จะต้องใช้คำพูดมากมายเพื่อจะอธิบายว่า "ไม่" จะต้องแสดงออกทางอารมณ์
มากๆ เพื่อจะพิสูจน์เรื่องง่ายๆ... ความเรียบง่ายของชีวิตจะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์รุ่นใหม่
จะเป็นคนหนึ่งซึ่งจะใช้ชีวิตในมิติที่ชอบธรรม เพราะว่าความเรียบง่ายคนเราจะได้ยิน "เสียง" ของจิตวิญญาณ
และคนที่ไม่รู้จักใช้ชีวิตทางจิตวิญญาณ จะถือเป็นคนยากจน แม้จะใช้ชีวิตในกองเงินกองทอง
          นอกจากนี้ยังมีกล่าวถึงสารของแม่พระที่ได้ให้แก่เด็กคนหนึ่ว (คงเป็น ด.ญ. ยาชินทา แห่งฟาติมา)
"ให้ลูกเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในความเรียบง่าย" แม่พระกล่าวแก่เด็กคนนั้นอีกว่า "ให้ลูกเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต
ด้วยความรัก ให้ฝึกที่จะเลี้ยงชีวิตด้วยขนมปังกับน้ำ แล้วลูกจะรู้สึกอิสระและมีความสุข"
          เพราะฉะนั้น เราก็มาพบตัวเองอยู่ต่อหน้าสารหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ต้องดึงกลับมาซึ่ง
ความเรียบง่ายของชีวิต

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:20 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (11)👈

✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (3)(B) ~✴️
          12. การวิจัยเพิ่งจะเริ่มต้น มะกอกกิ่งหนึ่งสำหรับแต่ละนครหลวง
          "เมื่อประเดิมสหัสวรรษที่ 3 (ปี 2001) กิ่งมะกอกจะถูกนำไปสู่แต่ละเมืองหลวง เพราะว่าสันติภาพ
ถูกแขวนไว้ด้วยเส้นด้ายอันบอบบาง"
          นี่เป็นการวิเคราะห์คำทำนายของเซนต์มาลาคีที่ได้ทำนายไว้ว่า โป๊ปสืบต่อจากจอห์น ปอล ที่ 2
จะได้แก่ Gloria Olivae ชัยชนะของกิ่งมะกอก (ซึ่งจะเป็นโป๊ปองค์รองสุดท้าย ส่วนโป๊ปองค์สุดท้าย
เซนต์มาลาคีว่าจะได้แก่ Petrus Romanus ปีเตอร์ชาวโรม)
       โป๊ป ปีโอ ที่ 12 คงจะตีความทำนายข้อนี้ ได้ตรัสวันหนึ่งว่า "...เมื่อประเดิมสหัสวรรษที่ 3 ปี (2001)
กิ่งมะกอก (สันติภาพ) จะถูกนำไปแต่ละเมืองหลวงของยุโรปและของโลก เพราะสันติภาพถูกแขวนด้วย
เส้นด้ายอันบอบบาง"
          ดูเหมือนว่าเป็นความกังวลสำหรับชาวยุโรปโดยเฉพาะ
          มีคำทำนายของแม่อธิการิณีแห่ง Dresda เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "เมื่อยุค เก่า ปิดประตู ตะวันออก
ก็จะมีคบเพลิงที่ติดไฟ ซึ่งจะจุดโลกให้ลุกไหม้ และในที่นี้ ยุคเก่า หมายถึงสิ้นสุดสหัสวรรษ ส่วน ตะวันออก
หมายถึง อดีตสหภาพโซเวียตซึ่งยังมีการสู้รบกันภายใน ระหว่างกลุ่มที่เคยกุมอำนาจการบริหารกับอีก
กลุ่มหนึ่งซึ่งเคยอยู่ใต้แอกของกลุ่มแรก กลุ่มที่ 2 นี้ หมายถึง "คบเพลิง" นั่นเอง บางทีประกายไฟจะไปจุด
โลกให้เผาไหม้จากกลุ่มนี้นี่แหละ ไฟนี้จะไปเผากิ่งมะกอกจนถึงกิ่งสุดท้าย
          13. มีความพยายามที่จะรื้ออำนาจของพระศาสนจักร
        "...การผลักดัน การรื้อมิได้เริ่มจากภายนอกของพระศาสจักร แต่มาจากภายใน..."
        "ในหลายโอกาสได้มีความพยายามที่จะรื้ออำนาจของพระศาสนจักร... สิ่งที่กระทบคนส่วนใหญ่ก็คือ
การพิจารณาว่าการรื้อนี้มิได้เริ่มจากภายนอก แต่มาจากภายในพระศาสนจักรเอง..."
          คำพูดเหล่านี้ได้ออกมาจากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ในระหว่าง 2 - 3 ปีหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2
       คำพูดต่างๆ เหล่านี้จะพบกันดาษดื่นในคำทำนายหลายแหล่งซึ่งมักจะประกาศถึง "อาณาจักรของมาร"
และ "พญามาร" ในอนาคตอันใกล้ระบุว่า "เป็นไปได้สูงที่จะยึดตำแหน่งสำคัญๆ ของโลก จะมีการแทรกซึม
เข้าไปในระหว่างบรรดาพระฐานานุกรมชั้นผู้ใหญ่ในพระศาสนจักร"
      สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่า "การผลักดันให้รื้อจากภายในพระศาสนจักร" และมีการกล่าว กันอีกว่า การผลักดัน
ซึ่งมีเครือข่ายโยงใยสลับซับซ้อน และกำลังเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
       นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุน "พระสงฆ์สตรี" ซึ่งกดดันจากภายในพระศาสนจักร มีการเรียกร้องที่ประชุมใหญ่
ของคณะนักบวชหญิงเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในการคัดเลือกโป๊ป (Conclave) ครั้งใหม่ ผู้แทนฝ่ายนักบวชหญิง
ขอมีส่วนร่วมด้วย
          นี่เป็นเรื่องท่วงท่าอาการของมาร เพราะว่าขณะนี้ มารกำลังปฏิบัติการจากภายในพระศาสนจักร
          ควันของซาตานคุกคามวิหารของพระเจ้า
          "เมื่อความศรัทธาเริ่มโคลงแคลง ซาตานจะเริ่มปรากฏตัว..."
          "ควันของชาตานคุกคาม แม้กระทั่งวิหารของพระเจ้า"
          วลีนี้ได้ถูกเอ่ยขึ้นมาตั้งแต่ปี 1952 โดยสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12
          หลังจากนั้น 20 ปี โป๊ป ปอล ที่ 6 ทรงสานต่อวลีของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 โดยขยายความถึงภัยนี้ มองเห็น
เป็นรูปธรรมแล้วเพราะเหตุว่า "ควันของซาตาน" ได้เข้ามาในพระศาสนจักรแล้ว"
          ในโอกาสอื่นๆ โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ได้ทรงแสดงความห่วงใยสำหรับความสามารถอันเหลือหลาย
ของมารที่จะพรางตนในการหลอกหลอนคนให้หลง และที่จะเข้านอกออกในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
          "การปรากฏตัวของซาตานจะถี่ขึ้น แล้วมนุษย์ก็ค่อยๆ ออกห่างจากพระศาสนจักร... เมื่อความเชื่อ
ศรัทธาคลอนแคลน ซาตานจะปรากฏตัว" มันจะหลอกลวงมนุษย์ด้วยมารยาสาไถยและด้วยสัญญาสารพัด
          ทั้งโป๊ป ปีโอ ที่ 12 และ โป๊ป ปอล ที่ 6 ทรงเห็นถึงภัยของซาตาน "ในพระศาสนจักร" เป็นที่เข้าใจว่า
ซาตานหลังจากได้พิชิตโลกทั้งหมดแล้ว จะลงเอยด้วยการเข้าไปคลุกคลีตีโมงในพระศาสนจักรด้วย
ความแยบยล
          เพราะฉะนั้นพระศาสนจักรจะต้องไม่กำหนดขอบเขตแค่ทำสงครามกับคอรัปชั่นวัตถุนิยม "วัวทอง"
สารพัดรูปแบบ คือ ลัทธิถือเงินเป็นพระเจ้าเพราะว่า "ควันของซาตานกำลังจู่โจมวิหารของพระเจ้าแล้ว"
          แต่คนที่ได้รับแสงสว่างเท่านั้นจะสามารถมองเห็นควันของพญามาร
เพราะมักจะสับสนปนเปกับควันของกำยาน.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:23 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (12)👈
✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (4)(A) ~✴️
          14. เราเห็นเครื่องหมายของพระเจ้าบนดวงอาทิตย์
          "เราได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่ได้เห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์บนดวงอาทิตย์ มันเป็นเครื่องหมาย
ของพระเจ้า ซึ่งบางทีอาจจะบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของยุคใหม่
          "พระเจ้าได้ประทานพระพรแห่งความชื่นชมยินดีแก่องค์พระสันตะปาปา ให้ได้เห็นปรากฏการณ์
มหัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นที่ฟาติมา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1917 ในสวนพักร้อนของวาติกัน"
          ในวันที่ 30 และ 31 ตุลาคม และวันที่ 1 และ 8 พฤศจิกายน 1951 ดวงอาทิตย์เป็นเหมือนลูกกลมไฟ
ลอยคว้างในอวกาศ เริ่มหมุนไปแนวนอน และปรากฏการณ์นี้เห็นได้อย่างเฉพาะเจาะจงในตำหนักตาก
อากาศ Castelgandolfo
          พระคาร์ดินัล Tedeschini สมณทูตประจำฟาติมา ในปี 1951 ได้เป็นพยานในปรากฏการณ์ครั้งนี้ด้วย
          พระสันตะปาปาทรงเล่าถึงปาฏิหาริย์ครั้งนี้ ระหว่างทรงกล่าวต้อนรับกลุ่มผู้นำแสวงบุญชาวฮอลแลนด์
และทรงกล่าวกับผู้ใกล้ชิดบางคน เพื่อแสดงออกซึ่งความประทับใจ ได้ทรงกล่าวว่า "เครื่องหมายนี้บ่งบอก
อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่จริงๆ"
          ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะปี 1957 กล่าวคือ หนึ่งปีก่อนสิ้นพระชนม์ ณ ตำหนักพักร้อน
นั่นเอง พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็น "อัศจรรย์ดวงอาทิตย์อีกหลายครั้ง"
          "เป็นสัญญาณเตือนสำหรับมนุษย์ เพื่อให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง... เพราะหลาย
สิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป..."
          ปรากฏการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำอีกในภายหลังที่ Medjugorye และเฉพาะในขณะนี้ เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่
ในประวัติศาสตร์กำลังสุกงอมแล้ว : การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
          แต่ทว่าสิ่งนี้อาจเป็นแค่การเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
          15. เมื่อเช้านี้เราได้เห็นพระเยซู
          "เราได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ ซึ่งเปล่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า นิมิตหนึ่งจะปรากฏมา"
          เจ้าหน้าที่ผู้จงรักภักดีของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 แสดงคารวะต่อพระประมุขตามประเพณีทุกๆ เช้าด้วยการ
ย่อเข่าข้างหนึ่งแตะพื้นด้วยความนอบน้อม ในทันใดนั้น ได้ยินพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงค่อนข้างดังว่า
: เมื่อเช้านี้เราได้เห็นพระเยซู"
          "นิมิต" ได้ปรากฏมาขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงสวดภาวนาซ้ำๆ ในบทร้องหาจิตวิญญาณ
ขององค์พระคริสต์ : In hora mortis meae voca me..."
          พระสันตะปาปาทรงมีพระประสงค์ให้เก็บ "ปรากฏการณ์แห่งฟากฟ้า" ไว้เป็นความลับสุดยอด
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ตอนเช้าของวันที่ 2 ธันวาคม 1954 พระสันตะปาปาทรงบันทึกรายละเอียดเล็กน้อย
แล้วทรงผนึกซอง และบนซองทรงระบุว่า "ให้เปิดได้หลังความตายของเรา"
          ดูเหมือนว่าจดหมายนี้ในเวลาต่อมาได้ถูกเปิดเผยโดยโป๊ป จอห์น ที่ 23 ซึ่งยังทรงยึดเจตนาของ
โป๊ปองค์ก่อนที่จะไม่เผยข้อความให้สาธารณชนรู้ เช่นเดียวกันกับความลับฟาติมาข้อที่ 3
          แต่อย่างไรก็ตาม ได้เกิดการไม่บังควรขึ้น ได้มีการเผยข้อความที่บรรจุไว้ในซองลับสุดยอด
ซึ่งเป็นสารของพระเยซู มีใจความดังนี้ :
          พวกท่านทั้งหลายจงสวดภาวนามากๆ ... เพราะว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่กำลังสุกงอมบนพื้นโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น โลกต้องเตรียมตัวที่จะต้อนรับ "อาณาจักรของเรา"
          เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นเรื่องที่โจษจันกันสนั่นเมือง
นิตยสารรายสัปดาห์ La Domenica del Corriere อุทิศพื้นที่ปกด้วยอักษรยักษ์ว่า
"ปรากฏการณ์แห่งฟากฟ้า" และ L' Osservatore Romano น.ส.พ. แห่งสันตะสำนัก (วาติกัน)
ของวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 1955 ได้ยืนยันสิ่งซึ่ง น.ส.พ. รายวันและนิตยสารอื่นๆ ได้ประโคมข่าวว่า
"พระเยซูทรงปรากฏมาพบองค์พระสันตะปาปา"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:28 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (13)👈

✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (4)(B) ~✴️
          สมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ทรงแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยถึงความไม่บังควรนี้
(เพราะพระองค์ได้ทรงรับสั่งให้เก็บไว้เป็นความลับ) ถึงแม้ได้ทำไปด้วยเจตนาที่ดีก็ตาม
          นี่ก็เป็นท่าทีเดียวกันกับที่พระศาสนจักรได้กระทำกับความลับฟาติมาข้อที่ 3 ซึ่งบางส่วนได้ถูกแพร่
ไปทางการทูตอย่างไม่บังควรเช่นเดียวกัน
          มีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อหาสาระของคำทำนายทั้งสองนี้คือ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 กับ
ความลับฟาติมาข้อที่ 3 มีเนื้อหาสาระเหมือนกัน ซึ่งพระศาสนจักรไม่เคยยอมรับหรือปฏิเสธ อนึ่ง คำ
ทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ยังมีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ความลึกลับของเซนต์บาบิอานา ทั้งนี้เพราะ
โป๊ปได้รับสารนี้จากพระเยซูในวันที่ 2 ธันวาคม 1952 ซึ่งตามปฏิทินคาทอลิกเป็นวันฉลองนักบุญบาบิอานา
          หรือว่า บางทีมองไปอีกทีก็รู้สึกว่า ดีเหมือนกันที่ได้ล่วงรู้เรื่องเบื้องบนไว้บ้าง เพราะมนุษย์ยุคบริโภค
นิยมไม่มีสายตาที่จะมองเห็นความจริงแห่งโศกนาฏกรรมซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะ
          16. พระเยซูจะประทับอยู่ที่หน้าประตู
     "เมื่อเกิดการหลงผิดถึงขั้นอุกฤษฏ์ พระเยซูก็จะเสด็จมาคอยที่หน้าประตู..."
     "เมื่อลัทธิป่าเถื่อน (นับถือผีสางนางไม้) ใหม่หวนกลับมาครองโลก รูปปั้น วัวทอง อันได้แก่ ผลประโยชน์
ความร่ำรวย ลัทธิวัตถุนิยมจะถูกสร้างขึ้นทุกหัวระแหง (ขอขยายความสำหรับผู้ไม่คุ้นเคยศัพท์พระคัมภีร์
ไบเบิล คือคำ วัวทอง ครั้งที่โมเสสนำชาวยิวอพยพกลับจากอียิปต์แดนทาสสู่อิสราเอล ดินแดนแห่งพันธสัญญา
ต้องเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารด้วยความยากลำบากแสนสาหัส เช่น ไม่มีน้ำดื่ม โมเสสก็ขอพระเจ้าให้มีน้ำไหล
จากโขดหิน มีข้าว มานนา ลงมาจากฟ้า ต้องตกระกำลำบากในทะเลทรายนานถึง 40 ปี ด้วยความทุกข์ทรมาน
แสนสาหัสเมื่อขออะไรจากพระเจ้าไม่ได้ดั่งใจ ก็เลยเข้าพึ่งรูปปั้น วัวทอง อันเป็นวัฒนธรรมอียิปต์ แล้วพากัน
เซ่นไหว้บนบานศาลกล่าวแทนพระเจ้า ซึ่งมองไม่เห็นของโมเสส ทั้งๆ ที่เคยส่งข้าวมานนาจากฟ้าส่งน้ำผ่าน
โขดเขา) นับเป็นเวลาอันสำคัญยิ่งที่มีน้อยคนนักจะมองเห็นอย่างจะแจ้ง และน้อยคนจะมีความกล้าหาญที่
จะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ (วัวทอง) เพราะเหตุว่ากฎของป่าจะปกคลุม "วัวทอง" ด้วยหมู่เมฆน้อยใหญ่ โดยมีจุด
ประสงค์ที่จะทำให้วัวทองแห่งความไม่ยุติธรรม สับสนปนเปเป็นเทวดาแห่งความยุติธรรม
          ที่ได้กล่าวมานี้เป็นคำทำนายของ พระฤาษี แบร์นาโด แห่ง Challan ในปลายศตวรรษที่ 17 ถือได้ว่า
เป็นการส่งสารถึงยุคสมัยของเรานี่เอง เพราะยังมีคำทำนายอื่นสอดคล้องกับคำทำนายนี้ด้วยว่า เมื่อสิ้นสุด
สหัสวรรษ (ปี 2000) จะมีผู้คนพากันกราบไหว้ วัวทอง กันอีก
        แต่ทว่า หากพวกเรามาฟังความคิดเห็นอันเป็นคำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ก็จะเห็นว่า ความหลงใหลได้
ปลื้มกับ "วัวทอง" จะมีช่วงเวลาที่จำกัด
     "เมื่อความหลงผิดถึงขั้นอุกฤษฏ์" โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงกล่าวเมื่อปี 1953 "พระเยซูจะเสด็จมาคอยที่หน้าประตูแล้ว"
       ฉะนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ดังที่พระฤาษีแบร์นาโดได้ทำนายไว้ "มนุษย์จะทิ้งหนทางเก่าแห่ง
ความรันทด แห่งความหิวโหย แห่งความวิตกกังวล และความกลัว เพื่อจะเริ่มเดินทางไปสู่ทางที่มีจุดหมาย และ
เส้นทางจะสั้น..."
          ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด "ด้วยการเสด็จกลับมาของพระเยซู" ฉะนั้น "เมื่อเข้าไปใกล้สหัสวรรษ
(ปี 2000) เป็นการดีที่จะประดับประดาบ้านช่องห้องหอด้วยดอกไม้นานาพรรณ จะเป็นการดีที่จะเริ่ม
ทำความสะอาดครั้งใหญ่ เพราะใกล้เวลาที่องค์พระผู้ไถ่ พระเยซูคริสตเจ้าจะเสด็จมาเคาะประตูบ้านแล้ว"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2022 8:32 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (14 )👈

✴️~ คำทำนายของโป๊ป ปีโอ ที่ 12 (4)(C) ~✴️
          17. ให้พวกเราทำฉลองอีสเตอร์ครั้งสุดท้ายเยี่ยงคริสตชน
       "การฉลองอีสเตอร์ (วันรำลึกถึงพระเยซูทรงฟื้นพระชนมชีพ) ครั้งสุดท้ายจะต้องมาถึงสำหรับทุกคน...
สิ่งที่นับว่าสำคัญก็คือให้ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างดี เสมือนว่าหากเราจะต้องตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ ด้วยร่าง
ที่เปล่งประกายรุ่งเรือง (ทิพย์)"
      ในปี 1958 โป๊ป ปีโอ ที่ 12 มีความรู้สึกค่อนข้างชัดเจนว่า "ชีวิตแห่งชาวโลกของพระองค์กำลังเดิน
เข้ามาใกล้จุดจบแล้ว"
    ในอัตชีวประวัติตอนหนึ่งระบุ "มีความรู้สึกว่ากำลังเข้าไปในนิมิตเฉพาะผู้มีจิตที่ได้รับการเลือกสรรแล้วเท่านั้น"
     พระองค์มักจะปลีกตัวไปในการสวดภาวนาบ่อยขึ้น ณ วัดน้อยส่วนพระองค์ พระองค์ทรงนั่งวิปัสสนา
เป็นเวลานาน
          วันหนึ่งทรงกล่าวกับผู้ร่วมงานใกล้ชิดว่า "มนุษย์กำลังแปรเปลี่ยนไปเป็นเทวดา" แล้วเสริมอีกว่า
"แต่ทว่าต้องใช้ชีวิตในมิติของเทวดา ซึ่งมนุษย์บนโลกทั่วไปมักไม่รู้จักใช้ชีวิตกับบรรดาเทวดา"
          โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระองค์ ด้วยการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่ามนุษย์
พระองค์ทรงเห็นและทรงรู้สึกในมิติ ซึ่งมนุษย์ที่มีชีวิตในความวุ่นวายของโลก จะไม่สามารถมองเห็นและรู้สึกได้
          ณ ต้นฤดูใบไม้ผลิ ในปี 1958 สมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 12 ทรงมีพระประสงค์กับคนใกล้ชิดว่า
อยากจะทำฉลองอีสเตอร์เป็นพิเศษ เสมือนหนึ่งว่า เป็นการทำฉลองอีสเตอร์เป็นครั้งสุดท้าย
(ตามปฏิทินคาทอลิกการฉลองอีสเตอร์ถือเป็นการฉลองที่สำคัญที่สุดในรอบปี คริสต์มาสยังถือเป็นการฉลอง
รองลงมา คนทั่วไปแม้ชาวคริสต์เองมักเข้าใจว่า คริสต์มาสเป็นฉลองที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี)
          บุคคลซึ่งรับใช้พระสันตะปาปาอย่างใกล้ชิด เมื่อได้ยินพระประสงค์ของพระองค์เช่นนั้นถึงกับร้องไห้
ด้วยความสะเทือนใจ พระองค์ทรงปลอบใจเขาด้วยถ้อยคำที่บรรเทาใจอย่างยอดเยี่ยมว่า อีสเตอร์สุดท้าย
จะมาถึงสำหรับทุกๆ คน แต่ที่สำคัญต้องเจริญชีวิตแต่ละวันเป็นวันอีสเตอร์...
ในวิถีทางเยี่ยงคริสตชนอย่างลึกซึ้งและเป็นอีสเตอร์สุดท้ายของพระองค์จริงๆ
          แล้วพระองค์ก็ทรงยอมรับความเจ็บปวดรวดร้าว พระองค์ทรงใช้พลังทั้งหมดที่ยังเหลือ ฟันฝ่า
ภาระหน้าที่ของผู้แทนพระคริสต์อย่างเข้มแข็ง
          แม้ในวันที่ 5 ตุลาคม 1958 พระองค์ยังทรงออกรับแขก ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มนักกฎหมาย
ซึ่งพระองค์ต้องตรัสเป็นภาษาฝรั่งเศส
          แล้วอีก 4 วันต่อมา "นายชุมพาบาลเทวดา" ก็ได้เข้าไปในมิตินิรันดรแห่งเทวดา
          ทรงเป็นเทวดาระหว่างเทวดา

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 14, 2022 5:23 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (15 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (1)(A) ~✴️
          บทที่ 1 นิยามและการตีความของคำทำนาย
          ก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์ถึงคำทำนายหลักๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีกรอบทางเทววิทยาในการ
อ้างอิง หรือในการอธิบายศัพท์ต่างๆ ที่ใช้บ่อยๆ เช่น การเผยสำแดงจากเบื้องบน (Revelation)
นิมิต (Vision) เสียงภายในใจ (Locution) และคำทำนายเพื่อว่าเราจะได้หลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด
ที่อาจจะเกิดขึ้น จริงๆ แล้วการโต้แย้งและการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องคำทำนาย บ่อยครั้งเกิดจาก
การขาดความเข้าใจในภาษา และความหมายที่เฉพาะเจาะจง
          ใครที่อ่านคำทำนายอย่างพินิจพิเคราะห์ไม่ควรจะไขว้เขวว่า คำทำนายนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
หรือว่าคำทำนายนั้นเป็นเท็จ แต่ว่าจะต้องไม่เชื่อในทันที หรือคาดหวังในทางตรงกันข้ามซึ่งมองเห็น
ว่าผิดไปจากที่คาด ก็จะก่อให้เกิดความสับสน หรือบางทีอาจทำให้เสียความเชื่อไปเลยก็ได้
          คำทำนายต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้า หากเพิกเฉย ก็หมายถึงการลงโทษ
ตัวเองให้ไปสู่ความบอดมืด แต่หากบิดเบือนคำทำนายก็หมายถึง การลงโทษตัวเองว่าเป็นคนโง่เ
ขลาเบาปัญญา
          ต่อไปนี้จะขออธิบายคำศัพท์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำทำนาย :
          การเผยสำแดงจากเบื้องบนในภาษาอังกฤษใช้คำ Revelation ซึ่งมาจากภาษาละติน Revelatio
ซึ่งเป็นคำสมาสมาจากคำ VELUM แปลว่า ผ้าคลุม ซึ่งมาจาก VELARE แปลว่า เอามาคลุมเอามาปิด
เมื่อเติมอุปสรรค RE จะให้ความหมายในทางตรงกันข้ามหรือกระทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้น REVELATIO
ก็คือ การเปิดเผยสิ่งที่ปิดอยู่ การไขความ การเผยสำแดง
          การเผยสำแดงมี 2 ประเภท
          การเผยสำแดงต่อสาธารณะ (Public revelation) เช่น พระเยซูทรงเทศน์สอนแก่ประชาชน
เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
          การเผยสำแดงแบบส่วนตัว (Private revelation) เช่น แม่พระปรากฏกายให้เด็กเลี้ยงแกะ 3 คน
ที่ฟาติมา โปรตุเกส โดยที่ฝูงชนที่ห้อมล้อมมิได้เห็นแม่พระ เมื่อปี 1917
          นิมิต (Vision) คือ การที่มนุษย์ผู้หนึ่งมองเห็นวัตถุลึกลับอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วไม่มี
ใครมองเห็น จำแนกได้ดังนี้
          นิมิตที่สัมผัสได้ทางประสาท (Sensible vision) เช่น เมื่อปี 1917 เด็กเลี้ยงแกะ 3 คนที่ฟาติมา
โปรตุเกส ได้เห็นการปรากฏของแม่พระ ซึ่งเด็กๆ บรรยายว่า เป็นสตรีงาม มีผมสีทอง ตาสีฟ้า ประทับ
ลอยอยู่บนต้นโอ๊ก
          นิมิตรับรู้ทางจินตนาการ (Imaginary vision) เช่น การเห็นเทวดาในความฝัน ดังที่ท่านนักบุญ
โยเซฟได้เห็นเทวดาปรากฏในฝัน ขอหยิบยกจากพระคัมภีร์ตอนหนึ่ง จากพระวรสารของเซนต์มัทธิว
1 : 18 - 25 : เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์พระมารดาของพระองค์
ทรงหมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้ง 2 จะครองชีวิตร่วมกันปรากฏว่า พระนางตั้งครรภ์แล้ว
เดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย
จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบๆ
          ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า " โยเซฟ
โอรสกษัตริย์ดาวิดอย่ากลัวที่รับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนาง
นั้นมาจากพระจิตเจ้า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากร
ของเขาให้รอดพ้นจากบาป" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศก
จะเป็นความจริงว่า
          หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า "อิมมานูเอล" แปลว่าพระเจ้า
สถิตกับเรา เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นเขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย
แต่เขามิได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง ต่อมาให้กำเนิดบุตรชาย โยเซฟตั้งชื่อบุตรชายนั้นว่าเยซู

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 14, 2022 5:26 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (16 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (1)(B) ~✴️
          อนึ่งนิมิตนี้อาจได้รับขณะกำลังตื่นก็ได้
          นิมิตทางปัญญา (Intellectual vision) คือการได้รับรู้ความจริงอันหนึ่งโดยไม่เป็นรูปธรรม
          เสียงในใจ (Locution) คือการสำแดงความคิดของพระเจ้าสัมผัสได้โดยทางประสาทสัมผัส
ภายนอก ภายใน หรือสัมผัสโดยตรงจากปัญญา แบ่งเป็น
          สัมผัสทางโสตประสาท คือได้ยินด้วยหู (Auricular location) บ่อยครั้งทีเดียวนิมิตนั้นจะสอด
คล้องกับเสียงในใจ
          ฉะนั้น บรรดานิมิตทั้งหลาย และเสียงในใจ ก็เป็นรูปแบบสำคัญอย่างหนึ่งในหลายๆ รูปแบบ
ที่พระเป็นเจ้าทรงสื่อกับมนุษย์ เมื่อการสื่อนี้บอกเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต เราก็เรียกว่าคำทำนาย
พระเจ้าจะไม่ทรงเปิดเผยอนาคตเพื่อความสะใจของมนุษย์ผู้อยากรู้อยากเห็น แต่จะทรงเผยเพียง
เพื่อแผนแห่งความรอดพ้นของมนุษย์เท่านั้น
          อันที่จริง คำทำนาย มักจะระบุถึงสภาพความบาปของมนุษย์ พร้อมด้วยวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ
ที่จะหลีกหนีบาป ฉะนั้น คำทำนายที่กล่าวถึงภัยพิบัติในอนาคตก็มักจะมีข้อแม้ว่า หากปฏิเสธที่จะกระทำ
ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
          ถ้ามนุษย์กลับใจและหยุดที่จะทำ อนาคตของพวกเขาก็จะเป็นไปในทางบวก แต่ถ้ายังทำชั่วต่อไป
ก็จะถูกลงโทษ ตัวอย่างนี้จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตอนประกาศกโยนาห์ ได้รับโองการจากพระเจ้าให้
ไปแจ้งให้ชาวเมืองนีนะเวห์ว่า พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนีนะเวห์ แต่ว่าชาวเมืองได้เชื่อฟังพระองค์
เมืองนีนะเวห์จึงมิได้ถูกทำลาย ดังมีบันทึกไว้ดังนี้
          แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองว่า "จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และ
ประกาศแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า" ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ตาม พระวจนะของพระเจ้า
ฝ่ายนีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียวถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลา 3 วัน โยนาห์จึงตั้งต้นเดินเข้าไป
ในเมืองได้ระยะทางเดิน 1 วัน และท่านก็รับประกาศว่า "อีก 14 วัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย" ฝ่ายประชาชน
นครนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเจ้า เขาประกาศให้อดอาหารและสวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดถึงผู้น้อยที่สุด
          กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์
ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศไป
ทั่วนครนีนะเวห์ว่า "โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูง
สัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจ
ร้องทูลต่อพระเจ้า และให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณ ซึ่งมือเขากระทำใคร
จะรู้ได้ พระเจ้าอาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย คลายพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อว่าเราจะมิได้พินาศ"
          เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไปไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็
ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา (โยนาห์ 3 : 1 - 10)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 14, 2022 5:31 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 17 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (1)(C) ~✴️
          นี่เป็นตัวอย่างคำทำนายที่มีเงื่อนไข
          คำทำนายหลายข้อจำเป็นจะต้องรู้จักตีความ ขอหยิบยกพระคัมภีร์จากบทปฐมกาล ดังนี้
"ยาโคบ ยาโคบเอ๋ย" ยาโคบทูลว่า "พระเจ้าข้า" พระองค์จึงตรัสว่า "เราคือพระเจ้า คือพระเจ้า
ของบิดาเจ้า อย่ากลัวที่จะไปอียิปต์ และเราจะพาเจ้ากลับมาอีกด้วยแน่ และโยเซฟจะเอามือปิด
ตาเจ้า" (ปฐมกาล 46 : 3 - 4)
          "เราจะพาเจ้ากลับมาอีกด้วยแน่" แต่ว่ายาโคบได้เสียชีวิต ฉะนั้นจะต้องไม่ตีความตามอักษร
แต่จะต้องตีความว่า จะพาลูกหลานเจ้ากลับ
          ขอหยิบยกอีกตัวอย่างจาก บทพระวรสารนักบุญลูกา ดังนี้ หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และ
ถูกฝังไว้ในคูหาในกรุงเยรูซาเลม ศิษย์ 2 คนกำลังเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอุส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุง
เยรูซาเลม 11 กิโลเมตร ทั้ง 2 คน สนทนาถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังสนทนาและ
ถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตา
ถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถามว่า "ท่านสนทนากันเรื่องอะไรตามทาง" ทั้ง 2 คนก็หยุดเดิน ใบหน้า
เศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า "ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยซาเลมหรือที่ไม่รู้เรื่องราว
ที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อ 2 - 3 วันนี้" พระองค์ตรัสถามว่า "เรื่องอะไรกัน" เขาตอบว่า ก็เรื่องพระเยซูชาว
นาซาเร็ตประกาศกทรงอำนาจในกิจการและคำพูด เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และต่อหน้า
ประชาชนทั้งปวง บรรดาหัวหน้าสมณะ ผู้นำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต
และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่า พระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ
แต่นี่เป็นวันที่ 3 แล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คำพูดของพระเยซูที่ทำให้ชาวอิสราเอลเข้าใจผิดก็คือ
"เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ"
          สานุศิษย์ทั้ง 2 คน แห่งเมืองเอมมาอุส ได้วาดหวังว่า พระเยซูจะทรงปลดปล่อยอิสราเอล
ให้เป็นอิสระ โดยเข้าใจไปในทางวัตถุคือ จะได้รับอิสรภาพจากการปกครองของจักรภพโรมัน
ในขณะนั้น
          เกี่ยวกับการเผยสำแดงจากเบื้องบน ไม่ว่าต่อสาธารณะหรือต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พระเจ้า
ทรงสื่อกับมนุษย์ในหลากหลายรูปแบบ และในบรรดาการเผยสำแดงเหล่านี้ยังรวมถึงการสำแดงผ่าน
นิมิต และเสียงในใจ แก่บุคคลต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้นคำทำนายทั้งหลาย มิใช่มองในแง่การสื่อสาร
ถึงบุคคลต่างๆ เท่านั้น ยังต้องคำนึงถึงการตีความ ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งด้วย เพราะฉะนั้น
จำเป็นทีเดียวที่จะต้องพินิจพิเคราะห์ถึงหลักการสำคัญๆ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สามารถเข้าใจอย่างถูกต้อง
เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้ และเพื่อจะเป็นประโยชน์มากที่สุดที่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ทรงญาณ
ที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ คือนักบุญจอห์น แห่งไม้กางเขน ซึ่งเราอาจรวบรวมข้อคิดต่างๆ ของท่านดังนี้
          1. จะต้องไม่ตีความคำทำนายตามตัวอักษร
          2. ความคิดของพระเจ้าอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์
          3. จำเป็นอย่างยิ่งที่จะพินิจพิเคราะห์ถึงเหตุผล ซึ่งอาจได้ใช้คำทำนายเป็นปัจจัยช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น ครั้งที่พระเยซูทรงทำนายว่า ในวันหนึ่งข้างหน้า พระวิหารกรุงเยรูซาเลมจะถูกทำลายลงจนราบ
เป็นหน้ากลอง กระทั่งจะไม่มีหิน 2 ก้อนซ้อนกันอีกเลย คำทำนายนี้เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็น
พระเมสสิยาห์ (ผู้ไถ่กู้มนุษยชาติจากความบาป) ที่แท้จริง มิใช่นักรบผู้มากู้ชาติอิสราเอลจาการยึดครอง
ของชาวโรมัน
ในขณะนั้น นั่นก็คือ หากพระองค์เป็นนักรบผู้กู้ชาติ วิหารกรุงเยรูซาเลมก็จะต้องไม่ถูกทำลายอย่างแน่นอน
          หากเรายึดคำชี้แนะของท่านนักบุญทั้ง 3 ข้อนี้ เราก็จะสามารถหลีกเลี่ยงที่จะบิดเบือนคำทำนาย
และสามารถหลีกเลี่ยงที่จะถูกหลอก หรือถูกเอาประโยชน์จากเหตุการณ์บางอย่าง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 15, 2022 9:18 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 18 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (2)(A) ~✴️
       บทที่ 2 คำทำนายหลักๆ ของการเผยสำแดงจาก เบื้องบนแบบส่วนตัว
          ในบทที่ 2 นี้จะขอเสนอคำทำนายที่สำคัญๆ ศตวรรษนี้
          เนื่องจากมีคำทำนายประเภทนี้มากเหลือเกิน จึงเป็นภาระค่อนข้างหนักที่จะจำแนกแยกแยะ
คำทำนายข้อหนึ่งสำคัญกว่าอีกข้อหนึ่ง
          มีผู้รู้บางท่านใช้ความพยายามอย่างจริงจังที่จะแยกแยะคำทำนายต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่
แต่ว่าค้นพบในภายหลังว่า มิใช่เป็นหนทางที่ถูกต้องนัก เนื่องจากว่าคำทำนายต่างๆ นั้นจะมีความ
คลุมเครือ ซึ่งไม่อาจตีความให้กระจ่างได้ทั้งหมด
          ความคลุมเครือนี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง เพราะหากมีพระประสงค์ในทางตรงข้าม
พระองค์ก็คงจะสำแดงอย่างจะแจ้งในแต่ละเหตุการณ์ แต่คำทำนายดังจะพบเห็นได้ในพระธรรมวิวรณ์
(Apocalypse) นั้นไม่อาจเข้าใจได้ในระดับสติปัญญา และความมีเหตุผลธรรมดาๆ ของพวกเราได้
ประเด็นนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาไปพร้อมกันในบทท้ายๆ ของหนังสือเล่มนี้
          สำหรับขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะร่วมพิจารณาด้วยกันถึงหัวข้อสำคัญๆ อันเป็น กระแสของความ
สนใจของคนยุคปัจจุบัน เพื่อจะได้วิเคราะห์ร่วมกันว่า การเผยสำแดงต่อสาธารณะแล้วหรือไม่
          ชั่วโมงอันมืดมิดและการเสด็จกลับมาของพระเยซู
          ห้วข้ออันเป็นกระแสที่มาแรงเกี่ยวกับคำทำนายในยุคปัจจุบันก็คือ เรื่องราวที่เกี่ยวกับการ
เปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนของประวัติศาสตร์กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เต็มที่
          สารสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารนี้เป็นสารที่ Pino Casagrande
ได้รับจากเบื้องบน มีดังนี้ :
          หมายเหตุ Pino Casagrande เป็นจิตรกร ปัจจุบันใช้ชีวิตบั้นปลายเพื่อแพร่สารของแม่พระ
ซึ่งพระแม่สื่อให้เขาระหว่างการสวดภาวนา :
          ลูกๆ เอ๋ย! พวกเราผู้เฉยเมยเฉยแฉะ กำลังมุ่งหน้าไปสู่อวสานกาล แม้ยังมีเวลาเหลืออีก
เพียงเล็กน้อย เพราะที่จริงเวลามันสั้นมาก เพราะเหตุนี้แหละ แม่จึงวิงวอนขอพวกลูกๆ อุทิศเวลา
สักเล็กน้อยให้คิดที่จะกลับใจและชักชวนให้พี่น้องกลับใจด้วย
          พวกเราอยู่ใกล้กับยุคของท่านจอห์น เหลือเวลาอีกไม่นานนักแล้ว
          ในการทดสอบ 2 ข้อนี้ ก็จะมีเหตุผล 4 ข้อปรากฏขึ้นตามมา
          ข้อที่หนึ่ง เกี่ยวกับความเฉยเมย นั่นก็คือไม่มีใครเลย (หรือเกือบไม่มีใครเลย) คิดถึงความ
ร้ายแรงของยุคที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้คือ ยุคปัจจุบันนี้จะไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึง
          เหตุผลข้อที่สองได้มาจากพระธรรมวิวรณ์ที่บ่งว่า : "พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่อวสานกาล" และ
"พวกเราอยู่ใกล้กับยุคของท่านจอห์นแล้ว"
      ข้อที่สามบ่งถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ซึ่งอาจรั้งรอไม่ได้อีกแล้ว : "ไม่มีเวลาเหลืออีกมากนักแล้ว"
      ข้อสุดท้าย เป็นการเรียกร้องที่สำคัญยิ่ง คือ การกลับใจ
          สารข้อหนึ่งที่ท่านบาทหลวง Stefano Gobbi ได้รับจากพระแม่มารีย์ผ่านการสนทนาจากภายใน
(locution) จะสามารถขยายความให้กระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้น ถึงความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในปีเหล่านี้ :
         ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำบนโลกแล้ว ลูกเอ๋ย (บาทหลวงกอบบี) ขณะนี้เป็นช่วงโมงแห่งความมืด
เป็นชั่วโมงแห่งความมืด เป็นชั่วโมงของมารร้าย เป็นช่วงเวลาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมัน
          หมายเหตุ Stefano Gobbi คือบาทหลวงท่านหนึ่ง ขณะเดินทางไปแสวงบุญที่ฟาติมา โปรตุเกส
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 1972 ได้รู้สึกถึงพลังภายในกระตุ้นให้ท่านเกิดความรัก และความไว้วางใจใน
พระแม่มารีย์ จากวันนั้นเป็นต้นไป ท่านก็ได้รับการดลใจจากพระแม่ ให้รวบรวมบรรดาบาทหลวงที่
ปรารถนาจะรับคำเชื้อเชิญจากพระแม่ ที่จะมอบกายถวายใจแก่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่
และยอมสวามิภักดิ์ต่อคำเรียกร้องจากสันตะปาปา ขบวนการสงฆ์ของแม่พระจึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 16, 2022 10:23 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (19 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (2)(B) ~✴️
          ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมารซาตานจะไม่ใช้เงื่อนไขที่ถาวรและเด็ดขาดเป็นแน่นอน ทั้งนี้
เพราะพระเยซูในขณะที่แต่งตั้งให้อัครสาวกเปโตรเป็นหัวหน้าพระศาสนจักร ได้ทรงสัญญาไว้ว่า
ประตูนรก นั่นก็คือ อำนาจของมารร้ายจะไม่สามารถเอาชนะพระศาสนจักรได้เลย ดังมีบันทึกไว้ว่า :
          เราขอบอกเจ้าว่า เจ้าคือศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา และประตูนรก
จะไม่สามารถเอาชนะพระศาสนจักรได้เลย (มัทธิว 16 : 18)
          แต่ต่อไปนี้เราจะเห็นการเข้ามาช่วยเหลือพิเศษของพระเจ้า ในการนำความรักมาสู่มนุษย์
การปรากฏมาของแม่พระมากมายหลายครั้ง และการเข้ามาแทรกแซงจากเบื้องบนมายังโลกนี้
จะต้องทำให้เราพินิจพิเคราะห์ด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก : การเสด็จกลับมาอย่าง
รุ่งเรืองของพระเยซูได้ถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้ง ประหนึ่งว่าเข้ามาใกล้เต็มทีแล้ว เราจะรู้สึกตื่นตา
ตื่นใจถึงการปรากฏมาของพระแม่พระเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นไปทั่วทุกทวีป
          และต่อไปนี้เราจะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบความไว้วางใจแก่แม่ชีผู้หนึ่งชื่อ Beghe ว่า :
          อวสานกาลของประชาชาติได้มาถึงแล้ว กาลเวลาหมดลงแล้ว กาลเวลาจะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้
ยุคนี้ชั่วร้าย เราจะไม่ปล่อยให้ดำเนินต่อไปมากนักแล้ว เพราะว่าเจ้ามารร้ายขโมยบรรดาวิญญาณ
ไปจากเรา และเราไม่อนุญาตให้มันแย่งอย่างไม่หยุดหย่อนไปจากเราอีกต่อไป เราคือพระผู้เป็นเจ้า
และเราจะมาอย่างรวดเร็ว เจ้าจงอธิษฐานและภาวนาเพื่อให้เรามาเร็วๆ เถิด และจงอธิษฐานและ
ภาวนาเพื่อให้อาณาจักรของเรามาถึง เราเป็นพระผู้เป็นเจ้า เราเป็นองค์ความดีและความเมตตาอย่าง
ไม่มีขอบเขต เราจะไม่ทอดทิ้งพวกลูก และเราจะคุ้มครองลูกๆ ในระหว่างการทดสอบ ซึ่งกำลังจะกระหน่ำ
บนโลกนี้แล้ว การทดสอบนี้จะชำระล้างลูกๆ เพื่อลูกๆ จะได้เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งการทดสอบ
จะทำให้ลูกเห็นการกลับมาของเราบนโลกยุคใหม่นี้ จะยืนยาวไปจนถึงอวสานของโลก ยุคใหม่นี้จะเป็น
ยุคแห่งสันติสุข เป็นยุคแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นยุคแห่งพัฒนาการทางศาสนา ยุคใหม่นี้จะเป็น
พระอาณาจักรพระเจ้าบนแผ่นดิน เป็นพระอาณาจักรที่บรรดาอัครสาวก และบรรดาสัตบุรุษของ
พระศาสนจักรแห่งศตวรรษแรกๆ ได้ตั้งตาคอย ยุคใหม่นี้กำลังคอยอยู่ที่หน้าประตูแล้ว พวกลูกจะต้อง
เป็นคนตาบอดแน่ๆ หากยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
          หมายเหตุ ซิสเตอร์ Beghe เป็นนักบวชหญิงผู้หนึ่งซึ่งได้รับสารจากวิญญาณในไฟชำระ
จากแม่พระมารีย์ และจากพระเยซู อัตลักษณ์ (dentity) ของเธอยังไม่เป็นที่เปิดเผย เพราะพระเยซู
ทรงมีพระประสงค์ให้เธอยังคงเป็นบุคคลซ่อนเร้น
          การสนทนาภายใน (locution) ของท่านบาทหลวงกอบบี ในปีเดียวกันก็กระจ่างแจ้งไม่น้อย :
          องค์พระตรีเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ได้มอบภารกิจแก่พระแม่สวรรค์ของพวกลูกๆ ในการเสด็จ
กลับมาของพระเยซู
          การเสด็จกลับมาของพระเยซูจะเกิดขึ้นหลังการทดสอบที่สาหัสฉกาจฉกรรจ์ ซึ่งจะบ่งชี้ถึง
อวสานแห่งยุคของเรา เป็นการเริ่มต้นใหม่นั่นเอง
          มาถึงจุดนี้อาจเกิดข้อโต้แย้ง อันที่จริงโดยทั่วไปก็คิดกันว่า การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง (Parusia)
จะต้องเกิดขึ้นตอนอวสานของโลก แต่ว่าในข้อความเหล่านี้ถือว่า การเสด็จกลับมานี้เป็นประหนึ่ง
พิธีเปิด (inauguration) ช่วงเวลา (phase) ใหม่ของประวัติศาสตร์โลกจะอวสานเฉพาะเมื่อสิ้นสุด
ช่วงเวลาใหม่นี้เท่านั้น
          ปัญหานี้เราจะมาทบทวนกันใหม่ในบทต่อไป
          สำหรับเวลานี้เป็นการเพียงพอที่ข้อความของแม่พระที่ได้สื่อให้ท่านบาทหลวงกอบบีทราบถึง
การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูว่า :
          ลูกๆ ที่รัก การเสด็จมาครั้งที่ 2 ก็จะเป็นเหมือนครั้งแรกคือในยามค่ำคืน แต่ว่าการเสด็จมา
ครั้งที่ 2 นี้ พระองค์จะเสด็จมาอย่างมีสง่าราศีรุ่งเรืองอลังการ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาครั้งสุดท้าย
เพื่อการพิพากษาครั้งสุดท้าย ซึ่งวันเวลาแห่งเหตุการณ์นี้ยังเป็นความลับของพระบิดาเจ้าอยู่
          โลกจะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดแห่งการปฏิเสธพระเจ้าอย่างดื้อรั้น และด้วยการกบฏแห่ง
ความรัก ความเย็นเยือกแห่งความเกลียดชังจะทำให้ถนนหนทางแห่งโลกนี้ถูกทอดทิ้งให้ว่างเปล่า
และแทบจะไม่มีใครเต็มใจต้อนรับพระองค์

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 17, 2022 8:22 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 20 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (2)(C) ~✴️
          วิกฤติของพระศาสนจักร และ แอนตีไครสต์
          เสียงจากภายในซึ่งท่านบาทหลวงกอบบีได้รับจากแม่พระ การพรรณนาถึงสถานการณ์
ปัจจุบันของพระศาสนจักร เป็นไปได้ว่า สถานการณ์นี้ไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นให้สื่อของชาวคริสต์
หันมาสนใจเพียงพอ อาจจะได้ยินเรื่องเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว จนเกิดความชาชิน หรือประเภท
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ความชาชินเช่นนี้ไม่น่าจะทำให้เกิดความสงสัยว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือ
อันที่จริง การเข้ามาแทรกแซงจากเบื้องบนได้ให้น้ำหนักเพียงพอ มิใช่ถึงความหนักหนาสาหัส
ของยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ว่าความไม่สามารถของมนุษย์โดยทั่วไปจะไม่สำเหนียกอย่างเต็มเปี่ยม
ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ถึงจะไม่สามารถตีความเครื่องหมายต่างๆ ซึ่งจะบ่งบอกลักษณะพิเศษในช่วง
ปลายศตวรรษที่ 20
          เครื่องหมายเหล่านี้ได้ถูกบรรยายอย่างครบถ้วนจากพระแม่มารีย์ เครื่องหมายเกี่ยวกับ
พระศาสนจักรโดยเฉพาะมีอยู่ที่ 4 ประการ คือ : ความสับสนวุ่นวาย ความไร้ระเบียบ การแตกแยก
และการเบียดเบียน
          เครื่องหมายต่างๆ ที่บ่งบอกลูกๆ ว่าช่วงเวลาแห่งการชำระล้างได้มาถึงพระศาสนจักรแล้ว
: เครื่องหมายแรกคือ ความสับสนวุ่นวาย ที่ครอบงำพวกลูกๆ สิ่งนี้คือ ช่วงเวลาแห่งความสับสน
วุ่นวายครั้งใหญ่ ความสับสนแพร่เข้าไปภายในพระศาสนจักร ณ ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกรื้อถอน
ในเรื่องข้อความที่ต้องเชื่อ ในเรื่องพิธีกรรม และในเรื่องวินัย
          เครื่องหมายข้อที่ 2 ซึ่งบ่งบอกลูกๆ ว่าพระศาสนจักรได้มาถึงช่วงเวลาแห่งการชำระล้างแล้ว
คือ ความไร้ระเบียบวินัย ได้แพร่ไป ในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างนักบวช
          เครื่องหมายข้อที่ 3 คือ การแตกแยก ได้แทรกซึมเข้าไปภายในพระศาสนจักร การแตกแยก
ภายในนี้บางครั้งนำไปสู่ความร้าวฉานระหว่างพระสงฆ์กับพระสงฆ์ พระสังฆราชกับพระสังฆราช
พระคาร์ดินัลกับพระคาร์ดินัล ด้วยเหตุว่า ไม่เคยมียุคใดเท่ากับยุคนี้ ที่ซาตานสามารถนำเรื่องอัปยศ
เหล่านี้เข้าไปพัวพันกับท่านเหล่านี้ โดยตัดสายใยสัมพันธภาพแห่งความรักในระหว่างท่านเหล่านี้
          แม่พระยังได้ให้ข้ออ้างทางพระคัมภีร์ที่ชัดเจนในการตีความเครื่องหมายเหล่านี้คือ :
          ชั่วโมงแห่งการทิ้งศาสนาครั้งใหญ่ได้มาถึงแล้ว
         สิ่งที่ถูกทำนายในพระคัมภีร์กำลังกลายเป็นความจริงแล้วนั้นจะเห็นได้จาก จดหมายของท่านเปาโล
ฉบับที่ 2 ที่มีถึงชาวเธสะโลนิกา : เจ้าซาตาน ศัตรูของเรามีเล่ห์เพทุบายอันแยบยล สามารถที่จะแพร่
ความหลงผิดภายใต้รูปแบบแห่งการตีความใหม่ๆ และทันเหตุการณ์กว่า และจะพาให้ผู้คนมากมาย
เลือกใช้ชีวิตบาปโดยไม่รู้ตัว และมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความชั่วร้ายอะไรหนักหนา ตรงกันข้าม หลงละเริง
ไปว่าเป็นความดีและความกล้าหาญเสียด้วยซ้ำ
          ในบรรยากาศเช่นนี้ก็ได้มีการประกาศถึงการมาของ แอนตีไครสต์ เกี่ยวกับที่ท่านบาทหลวง
กอบบีก็ได้รับรู้จากพระแม่มารีย์เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับพรพิเศษอื่นๆ อีกหลายท่านที่รู้
รายละเอียดเกี่ยวกับ แอนตีไครสต์ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ การสื่อสารจากบรรดาเทวดาแก่
นางมาร์การิตา ซาม ปาอิร์ Margherita Sampair.
          ในสารนี้ แอนตีไครสต์ ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับศาสนจักรโลกจอมปลอมซึ่งจะรวมทุกศาสนา
เข้าด้วยกัน และศาสนจักรโลกนี้จะถูกควบคุมโดย แอนตีไครสต์ ผ่านทางพระสันตะปาปาจอมปลอม
คนหนึ่ง
          ทรชนคนถ่อยซึ่งร่วมกันสร้างศาสนจักรนี้ โดยหยิบเอาสิ่งที่ทรามที่สุดของแต่ละศาสนา
แล้วผนวกเข้ากับศาสนจักรโลกใหม่แห่งซาตาน
          บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินต่างก็ยอมรับศาสนจักรนี้ เพราะว่าศาสนจักรนี้เป็นการเริ่มต้นของ
แนวคิดโลกหนึ่งเดียว ซึ่งผู้ปกครองก็คือซาตานนั้นเอง พระสันตะปาปาจอมปลอมก็จะเป็นหุ่นเชิด
ของศาสนจักรโลกหนึ่งเดียว
          หัวหน้าก็คือ พระสันตะปาปาจอมปลอมถูกควบคุมโดย แอนตีไครสต์ พระสันตะปาปาจอมปลอม
ต้องปกครองศาสนจักรโลกหนึ่งเดียวตามบัญชาของซาตาน

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส