“สู่สงครามมหาประลัย” (ตอนที่ 21-40 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 19, 2022 8:33 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 21 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (2)(D) ~✴️
          กิจกรรมแรกจะได้แก่การปฏิเสธพระแม่พรหมจารีมารีย์ พระนางจะถูกทำให้เสื่อมเสีย
ชื่อเสียง ความเป็นพรหมจรรย์ของพระแม่จะถูกโจมตี และยังจะกล่าวหาว่าพระแม่พรหมจารีมารีย์
มีบุตรหลายคน การสวดสายประคำจะถูกประกาศว่าเป็น เฮรีซี (Heresy) ประพฤติผิดจารีตหรือ
เป็นการเคารพบูชาสตรี
          ผู้มิใช่ลูกที่แท้จริงของพระแม่มารีย์จะพากันทำลายสายประคำและรูปปั้น พร้อมทั้งภาพวาดต่างๆ
ของพระแม่มารีย์ นอกจากนั้นยังงดทำฉลองต่างๆ ของพระแม่มารีย์
          บรรดานักบุญต่างๆ จะถูกถอดถอนจากสารบบโดยศาสนจักรโลกหนึ่งเดียว
          พระเยซูจะถูกประกาศว่าเป็นประกาศก (Prophet) และนักปรัชญา และยิ่งกว่านั้นเป็นแค่มนุษย์
ปุถุชนที่ได้ตายไปแล้ว
          ศาสนจักรนี้จะถูกปกครองโดยซาตาน และจะมากราบไหว้บูชาพระบาลาม
     สิ่งนี้ดูเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่จะเกิดขึ้น เพราะข้อนี้เองพระเยซูจึงได้ถามกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า
: พวกท่านเชื่อหรือว่าจะมีความเชื่อบนโลก เมื่อเราจะกลับมา?
        มาถึงจุดนี้ก็จะสามารถเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะตามมาของพระศาสนจักร นั่นก็คือ สถานการณ์
แห่งวิกฤติและความเสื่อมโทรมอันรุนแรง การทิ้งศาสนา และการปรากฏตัวของ แอนตีไครสต์ การก่อตั้ง
ศาสนจักรโลกจอมปลอม และการเบียดเบียนในศาสนาคริสต์แท้ๆ ที่จะเหลือเพียงน้อยนิด
          ในพระคัมภีร์ก็มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงนี้ จดหมาย 2 ฉบับของท่านนักบุญเปาโลที่มีไปถึง
ชาวเธสะโลนิกา ได้กล่าวถึงหลักความเชื่อแห่งเหตุการณ์สุดท้าย ท้ายสุด เราได้สารของพระแม่ที่มีไปถึง
ท่านบาทหลวงกอบบี ซึ่งได้หยิบยกจดหมายฉบับที่ 2 ของท่านนักบุญเปาโลที่มีไปถึงชาวเธสะโลนิกา ดังนี้ :
          อย่าให้ใครหลอกลวงท่านโดยวิธีใดเลย
          วันนั้นจะยังมาไม่ถึงจนกว่าจะเกิดการกบฏ แลมนุษย์ชั่วร้ายจะปรากฏตัวมารับความพินาศ มนุษย์
ชั่วร้ายผู้นี้จะยกย่องตัวเอง และต่อต้านทุกสิ่งที่มนุษย์นมัสการและเรียกว่าพระเป็นเจ้า เพื่อตนจงได้นั่ง
ในพระวิหารของพระเจ้า และชี้ให้เห็นว่าตนคือพระเจ้า (2 ธส 2 : 3 - 4)
          "แล้วมนุษย์ชั่วร้ายนั้นก็จะปรากฏอย่างเปิดเผย และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายเขาด้วยลม
จากพระโอษฐ์ และจะทรงบดขยี้เขาให้สูญไป เดชะการเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองของพระองค์"
          การมาของมนุษย์ชั่วร้ายจะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของซาตานที่แสดงออกเป็นการอัศจรรย์
เป็นเครื่องหมาย และเป็นปาฏิหาริย์อันหลอกลวงชนิดต่างๆ มนุษย์ชั่วร้ายนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วช้า
ทุกอย่างทำร้ายผู้ที่จะต้องพินาศ เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงที่ทำให้รอดพ้น พระเจ้า
จึงทรงส่งพลังความหลงผิดมาให้เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อความเท็จ ดังนั้นทุกคนที่ไม่ยอมเชื่อความจริง
แต่พึงพอใจความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ (2 ธส 2 : 8 - 12)
          เพราะฉะนั้น อาศัยจดหมาย 2 ตอน ของท่านนักบุญเปาโล ก็ทำให้เรามองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง
ถึงเหตุการณ์ละทิ้งความเชื่อ และการเผยโฉมของ แอนตีไครสต์ ซึ่งได้รับคำนิยามว่า "ทรชน"
"คนอสัตย์อธรรม" และ "ลูกแห่งความพินาศ"
        ยิ่งกว่านั้นเขายังถูกนิยามอย่างกว้างขวางว่า เขาจะได้รับความเคารพกราบไหว้ประหนึ่งพระเจ้า
และโดยอาศัยความช่วยเหลือของซาตาน เขาจะแสดงปาฏิหาริย์ในหลายรูปแบบ
          ตามคำทำนายมีกล่าวว่า เมื่อพระเยซูจะเสด็จกลับมา พระองค์จะทรงจัดระเบียบสังคมให้กลับมา
สู่สันติภาพ ความยุติธรรม ความจริง และความรัก แต่ก่อนการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองครั้งนี้ จะมีการ
ทดสอบครั้งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 20, 2022 9:34 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 22 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (3)(A) ~✴️
          มีข่าวสารมากมายที่กล่าวถึงภัยพิบัติตามธรรมชาติ และว่ากันที่จริงภัยธรรมชาติก็เป็น
ส่วนหนึ่งอันปกติธรรมดาของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ฉะนั้นอะไรล่ะ คือ เหตุผลของเบื้องบน
ที่จะกระตุกความสนใจด้วยวิธีที่สะท้านสะเทือนเช่นนี้เล่า? อาจเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างที่
ใหญ่โตมโหฬารกว่าที่ธรรมชาติเคยให้กับมนุษย์ ดังจะได้นำข้อมูลบางอย่างอันเป็นสารของ
พระแม่ที่ได้มอบให้ Giuseppe GuemIs : โลกเรานอกเหนือจากถูกถล่มด้วยลูกอุกาบาตแล้ว
ยังจะถูกกระหน่ำด้วยภัยธรรมชาติอื่นๆ อีกดังนี้ :
          แผ่นดินจะสั่นสะท้าน ไม่ใช่ในขณะนี้.... แต่ยังอีกนาน... จะมีแผ่นดินไหว ทะเลไหว (สึนามิ)
น้ำท่วม เรียงหน้ามาให้เห็นเป็นว่าเล่น อีกไม่นานนักหรอกจะมีหลายๆ ชาติที่จะหายสาบสูญไป
จากแผ่นดิน เป็นชาติที่ไม่มีพระ
          มีคำทำนายอื่นๆ อีกมากมายที่กล่าวถึง ภาวะข้าวยากหมากแพง หายนภัย และโรคระบาด
คงไม่จำเป็นที่กล่าวถึง ภัยพิบัติประเภทนี้แต่จะมีคำทำนายอื่นๆ ที่น่าสนใจกว่าคือ คำทำนายเกี่ยว
สงครามและการปฏิวัติ
          ในอิตาลีจะมีสงครามกลางเมือง ซึ่งจะลามเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 อีกไม่ช้าไม่นานจะมีการ
ปฏิวัติครั้งใหญ่ในอิตาลี ในอันดับแรกผู้แทน (Vicar) ของเราจะถูกสังหาร
          เกี่ยวกับสงครามในอิตาลี มีข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียดจากบทความของแม่ชี Beghe
          สงครามใหญ่จะระเบิด เพราะบรรดาผู้นำของหลายประเทศไม่สามารถปรองดองกันได้
ความขัดแย้งนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจระหว่างนานาชาติ วิกฤตินี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วแต่
การล่มสลายของชาติต่างๆ ยังไม่เป็นที่ยอมรับกัน วิกฤติของแต่ละประเทศจะทำให้เกิดการลุกฮือขึ้น
แล้วเปลวไฟแห่งการปฏิวัติก็จะลุกลามไปหลายๆ ประเทศของโลก แล้วมนุษย์ก็จะเข่นฆ่ากัน เพราะ
ความอดอยากปากแห้งและเพราะเงินไม่มีพอจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้เกิดความบ้าคลั่งเสมือนผีป่า
ชาตานเข้าสิงสู่ มารร้าย เจ้าแห่งการเกลียดชังจะยั่วยุผู้คนให้หนักข้อมากขึ้น แล้วพวกมันจะปล่อย
ให้ผู้คนหดหู่อยู่ในความน่าสะพรึงกลัว และจมอยู่ในกองกิเลส ผู้คนจะอยู่ใกล้ๆ กับคนของเรา แล้วเขา
จะไม่ย่นระย่อต่อความกลัวศัตรูของเราพยายามหยิบยื่นให้พวกเขา เมื่อบรรดาชาติต่างๆ ไม่มีเลือด
จะหลั่งอีกต่อไปแล้ว และบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปแล้วรัสเซียก็เดินหน้าเต็มสูบ อวดแสนยานุภาพเป็น
หัวโจกในสงครามมหาประลัยในครั้งนี้ โดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความ
ยุติธรรมของเราก็จะกระหน่ำลงบนโลก พระยุติธรรมนี้ จะไม่ออมมือแก่ผู้ใดเลย สัตบุรุษของเราจะตาม
ไปสู่เขากัลวารีโอ (คือภูเขาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน) ณ ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกตรึงบนไม้กางเขนพร้อมกับเรา
แต่ทว่าพวกเขาจะไม่ถูกทอดทิ้งเหมือนดั่งที่เราถูกทอดทิ้ง พวกเขาจะเดินหน้าด้วยความร่าเริงและด้วย
ใจสงบเฉกเช่นเดียวกับบรรดา มรณสักขี รุ่นแรกๆ คือชาวคริสต์รุ่นแรกๆ ที่ได้ยอมตาย แต่ไม่ยอมทิ้ง
ศาสนาในกรุงโรมตอนต้นศตวรรษ)
          เรา คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น :
          เบลเยี่ยม จะถูกกระทบอย่างรุนแรงเหมือนประเทศอื่นๆ เบลเยี่ยม จะถูกสงวนไว้ เพราะ เบลเยี่ยม
ได้รักษาพระมหากษัตริย์ของตนไว้ ระบบกษัตริย์เป็นระบบที่เป็นที่พอใจพระเจ้า
          ฝรั่งเศส จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะฝรั่งเศสเป็นพี่สาวคนโตของพระศาสนจักร แต่กลับเป็น
หัวโจกนำพาชาติอื่นๆ อีกมากมายไปสู่ความหลงผิดและทรยศ
          เยอรมนี จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะไม่ซื่อสัตย์ และไม่จงรักภักดีต่อศาสนา และต่อพระมหากษัตริย์
ของตน สเปนจะได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกับเบลเยี่ยม จึงเป็นหนี้บุญคุณของระบบกษัตริย์
          อิตาลี จะทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะนครนิรันดร (กรุงโรม) ไม่ได้ซื่อสัตย์ทั้งๆ ที่ได้รับข่าวดี
ก่อนใครอื่น
          ฮอลแลนด์ จะถูกลบไปจากแผนที่ ทั้งนี้ เพราะไปหลงระเริงอะไรที่นอกลู่นอกทาง
          โปรตุเกส ซึ่งเป็นที่รักแต่ดวงหฤทัยของแม่ของเราจะได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกับ เบลเยี่ยม
และ สเปน มิใช่เพราะรักษา ระบบกษัตริย์เอาไว้ แต่เพราะความใสซื่อในความยึดมั่นในศาสนาของเยาวชน
       เดนมาร์ก และประเทศสแกนดิเนเวียจะถูกแช่แข็งไปทั่วดินแดนทางเหนือ ตรงกันข้ามในเขตพื้นที่ขั้วโลกใต้
กลับถูกอบด้วยความร้อนที่ไม่ธรรมดา การละลายของก้อนน้ำแข็งก่อให้เกิดคลื่นสึนามิมีความสูงของคลื่น
ขนาด 300 เมตร ความตื่นตระหนกและความกลัวของมนุษย์มากล้นจนสุดขีด เมื่อบรรดาสัตว์ประหลาดร่าง
ยักษ์โผล่มาจากใจกลางป่าดงดิบ จะกัดกินเนื้อมนุษย์อย่างหิวกระหาย
          ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน คงจะได้ถูกกระตุ้นจากปฏิกิริยาทางสรีระของเซลล์แมลงเล็กๆ
เมื่อกระทบกัมมันตภาพรังสี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮอร์โมนพัฒนาในวิถีทางที่ขาดการควบคุมตามปกติ มีตัว
อย่างสดๆ ร้อนๆ ในปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นที่ภาคเหนือของประเทศอิตาลี หลังจากอุบัติภัยเชอร์โนบิลบรรดา
สื่อมวลชนได้เปิดเผยบางกรณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ไก่ที่เลี้ยงในฟาร์มเกิดมีรูปร่างใหญ่โตพิลึกพิลั่น แต่สื่อถูก
ห้ามมิให้เปิดปากพูดถึงเรื่องนี้ พวกเธอคงจะจำเรื่องได้จากวิทยุเราคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าและจะเป็นผู้สั่ง
ควรจะทำอะไรเมื่อเกิดเหตุ เพื่อความปลอดภัยของลูกในช่วงเวลานั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2022 11:07 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (23 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (3)(B) ~✴️
          สารนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่จำเป็นต้องเน้นถึงเรื่องกัมมันตภาพรังสี ในสงครามโลก
ครั้งต่อไปนี้\จะใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
          สัญญาณเตือน มืด 3 วัน 3 คืน และ ผู้ชอบธรรมจะถูกยกขึ้นไว้ในที่ปลอดภัย
          ในบรรดาเหตุการณ์ที่ได้รับการพรรณนาว่า จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแบบไม่ธรรมดา
และลึกลับ
          ก่อนการลงทัณฑ์ สัญญาณเตือน หากมนุษยชาติยังไม่ถอนตัวจากความมัวเมาในความชั่ว
ก็จะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน
          เกี่ยวกับเรื่อง สัญญาณเตือนและการลงทัณฑ์ กอนซิตา คอนซาเลศผู้เห็นแม่พระที่ คาราบันดัล
ได้เขียนบรรยายไว้ดังนี้
          สัญญาณเตือน จะเห็นกันและรู้สึกได้จากทุกคน และจากแต่ละคนไม่เว้นใครเลย ไม่ว่าจะอยู่ส่วน
ไหนของโลก สัญญาณเตือนนี้จะกระตุ้นเตือนคนดีให้เข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ฟ้าแลบแปลบ
ปลาบเข้าทุกบ้านเรือน ได้ยินเสียงสาปแช่งของสัตว์นรก ระงมด้วยเสียงโครมครามของแผ่นดินไหว
คลื่นยักษ์ และเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ใครมองออกไปทางหน้าต่างเพราะความอยากรู้อยากเห็นจะเสียชีวิต
ในบัดดล ผู้คนจะพากันกราบไหว้พระโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู และร้องหาความช่วยเหลือจาก
พระแม่มารีย์ มารจากนรกจะยึดคนชั่วที่มีชีวิตซึ่งได้แต่ขอร้องพวกมันให้ไว้ชีวิตพวกเขาด้วย
โรคระบาดจะแพร่ไปทั่ว จะเห็นผู้คนที่เต็มไปด้วยจุดดำๆ ที่แขน ไอกำมะถันส่งกลิ่นไปทั่ว ประหนึ่งว่า
ทั้งนรกจะระเบิดกระนั้น
       กางเขนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เครื่องหมายแสดงถึงการสิ้นสุดมืด 3 วัน 3 คืน แผ่นดินเป็นประหนึ่ง
สุสานมหึมา ประหนึ่งที่เปลี่ยวอันเวิ้งว้าง ผู้คนที่ตระหนกอกสั่นต่างค่อยๆ ออกจากบ้าน คนตายจะถูก
รวบรวม ในระยะแรกๆ ไม่มีผู้ใดเดินทางโดยรถไฟ เรือ และรถยนต์ โรงงานต่างๆ ถูกปิดเงียบไม่มี
คนควบคุมเครื่องยนต์
          หลายส่วนของนิมิต แสดงนัยสำคัญถึงการเข้าเกี่ยวข้องเบื้องต้นแน่นอน
          ทำไมเล่า? เทียนเสกเท่านั้นที่จะจุดไฟติด และจะคิดอย่างไรที่ "พวกมารนรกพากันจับตัวคนชั่วที่
ยังมีชีวิตอยู่ แล้วคนเหล่านี้ก็ส่งเสียงร้องขอให้ไว้ชีวิตอย่างไร้ผลล่ะ?" คงจะเป็นการชำระล้างมลทินครั้ง
สุดท้ายของมนุษยชาติ เพราะหลังจากเหตุการณ์นี้ ก็อ่านพบบทความชิ้นหนึ่งของผู้รับพรพิเศษจากเบื้องบน
ชาวเวียดนามได้ความว่า : ไม่มีใครเหลืออีกเลยนอกจากลูกแกะเชื่องๆ"
          คำทำนายนี้อย่าเพิ่งทำให้มันมั่นใจว่าการลงโทษจะมีเฉพาะแต่คนชั่วเท่านั้น อันที่จริงดูเหมือนบาง
ส่วนของคนดีก็จะถูกลงโทษด้วย แม้ว่าหลายคนได้ถูกไว้ชีวิตโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเบื้องบน
          ข้อมูลต่อไปนี้เป็นของ Marie Julie Jahenny หญิงผู้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เหมือนของพระเยซู
ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก :
          ในระหว่างมืด 3วัน 3 คืน สัตว์นรกจะปรากฏในร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว และพวกมันจะทำให้เกิด
เสียงในอากาศ ด้วยเสียงด่าสาปแช่งที่น่าสยองพองเกล้า แล้วก้อนเมฆสีแดงเหมือนเลือดผ่านไปมาบน
ท้องฟ้า เสียงคำรามของฟ้าร้องฟ้าผ่าทำแผ่นดินสะท้านสะเทือน แผ่นดินจะเปลี่ยนเป็นสุสานมหึมาสำหรับ
ซากศพของคนดีและคนชั่ว ซึ่งจะระเนระนาดไปทั่วพื้นดิน การลงทัณฑ์นี้จะเป็นไปทั่วจักรวาล
          การปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษแก่คริสตชนที่แท้จริงถูกสัญญาแก่แม่ชี Beghe ดังนี้ :
          เรา ผู้เป็นพระเจ้า เป็นมหากษัตริย์แห่งสวรรค์และแผ่นดิน เราจะส่งคนของเราเข้าสู่ปราการอัน
แน่นหนา เราจะปกป้องพวกเขาจากการลงทัณฑ์ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งจะเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุดอย่าง
ที่ไม่เคยเกิดที่ไหนมาก่อน และไม่มีวันเกิดขึ้นที่ไหนอีก
          ผู้ได้รับพรพิเศษจากเบื้องบนบางคนได้กล่าวถึง การยกขึ้นไว้ในที่ปลอดภัยของผู้ได้รับเลือกสรร
เป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นการยกขึ้นไปจากแผ่นดินก่อนเวลาของบรรดาผู้ที่ถือว่าได้ผ่านการทดสอบมาอย่างดี
และข้อมูลต่อไปนี้คือคำยืนยันของ E.G. เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1969  "พวกท่านไม่ได้เห็นภัยพิบัติ เพราะ
พวกท่านจะถูกยกขึ้นมาถึงเราทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ และพวกท่านจะได้รับพระพรการปฏิรูปของเรา"
          อีกข้อมูลหนึ่งมีการอ้างอิงทางพระคัมภีร์ ซึ่งจะถูกวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้ :
"อีกไม่นานพวกท่านจะได้เห็นการไถ่ตัว : สองคนกำลังนอนบนเตียง คนหนึ่งจะถูกไถ่ตัวไป สองคนกำลัง
ทำงานในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกไถ่ตัวไป ขณะนี้การนับถอยหลังเริ่มขึ้นแล้ว ศูนย์ถูกนับแล้ว"
          ในที่สุด : "พวกท่านจะถูกประคองตัวบนหมู่เมฆเพื่อส่งมอบให้เรา ไม่ว่าจะไปสู่พระบิดา ไม่ว่าจะกลับ
สู่แผ่นดินอีก... ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเหมือนตอนที่เราเสด็จขึ้นสวรรค์ : บ้างก็ไปสู่พระบิดาแล้วจะอยู่กับพระองค์
ตลอดไป และบ้างก็จะกลับไปสู่แผ่นดินอีก...."
          ดังนั้น คงสรุปได้ว่า ในระหว่าง "ผู้ที่ถูกรับตัวไป" บางคน จะถูกรับตัวเข้าสู่สวรรค์ แต่บางคนจะกลับสู่
แผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อก่อตั้งพระศาสนจักรที่ถูกปรับปรุงให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไม่มีที่ติ
          แต่ทว่าส่วนหนึ่งของบรรดาคริสตชนจะต้องอยู่บนโลกเพื่อจะเผชิญความยากลำบาก จนต้องยอม
พลีชีวิตเพื่อศาสนา และเพื่อเฝ้ารอการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองอลังการของพระเยซู แต่ว่ายังมีข่าวดี :
ผู้ชอบธรรมซึ่งถูกกำหนดให้ดำเนินชีวิตที่ต้องเผชิญกับมหาวิปโยค โดยอาศัยความช่วยเหลือของพระแม่มารีย์
จะถูกรับขึ้นไปหาพระองค์ในหมู่เมฆ.... คนเหล่านั้นซึ่งจะแทนที่จะยอมรับเครื่องหมายของนรก แล้วตายไปก็จะ
ฟื้นคืนชีพ : พวกเขาเหล่านี้ที่ถูกเลือกสรรจะได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูเป็นเวลา 1,000 ปี ในสันติสุข

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2022 11:12 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (24 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (4)(A) ~✴️
          บาทหลวงสเตฟาโน กอบบี กำลังประกอบพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณ ในโอกาสเผยแผ่สาร
ของแม่พระสู่อเมริกาใต้ ณ เมืองมารากัยโบ เวเนสุเอลา เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1997
          อนึ่ง พิธีบูชามิสซาขอบพระคุณ ซึ่งบาทหลวงคาทอลิกทุกคนจะต้องกระทำทุกๆ เช้าเป็น
กิจวัตรนั้น ถูกยกเลิกโดย Antichrist หรือประมุขรัฐบาลโลก ตามคำทำนายของบทความวันนี้
          เหตุการณ์ต่างๆ ที่ถูกพยากรณ์มาแล้วว่าสามารถสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้
          1. สัญญาณเตือนครั้งใหญ่ที่จะสะเทือนไปทั้งโลก
          2. มหาพิบัติภัยทางธรรมชาติ
          3. แอนตีไครสต์ การละทิ้งความเชื่อ และศาสนจักรจอมปลอม
          4. ผู้ได้รับเลือกสรรถูกยกขึ้นไว้ในที่ปลอดภัย
          5. สงครามการเมือง การเบียดเบียนพระศาสนจักรที่แท้จริง
          6. สงครามโลกครั้งที่ 3
          7. การเสด็จกลับมาของพระเยซู
          เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดลำดับว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง อาจเป็นไปได้ในหลายๆ
สมมติฐาน แต่อาจจะไม่พบคำตอบที่ถูกต้อง ทั้งนี้ เป็นเพราะพระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยลำดับ
ของเหตุการณ์ทั้งหมด ต้นฉบับของท่านนักบุญจอห์นแห่งไม้กางเขนเพื่อจะได้เข้าใจถึงเหตุ : เรื่องอนาคต
จะไม่ถูกเปิดเผยเพื่อความพอใจตามความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่เพื่อเตรียมใจมนุษย์ กลับใจ
มนุษย์ และส่องสว่างจิตใจมนุษย์ ด้วยจุดมุ่งหมายเหล่านี้ก็แน่นอนเหลือเกินที่ไม่มีความจำเป็นจะรู้
ลำดับเหตุการณ์
          ยิ่งกว่านั้น จำเป็นที่จะระลึกถึงเสมอไปว่า "พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะสอนและสัญญาหลายสิ่ง
หลายอย่าง" มิใช่เพื่อให้มนุษย์เข้าใจและตระหนักในขณะที่พระองค์ทรงสำแดง แต่เพราะว่าจะให้
มนุษย์ได้เข้าจิตเข้าใจภายหลัง เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเรามนุษย์ จะได้รับการส่องสว่าง และ
บรรลุผลในที่สุด
          อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปที่ดีที่สุดของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เราจะพบได้จากข้อเขียนของท่าน
บาทหลวงสเตฟาโน กอบบี พระแม่มารีย์สอนพวกเราดังนี้
          แม่ได้บอกมาหลายครั้งแล้วว่า อวสานแห่งยุค และการเสด็จกลับมาของพระเยซูอย่างรุ่งเรือง
อลังการเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว บัดนี้แม่อยากจะช่วยให้ลูกๆ เข้าใจสัญญาณที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ซึ่ง
บ่งชี้ว่า ขณะนี้ใกล้การเสด็จกลับมาอย่างรุ่งโรจน์โชติช่วงของพระองค์แล้ว สัญญาณเหล่านี้เป็นเป็น
สัญญาณที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในจดหมายของนักบุญเปโตร และในจดหมายของนักบุญเปาโล
ซึ่งกำลังจะกลายเป็นความจริงในปีเหล่านี้
          - สัญญาณอันดับแรก คือ การแพร่ความหลงผิด ซึ่งจะนำไปสู่การเสียความเชื่อและละทิ้งศาสนา
ในที่สุด ความหลงผิดเหล่านี้ถูกเผยแพร่จากบรรดาอาจารย์จอมปลอมนักเทวศาสตร์มีชื่อ ซึ่งไม่สอน
ความจริงในพระ   วรสารของพระเยซูเองแล้ว แต่สอนอะไรผิดๆ ที่ล่อแหลม ซึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ผิดพลาด
และตั้งอยู่บนเหตุผลแบบมนุษย์ เป็นเพราะการสอนที่หลงผิดเหล่านี้จะทำให้เสียความเชื่อที่แท้จริง และ
ทำให้การละทิ้งศาสนาแผ่ไปในวงกว้าง
          พระเยซูตรัสว่า "จงระวังอย่าให้ใครหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา" กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าเป็นพระคริสต์" และจะหลอกลวงคนมาให้หลงผิด (มธ 24 : 4 - 5)
          "วันนั้นจะยังมาไม่ถึงจนกว่าจะเกิดการกบฏ (การทิ้งศาสนา) และมนุษย์ชั่วร้ายผู้นี้จะยกย่องตนเอง
และต่อต้านทุกสิ่งที่มนุษย์นมัสการและเรียกว่าพระเจ้า เพื่อตนจะได้นั่งในพระวิหารพระเจ้าและชี้ให้เห็น
ว่าตนคือพระเจ้า" (2 ธส 2 : 3 - 5)
          ในอดีตเคยมีผู้ปลอมเป็นประกาศกในหมู่ประชากรของพระเจ้า ในหมู่ท่านทั้งหลายจะมีผู้สอน
ที่ผิดๆ ซึ่งพยามยามสอดแทรกความคิดมิจฉาทิฐิ ที่นำความหายนะมาสู่ท่านเช่นเดียวกัน เขาจะปฏิเสธ
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไถ่เขาไว้ เขาจึงนำความหายนะมาสู่ตนอย่างรวดเร็ว หลายคนจะเดินตามความ
ประพฤติเสเพลของพวกเขา และทางแห่งความจริงจะถูกกล่าวร้าย เพราะคนเหล่านี้ เขาจะใช้ถ้อยคำ
ที่หลอกลวง แสวงหาผลประโยชน์จากท่าน เพราะความโลภ แต่การตัดสินลงโทษพวกเขาพร้อมนานแล้ว
และเขาจะได้รับความหายนะในไม่ช้า ( 2 ปต 2 : 1 - 3 )
          สัญญาณประการที่ 2 สงครามและการเข่นฆ่ากันอย่างบ้าระห่ำจะเกิดขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรง
ความเกลียดชังและหัวใจตายด้านที่ไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ยากของเพื่อนพี่น้อง ในขณะเดียวกัน
มหาภัยพิบัติทางธรรมชาติจะชักแถวเข้ามาเป็นว่าเล่น ไม่ว่าโรคระบาด ความอดยาก อุทกภัย
และแผ่นดินไหว

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ธ.ค. 23, 2022 8:37 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗

เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (25)👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (4)(B) ~✴️
          "ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวลือสงครามทั้งใกล้และไกล จงระมัดระวัง อย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้
จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย ชนชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่ง
จะต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง ความอดยาก และแผ่นดินไหว จะเกิดขึ้นหลายแห่ง ทั้งหมดนี้จะเปรียบ
เหมือนความทุกข์ที่เริ่มต้นในการคลอดบุตร" (มธ 24 : 5 - 9)
          ในประเด็นภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ บังเอิญได้อ่าน Magazine ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2551 มีบทความ
ที่น่าสนใจ ในหัวข้อ 5 ดอกเตอร์ ถกวิกฤติกรุงเทพฯ จมน้ำ และภัยพิบัติในยุคโลกร้อนจาก 5 นักวิชาการ
คือ ดร. สมิทธ ธรรมโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และที่ปรึกษาศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ ผู้เคยเปิด
ประเด็นคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นมาก่อนที่คนไทยจะรู้จัก และตื่นตัวล่วงหน้าถึง 9 ปี ดร. เสรี ศุภราทิตย์
ดอกเตอร์วิศวกรรมชายฝั่ง ผู้อำนวยการวิจัยภัยพิบัติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ดร. ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม
ดร. ระวีภาไล ราชบัณฑิต นักคิด นักปรัชญา และนักดาราศาสตร์
          ดร. สมิทธ ท่านเชื่อว่า จะมีภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบกับ ก.ท.ม. เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
          ภัยพิบัติที่จะส่งผลกระทบ ก.ท ม. และปริมณฑลมีอยู่ 2 ประเภท คือ ภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหว
และภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขังซึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว ภัยที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อมนุษย์
ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลัง 13 รอย และจากการศึกษาพบว่า หลังจากเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ รอยเลื่อน
เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ใน ก.ท.ม. อาจได้รับผลกระทบโดยตรงหลังจากเกิด
คลื่นยักษ์สึนามิ รอยเลื่อนเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ใน ก.ท.ม. อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากรอยเลื่อน
2 รอย คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์
          ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับภัยพายุน้ำท่วม ที่กำลังหวาดผวากัน แบ่งเป็น 3 ระยะ
คือ ระยะสั้นไม่ถึง 1 ปีมีเหตุเกิดประจำ ระยะกลาง คือ 1 - 10 ปี แล้วก็ระยะยาว มากกว่า 10 ปี
          หลายกระแสที่พูดถึงความเป็นไปได้ที่ย้ายเมืองหลวงไปเสียจากกรุงเทพฯ ก่อนที่ทุกอย่างจะจมน้ำ
          "ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ท่านก็พูดว่า ควรจะย้ายเมืองหลวงหนี เพราะความเป็นไปได้ที่น้ำ
จะท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ เหมือนปี 2538 ในความเชื่อของอาจารย์อาจอง จะเกิดภายใน 6 ปี"
          สัญญาณประการที่ 3 การข่มเหงเบียดเบียนที่นองเลือดต่อผู้ที่มั่นคงในความเชื่อต่อพระเยซู
และพระวรสารของพระองค์จะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกันพระวรสารของพระเยซูจะถูก
เผยแผ่ไปทุกมุมโลก
          ลูกรักทั้งหลายของแม่ (สารพระแม่ผ่านบาทหลวงกอบบี) จงคิดดูซิ การเบียดเบียนครั้งใหญ่ๆ
ได้เกิดขึ้นแก่พระศาสนจักร และแก่งานแพร่ธรรมของบรรดาพระสันตะปาปาองค์ท้ายๆ เหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอห์น พอล ที่ 2 ของแม่ ผู้มุ่งมั่นในการเผยแผ่พระวรสารไปสู่นานาชาติทั่วทุกมุมโลก
          ต่อจากนั้น ท่านจะถูกจับไปทรมาน และถูกประหาร ชนทุกชาติจะเกลียดชังท่าน เพราะนามของเรา
ในเวลานั้นหลายคนจะทิ้งความเชื่อ จะทรยศและเกลียดชังกัน ประกาศกเทียมจำนวนมากจะต้องเกิด
และจะหลอกคนมากมาย เพราะความอธรรมจะเพิ่มมากขึ้น ความรักของคนจำนวนมากจะเย็นลง
แต่ผู้ใดยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้ายผู้นั้นก็จะรอดพ้น
          ข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลก เพื่อเป็นพยานสำหรับนานาชาติ
เมื่อนั้นวาระสุดท้ายมาถึง ( มธ 24 : 9 - 14 )
          สัญญาณประการที่ 4 การทุราจารอันน่าบัดสี สะอิดสะเอียนกระทำโดยบุคคลซึ่งเป็นปฏิปักษ์
กับพระคริสต์ คือ Antichrist มันจะเข้าไปในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไปนั่ง
บนบัลลังก์ของพระองค์ โดยให้ผู้คนมากราบไหว้มันเป็นประหนึ่งพระเจ้า
          ท่านจำได้หรือไม่ว่า ข้าพเจ้าเคยบอกเรื่องเหล่านี้ให้ฟังแล้วเมื่ออยู่กับท่าน และบัดนี้ ท่านก็รู้ว่า
อะไรขัดขวางมนุษย์ชั่วร้ายนี้ไว้จนกว่าเขาจะปรากฏตัวตามเวลาที่กำหนด ความชั่วร้ายกำลังทำงานอยู่แล้ว
อย่างซ่อนเร้น และจะปรากฏอย่างชัดแจ้งก็ต่อเมื่อผู้ขัดขวางถูกขจัดออกไป แล้วมนุษย์ชั่วร้ายนั้นก็ปรากฏ
อย่างเปิดเผย และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายเขาด้วยลมจากพระโอษฐ์ และจะทรงบดขยี้เขาให้สูญไป
เดชะการเสด็จมาอันรุ่งเรืองของพระองค์
          การมาของมนุษย์ชั่วร้ายจะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของซาตาน ที่แสดงออกเป็นการอัศจรรย์
เป็นเครื่องหมายแลเป็นปาฏิหาริย์อันหลอกลวงชนิดต่างๆ (2 ธส 2 : 5 - 9)
          "เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายเห็นผู้ทำลายที่น่ารังเกียจ ยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามที่ประกาศก
ดาเนียลได้กล่าวไว้ ใครได้อ่านข้อความนี้ จงทำความเข้าใจให้ดีเถิด" (มธ 24 : 15)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 24, 2022 3:41 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (26)👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (4)(C) ~✴️
          ลูกที่รักทั้งหลาย (แม่พระตรัสกับบาทหลวงกอบบี) เพื่อว่าจะเข้าใจว่าอะไรคือ การทุราจาร
อันน่าบัดสีขยะแขยง ขอให้ไปอ่านพระธรรมดาเนียล ดังนี้ : "พระตรัสว่า ดาเนียลเอ๋ย ไปเถอะ '
เพราะถ้อยคำเหล่านี้นั้นก็ถูกปิดไว้แล้ว และจะถูกประทับตราไว้จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมาก
จะชำระตนเอง และทำให้ตนเองขาวสะอาด และถูกถลุง แต่คนอธรรมจะยังกระทำการอธรรม และ
ไม่มีคนอธรรมสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนที่ฉลาดจะเข้าใจ และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผา
บูชาเนืองนิจเสียนั้น แลให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งจะทำให้เกิดความวิบัติขึ้นจะเป็นเวลา 1,290 วัน
ความสุขจะมีแก่ผู้คอยอยู่ และมาถึงได้ 1,335 วันนั้น แต่เจ้าจงไปจนวาระที่สุดเถิด และเจ้าจะได้หยุด
พักสงบ และจะยืนขึ้นในส่วนที่กำหนดให้เจ้า เมื่อสิ้นสุดวันทั้งหลายนั้น" (ดน : 12 : 9 - 13)
        พิธีบูชามิสซาขอบพระคุณ เป็นการบูชาประจำวัน เป็นบูชาอันบริสุทธิ์ที่ถูกถวายแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ทั่วทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก การบูชามิสซาคือ การทำซ้ำการทำพลีบูชา
พระเยซูบนกางเขน แก่พระบิดา ณ ยอดเขา กัลวาริโอ การยกเลิกที่จะถวายบูชามิสซาทุกๆ วัน ก็เป็น
การทุราจารอันน่าบัดสีสะอิดสะเอียนอันถูกกระทำโดย Antichrist ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 3 ปีครึ่ง
หรือ 1,290 วัน
        สัญญาณประการที่ 5 ปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาจะอุบัติขึ้นบนท้องฟ้านภากาศ
       "เมื่อความทุกขเวทนาในวันเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดลงทันที ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ดวงดาวจะตกลงจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้า
จะสั่นสะเทือน" (มธ 24 : 29)
          อัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ที่ได้เกิดขึ้นที่ฟาติมา , โปรตุเกส ปี 1917 ระหว่างการปรากฏมาของแม่
เป็นการบ่งบอกแก่พวกลูกๆ ถึงการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์โชติช่วงของพระเยซู
          "เวลานั้นเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ (พระเยซู) จะปรากฏบนท้องฟ้า มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ุบน
แผ่นดินจะข้อนอก (ทุบอก) และจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในเมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุกาพและ
พระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่" (มธ 24 : 30)
          ลูกที่รักทั้งหลาย พวกลูกที่ได้มอบกายถวายแก่ดวงหทัยนิรมลของ แม่อยากจะชี้แจงถึงสัญญาณ
หรือเครื่องหมายเหล่านี้ ซึ่งพระเยซูในพระวรสารได้ทรงสำแดงแก่ลูกๆ เพื่อให้ลูกเตรียมใจสำหรับ
อวสานกาล ซึ่งเครื่องหมายเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นความจริงในยุคของลูกๆ
          ในปีที่กำลังจบลง และปีใหม่กำลังเริ่มต้น จะเป็นช่วงเวลาของมหาวิปโยค ซึ่งระหว่างนั้นการถึง
คราวจะแพร่เชื้อไปทั่ว สงครามต่างๆ จะตามมา เป็นสงครามที่ทำลายล้างด้วยอาวุธนิวเคลียร์ มีการ
ข่มเหง เบียดเบียนทางศาสนาไปทุกหนทุกแห่ง การประกาศของพระวรสารถูกเผยแพร่ไปทุกชาติทุกภาษา
ปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาจะอุบัติขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งเขยิบเข้าใกล้ช่วงเวลาของการปรากฏตัวของ Antichrist
อย่างเต็มรูปแบบ เพราะฉะนั้น แม่ขอเชื้อเชิญให้ลูกๆ เข้มแข็งในความเชื่อมั่นในความวางใจ และร้อนรนใน
ความรัก ปล่อยให้แม่ดูแล ลูกๆ เอง และให้ลูกๆ รวมตัวกันอยู่ที่หลบภัยแห่งดวงหทัยนิรมลของแม่ ซึ่งแม่ได้
ตระเตรียมไว้ เพราะในวันท้ายๆ นี้ ขอให้ลูกๆ อ่านสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ในยุคของลูกพร้อมกับแม่ และจง
ใช้ชีวิตในความสงบแห่งหัวใจและความไว้วางใจ แม่จะอยู่กับลูกตลอดเวลา เพื่อจะได้บอกถึงสัญญาณต่างๆ
ซึ่งกำลังดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนอย่างมั่นอกมั่นใจว่าใกล้ถึงอวสานกาลด้วย การเสด็จมาของพระเยซูอย่าง
รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล
          "จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อต้นมะเดื่อเทศแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า
ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งนี้ทั้งหมดเกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงเข้ามาใกล้จนถึง
ประตูแล้ว.... สมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้น ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น
ผู้คนกินดื่ม แต่งงานจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้น จนกระทั่ง น้ำวินาศมา
กวาดพวกเขาจนหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย" (มธ 24 : 32 - 33 ,  37 - 39)
          (สารแม่พระสื่อผ่านบาทหลวงกอบบี เมื่อ 31 ธ.ค. 1992)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 25, 2022 3:28 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 27 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (5)(A) ~✴️
บทที่ 3 ปัญหาของการเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง (Parusia)
          การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง และอวสานของโลก
          ศัพท์ Parusia มีรากมาจากภาษากรีก หมายถึง การปรากฏตัว การเยี่ยม การมาถึง
        ในพระธรรมเก่า คำ "การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง" มีความถึงการเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง เพียงเท่านั้น
แต่ในพระธรรมใหม่ มีความหมายถึง การเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองอย่างมีขั้นมีขั้นตอน
          จำเป็นทีเดียวที่จะต้องเน้นว่า "การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง" ที่เป็นรูปธรรมมิใช่กล่าวลอยๆ ว่า
"เป็นการเสด็จมา"
          ขอยกตัวอย่างพระวรสารนักบุญจอห์น หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์
ตั้งแต่วันศุกร์ พอเช้าวันอาทิตย์พระองค์ทรงฟื้นคืนชีพ แล้วเสด็จไปหาบรรดาอัครสาวกของพระองค์
เซนต์จอห์นได้บันทึกไว้ว่า "ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกัน
ปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามา ทรงยืนอยู่ตรงกลางตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
' สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด ' "
         ขอให้สังเกต ประโยค : ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกัน ปิดอยู่ แล้วพระเยซูก็เสด็จเข้ามา
ทรงยืนอยู่ตรงกลาง นี่ก็แปลว่า พระเยซูทรงมีพระกายทิพย์ สามารถเสด็จเข้าห้องโดยไม่ต้องเปิดประตู
          การเฝ้าคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู เรื่องเป็นปกติมากในกลุ่มคริสตชนดั้งเดิมรุ่นแรกๆ
แม้กระทั่งในบรรดาปิตา
จารย์ของพระศาสนจักร ดังมีบันทึกไว้ตั้งแต่ศตวรรษแรกดังนี้ :
          1. จงเฝ้าระวังตลอดชีวิตของสูเจ้า สูเจ้าจงอย่าดับคบไฟและจงอย่าปลดเข็มขัดออกไปจากสะเอว
ของสูเจ้า เพราะสูเจ้าจะไม่รู้เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา
          2. สูเจ้าจงมาชุมนุมกันบ่อยๆ เพื่อแสวงหาหนทางให้วิญญาณของสูเจ้าอยู่ในภาวะที่เหมาะสม
เพราะช่วงเวลาที่ยาวนานแห่งความเชื่อของสูเจ้าอาจจะไม่สมบูรณ์ครบครันไปตลอดรอดฝั่ง
          3. แท้ที่จริงในวันท้ายๆ จะมีพวกประกาศกจอมปลอมและผู้หลอกลวงทวีขึ้นมากมาย พวกแกะ
จะกลายเป็นหมาป่า ความรักจะเป็นความเกลียดชัง
          4. ความอสัตย์อธรรมเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง จะเกลียดชังกัน เข่นฆ่ากัน และทรยศหักหลังกัน
แล้วในที่สุด ผู้ลวงโลกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวเป็นประหนึ่งพระบุตรของพระเจ้า และจะแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ
ให้ผู้คนหลงเชื่อ แล้วแผ่นดินก็อยู่ในเงื้อมมือของเขา แล้วเขาก็เริ่มกระทำความชั่วช้าสามานย์ทุกรูปแบบ
อย่างที่ไม่มีผู้นำใดในยุคนั้นเคยกระทำมาก่อน
          5. และแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเดินไปสู่ไฟแห่งการทดลอง คนจำนวนมากจะได้รับโทษทัณฑ์แล้ว
จะพินาศไป แต่ผู้ที่มั่นคงในความเชื่อจะรอดพ้นจากการตัดสิน
          6. ครั้นแล้วสัญญาณแห่งความจริงจะปรากฏ สัญญาณแรก คือท้องฟ้าเปิด สัญญาณที่ 2 คือ
เสียงแตรดังขึ้น สัญญาณที่ 3 คือ คนตายทุกคนจะฟื้นคืนชีพ
          7. แล้วพระเยซูจะเสด็จมาพร้อมด้วยบรรดานักบุญ และมนุษย์ทุกคนบนโลกจะเห็นองค์พระเป็นเจ้า
เสด็จมาเหนือเมฆบนท้องฟ้านภากาศ
          ธรรมประเพณีแรกที่เป็นที่ยอมรับนับถือของคริสตชนคนดั้งเดิมก็คือ การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง
(Parusia) ของพระเยซูนอกจากนั้นยังมีพรรณนาเพิ่มเติมด้วยว่า ช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา
จะมีเหตุการณ์นำร่องมาก่อน นั่นก็คือจะมีบรรดาศาสนาจารย์จอมปลอมเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เกิด
ความแตกแยกและความเกลียดชังกัน ในที่สุดมนุษย์ลวงโลก หรือ แอนตีไครสต์ จะปรากฏตัว แล้ว
การทดสอบ และความรอดพ้นของจิตวิญญาณคริสตชนผู้ยังมั่นคงในความเชื่อก็จะตามมา
   
ปัญหาที่จะต้องแก้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง (Parusia) กับ วันสิ้นโลก
       โดยทั่วไปแล้วถือว่าพระเยซูจะเสด็จมาตอนสิ้นโลกสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย แต่ว่าการ
เปิดเผยแก่ผู้ที่ได้รับพรพิเศษจากเบื้องบนของหลายๆ ท่าน ดูเหมือนจะบ่งชี้ว่าการเสด็จมาครั้งนี้เป็น
การเสด็จมา ก่อนการเสด็จมาครั้งสุดท้ายเพื่อพิพากษามนุษย์
       รายละเอียดเหล่านี้ ได้กล่าวไว้แล้วในบทก่อนที่มีรายละเอียดของซิสเตอร์ Beghe และของ
บาทหลวงสเตฟาโน กอบบี
      ในบทความของซิสเตอร์ Beghe ระบุว่า พระเยซูทรงยืนยันว่าหลังการทดสอบมนุษยชาติจะเข้าไป
ในกาลเวลาใหม่ ซึ่งมนุษยชาติจะเห็นการเสด็จมาของพระองค์บนแผ่นดิน ช่วงเวลานี้ถูกนิยามว่าเป็น
"อาณาจักรพระเจ้าบนแผ่นดิน ซึ่งบรรดาอัครสาวก และคริสตชนแห่งศตวรรษแรกๆ ตั้งตาคอย" และ
"ช่วงเวลานี้จะยืนยาวไปจนถึงวันอวสานของโลก"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 26, 2022 3:42 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 28 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (5)(B) ~✴️
          ในสารของแม่พระผ่านบาทหลวงกอบบี พระแม่มารีย์กล่าวว่า "การเสด็จมาสู่แผ่นดินครั้งที่ 2
ของพระบุตรด้วยพระสิริรุ่งเรือง ก่อนเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ เพื่อการพิพากษาครั้งสุดท้าย
ซึ่งในขณะนี้ยังเป็นความลับของพระบิดาอยู่"
        ความแตกต่างระหว่างการเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ ซึ่งจะตามมาด้วย ระยะเวลา
หนึ่งแห่งการฟื้นฟูมนุษยชาติและเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองครั้งสุดท้าย ซึ่งในขณะนี้ไม่มีใครรู้นอกจาก
พระบิดาแต่ผู้เดียว
       ฉะนั้นปัญหาจึงมีเพียงว่าจะต้องไปค้นหาและวิเคราะห์ในพระวรสารว่าตอนไหนหมายถึง
การเสด็จมาคั่นกลาง (Parusia intermedia) หรือ การเสด็จมาครั้งสุดท้าย เพื่อการพิพากษา
       ขอให้เราติดตามพระวรสารบันทึกโดยท่านนักบุญมัทธิวต่อไปนี้ : "ขณะที่พระเยซูเจ้าทรง
ออกจากพระวิหาร บรรดาศิษย์เข้ามาใกล้ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาคารต่างๆ ของพระวิหาร
พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายเห็นสิ่งเหล่านี้ไหม เราบอกความจริงแก่ท่านว่า จะไม่มีก้อนหิน
เหลือซ้อนกันอยู่เลย ทุกสิ่งจะถูกทำลาย" เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ บรรดาศิษย์เข้า
มาเฝ้า ทูลถามเป็นการส่วนตัวว่า "โปรดบอกเราเถิดว่า เหตุการณ์เหล่านี้ (พระวิหารจะถูกทำลาย)
จะเกิดขึ้นเมื่อใด และจะมีเครื่องหมายใดบอกให้รู้ถึง การเสด็จมาของพระองค์ และ การสิ้นพิภพ"
          คำถามยังมีอยู่ว่า ความจริง 3 ประเด็นนั้นแตกต่างกันอย่างไรนั่นก็คือ 1. การทำลายพระวิหาร
2. การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง (Parusia) 3. การสิ้นพิภพ
          แต่ละเหตุการณ์เป็นคำพยากรณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ฉะนั้น คำตอบที่แตกต่างกันก็ย่อมมี
องค์ประกอบของเหตุการณ์ที่แตกต่างกันตามกระบวนการของมัน ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ด้วยการอ่าน
พระคัมภีร์อย่างพินิจพิเคราะห์
          การทำลายพระวิหาร เป็นคำพยากรณ์ถึงพระมหาทรมานของพระองค์ เชิญอ่านพระวรสาร
ของเซนต์จอห์น บทที่ 2 :
          ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า "ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่า ท่านมีอำนาจทำ
ดังนี้" พระเยซูเจ้าตรัสว่า "จงทำลายพระวิหารนี้ แล้วจะสร้างขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน" ชาวยิวพูดว่า
"วิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึง 46 ปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน หรือ" แต่พระองค์กำลัง
ตรัสถึงเรื่องพระวิหาร ซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนชีพจากบรรดา
ผู้ตาย บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อพระคัมภีร์ และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้
(จอห์น 2 : 18 - 22)
          นักประพันธ์บางคนได้พยายามที่จะแยกแยะแต่ละเหตุการณ์มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่
ความยากลำบากต่างๆ มิอาจมองข้ามไปได้ดังที่นักประพันธ์ Aldo Gregori ได้แสดงไว้ในหนังสือเล่ม
เล็กเล่มหนึ่งที่ท่านได้ใช้ความพยายามอย่างสูงที่เขียนถึงการเสด็จมาคั่นกลาง (Parusia intermedia)
ของพระเยซู :
          ในการวิเคราะห์ ขอให้เราเตรียมใจที่จะหยิบยกวาทกรรมเกี่ยวกับสิ่งสุดท้ายสุดของชีวิต
(eschatological อันตกาล คือ สิ่งสุดท้ายท้ายสุดของชีวิต ได้แก่ ความตาย สวรรค์ นรก หรือเกิดใหม่)
เราจะต้องค้นหา แยกแยะ และแบ่งขั้วของวาทกรรมต่างๆ ซึ่งอ้างถึงเหตุการณ์ต่างกันของ 3 เหตุการณ์นี้
ซึ่งสอดคล้องกับคำถามต่างๆ ที่ถูกถามจากบรรดาอัครสาวก
          การวิเคราะห์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ มีความยากลำบากต่างๆ ที่จะชูประเด็นข้อความต่างๆ ที่ขึ้นอยู่กับ
ธรรมชาติเองของวาทกรรม ซึ่งได้พิเคราะห์เจาะลึกถึงเหตุการณ์ที่แน่นไปด้วยความลึกลับ ณ ที่ซึ่งเหตุการณ์
นั้นๆ ต้องยกไว้ข้างบน โดยปล่อยให้เสียงเรียก อาการสะดุ้ง และความประทับใจที่มิอาจลืมเลือนได้ในจิตใจ
ของบรรดาอัครสาวก แต่ก็สับสน
          แต่อย่างไรก็ตามเพื่อจะแสดงว่า การเสด็จมาคั่นกลาง (Parusia intermedia) แตกต่างไปจาก
การเสด็จมาครั้งสุดท้าย สำหรับวันพิพากษานั้นสามารถจะค้นหาได้ในพระวรสาร ไม่จำเป็นต้องตรวจตรา
ถึงความแตกต่าง 2 ประเด็นนี้อะไรมากนัก เพราะจริงๆ แล้วธรรมชาติของต้นฉบับในพระวรสารที่ใช้ความ
สังเกตุอย่างดี ซึ่งได้วางพื้นฐานทั้งหมดไปสู่คำตอบเพียงหนึ่งเดียว ฉะนั้นจึงดูเหมือนว่าการเข้ามาพิเคราะห์
เจาะลึกครั้งนี้จึงไม่ค่อยมีความจำเป็น ตรงกันข้ามเป็นการเพียงพอที่จะแสดงการยืนยันบางข้อก็เกินความ
จำเป็น หากจะยืนยันอย่างเฉพาะเจาะจงถึงพระวิหารเยรูซาเลมถูกทำลาย แล้วก็ผ่านพ้นไปแล้ว
ในขณะเดียวกันหากจะต้องอ้างอิงถึงการสิ้นโลกก็ไม่มีเหตุผล

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ธ.ค. 28, 2022 8:19 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 30 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (5)(D) ~✴️
          กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย
      "เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่า ความพินาศของนครนั้น
ใกล้เข้ามาแล้ว เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดีย จงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่าเข้ามาในกรุง
เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นความจริงทุกประการ
น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดิน
และพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้ บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ใน
ประเทศต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้"
      ภัยพิบัติในจักรวาล และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์
      "จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆ บนแผ่นดินจะทุกข์ทรมาน
ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึงเหตุการณ์
ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่ง
มนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น
ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว"
          เวลาแห่งการเสด็จมา
       พระองค์ตรัสเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า "จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด เมื่อมันแตกใบอ่อน
ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักร
ของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย
          คำเตือนให้เตรียมพร้อม
      "จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามาย และความ
กังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลันเหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาเหนือทุกคนที่
อยู่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน
       ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวง
ที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้ (ลก 21 : 5 - 36)
          คราวหน้าเราจะได้วิเคราะห์กันต่อไป จะเห็นได้ว่า ความเห็นเกี่ยวกับการเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง
คั่นกลาง กับ การเสด็จมาครั้งสุดท้ายเพื่อพิพากษาประมวลพร้อมนั้น มีวาทกรรมอันเดียวกัน แต่ว่าการ
เสด็จมาคั่นกลางนั้นชัดเจน มองเห็นเป็นรูปธรรม โดยอาศัยการเปิดเผยจากผู้ได้รับพรพิเศษจากเบื้องบน
          การเสด็จมาคั่นกลางของพระเยซูครั้งนี้ พระองค์ทรงมีภารกิจที่จะนำสันติสุข และจัดระเบียบโลก
พร้อมทั้งจะสถาปนายุคใหม่แห่งสันติสุข
          หากถือตามสมมติฐานใหม่นี้ เราก็จะเข้าใจบางตอนของวาทกรรมพระคัมภีร์ดีขึ้น
          การปฏิเสธบางตอนของพระคัมภีร์จึงไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 8:47 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม👉 ตอนที่ ( 31 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (6)(A) ~✴️
       วันนี้เราจะวิเคราะห์ทั้ง 3 ประเด็น ประเด็นที่ 1 คือคำทำนายของพระเยซูถึงกองทัพโรมันจะบุก
ทำลายพระวิหาร กรุงเยรูซาเล็ม ใน ค.ศ. 70 พระเยซูทรงเตือนว่า "จงระวังให้ดี อย่าให้ใครหลอกลวง
ท่านได้" เป็นการเตือนที่เกี่ยวข้องกับ ภยันตรายที่ใหญ่โตอันเกิดจากพระเมสสิยาห์ และธรรมาจารย์
จอมปลอม ปัญหาสำคัญก็คือ พระองค์มีพระประสงค์ให้คริสตชนมั่นคงในความเชื่อนอกเหนือไปจาก
สงคราม ความอดอยาก และแผ่นดินไหว นั่นก็คือ การพยากรณ์ถึงการเบียดเบียนข่มเหง : "จงระมัด
ระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำตัวไป
ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ เพราะเราเป็นเหตุเพื่อเป็นพยานยืนยันแก่เขาและ
แก่บรรดาชนชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไร หรือพูดอะไร
สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง" (มธ 10 : 17 - 23) หรือ เราจะให้คำพูด และ
ปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทาน หรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหาย
จะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะ
นามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว การยืนหยัดและมั่นคงท่านจะรักษา
ชีวิตของท่านไว้ได้
          กรุงเยรูชาเล็มถูกทำลาย
     เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่า ความพินาศของนครนั้นใกล้เข้า
มาแล้ว เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่า
เข้ามาในกรุง เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นความจริง
ทุกประการ (ลก 21 : 15 - 22) หรือ "พี่น้องจะกล่าวโทษพ่อ พ่อจะกล่าวโทษลูก ลูกจะลุกขึ้นมากล่าวหา
พ่อแม่เพื่อให้ถูกประหารชีวิต ท่านทั้งหลายจะเป็นที่จงเกลียดจงชังของทุกคนเพราะนามของเรา แต่ผู้ใด
ยืนหยัดอยู่จนถึงวาระสุดท้าย ผู้นั้นก็จะรอด" (ลก 13 : 12 - 13)
        ท่านนักบุญมัทธิวแสดงความกระตือรือร้นเรื่องพระอาณาจักรนี้จะประกาศไป ทั่วโลก เพื่อเป็นพยาน
สำหรับนานาชาติ เมื่อนั้นวาระสุดท้ายจะมาถึง (มธ 24 : 14) ท่านนักบุญเปาโลแสดงทัศนะไว้เช่นเดียวกัน
ในจดหมายถึงชาวโคโลสีดังนี้ : ข่าวดีนี้มาถึงท่าน กำลังบังเกิดผลและเจริญในท่านเช่นเดียวกับกำลังเกิด
ผลและเจริญอยู่ ทั่วไปในโลก นับตั้งแต่วันที่ท่านได้ฟังและรู้ถึงพระหรรษทานของพระเจ้าในความจริง...
ฉะนั้นท่านจงยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ ไม่หวั่นไหวจากความหวังตามข่าวดีที่ท่านได้รับฟัง ข่าวดีนี้ประกาศ
แก่ มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ แล้ว ข้าพเจ้าเปาโล ก็เป็นผู้รับใช้ในการประกาศข่าวนี้ด้วย (คส 1 1 : 6 , 23)
      พระวรสารหลายๆ ตอนที่ได้หยิบยกมาข้างบนนี้ บรรดาผู้ตีความพระคัมภีร์สำคัญๆ ต่างก็ลงความเห็นว่า
เป็นการทำนายของพระเยซู ถึงการถูกทำลายของพระวิหารกรุงเยรูซาเลมที่เสียหายย่อยยับ ขนาดไม่มี
ก้อนหินซ้อนกันเลย ใน ค.ศ. 70
          ประเด็นที่ 2 การเสด็จมาอย่างรุ่งเรือง (Parusia)
       ในการวิเคราะห์พระวรสารบันทึกโดยท่านนักบุญมัทธิว บทที่ 24 หลังการทำงานถึงการเข้ารับตำแหน่ง
ของผู้ทำลายที่น่าสะอิดสะเอียน (Antichrist) ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็จะพบวาทกรรม 2 ตอนที่สำคัญมาก :
"ด้วยเหตุว่าจะเกิดมหาวิปโยค ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่มีโลก ตราบจนเดี๋ยวนี้ และไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต"
และอีกตอนหนึ่ง หากวันเหล่านั้นไม่ได้ถูกย่นให้สั้นเข้าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตรอดได้เลย แต่เพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับ
เลือกสรร วันเหล่านั้นจึงถูกทำให้สั้นลง
          การที่พระวิหารกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายเมื่อปี ค.ศ. 70 ถึงแม้จะหนักหนาสาหัสขนาดไม่มีหิน 2 ก้อน
ซ้อนกันอีกเลยนั้น ก็จะยังไม่ฉกาจฉกรรจ์เท่า มหาวิปโยค (Tribulation) ซึ่งมนุษยชาติจะไม่เคยประสบมาก่อน
เพราะทุกคนต่างตระหนักว่ามันจะเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะมีต้นเหตุมาจากมิใช่น้ำมือมนุษย์เท่านั้น แต่ยังถูก
ถาโถมถล่มซ้ำจากภัยธรรมชาติสารพัดรูปแบบด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การทำนายของพระเยซูตอนนี้ก็ยัง
มิได้หมายถึง "การสิ้นโลก" เพราะในพระวรสารตอนนี้ระบุไว้ว่า "มหาวิปโยคนี้" จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ก็แปลว่า เวลาที่เหลือในอนาคตคือ ไม่ใช่ไม่มีเวลาเหลืออีก หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ประวัติศาสตร์จะดำเนิน
ต่อไป เพราะเวลาที่เหลืออยู่นั้นได้ถูกสงวนไว้สำหรับผู้ได้รับเลือกสรร

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 9:05 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 32 ) 👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (6)(B) ~✴️
          โดยที่เหตุการณ์ต่างๆ อันใหญ่โตมโหฬาร และทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลเปิดไปสู่
ทั่วทั้งโลก เรามิให้หมายความถึงแค่การทำลายพระวิหารกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น และการระบุถึง
ช่วงเวลาแห่ง มหาวิปโยค ที่จะถูกทำให้สั้นลงสำหรับผู้ได้รับเลือกสรรนั้น จะทำให้พวกเขาอยู่
รอดปลอดภัย เหตุด้วยว่าผู้ได้รับเลือกสรรเหล่านี้ ตามความเห็นของนักตีความพระคัมภีร์ลง
ความเห็นว่า เป็นคริสตชนมิใช่ชาวยิว นั้นก็คือ ชาวคริสต์มิได้อยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว เพราะ
ในทันทีที่เกิดเหตุเภทภัยก็ได้ไปหลบภัยที่เมือง Pella ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำจอร์แดน
          แต่ว่าการทำนายการเสด็จมาครั้งที่ 2 นี้ เรามิอาจหมายไปถึง การสิ้นโลก เพราะเหตุว่า
มหาวิปโยคก่อนสิ้นโลกนั้นถูกพยากรณ์ไว้ว่า มันหนักหนาสาหัสยิ่งนัก เพียงที่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
อีกเลย นั่นก็หมายความว่าบนโลกจะไม่มีชีวิตมนุษย์เหลืออยู่อีกเลย
      ทันทีหลังการประกาศถึง มหาวิปโยค จะเกิดซ้ำขึ้นมาอีก ก็ได้พยากรณ์ถึงพระคริสต์จอมปลอม
และประกาศกจอมปลอม แต่ว่าครั้งนี้เพื่อขยายความถึงรูปแบบการเสด็จมาของพระเยซูดังนี้ว่า :
"หากมีคนกล่าวว่า "ดูซิ พระคริสต์ อยู่ในถิ่นทุรกันดาร" ท่านอย่าไปที่นั่น ถ้าผู้ใดบอกว่า
"ดูซิ พระคริสต์ซ่อนอยู่ที่นี่" ท่านก็ได้อย่าเชื่อ สายฟ้าแลบจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก
ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็เสด็จมาฉันนั้น"
          "นี่เป็นการยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยของพระเจ้าแก่มนุษย์บนโลก ณ ที่ซึ่งทรชนคนชั่วกำลัง
เสพสุขอย่างสุดๆ พระเยซูทรงมีพระประสงค์จะจัดโลกให้เป็นระเบียบ ดังเช่นคราวน้ำมหาวินาศ
หรือดังเช่นในอิสราเอล เมื่อพระเจ้าได้ทรงแยกอิสราเอลของพระองค์ นั่นก็คือ พระศาสนจักร
คาทอลิก จากอิสราเอลผู้วิปริต โดยทรงทำลายกรุงเยรูซาเล็มทำให้ลูกหลานของพวกเขาตก
ในเงื้อมมือของชาวโรมัน ซึ่งทำให้ลูกหลานของชาวยิวเหล่านี้ไปเป็นทาสกระจัดกระจายไปทั่วโลก
"เป็นคำกล่าวของท่านบาทหลวงมาร์ตีโน เปนาซา (Martino Penasa) ในหนังสือ
li libro della sperasna หนังสือแห่งความหวัง ท่านหมายถึง "หนังสือพระวิวรณ์"
          ส่วนหลายๆ ตอนของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งกล่าวถึง การสิ้นพิภพนั้น ท่าน
บาทหลวงมาร์ตีโน เปนาซา (Martino Penasa) ได้บรรยายไว้ดังนี้ : "เป็นการยื่นพระหัตถ์เข้ามา
ช่วยของพระเจ้าแก่บรรดาผู้ตาย ณ แผ่นดินที่ไม่มีชีวิตแล้วนั้นก็คือ ในจุดที่กำลังสูญสลายหายไป
เป็นผุยผง
       ประเด็นที่ 3 การพิพากษาครั้งสุดท้าย มีพรรณนาไว้ในพระวรสารบันทึกโดยท่านนักบุญมัทธิว
ในบทที่ 25 การพิพากษาครั้งสุดท้ายตอนสิ้นโลก
       "เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์
จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์
จะทรงแยกเขาออกเป็น 2 พวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่
เบื้องซ้าย แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้อยู่เบื้องขวาว่า เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจาก
พระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านตั้งแต่สร้างโลก"
          แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไป
ในไฟนิรันดร ที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน
เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า เราเจ็บป่วย
และอยู่ในคุกท่านก็ไม่มาเยี่ยม พวกนั้นจะทูลถามว่า "พระเจ้าข้าเมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์
ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นคนแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วยหรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ"
พระองค์จะตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายทราบว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดแก่ผู้ต่ำต้อยของเรา
คนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นแก่เรา แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร"
(มธ 25 : 31 - 34 , 41 - 46)
          พระธรรมวิวรณ์ บทที่ 20
          การพิพากษาครั้งสุดท้ายตอนสิ้นโลก
        ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาว และเห็นพระองค์ประทับอยู่บนบัลลังก์ ท้องฟ้าและแผ่นดินสูญหายไป
เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ แล้วข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าพระบัลลังก์
หนังสือหลายม้วนถูกคลี่ออก หนังสืออีกม้วนคือ ม้วนหนังสือแห่งชีวิตก็ถูกคลี่ออกด้วย บรรดาผู้ตายถูก
พิพากษาตามข้อความที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามกิจการของเขา
          ทะเลคืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนผู้ตายก็คืนบรรดาผู้ตาย ทุกคนถูกพิพากษา
ตามกิจการของตน ความตายและแดนผู้ตายถูกโยนลงไปในทะเลไฟ ทะเลไฟนี้ก็คือ ความตายครั้งที่ 2
ผู้ใดไม่มีชื่อบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตก็ถูกโยนลงในทะเลไฟ (วว 20 : 11 - 15)
      ในต้นฉบับเกี่ยวกับ การเสด็จมาคั่นกลาง (Parusia intermedia) จะเน้นถึงสัญญาณต่างๆ ซึ่งนำหน้า
มาก่อนการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ และเน้นถึงความหนักหนาสาหัสแห่งการทดสอบที่จะต้องผ่านไปให้ได้
       นอกจากนี้ บริบทจะแตกต่างกันมาก : สำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย เฉพาะพระพักตร์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับนั่งบน บัลลังก์ใหญ่สีขาว แผ่นดินและท้องฟ้าหายไปแล้วโดยไม่ทิ้งร่องรอย
ไว้อีกเลย ส่วนการเสด็จมาคั่นกลางนั้น แผ่นดินไม่ได้หายไปไหน เพราะยังมีไว้รองรับผู้เหลือรอด ถือเป็น
ละครลึกลับเรื่องหนึ่งดังนี้ : มี 2 คน ทำงานในทุ่งนา คนหนึ่งถูกรับไป อีกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ , หญิง 2 คน
กำลังโม่แป้ง คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ธ.ค. 31, 2022 9:11 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 33 )👈

✴️~ อย่าลบหลู่คำทำนาย (6)(C) ~✴️
          ละครลึกลับหรือวาทะปริศนาข้างบน อาจเอาไปโยงกับคำทำนายเกี่ยวกับ การถูกยกขึ้นสู่
เบื้องบนของบรรดาผู้ได้รับการเลือกสรรที่ได้กล่าวในบทที่แล้ว
          พระวรสารของท่านมัทธิว บทที่ 24 : 29 - 31 เป็นตอนที่ยากที่สุดในการตีความ จะไม่ใช่
หมายถึง การทำลายพระวิหารกรุงเยรูซาเล็ม อย่างแน่นอน แต่ว่าก็ยากจะเข้าใจว่าเป็น การเสด็จ
มาคั่นกลาง หรือ การเสด็จมาครั้งสุดท้ายตอนสิ้นโลก ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะหมายถึงการสิ้นโลก
: ดวงอาทิตย์จะมืดทันที ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้า
จะสั่นสะเทือน เวลานั้นเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏบนท้องฟ้า และจะเห็นบุตรแห่ง
มนุษย์เสด็จมาในเมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพ และพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่ พระองค์จะทรง
ใช้บรรดา ทูตในสวรรค์ให้เป่าแตรเสียงดัง รวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้ง 4 ทิศ จากปลายหนึ่ง
จนถึงอีกปลายหนึ่งของท้องฟ้า"
          น่าสังเกตข้อความ "รวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรร ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับเลือกสรรล่ะ?
          สำหรับข้อความตอนสุดท้ายนี้ น่าจะเป็นการบอกใบ้ว่าเหตุการณ์นี้จะหมายถึง การเสด็จมา
คั่นกลาง ซึ่งบรรดาผู้ทรงเลือกสรรนั้นจะได้รับการยกขึ้นไปพบพระองค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนบรรดา
ศัตรูของพระศาสนจักรจะ "ถูกทอดทิ้ง" บนโลก เพื่อการชำระล้างครั้งสุดท้าย
          บรรดาศิษย์ของพระเยซูได้ถามพระองค์ว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ซึ่งได้รับคำตอบ
เป็น 2 นัย ดังนี้ : เป็นความจริง เราขอกล่าวแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์
จะเกิดขึ้น ฟ้าและแผ่นดินจะสูญสิ้นไป แต่คำพูดของเราจะไม่มีสูญสิ้นไป เกี่ยวเรื่องวันและเวลาใดนั้น
ไม่มีใครรู้ แม้เทวดาบนสวรรค์ หรือแม้แต่พระบุตรก็ไม่รู้ นอกจากพระบิดาแต่ผู้เดียว
          จะเห็นได้ว่าคำตอบของพระองค์เป็นคำตอบที่สง่าผ่าเผย ตรงไปตรงมา เพราะเหตุว่าพระเยซู
ทรงเตือนว่า "คำพูดของพระองค์จะไม่ผ่านพ้นไป" ฉะนั้นข้อบ่งชี้ 2 ข้อที่แตกต่างกันนี้จะต้องพินิจ
พิเคราะห์ให้ถ่องแท้
          ข้อบ่งชี้ประการแรก เป็นวาทะที่ว่า ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาของชั่วอายุของคนคนหนึ่ง
เป็นการอ้างถึงอย่างชัดเจน "การทำลายพระวิหารกรุงเยรูซาเล็ม ใน ค.ศ. 70"
          ข้อบ่งชี้ประการที่ 2 พระองค์ทรงยืนยันถึง วันและเวลาที่ล่วงรู้แก่พระบิดาแต่ผู้เดียว
ข้อบ่งชี้ประการที่ 2 นี้มิอาจอ้างถึงการทำลายพระวิหารกรุงเยรูซาเล็มอย่างแน่นอน แต่จะอ้างอิง
ถึง การเสด็จมาคั่นกลาง หรือ การเสด็จตอนสิ้นโลก
          ฉะนั้นการเสด็จมาคั่นกลางพระเยซูเป็นความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรม มิใช่แค่เป็น การเปิดเผย
ของผู้ได้รับพรพิเศษจากเบื้องบน (Charismatic) เท่านั้น แต่จะพบในคัมภีร์ด้วย การเสด็จมาครั้งที่ 2 นี้
เป็นช่วงเวลาหนึ่งแห่งพระศาสนจักร และเป็นช่วงเวลาหนึ่งของมนุษยชาติ ท่านนักบุญเปาโลเชื่อมั่น
เสมอมา โดยไม่เคยไปปะปนถึงการเสด็จมาเพื่อการพิพากษาครั้งสุดท้ายตอนสิ้นโลก โดยท่านสำแดง
ถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 นี้ ของพระเยซูในจดหมายถึงชาวโครินธ์ในบทที่ 1: 4 - 9 ชาวโครินธ์จึงต่าง
เฝ้าคอย การเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองของพระเยซู อย่างใจจดใจจ่อ ดังที่ท่านเปาโลได้บรรยายภาพ
ไว้ดังนี้ : "พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสู่สวรรค์"
          ผู้ที่มาชุมนุมกับพระเยซูเจ้าทูลถามพระองค์ว่า "พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงสถาปนาอาณาจักร
อิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในเวลานี้หรือ" พระองค์ตรัสตอบว่า "ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลาที่พระบิดา
ทรงกำหนดไว้ด้วยอำนาจของพระองค์ แต่พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่าน และท่านจะรับอานุภาพ
เพื่อจะเป็นพยานถึงเราในกรุงเยรูซาเล็มทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน"
          เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตา
ของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้า ขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้น มีชาย 2 คนสวมเสื้อขาว
ปรากฏกับเขา กล่าวว่า "ชาวกาลิลีเอ๋ย" ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้า
พระองค์นี้จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกันกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์
          นั่นก็หมายความว่า เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมา ก็จะมีผู้คนต่างไปเฝ้าแหนอย่างเนืองแน่นด้วย
ความยินดีปรีดา ซึ่งจะผิดกับการเสด็จมาครั้งสุดท้าย เพราะมนุษย์จะสิ้นชีวิตกันถ้วนหน้าเพื่อจะฟื้น
ขึ้นมารับรางวัลและรับโทษ เป็นการฟื้นครั้งที่ 2 และตายครั้งที่ 2 (วว 21)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 01, 2023 8:02 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 34 )👈

✴️~ สวัสดีปีใหม่ 2002 + 7 (A)~✴️
          ตามปฏิทินคาทอลิก เรากำลังอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ระหว่างวันประสูติของพระเยซู
ในวันที่ 25 ธันวาคมและวันสำแดงองค์ต่อชาวต่างชาติ หรือวันเปิดตัวของพระเยซูต่อชาวต่างชาติ
(Epiphany) ในวันที่ 6 มกราคม ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้เลยว่าพระเยซู ประสูติ ณ วันใด เดือนใด
และปีใด เรารู้แต่เพียงว่าพระองค์เริ่มเทศนาเมื่ออายุ 30 ปี แต่นักประวัติศาสตร์พบหลักฐานเพียง
ชิ้นเดียวว่า ได้มีการฉลองวันแม่พระรับสาร คือ วันที่อัครเทพคาเบรียลนำสารจากพระเจ้ามาแจ้ง
แก่พรหมจารีมารีย์ว่า พระนางจะทรงครรภ์ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า บุตรที่เกิดมาคือพระผู้ไถ่
วันที่พระนางพรหมจารีรับสารนี้ คือวันที่ 25 มีนาคม อันเป็นวันที่เชื่อกันว่า พระเจ้าทรงสร้าง
ดวงอาทิตย์ ให้โคจรรอบโลกในวันนี้ คริสตชนโบราณเชื่อกันเช่นนี้ จึงฉลองวันพระแม่รับสาร
หรือวันปฏิสนธินฤมลทินของพระเยซู ณ วันที่ 25 มีนาคม จนถึงทุกวันนี้ พระแม่ทรงอุ้มครรภ์ 9 เดือน
จึงมีพระประสูติกาล วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันฉลองสุริยะเทพผู้ชนะเสมอ (Sol invictus) ซึ่ง
เป็นเทพสงครามช่วยให้ชาวโรมันชนะเสมอ
          ปีนี้เรากำลังอยู่ปลายปี ค.ศ. 2001 ก็แปลว่า พระเยซูทรงประสูติมาแล้ว 2001 ปี เพราะได้มี
ผู้ตั้งต้นนับปีเกิดของพระเยซูคริสต์ศักราช 1 คือบาทหลวงดิโอซีอุส เมื่อปี ค.ศ. 533 โดยเอาปีสร้าง
กรุงโรม 754 เป็นหลักเทียบ เริ่มนับ ค.ศ. 1 เป็นต้นไป ก็แปลว่า พระเยซูทรงเกิดหลังสร้างกรุงโรม
754 ปี แต่ภายหลังพบว่าบาทหลวงดิโอซีอุสคำนวณผิดพลาดไป เมื่อนำไปเปรียบเทียบประวัติของ
กษัตริย์เฮโรดมหาราช ซึ่งครองราชย์สมัยพระเยซูประสูติ จึงขอหยิบยกพระวรสารบันทึกโดย น.มัทธิว
เพื่อจะได้เข้าใจสาเหตุแห่งการผิดพลาด ของบทที่ 2 ดังนี้ : ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด พระเยซูประสูติ
ที่เมืองเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม
เที่ยวถามว่า กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกัน
มาเพื่อนมัสการพระองค์ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ทรงวุ่นว่ายพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็ม
ทุกคนต่างก็วุ่นว่ายใจไปด้วย พระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ ตรัสถาม
เขาว่า "พระคริสต์จะประสูติที่ใด" เขาจึงทูลตอบว่า "ในเมืองเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย" เพราะประกาศก
(ผู้ประกาศโองการพระเจ้า) ได้เขียนว่า
          "เมืองเบธเลเฮม ดินแดนยูดาห์
          เจ้าไม่ใช่เล็กสุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์
          เพราะมีผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า
          ซึ่งจะเป็นผู้นำอิสราเอล ประชากรของเรา"
          ดังนั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ทรงซักถามถึงวันเวลา
ที่ดาวได้ปรากฏ แล้วใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮม ทรงกำชับว่า จงไปสืบถามเรื่องพระกุมาร
อย่างละเอียด และเมื่อพบพระกุมารแล้ว จงกลับมาแจ้งให้เราทราบ เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย
          เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทาง ดาวที่เขาได้เห็นทางทิศตะวันออกปรากฏ
มาอีกครั้ง นำทางให้หยุดนิ่งเหนือสถานที่ประทับของพระกุมาร เมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งนั้น เขามีความ
ยินดียิ่งนัก เขาเข้าไปในบ้าน พบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา จึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์
แล้วเปิดหีบสมบัติเอา ทองคำ กำยาน และมดยอบ (ทองคำเป็นสัญลักษณ์หมายถึงความเป็นกษัตริย์
กำยานหมายถึงพระเจ้า มดยอบสำหรับชโลมศพหมายถึงการรับทรมานจนถึงตายของพระกุมาร)
ออกถวายแด่พระองค์ แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝัน มิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรด
เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น
          เมื่อบรรดาโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาเข้าฝันโยเซฟ กล่าวว่า
"จงลุกขึ้น พาพระกุมารและพระมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และจงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกท่าน
เพราะกษัตริย์เฮโรดกำลังสืบหาพระกุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย" โยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารและ
พระมารดาออกเดินทางไปประเทศอียิปต์ในคืนนั้น และได้อยู่ที่นั่นจนกระทั่งกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์
ทั้งนี้ เพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสทางประกาศกเป็นความจริง
          เราเรียกบุตรของเรามาจากอียิปต์
          เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงเห็นว่าตนถูกบรรดาโหราจารย์หลอกลวงก็กริ้วยิ่งนัก จึงทรงให้คนไป
ประหารเด็กชายทุกคนที่อายุตั้งแต่สองขวบลงมาในเมืองเบธเลเฮม และบริเวณใกล้เคียง
          หากใช้ตัวเลขที่บาทหลวงดิโอซีอุสคำนวณไว้ ก็จะเป็นตัวเลขการครองราชย์ของกษัตริย์เฮโรด
มหาราชดังนี้ คือ ตั้งแต่ปี 37 ก่อน ค.ศ. ถึงปี 4 ก่อนพระเยซูประสูติ (ค.ศ.) ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า
กษัตริย์เฮโรด ทรงสั่งฆ่าทารกชายทุกคนในปีสร้างกรุงโรม 750 คลาดเคลื่อนไปถึง 4 ปี และหาก
เด็กชายที่ถูกสั่งให้ประหารชีวิตนั้นต้องมีอายุตั้งแต่ 2 ปี ลงมา ก็แปลว่า เวลานั้น พระเยซูมี
วัย 4 + 2 = 6 ปี ณ ค.ศ. 1 ของดิโอซีอุส
          ฉะนั้น จะต้องเริ่ม ค.ศ. 1 ณ ปีสร้างกรุงโรม 754 สรุปว่า ปี ค.ศ. ที่เราใช้กันทุกวันนี้น่าจะคลาด
เคลื่อนไป 6 ปี แต่ทำไปทำมายังคลาดเคลื่อนไปอีก 1 ปี คือ พระเยซูน่าจะประสูติ ณ ปี 7 ก่อน ค.ศ.
ทั้งนี้ด้วยการค้นคว้าของนาย วิคตอริโอ เมโซรี นักเขียนคาทอลิกชื่อดัง
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเขียนต่อต้านศาสนาได้วิเคราะห์ดังนี้
       "ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1609 นายเคเปลอร์ (Johannes Kepler) ผู้มีชื่อเสียงเป็นหนึ่งในบรรดา
บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่ ได้สังเกตที่กรุงปรากว่า มีการโคจรมาบรรจบกันด้วยแสงเจิดจ้าของ
ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ในราศีมีน นาย เคเปลอร์ ได้คำนวณวิถีโคจรของดวงดาวมีผลสรุปออกมาว่า
ปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้ (คือได้เกิดวงแสงเจิดจ้าและมองเห็นได้ไกล ได้เกิดขึ้น ณ ปี 7 ก่อน ค.ศ. ด้วย
นักดาราศาสตร์คนเดียวกันนี้ ยังได้ค้นพบอีกว่า มีบทวิเคราะห์โบราณในพระคัมภีร์ของท่านรับไบ
อาบาร์บาเนล (Abarbanel) ได้ตั้งข้อสังเกตตามความเชื่อของชาวยิวว่า พระเมสสิยาห์ (พระผู้ไถ่ , ผู้กู้ชาติ)
จะปรากฏมาในยุคราศีมีน เมื่อดาวพฤหัส และดาวเสาร์โคจรมาอยู่ในระนาบเดียวกันทำให้เกิดการรวมแสง
ให้โชติช่วง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 02, 2023 11:38 am

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 35 )👈

✴️~ สวัสดีปีใหม่ 2002 + 7 (B)~✴️
          มีน้อยคนที่ให้ความสำคัญกับการค้นพบอันนี้ของเคเปลอร์ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ในเรื่องข้อ
โต้แย้งเกี่ยวกับวันสมภพของพระเยซูที่คลาดเคลื่อนไป คือ ควรจะสมภพก่อนตามปีที่ยึดถือกันเป็น
ประเพณีมา ฉะนั้น ตัวเลข 7 ปี ก่อน ค.ศ. จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้คนสักเท่าใด ทั้งนี้ เพราะ
นักดาราศาสตร์มักจะยอมประนีประนอมถึงข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องศรัทธา
ของผู้คนที่ไม่ถือตัวเลขเป็นเรื่องสำคัญ
       ในปี 1902 ได้มีการตีพิมพ์ "ตารางดาวพระเคราะห์" ปัจจุบันยังเก็บรักษาไว้ที่กรุงเบอร์ลิน กระดาษ
ปาปีรุสของอียิปต์ซึ่งรายงานการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ (ซึ่งได้รับการยอมรับของนักดาราศาสตร์สมัยใหม่)
ได้รับการยืนยันนอกเหนือจากที่รู้ๆ กันบนพื้นฐานแห่งการสังเกตโดยตรงจากผู้คงแก่เรียนชาวอียิปต์ ซึ่งได้
จัดการบรรจุข้อมูลในตาราง ณ ปี 7 ก่อน ค.ศ. ได้เกิดการโคจรของดาวพฤหัสกับดาวเสาร์มาในระนาบ
เดียวกันในราศีมีน จึงทำให้เกิดแสงเจิดจ้าไปทั่วแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
          ที่สุดในปี 1925 ปฏิทินว่าด้วยดวงดาวแห่งเมือง Sippar (เมืองใกล้ๆ กับ BabyIon) ก็ได้ถูกตีพิมพ์
เป็นตารางดินเผา ใช้อักษรสามเหลี่ยมของชาวเปอร์เซียโบราณ (cuneiform) จากเมือง sippae โบราณ
ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส สำนักวิชาดาราศาสตร์แห่งบาบิโลน ในปฏิทินนั้นมีรายงานการเคลื่อนไหวของ
การโคจรมาบรรจบกันบนท้องฟ้า ในปี 7 ก่อน ค.ศ. เพราะเหตุใดจึงต้องเป็น ปี 7 ก่อน ค.ศ.? เพราะเหตุว่า
ตามข้อมูลของบรรดานักดาราศาสตร์แห่งบาบิโลน ในปี 7 ก่อน ค.ศ. จะมีการโคจรมาบรรจบกันของ
ดาวพฤหัสกับดาวเสาร์ในราศีมีน จะเกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ วันที่ 29 พฤษภาคม วันที่ 1 ตุลาคม และวันที่
5 ธันวาคม ขอให้สังเกตว่าการโครจรมาบรรจบกันนี้จะเกิดขึ้น ทุกๆ 794 ปีเท่านั้น แต่ในเฉพาะในปี 7
ก่อน ค.ศ. จะเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง การคำนวณได้มาจากผู้คร่ำหวอดแห่ง Sippar ก็ได้ถูกค้นพบจาก
ดาราศาสตร์ร่วมสมัยด้วย
          นักโบราณคดีได้ถอดรหัสวิชาสัญลักษณ์จากนักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลน และต่อไปนี้คือผลแห่ง
การวิเคราะห์การทำนาย ดาวพฤหัสบดีสำหรับนักทำนายโบราณ ถือเป็นดาวนักปกครองโลก ดาวเสาร์
เป็นดาวผู้คุ้มครองแห่งอิสราเอล ราศีมีน (แต่ละราศีมีระยะเวลา 2,160 ปี ปัจจุบันเราอยู่ในราศีมีน
ไปสู่ยุคราศีกุมภ์ บางคนบอกว่าจะเริ่มเข้าสู่ยุคราศีกุมภ์ในปี 2000 บางคนบอกว่าในปี 2023 บางคนว่า
ปี 2160) ถือเป็นเครื่องหมายแห่ง "การสิ้นยุค" ของโลกปัจจุบัน แล้วจะเข้าสู่ยุคใหม่แห่งสันติสุข หรือ
"ยุคฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่"
          โอกาสสิ้นปืถือจังหวะว่างๆ จัดห้องเก็บหนังสือ พลิกอ่านประวัตินโปเลียนช่วงสุดท้ายของชีวิต
อ่านแล้วรู้สึกบรรเทาใจระคนแปลกใจ เพราะเท่าที่เคยอ่านและเขียน ประวัติคำทำนายของ นอสตราดามุส
จะพบแต่ภาคความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ซ้ำยังเป็นสมาชิกองค์การฟรีเมซอนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ
ศาสนา เช่น จับพระสันตะปาปาปีโอที่ 6 ขังคุกจนสิ้นชีวิตในคุก และจับพระสันตะปาปาเข้าคุกเกือบ 6 ปี
แต่ในบั้นปลายของชีวิต ขณะที่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเฮเลนา ขอให้ผู้อ่าน อ่านวาทะประวัติศาสตร์ของ
จอมจักรพรรดิผู้สำนึกบาป : "ข้าฯ รู้จักผู้คนมากมาย และข้าฯ บอกได้ว่าพระเยซูคริสต์มิใช่เพียงมนุษย์
เท่านั้น หากดูเผินๆ จะเห็นว่าพระคริสต์ก็เป็นเหมือนกับผู้สถาปนาอาณาจักรคนอื่นๆ ในโลก การบังเกิด
ของพระเยชูคริสต์ก็ดี ความลึกซึ้งแห่งข้อคำสอนของพระองค์ก็ดี การก้าวเดินของพระองค์ข้ามยุคสมัย
และอาณาจักรมากมาย ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระคริสต์นั้นเป็นที่น่าพิศวง และล้ำลึกเกินกว่าที่ข้าฯ จะเข้าใจได้
          ท่านพูดถึงซีซาร์ อเล็กซานเดอร์ และชัยชนะของเขา รวมทั้งความสามารถของเขาในการกระตุ้น
พวกทหารให้ฮึดสู้เพื่อตน แต่ทว่า ท่านจะเข้าใจได้อย่างไรกับเรื่องที่บุคคลที่ตายไปแล้วผู้หนึ่งคือพระคริสต์
ยังสามารถพิชิตชัยชนะอยู่เสมอ โดยกองทัพหนึ่งเดียว (คือ พระศาสนจักร) ที่ยังคงซื่อสัตย์และยอมอุทิศตน
เพื่อรำลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ กองทัพของข้าฯ เองนั้นได้ลืมข้าฯ เสียแล้ว แม้ในขณะนี้ข้าฯ ยังมีชีวิตอยู่
ก็เหมือนกับที่พวกชาวคาร์เทจได้ลืมฮันนิบาล อำนาจของพวกเราเป็นแบบนี้แหละ การรบแพ้เพียงครั้งเดียว
ก็สามารถเหยียบเราให้จมหายไปเลย และการที่เรามีศัตรูก็ทำให้ผู้เป็นมิตรพลอยแตกกระจายหายไปด้วย
          อเล็กซานเดอร์, ซีซาร์,.ซาร์เลอมาญ และตัวข้าฯ เองก็สร้างอาณาจักรของตนขึ้นมา แต่เราต้องพึ่งอะไร?
เราต้องพึ่งกำลังน่ะซิ พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ทรงสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมาบนรากฐานแห่งความรัก
และถึงตอนนี้ก็มีคนนับล้านที่ยอมพลีชีพได้เพื่อพระองค์
          ในอดีตข้าฯ เองก็เคยมีคนมากมายที่ยอมตายเพื่อข้าฯ ได้ แต่มีข้อแม้ว่า ตัวข้าฯ จะต้องอยู่ตรงนั้นต่อหน้า
ต่อตาพวกเขาด้วย ต้องจ้องมองพวกเขา พูดกับพวกเขา ขอร้อง และสั่งพวกเขานั่นแหละ ข้าฯ จึงจะสามารถกระตุ้น
ให้พวกเขามีใจฮึกเหิมยอมตายเพื่อข้าฯ ได้ แต่บัดนี้ ข้าฯ มาถูกจองจำล่ามโซ่อยู่ที่เกาะเฮเลนานี้ จะยังมีใครยอม
รบสู้ชิงชัยเพื่อข้าฯ อีกบ้าง?
          พลานุภาพของพระคริสต์ มหัศจรรย์แห่งความเชื่อที่ก้าวหน้าสม่ำเสมอ และการปกครองของพระศาสนจักร
ช่างผิดแผกแตกต่างกับอาณาจักรฝ่ายโลกเสียนี่กระไร!
          ชาติต่างๆ ผ่านพ้นไป ราชบัลลังก์สูญสลายไป แต่พระศาสนจักรยังคงอยู่ พระเป็นเจ้าทรงสร้างช่องว่าง
ห่างกันลิบลับระหว่างพระองค์กับเปลือกนอกของศาสนา
          ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้น ต้องระวังชะตากรรมที่กำลังมาถึงตนไว้ให้ดี ชีวิตของข้าฯ
นโปเลียน เป็นชีวิตที่น่าสังเวชยิ่งนัก แต่การครองราชย์นิรันดรของพระเยซูจะได้รับการประกาศเป็นที่รักและ
เทิดทูน และจะแผ่ขยายไปทั่วปฐพี
          นโปเลียนช่างร้ายเหลือ ได้ทั้งโลก ได้ทั้งสวรรค์ สวัสดีปีใหม่ครับ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 03, 2023 11:37 am

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 36 )👈

✴️~ แล้วพระองค์จะทรงเนรมิตแผ่นดินขึ้นใหม่ (A)~✴️
         
สืบเนื่องจากบทความเมื่อเสาร์ที่แล้ว เกี่ยวกับ โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ทรงเห็นพระเยซูปรากฏมา แล้วตรัสว่า
"พวกท่านทั้งหลายจงสวดภาวนามากๆ... เพราะเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บนโลกกำลังสุกงอม ทุกสิ่งทุกอย่าง
จะถูกเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นโลกต้องเตรียมตัวต้อนรับ "อาณาจักรของเรา" ปกติแล้ววลีที่ว่า
"อาณาจักรพระเยซู" หรือ "อาณาจักรของพระเจ้า" ชาวคริสต์ทั่วไปจะเข้าใจว่า "สวรรค์" แต่มาระยะ
หลังนี้ คือ ราว 10 ปีที่ผมเริ่มสนใจเหตุการณ์ของโลก โดยเฉพาะคำทำนายที่อยู่ในพระคัมภีร์
เช่น พระธรรมวิวรณ์ และพระธรรมดาเนียล รวมทั้งคำทำนายของคนสมัยของเรานี้ด้วย ซึ่งถือได้ว่า
บุคคลเหล่านี้มีพระพรพิเศษจากเบื้องบน (Charisma) ที่จะนำสารเหล่านี้มาแพร่ให้ชาวโลกรู้
เช่น นาง วาสสุลา ไรเดน ที่ได้รับสารจากพระเยซูตั้งแต่ปี 1985 ด้วยลายมือของเธอเอง รวมเป็น
หนังสือ 12 เล่ม โดยที่เธอไม่รู้เรื่องทางศาสนาสักเท่าใด แต่ข้อเขียนนี้เต็มไปด้วยพระธรรมล้ำลึก
สอดคล้องกับพระคัมภีร์อย่างไม่ผิดเพี้ยน หรือ บาทหลวง สเตฟาโน กอบบี ก็บันทึกสารของแม่พระ
จากเสียงที่เกิดขึ้นภายในใจ (Interior Locution) ท่านบันทึกตั้งแต่ปี 1973 เกี่ยวกับพระศาสนจักร
และวงการสงฆ์ ตอนแรกๆ คนก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญนัก แต่พอเวลาล่วงเลยมาระยะหนึ่ง ก็มี
เหตุการณ์มากมายได้เกิดขึ้นจริงตามที่ได้ทำนายไว้
       ในคำทำนายของวาสสุลาและของบาทหลวงกอบบี ได้พูดถึงพระเยซูจะทรงสถาปนา "อาณาจักร"
ของพระองค์บนโลกไว้มากมายหลายตอน หลังจากได้ศึกษาคำทำนายเกี่ยวกับ "อาณาจักรพระเจ้า"
บนโลกอย่างละเอียดลออแล้ว ก็สรุปได้ว่า "โลกที่พวกเรากำลังมีชีวิตอยู่นี้ จะถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็น
"โลกใหม่" หรือ "ยุคใหม่", "ยุคทอง", "ยุคแห่งสันติสุข", หรือในพระธรรมวิวรณ์เรียกว่า "ฟ้าใหม่
แผ่นดินใหม่" หรือ "สวรรค์บนดิน" นั่นเอง จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยอะไรคงจะพอเดากันได้กระมัง
          ในโอกาสเทศกาลมหาพรต ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ทรงออก
พระสมณสาสน์ ณ วันฉลองเซนต์ฟรานซิส แห่ง อัสซีซี ใจความตอนหนึ่งว่า : "....มันมีความหมายอย่างยิ่ง
ที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสพระวาจาที่ว่า "ท่านทั้งหลายได้รับมาเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ" ในขณะที่พระองค์ได้ทรง
ส่งบรรดาอัครสาวกออกไปประกาศ พระวรสารแห่งความรอด อันเป็นพระคุณแรกสุดและสำคัญที่สุด
สำหรับมนุษยชาติ พระคริสตเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้อาณาจักรของพระองค์ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว
(เทียบ มธ 10 : 5) ได้แผ่ขยายไปโดยที่บรรดาสานุศิษย์ปฏิบัติความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน...
" โปรดสังเกตประโยค "พระอาณาจักรของพระองค์ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว" วลี "ที่ใกล้จะมาถึงแล้ว"
เป็นการขยายความของโป๊ป ซึ่งบ่งบอกเวลาว่า ใกล้จะมาถึงแล้วอันเป็นการกระตุ้นหรือเร่งรัด
ให้ปฏิบัติความรัก หรือแผ่เมตตาก่อนที่จะหมดเวลา
          และคราวที่เสด็จเยี่ยมประเทศเลบานอนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1997
โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งประวัติศาสตร์ เป็นที่ฮือฮาต่อชาวคริสต์เป็น
อย่างมาก เพราะเป็นการเปิดเผยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งพระสงฆ์ทั่วๆ ไป มักไม่ค่
อยหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเทศน์ ผมจะขอตัดตอนบทเทศน์ของพระองค์มาส่วนหนึ่ง ดังนี้ :
          "....ในพิธีมิสซา ตอนหลังเสกศีล ผู้ร่วมพิธีจะกล่าวพร้อมกันว่า "พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์
พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีก" ไม่ใช่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พระศาสนจักร
ทั้งมวลกำลังรอการเสด็จกลับมาของพระองค์จากตะวันออกจรดตะวันตก บรรดากุลบุตร กุลธิดา
ของเลบานอน กำลังรอการเสด็จกลับมาครั้งใหม่ของพระองค์ พวกเราทุกคนกำลังมีชีวิตในการมาถึง
วันท้ายๆ ของประวัติศาสตร์ และพวกเราทุกคนก็ขมีขมันที่จะเตรียมรับเสด็จพระคริสต์ ผู้จะทรงสถาปนา
พระอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงประกาศไว้" และอีกตอนหนึ่งของบทเทศน์ พระองค์ตรัสว่า
"เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว พระนางมารีย์ได้รวบรวมบรรดาอัครสาวกให้ไปร่วมสวดภาวนา
พร้อมกันบนห้องอาหารชั้นบน ที่พระเยซูได้จัดเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้าย เพื่อรอรับพระจิต ซึ่งพระเยซู
ได้ทรงสัญญาไว้
หลังจากเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาแล้วจะทรงส่งพระจิต องค์พละกำลังความกล้าหาญ ฉบับแบบอันนี้
พระศาสนจักรก็ยังรำลึกถึงทุกปีในจารีต พิธีกรรม ซึ่งพระศาสนจักรจะสวดว่า Veni Creator Spiritus
เชิญเสด็จมาพระจิตเจ้าข้า เชิญสถิตในดวงใจสัตบุรุษและบันดาลให้เร่าร้อนด้วยความรักต่อพระองค์
โปรดส่งพระจิตของพระองค์แล้วสรรพสิ่งจะอุบัติขึ้นมา แล้วพระองค์จะเนรมิตแผ่นดินขึ้นใหม่ เมื่อสวด
ถึงตรงนี้อาตมภาพรู้สึกตื่นเต้นสะเทือนใจเป็นที่สุด ขณะที่ย้ำบทสวดนี้ไปพร้อมๆ กับพระศาสนจักรสากล
พร้อมกับลูกๆ พี่ๆ น้องๆ กุลบุตรและกุลธิดาแห่งเลบานอน พวกเราเชื่ออย่างมั่นคงว่า พระจิตองค์แห่ง
ความศักดิ์สิทธิ์จะทรงเนรมิตพื้นผิวโลกขึ้นใหม่ et renovabit pacem in terra และจะทรงเนรมิตสันติสุข
ขึ้นมาบนโลกมนุษย์"
          อันที่จริงมีบทสวดที่ชาวคาทอลิกสวดเป็นประจำทุกวัน ก็สวดเหมือนนกแก้วนกขุนทอง โดยเฉพาะ
ตัวผมเองเกี่ยวกับ "พระอาณาจักร" คือ : "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือน
ในสวรรค์..." พวกเราวิงวอนให้อาณาจักรพระเจ้า อาณาจักรแห่งความดี อาณาจักรแห่งความสุข มาถึง
หรือเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อมนุษย์เราผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้สถิตบนสวรรค์
ซึ่งพระประสงค์ของพระเจ้าได้ถูกสั่งสอนจากพระเยซู พระบุตรผู้ถูกส่งมา ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ทุกคนบนโลกปฏิบัติ
ตาม พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นองค์ความดีสูงสุด เราก็จะเรียกว่า "สวรรค์บนดิน" หรือ
อาณาจักรพระเจ้ามาถึงแล้วนั่นเอง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2023 11:29 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (37 )👈

✴️~ แล้วพระองค์จะทรงเนรมิตแผ่นดินขึ้นใหม่ (B)~✴️
          สรุปแล้ว วลี "อาณาจักรของพระเจ้า", "อาณาจักรของพระเยซู", "โลกใหม่", "ยุคใหม่", "ยุคทอง",
"ยุคสันติสุข", "พันปีแห่งสันติสุข", "ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่" และ "สวรรค์บนดิน" ล้วนมีความหมายเดียว
กันว่า เป็นโลกที่พวกเรากำลังมีชีวิตในปัจจุบันนี้นั่นเอง แต่จะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างมโหฬาร
เสียก่อน ตามที่พระเยซูตรัสกับโป๊ป ปีโอ ที่ 12 หรือตามบทสวด "พระจิตเจ้า" ดังที่โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2
ได้ทรงหยิบยกมากล่าวคราวเสด็จเยี่ยมเลบานอนว่า "พระจิตองค์แห่งความศักดิ์สิทธิ์จะทรงเนรมิตพื้น
ผิวโลกขึ้นมาใหม่"
          อันดับต่อไปจะขอหยิบยกสารของแม่พระ เกี่ยวกับ "อาณาจักรพระเจ้า" ซึ่งบันทึก
โดยบาทหลวง สเตฟาโน กอบบี ตั้งแต่ปี 1973 - 1997
          อาณาจักรอันรุ่งโรจน์ของพระคริสต์ จะถูกนำหน้าด้วยความยากลำบากแสนสาหัส ซึ่งจะเป็นเครื่องมือ
สำหรับชำระล้างพระศาสนจักรและโลก และเพื่อจะนำศาสนจักรและโลกไปสู่การฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์
          อาณาจักรอันรุ่งโรจน์ของพระคริสต์ ซึ่งจะถูกตั้งขึ้นในท่ามกลางพวกเธอ ในวโรกาสที่พระเยซูเสด็จ
มาครั้งที่ 2 อยู่ใกล้แค่เอื้อม นี่เป็นการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์อลังการ เพื่อจะมาตั้งอาณาจักรท่ามกลาง
พวกเธอ และเพื่อนำมนุษยชาติซึ่งได้รับการไถ่กู้ด้วยพระโลหิตอันประเสริฐสุด กลับมาสู่สถานภาพแห่ง
สวรรค์ ณ แผ่นดิน
          พระจิตเจ้ามีภารกิจที่จะแปลงโฉมมนุษยชาติทั้งมวล และที่จะเนรมิตพื้นผิวโลกขึ้นมาใหม่ เพื่อว่า
จะได้กลายเป็นสวรรค์บนดิน ซึ่งพระเจ้าจะได้รับการเทิดพระเกียรติ ได้รับความรัก และได้รับความชื่นชม
ยินดีจากมนุษย์ทุกคน
          ปาฏิหาริย์แห่งความรักอันเปี่ยมด้วยเมตตาของพระเยซู กำลังจะสำเร็จสมบูรณ์ในยุคของพวกเธอ
เหตุการณ์นี้จะประกอบไปด้วยชัยชนะแห่งดวงใจบริสุทธิ์ของแม่ ผนวกกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่แห่งความรัก
ความเมตตาของพระเยซู ซึ่งจะเปลี่ยนโลก และจะนำพวกเธอมาสู่ยุคใหม่แห่งความรัก
ยุคใหม่แห่งความศักดิ์สิทธิ์ และยุคใหม่แห่งสันติสุข
          เมื่อบุตรแห่งมนุษย์ (หมายถึงพระเยซู เพราะประโยคนี้พระเยซูเป็นผู้ตรัส ซึ่งจะทรงเรียกพระองค์
เองว่า "บุตรแห่งมนุษย์" ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ทรงเป็นบุตรพระเจ้า ในขณะเดียวกันด้วย) จะกลับมา เขาจะ
ยังพบความเชื่อบนโลกอยู่อีกหรือ? (ลูกา 18 : 8) พระเยซูจะเสด็จมาอย่างทันทีทันใด โลกจะไม่พร้อมที่
จะต้อนรับพระองค์ พระองค์จะเสด็จมาเพื่อการพิพากษาอย่างหนึ่ง ซึ่งในการพิพากษานี้ มนุษย์จะรู้สึกยัง
ไม่พร้อม พระองค์จะเสด็จมาเพื่อตั้งอาณาจักรของพระองค์ หลังจากบรรดาศัตรูของพระองค์จะได้ถูก
ปราบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วเท่านั้น
          เมื่อพระเยซูได้ทรงตั้งอาณาจักรของพระองค์ท่ามกลางพวกเธอแล้วเท่านั้น มนุษยชาติก็จะประสบ
สันติสุขอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
          ยุคใหม่ ที่คอยท่าพวกเธออยู่นั้น จะเป็นการพบกันอย่างพิเศษสุดของความรัก ของแสงสว่าง
และของชีวิต ระหว่าง สวรรค์ ซึ่งแม่กำลังเสวยสุขอย่างเต็มเปี่ยมพร้อมด้วยบรรดาเทวดาและนักบุญ
กับโลก ซึ่งพวกเธอกำลังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภยันตรายมากมาย และความวิปโยคโศกเศร้านานัปการ
          พระบิดา จะทรงรับพระเกียรติมงคลสูงสุดจากสิ่งสร้างทั้งปวง ซึ่งสิ่งสร้างเหล่านี้ก็จะได้รับแสงสว่าง
ของพระองค์ ความรักของพระองค์และความโชติช่วงชัชวาลแห่งพระเจ้าของพระองค์สะท้อนกลับมา
          พระบุตร (พระเยซู) จะทรงสถาปนาอาณาจักรแห่งพระพร และความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
โดยปลดปล่อยมนุษยชาติ จากความเป็นทาสของมารและของบาป
          พระจิต จะทรงหลั่งพระพรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อย่างอุดมบริบูรณ์ จะนำมาซึ่งความเข้าใจ
อย่างถ่องแท้ ถึงสัจธรรมทั้งมวล และจะทรงเนรมิตพื้นผิวโลกให้สวยงามตระการตา
          ยุคใหม่ ซึ่งกำลังประกาศให้พวกเธอรู้นี้ จะประจวบกับการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ
สมบูรณ์ และในที่สุด สิ่งซึ่งพระเยซูได้ทรงเคยสอน ให้พวกเธออธิษฐานต่อพระบิดาเจ้าสวรรค์ ก็เป็นอัน
สัมฤทธิ์ผล สมดังที่พวกเธอพร่ำสวดเสมอขอว่า "ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย ในแผ่นดินเหมือน
ในสวรรค์"
          ยุคใหม่ เป็นห้วงเวลาซึ่งสรรพสัตว์พากันปฏิบัติตามน้ำพระทัยแห่งพระบิดา พระบุตร และพระจิต
          การพร้อมใจกันปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้รับการฟื้นฟูไปทั่วโลก เพราะเหตุว่าพระเจ้า
จะทรงเนรมิตสวนเอเดนขึ้นมาใหม่ ณ ที่นี้ ซึ่งพระองค์จะทรงมาประทับแบบมิตรสนิทสนมเป็นกันเอง
กับสิ่งสร้างของพระองค์
          ยุคใหม่ ซึ่งแม่กำลังเตรียมไว้ให้พวกเธอ จะประจวบกับเหตุการณ์การพ่ายแพ้ของซาตาน และ
การครองโลกของมัน
          อำนาจของมันจะถูกทำลายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซาตานจะถูกพันธนาการกับจิตชั่วร้ายทั้งหลาย
และถูกขังไว้ในขุมนรก ซึ่งพวกมันจะไม่สามารถออกมาทำร้ายใครในโลกได้
          ในโลกนี้ พระเยซูจะทรงครองราชย์ ในความโชติช่วงชัชวาล แห่งพระวรกายทิพย์อันรุ่งเรืองอลังการ
และดวงหทัยนิรมลของพระแม่เจ้าสวรรค์ของพวกเธอ ก็จะฉลองชัยชนะด้วยแสงสว่างแห่งพระวรกายของ
พระนาง ที่ได้รับเกียรติเชิดชูในสวรรค์ชั้นวิมานสูงสุด

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2023 11:35 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 38 )👈

✴️~ ค้นพบในกุญแจของนอสตราดามุส (A)~✴️
         เมื่อ 2-3 สับดาห์ ที่ผ่านมาได้อ่านบทความของท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประสาน ต่างใจ
ซึ่งได้หยิบยกบทความของ Michael Lemner ชื่อ "การอยู่รอดจากความตายสุดยิ่งใหญ่"
(Michael Lemner; Surviving the Great Dying, yes The Journal of positive, 2003) ที่มีดังนี้
          ในอนาคต จะมีตำนานที่ผู้ใหญ่เล่าขานให้ลูกหลานฟังถึง "ยุคแห่งความตายสุดยิ่งใหญ่"
ของดาวนพเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยะ ซึ่งก็คือโลกของเรา ตำนานที่เล่าขานอาจสรุปได้ดังนี้
- เริ่มต้นจากการแบ่งแยกแปลกต่างและความกลัว มนุษย์ทุกสายพันธุ์ต่างพยายามผลิตสร้างความ
มั่นคงให้กับสายพันธุ์ของตน สุดท้ายก็เกิด "การระเบิดของจำนวนประชากรโลกสุดยิ่งใหญ่ ที่มา
พร้อมๆ กับความก้าวหน้าสุดยิ่งใหญ่ ทางวิทยาสตร์ และเทคโนโลยี และเพียงราว 200 ปี จากนั้น
ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติในทุกหนทุกแห่งของโลก ก็ถูกทำลายจนล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นสารเคมีพิษ และก๊าซที่ก่อโลกร้อนก็เพิ่มพูนเป็นทวีคูณภายในช่วงสั้นๆ จนเผ่าพันธุ์ชีวภาพ
หลากหลายจำนวนหนึ่งต้องสูญพันธุ์ลงไป ด้วยสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และในไม่ช้า โลก
ทั้งโลกก็ตกในภาวะ "ความร้อนโลกสุดยิ่งใหญ่" ที่ตามมาอย่างรวดเร็วของ "น้ำท่วมโลกสุดใหญ่ยิ่ง
ครั้งที่สอง" พร้อมๆ กันนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายพันธุ์พืชและสัตว์ป่านับหมื่นเผ่าพันธุ์ ข้ามเขตแดนธรรมชาติ
ของมันสู่ที่ยิ่งใหญ่ และไม่นานหลังจากนั้น แต่ก่อนที่ "ความล่มสลายที่ยิ่งใหญ่" (ครั้งที่หก) จะเกิดขึ้น
โดยมีการระบาดของโรคระบาดร้ายใหม่ๆ ที่เรียกว่า "ช่วงแห่งความเจ็บป่วยและความตายสุดยิ่งใหญ่"
เมื่อประชาโลกรวมทั้งเผ่าพันธุ์ชีวภาพอันหลากหลายที่ไร้การเตรียมตัว ไร้วิธีป้องกันล้มตายลงไปอย่าง
เหลือคณานับในเวลาอันรวดเร็ว" จบบทความของท่านอาจารย์หมอ ประสาน ต่างใจ
      บทความนี้กระตุ้นให้ผมรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาใหม่  ในอันที่จะค้นคว้าคำทำนายของนอสตราดามุส
ต่อไป ถึงแม้จะรู้สึกเครียดๆ ด้วยเรื่องภาษาที่ค่อนจะลึกลับและซับซ้อน ทั้งยังซ่อนเงื่อนด้วยวิถีโคจรของ
ดวงดาวอีกต่างหาก
          ดั่งที่ได้เคยเกริ่นมาแล้วว่า นอสตราดามุส เขียนคำทำนายเป็น กลอนสี่บรรทัดประมาณเกือบพันบท
นอกนั้นยังเขียนเป็น กลอนหกบรรทัด หรือเขียนเป็นแบบอื่นอีก เช่น ทำนายประจำเดือนของแต่ละปี
แต่สำคัญที่สุดเขียนคำทำนายเป็นรูปจดหมาย ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 ที่มีถึงลูกชาย "ซีซาร์" ฉบับที่ 2
ที่กราบทูลพระเจ้าอังรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส และในจดหมาย 2 ฉบับนี้เองที่ผมได้พบ "กุญแจ" ที่จะไขความลับ
ซึ่งนอสตราดามุส ได้พยายามปกปิดด้วยความแยบยลทางภาษาอย่างที่สุด ที่ว่าเป็น "ความลับสุดยอด"
นั้นคือ "อวสานกาล" หรือ "วันสิ้นยุค" ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นสอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์
นายแพทย์ ประสาน ต่างใจ หยิบยกขึ้นมากล่าวบ่อยๆ ในไทยโพสต์
          "อวสานกาล" หรือ "วันสิ้นยุค" สำหรับชาวคริสต์แล้วมักจะได้ยินกันชินหู เพราะมีบันทึกไว้ในคัมภีร์
โดยเฉพาะสำหรับชาวคาทอลิก ที่มักจะได้ยินพระคัมภีร์เกี่ยวกับวันสิ้นยุค ถูกบรรจุไว้เป็นบทอ่านในพิธีท
างศาสนา (มิสซา) ในช่วงปลายๆ ปี เป็นการเตรียมใจเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ แต่บางครั้ง
รู้สึกว่ายังอีกนาน ครั้นติดตามข้อเขียนของนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทความของท่าน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประสาน ต่างใจ จะเห็นว่าเหตุการณ์วันสิ้นยุคนี้อยู่ไม่ไกลตัวเสียแล้ว
          ก่อนที่จะกล่าวถึง "กุญแจ" ที่นอสตราดามุส ซ่อนไว้ในคำทำนายหลายบทจนสามารถ "ไขความลับ"
สำคัญสุดๆ ก็คือ วันสิ้นยุคหรืออวสานกาล ผมเกรงว่า นักพระคัมภีร์จะตำหนินอสตราดามุสว่าอุตริไปล่วงรู้
วันสิ้นยุค ผมว่านอสตราดามุสตระหนักถึงพระคัมภีร์ที่บันทึกโดยเซนต์มัทธิว บทที่ 24 : 36 ที่ว่า "....
วันและเวลา (แห่งอวสานกาล) นั้นไม่มีใครรู้ทั้งบรรดาทูตสวรรค์และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดา
เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น..." นอสตราดามุส คงจะคาดคะเนเวลาใกล้เคียงมากกว่า
          ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป ต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับการนับรอบศตวรรษ (ร้อยปี)
หรือรอบสหัสวรรษ (พันปี) ปี ค.ศ. 1 - 100 = ศตวรรษที่ 1,
101 - 200 = ศตวรรษที่ 2,
1501 - 1600 = ศตวรรษที่ 16,
1901 - 2000 = ศตวรรษที่ 20,
2001 - 2100 = ศตวรรษที่ 21
และตั้งแต่ปี 1 - 1000 = สหัสวรรษที่ 1 (หรือพันปีที่ 1),
1001 - 2000 = สหัสวรรษที่ 2 (พันปีที่ 2),
2001 - 3000 = พันปีที่ 3,
6001 - 7000 = พันปีที่ 7,
7001 - 8000 = พันปีที่ 8
          กลอนนอสตราดามุส 2 บทที่จะหยิบยกต่อไปนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่มีรหัสซ่อนอยู่
ไปดูบทที่ 74 / 10
          Au revolu du grand nombre septiesme.
          Apparoisra au temps ieux d' Hecatombe.
          Non esloignè du grand aage milliesme.
          Que les entrez sortiront de leur tombe.
          เมื่อเวียนมาบรรจบครบรอบใหญ่ที่ 7
          จะปรากฏมีการแข่งขันกีฬาสังเวยร้อยชีวิต
          ไม่ห่างจากช่วงเวลาสำคัญรอบพันปี
          ผู้ที่ได้เข้าไปในหลุมฝังศพของพวกเขาก็จะออกมา
วิเคราะห์
          บรรทัดที่ 1 การนับเวลานิยมเรียกทศวรรษ = 10 ปี, ศตวรรษ = 100 ปี, สหัสวรรษ = 1000 ปี
ไม่มีรอบหมื่นปีหรือแสนปี ฉะนั้นรอบใหญ่คือ รอบพันปี ฉะนั้นในบรรทัดที่ 1 ก็อาจเขียนใหม่ว่า
เมื่อเวียนมาบรรจบรอบพันปีที่ 7 ก็คือ ปี 7000 (6001 - 7000) ซึ่งจะเริ่มกลียุคอันจะมีรายละเอียด
ในกลอนบทต่อไป

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 06, 2023 1:51 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 39 )👈

✴️~ ค้นพบในกุญแจของนอสตราดามุส (B)~✴️
          บรรทัดที่ 2 ตามประวัติศาสตร์ กีฬาโอลิมปิก มีกำเนิดจาก ชื่อที่ราบ Olympic ในประเทศกรีซ
เริ่มตั้งแต่ปี ก่อน ค.ศ. 776 จนถึงปี ค.ศ. 393 จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี มิใช่การแข่งขันกรีฑาเท่านั้น แต่ยังมี
การแข่งขันขับร้อง บทกลอน และแข่งเต้นรำด้วย ในขณะที่มีการแข่งขันต่างๆ ดังนี้ จะมีการบูชายัญ
ด้วยวัวตัวผู้ 100 ตัว แด่เทพเจ้า ศัพท์ Hecatombe ที่นอสตราดามุสใช้เป็นภาษาละตินซึ่งเอามาจาก
ภาษากรีก Hekatombe ซึ่งเป็นคำสนธิจากคำ Hekaton = 100 และคำ Boes = วัวตัวผู้ ฉะนั้นศัพท์
Hecatombe มีความหมายดั้งเดิมว่า การบูชายัญด้วยวัวตัวผู้ 100 ตัว ซึ่งค่อยๆ กลายความหมาย
เป็น การฆ่าหมู่
          บรรทัดที่ 3 ระหว่างวันที่ 13 - 29 สิงหาคม ค.ศ 2004 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็จะมีขึ้นที่เอเธนส์
ประเทศกรีซ อันเป็นต้นตำหรับแห่งการแข่งขันเพื่อจะได้ผู้เก่งสุดยอด สมกับชื่อ Olympus อันเป็นชื่อ
ภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพยดา และปีนี้คือ ปี ค.ศ. 2004 ก็อยู่ไม่ห่างจากช่วงเวลาสำคัญรอบพันปีที่ 2
คือ ปี ค.ศ. 2000 อันนี้ต้องคารวะถึงอัจฉริยภาพของนอสตราดามุส ที่มองเห็นกระทั่งกีฬาโอลิมปิก
ในปี ค.ศ. 2004 ที่ เอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งเป็นต้นตำหรับการแข่งขันต่างๆ พร้อมกับประเพณีบูชายัญ
วัวตัวผู้ 100 ตัว = Hecaton boes ซึ่งอักษรเหล่านี้สามารถเอามาเรียงใหม่ก็จะได้
C.0.H. - Atenes = Comitee Olympique Hellenique Atenes = คณะกรรมการจัดงานแข่งขันกีฬา
โอลิมปิก เอเธนส์ เห็นไหมครับว่า นอสตราดามุสล้ำลึกขนาดไหน
          บรรทัดที่ 4 ผู้คนได้เข้าไปใน หลุมฝังศพ นอสตราดามุส ใช้คำ Tombe ในรูปเอกพจน์ คือหลุม
ฝังศพหลุมเดียว ทั้งๆ ที่บอกว่ามีคนมากมาย (พหูพจน์) เข้าไป แล้วต่างก็จะออกมา ฉะนั้นหลุมฝังศพที่
นอสตราดามุส บอกในบรรทัดนี้ คงจะเป็นสนามกีฬาใหญ่ๆ มากกว่า ซึ่งมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
คล้ายโลงศพ เมื่อการแข่งขันจบ ผู้เข้าชมต่างก็จะออกจากสนามกีฬาหรือหลุมฝังศพนั้น โดยที่การ
แข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เอเธนส์ครั้งนี้ อยู่ในปี 2004 นอสตราดามุสคงต้องการบอกใบ้ถึงการพิพากษา
ครั้งสุดท้ายในวันสิ้นโลก ที่มนุษย์ทุกคนจะฟื้นขึ้นมากลับมีร่างกายเหมือนเดิม เพื่อฟังคำพิพาษาจาก
พระเยซู คนดีจะได้ไปสวรรค์ คนชั่วจะไปนรกตลอดชั่วนิรันดร
          กลอนนอสตราดามุสบทที่ 74/10 นี้ ทำให้เราได้ตัวเลขปี 7000 ปี ค.ศ. 2004 ซึ่งจะไปเกี่ยวโยง
กับกลอนบท 48/1 อันจะทำให้เราพบเลขเด็ดเลขอีกตัวหนึ่ง เชิญติดตามได้เลยครับ
          Vingt ans du regne de la Lune passez
          Sept mille ans autre tiendra sa monarchie;
          Quand le soleil prendra ses iours lassez,
          Lors accomplir & mine ma prophetie.
          ยุคแห่งพระจันทร์ผ่านรอบเจ็ดพันปีไปได้ 20 ปี
          อีกบุคคลหนึ่งจะขึ้นครองราชย์ต่อไป
          เมื่อพระอาทิตย์ (องค์สันติราช) จะเสด็จมาใหม่เพื่อครองราชย์
          ช่วงที่เหลือเมื่อนั้นแหละคำพยากรณ์ของข้าจะถึงซึ่งอวสาน.
วิเคราะห์
          ตามความเชื่อของชาวยิวและอียิปต์โบราณจะนับอายุของอาดัม มนุษย์คนแรกไปจนถึงกลียุค
นับตัวเลขที่มีระบุไว้ในพระคัมภีร์ จะเป็นเวลา 7000 ปี ถือเป็นยุคพระจันทร์ ซึ่งไม่มีแสงสว่างนัก
เป็นยุควัตถุนิยมเมื่อครบ 7000 ปี ก็จะเกิดกลียุค กินเวลาราว 20 ปี แล้วจะถึงยุคพระอาทิตย์ซึ่งถือ
เป็นยุคจิตนิยม ผู้คนจะฝักใฝ่แต่เรื่องจิตวิญญาณ
          จะขอวิเคราะห์ กลอนนอสตราดามุสทั้งสองบทนี้ไปพร้อมกัน ปี ค.ศ. 2004 ซึ่งมีการแข่งขันกีฬา
โอลิมปิกที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ ถือเป็นการเริ่มต้นกลียุค ก็แปลว่า ค.ศ. 2004 ถือเป็นปีสิ้นสุดของยุค
พระจันทร์ ซึ่งมีอายุ 7000 ปี ตามบทกลอนบทที่ 74/10
          เพื่อจะทราบอายุมนุษย์คนแรกตามคัมภีร์ไบเบิ้ล จะเริ่มนับกันตั้งแต่ปีที่เท่าไหร่
(โดยเทียบปี ค.ศ. เป็นหลักในการนับ) ก็ต้องเอาเวลา 7000 ปี ซึ่งเป็นช่วงทั้งหมดของยุคพระจันทร์
เป็นตัวตั้ง แล้วเอาปี ค.ศ. 2004 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มกลียุคเอาไปหักออก ก็จะได้อายุของอาดัมมนุษย์คนแรก
(คือ 7000 - 2004) 4996 ปี ก่อนพระเยซู หรือ ปี 4996 ก่อน ค.ศ.
          ย้อนกลับมาดูกลอนบทที่ 2 (48/1) ที่กล่าวว่า 20 ปี หลังจากครบรอบ 7000 ปี ซึ่งตรงกัน
ปี ค.ศ. 2004 ซึ่งจะเป็นปีอวสานกาล หรือปีสิ้นสุดแห่งยุค เพราะจะเปลี่ยนเป็นยุคพระอาทิตย์หรือ
สำหรับชาวคริสต์ก็คือยุคที่พระเยซู (สันติราช) จะเสด็จมาครองราชย์เป็นเวลา 1,000 ปี หรือที่เรียกว่า
ยุคพันปีแห่งสันติสุข (Messianic Era) ฉะนั้นพระเยซูเจ้าจะทรงครองราชย์จนถึงราวปี ค.ศ. 3024
          1000 ปีแห่งสันติสุขนั้น มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่เรียกว่า พระวิวรณ์ (Apocalypse
) ในบทที่ 20 : 4 "...ข้าพเจ้ายังเห็นผู้ที่ไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้าย (แอนตีไครสต์) และรูปปั้นของมัน
และไม่ยอมสักตรา (666) ไว้บนหน้าผากหรือที่ข้อมือ เขาเหล่านั้นกลับมีชีวิต และเข้าครองราชย์พร้อม
กับพระคริสตเจ้าเป็นเวลาหนึ่งพันปี
          ฉะนั้นเมื่อปีอวสานกาล คือ ค.ศ. 2024 บวกอีก 1000 ปีแห่งสันติสุขก็จะเป็นปี ค.ศ. 2024 + 1000
= ค.ศ. 3024 และขอให้ถือตัวเลข 2024 และตัวเลข 3024 นี้เป็นแค่ตัวเลขคร่าวๆ ก่อน เพราะยังต้องหา
ข้อมูลอื่นๆ ที่นอสตราดามุสซุกๆ ซ่อนๆ ไว้ ในที่สุดก็จะได้ ซ.ต.พ. ที่ไม่อาจดิ้นหลุดได้ ให้เราไปเปิดดู
จดหมายที่นอสตราดามุสเขียนถึงลูกชาย "ซีซาร์" ดังนี้ ;
          Ad Caesarem Nostradamum flium.....je ay Compose liures de propheties, chascun
cent Quatrains astromomiques de propheties, esquellesj Ay un peu voulu vabouter
obscurrement & sont perpetuelles, Vaticinationns, pour d' icy a I' annèe 3797. Que Possible
fera retirer le front a quelque uns, en Voyant si longue extension, & par soubz toute la
Concauite de la Lune aura lieu & intelligence; & ce Entendant uniuerellement par
toute la terre, mon Filz

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 07, 2023 7:41 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 40 )👈

✴️~ ค้นพบในกุญแจของนอสตราดามุส (C)~✴️
          นอสตราดามุสเริ่มจดหมายอย่างเก๋ไก๋เป็นภาษละตินว่า ลูกซีซาร์ นอสตราดามุส ที่รัก...
พ่อได้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับคำทำนาย เป็นคำทำนายทางดาราศาสตร์ ในรูปกลอนสี่
บรรทัด รวบรวมเป็นหมวดๆ ละ 10 บท (เซนจูรี่) ซึ่งพ่อจงใจพลิกแพลงมันเล็กน้อยให้มันดูคลุมเครือ
เป็นการทำนายทุกๆ เรื่องไปเรื่อยๆ จากเวลาปัจจุบันไปจนถึงปี 3797 เป็นไปได้ที่บางคนเมื่อมองดู
ระยะทางอันแสนไกล ก็จะมองเห็นตัวแรกเป็นตัวสุดท้าย (retirer le front) ทั้งนี้เพราะความโค้งเว้า
ของพระจันทร์ (ยุคพระจันทร์) แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริง และเข้าใจได้ จะเป็นทั้งจักรวาลรวมทั้งโลก
ของเราด้วย ลูกรัก...
          โปรดสังเกตลูกเล่นของ นอสตราดามุสที่ว่า ทำนายทุกเรื่องจากปีที่เขียนคำทำนายนี้
(คือปีค.ศ.1555) ไปจนถึงปี 3797 แล้วรีบหยอดลูกเล่นต่อไปว่า ด้วยระยะทางอันยาวไกลและความ
โค้งเว้าของพระจันทร์ คนบางคนจะเห็นตัวเลขจากหัวไปเป็นท้ายก็ได้ นี่แหละเขาต้องการบอกใบ้
ให้เรากลับตัวเลขเสียใหม่เป็น 7973 คือหน้าเป็นหลังเรียงตามลำดับ เราก็จะได้ตัวเลขเด็ดคือ
7973 ซึ่งถือเป็นจำนวนปีทั้งหมด นับตั้งแต่อาดัมไปจนถึงปีสิ้นสุดแห่งยุคสันติสุข โดยเอาจำนวนปี
ทั้งหมด 7973 ที่ว่านี้ ลบออกจากอายุของ อาดัม คือก่อน ค.ศ. 4996 ก็จะได้ปีสิ้นสุดยุคสันติสุขคือ
7973 - 4996 ก็จะได้ผลลัพธ์ ค.ศ. 2977
          ขอทบทวนตัวเลข ปีสิ้นสุดยุคสันติสุข ค.ศ. 2977 ลบด้วยปีสิ้นยุค ค.ศ. 2024 (2977 - 2024)
ก็จะได้ยุคแห่งสันติสุขเป็นเวลา 953 ปี (เป็นตัวเลขคร่าวๆ)
          มาถึงขณะนี้เราก็ได้ตัวเลข ค.ศ. 2977 ถือเป็นปีสิ้นสุดคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส อันเป็นปี
สิ้นสุดแห่งยุคสันติสุข ซึ่งยุคสันติสุขนี้เป็นระยะเวลา 953 ปี เกือบหนึ่งพันปีตามพระวิวรณ์
          ต่อไปนี้เราต้องการค้นหาวันเดือนปีของอวสานกาลที่ชัดเจน โดยอาศัยการแกะรอยจากจดหมายที่
นอสตราดามุส กราบทูลพระเจ้าอังรี ที่ 2 แห่งฝรั่งเศส ...
(x) toutesfois esperant de laisser par escrit les ans, villes, citez, regions, ou la pluspart aduiendra,
mesme de I' annee 1585 et de I' annee 1606, accom - mencant depuis te temps present,
qui est le 14 de Mars 1557, (x.) et passant outrè bien loing jusques à I' aduene ment qui sera
après au commencement du 7 millenaire profondement supputè,
          ...(x) อย่างไรก็ตามด้วยความหวังที่จะมอบข้อเขียน โดยระบุวัน เดือน ปี ชื่อเมืองต่างๆ ภูมิภาคต่างๆ
ณ ที่ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ของปี 1585 และเหตุการณ์ของปี 1606
โดยนับเวลาปัจจุบัน คือวันที่ 14 มีนาคม 1557 (ขณะที่กำลังเขียนจดหมายฉบับนี้) 
(x.) โดยที่เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีทีเดียว จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มเจ็ดพันปีแล้ว
ซึ่งได้คำนวณไว้แล้วอย่างละเอียด
          เราได้ตัวเลขมาหลายตัวแล้ว โดยอาศัยกลอนสองบทที่ได้หยิบยกมาข้างต้น แต่ตัวเลขที่ได้มานั้นจะ
ยังไม่สมบูรณ์ จะต้องผนวกจดหมายที่ นอสตราดามุส กราบทูลพระเจ้าอังรี ที่ 2 ที่ได้หยิบยกมาข้างบน
ต้องไม่ลืมว่า จดหมายนั้นลงวันที่ 14 มีนาคม 1557
          เราทราบแล้วว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปีนี้ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2004 ซึ่งในกลอนบทที่ 1
(74/10) เป็นวันครบรอบพันปีที่ 7 ก็คือเป็นวันสุดท้ายของพันปีที่ 7 หรือปี 7000 (6001 - 7000) เพราะฉะนั้น
วันที่ 14 สิงหาคม 2004 ก็จะเป็นวันแรกของรอบเจ็ดพันปีที่ 8ท(7001 - 8000) ฉะนั้นวันที่ 14 มีนาคม 1585
(ตามจดหมายที่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญครั้งแรก) ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2004 ก็จะเป็นเวลา 419 ปี
(2004 - 1585) กับอีก 153 วัน (นับจากวันที่ 14 มีนาคม - 14 สิงหาคม 2004) หากนับปี 1606
(ตามจดหมายที่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญอีกเป็นครั้งสุดท้าย) บวก 419 ปี 153 วัน ก็จะได้ตัวเลข ค.ศ. 2025
(1606 + 419) กับอีก 153 วัน นับตั้งแต่ต้นปีคือมกราคม ก็จะตกวันที่ 2 มิถุนายน นี่ก็คือ วัน เดือน ปีแห่ง
อวสานกาล คือวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2025 หากเราเอาตัวเลขที่ได้ค้นพบแล้วว่า เป็นที่สิ้นสุดแห่งยุคสันติสุข
ค.ศ. 2977 ลบด้วยปีอวสานกาล คือ ค.ศ. 2025 (2977 - 2025) ก็จะได้จำนวนปีแห่งยุคสันติสุข 952 ปี
ใกล้เคียงกับตัวเลขที่พระวิวรณ์ระบุไว้คือ 1000 ปี
          หากเราจะเอาตัวเลข 3797 ซึ่งนอสตราดามุสให้ไว้อย่างมีเลศนัย ถือเป็นตัวเลขปีสิ้นสุดแห่งยุคสันติสุข
เป็นตัวตั้ง แล้วลบด้วยปีอวสานกาล 2025 คือ 3797 - 2025 = 1772 ปี ซึ่งไม่ตรงกับที่พระวิวรณ์ระบุไว้ว่า
หนึ่งพันปี อาจทำเป็นสเกลได้ดังนี้
          - มนุษยชาติยุควัตถุนิยม 7000 ปี กลียุค 20 ปี
          - อายุของอาดัม ก่อน ค.ศ. 4996
          - เริ่มกลียุค ค.ศ. 2004
          - ยุคสันติสุข 952 ปี (ยุคจิตนิยม)
          - อวสานยุควัตถุนิยม ค.ศ. 2025
         - สิ้นสุดยุคสันติสุข ค.ศ. 2977 (สิ้นสุดคำพยากรณ์นอสตราดามุส)
          สรุป ข้อมูลสำคัญที่นอสตราดามุสจงใจพลิกแพลง ยอกย้อน ซ่อนเงื่อนจนสามารถถอดหัส
เป็นผลสำเร็จ มีดังนี้
          *วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2004 วันที่ 2 ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่เอเธนส์ ประเทศกรีซ
ซึ่งถือเป็นเริ่มต้นกลียุคที่มีระยะเวลา 20 ปี
          *วันที่ 2 มิถุนายน 2025 จะถือเป็นวันสิ้นยุค หรือยุควัตถุนิยม
          *เมื่อสิ้นยุควัตถุนิยมแล้วก็จะเข้าสู่ยุคจิตนิยม ซึ่งมีระยะเวลา 952 ปี ซึ่งผู้คนจะใช้ชีวิต
ด้วยความรัก ความเมตตาและเอื้ออาทรต่อกันและกันอย่างมีความสุข จะไม่มีสงครามให้เห็นกันอีกเลย
จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคสันติสุข (Messianic Era) หรือ ยุคฟ้า
ใหม่แผ่นดินใหม่

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส