“สู่สงครามมหาประลัย “ (ตอนที่41- 60 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 08, 2023 9:27 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 41 )👈

✴️~ นอสตราดามุสให้กุญแจอีกดอกหนึ่ง (A) ~✴️
          ข่าวกรองล่าสุดจากอ่าวเปอร์เซียรายงานว่า สหรัฐเตรียมจะส่งทหารทั้งหมด 200,000 นาย
ไปอยู่บริเวณอ่าวเปอร์เซียภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
          ข่าวคราวมหาอำนาจอเมริกาจะบดขยี้อิรัก ทำให้ผมต้องเกาะติดสถานการณ์ และพยายาม
ค้นหาคำทำนายหลายๆ แหล่งของนอสตราดามุสว่า ได้พยากรณ์เหตุการณ์เหล่านี้ไว้ที่ไหนบ้าง
ที่สุดก็ได้ไปพบกุญแจในจดหมาย 2 ฉบับ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบเหตุการณ์ที่มีความสำคัญสุดยอด
คือ กลียุค ซึ่งจะกินเวลานานราว 20 ปีก่อนจะถึงอวสานกาล ซึ่งจะเป็นการเปิดประตูไปสู่ ยุคใหม่
หรือ ยุคฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ ซึ่งพระธรรมวิวรณ์ระบุว่าจะเนิ่นนานราว 1 พันปี
          คำทำนายของนอสตราดามุสส่วนใหญ่จะเขียนเป็นกลอน 4 บรรทัด ซึ่งแบ่งเป็น 10 เซนจูรี
เซนจูรีละ 100 บท เว้นเซนจูรีที่ 7 ที่มีแค่ 48 บท
          ยังมีคำทำนายประจำเดือนตั้งแต่ปี 1555 ถึงปี 1567 เรียกคำทำนายประเภทนี้ว่า Presages
          คำทำนายที่อยู่ในรูปจดหมาย 2 ฉบับ ได้กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
          สุดท้ายนอสตราดามุสยังเขียนคำทำนายเป็นกลอน 6 บรรทัดอีกหลายบท ซึ่งมักระบุตัวเลข
แทบทุกบท ใช้เวลาค้นหาอยู่นานทีเดียวจึงได้พบกุญแจอีกดอกหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกลอน 4 บรรทัด
ในบทที่ 54 เซนจูรี 6 ดังนี้
          Au poinet du iour au second chant du coq,
          Ceulx de Tunes, de Fez,et de Bugie:
          Par les Arabes captif le Roy Maroq,
          L,an mil six cens et sept de Liturgie.
          ณ เวลาเช้าตรู่ตอนไก่ขันรอบที่สอง
          ชาวอาหรับแห่งตูนิเซีย เฟส และบูจี
          ถูกอายัดตัวโดยกษัตริย์มารอกโค
          ณ ปี 1607 แห่งพิธีกรรม
          วิเคราะห์ มีศัพท์ Liturgie พิธีกรรมเท่านั้นที่จะต้องวิเคราะห์เจาะลึก ซึ่งต้องย้อนหลังไป
ยุคแรกๆ ของชาวคริสต์ ครั้งที่แพร่เข้าไปในจักรภพโรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 3
ยังต้องหลบอยู่ใต้ดิน จนกระทั่งศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ออกกฤษฎีกายกเลิก
การเบียดเบียนชาวคริสต์ ผ่อนปรนให้ทุกคนมีอิสรภาพในการนับถือศาสนาในปี ค.ศ. 313
และจักรพรรดิคอนสแตนตินเองก็ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และทรงสิ้นพระชนม์
ณ ปี ค.ศ. 337
          คริสตชนผู้หนึ่งเข็มแข็งและร้อนรนในพระศาสนา ได้บวชเป็นพระสงฆ์ แล้วได้เป็นผู้ช่วย
พระสันตะปาปา ดามาโซ เมื่อพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ ท่านได้ย้ายไปบำเพ็ญภาวนา
ณ ถ้ำเบธเลเฮม สถานที่ที่พระเยซูประสูติ แล้วได้แปลพระคัมภีร์ (พระธรรมเก่า) ซึ่งเขียนเป็น
ภาษาฮีบรูมาเป็นภาษาละติน ผู้นี้ก็คือ Saint Jerome หรือชาวคาทอลิกไทยมักจะคุ้นกับนาม :
นักบุญเยโรนิโมตามสำเนียงอิตาลี
          ขณะที่เซนต์เจโรมดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยพระสันตะปาปา ดามาโซนั้น ท่านได้แปลบท
เพลงสดุดีต่างๆ (Psalm) ในพระธรรมเก่าเป็นภาษาละติน แล้วเรียบเรียงมาใช้สวดและขับร้อง
แล้วกลายมาเป็น "พิธีกรรม" ในเวลาต่อมา ถือเป็นการเริ่มปีพิธีกรรมอย่างเป็นทางการ ที่มี
บันทึกไว้ ก็คือปี ค.ศ. 392 เซนต์เจโรมเกิดราวปี 340 และสิ้นชีวิตเมื่อ ปี ค.ศ. 420
          นอสตราดามุสซ่อนรหัส 392 อันเป็น ปีพิธีกรรม ด้วยประการฉะนี้
          ฉะนั้น ปี 1607 แห่งพิธีกรรม ก็คือ 1607 + 392 = 1999
          ส่วนในปี 1999 ที่พึ่งผ่านมานี้ ไม่อาจหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับกษัตริย์ มารอกโค มากนัก
ทราบแต่เพียงว่ากษัตริย์ฮัดซัน ที่ 2 เสด็จสวรรคต และพระราชโอรส โมฮัมมัด ที่ 6 เสด็จขึ้น
ครองราชย์สืบทอดต่อมาในปีเดียวกัน คือ ปี 1999 ตามที่นอสตราดามุส ระบุไว้ในบรรทัดที่ 4
          สรุปแล้ว เราได้พบกุญแจสำคัญ คือ ปีพิธีกรรม 392 เราจะต้องหาบทกลอนอื่นๆ ที่ระบุตัวเลข
อย่างแยบยล แล้วบวก 392 จะได้ข้อมูลอะไรสักอย่างที่ได้เกิดขึ้นจริง ก็เป็นที่เชื่อถือได้ว่า 392 นั้น
เป็นกุญแจสำหรับไขความลับของนอสตราดามุส ลองมาดูกลอน 6 บรรทัด บทที่ 21
          L'autheur des maux commen cera regner
          En I'an six cena & sept sans
espargner
          Tous les subjets qui sont à la sangsuë,
          Et puis après s'en viendra peu à peu,
          Au franc pays r' allumer son feu,
          S'en retournant d'où elle est issuë .
          ผู้ประกอบการแห่งความชั่วร้ายจะเริ่มต้นปกครองแผ่นดิน
          ณ ปี 607 โดยไม่ขาดไม่เกิน
          ข้าแผ่นดินแห่งรัสเซีย (ตัวปลิง)
          ทันทีหลังจากนั้น เขาจะจุดไฟทีละเล็กทีละน้อยต่อประเทศตะวันตก (เสรี) แล้วจะกลับมา
สู่ที่เดิมที่ได้พยายามหลบไปชั่วระยะหนึ่ง (เพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ)
วิเคราะห์
          บรรทัดที่ 1 ผู้ประกอบการแห่งความชั่วร้าย (คงจะต้องดูบทบาทของเขาต่อไป) ได้เริ่ม
ปกครองแผ่นดินแบบกะทันหัน ณ ปี 607 คนยุโรปทั่วไปมักเรียกปี 1607 ว่า 607 เหมือนคนไทย
พูดย่อๆ ว่าปี 46 หรือปี 03
          ฉะนั้นปี 607 ในบรรทัดที่ 2 ก็คือปี 1607 เมื่อเราจับจุดนอสตราดามุสได้แล้ว ก็เพียงเพิ่ม
ปีพิธีกรรม 392 เข้าไป ก็จะเป็นปี 1999 (1607 + 392)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 09, 2023 8:54 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (42)👈

✴️~ นอสตราดามุสให้กุญแจอีกดอกหนึ่ง (B) ~✴️
          ศัพท์ SANGSUË ก็คือ ตัวปลิงที่
นอสตราดามุสเรียกประเทศรัสเซีย เพราะเขาเห็นล่วงหน้าว่า หลังจากลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
ในรัสเชีย ประชาชนก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไป จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากประเทศเสรี
ตะวันตก (Franc pays) นั่นแหละ
          ผู้นำของเขาจะเป็นผู้จุดไฟในประเทศตะวันตกให้ลุกเป็นไฟ จะก่อหายนะแค่ไหน คงต้อง
ติดตามกลอนนอสตราดามุสกันต่อไป และผู้นำรัสเซียที่ผงาดขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิด
ในปี 1999 ที่นอสตราดามุสบอกก็คือ ปูติน ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของรัสเซียเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 1999
ซึ่งนอสตราดามุสพยากรณ์ว่า เขาจะนำประเทศถอยหลังเข้าคลอง จนเขาขนานนามผู้นี้ว่า ผู้ประกอบ
การแห่งความชั่วร้าย
          ในยุคสงครามเย็น ก็มี 2 อภิมหาอำนาจ คือ สหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา
          ลองมาฟังนอสตราดามุสว่า เขามองเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันนี้ว่าอย่างไร
ในกลอน 6 บรรทัด บทที่ 12
          Six cens&cinq tres grand nouuelle,
          De deux Seigneurs la grand querelle,
          Proche de Genaudan sera,
          A une Eglise apers I' offrande,
          Meurtre commis, prestre demande
          Tremblant de peur se sauuera.
          ปีสองพันเกิดเรื่องเล่าขานสำคัญยิ่ง
          สองเจ้านายต่างกล่าวหาด้วยเรื่องใหญ่
          จะใกล้เวลาสองพันหนึ่ง
          หลังพิธีบูชามิสซา ณ โบสถ์แห่งหนึ่ง
          เกิดการฆ่าหมู่ พระสงฆ์กำลังสวดวิงวอน
          กลัวตัวสั่น แต่รอดตายหวุดหวิด
วิเคราะห์
          บรรทัดที่ 1 Six cens = 600 คือ 1600 และ cinq = 5 รวมเป็น 1605 ส่วนคำ tres
ในภาษาฝรั่งเศส = เหลือเกิน, ยิ่งนัก แต่หากเป็นภาษาละติน = 3 ในที่นี้นอสตราดามุส
ใช้ในความหมายว่า 3 ฉะนั้น ปี 1997 (1605 + 392) บวก 3 ก็คือ ปี 2000 (1997 + 3)
        บรรทัดที่ 2 ในปี 2000 สองเจ้านาย กล่าวหากันด้วยเรื่องใหญ่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
บุชกับกอร์ เราคงยังจำเรื่องราวเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่เกิดปัญหาในการนับคะแนนที่รัฐฟลอริดา
จนต้องพึ่งศาลสูงสุด ศาลตัดสินให้บุชชนะ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2000
       บรรทัดที่ 3 ศัพท์ Genaudan ไม่มีในภาษาฝรั่งเศส นอกจากคำ Gevaudan เป็นชื่อตำบลหนึ่ง
ในฝรั่งเศส แต่นอสตราดามุสจงใจใช้คำนี้ Genaudan เพราะต้องการให้สลับอักษรก็จะได้
"age d'anun" นั่นก็คือ "เวลาแห่งปี (ศูนย์) หนึ่ง" ปี 2001 นั่นเอง 15 ธ.ค. เป็นการเน้นให้เห็นว่า
เป็นปลายปีใกล้ปี 2001
          บรรทัด 4 - 5 - 6 นอสตราดามุสยังระบุเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ปี 2001 อีก คือ
ณ คืนวันคริสต์มาส วันที่ 24 ธันวาคม 2000 ได้เกิดการนองเลือดที่โบสถ์คาทอลิกที่จาร์กาตาและ
สุมาตรา ชาวคริสต์จำนวนมากถูกสังหารหมู่ แต่บาทหลวงผู้ประกอบพิธีมิสซารอดตายอย่างปาฏิหาริย์
          ลองไปดูอัจฉริยภาพนอสตราดามุสในกลอน 6 บรรทัด ที่ 29
          Le Griffon se peut aprester
          Pour à l'ennemy resister,
          Et renforcer bien son armée,
          Autrement I' Elephant viendra
          Qui d'un abord le surprendera,
          Six cens & huict, mer enflammée.
          สหรัฐต้องเตรียมตัวรับมือ
          ศัตรูของเขาจะก่อความยุ่งยาก
          กองทัพของเขาจะต้องเสริมกำลังรบ
          เหตุว่าประเทศมุสลิมจะพากันมา
          และจะจู่โจมโดยไม่ทันรู้ตัว
          ทะเลจะถูกเพลิงเผาผลาญ ณ ปี 2000
วิเคราะห์
          คำ Griffon = สัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก มีปีกเป็นนกอินทรี มีตัวเป็นสิงโต
นอสตราดามุสใช้ภาษาสัญลักษณ์ หมายถึง สหรัฐ ซึ่งมีนกอินทรี หัวล้าน คล้ายนกแร้งตรง
กับลักษณะของ Griffon
          คำ Elephant = ช้าง หมายถึงประเทศอาหรับ ที่มีบันทึกในพระคัมภีร์โกหร่าน ซึ่งเล่าว่า
ณ ปี ค.ศ. 570 พวกอะบิสสีเนีย ได้บุกแหลมอาหรับ ซึ่งออกมารับศึกด้วยกองทัพใหญ่ โดยมีธง
รูปช้าง นำหน้าทัพ แล้วพระเจ้าเพื่อจะช่วยชาวอาหรับ ได้ส่งนกตัวใหญ่ที่มีอุ้งตีนใหญ่ สามารถ
หอบเอาดินแห้งๆ ก้อนโตๆ มาถล่มกองทัพของพวกอะบิสสีเนียให้พ่ายแพ้กลับไป ณ ปีนั้นเอง
พระนบีโมฮัมหมัดทรงบังเกิด เรียกกันต่อๆ มาว่าปีช้าง ฉะนั้นช้างจึงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ
อาหรับต่างๆ
          ส่วนปี 600 และ 8 ก็คือปี 2000 (1608 + 392)
          ส่วน ทะเลถูกเพลิงเผาผลาญ นั้น ก็คงเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2000 เรือรบสหรัฐ
U.S.S. Col ใกล้ท่าเรือ Aden ถูกลอบทำลายเกิดเพลิงไหม้ ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตไปจำนวนมาก
          จะเห็นได้ว่า นอสตราดามุส ได้เตือนสหรัฐให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวรับมือ  ด้วยการเสริมกำลังรบ
เพื่อจะได้ต่อกรกับศัตรูจากประเทศมุสลิม ซึ่งเขาใช้ศัพท์ "ช้าง" เป็นสัญลักษณ์
          ในปี 2000 ที่มีการระเบิดเรือรบอเมริกันเป็นแค่หนังตัวอย่าง หรือเป็นการโหมโรงว่า จะเกิด
เหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าในปีรุ่งขึ้น คือ 11 กันยายน 2001 ที่ตึก World Trade center ซึ่งทำให้เห็น
อย่างชัดเจนว่าศัตรูนั้นเป็นใคร

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 10, 2023 1:52 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 43 )👈

✴️~ ความลับฟาติมาข้อที่ 3 (A) ~✴️
          เมื่อค่ำวันที่ 22 ตุลาคนี้ ผมและภรรยาได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงค็อกเทลจาก ฯพณฯ
พระอัครสังฆราช อาดริอาโน แบร์นาดีนี (Adriano Bernardini) พระสมณฑูตวาติกันประจำ
ประเทศไทย เนื่องในโอกาสสมณา ภิเษก พระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 ครบรอบปีที่ 23
แขกสำคัญในงานนี้จะขาดเสียมิได้ก็คือ ฯพณฯ พระคาร์ดินัล ไมเคิล มีชัย กิจบุญชู พระอัครสังฆราช
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ และแขกสำคัญที่แปลกตาสำหรับชาวไทยคือ ฯพณฯ Oleg Cherefain
พระสังฆัยกา (Patriarch) ออร์โธดอกซ์ รัสเซีย ถือโอกาสนี้วิงวอนพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ
จงประทานพระพรแด่สมเด็จพระสันตะปาปา จงมีสุขพลานามัย และครองพระอาสน์ตราบนานเท่านาน
AD MULTOS ANNOS. เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2000 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2
ได้เสด็จสู่เมืองฟาติมา โปรตุเกส เพื่อสถาปนาเด็ก 2 ใน 3 คือ ยาชินทา และฟรันซิสโก เป็นบุญราศี
(Blessed) สถานภาพก่อนสถาปนาเป็น นักบุญ (Saint) ในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ส่วนเด็กคน
ที่ 3 คือ ลูเซีย ขณะนี้เป็นแม่ชีคณะคาร์เมไลต์อายุ 94 ปี ได้เข้าร่วมพิธีสถาปนาเป็นบุญราศีของ
ฟรันซิสโก และ ยาชินทา ครั้งนี้ด้วย
          พระแม่มารีย์ได้ปรากฏมาพบเด็กเลี้ยงแกะทั้ง 3 คนนี้เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ในปี 1917 ระหว่าง
เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ทุกๆ วันที่ 13 และได้มอบสาร 3 ข้อ คือ 1 ได้ให้เด็กทั้งสามเห็น "นิมิต"
ของนรกว่ามีความน่าสะพรึงกลัวสักเพียงใด ข้อ 2 สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังจะสิ้นแล้ว หากมนุษย์ยัง
ไม่เลิกทำเคืองพระทัยพระเจ้าก็จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้สังเกตสัญญาณเตือนได้เมื่อเห็นแสง
ประหลาดขึ้นทางทิศเหนือ ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1938 ส่วนสารข้อที่ 3 ต่อมาแม่พระ
บอกเด็กทั้งสามให้เก็บรักษาไว้จนถึงปี 1960 จึงจะเปิดเผยได้ ซึ่งเรียกกันว่า "ความลับฟาติมาข้อที่ 3"
แม่ชีลูเซียได้เผยในภายหลังว่า การเก็บความลับไว้จนถึงปี 1960 นั้น จะทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น ครั้น
ถึงปี 1960 พระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23 ทรงขอสงวนไว้ก่อน กระทั่งถึงองค์ปัจจุบันล่วงเลยมากกว่า
20 ปี ก็ยังทรงไม่เปิดเผย แล้วจู่ๆ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2000 ทางสำนักวาติกันก็ได้เปิดเผย
"ความลับฟาติมาข้อที่ 3" อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น ความลับนี้ถูกเปิดเผยไปแล้ว ก็มีเสียงวิพากษ์
วิจารณ์กันขนานใหญ่ว่า ไม่ได้เปิดเผยทั้งหมด แต่ถูกขยักไว้บางส่วน ซึ่งมีความหนักหนาสาหัสมากกว่า
สิ่งที่ได้ถูกเปิดเผยไปแล้วเสียอีก ดังจะขอหยิบยกข้อความที่ถูกขยักไว้ดังนี้
: "Fourth Memoir" Sister Lucia adds : In Portugal, the dogma of the faith will be preserved, etc...
ในบันทึกช่วยจำข้อที่ 4 ซิสเตอร์ลูเซียเสริมว่า : หลักธรรมข้อสำคัญสูงสุดแห่งความเชื่อจะถูกรักษาไว้
ให้คงสภาพเดิมเฉพาะในประเทศโปรตุเกสเท่านั้น ...ฯลฯ...
          ฯลฯ... และอื่นๆ นั้นคือฉันใด? เป็นคำถามดังเซ็งแซ่ไปทั่ว ซึ่งผมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
สำหรับวันนี้ขอเสนอ "ความลับฟาติมาข้อที่ 3" ที่สำนักวาติกันเปิดเผยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
26 มิถุนายน 2000 : J.M.J (เยซู มารีอา โยเซฟ) ความลับข้อที่ 3 เปิดเผยที่โกวา ดา อี - รีอา ฟาติมา
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 1917 "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันเขียนเพื่อนบนอบพระองค์ผู้ทรงบัญชาดิฉัน
ทางพระสังฆราช เลอิรีอา และผ่านทางพระมารดาของพระองค์และมารดาของดิฉันด้วย
          หลังจากที่ดิฉันได้รับทราบ 2 ข้อ ที่ดิฉันได้ชี้แจงไปแล้ว ดิฉันได้เห็น ณ เบื้องซ้ายของพระมารดา
อยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อย มีเทวดาองค์หนึ่งถือดาบเปลวเพลิงในมือซ้ายส่องแสงแปลบปลาบ เป็นประกาย
วูบวาบ เปลวไฟโหมกระพือลุกลามไปทั่วราวกับจะเผาโลกให้สิ้นไปทั้งโลก แต่เปลวเพลิงนี้ก็ดับวูบลง
เมื่อปะทะกับแสงสว่างจ้า ซึ่งพระแม่มารีย์แผ่พุ่งตรงไปยังเทวดาด้วยมือขวาของพระแม่ ขณะที่เทวดายื่น
มือขวาชี้ลงสู่โลก โดยร้องเสียงดังว่า กลับใจใช้โทษบาป! กลับใจใช้โทษบาป! กลับใจใช้โทษบาป!
ต่อมาเราทั้งสามได้เห็นสิ่งหนึ่งในดวงประทีปมหึมา ซึ่งก็คือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง มองดูคล้ายคนเดินผ่าน
กระจกเงา เห็นพระสังฆราชรูปหนึ่งในชุดขาว เรารู้สึกเป็นพระสันตะปาปา ยังมีบรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์
และนักบวชชายหญิง กำลังปืนขึ้น ภูเขาสูงชัน บนยอดเขามีไม้กางเขนใหม่ ตัดมาจากลำต้นอย่างหยาบๆ
ดูเหมือนจะเป็นไม้คอร์กยังเห็นเปลือกติดอยู่ ก่อนถึงยอดเขา พระสันตะปาปาทรงพระดำเนินผ่านเมืองใหญ่
ที่ถูกทำลายไปครึ่งเมือง พระองค์ทรงพระดำเนินไปครู่หนึ่ง แล้วก็ทรงพักเหนื่อยครู่หนึ่งด้วยพระวรกายสั่นเทา
ทรงปวดร้าวเศร้าในพระทัย ทรงภาวนาอุทิศส่วนกุศลแด่ดวงวิญญาณที่ทิ้งซากศพไว้ตลอดเส้นทาง
      ครั้นถึงยอดเขาทรงคุกเข่าลงแทบเชิงไม้กางเขน ทรงถูกปลงพระชนม์โดยทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยิงด้วยลูกปืน
และยิงด้วยลูกธนูใส่พระองค์ และในทำนองเดียวกัน บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง และฆราวาส
อีกมากที่มีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ก็สิ้นชีวิตไปคนแล้วคนเล่า ภายใต้ไม้กางเขน 2 ข้าง มีเทวดา 2 องค์ แต่ละองค์
ต่างถือโถสำหรับใส่น้ำเสก (น้ำมนต์) ที่เป็นแก้วใส ซึ่งเทวดาทั้งสองก็ประพรมบรรดาดวงวิญญาณที่กำลังเดิน
ทางสู่พระผู้เป็นเจ้า"
          โดยที่ความลับนี้เขียนขึ้นมาเป็นภาษาสัญลักษณ์ จึงไม่อาจตีความตามตัวอักษร พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์
พระสมณมนตรีว่าด้วยเรื่องความเชื่อ ได้เปิดโอกาสให้ผู้รู้ได้ศึกษาและวิเคราะห์กันตามที่เห็นสมควร

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2023 8:20 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 44 )👈

✴️~ ความลับฟาติมาข้อที่ 3 (B) ~✴️
          บทวิเคราะห์ที่ผมจะนำเสนอครั้งนี้ได้มาจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทาง เทวศาสตร์ (Theology)
แห่งมหาวิทยาลัยเกรกอริอานา โรม คือ ท่านบาทหลวง อิวาน โปยาฟนิค (IVAN POJAVNIK)
องค์ปาฐกในการสัมมนาทางจิตวิญญาณแก่กลุ่มขบวนการสงฆ์ของแม่พระของบาทหลวงกอบบี
เมื่อเดือนมิถุนายน 2001
          แต่เฉพาะท่อนแรกจะเป็นการตีความของพระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ : เทวดาองค์หนึ่งถือดาบ
เปลวเพลิงในมือซ้าย ทำให้นึกภาพคล้ายๆ ในพระธรรมวิวรณ์นี่แสดงถึงการคุกคามว่า จะมีการลง
โทษของพระเจ้าซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ทุกวันนี้ภาพของเหตุการณ์ซึ่งโลกจะกลายมาเป็นแค่กองขี้เถ้า
เพราะการลุกไหม้ของทะเลเพลิงนั้นดูจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันกันอีกต่อไปแล้ว มนุษย์เองนั้นแหละ
ได้วิ่งผ่านดาบเปลวไฟด้วยการประดิษฐ์คิดค้นของตนเอง แล้วนิมิตของดวงประทีปโชติช่วงของ
พระแม่มารีย์ อันเป็นอำนาจที่ต่อต้านอำนาจของการทำลายล้าง ได้ร่ำร้องให้มนุษย์กลับใจใช้
โทษบาป นั้นคือ การกลับใจขอสมาโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า แล้วใช้โทษบาปด้วยการทำบุญทำทาน
และบำเพ็ญกุศลในรูปแบบอื่นๆ ในตอนต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์ตีความของบาทหลวงอีวานล้วนๆ
ท่านอีวานวิเคราะห์ประเด็นนี้ด้วย โดยหยิบยกบทเทศน์ของโป๊ปคราวเสด็จฟาติมา โปรตุเกส เมื่อ
วันที่ 13 พฤษภาคม 2000 ถึงลูกเล่นของมังกรต่อมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาวคริสต์ ซึ่งมัน
ใช้หางของมันตวัดดวงดาว (นักบวช) หนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน (วว 12 : 4)
จุดหมายปลายทางของมนุษย์คือสวรรค์ บ้านที่แท้จริงของมนุษย์ ณ ที่ซึ่งพระบิดาเจ้าสวรรค์ทรง
ประทับคอยทุกๆ คน ด้วยความรักอันเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของพระองค์ แต่ก็ถูกรบกวนจากเจ้ามังกรนี้
แหละ ซึ่งมันยังใช้เล่ห์เพทุบายตวัดหางเล่นงานข้าราชบริพารของพระองค์ไปเสีย 1 ใน 3 ดังกล่าว
ลูกเล่นของซาตานในศตวรรษที่ 20 ก็คือ "พระเจ้าตายไปแล้ว" "นรกว่างเปล่าไม่มีใครรับโทษในนั้น"
จึงตกเป็นภาระของแม่พระที่ต้องลงมาเตือนมนุษย์ให้ กลับใจใช้โทษบาป! กลับใจใช้โทษบาป!
กลับใจใช้โทษบาป! พระสันตะปาปาทรงพระดำเนินผ่านเมืองใหญ่ที่ถูกทำลายไปครึ่งเมืองใหญ่ นี้
หมายถึงพระศาสนจักรคาทอลิก เพราะมีกางเขนใหญ่เป็นแบ๊กกราวด์ที่ถูกทำลายไปครึ่งเมือง เพราะ
ฤทธิ์เดชมังกร ซึ่งใช้หางของมันตวัดดวงดาว อันหมายถึง นักบวชในพระศาสนจักรตกลงมายัง
แผ่นดินเสีย 1 ใน 3
          พระสันตะปาปาทรงสวดอุทิศแก่ดวงวิญญาณของซากศพที่พบระหว่างทาง หมายถึง มนุษย์ที่
ตายทางจิตวิญญาณ ครั้นถึงยอดเขาพระสันตะปาปาทรงคุกเข่าที่เชิงไม้กางเขน ทรงถูกปลงพระชนม์
โดยทหารกลุ่มหนึ่ง (ไม่ใช่จากมือปืนเหี้ยมชาวตุรกีที่ชื่อ อาลี อัคคา เมื่อปี 1981) พระองค์ถูกยิงด้วย
ลูกปืน และลูกธนูจนสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ระทึกขวัญนี้ยังไม่เกิดขึ้น
       ส่วนวลี ยิงด้วยลูกธนู จะขอหยิบยกคำกล่าวของพระสังฆราช กอร์ราโต บัลดุจชี (Corrado Balducci)
ลงในสัปดาห์สาร L'Osservatore della Domenica ฉบับ 41/1978 ซึ่งออกก่อนวันเลือกพระสันตะปาปา
องค์ปัจจุบัน (โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2) เพียงหนึ่งวัน ซึ่งวิเคราะห์ถึงพระสันตะปาปาที่จะได้รับเลือกตั้งกับ
ความลับฟาติมา ข้อที่ 3 ... หากจะวิเคราะห์ความลับนี้ไปในทางลบ... เป็นไปได้ไหมที่จะเกิดสงครามโลก
ครั้งใหม่? และถามไปอีกหน่อย : ใครเป็นยอดอัจฉริยะที่จะเชื่อว่า สงครามในอนาคตจะไม่ปะทะกันด้วย
อาวุธนิวเคลียร์? ถ้าในท้ายที่สุด เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นจริงขึ้นมา เราก็จะต้องใช้อาวุธอันทรงพลัง
ชิ้นสุดท้าย และทันสมัยที่สุด เราก็จะมาถึงยุควิวรณ์ (Apocalypse คือ การเปิดเผยถึงมหาวิปโยคตอนสิ้นยุค)
โดยไม่มีการโหมโรง มนุษยชาติก็ถึงการล่มสลาย จะถึงการทำลายล้างอย่างสิ้นซากโดยน้ำมือของมนุษย์เอง
เมื่อถึงตรงนี้คงจะจำคำพูดของไอน์สไตน์ได้ ตอนที่มีคนถามความเห็นของเราถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่อาจ
เกิดขึ้น เขาตอบว่า "ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่คือ หากเกิดสงครามโลกอีกครั้งหนึ่ง (ครั้งที่ 4)
แน่นอนที่เดียวคนจะรบกันด้วยคันธนูและลูกศร
          หลังจากพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์แล้ว บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง และฆราวาส
อีกมากมาย... ก็สิ้นชีวิตไปคนแล้วคนเล่า ขอย้ำว่าคนเหล่านี้จะสิ้นชีวิตหลังจากพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์
ซึ่งเหตุการณ์ยังไม่ได้เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ซึ่งชาวคริสต์เรียกการเบียดเบียนที่เป็นระบบ ซึ่งมีจุด
ประสงค์จะถอนรากถอนโคนพระศาสนา ความลับข้อที่ 3 นี้แสดงถึงองค์ประกอบต่างๆ แห่งการเบียดเบียนนี้
ถึงแม้จะไม่โดยตรงนักแต่เป็นไปแบบอ้อมๆ ถึงแอนตีไครสต์ และในยุคของแอนตีไครสต์ ในสารที่พระแม่มอบ
ให้ที่ฟาติมา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1995 แก่บาทหลวงกอบบี ดังนี้ : สำหรับเหตุการณ์นี้ในวันนี้ ณ สถานที่แม่
ได้ปรากฏมาพบเด็กทั้ง 3 คนนั้น แม่ต้องการเผยความลับของแม่แก่พวกลูกว่า ความลับของแม่เกี่ยวข้อง
โดยตรงกับพระศาสนจักรคาทอลิก : การละทิ้งความเชื่อ (Apostasy) ครั้งมโหฬารจะเข้ามาอย่างครบถ้วน
ในพระศาสนจักร แล้วจะแพร่กระจายไปทั่วโลก สังฆเภท (การแตกแยก) จะสำเร็จเสร็จสิ้นไปสู่การก้าวห่าง
ออกไปครั้งใหญ่จากพระวรสาร (พระธรรมคำสอนของพระเยซูบันทึกจากบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์) และ
จากความเชื่อที่แท้จริง มนุษย์อสัตยธรรมจะเข้าไปในพระศาสนจักร มันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ มันจะนำ
ความบัดสีบัดเถลิง ความชั่วช้าอนาจารอันน่าสะอิดสะเอียนเข้าสู่พระศาสนจักร ดังนี้ มันก็จะทำให้การทำนาย
ของมหาบุรุษดาเนียลที่กล่าวถึงการทุราจารขั้นอุกฤษฏ์สำเร็จไป (มัทธิว 24 : 15)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2023 8:28 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 45 )👈

✴️~ ความลับฟาติมาข้อที่ 3 (C) ~✴️
          ความลับของแม่เกี่ยวกับมนุษยชาติ : มนุษยชาติจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดแห่งความเสื่อมเสีย
และความชั่วร้าย และถึงสุดยอดของการเป็นกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า และแห่งการอยู่ตรงข้ามอย่าง
เปิดเผยต่อบัญญัติแห่งความรักของพระองค์ มนุษยชาติจะสำเหนียกถึงช่วงเวลาแห่งการลงทัณฑ์
ครั้งใหญ่ของตัวเอง ซึ่งถูกทำนายไว้โดยประกาศก (เศคาริยาห์ 13 : 7 - 9) ใจความดังนี้ : พระเจ้า
ทรงมหิทธิเดชานุภาพ ตรัสว่า "ดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้นต่อสู้เมษบาล (คนเลี้ยงแกะ หมายถึง ชนชั้นปกครอง)
ของเรา จงต่อสู้ผู้ที่สนิทกับเรา จงตีเมษบาล และฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป เราจะกลับมือของเรา
ต่อสู้กับตัวเล็กตัวน้อย" พระเจ้าตรัสว่า "ทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องกำจัดเสีย ให้พินาศเสียสองในสาม และ
เหลือไว้หนึ่งในสาม"
          บาทหลวงอีวานลงความเห็นว่า แม่พระกำลังพูดถึง "ความลับข้อที่ 3" นั่นก็คือถึงยุคแอนตีไครสต์
และการชำระล้างครั้งใหญ่แห่งมนุษยชาติด้วยไฟ ดังสารของแม่พระผ่านบาทหลวงกอบบี
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1994 ว่า : พระเพลิงจะลงมาจากฟากฟ้าและมนุษยชาติจะถูกชำระล้างและถูกฟื้นฟู
ขึ้นมาใหม่ และดังนี้มนุษยชาติก็พร้อมที่จะต้อนรับพระเยซู ซึ่งจะเสด็จมาในความรุ่งเรือง"
(สารแม่พระผ่านบาทหลวงกอบบีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1994)
          ตอนจบของความลับข้อที่ 3 เราเห็นเทวดา 2 องค์ ถือโถน้ำเสกเป็นแก้วใสอยู่ในมือ เพื่อรองรับ
โลหิตบรรดาผู้พลีชีวิตเพื่อศาสนา และด้วยโลหิตนี้เทวดาก็ประพรมบรรดาวิญญาณซึ่งกำลังลอยขึ้นหา
พระผู้เป็นเจ้า
        นี่เป็นการเปิดเผยใหม่ : ผลพวงของความทุกข์ทรมานของบรรดาผู้พลีชีพเพื่อศาสนา
"Semen est sanguis christianorum" (Tertulino) มิติแรก : เนินกัลวาริโอ พระเยซูตรึงบนไม้กางเขน
แม่พระ ณ เชิงกางเขน การปะทะระหว่างพระเยซูกับแอนตีไครสต์ พระศาสนาจักรถูกตรึงกางเขน
พระสันตะปาปาตรัสว่า ท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินเดิมจะผ่านไป : "กางเขนบนเนินกอลโกธา คือ กางเขน
แห่งการไถ่บาป ในกางเขนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทั้งหมดจะถูกแสดงออกมา ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ในเวลาเดียวกัน ก็คือ ประวัติศาสตร์ของบาปและความทุกข์ทรมาน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1991
พระสันตะปาปาทรงเผยมิติที่ 2 ด้วยมิตินี้พระองค์ทรงขยายความไปถึงขอบฟ้าของความลับข้อที่ 3"
โดยอาศัยกางเขนของพระบุตรของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงย้ำมาทุกๆ ชั่วคนว่า ดูซิ : เราทำทุกสิ่งขึ้น
มาใหม่ ฟ้าและแผ่นดินเดิมจะผ่านพ้นไปเรื่อยๆ...โดนอาศัยกางเขนบนเนินกอลโกธา นครศักดิ์สิทธิ์
เยรูซาเล็มใหม่ จะเลื่อนลอยลงมาจากพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและของโลก
          กางเขนอันมลังเมลือง ซึ่งจะปรากฏบนท้องฟ้าตอนสิ้นสุดการชำระล้างและมหาวิปโยคครั้งใหญ่
จะเป็นประตูที่เปิดสู่หลุมฝังศพของมนุษยชาติที่มืดมิดในอุโมงค์ลึก ประตูที่ว่านี้จะนำมนุษยชาติไปสู่
อาณาจักรใหม่แห่งชีวิต ซึ่งพระเยซูจะเป็นผู้นำมาในวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมา
          การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเปลวเพลิง : เปลวเพลิง เป็นเครื่องหมายแห่งการแสดงองค์
ของพระผู้เป็นเจ้า (Theophany) ขอให้ดูพระคัมภีร์อิสยาห์บทที่ 66 : 15 "ดูซิ พระเจ้าจะเสด็จมาด้วยไฟ
และรถรบของพระองค์เหมือนลมพายุ เพื่อสนองเขาด้วยความกริ้วของพระองค์อย่างเกรี้ยวกราด และด้วย
การขนาบของพระองค์พร้อมด้วยเปลวเพลิง" จะมีการล้างโลกครั้งใหญ่ เมื่อวันอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะ
ทอแสงเจิดจ้า นักบุญอิเรเนโอยังกล่าวถึงทะเลเพลิงมหาวินาศ ซึ่งพระเยซูจะใช้ชำระล้างโลกทั้งหมด
เพื่อจะสถาปนาอาณาจักรอันรุ่งโรจน์บนโลกนี้ นักบุญอาโกสติโนได้กล่าวไว้ในกิจการลือชื่อของท่าน
"นครของพระเจ้า" พรรณนาถึงการเบียดเบียนพระศาสนจักร ในยุคของแอนตีไครสต์จะมาจากภายนอก
และจากภายในเอง แล้วหยิบยกพระวิวรณ์บทที่ 20 : 9 "ไฟจะลงมาจากฟากฟ้า และเผาผลาญบรรดาศัตรู
ที่โหดร้ายของพระศาสนา"
          "องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายแอนตีไครสต์ ด้วยลมจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะปราบมันจน
สิ้นซากคราวที่พระองค์จะเสด็จมา" (2 ธส 2 : 8)
          สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงแสดงสุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์
ไม่นาน เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1958 พระองค์ทรงพลิ้วทางจิตวิญญาณได้สูงส่งเหนือกาลเวลา รู้สึกพระองค์
จะทรงเคลื่อนไปในทางแห่งความลับฟาติมาข้อที่ 3 ทีเดียว พระองค์ทรงพยากรณ์ว่า หลังจากฤดูหนาวอัน
ยืนยาวของปัจจุบัน ก็จะมาถึงฤดูร้อนที่สดใส และอุดมสมบูรณ์ : "ฤดูร้อนเข้ามาใกล้แล้ว (มัทธิว 24 : 32)
พระองค์ทรงบอกใบ้ถึงฤดูหนาว ปัจจุบันนี้ก็คือฤดูหนาวแห่งวิวรณ์ (คือมหาวิปโยคก่อนสิ้นยุค) ซึ่งจะเดิน
มาก่อนการเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองของพระองค์ แล้วโป๊ปได้กล่าวทิ้งท้ายว่า "ความผิดสมัยใหม่พันๆ ข้อไ
ด้ถูกลงโทษจากความล้มเหลวของพวกเขาเอง... ความผิดอื่นๆ ก็ควรจะต้องหายไปและตำแหน่งสูงๆ
ก็ควรจะตกลงมาด้วย... ความพินาศจะสั่นสะท้านมากน้อยแค่ใด ก็ขึ้นกับว่าความกล้าที่จะแข่งกับพระเจ้า
มากน้อยแค่ไหน ฤดูร้อนจะมาถึงแน่ๆ แผ่นดินที่อาบน้ำด้วยน้ำตาจะยิ้มกับไข่มุกแห่งความรัก และแผ่นดิน
ที่ชุ่มด้วยเลือดของผู้พลีชีพเพื่อพระศาสนาจะแตกรากแตกใบเป็นคริสตชน"
(บาทหลวงอีวาน โปยาฟนิค 26 มิถุนายน 2001)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 13, 2023 12:06 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (46)👈

✴️~ ความลับ (ฟาติมา) ข้อ 3 คือ (A) ~✴️
        
  พอดีไม่กี่วันมานี้ได้รับนิตยสาร Fatima Crusader จากแคนาดา พบบทความหนึ่งที่กล่าวพาดพิงถึง
โป๊ปองค์ก่อน จอห์น พอล ที่ 2 โป๊ปองค์ปัจจุบัน เบเนดิกต์ ที่ 16 และโป๊ปองค์ต่อไป บทความนี้มีชื่อว่า
The Third Secret Predicts : World War III and Worse? เป็นการสัมภาษณ์ของนิตยสาร
Fatima Crisader (F.C.) กับบาทหลวง Paul Kramer :
                          อารัมภบท
    คุณแม่อธิการิณี Angelica ได้กล่าวกับผู้ชมทางรายการโทรทัศน์ Eternal World Television Network
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2001 หลังจากได้รับการเปิดเผยจากวาติกันถึงความลับฟาติมาข้อที่ 3
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2000 ว่า :
      เกี่ยวกับความลับข้อ 3 ดิฉันก็เหมือนกันคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่า เราไม่ได้รับการเปิดเผยความลับทั้งหมด
เพราะดิฉันคิดว่ามันน่ากลัวมาก...
      คุณแม่อันเจลิกาก็เหมือนกับชาวคาทอลิกล้านๆ คนทั่วโลก รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อว่าภาพนิมิตที่อึมครึมที่ว่า
"สังฆราชสวมชุดขาวที่เดินกระเซอะกระเซิงฝ่าร่างของบรรดาพระสังฆราช บาทหลวง และฆราวาสที่นอนระเน
ระนาดในเมืองที่พังพินาศไปถึงครึ่งเมือง และแล้วพระสังฆราชในชุดขาว
(โดยปกติบาทหลวงจะแต่งชุดดำ พระสังฆราชแต่งชุดสีม่วง พระคาร์ดินัลสีแดงเลือดนก และพระสันตะปาปา
แต่งชุดขาว พระสันตะปาปาเป็นประมุขสูงสุดของชาวคริสต์โรมันคาทอลิกของพระศาสนจักร และมีตำแหน่ง
พระสังฆราชของคริสตชนชาวกรุงโรมโดยตำแหน่ง) และแล้วพระสังฆราชชุดขาวก็ถูกสังหารจากกลุ่มทหาร...
นี่คือความลับที่ถูกวาติกันปิดบังไว้นานกว่า 80 ปี แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งในถ้อยคำของแม่พระ ซึ่งเป็นคำอธิบาย
นิมิตของแม่พระนี้ว่า โป๊ปและบรรดาพระสังฆราชจะถูกสังหารหมู่อย่างไร? และที่ว่าถูกทำลายล้างไปครึ่ง
เมืองนั้น คงมิใช่เมืองอื่นใดที่ไหนคงจะเป็นกรุงโรม ซึ่งโป๊ปทรงต้องกระเซอะกระเซิงดำเนินข้ามกองศพ
แล้วทรงหลบหนีพร้อมข้าราชบริพารของพระองค์ไปจากกรุงโรมนั่นเอง ดังที่โป๊ป ปีโอ ที่ 10 ได้ตรัสว่า
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นในภาพนิมิตครั้งหนึ่งว่า โป๊ปในอนาคตจะทรงพระดำเนินข้ามกองศพของบรรดา
พระสังฆราช และมวลสัตบุรุษนั่นเอง
          บาทหลวงพอล เครเมอร์ ซึ่งได้ศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมกรณีแวดล้อมของความลับฟาติมา
ข้อที่ 3 เป็นเวลานาน 35 ปี ยอมรับกับคุณแม่อันเจลิกาว่าความลับฟาติมาข้อที่ 3 นั้นน่ากลัว
และน่าสยดสยองพองเกล้ามากกว่าที่ชาวคาทอลิกทั่วไปรับรู้มา
          บาทหลวง เครเมอร์ ได้สรุปความลับข้อ 3 จากการวิเคราะห์ว่าเป็นการทำนายถึงการละทิ้งศาสนา
ขอบคุณ(Apostasy) ในพระศาสนจักร ซึ่งจะเริ่มต้นจากผู้มีอันดับสูงๆ ของพระศาสนจักร ตามการเปิดเผย
ของพระคาร์ดินัล ชัปปี (Ciappi) นักเทววิทยาประจำองค์พระสันตะปาปาติดต่อกันถึง 5 พระองค์
(นับตั้งแต่โป๊ป ปีโอ ที่ 12 จนถึง จอห์น พอล ที่ 2) ซึ่งได้อ่านความลับนี้ และในความลับนี้ได้ชี้อย่างชัดเจน
พร้อมๆ กับนักวิชาการเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับความลับฟาติมา ถ้อยคำของแม่พระเริ่มด้วยการกล่าวว่า ใน
ประเทศโปรตุเกส หลักความเชื่อสำคัญ (Dogma) ยังคงรักษาไว้ได้ตลอดไป และซิสเตอร์ ลูเซีย ได้เพิ่มวลีว่า ...
และอื่นๆ (ฯลฯ) เพื่อชี้ให้เห็นว่ายังมีประโยคอื่นๆ อีกในความลับข้อ 3 นั้น
          นอกจากนี้ บาทหลวงเครเมอร์ยังกล่าวอีกว่า ถ้อยคำของแม่พระยังถูกปิดบังจากวาติกันในปี 1960
จริงๆ แล้วได้อธิบายว่าโป๊ปถูกสังหารในบริเวณนอกๆ เมือง ท่ามกลางเมืองที่ถูกทำลายล้างไปกว่าครึ่ง
นั่นเป็นเหตุการณ์ชั้นสุดยอดในบรรดาหลายๆ เหตุการณ์ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง มิใช่เรียกประชุมสังคายนา
วาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งถูกจี้จากกลุ่มเสรีนิยม ผู้ชื่นชมความทันสมัยภายในโครงสร้างของพระศาสนจักร
โดยเฉพาะผลที่ตามมาของสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 ความลับข้อ 3 ยังได้ทำนายถึงสิ่งซึ่งพวกเรากำลัง
ใช้ชีวิตในปัจจุบัน เช่นผลที่ตามมาในทางลบของวาติกันที่ 2 ความลับข้อ 3 ยังทำนายว่า สงครามโลกครั้งที่ 3
จะทำให้กรุงโรมพังพินาศ ในการให้สัมภาษณ์ Fatima Crusader ของบาทหลวงเครเมอร์ จะแสดงว่าถ้อยคำ
ของแม่พระที่ตกหล่นนั้น จะได้รับการเติมให้เต็มจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออันเป็นปริศนา โดยเฉพาะจาก
โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เอง ขอให้ผู้อ่านพินิจพิจารณาพร้อมภาวนาในใจ การวิเคราะห์วิจัยในเสียงเพรียก
ของคำทำนายคาทอลิก ซึ่งจะบอกถึงอนาคตอันใกล้นี่เอง
          หมายเหตุ การให้สัมภาษณ์ของบาทหลวงเครเมอร์ครั้งนี้ ผมรู้สึกมีความจำเป็นจะต้องฟื้นความเข้าใจ
ที่ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อ่านบทความประเภทนี้เป็นครั้งแรก
          1. ความลับฟาติมาข้อที่ 3 ประวัติย่อๆ มีดังนี้ เมื่อแม่พระเห็นภัยทางจิตวิญญาณแก่ชาวโปรตุเกส
เพราะลัทธิฟรีเมซอน หลังจากประสบชัยชนะในฝรั่งเศส เมื่อปี 1789 ก็จะเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมือง
ในโปรตุเกส และกระทำสำเร็จในปี 1910 แล้วแม่พระยังเห็นภัยที่ร้ายแรงกว่ากำลังคืบคลานเข้าในรัสเซีย
นั่นก็คือระบอบคอมมิวนิสต์จะปฏิวัติในปลายปี 1917 แม่พระจึงได้ปรากฏมาพบเด็กเลี้ยงแกะ 3 คนที่ฟาติมา
โปรตุเกส ในเดือนพฤษภาคม 1917 (ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 - 1918) แม่พระได้มอบสาร
แก่เด็กๆ 3 ข้อ
ข้อที่ 1 ถ้าโลกกลับตัวกลับใจ สงครามจะสิ้นสุดในไม่ช้า ซึ่งสงครามก็สิ้นสุดในปี 1918
ข้อที่ 2 หากมนุษย์ยังหมกมุ่นในบาปจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขอให้สังเกตแสงประหลาดจะเกิดขึ้น
ทางยุโรปเหนือ แล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1938 ก็ได้เกิดแสงประหลาดขึ้นจริง แล้วในปี 1939 ก็เกิด
สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนสาร
ข้อที่ 3 ซึ่งภายหลังเรียกว่าความลับข้อที่ 3 เนื่องจากแม่พระขอให้เก็บไว้เป็นความลับจนถึงปี 1960
(ผู้คนจึงจะเข้าใจกระจ่างขึ้น) โป๊ป จอห์น ที่ 23 ในปี 1960 ก็ทรงมิกล้าเปิดเผยความลับนี้ และโป๊ปต่อๆ มา
ก็ยังมิกล้าเปิดเผย จนกระทั่งโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เพิ่งจะทรงยอมเปิดเผยหลังจากทรงครองพระอาสน์
มาอีก 22 ปี จึงทรงเปิดเผยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2000

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 14, 2023 7:51 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 47 )👈

✴️~ ความลับ (ฟาติมา) ข้อ 3 คือ (B) ~✴️

          2. การถวายประเทศรัสเซียแก่แม่พระ แม่พระได้ขอร้องผ่านเด็กทั้งสาม ให้โป๊ปพร้อมด้วย
บรรดาพระสังฆราชทั่วโลกประกอบพิธีอย่างเป็นทางการที่สง่างาม เพื่อถวายประเทศรัสเซียแก่
แม่พระ แล้วรัสเซียจะกลับใจมาเป็นคริสตชนดังเดิม แต่โป๊ป จอห์น ที่ 23 ในปี 1962 ได้ทรงเปิด
สังคายนาวาติกันที่ 2 ได้ทรงเชื้อเชิญโป๊ปนิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย เพื่อไปร่วมสังคายนาที่กรุงโรม
รัฐบาลคอมมิวนิสต์รัสเซีย O.K. แต่มีข้อแม้ว่าอย่าให้วาติกันประณามลัทธิคอมมิวนิสต์ วาติกันก็
ตอบ O.K. จึงมีเงื่อนไขตั้งแต่นั้นมาว่าจะไม่ประณามลัทธิคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นการถวาย
รัสเซียแก่แม่พระก็เป็นเสมือนการประณาม หรือประจานลัทธิคอมมิวนิสต์ และเพื่อรักษามรรยาททาง
การทูต วาติกันจึงยังไม่ได้กระทำตามที่แม่พระขอร้องด้วยประการฉะนี้
          Fatima Crusader สัมภาษณ์บาทหลวงเครเมอร์
Fatima Crusader (F.C.) ทำไมท่านจึงคิดว่าความลับฟาติมาข้อ 3 เปิดเผยอะไรที่มาก กว่าการละทิ้ง
ศาสนาในพระศาสนจักร เริ่มต้นจากบุคลากรชั้นนำเลยทีเดียว ตามที่ท่านคาร์ดินัล ชับปี ได้เปิดเผยนั้น
เป็นความจริงแค่ไหน?
          บาทหลวงเครเมอร์ : ก่อนอื่นหมด ความลับข้อ 3 ใน "นิมิต" ได้ถูกเปิดเผยโดยวาติกันเมื่อเดือน
มิถุนายน 2000 เปิดเผยหายนะทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ : บรรดาพระสังฆราช บาทหลวง นักบวช
และฆราวาสทุกหมู่เหล่า ถูกฆ่าหมู่ บ้านเมืองพังพินาศ และโป๊ปถูกสังหารโดยกลุ่มทหาร
ณ เชิงกางเขนไม้ บริเวณนอกเมืองที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง
          ให้เราฟื้นความทรงจำถึงพระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ (ปัจจุบันคือโป๊ปเบเนดิกต์ ที่ 16) ได้เปิดเผย
เมื่อปี 1984 ด้วยการให้สัมภาษณ์นิตยสาร Jesus ซึ่งในนิตยสารนี้ ท่านเสวนาถึงความลับข้อ 3 ซึ่งท่าน
ยอมรับว่าท่านได้อ่านมันแล้ว ในการให้สัมภาษณ์นั้นท่านกล่าวได้เปิดเผยไปมากกว่าที่ได้ตั้งใจไว้ด้วยซ้ำ
ท่านรวม 3 เหตุการณ์เข้าด้วยกันดังนี้ ความลับข้อ 3 พระคัมภีร์และการปรากฏของพระแม่มารีย์ หลายครั้ง
ที่ได้รับการรับรองจากพระศาสนจักรว่าเป็นเรื่องจริง ตามที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อ 1984 ผมขอหยิบยกคำพูด
ของท่านโดยไม่ตัดทอนอะไรเลยดังนี้ - สิ่งที่บันทึกในความลับข้อ 3 สอดคล้องกับเรื่องที่มีบันทึก
ในพระคัมภีร์อยู่แล้ว และได้ถูกนำมากล่าวแล้วกล่าวอีกจากแม่พระทุกครั้งที่ปรากฏมา...
          ดังนั้นจึงไม่มีความสงสัยใดๆ เพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของโป๊ป เบเนดิกต์ ที่ 16 เอง
นั่นก็คือสิ่งซึ่งอยู่ในความลับข้อ 3 สอดคล้องกับสิ่งที่ระบุในพระคัมภีร์ ซึ่งถูกเปิดเผยครั้งแล้วครั้งเล่า
ในคราวที่แม่พระปรากฏมา นี่คือกุญแจของเรา
          ณ ที่นี้มันชัดเจนแล้วว่านิมิตที่ว่า "พระสังฆราชที่แต่งชุดขาว" นั้นไม่กระจ่างพอที่จะให้ความหมาย
ในตัวมันเอง หากปราศจากคำอธิบายจากแม่พระ หากปราศจากบางส่วนจากพระคัมภีร์ หรือปราศจาก
การปรากฏมาหลายครั้งของแม่พระ ซึ่งโป๊ปองค์ปัจจุบันทรงแจกแจงตอนที่พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่ง
พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ จริงๆ แล้วไม่ว่าในการปรากฏมาครั้งใดของแม่พระ แม่พระได้ระบุถึงโป๊ปว่าถูก
สังหารนอกเมือง ซึ่งถูกทำลายอย่างย่อยยับไปกว่าครึ่งเมือง ดังนั้น เรารู้แล้วว่ามีบางอย่างขาดหายไป
จากการเปิดเผยของวาติกัน เมื่อเดือนมิถุนายน 2000
          F.C. : ฉะนั้นเราจะไปพบส่วนที่ขาดหายไปได้ที่ไหน?
          บาทหลวงเครเมอร์ : เราเริ่มค้นหาด้วยการศึกษาจากสิ่งที่บุคคลอื่นๆ ได้อ่าน ความลับข้อ 3
ได้กล่าวถึง และเขาเหล่านั้นจะบอกเราบางสิ่งบางอย่างอันจะเป็นเสมือนร่องรอยที่เป็นประโยชน์ อันจะ
สามารถเอาไปปะติดปะต่อถึงเรื่องอื่นได้ ตัวอย่างเช่น บาทหลวงมาลาคี มาร์ติน ผู้ล่วงลับได้อ่านความลับนี้
ผมได้ยินเรื่องหนึ่งเล่าโดยเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา วันหนึ่งในปี 1960 มาร์ติน ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาฯ
ส่วนตัวของพระคาร์ดินัล เบอา ที่กรุงโรม ได้นั่งรถไปกับโป๊ป จอห์น ที่ 23 และพระคาร์ดินัล เบอา ฉะนั้น
ในรถนั้นจะมี 4 บุคคล คือ โชเฟอร์, โป๊ปจอห์น, พระคาร์ดินัลเบอา และมาร์ติน ทีนี้เนื่องด้วยมาร์ตินเป็น
เลขาฯ ส่วนตัวของพระคาร์ดินัลเบอา และเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดกับโป๊ป จอห์น ที่ 23 มันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์
ทีเดียวที่มาร์ตินพบตนเองในสภาพเช่นนี้ และระหว่างนั่งในรถ โป๊ปจอห์น เองในวันนั้น ณ ปี 1960 ทรงส่ง
ความลับนั้นให้มาร์ติน ซึ่งความลับนั้นถูกเขียนอยู่ในกระดาษแผ่นเดียว ไม่ใช่ 4 แผ่นที่วาติกันจัดทำขึ้นใหม่
ในปี 2000 มาร์ตินได้อ่านความลับทันที และในหลายโอกาสหลังจากนั้นเขาก็ได้พูดถึงความลับ ถึงแม้ว่า
เขาได้สาบานที่จะไม่แพร่ความลับนั้นอย่างจะแจ้ง เมื่อมีคนเอ่ยพาดพิงถึงความลับเขาเพียงจะเผยแค่
ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น
          F.C. : ท่านจะหาตัวอย่างที่เกี่ยวพันกับความลับนี้หน่อยได้ไหม?
          บาทหลวงเครเมอร์ : ใช่แล้ว โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ทรงให้ร่องรอยว่าอะไรคือข้อความที่มีอยู่
ในความลับนั้นแก่พวกเรา ณ เดือนพฤศจิกายน 1980 พระองค์เสด็จเยี่ยมเยอรมนี ณ อาสนวิหาร
เมืองฟุลดา และ ณ ที่นั้น พระองค์ตรัสถึงความลับข้อ 3 ให้กลุ่มคนเล็กๆ ฟัง มีผู้ถามพระองค์ว่าทำไมจึง
ไม่ทรงยอมเปิดเผยความลับเสียที แล้วพระองค์ก็ประทานคำตอบบางข้อ
          ข้อแรกโป๊ปตรัสว่า ความลับนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย เพราะเมื่อรู้แล้วก็จะต้องรับผิดชอบด้วย เพราะมี
คนมากมายต้องการรู้ด้วยเหตุผลเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นเพื่อจะหลีกเลี่ยงความหวือหวา
ตื่นเต้น พระองค์จึงไม่ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยข้อความของความลับข้อ 3 นี้
          แต่ในขณะนั้น และขณะนี้เราเริ่มเห็นว่า ความลับนั้นพัวพันมากไปกว่าการละทิ้งศาสนา (Apostasy)
ในพระศาสนจักร พระองค์ยังตรัสอีกว่าเป็นการพอเพียงสำหรับพวกท่านที่จะรู้ว่า ทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกจะ
ถูกน้ำท่วมหมด ผู้คนจำนวนมากเป็นล้านๆ จะตายไปอย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่าไปเรื่อยๆ
          F.C. :โป๊ปได้ตรัสอะไรอีกหรือเปล่าที่เมืองฟุลดานี้?
       บาทหลวงเครเมอร์ : ยังมีอีก พระองค์ตรัสว่า ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่พระองค์ไม่ทรงมีพระประสงค์จะเปิด
เผยความลับข้อ 3 และข้อนี้จะเป็นกุญแจอันหนึ่งที่จะไขอะไรบางอย่างที่ผมพยายามสืบหาถึงปัญหานี้ เป็น
สิ่งนั้นที่พระองค์ไม่ทรงมีพระประสงค์จะผลักดันให้พวกคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวไปสู่บางอย่างนี่แหละ
คือการเคลื่อนไหวสู่อะไรบางอย่างที่พระองค์ทรงอ้างถึง เราอาจคาดคะเนอย่างชัดเจนว่า สิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะ
ผลักดันให้พวกคอมมิวนิสต์ คือการเปิดเผยว่า พวกคอมมิวนิสต์จะมีชัยชนะสงครามโลก ซึ่งมาร์ตินได้อ้าง
ถึงคราวที่ถูกสัมภาษณ์ในรายการ Art Bell

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ม.ค. 15, 2023 8:21 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 48 )👈

✴️~ ความลับ (ฟาติมา) ข้อ 3 คือ (C) ~✴️
       
   F.C. : แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่โป๊ปตรัสที่ฟุลดานั้นจริงแท้แค่ไหน?
          บาทหลวงเตรเมอร์ : บางคนได้ตั้งคำถามว่า โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ทรงเผยข้อความ
ในความลับข้อ 3 ณ เมืองฟุลดา จริงหรือไม่ ข้อสงสัยนี้หมดไปทันทีเพราะข้อหนึ่ง มีนักข่าวหญิง
ได้เก็บพระดำรัสของโป๊ป และได้ถ่ายทอดพิมพ์ลงในนิตรสาร Stimme des Glaubens
(เสียงแห่งศรัทธา) วาติกันไม่เคยสอบถามถึงความถูกต้องของบทความนั้น แล้วยังมีสักขีพยาน
ที่ 2 บาทหลวง ชาวเยอรมันท่านหนึ่ง ซึ่งได้เขียนพระดำรัสที่โป๊ปได้ตรัสในโอกาสนั้นชนิดคำต่อคำ
และหลังจากนั้นเขาได้กล่าวกับโป๊ปว่า เขาได้จดบันทึกข้อความนี้ไว้ทั้งหมด แล้วโป๊ปก็ขอบใจเขา
ที่ได้บันทึกเอาไว้
          ทีนี้ ผมเองพูดและอ่านภาษาเยอรมันจากต้นฉบับที่ถูกบันทึกโดยบาทหลวงชาวเยอรมัน
เมื่อผมเดินทางไปใกล้เมืองฟุลดาอีกครั้งเมื่อปี 1983 คุณแม่อธิการิณีของกลุ่มซิสเตอร์ได้เอาต้นฉบับ
ออกมาอวดผม มันเหมือน กันเป๊ะกับต้นฉบับที่นักข่าวหญิงได้พิมพ์เผยแพร่ ดังนั้น บาทหลวงเยอรมัน
และนักข่าวหญิงได้มอบพยานวัตถุที่เหมือนกันอย่างไม่มีอะไรเพี้ยนไปเลย เกี่ยวกับเรื่องที่โป๊ปได้ตรัส
ที่ฟุลดา ดังนั้น ไม่ว่าเขาทั้งสองจะจดบันทึกพระดำรัสของโป๊ปด้วยการจดชวเลข หรือบันทึกเทป มันก็
ออกมาเหมือนกัน ดังนั้น ผมไม่คิดว่าจะมีการท้าทายอะไรหนักหนา ถึงความจริงแท้ของพระดำรัสของ
โป๊ปที่เมืองฟุล ดา
          F.C : แต่ว่าการเปิดเผยที่เมืองฟุลดาจะสอดคล้องกับพระคัมภีร์ และการปรากฏมาของแม่พระ
พร้อมสารต่างๆ ที่ท่านพระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์ อ้างถึงในปี 1984 ไหม?
          บาทหลวงเครเมอร์ : นี่เป็นชิ้นส่วนปริศนาของความลับข้อ 3 เริ่มต้นที่สอดคล้องกัน ข้อที่ 1
เหมือนกับการปรากฏของแม่พระครั้งอื่นๆ ท่านคาร์ดินัลรัตชิงเกอร์ได้กล่าวถึง เรามีประวัติการปรากฏ
มาของแม่พระ ที่รองรับของการปรากฏมาของแม่พระแห่ง Good Success ที่เมืองกีโต (Quito)
ประเทศเอกวาดอร์ ในปี 1634 แม่พระได้ทำนายว่า "จะมีการละทิ้งศาสนาครั้งใหญ่ (Great Apostasy)
ในพระศาสนจักร แม่พระได้กล่าวแก่คุณแม่อธิการิณี Mariana De Jesus Torress ว่าในท้ายๆ ของ
ศตวรรษที่ 19 และตลอดทั้งศตวรรษที่ 20 พระศาสนจักรจะเกิดความเชื่อผิดๆ เพี้ยนๆ จากความเชื่อ
ดั้งเดิม (heresy) การสมรสจะถูกโจมตีและถูกทำให้เสื่อมทราม ลัทธิเมซอนซึ่งจะมีอิทธิพลในขณะนั้น
จะกระทำให้กฎหมายไม่ยุติธรรม ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ศีลธรรมสลายไป ให้ทุกคนทำตัวสบายๆ
โดยไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ สนับสนุนให้เกิดลูกเกิดหลานโดยไม่ต้องไปทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
ในโบสถ์ ครั้งนั้นแม่พระเตือนว่า จิตตารมณ์ (Spirit) คริสตชนจะเน่าเฟะอย่างรวดเร็ว โดยดับแสงแห่ง
ความเชื่อ จนกระทั่งถึงจุดที่ว่าจะมีการฟอนเฟะของศีลธรรมทั่วไปและทั้งหมด จะเป็นผลให้ขาดบุคคล
ที่อยากจะอุทิศตัวเป็นนักบวช...."
          แม่พระแห่งกีโตยังได้เตือนเพิ่มเติมอีกว่า ระหว่างสมัยนี้ (ศตวรรษที่ 20) "ความบริสุทธิ์ของเด็กๆ
จะไม่มีใครพบอีกแล้ว ทั้งความสำรวมของพวกผู้หญิงก็จะหาไม่เจอ ไม่มีใครอยากจะใช้ชีวิตเป็น
ซิสเตอร์ บราเดอร์ บาทหลวง ที่ทำงานตามโบสถ์ เพราะบรรดาบาทหลวงจะไม่ใส่ใจในหน้าที่
อันศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว... ขาดพระชั้นผู้ใหญ่และบาทหลวง ที่จะนำผู้ที่สนใจจะใช้ชีวิตนักบวชด้วย
ความรัก อาทร ความเมตตา ความเข้มแข็ง ปรีชาญาณ และความรอบคอบเยี่ยงบิดา บรรดาบาทหลวง
มากมาย จะสูญเสียจิตตารมณ์ (Spirit) ปล่อยให้วิญญาณของพวกเขาอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง"
          แต่แล้วในเส้นทางขนานกับชัยชนะดวงหทัยนิรมลฯ แม่พระแห่งกีโตก็ประกาศว่า ยุคมืดแห่ง
ประวัติศาสตร์พระศาสนจักร "จะส่งสัญญาณถึงการมาถึงของแม่" และว่าพระเจ้าจะทรง "นำยุคชั่วร้าย
ให้จบลงในท้ายที่สุด โดยจะทรงส่งพระชั้นผู้ใหญ่มาให้แก่พระศาสนจักร ผู้ซึ่งจะฟื้นฟูจิตตารมณ์ของ
บรรดาบาทหลวงของพระศาสนจักร"
          ดังนั้น เราจะเห็น ณ ที่นี้ เส้นขนานที่ใกล้ชิดกับสิ่งซึ่งจะถูกเปิดเผยในความลับข้อ 3 เกี่ยวกับการ
ละทิ้งศาสนาของพระศาสนจักร ซึ่งจะตามมาด้วยการถวายรัสเซีย การกลับใจเข้าสู่ศาสนาของรัสเซีย
"ในท้ายที่สุด" ชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลฯ สิ่งนี้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟาติมาได้คาดคะเนไว้แล้วว่า
มันเกี่ยวข้องกับความลับข้อ 3

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 18, 2023 9:00 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 49 )👈

✴️~ แม่พระฟาติมากับรัฐบาลโลก (A) ~✴️
        ก่อนอื่นหมด มารู้จักประเทศโปรตุเกสกันสักหน่อย ซึ่งถือกันว่าล้าหลังที่สุดในบรรดาสหภาพยุโรป
แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจมากกว่าชาวอิตาลี หรือชาวฝรั่งเศส ชาวโปรตุเกสมีความศรัทธา
ต่อพระแม่มารีย์เป็นพิเศษ เพราะในอดีตแม่พระได้ช่วยให้ประเทศโปรตุเกสผ่านวิกฤติต่างๆ มาหลายครั้ง
หลายหน จนชาวโปรตุเกสพากันยกย่องแม่พระให้เป็นพระราชินีของประเทศโปรตุเกส ฉะนั้น กษัตริย์ของ
โปรตุเกสจึงไม่มีพิธีสวมมงกุฎ เพราะได้ให้เกียรติแม่พระเป็นพระราชินีของโปรตุเกสแล้ว
          แต่แล้วในปี 1910 พระเจ้า Chales กษัตริย์แห่งโปรตุเกสและพระราชโอรส Louis ก็ถูกพวกฟรีเมซอน
(Free - mason) ปลงพระชนม์ ระบบกษัตริย์อันยาวนานของโปรตุเกสก็ถึงกาลอวสาน
          และในวันที่ 26 พฤษภาคม 1911 หลังจากการเปลี่ยนแปลงจากระบบกษัตริย์ไปเป็นสาธารณรัฐได้
แค่ 6 เดือนครึ่ง ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโปรตุเกส นอกจากเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ใหม่แล้ว ยังได้เปิดที่ทำการใหญ่ของลัทธิฟรีเมซอน Free - mason โดยมีผู้แทนจากสำนักงานใหญ่จาก
ฝรั่งเศสมาเป็นประธานด้วย ขอถือโอกาสนี้เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของลัทธิฟรีเมซอน ศัพท์นี้
มาจากภาษาอังกฤษ mason น่าจะออกเสียง เมซัน แต่เนื่องจากผมพูดภาษาอิตาเลียนมากกว่าภาษา
อังกฤษ จึงมักมีสำเนียงกระเดียดไปทางภาษาอิตาเลียน
          สมาคมฟรีเมซอน มีกำเนิดมาจากการรวมสมาชิกของช่างก่อสร้างวิหารในสมัยกลาง วีรชนที่เป็น
แรงบันดาลใจให้ตั้งสมาคมนี้คือ ช่างก่อตึกอิสระ (Free - mason) ในปีค.ศ. 302 สมัยจักรพรรดิ
ดิโอคลีเซียน (Diocletian) มีช่างก่อตึกอิสระ 4 คน ได้ปฏิเสธที่จะแกะสลักเทวรูป (เพราะขัดกับศาสนา)
จึงถูกประหารชีวิต ช่างก่อตึกทั้งสี่นี้มีชื่อดังนี้ เกลาดิโอ (Claudio) นิกอสตราโต (Nicostrato)
ชินฟรอนิอาโน (Sinfroniano) และชิมปลิโช (Simplicio) ทั้งสี่คนนี้ได้รับเกียรติเป็นวีรชนของพวกช่าง
ก่อตึกอิสระ แล้วก็มีชมรมช่างก่อตึกเหล่านี้เรื่อยมา เป็น กลุ่มที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมเหนือกว่ากลุ่มอื่นๆ
และแพร่หลายออกไปทั่วโลก
          โดยผู้ก่อสร้างโบสถ์วิหาร ราชวัง จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดากษัตริย์และบรรดาผู้นำ
ศาสนา ทำให้พวกเขามีอุดมการณ์ร่วมกันในด้านความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ และศาสนจักร สำหรับ
การปกครองพวกฟรีเมซอน ไม่มีหน่วยบริหารศูนย์กลาง แต่กระจายกันอยู่เป็นเอกเทศ โดยได้รับการ
สนับสนุนจากบรรดากษัตริย์ และบรรดาผู้นำศาสนา บุคคลสำคัญในสังคมเข้าร่วมเป็นสมาชิกมากมาย
และเริ่มก่อตัวเป็นสมาคมที่อังกฤษ
          ในปี 1517 เกิดการปฏิวัติคริสตศาสนาโดยมาร์ติน ลูเธอร์ ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงลักษณะของ
สมาคมกลายไปเป็นด้านธุรกิจการค้า เมื่อมีนายทุนที่ดินเข้ามาเป็นสมาชิกในสมาคม สมาชิกที่เป็นช่าง
ก่อสร้างจริงๆ มีไม่กี่คน
          ในปี 1717 ที่ประเทศอังกฤษ สมาคมฟรีเมซอนได้ถีบตัวขึ้นเป็นสถาบัน มีการแต่งตั้งตำแหน่ง
Grand Lodge ชื่อ A. Skyers แต่ที่เด่นที่สุดก็คือ James Anderson สถาบันฟรีเมซอนนี้เป็นที่ยอมรับ
นับถือในวงการของคนชั้นสูงในยุโรปตั้งแต่ปี 1723 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์ใหญ่คือ เพื่อหางานให้
สมาชิกและบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม แต่จะต่อต้านนักบวชและศาสนาคริสต์คาทอลิก
          ในปี 1738 โป๊ปเคลเมนต์ที่ 12 ประณามฟรีเมซอน และห้ามชาวคาทอลิกเข้าร่วมสมาคมมาโซนิก
(Masonic) นอกจากนี้โป๊ปเบเนดิกต์ที่ 14,  ปีโอที่ 7, ปีโอที่ 9 และเลโอที่ 13 ก็ประกาศคว่ำบาตรสมาคม
ลับฟรีเมซอน ในปัจจุบันสมณกระทรวงพระสัจธรรม ณ ปี 1983 ระบุว่า ใครก็ตามเข้าเป็นสมาชิกมาโซนิก
ถือว่ากระทำบาปข้ออุกฉกรรจ์
          สมาคมลับ อิลลูมินาติ (illuminati)
          มีผู้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่มีแผนการที่จะทำให้มนุษยชาติทั้งโลกมีรัฐบาลโลกเพียงหนึ่งเดียว
          แผนการนี้เกิดขึ้นในทศวรรษที่ม1760 ภายใต้ชื่อ "อิลลูมินาติ" (illuminati) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย
นาย อดัม ไวส์เฮาท์ (Adam Weishaupt) ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดย International Bankers
          หลังจากนั้นเป็นต้นมา สงครามทุกครั้งที่เกิดขึ้น จะได้รับการสนับสนุนจากองค์การลับอิลลูมินาติ เ
ริ่มตั้งแต่การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสปี 1789 คำ "illuminati" นาย Weishaupt เองอธิบายว่า Lucifer
เป็นชื่อของหัวหน้าเทวดาที่กบฏกับพระเจ้า มีความหมายว่า "ผู้ถือแสงสว่าง" คำ illuminati
เป็นภาษาละติน แปลว่า "ผู้ได้รับแสงสว่าง"
          Weishaupt เป็นยิวเปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ ได้บวชเป็นบาทหลวงคาทอลิก ชั้นศาตราจารย์
แต่ได้แปรพักตร์ไปยึดอุดมการณ์ลูซิเฟอร์ ในปี 1770 เขาได้เขียนแผนแม่บทซึ่งสำเร็จเรียบร้อยเมื่อ
วันที่ 1 พฤษภาคม เพื่อให้เกียรติถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้ทุกๆ ปี วันนี้เป็นวันที่ Weishaupt ได้เขียน
แผนการณ์สำเร็จเรียบร้อยอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นแผนที่จะต้องทำลายรัฐบาลต่างๆ และศาสนาต่างๆ
ที่มีอยู่ จุดมุ่งหมายนี้จะสำเร็จลงได้ก็โดย แบ่งแยกมวลชนให้เป็นฝักเป็นฝ่ายที่ขัดแย้งกันทั้งในการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และประเด็นอื่นๆ ให้ทวีขึ้นเรื่อยๆ สภาพต่างๆ เหล่านี้เองที่เราพบเห็นในสหรัฐทุกวันนี้
ฝ่ายต่างๆ ที่ขัดแย้งกันจะต้องถูกติดอาวุธให้ และอุบัติเหตุต่างๆ จะต้องถูกทำให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นเหตุให้
พวกเขาสู้กัน และทำให้พวกเขาอ่อนแอลง นั่นก็เป็นการทำลายรัฐบาลของชาตินั้นๆ และสถาบันทาง
ศาสนาของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย
        แผนปฏิบัติการ ลักษณะสำคัญของแผนปฏิบัติการของ Weishaupt เรียกร้องให้สมาชิกอิลลูมินาติ
จะต้องกระทำสิ่งต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไปเพื่อให้พวกเขาบรรลุจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
          1. เงินและเซ็กซ์ จะต้องเป็นสินบนที่ถูกใช้เพื่อจะสามารถควบคุมคนที่ดำรงตำแหน่งสูงๆ ในหลายๆ
ระดับของบรรดารัฐบาลต่างๆ และองค์กรสำคัญอื่นๆ เมื่อมีผู้อิทธิพลเหล่านี้ติดกับแห่งความปลิ้นปล้อน
หลอกลวง และหลงใหลได้ปลื้มไปกับอิลลูมินาติแล้ว พวกเขาจะต้องถูกพันธนาการด้วยหลากหลายรูป
แบบแห่งการข่มขู่ เช่น ความพินาศฉิบหายทางการเงิน แฉบางเรื่องให้สาธารณชน ความไม่ปลอดภัย
ทางร่างกาย แม้กระทั่งความตายของพวกเขาเองหรือสมาชิกครอบครัว

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 18, 2023 9:06 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 50 )👈

✴️~ แม่พระฟาติมากับรัฐบาลโลก (B) ~✴️
         
2. สมาชิกอิลลูมินาติ ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องปลูกฝังนักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษ
ที่มาจากครอบครัวที่มีระดับ ด้วยการไปศึกษาระดับนานาชาติ และจะต้องแนะนำพวกเขาให้ได้รับ
การหาประสบการณ์ระดับนานาชาติ ประสบการณ์เช่นนี้จะถูกจัดหาให้ได้โดยการได้รับทุนการศึกษา
เช่น ทุน Rhodes หรือทุนการศึกษาอื่นๆ ซึ่งถูกจัดสรรโดยอิลลูมินาติ นักเรียนทุนทุกคนก่อนอื่นหมด
จะต้องถูกชักชวน และถูกทำให้มั่นใจว่า คนที่มีมันสมองและสติปัญญาขั้นอัจฉริยะจะต้องปกครองคน
ที่ด้อยปัญญากว่า ทั้งนี้เพราะเหตุว่า มวลชนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
          3. ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย ซึ่งถูกกับดักให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของอิลลูมินาติ รวมทั้ง
นักเรียนทุนซึ่งได้รับการศึกษาและอบรมพิศษ จะต้องถูกใช้เป็นตัวแทน และถูกวางตัวไว้หลังฉาก
ของรัฐบาลต่างๆ ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาจะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้บริหารระดับสูง ที่จะนำนโยบาย
ให้สอดรับแผนลับที่จะตั้งรัฐบาลโลกของอิลลูมินาติ และจัดการทำลายบรรดารัฐบาลและบรรดาศาสนา
ที่ได้ถูกกำหนด
          4. พวกเขาจะต้องสามารถควบคุมสื่อได้อย่างเด็ดขาด ข่าวสารทุกชนิดจะต้องถูกทำให้เอียง
ไปจนมวลชนมั่นใจว่า รัฐบาลหนึ่งเดียวของโลกนั้นจะเป็นเพียงคำตอบหนึ่งเดียวของสารพัดปัญหา
พวกเขาจะต้องเป็นเจ้าของและควบคุมทุกคลื่นวิทยุและทีวีทุกช่อง
          หลังจากได้อ่านยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว เราก็ต้องยอมรับว่าสื่อมวลชนถูกควบคุมในทุกๆ
ระดับ และยอมรับอีกว่ารัฐบาลในทุกๆ ระดับก็ถูกแทรกซึมและถูกควบคุม ช่างเหมือนที่ Weishaupt
ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ปี 1700 โชคไม่ดีที่มีบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงข้อนี้ ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่า ทำไม
พวกเขา เข้าใจเพียงเล็กน้อย ในบรรดาเหตุการณ์โลกที่กำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้
          ตอนนี้ให้เราลองถอยหลังกลับไปดูยุคแรกๆ ของอิลลูมินาติ
          โดยที่อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นสองมหาอำนาจโลก ในช่วงศตวรรษที่ 18 Weishaupt ได้สั่ง
ให้พวกอิลลูมินาติปลุกปั่นให้เกิดสงครามอาณานิคม รวมทั้งสงครามปลดแอกในอเมริกา เพื่อทำ
ให้จักรวรรดิอังกฤษอ่อนแอลง พวกอิลลูมินาติยังถูกสั่งให้ก่อการปฏิวัติในฝรั่งเศส เพื่อทำลาย
จักรวรรดิฝรั่งเศส
          ยุทธศาสตร์สำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ อิลลูมินาติจะต้องคุมระบบการเงินของชาติยุโรปทั้งหมด
          ก่อนหน้าที่ผลของการรบที่ waterloo ในเบลเยียมได้ถูกบิดเบือน บรรดานักการเงินได้กุเรื่อง
ให้แพร่ไปทั่วว่า นโปเลียนชนะสงครามครั้งนี้ ซึ่งได้นำความโกลาหลมาสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอังกฤษ
หุ้นทุกตัวได้ดิ่งลงติดพื้น พวก International Bankers  ได้ช้อนซื้อหุ้นเพียงหนึ่งเพนนีในมูลค่าของ
หนึ่งดอลลาร์ ซึ่งได้ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมเศรษฐกิจของบริเตนและของยุโรปทั้งหมด
          ทันทีหลังจากการประชุมที่เวียนนาได้ถูกจัดขึ้น จูเซปเป มัสสีนี ได้รับเลือกจาก อิลลูมินาติ
ให้นำโปรแกรมการปฏิวัติไปทั่วโลกก่อนเสียชีวิตในปี 1872 มัสสีนีก็ได้หลอกล่อให้นายพลอเมริกัน
ผู้หนึ่งชื่อ Abert Pike มาเข้ากลุ่มอิลลูมินาติ Pike หลงใหลได้ปลื้มกับความคิดเรื่องรัฐบาลโลก
และในท้ายที่สุดเขาได้กลายเป็นหัวหน้าของ Luciferian Conspiracy ระหว่างปี 1859 และ 1871
Pike ได้จัดทำพิมพ์เขียวทางทหารสำหรับสงครามโลก 3 ครั้ง ซึ่งเขาถือว่าจะสามารถนำแผนการนี้
ไปสู่ฉากสุดท้ายในศตวรรษที่ 20
          สงครามโลก ครั้งที่ 1 จะต้องถูกทำให้เกิดการสู้รบ เพื่อสามารถทำให้อิลลูมินาติทำลายระบบ
ซาร์ในรัสเซีย ตามที่ถูกอาฆาตจาก Inter - national Bankers หลังจากพระเจ้าซาร์ได้ทรงถล่ม
แผนการณ์ของเขา ณ การประชุมที่เวียนนา และจะต้องการเปลี่ยนรัสเซียให้เป็นที่มั่นของลัทธิคอมมิวนิสต์
อเทวนิยมให้จงได้ ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างอิลลูมินาติเยอรมัน และอิลลูมินาติอังกฤษได้ระเบิดขึ้น
ซึ่งจะถูกใช้สำหรับปลุกปั่นให้เกิดสงครามครั้งนี้ หลังจากสงครามนี้จะสิ้นสุดลง ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะผงาด
ขึ้นมา และถูกใช้ทำลายรัฐบาลอื่นๆ และจะทำให้ศาสนาอ่อนแอลง
          สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ และถ้าจำเป็นที่สงครามโลกครั้งที่ 2 นี้จะต้องถูกปลุกปั่นโดยใช้ความ
ขัดแย้งกันระหว่างพวกฟาสซิสต์กับไซโอนิสต์ ระหว่างสงครามครั้งที่ 2 คอมมิวนิสต์ระหว่างนานาชาติ
จะต้องถูกตั้งขึ้น จนมีกำลังเท่ากับกำลังของชาวคริสต์รวมกัน
          สงครามโลกครั้งที่ 3 จะต้องถูกปลุกปั่น โดยการใช้ความขัดแย้งกันของตัวแทนอิลลูมินาติ ที่จะก่อ
ให้เกิดขึ้นระหว่างพวกไซโอนิสต์และบรรดาผู้นำของโลกมุสลิม สงครามครั้งนี้จะต้องถูกชี้นำในแบบที่ว่า
ชาวอิสลามจะทำลายล้างซึ่งกันและกัน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ชาติที่เหลืออื่นๆ ก็จะแบ่งแยกกัน
อีกครั้งหนึ่ง ในประเด็นนี้ก็จะถูกบังคับให้ต่อสู้กันเอง จนไปสู่สภาพหมดแรงทั้งทางกาย ทางใจ ทางจิต
วิญญาณ และทางเศรษฐกิจ และแล้วเวทีละครก็จะถูกจัดให้รัฐบาลหนึ่งเดียวของโลกได้เริ่มบทบาท
ในสหรัฐทันที หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ตั้งสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า Council on Foreign Relations
เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า CFR จริงๆ แล้ว CFR นี้ก็คือ กลุ่มอิลลูมินาติ ปัจจุบันกำลังปฏิบัติการในสหรัฐ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2023 11:42 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (51 )👈

✴️~ แม่พระฟาติมากับรัฐบาลโลก (C) ~✴️
        
  ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) คือ ปรัชญาการปกครองที่มีหลักการว่า "โลกจะมีสันติสุข
ก็ด้วยการที่แต่ละประเทศจะต้องสละอำนาจอธิปไตยของตนมาเป็นเพียงรัฐรัฐหนึ่ง โดยรวมกันเข้า
อยู่ภายใต้รัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวของโลก (One World Govermment) ซึ่งจะจัดระเบียบใหม่ให้
ประชาชนในด้าน การปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ" อุดมการณ์ระเบียบโลกใหม่นี้ อยู่ในจิต
สำนึกของกลุ่มชนหลายกลุ่มที่สืบสานอุดมการณ์ร่วมกันมาหลายยุค ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยต่อ
สาธารณชน บางครั้งก็เรียกว่า สมาคมลับ เช่น กลุ่มฟรีเมซอน กลุ่มอิลลูมินาติ และกลุ่ม CFR
          ขอย้อนกลับมาพูดถึงแม่พระที่เจาะจงปรากฏมาพบเด็กเลี้ยงแกะทั้ง 3 คนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ถึงเดือนตุลาคมปี 1917 เป็นปีที่พวกฟรีเมซอนฉลอง 200 ปีพอดี จะเห็นได้ว่ามารเริ่มทำงานหนัก
ในโปรตุเกส ขนาดประมุขของรัฐ Alfonso Costa ได้รับรองกฎหมายให้แยกรัฐออกจากพระศาสนจักร
แล้วโปรตุเกสก็ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า "ขอบคุณกฎหมายฉบับนี้ เพราะภายในสองชั่วอายุคนก็จะ
สามารถกำจัดศาสนาคริสต์คาทอลิกได้อย่างสมบูรณ์" พวกเด็กนักเรียนถูกบังคับให้เดินตามถนนชูป้าย
ใจความว่า "ไม่เอาพระเจ้า ไม่เอาศาสนา"
          นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมแม่พระจึงปรากฏมาที่ฟาติมา โปรตุเกส ในปี 1917 เพราะแม่พระเห็น
พวกมารปีศาจกำลังยื้อแย่งวิญญาณซื่อๆ ของชาวโปรตุเกส ที่มีศรัทธาต่อแม่พระอย่างมั่นคงเสมอมา
และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ในเดือนพฤศจิกายน 1917 นั่นเอง ก็ได้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์อันชั่วร้ายในประเทศ
รัสเซีย อันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่มนุษยชาติอย่างเหลือที่จะคะเนได้
          สารที่แม่พระได้มอบให้เด็กทั้งสามคนมี 3 ข้อ สารข้อที่ 1 และที่ 2 เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 1
และครั้งที่ 2 ส่วนสารข้อที่ 3 นั้น แม่พระบอกให้เด็กเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงปี 1960 จึงจะเปิดเผยได้
จึงมักเรียกสารที่ 3 นี้ว่า ความลับข้อที่ 3 ครั้นถึงปี 1960 พระสันตะปาปาผู้เก็บความลับข้อที่ 3 นี้ ก็ทรงมิ
กล้าเปิดเผยความลับนี้ และโป๊ปต่อๆ มาก็ยังมิกล้าเปิดเผย จนกระทั่งโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เพิ่งจะทรง
ยอมเปิดเผย หลังจากครองพระอาสน์มาอีก 22 ปี จึงทรงยอมเปิดเผย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2000
          ผมจะหยิบยกการตีความและขยายความของความลับนี้ (ซึ่งถูกบันทึกเป็นภาษาสัญลักษณ์)
โดยบาทหลวง พอล เครเมอร์ โดยสังเขปดังนี้ :
          - การละทิ้งศาสนาในพระศาสนจักร เริ่มต้นจากชนชั้นนำเลยทีเดียว
          - ทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกจะถูกน้ำท่วมหมด ผู้คนจำนวนเป็นล้านๆ จะตายไปอย่างต่อเนื่อง
วันแล้ววันเล่าไปเรื่อยๆ
          - ไฟจะตกจากฟากฟ้า และกวาดล้างส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ
          - รัสเซียจะเปิดสงครามแบบสายฟ้าแลบ จะย่ำยีไปทั่วยุโรป
          - พวกคอมมิวนิสต์จะมีชัยเหนือประเทศตะวันตกโดยการยิงจรวด พวกเขาจะยิงจรวดใส่ชายฝั่ง
ของอเมริกาเหนือ จากประเทศรัสเซียและจีน และโลกตะวันตกจะถูกพันธนาการ หลังจากนั้น
"สัตว์นรกจะปกครองโลก"
          - จะมีศาสนจักรปลอมแห่งความมืด ในขณะที่พระศาสนจักรแท้ก็ยังดำเนินภารกิจต่อไป
ศาสนจักรปลอมนี้คือศาสนจักรคริสต์สัมพันธ์ ซึ่งจะรวมทุกๆ กลุ่มทางศาสนจักร และนิกายต่างๆ
เข้าด้วยกัน และจะมีโป๊ปปลอมและโป๊ปจริงปกครองในเวลาเดียวกัน
          - อัคคีภัยมโหฬารครั้งนี้จะเกี่ยวพันกันกับศาสนจักรปลอมหนึ่งเดียวของโลก โป๊ปเบเนดิกต์
กำลังครองพระอาสน์ในช่วงเวลาแห่งความยุ่งยาก พระองค์บางทีอาจมีพระประสงค์จะถวายรัสเซีย
หลังจากเผยความลับข้อที่ 3 ทั้งหมดอย่างหมดเปลือก แต่ทว่าเฉกเช่นกษัตริย์หลุยส์ ที่ 16 พระองค์
ไม่ทรงสามารถทำพิธีกรรมถวายประเทศฝรั่งเศสได้ทันเวลา เพราะหายนะจะกระหน่ำอย่างรวดเร็ว
ก็เช่นเดียวกับโป๊ปจะทรงไม่มีเวลา พระองค์จะไม่ทรงสามารถจัดพิธีถวายรัสเซียได้ทันเวลา พระองค์
ทรงจะต้องซ่อนพระวรกาย บางทีโป๊ปเบเนดิกต์จะกลายเป็นโป๊ปผู้นั้นเองที่จะต้องเสด็จหนีไปจากโรม
ที่ถูกทำลายล้าง และในท้ายที่สุดจะทรงถูกสังหารตามที่มีระบุในความลับข้อ 3 โป๊ปจะถูกไล่ล่าและถูก
สังหารโดยกองกำลังติดอาวุธของศัตรู ดังที่ปรากฏในนิมิต

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ม.ค. 20, 2023 11:28 am

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที ( 52 )👈

✴️~ ความลับฟาติมา : มหาวิปโยคสุดหฤโหด (A) ~✴️
         
การหวนกลับมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียอีกครั้งหนึ่งของ วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อเดือนพฤษภาคม
ที่เพิ่งผ่านมานั้น ทำให้เห็นคำทำนายเกี่ยวกับความลับของแม่พระฟาติมาชัดเจนขึ้น ลองมาฟัง
การวิเคราะห์ของบาทหลวงท่านหนึ่ง :
          พระเจ้าทรงประกาศิตให้เซนต์พอลถูกโดดเดี่ยวแล้วยอมมอบกายถวายใจ เพราะท่านได้รับ
การคัดสรรโดยพระเจ้าให้เป็น "ภาชนะแห่งการเลือกสรร" เพื่อการกลับใจของนานาชาติ ก่อนการ
กลับใจเซนต์พอลเป็นผู้เบียดเบียนพระศาสนา รัสเซียก็เป็นผู้เบียดเบียนสำคัญของพระศาสนา
แต่เวลาได้มาถึงแล้วสำหรับรัสเซียที่จะกลับกลายเป็น "เครื่องมือแห่งการเลือกสรร" เครื่องมือใน
พระหัตถ์พระเจ้าที่จะสังหารมังกร หรือสัตว์ร้ายแห่งกลียุค รัสเซียจะได้รับพระราชทานพระอำนาจ
พระเจ้าที่จะทำลาย "ระเบียบโลกใหม่" (New World Order) ผู้ไม่เอาพระเจ้า เฉพาะเมื่อชาตินั้น
(รัสเซีย) จะถูกโดดเดี่ยวเช่นเดียวกัน และจะถูกถวายแก่พระแม่มารีย์ รัสเซียจะถูกเลือกเหมือน
ดาวิดถูกพระเจ้าเลือก แต่ดาวิดจะถูกถวายตัวแก่พระเจ้าเสียก่อนแล้วจึงจะออกฆ่ายักษ์ชาวปาเลสไตน์
แต่ตราบใดที่คำเรียกร้องของพระเจ้าที่จะมีการถวายตัวแก่แม่พระยังไม่เกิดขึ้น รัสเซียก็คงจะเป็น
เครื่องมือแห่งพระพิโรธ ตามที่ซิสเตอร์ลูเซียได้ให้คำอรรถาธิบายไว้ว่า : "พระแม่มารีย์ได้บอกดิฉัน
และญาติของดิฉันคือฟรังซิสโกและยาชินทาว่า รัสเซียจะเป็นเครื่องมือแห่งการลงทัณฑ์ที่ถูกกำหนด
จากสวรรค์ที่จะลงโทษโลก (เพราะบาปของโลกนั้นแหละ) ถ้าพวกเรามิได้เห็นการกลับใจของชาติ
(รัสเซีย) ที่น่าสงสารนี้ได้ทันเวลา"
          พระแม่มารีย์ได้กล่าวกับซิสเตอร์ลูเซียเมื่อเดือนพฤษภาคม 1952 ว่า :
"จงแจ้งให้พระสันตะปาปาทราบว่า แม่ตั้งตาคอยการถวายรัสเซียแก่ดวงหทัยนิรมลของแม่
ปราศจากการถวายรัสเซียให้แม่ รัสเซียจะไม่สามารถกลับใจได้และโลกก็จะไม่มีสันติภาพ"
          ตามที่ได้เห็นกันทั่วไปแล้วว่า รัสเซียได้อวดแสนยานุภาพนิวเคลียร์อย่างเปิดเผยต่อชาวโลก
สหรัฐก็อวดนโยบายต่างประเทศด้วยการเสนอหน้าไปจัดระเบียบโลก อันเป็นการยั่วพวกสายเหยี่ยว
รัสเซีย ซึ่งกำลังอยู่ในอำนาจจนอดรนทนไม่ไหว กล่าวเน้นๆ ออกมาว่า "สุดจะทนแล้วนะ"
          เกี่ยวกับประเด็นนี้ก็มีข่าวจาก "ไทยโพสต์" เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 47 : รัสเซียเล็งติดตั้ง "นุก"
รุ่นใหม่มอสโก "ปูติน" ลั่นรัสเซียต้องคงความเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ต่อไป ด้วยการพัฒนา
ขีปนาวุธนิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่มหาอำนาจอื่นจะตามไม่ทัน หวังเจาะเกราะปราการป้องกันของสหรัฐ
          ในการประชุมร่วมกับบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพ เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
ย้ำว่า ถึงแม้การก่อการร้ายจะเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของรัสเซียในขณะนี้ แต่ประเทศชาติต้อง
รักษาขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ควบคู่กันไปด้วย
          "เราไม่เพียงแต่ทดสอบระบบขีปนาวุธนิวเคลียร์แบบใหม่ล่าสุด ผมมั่นใจว่าในอีกไม่กี่ปีนี้
เราจะนำอาวุธเหล่านี้เข้าประจำการด้วย อาวุธดังกล่าวยังไม่มีประเทศไหนมีใช้ และคงจะไม่มีมหา
อำนาจนิวเคลียร์ชาติใดมีด้วย" เขากล่าว
          ปูตินไม่ได้ขยายความว่าอาวุธดังกล่าวเป็นแบบไหน แต่รัสเซียกำลังพยายามพัฒนาอาวุธ
นิวเคลียร์ หลังจากสหรัฐได้ประกาศแผนเมื่อปี 2544 ที่จะสร้างปราการป้องกันขีปนาวุธ สืบเนื่อง
จากการยกเลิกสนธิสัญญาป้องกันขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อตกลงกับมอสโกเมื่อปี 2515
          สำนักข่าวอิตาร์ - ทาสส์ รายงานว่า ขีปนาวุธที่ปูตินเอ่ยถึงนั้นคือ ระบบโตโปล - เอ็ม ซึ่งเป็น
แบบเคลื่อนที่ได้ มีลักษณะคล้ายขีปนาวุธมินิตแมน - 3 ของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ของรัสเซีย
ในอนาคต ทั้งนี้ รัสเซียเพิ่งทดลองยิงขีปนาวุธแบบใหม่รุ่นหนึ่งสำเร็จในปีนี้ ซึ่งอ้างว่าจะสามารถเจาะ
ปราการป้องกันได้ เนื่องจากมันจะถูกยิงขึ้นสู่อวกาศเป็นวิถีโค้ง แต่เมื่อกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศก็จะพุ่ง
ไปสู่เป้าหมายแบบจรวดร่อน อันทำให้สามารถหลบหลีกจรวดสกัดกั้นได้
          อิตาร์ - ทาสส์ รายงานด้วยว่า งบประมาณด้านการจัดหาอาวุธของรัสเซียประจำปี 2548
ได้ระบุถึงการผลิตขีปนาวุธชนิดนี้เข้าประจำการภายในปี 2549
          เหลือบมามองกลอนหกบรรทัดของนอสตราดามุส ในบทที่ 21
รู้สึกว่าจะเข้าประเด็นนี้ เชิญติดตามครับ :
          L' autheur des maux commencera regner,
          En I'an six cens et sept sans espargner,
          Tous lessubjets qui sont ala
sangsue",
          Et puis après s' en viedra peu a peu,
          Au franc pays r' allumer son feu,
          S' en retournant d' ou elle est yssue"
          ผู้ประกอบการแห่งความชั่วร้ายจะเริ่มต้นปกครอง
          แผ่นดิน ณ ปี 607 ไม่ขาดไม่เกิน
          ข้าแผ่นดินทั้งผองของรัสเซีย (ตัวปลิง)
          ทันทีหลังจากนั้นเขาจะมาจุดไฟ (สงคราม)
ทีละเล็กทีละน้อยต่อประเทศตะตกวันตก (เสรี)
          เขาจะกลับมาสู่ที่เดิม ณ ที่ซึ่งเขาได้ออกไป
          วิเคราะห์ ผู้ประกอบการแห่งความชั่วร้าย น่าจะเป็นใครก็ได้ต้องดูในบรรทัดที่ 2 ที่บอกว่า
เขาจะเริ่มบทบาทเมื่อปี 607 เหมือนคนไทยในปัจจุบันพูดแบบย่อๆ ว่าปี 55 หรือปี 12 แต่ปี 1607
ในกลอนหกบรรทัดของนอสตราดามุส จะต้องบวกปีพิธีกรรมอันเป็นกุญแจที่ผมได้ค้นพบ ซึ่งก็
คือ 392 เข้าไปทุกครั้ง นั่นก็คือปี 1607 + 392 ก็จะได้ปี ค.ศ. 1999 ปูติน แห่งรัสเซียขึ้นสู่อำนาจ
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 1999 นับเป็นวันสุดท้ายของปี 1999 แบบไม่ขาดไม่เกิน ในบรรทัดที่ 2
ส่วนคำ ตัวปลิง ในบรรทัดที่ 3 นั้น นอส ตราดามุสต้องการสื่อถึงประเทศ รัสเซีย ซึ่งยังช่วยตัวเอง
ไม่ได้ หลังจากปฏิรูปจากระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มาเป็นประชาธิปไตย ในบรรทัดที่ 6
เขาจะกลับมาสู่ที่เดิมในพฤษภาคม 2012 นี่เองต้องยกนิ้วให้นอสตราดามุส สำหรับบรรทัดที่ 4 - 5
นั้นคงจะได้คำตอบจากบทความของท่านบาทหลวง Paul Kramer, B.Ph., S.T.B., M.Dw., S.T.L.(Cand.)
ในหัวเรื่อง "ความลับฟาติมา ข้อที่ 3 เผยถึงการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่" ท่านกล่าวว่า

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ม.ค. 21, 2023 9:40 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (53 )👈

✴️~ ความลับฟาติมา : มหาวิปโยคสุดหฤโหด (B) ~✴️
          "ท่านบาทหลวง Malachi Martin (เคยเป็นเลขาฯ ของพระคาร์ดินัลท่านหนึ่ง ซึ่งทำงาน
ในสำนักวาติกัน) ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Art Bell Show เมื่อปี 1998 ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัว
และน่าประหวั่นพรั่นพรึงใน ความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา ไม่ใช่เป็นการล่มสลายของหลายๆ ชาติ
หรือสงครามนิวเคลียร์ หรือการเบียดเบียนเข่นฆ่าอันนองเลือด แต่ว่าจะเป็นอะไรที่ร้ายกว่ามาก
ต่อมากนัก โป๊ป ปีโอ ที่ 12 ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องนี้เมื่อพระองค์ทรงประกาศเมื่อปี 1945 ว่า
โลกกำลังอยู่บนขอบเหวที่น่าสะพรึงกลัว... มนุษย์ต้องเตรียมตัวสำหรับความทุกข์ทรมานอย่างที่
มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน ความลับข้อที่ 3 เป็นเรื่องของหายนะที่มีระบุในพระวิวรณ์ เพราะ
ฉะนั้นจึงสอดคล้องกับ พระคัมภีร์เกี่ยวกับวิชาว่าด้วยสิ่งสุดท้าย ในวาระสุดท้ายของมนุษยชาติ
          โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เมื่อทรงถูกถามถึง ความลับข้อที่ 3 ในเยอรมนีได้ทรงกล่าวว่า
"เราต้องเตรียมให้พร้อมที่จะพลีชีวิตของเรา..." โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ครั้งยังดำรงตำแหน่ง
พระคาร์ดินัล Karol Wojtyla ได้ทรงขยายความประเด็นนี้ ระหว่างการเยี่ยมสหรัฐอเมริกา
เมื่อปี 1976 ว่า : เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติได้ก้าว
ผ่านมาแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้คิดในแวดวงของสังคมอเมริกันในวงกว้าง และสังคมชาวคริสต์โดยทั่วไป
จะตระหนักถึงสิ่งนี้อย่างเต็มที่ เรากำลังเผชิญหน้ากับการปะทะกันระหว่างพระศาสนาจักรกับปรปักษ์
พระศาสนาจักร ระหว่างพระวรสาร (คำสอนของพระเยซู) กับปรปักษ์พระวรสาร มันเป็นการทดสอบ
ซึ่งพระศาสนาจักรจะต้องรับมือ
          นี่คือสาระสำคัญของความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา
          ความพลุ่งพล่านเกรี้ยวกราดครั้งใหญ่ของบรรดามาร จะทำให้นรกเปิดสู่โลก ในความพยายาม
ที่จะทำให้พระเยซูคริสต์ผู้ประทับเป็นพระมหากษัตริย์ตกบัลลังก์ และพยายามจะตั้งพญามารเข้าแทนที่
- นี่คือจุดสุดยอดแห่งความลึกลับแห่งอสัตย์อธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของ "รูปแบบ" ของหอบาเบล -
ความลึกลับของบาบิโลน ตามที่ได้ระบุไว้ในพระคัมภีร์เล่มสุดท้าย นั่นก็คือศาสนจักรปลอม
ศาสนจักรที่เชื่อผิดๆ และโป๊ปของศาสนจักรนี้
      การเบียดเบียนเข่นฆ่าสมัยโบราณจะจืดชืดไปในทันที หากมาเปรียบเทียบกับ "มหาวิปโยคสุดหฤโหด"
ซึ่งพระเยซูทรงได้กล่าวไว้ล่วงหน้าในพระวรสาร และโป๊ป ปีโอ ที่ 12 ได้ทรงกล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า อยู่
ใกล้เต็มที่แล้ว นี่คือสาระสำคัญของความลับข้อที่ 3 นี่ก็ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่า การถวายรัสเซียจะไม่เกิดขึ้น
ทันเวลาที่จะป้องกันมหาวิปโยคแห่งการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่ ซึ่งได้ถูกกล่าวล่วงหน้าไว้ในคำทำนายของ
บรรดานักบุญในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สามารถทำได้ทันเวลาก็คือ การขึ้นสู่อำนาจของความลึกลับ
แห่งอสัตย์อธรรม พระเยซูได้ทรงประกาศไว้แล้วว่า เจ้านายของโลกนี้จะต้องถูกเหวี่ยงจากบัลลังก์ของมัน
ซึ่งมันจะไม่สามารถตั้งอยู่ได้อีกเลย อาณาจักรของซาตานจะถูกทำลายก่อนที่จะถูกตั้งขึ้นอย่างสมบูรณ์
และเมื่อเป็นเช่นนี้หอบาเบลก็ไม่อาจตั้งได้สำเร็จ
          หลังจากได้ศึกษาคำทำนายคาทอลิกตั้งแต่ปี 1917 ข้าพเจ้าได้ข้อสรุปด้วยความมั่นใจว่า การละทิ้ง
ศาสนาครั้งใหญ่ที่ระบุในพระคัมภีร์และในความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมาจะมองเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ภายใต้
ปรปักษ์โป๊ป (Antipope) ที่ได้ทำนายโดยเซนต์ฟรานซิส แห่งอัสซีซี ว่าจะอยู่ในระหว่างการครองอาสน์
ของโป๊ปองค์หนึ่ง ผู้สืบตำแหน่งต่อจากโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 จะต้องเป็นโป๊ปองค์ต่อไป ผู้ที่จะทำพิธีถวาย
รัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระ พร้อมด้วยบรรดาพระสังฆราชทั่วโลก รัสเซียจะกลับใจ ดวงหทัยนิรมล
ของพระแม่มารีย์จะประสบชัยชนะ ชาวรัสเซียที่เคร่งครัดในพระธรรมประเพณีจะเข้าในพระศาสนจักร
คาทอลิก และพระศาสนจักรจะกลับไปสู่พระธรรมประเพณีของตน แล้วจะมีสันติภาพ
แต่สันติภาพนี้จะเกิดขึ้นหลังการลงทัณฑ์
          ก่อนฤดูใบไม้ผลิเล็กน้อยในปี 1991 เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมฟาติมา แม่พระได้เปิดเผยแก่ซิสเตอร์ลูเซีย
(จากแหล่งที่น่าเชื่อถือในฟาติมา) ว่าความลับข้อที่ 3 จะถูกเปิดเผยระหว่างการดำเนินไปของสงครามใหญ่
ความลับข้อที่ 3 ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ แม้พระคาร์ดินัล โจเซฟ รัตซิงเกอร์ เองก็ยอมรับ
ในระหว่าง การสนทนาเป็นการส่วนตัวกับบุคคลที่พูดภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นเพื่อนของโป๊ป จอห์น พอล
ที่ 2 เป็นเวลาหลายปี (ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักเขาดี) พระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์ได้ตอบว่า : จริงๆ แล้วนั่นมิใช่
ความลับทั้งหมด ความลับข้อที่ 3 จะถูกเปิดเผยแต่มันจะสายเกินไป เพราะจะถูกเปิดเผยหลังจาก
สงครามโลกได้ระเบิดขึ้นแล้วเท่านั้น
          การทุราจารโบสถ์และสักการสถานด้วยการบูชาภูตผีปีศาจเป็นเครื่องหมายว่าการลงทัณฑ์จะ
บังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การทุราจารสักการสถานหรือสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการ
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเอกอุ จะเรียกร้องการลงโทษ เพราะฉะนั้น พระเจ้า
เพื่อจะดำรงความชอบธรรม มิอาจทนการทุราจารอันน่าสะอิดสะเอียนที่กำลังเกิดขึ้นในสักการ
สถานต่างๆ ได้อีกแล้วมันเป็นบาปมหันต์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ในพระธรรมเอเสเคียล ดังนี้ :
เพราะฉะนั้นเราจะกระทำด้วยความพิโรธ นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานีและเราจะไม่สงสาร แม้ว่าเขาจะ
ขอร้องด้วยเสียงอันดังใส่หูเรา เราจะไม่ฟังเขา ...แต่เราจะลงทัณฑ์ตามการประพฤติของเขา
เหนือศีรษะของเขาทั้งหลาย.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 23, 2023 9:00 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (54)👈

✴️~ แม่พระเมดจูกอเรียร้องไห้ ~✴️
         
ต่อไปนี้ใคร่ขอพูดถึงความลับ 10 ข้อ ที่แม่พระเมดกอจูเรียได้มอบให้มีร์ยานา ใครๆ ก็อยากจะรู้กัน
ทั้งนั้นว่า ความลับ 10 ข้อ ที่มีร์ยานาและอีวานกาได้รับจากแม่พระนั่นคืออะไร? ไม่มีใครรู้ว่าเด็กที่
เห็นแม่พระแต่ละคนจะได้รับความลับเหมือนกัน แต่เราก็คงพอจะคะเนได้ว่า ความลับเหล่านั้นมัน
เกี่ยวข้องกับพระศาสนาจักรและโลก รู้สึกเหมือนว่าน่ากลัวไปเสียทั้งหมด ตามคำบอกเล่าของเด็ก
ทั้งสอง ก็สรุปอยู่ใน 3 หัวข้อใหญ่ คือ 1. สัญญาณเตือน 2. หมายสำคัญปรากฏมา 3. การลงทัณฑ์
อีวานกากล่าวว่า "ความลับบางข้อก็เป็นสิ่งดี แต่บางข้อก็ไม่ดี" มันก็ตรงลำดับตามที่แม่พระได้บอก
ไว้แล้วที่คาราบันดัล คือจะมีเหตุการณ์ที่จะเขย่าขวัญคนไม่เชื่อ แล้วจะเกิดปาฏิหาริย์ แล้วการลงทัณฑ์
จะตามมา อีวานกาเน้นว่าจะมีการลงทัณฑ์ในหลายรูปแบบ อีวานกาถึงกับร้องไห้เมื่อได้รับรู้ความลับ
ข้อที่ 9 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 1986 และเมื่อมีร์ยานาได้รู้ความลับ เธอถึงกับวิงวอนแม่พระให้ทำให้
การลงทัณฑ์เบาบางลง
          มีร์ยานากล่าวว่า ความลับ 3 ข้อแรก เป็นสัญญาณเตือนข้อที่ 1 เป็นการเตือนที่มาจากธรรมชาติ
ไม่ใช่เป็นเรื่องดีเลย เป็นภัยพิบัติที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า "พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
มีอยู่จริง" และภัยพิบัติที่ใหญ่กว่าจะตามมา จะเป็นการอธิบายอยู่ในตัวว่า "พระเจ้ามีอยู่จริง" และภัยพิบัติ
จะไม่คงอยู่นานนักก็หมดไป ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นที่ไหน? มีร์ยานาปฏิเสธที่จะตอบจะมีคนพากันไปดูใน
สถานที่เกิดเหตุนั้นไหม? คงจะไม่มีใครคิดอยากจะไปดูสถานที่เกิดเหตุกระมัง เช่น คงจะไม่มีใครอยาก
ไปดูเขื่อนพังในอิตาลี เป็นต้น เรารู้แต่เพียงว่าสัญญาณเตือนครั้งที่ 1 จะไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่คนทั้งโลก
จะมองเห็น นอกเสียจากทางทีวี จะเป็นภัยพิบัติที่จะนำความเสียหายอย่างหนัก ระหว่างสัญญาณเตือน
ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จะเป็นช่วงเวลาแห่งพระกรุณาที่เปิดโอกาสให้มนุษย์กลับอกกลับใจ และไม่มีใคร
รู้ว่าจะทิ้งช่วงห่างกันนานเท่าไหร่
          จะมีความสับสนเกี่ยวกับความลับ 3 ข้อ 2 ข้อแรก จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว และข้อที่ 3
จะเป็นเครื่องหมายเหนือธรรมชาติซึ่งจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า "พระเจ้ามีอยู่จริง" มีร์ยานากล่าวว่า ความลับ
ข้อที่ 3 จะเป็นเครื่องหมายที่ถาวร ไม่สูญสลาย และสวยงาม จะมองเห็นได้บนเนินเขา Posbro เป็นสถานที่
ที่แม่พระได้ปรากฏมาเป็นครั้งแรก จะเป็นอะไรที่คล้ายไฟแต่ไม่ใช่ไฟจริงๆ ในปี 1981 มีคนเป็นร้อยที่
ได้เห็นเปลวไฟปะทุขึ้นบนเนินเขา Padbro เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ไม่มีอะไรไหม้ หลังจากนั้นแม่พระได้อธิบาย
กับเด็กๆ ว่า ไฟที่ชาวบ้านเห็นกันนั้นเป็นเครื่องหมายเหนือธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันเป็นเครื่องหมายอันหนึ่ง
ในหลายๆ อันเป็นเครื่องหมายที่นำหน้ามาก่อนเครื่องหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่จะมา
          จะมีคนตายระหว่างเกิดสัญญาณเตือนหรือไม่นั้นมันเป็นเรื่องของความโกลาหล แต่จับความจาก
คำพูดของมีร์ยานาน่าจะมีนัยเช่นนั้น รู้สึกว่าจะมีความสับสนวุ่นวาย ความอ้างว่างเปล่าเปลี่ยว และการทำ
ลายล้างอย่างไม่เหลือซาก มีร์ยานากล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาแห่งพระกรุณาซึ่งสวรรค์กำลังพยายาม
เปลี่ยนชีวิตของพวกเรา แต่ทว่าเวลาแห่งพระกรุณาจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ สัญญาณเตือนนี้จะเป็น
เสมือนการชำระล้างก่อนที่จะสิ้นยุคของซาตาน
          เกี่ยวกับความลับข้อที่ 4 ข้อที่ 5 และข้อที่ 6 คะเนกันว่าคงจะเกี่ยวข้องกับพระศาสนจักร
(หรือไม่ก็เป็นลักษณะส่วนบุคคล) แต่ความลับข้อที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 จะเข้าลักษณะของการลงทัณฑ์
มีผู้เรียกร้องให้มีร์ยานาถามแม่พระถึงเรื่องมนุษยชาติกำลังมาถึงยุคสุดท้ายแล้วหรือ? และพระเยซู
จะเสด็จมาครั้งที่ 2 แล้วหรือ? มีร์ยานาตอบว่าคำถามเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความลับและไม่ขอตอบ
คำถามนี้ แม่พระยังกล่าวกับมีร์ยานาอีกว่า "ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการกลับใจของลูก" การลงทัณฑ์ซึ่งเป็น
ความลับข้อที่ 7 ได้ถูกทำให้เบาบางลง แต่ไม่ได้ถูกยกเลิกหมดอย่างสิ้นเชิง การภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
และการถือศีลอดอาหารสามารถลดหย่อนการลงทัณฑ์จากพระไปได้ แต่จะไม่มีทางที่ยกเลิกอย่างสิ้นเชิง
คุณพ่อ สลาฟโก บาร์บาริ ให้คำอรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า "แม่พระไม่ได้ป่าวประกาศถึงภัยพิบัติ แต่แม่พระ
ปรากฏมาเพื่อจะมาช่วยให้พวกเราหนีภัยพิบัติเหล่านั้นมากกว่า พวกเราทุกคนคงรู้ดีว่าสงครามนิวเคลียร์
เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ถึงแม้แม่พระจะไม่ปรากฏองค์มา บอกพวกเรา ถ้าหากบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ มัน
คงไม่ใช่มีแม่บ้านคนหนึ่งตะโกนร้องว่าไฟไหม้ๆ ตรงกันข้ามแม่บ้านคนนั้นมาเพื่อจะช่วยดับไฟที่กำลังไหม้
          ผู้เห็นแม่พระทุกคนต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ความลับข้อที่ 8 นั้น "ฉกรรจ์ยิ่งยวด" หนักกว่า
ข้อที่ 7มากนัก และความลับข้อที่ 9 ยังหนักกว่าข้อที่ 8 เสียอีกและความลับข้อที่ 10 นั้นไม่ต้องพูดถึง
"จะน่ากลัวแบบสุดสุด" และจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนคุณพ่อโทมิสลาฟ วลาสิก
แห่งเมดจูกอเรีย ชี้ให้เห็นว่าเราไม่สามารถรู้ความหมายของวลีที่ว่า "ยุคสุดท้าย" หมายถึงอะไรแน่คงจะ
หมายถึงว่า เราจะต้องสำนึกว่าเราอยู่ในยุคที่มีเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งพระทรงประสงค์ให้พวกเรา
เปลี่ยนแปลง ขนาดบรรดาผู้ที่เห็นแม่พระทุกคนก็กล่าวว่า แม่พระจะปรากฏมาที่เมดจูกอเรียเป็นแห่งสุดท้าย
สำหรับมนุษยชาติและด้วยเหตุการณ์สำคัญนี้ ก็จะเป็นการสิ้นสุดของยุคซาตาน เมื่อหน้าของประวัติศาสตร์
ได้พลิกไปแล้ว เหตุการณ์บางอย่างจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน คุณพ่อวลาสิก กล่าวต่อไปว่า มีเครื่องหมายหลาย
อย่างเกิดขึ้นที่เมดจูกอเรีย เช่น คืนหนึ่งในปี 1989 พ่อเห็นพระจันทร์เต็มดวง แต่เห็นเป็น 2 ดวง ทีแรกก็นึกว่า
ตาฝาดไป แต่มีผู้แสวงบุญคนหนึ่งก็เห็นเช่นเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่งมองคล้ายหญิงคลุมผ้า คล้ายแม่พระ
อีกดวงหนึ่งมองคล้ายผู้ชายมีหนวดเคราก็เข้าใจว่าเป็นภาพลวงตา แต่วันรุ่งขึ้นไปเยี่ยมวัดใกล้ๆ Tihaljia
พ่อก็ได้เห็นรูปปั้น 2 รูป ตั้งอยู่บนแท่น รูปหนึ่งเป็นรูปแม่พระ อีกรูปหนึ่งเป็นรูปของโปรเฟต "เอลียาห์"
ตอนนั้นพ่อไม่รู้พระธรรมมาลาคี 4 : 5 แต่เดี๋ยวนี่พ่อเปิดอ่านแล้ว มีใจความว่า "ดูเถิดเราจะส่งเอลียาห์
ผู้เผยพระวจนะมายังเจ้าก่อนวันแห่งพระเจ้า คือ วันที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวมาถึง"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ม.ค. 23, 2023 9:05 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (55)👈

✴️~ การรับขึ้นไป (A) ~✴️
         
เหตุการณ์หนึ่งใน 12 เหตุการณ์ในปฏิทินของพระเจ้าตามการเผยแสดงจากเซนต์คาเบรียล
ที่ผมได้นำเสนอในบทความที่แล้วนั้น เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยเคยได้ยินบ่อยนัก หรืออาจ
ยังเป็นเรื่องที่นักเทวศาสตร์ยังหาคำอธิบายที่กระจ่างนักไม่ได้ เหตุการณ์นั้นก็คือ ประชากรของ
พระเจ้าถูกรับขึ้นไปจากโลกเพื่อให้ปลอดจากภยันตราย จำเป็นต้องขยายความ อาศัยผู้ทรงศีล
บางท่านซึ่งได้รับการเผยสำแดงจากเบื้องบนนำมาถ่ายทอดให้พวกเราอีกทีหนึ่ง
          ตามการบอกเล่าของผู้เห็นนิมิตหลายท่านกล่าวว่า ณ ช่วงเวลาแห่งมหาวิปโยค คือ ช่วงที่
แอนตีไครสต์เป็นประมุขของรัฐบาลโลก จะเกิดความทุกข์ยากไปทั้งโลก พระเจ้าจะทรงแสดง
ปาฏิหาริย์ครั้งยิ่งใหญ่ โดยรับคนชอบธรรมขึ้นไปไว้ในที่ปลอดภัย ณ ที่นั้นทุกคนจะถูกแปลงโฉม
ให้มีกายทิพย์ โดยอาศัยพลังของพระจิตเพื่อจะกลับลงมาสู่แผ่นดินดังเดิม และพร้อมที่จะไปประกาศ
ข่าวดีด้วยความกระตือรือร้น และมีประสิทธิภาพเต็มร้อย
          พระเยซูได้ทรงกล่าวยืนยันแก่ Enzo Alocci ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) แห่ง
Porto San Stefano กรอสเซโต อิตาลีว่า : "เด็กๆ ผู้ไร้เดียงสาจะถูกรับขึ้นไปบนฟ้าภายใต้เสื้อคลุม
ของพระแม่มารีย์"
          ผู้นั่งทางในอีกท่านหนึ่งชื่อ Veronica Lueken แห่ง Bayside นิวยอร์กได้รับสารเมื่อ
วันที่ 31 มกราคม 1976 จากพระเยซูผู้ทรงเผยความลึกลับว่า "เป็นแผนของพระบิดาว่าคนมากมาย
ในระหว่างพวกเธอจะถูกรับขึ้นไป ความลึกลับนี้ท้าทายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เราขอสัญญาว่า บุคคล
ที่รอดเหลือในช่วงนั้น จะรวมตัวกันกับเรา เพื่อสถาปนาอาณาจักรของเราเป็นอาณาจักรแห่งสันติสุข
และเพื่อความชื่นชมยินดีบนแผ่นดิน เราจะกลับมาพร้อมด้วยขบวนมหึมาของชาวสวรรค์ ด้วยความ
รุ่งโรจน์โชติช่วงแห่งชัยชนะ... เป็นอวสานของยุคของพวกเธอ... เราขอบอกความจริงแก่พวกเธอว่า
ทุกสิ่งที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์จะต้องเกิดขึ้นตามนั้นอย่างแน่นอน พวกเธอซึ่งได้รับแสงสว่าง จงอ่าน
พระธรรมวิวรณ์ซึ่งระบุว่า พวกเธอกำลังมาถึงจุดอวสานแล้ว... ดวงหทัยนิรมลของพระมารดาของเรา
คือโล่ของพวกเธอ
          ณ เบย์ไซด์ นิวยอร์ก พระแม่มารีย์ยังได้เผยแก่เวโรนิกา เช่นกันว่า : จะมี 1. การรับขึ้นไปสำหรับ
ผู้ได้รับเลือกสรร (คือมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม) และจะมี 2. การฟื้นขึ้นมาใหม่ชาวสวรรค์ ผู้จะกลับ
มีร่างกายทิพย์ ทั้งสองกลุ่มนี้จะร่วมขบวนกับพระบุตรของแม่ เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในเร็ววันนี้"
(สารของวันที่ 2 ตุลาคม 1976)... "ในระหว่างนั้นคนมากมายจะหายไปจากโลก จะเป็นการลึกลับครั้ง
มโหฬารของมนุษย์" ที่ถูกรับขึ้นไปเพื่อเฝ้าแหนการเสด็จกลับมาของพระบุตรของแม่ จะเป็นความยินดี
อันยิ่งใหญ่สำหรับอภิสิทธิชนเหล่านี้ที่จะได้พบ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมา (สารของแม่ ว้นที่ 2 ตุลาคม 1976)...
"คนมากมายจะถูกรับขึ้นไปจากโลก ก่อนที่จะมีการลงทัณฑ์ครั้งใหญ่... ท่ามกลางความตื่นตระหนก และ
ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน เมื่อลูกๆ อันเป็นที่รักอันตรธานไปจากแผ่นดิน สื่อมวลชนต่างประโคมข่าวกันว่า
คนเหล่านี้ถูกนำไปยังอาณาจักรเหนือธรรมชาติของพระบิดาเจ้าสวรรค์ เพื่อรอรับการเสด็จมาของพระบุตร
ของแม่สู่แผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง"
          "ลำดับเหตุการณ์การรับขึ้นไป หลังการลงทัณฑ์ ตามตารางลำดับเหตุการณ์ของเหตุการณ์ต่างๆ
ตอนสิ้นยุคในปฏิทินพระเจ้าเปิดเผยโดย มาร์การิตา ซัมปาอีร์ นั้นไม่ถือเป็นการขัดกับการเปิดเผยของ
เวโรนิกา แห่งเบย์ไซด์ ที่วางลำดับเหตุการณ์ "การลงทัณฑ์" หลัง "การรับขึ้นไป" ทั้งนี้เพราะยังมี
การเปิดเผยจากผู้นั่งทางในอื่นๆ อีก (ซึ่งมีการรายงานในหนังสือ FRANCATE - OLOGIA ในความดูแล
"ศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับพระพรพิเศษที่ไม่ธรรมดาแห่งอัสซีซี) มีบันทึกไว้ว่า : การรับขึ้นไป จะเกิดขึ้นในเร็ว
วันนี้จะมีการรับขึ้นไป 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมขั้นนักบุญของเรา ครั้งที่ 2 คนบาปที่สำนึกผิด
และยอมขอสมาโทษแล้ว ครั้งที่ 3 ในช่วงสุดท้ายพวกที่ร่ำร้องหาเรา คนทั้งสามกลุ่มนี้จะขึ้นมาพบเจ้าบ่าว
(พระเยซู) ผู้กำลังมา (13 มีนาคม 1974)
          ทำไมถึงอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับการรับขึ้นไป? บางทีเราจะไม่ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของประชาชน
ของผู้บริสุทธิ์ของเราที่กำลังทนทุกข์ทรมานทุกหัวระแหงในโลกกระนั้นหรือ? และเราไม่ได้ช่วยพวกเขา
เอาไว้หรือ? บัดนี้เราทุกคนกำลังอยู่ในสภาพเดียวกัน ประชาชนทนทุกข์ทรมานกันทุกหย่อมหญ้าทั่วทั้งโลก

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 24, 2023 2:21 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (56)👈

✴️~ การรับขึ้นไป (B) ~✴️
         
และพวกเขาจะเข้าไปบนดาวเคราะห์ที่มีพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของเรา ในวันเหล่านั้นที่จะมืด
ทั้งวันทั้งคืน ขณะเกิดการฆ่าฟันครั้งมโหฬาร แล้วพวกเขาออกมาด้วยร่างกายสดใสรุ่งเรือง
เหมือนกับว่าได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาจะไม่เห็นภัยพิบัติเพราะว่าพวกเขาจะถูกยกขึ้น
ไปยังเราเอง ทั้งกายและวิญญาณ และในทันใดนั้น พวกเขาจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพระพรของเรา
และการเปลี่ยนโฉมให้เป็นกายทิพย์ (จากนิตยสาร "เครื่องหมายเหนือธรรมชาติ" พฤศจิกายน 1969)
          เกี่ยวกับเหตุการณ์ "การรับขึ้นไป" ในระหว่างมหาภัยพิบัติ โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ทรง
หยิบยกข้อความจากพระคัมภีร์ 2 ฉบับซึ่งบ่งบอกถึงการเข้ามาแทรกแซงครั้งใหม่และครั้งสำคัญ
ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อความรอดพ้นของพวกเราดังนี้ :
          "ตามพระวาจาของพระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผู้ยังมีชีวิตและรออยู่จนถึงวันที่องค์
พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เสียเปรียบบรรดาผู้ล่วงลับ (ตามความเชื่อของ
คริสตชน "ความตาย" คือ "การนอนหลับ" ในทำนองเดียวกัน "การกลับคืนชีพ" จึงเปรียบได้กับ
"การตื่นจากหลับ") ไปแล้ว ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ตามพระบัญชาด้วย
เสียงกึกก้องและเสียงกู่ร้องของอัครเทพ และเสียงกัมปนาทของพระเจ้า บรรดาผู้ตายใน
พระคริสตเจ้า (แปลว่าวิญญาณที่อยู่ในสวรรค์) จะกลับคืนชีพก่อน (แปลว่าวิญญาณจะกลับ
คืนสู่ร่างกายใหม่เป็นกายทิพย์) ต่อจากนี้เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในนภากาศ และ
เราจะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป (1ธส 4 : 16 - 17) และแล้ววันของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่และล้ำลึก
ก็จะฉายแสงเจิดจ้าด้วยการมาถึงวันของพระเจ้า ในวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญและโลกธาตุ
จะถูกไฟเผาละลายไป (2 เปโตร 3 : 12) รูปแบบปัจจุบันของพระศาสนจักรจะผ่านไป เป็นรูปแบบ
ที่เก่าแก่โรยราไปเสียแล้วและเป็นรูปแบบที่ยับยู่ยี่จากบาป และการแตกแยกมากมาย หัวใจที่
เป็นหินของมนุษย์ ก็จะต้องหลอมด้วยพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์จะได้แปลงโฉมให้เป็นหัวใจที่เป็นเนื้อ
โดยอาศัย การอพยพครั้งใหม่ และครั้งยิ่งใหญ่ ก็จะเกิดฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ในที่ซึ่งจะเป็นที่
อยู่ถาวรของความชอบธรรมตามพระสัญญา (2 เปโตร 3 : 13) การอพยพครั้งใหม่และครั้งยิ่งใหญ่
จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากการรับขึ้นไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนจะลงมาสู่แผ่นดินโลกที่จะถูกเนรมิต
ขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่นั่นเอง
          เหตุการณ์การรับขึ้นไป กับ การเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซู เป็นสองเหตุการณ์ที่มีความเชื่อม
โยงกันแบบต่อเนื่อง ลองมาฟังการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ บาทหลวง มาร์ติโน เปนาชา
พระอธิการมหาวิหารเซนต์ แอนโทนี ปาดัว อิตาลี ท่านก็หยิบยกจดหมายนักบุญเปาโลถึง
ชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่ 1 บทที่ 4 : 13 - 18 เช่นกัน
          (ก่อนบรรยายต่อไปขอชี้แจงถึงความเชื่อของชาวคาทอลิก 3 ข้อ
1. สวรรค์ คือ สภาพของ
วิญญาณหลังความตายมีความสุขกับพระเจ้าบนสวรรค์ตลอดนิรันดร
2. นรก คือ สภาพของ
วิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานในนรก เพราะไม่ได้อยู่กับพระเจ้า แต่อยู่กับปีศาจตลอดนิรันดร
3. ไฟชำระ คือ สภาพของวิญญาณหลังความตายยังไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องชำระในไฟ
ชั่วระยะหนึ่งเพื่อชดเชยบาปเล็กน้อย จนกว่าจะบริสุทธิ์แล้วจึงจะได้ไปสวรรค์)
          เมื่อพระเยซูเสด็จมาครั้งที่ 2 นี้ จะเสด็จมาพร้อมกับขบวนของบรรดาชาวสวรรค์
(วิญญาณมนุษย์ผู้ชอบธรรม) จะทรงยับยั้งอยู่บนหมู่เมฆเพื่อรอรับ
1. วิญญาณที่กำลังถูกชำระ
ในไฟชำระ (Purgatory) พระเจ้าจะทรงชำระวิญญาณเหล่านี้อย่างเข้มข้นและรวดเร็วเพื่อโอกาสสำคัญนี้
2. ทรงรอรับบรรดาวิญญาณที่อยู่ในที่มืด (Limbo) คือ สถานที่รวมของวิญญาณผู้ชอบธรรมของทุก
ศาสนาที่ยังไม่ได้รับศีลล้างบาป เมื่อตายไปวิญญาณจะถูกชำระจนบริสุทธิ์ แล้วจึงมารวมตัวกันในที่มืดนี้
ซึ่งจะไม่มีความทุกข์แต่จะยังไม่ได้รับความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพราะยังไม่ได้เห็นพระเจ้า) พระเยซูจะเป็น
ผู้มารับพวกเขาร่วมขบวนชาวสวรรค์ด้วย วิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณล้วนๆ แต่จะมองเห็นได้เมื่อ
มาปรากฏบนโลก (อาจเป็นกายทิพย์)
3. ทรงมาพบบรรดามนุษย์ที่ยังรอดเหลือบนโลก เป็นคริสตชนที่ได้รับศีลล้างบาปแล้ว หรือ
ศาสนิกของศาสนาอื่นๆ แต่กลับใจยอมรับศีลล้างบาป
          เมื่อขบวนของชาวสวรรค์ สบทบกับ วิญญาณจากไฟชำระ และวิญญาณจากที่มืดดังกล่าว ยังยับยั้ง
อยู่บนฟ้านภากาศกับพระเยซูอยู่นั้น บรรดาเทวดาก็จะรับมนุษย์ผู้ชอบธรรมที่ยังมีเนื้อหนังมังสา แล้วรับ
ขึ้นไปพบพระเยซูบนกลุ่มเมฆ ในขณะเดียวกันทูตสวรรค์ของพระเจ้าอีกหน่วยหนึ่ง ก็จะจัดการกับมนุษย์
ชั่วช้าที่ไม่ยอมกลับใจให้เป็นเหยื่อของแร้งและกาต่อไป แล้วพระเจ้าจะทรงเนรมิตพื้นแผ่นดินขึ้นมาใหม่
แล้วพระเยซูจะทรงนำกองทัพมนุษย์ที่ยังมีเนื้อมีกระดูกครบลงมายังแผ่นดินที่ถูกเนรมิตให้งามตระการตา
เป็นฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ หรือ สวรรค์ ณ แผ่นดิน นั่นเอง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2023 8:57 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (57)👈

✴️~ จีนกับอาหรับกระชับมือกัน (A) ~✴️
         
หลังจากประธานาธิบดีบุช จูเนียร์ เผด็จศึกตอลิบานในอัฟกานิสถานได้อย่างราบคาบ จนคะแนน
นิยมพุ่งกระฉูดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วประโยคประวัติศาสตร์ก็หลุดจากปากคาวบอยเท็กซัส
ผู้ฮึกเหิมว่า จะเดินหน้าปราบผู้ก่อการร้ายกลุ่มต่อไปก็คือ อิรัก และ เกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็น "อักษะปีศาจ"
การมาเยือนเอเชียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของประธานาธิบดีบุช ก็เพื่อกระชับมิตรอย่างญี่ปุ่นที่ผูกพัน
กันทางการทหารมานานพอสมควร แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจที่สหรัฐจะเป็นกำลังใจ
ให้ญี่ปุ่น "ฟื้น" มิฉะนั้นอเมริกาจะพลอย "ฟุบ" ไปด้วย
ส่วนเกาหลีใต้นั้น ผูกพันกันตอนเพิ่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 หมาดๆ ที่สหรัฐได้ช่วยให้ยืนหยัด
ในลัทธิประชาธิปไตย ในการยื้อกับพี่น้องทางเหนือ ซึ่งติดพันอยู่กับลัทธิคอมมิวนิสต์โดยมีจีนหนุนหลัง
จนถึงต้องแบ่งเขตกันที่เส้นขนานที่ 38 ซึ่งบุชจงใจเยือนตรงจุดนี้ คงต้องการบอกเกาหลีใต้ให้ช่วยกัน
ตักเตือน "อาเฮีย" ทางเหนือหน่อยว่า "อย่าเกเร" นักเลย
ทางด้านประเทศจีนนั้น  บุชคงต้องการแสดงความขอบคุณ ที่จีนพร้อมร่วมมือกับสหรัฐในการ
ปราบปรามผู้ก่อการร้ายสากล เพราะในจีนนั้น บริเวณแถบมณฑลชินเกียง มีผู้นับถือศาสนาอิสลาม
จำนวนมากอาจเกิดปัญหารุนแรงขึ้นได้ เพราะอาจมีผู้ก่อการร้ายต่างชาติ ผู้ไม่หวังดีต่อจีน มายั่วยุให้
ชาวจีนนับถือศาสนาอิสลามก่อเรื่องร้ายๆ ได้
ส่วนในทางการเมืองนั้น ขอหยิบยกการวิเคราะห์ของคุณเปลว สีเงิน เห็นว่า "กระชับ - ลับ - ลึก"
ตามสไตล์ศิษย์หลวงพ่อวัดบ้านแหลมถูกใจศิษย์หลวงพ่อวัดบางแขวกยิ่งนัก ดังนี้ ...สหรัฐ "ลอยแพ"
อาเซียนและเอเชียมานานแล้ว โดยหันไปหมกมุ่นอยู่ทางด้านอเมริกาเหนือ เหตุที่เป็นอย่างนั้น สหรัฐ
ไม่มีผลประโยชน์อะไรที่ต้องเก็บเกี่ยวและรักษา เลยนำมาเป็นกองกลาง "แบ่งหากำไร" กับญี่ปุ่นสบาย
ไปรอบหนึ่ง
ญี่ปุ่นเอเชีย - อาเซียน
สหรัฐไปคุมอเมริกาเหนือ และเล่นเกมสำคัญกับรัสเซีย
ทั้งหมดนี้ก็ด้วยเงื่อนไขบนการมองข้ามหัว "จีน" ว่า ยังเติบโตได้แค่มังเกี้ยม - มังกือ ยังไม่
สามารถไปถึงขั้น "มังกร"...
คงจะต้องรอไปถึงเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจีนจะมีการปรับเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจครั้งใหญ่ ดูเหมือน
"นาย หู จินเตา" มังกรซ่อนเล็บจะผงาดขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของจีน รอจนกว่าวิทยายุทธ
จะแกร่งกล้า เมื่อนั้น "มังกือ" ก็คือ "มังกร" หู จินเตา จะเขย่าโลกแบบสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น เหนือ
จินตนาการใดๆ ต้องมาดูคำทำนายของนอสตราดา
มุสบทต่อๆ ไป
ในโลกคอมมิวนิสต์นั้น หลังจากสหภาพโซเวียตซึ่งถือเป็นแม่บทคอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายไปแล้ว
ก็เหลือแต่จีนเท่านั้นที่ในทางการเมืองยังใช้ระบบเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์อยู่ ถึงแม้ทางเศรษฐกิจ
ใช้ระบบเสรีมากขึ้นเป็นลำดับแล้วก็ตาม
นอสตราดามุสบอกว่า ประเทศคอมมิวนิสต์ที่ยังคงเหลือประเทศเดียวนี้จะเป็นอันตรายต่อโลก
อย่างมหันต์ ลองมาดูกลอนเหล่านี้
Contre les rouges sects se banderont,
Feu, eau, fer, corde par paix se
minera,
Au point mourir ceux qui machineront,
Fors un que monde sur - tout ruynera .
ประชาชนต่างพากันรวมตัวต่อต้านประเทศคอมมิวนิสต์ (พวกแดง)
ใจที่ใฝ่สันติอ่อนระรวยในกระแส (น้ำ) สงครามและการปฏิวัติ
พวกวางแผนร้ายจะตายตกตามกัน
ยกเว้นประเทศหนึ่ง (ที่ยังเหนียวแน่นในอุดมการณ์) จะเป็นอันตรายต่อโลกมากกว่าใคร
วิเคราะห์
ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่นำการปฏิวัติเข้ามาสู่โลก เมื่อปี 1789 แล้วเชื้อการปฏิวัติก็
ระบาดลุกลามไปทั่วโลก การปฏิวัติเข้าสู่รัสเซียโดยนำระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาปกครอง
เมื่อปี 1917 และเข้าสู่ประเทศจีนเมื่อปี 1949 ด้วยระบอบการปกครองสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์
เช่นเดียวกัน
ถือว่าจีนประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศที่ปกครองระบอบเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์
และอีกไม่ช้าไม่นาน จีนมังกรผงาดฟ้าจะมาราวีประเทศฝรั่งเศสต้นแบบปฏิวัติ เป็นแบบงูกินหาง
อย่างที่มีคำกล่าวมาแต่โบร่ำโบราณว่า "ภัยเหลือง" เหลืองหมายถึงชาวผิวเหลืองก็คือจีนนั่นเอง
คอมมิวนิสต์อาจเข้าฝรั่งเศสได้ 2 วิธี

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2023 9:05 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (58 )👈

✴️~ จีนกับอาหรับกระชับมือกัน (B) ~✴️
         
วิธีแรก คือ เข้ามาทางการเมือง อย่างที่ท่านอดีตประธานาธิบดี มิตเตอรองค์ นำสังคมนิยมเข้ามา
เมื่อปี 1981 นี่เป็นการเข้ามาจากภายใน ถือเป็นการเข้ามาตามครรลอง แต่ที่น่ากลัวก็คือ จะเข้า
มาจากภายนอกอย่างที่ประเทศยุโรปตะวันออกเคยประสบมาแล้ว ด้วยการจู่โจมจากภายนอก
จากสหภาพโซเวียต และคราวนี้ฝรั่งเศสจะถูกมังกรจีนฟาดหาง จะเชื่อหรือไม่ก็ตามไปดูกลอน
นอสตราดามุสในบทที่ 70/5 และบทต่อๆ ไป
Des regions subiectes a la Balance,
Feront troubler les monts par grande guerre,
Captifs tout sexe deu et tout Bisance
Qu' on criera a l' aube terre à terre
ประชาชนในเขตอิทธิพลของราศีตุลย์ ก็คือจีน
ได้ทำให้ภูเขาสั่นสะท้านด้วยสงครามใหญ่
โดยจับทั้งหญิงและชายให้เป็นเชลยทั่วแดนรัสเซีย (แถบทะเลสาบแคสเปียนและทะเลดำ)
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนแตกตื่นร้องตะโกนตอนเช้าตรู่
จากแผ่นดินหนึ่งสู่อีกแผ่นดินหนึ่ง.
วิเคราะห์
ตามวิชาโหราสาสตร์โบราณราศี
ตุลย์ มีประเทศธิเบต ดินแดนแถบทะเลสาบแคสเปียน อัฟกานิสถาน อินโดจีน และจีน ศัพท์ Bisance
หมายถึงรัสเซีย ไม่ใช่ตุรกี หรืออาณาจักรออตโตมาน ครั้งหนึ่งคือจักรไบแซนทีน (Bisance)
ก็คือกรุงคอนสแตนติโนเบิล (อิสตันบูลในปัจจุบัน) ศาสนาคริสต์ไบแซนทีนได้ย้ายไปอยู่รัสเซีย
หลังจากไบแซนทีนในกรุงคอนสแตนติโนเบิลล่มสลายกลายมาเป็นจักรวรรดิออตโตมาน
สรุปว่า มังกรจีนได้ระดมรี้พลสกลไกรมหาศาลทุกแว่นแคว้นแห่งจักรภพจีน ซึ่งมีประชากร
กว่าหนึ่งพันสามร้อยล้าน ด่านแรกที่ทะลวงเข้ามาก็คือ รัสเซีย มุ่งสู่ตะวันตก นี่คือ "ภัยเหลือง"
ที่ชาวยุโรปพากันหวั่นไหวมาหลายชั่วอายุคน
คำทำนายของนอสตราดามุสมักจะอยู่ในกลอนสี่บรรทัด แต่บางครั้งก็มาอยู่ในรูปกลอนหก
บรรทัด หรืออยู่ในจดหมาย ซึ่งเขากราบทูลพระเจ้าอังรีที่ 2 ก็มี ดังนี้
Puis le grand Empire du L' Antechrist, commencera dars la Attila et Zezes,
descendre en nombre grand et innu merable, tellement que la venue du Saint Esprit,
precedent du 48 degre fera transmigration de L' Antechrist : faisant guerre contre
Royal qui sera le grand Vicaire de Jesus Christ et contre Eglise, et son regne per
tempus, et in occasione temporis.
ครั้นแล้วจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของแอนตีไครสต์จะเริ่มจาก อัตติลา และเซอร์เซส ได้ยกไพร่พล
จำนวนมหาศาลลงมา เพราะว่าองค์พระจิตเจ้าผู้เสด็จมาจากองศาที่ 48 จะได้ผ่านร่างของผู้หนึ่งแล้ว
ไล่เจ้า แอนตีไครสต์ ผู้น่าสะอิดสะเอียนไปเสีย เพราะมันได้ทำสงครามกับผู้แทนของพระเยซูคริสต์
(พระสันตะปาปา) และพระศาสนาจักรของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในยุคสุดท้าย
วิเคราะห์
อัตติลา เป็นกษัตริย์ของพวกฮั่นซึ่งเป็นพวกกระหายสงครามพเนจรจากเอเชีย ได้บุกยุโรป
ราว 1500 ปีมาแล้ว อัตติลา เป็นผู้เหี้ยมโหด เป็นนักรบที่น่ากลัวในยุคนั้น เขาได้เป็นกษัตริย์ใน
ปี ค.ศ. 434 ตียุโรปตะวันออกได้หมด ที่กรีซเขาตีได้เมืองถึง 70 เมือง โดยฆ่าและปล้นราษฎรผู้ยากไร้
ในฝรั่งเศส ณ เมือง chalon (จะขยายความในตอนท้าย) เขาถูกตีพ่ายด้วยการรบที่นองเลือดที่สุด
ในยุคนั้นในปี ค.ศ. 451 เขาเตรียมการที่จะบุกกรุงโรมแต่โป๊ป เลโอ ที่ 1 ได้ขอร้องเอาไว้ อัตติลาตาย
ใน ปี ค.ศ. 453 เขาเป็นนักฆ่าที่เหี้ยมโหด จนชาวคริสต์ขนานนามเขาว่า "แส้ของพระเจ้า"
Zezes หรือ Xerxes เป็นกษัตริย์เปอร์เซียโบราณสมัย 2400 ปีมาแล้ว เขาเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ปี 485
ก่อนคริสตกาล เสียชีวิตในปี 465 ก่อน ค.ศ. เขาพิชิตอียิปต์ได้และทำท่าจะเข้ายึดกรีซด้วย เขาระดมพล
มหาศาลและสร้างสะพานด้วยการเอาเรือมาต่อกันเพื่อข้ามแม่น้ำ Hellespont กองทัพสามารถข้ามไป
ยังกรีซด้วยสะพานเรือที่เขาทำขึ้น และรุกก้าวหน้าไปถึงเอเธนส์ ซึ่งกองทัพของเขาถูกปล้นสะดมแล้ว
เซอร์เซสก็ล่าถอยกลับสู่เอเชีย เขาถูกฆ่าตายพร้อมกับทหารองครักษ์ ในหนังสือเอสเทอร์ในพระธรรมเก่า
ชื่อที่ถูกอ้างถึงเขาก็คือ Ahasuerus
Et sera par lors du principal chef oriental, la plus part esmeu par les Septentrionaux et
Occidentaux vaincu, et mis a mort, profigez, et le reste en fuiste et ses enfants de plusieurs
Femmes emprisonnez et par lore sera accomplice la Prophetic du RoYal Prophete : Ut audiret
gemitus compeditorum et solveret flios interemptorum.
ด้วยว่าในขณะนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายตะวันออกและคนของพวกเขาถูกคุกคามจากฝ่ายเหนือและฝ่าย
ตะวันตก ได้ถูกปราบอย่างราบคาบและถูกสังหาร หรือไม่ก็แตกพ่าย และพวกที่หลงเหลือก็จะหนีไป และ
บรรดาลูกๆ ของพวกผู้หญิงก็ถูกจับขังคุก ก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่ว่า "เพื่อให้พวกเขาได้ยินเสียงคร่ำ
ครวญของผู้ถูกคุมกักขัง และ เพื่อให้พวกเขาปลดปล่อยบรรดาลูกๆ ของคนที่ตายไปแล้ว"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:18 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 59. )👈

✴️~ จีนกับอาหรับกระชับมือกัน (C) ~✴️
          Et seront lors les Seigneurs deux en nombre d' Aquilon victorieux sur et Orientaux,
et sara en iceux fait si grand bruit et tumulte belilque que tout icelui Orient tremblera
de la frayeur d' iecux frères Aquilonnaires.
และแล้วผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายเหนือทั้งสองจะประสบชัยชนะต่อฝ่ายตะวันออก และในขณะนั้นจะมี
การโจษจันถึงการรณรงค์สงครามครั้งนี้ว่า ฝ่ายตะวันออกจะตัวสั่นด้วยความกลัวต่อสองพี่น้อง
ฝ่ายเหนือ ซึ่งมิใช่พี่น้องกันอย่างแท้จริง
วิเคราะห์
นอสตราดามุสหยิบยกสองนักรบชาวตะวันออกผู้เกรียงไกร คือ อัตติลา (จีน) และ เซอร์เซส
(อาหรับ) คงต้องการบอกใบ้ถึงเหตุการณ์สำคัญในอนาคต ก็คงหมายถึงยุคของเรานี่แหละ ที่จะ
มีตัวละครสำคัญ 2 ตัวคือ จีนกับอาหรับ จะจับมือกันเพื่อลุยยุโรปเป็นการซ้ำรอยประวัติศาสตร์
และเพื่อจะประกบกับฝ่ายตะวันตกที่ดูเหมือนเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่ยักใช่ เพราะเคยเอาเป็นเอาตาย
มาหลายเพลาช่วงสงครามเย็น นั่นก็คือ อเมริกากับรัสเซีย อันนี้ถือเป็นอัจฉริยภาพของนอสตราดามุส
ที่มองเห็นดินแดนรัสเซียกับสหรัฐที่มีดินแดนติดกันทางทิศเหนือตรงอลาสก้า ซึ่งสหรัฐซื้อจากรัสเซีย
ไม่กี่ปีมานี้เอง
ส่วนประโยคที่ว่า จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ของแอนตีไครสต์ นัยแรกทั้งจีนและอาหรับมิได้นับถือ
พระคริสต์เป็นส่วนใหญ่ จึงถือเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ในความหมายกว้างๆ นัยที่สอง แอนตีไครสต์
ในความเชื่อของชาวคริสต์เชื่อว่าโลกเราก่อนจะสิ้นยุคจะมีทรราช หรือประมุขรัฐบาลโลก (Antichrist)
จะมาจากทางตะวันออกคือ จากอาหรับหรือจีนก็ได้ที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์
องศาที่ 48 คือ เส้นขนานที่ 48 อันเป็นที่ตั้งของเมืองออเลอัง (Orleans)  ที่ทำให้เกิดวีรสตรีชาว
ฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 15 คือ ฌานดาร์ก (Jeanne d'Arc) หรือ โจน ออฟ อาร์ก ผู้ได้รับการดลใจจาก
องค์พระจิตเจ้าให้กอบกู้อิสรภาพของฝรั่งเศส ทั้งๆ ที่เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
ฉะนั้นที่นอสตราดามุสแห่งศตวรรษที่ 16 ย้ำถึงพระจิตเจ้าที่เส้นขนานที่ 48 ก็อาจต้องการบอกใบ้ว่า
ในอนาคตเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก และก็ได้ระบุชื่อว่า Chyren เมื่อสลับอักษรก็จะเป็น Henric ซึ่งผม
ได้ตีความไว้แล้วว่า เขาได้ถูกเบื้องบนส่งมาเกิดแล้ว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1999 ซึ่งในวันนั้น
เวลา 10.22 - 10.24 น. ณ เมือง Chalon ได้เกิดสุริยคราสเต็มดวง เมืองชาลองนี้ อัตติลา ได้ถูกตีพ่าย
จากกษัตริย์ฝรั่งเศส ทรงพระนามว่า Clovis ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ HENRIC
หรือพระเจ้าอังรีที่ 5 (พระเจ้าอังรีที่ 4 ครองราชย์เมื่อปี 1589 - 1610) จะพิชิตกองทัพของลูกหลานอัตติลา
หรือกองทัพจีนอีกครั้ง ในชั่วอายุของพวกเราคงจะได้เห็น
ข่าวล่าสุด กลุ่มอัลกออิดะห์ขยับขยายไปสู่จอร์เจีย หลังบ้านรัสเซียนี่เอง ประเทศอดีตสหภาพ
โซเวียตหลายประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามกำลังตื่นตัวในการผนึกกำลัง เช่นเดียวกับสันนิบาตอาหรับ
กำลังพบปะกัน เมื่อกรณีพี่น้องปาเลสไตน์ถูกรังแกหนักมือขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
นอสตราดามุสระบุว่า จีนกับอาหรับกระชับมือกันลุยยุโรปนั้น ที่ว่าจีนไม่ได้ระบุว่าจากมณฑลชินเกียง
ที่นับถืออิสลาม หากมาจากมณฑลชินเกียงโดยเฉพาะแล้วไซร้ ภาพครูเสดศตวรรษที่ 21 ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2023 8:23 pm

📗~ สู่สงครามมหาประลัย ~📗
เขียนโดย คุณสนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 60. )👈

✴️~ โป๊ปอันดับที่ 256 คือใคร (A) ~✴️
        
  วันที่ 29 มิถุนายน ตามปฏิทินคาทอลิกเป็นวันสำคัญทางศาสนา ในยุโรปหลายประเทศเป็นวันหยุด
ราชการ เพราะเป็นวันมรณภาพของเซนต์ปีเตอร์ พระสันตะปาปาองค์แรกของพระศาสนจักรคาทอลิก
เซนต์ปีเตอร์เป็นชาวประมงจากแคว้นกาลิลี ประเทศปาเลสไตน์ เป็นอัครสาวกของพระเยซู เดินทาง
ไปเผยแพร่คริสตศาสนาในจักรวรรดิโรมัน มรณภาพ ณ ค.ศ. 67 วันที่ 29 มิถุนายน
สมเด็จพระสันตะปาปาที่กรุงโรม จอห์น พอลที่ 2 นับเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 264 ทรงได้รับ
การคัดเลือกเป็นพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1978 และในวันที่ 16 ตุลาคมปีนี้ ก็จะครบ 25 ปี
ที่พระองค์ทรงครองพระอาสน์ ซึ่งในวาระนั้นพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย และทั่วโลกคงจะได้
จัดการเฉลิมฉลองกันตามสมควร
วันที่ 29 มิถุนายน มิใช่เป็นแค่วันฉลองเซนต์ปีเตอร์ พระสันตะปาปาองค์แรกเท่านั้น แต่ยังถือเป็น
วันฉลองของพระสันตะปาปาด้วย วันนี้ผมอยากจะหยิบยกชีวประวัติของพระสันตะปาปา เลโอ ที่ 13
นับเป็นโป๊ปอันดับที่ 256 พระองค์ได้รับการคัดเลือกเป็นพระสันตะปาปาในปี 1878 นับเป็นเวลา 100 ปี
พอดี ก่อนโป๊ปองค์ปัจจุบัน โป๊ป เลโอ ที่ 13 ทรงรับตำแหน่งในช่วงบ้านเมืองได้รับผลกระทบจากระบบ
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมในยุคอุตสาหกรรมเพิ่งจะเริ่มต้น และลัทธิคอมมิวนิสต์ ยังเป็นแค่ความฝัน แค่
ปรัชญาที่กล่าวขานกันเท่านั้น
พระองค์ทรงต้องเผชิญกับการท้าทายและความกดดันอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับเรื่องกรรมกร
ความเจริญอย่างรวดเร็วของโรงงานอุตสาหรรม และสาเหตุแห่งความอดอยากในชนบท ทำให้ประชาชน
อพยพเข้าสู่เมือง ทั้งหญิงและเด็กต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
อันเป็นผลจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วยุโรปมีการลดค่าจ้าง
จึงได้เกิดการลุกฮือของกรรมกร อันเป็นอิทธิพลของแนวคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ของ คาร์ล มาร์กซ์
และ เฟรเดริก เองเกลส์ ซึ่งได้ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ "COMMUNIST MANIFESTO" มาร์กซ์เป็นนัก
ปรัชญาวัตถุนิยม ซึ่งมองว่าไม่ใช่จิตหรือความคิด ที่เป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก
หากเป็นวัตถุเศรษฐกิจและวิธีการผลิต เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง เรื่อง "ปากท้อง"
เป็นเหตุที่มาของการดิ้นรนต่อสู้ทางสังคม ซึ่งแบ่งชั้นคนรวย - คนจน ฝ่ายปกครอง - ฝ่ายถูกปกครอง
ฝ่ายนายทุน - ฝ่ายกรรมกร
มาร์กซ์เน้นว่าชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลก จะต้องร่วมกันต่อต้านนายทุน เพื่อนำโลกเข้าสู่ระบบสังคมนิยม
และเมื่อพัฒนาถึงระดับแล้ว โลกก็จะกลายเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในที่สุด ในสังคมคอมมิวนิสต์นั้น
ทุกคนจะอยู่กันอย่างผาสุกมีฐานะเท่าเทียมกัน ไม่มีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เกิดสังคมใหม่ที่ปราศจาก
ชนชั้น ในที่สุด รัฐซึ่งมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชนส่วนใหญ่ ก็จะหมดความจำเป็นและสลายตัวไปเอง
ในระหว่างการต่อสู้ระหว่างชนชั้นศาสนามีบทบาทสำคัญ ในการให้ความชอบธรรมกับผู้มีอำนาจ
ซึ่งอ้างว่าตนเองมี "บุญวาสนา" พระเจ้าโปรดปราน ผู้ได้เปรียบเหล่านี้จะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ "มอมเมา"
ประชาชน ให้ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่โดยดุษฎี ให้มีความหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนใน "ชาติหน้า" นี่คือ
"ความแปลกแยก" ประการแรกของสังคมมนุษย์ ศาสนาจะหมดไปเมื่อชนชั้นหมดไป
โดยเหตุที่โป๊ป เลโอ ที่ 13 มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ถือว่า ลัทธิมาร์กซ์เป็นมารตัวสำคัญที่จะมาทำลาย
มนุษยชาติ จึงได้ประณามและกล่าวโทษอย่างรุนแรง โดยออกสมณสาสน์ (ENCYCLICAL) ชื่อ RERUM
(สภาพของกรรมกร) ในปี 1891 เพื่อแสดงจุดยืนของศาสนาคริสต์ โดยได้ประณามทั้งระบบทุนนิยมและ
ลัทธิมาร์กซ์ว่า ระบบทุนนิยมนั้นก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ และการกดขี่ ซึ่งขัดกับคำสอนที่ว่าด้วยศักดิ์
ศรีของมนุษย์ ส่วนลัทธิมาร์กซ์นั้นขัดกับคำสอนที่ว่าด้วยสิทธิ์ของปัจเจกบุคคล ที่จะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
  และขัดแย้งอย่างสำคัญต่อศาสนาคริสต์ ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ความเชื่อในพระเจ้า

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส