“วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรที่20 นอสตราดามุส” (ตอน1-15)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 8:25 pm

: หนังสือเรื่อง"วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส"
เนื้อเรื่องทั้งหมด 78 ตอน

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (1)👈
🌼--- คำนำของผู้เขียน [A] ---🌼
         
หนังสือ "ชนวนสงครามล้างโลก" (พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ) เป็นหนังสือที่ผมเรียบเรียง มาจากคำ
ทำนายต่างๆ ของนอสตราดามุส ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย คงมีอะไรบางอย่างที่ไปสะกิดใจ
คุณเปลว สีเงิน ผู้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ "สยามโพสต์" จึงได้เชิญผมไป
เขียนสัปดาห์ละครั้งในหัวข้อ "วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส"
ที่ว่าสะกิดใจคุณเปลว สีเงินนั้น จริงๆ แล้ว มันสะกิดใจผมก่อน จนนำไปสู่การค้นคว้าคำทำนาย
ของนอสตราดามุส และพระคัมภีร์ ที่สุดก็ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นหนังสือ "ชนวนสงครามล้างโลก"
(พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ)
การที่ซัดดัมบุกยึดคูเวต ร้อนถึงสหรัฐอเมริกาต้องนำพันธมิตรไปถล่มอิรัก เป็นสงครามอ่าวเ
ปอร์เซียนั้น ทำให้ผมหันมาเจาะลึกคำทำนายของนอสตราดามุส จนมั่นใจว่าจะเกิดสงครามโลก
ครั้งที่ 3 ซึ่งมีชนวนมาจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย แล้วจะลงเอยด้วยสงครามอาวุธชีวภาพ และหลัง
จากได้ค้นคว้าทางพระคัมภีร์ก็พบว่า สงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย หรือสงครามล้างโลก
ตามนัยแห่งพระคัมภีร์ หลังจากสงครามครั้งนี้ มนุษย์จะเหลือรอดน้อยมาก ถือเป็นการเปลี่ยนยุค หรือ
สิ้นยุค สิ้นโลกมนุษย์ที่ยึดวัตถุเป็นสรณะ แต่คำสิ้นโลก หรือ สิ้นพิภพที่ว่านี้ มิได้หมายความว่า โลกที่
เป็นวัตถุนี้จะแตกสลายไป ตรงกันข้าม โลกนี้จะถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่ให้สวยงามกว่าเก่า แล้วมนุษย์ที่
รอดเหลือนี้ จะตระหนักดีว่า บาปได้นำหายนะมาสู่มนุษยชาติอย่างไร จึงมุ่งแต่ยกระดับจิตวิญญาณ
ให้สูงขึ้น โดยหวังแต่เพียงอย่างเดียวว่า เมื่อต้องผ่านชีวิตนี้ไปแล้ว วิญญาณจะได้ไปเสวยสุขในวิมานสวรรค์
อาชญากรสงคราม หรือทรราช ซึ่งเป็นชนวนแห่งสงครามล้างโลกนี้คือผู้ใด? คำตอบ คือ แอนตี้ไคร้สต์
หรือ ปรปักษ์พระคริสต์ซึ่งก็คือ มนุษย์ผู้หนึ่งที่ถูกมารชาตานครอบงำ จะผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโลก ทั้งทาง
การเมือง ทางศาสนา และทางเศรษฐกิจ เป็นระยะเวลาสามปีครึ่ง ตามพระคัมภีร์เมื่อถึงช่วงเวลาที่
แอนตี้ไคร้สต์ครองโลก ก็แปลว่า เรากำลังอยู่ในยุคสุดท้าย หมายถึง โลกกำลังจะสิ้น แต่มิใช่โลกจะแตก
เพียงแต่สิ้นมนุษยชาติที่กำลังเจริญเฟื่องฟูทางวัตถุขั้นสุดยอด หรือพูดอีกนัยหนึ่ง สิ้นยุควัตถุนิยม
บริโภคนิยม หรือยุคเห็นแก่ตัว ซึ่งจะนำมนุษยชาติไปสู่จุดจบ
คำถามมีอยู่ว่า : "ทำไมจึงรู้ว่าเราอยู่ใกล้สงครามล้างโลก อันเป็นสัญญาณว่าจะเป็นการสิ้นสุด
แห่งยุค" คำตอบ : ก. โดยอาศัยการอ่านสัญญาณต่างๆ ที่มีระบุในพระคัมภีร์ซึ่งแบ่งเป็น 2 ภาค
ภาคที่ 1 พันธสัญญาเดิม (Old Testament) ถือเป็นพระวาจาของพระเจ้าตรัสผ่านบรรดาประกาศก
เริ่มตั้งแต่การสร้างโลก จนถึง ค.ศ. 1 ภาคที่ 2 ภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament) คือศิษย์ของ
พระเยซูบันทึกคำสั่งสอนของพระเยซู ซึ่งพระองค์ตรัสสอนต่อสาธารณชนที่ประเทศอิสราเอลราว 2000 ปี
ที่แล้ว
ข. อาศัยการเปิดเผยเป็นการส่วนตัว (Private revelation) จากพระเยซู หรือจากพระแม่มารีย์
ผ่านผู้ได้รับพรพิเศษ (Charismatic) หรือ ผู้มีฌานญาณ (Mystic) ในสมัยของเรานี้เอง
สำหรับนอสตราดามุสนั้น ผมเชื่อว่าท่านมีพรสวรรค์ในการทำนายจริง แต่ในยุคของท่าน ทางกรม
การศาสนาเคร่งครัดในเรื่องทำนายทายทักมาก เพราะเข้าข่ายพ่อมดหมอผี ท่านจึงใช้วิธีเขียนเป็นกลอน
บางตอนก็เป็นกลบท ใช้ศัพท์ยากๆ โบราณๆ เอาหลายๆ ภาษามายำ จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับผิด
ท่านได้ กลอนการทำนายของท่านจึงยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่สามารถตีความได้ถูกต้องจะต้อง
รอบรู้ทั้งในเรื่องภาษา และประวัติศาสตร์ อัจฉริยภาพในการทำนายของท่าน จึงยังคงเป็นที่ยอมรับนับถือ
มากว่า 400 ปี เพราะข้อนี้เอง จึงมีหลายคนฉกฉวยเอาความมีชื่อเสียงของท่านมาอ้างว่า นอสตราดามุส
ทำนาย ทั้งๆ ที่เป็นคำทำนายของผู้เขียนผู้นั้นเอง โดยมิได้หยิบยกคำทำนายที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า
นอสตราดามุสทำนายเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าอย่างไร สำหรับผมนั้นอาศัยอ่าน คำทำนายนอสตราดามุสที่
ถูกวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญหลายสิบท่าน ทั้งภาษาอิตาลี สเปน และอังกฤษ ผมซื้อมาจากทั่วโลกมาก
กว่า 40 ฉบับ พยายามอ่านจากหลายแหล่ง และจะเลือกการตีความที่เห็นว่าดีที่สุดผสมกับการวินิจฉัย
ของผมเองเป็นบางส่วน
ผมเริ่มเขียนบทความใน "สยามโพสต์" ตั้งแต่ปลายปี 1993 สามารถรวมเป็นเล่มได้ราว 5 เล่ม
แต่คิดที่จะรวบรวมเอาแค่ 3 เล่ม เล่มแรกให้ชื่อเรื่องว่า "วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์
และนอสตราดามุส" รวบรวมระหว่างปี 1993 - 1996 เล่มที่ 2 ชื่อ "เกาะติดวิกฤตโลก ผ่านพระคัมภีร์
และนอสตราดามุส" รวบรวมระหว่างปี 1995 - 1996 และเล่มที่ 3 ชื่อ "ฝ่ามหาวิปโยคสู่โลกใหม่
ผ่านพระคัมภีร์ และนอสตราดามุส" รวบรวมระหว่างปี 1996 - 1998

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ พ.ค. 01, 2023 8:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 8:37 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (2)👈
🌼--- คำนำของผู้เขียน --- 🌼
         
อนึ่งเมื่อหนังสือพิมพ์" สยามโพสต์" เปลี่ยนเจ้าของ คุณเปลว สีเงิน หยุดพักชั่วคราว คิดที่จะออก
หนังสือพิมพ์ของตนเอง ผมจึงหยุดเขียน ถือเป็นจังหวะที่จะได้แปลและเรียบเรียง นอสตราดามุสภาค 2
ตามที่ได้ตั้งใจไว้ต่อไป แต่ก็ถูกทาบทามในทันทีให้ไปเขียนให้ น.ส.พ. กรุงเทพธุรกิจ ในหมวด
"จุดประกาย" ใช้หัวข้อว่า "เกาะติดวิกฤตโลก ผ่านพระคัมภีร์ และนอสตราดามุส" ตั้งแต่ปี 1996
จนถึงปัจจุบัน
ในการค้นคว้าหาข้อมูลที่จะมาสนับสนุนเรื่องการสิ้นยุค นอกจากได้มาจากพระคัมภีร์ และจาก
การเปิดเผยเป็นการส่วนตัวจากพระเยซู หรือพระแม่มารีย์ ผ่านบุคคลผู้มีพรพิเศษบางท่านแล้ว ผมยัง
พยายามสืบเสาะข่าวสารจากหลายๆ แหล่งด้วยตนเอง เช่น เดินทางไปพบผู้อำนวยการ News Letter
Fatima International ออสเตรเลีย ได้ไปพบพระอธิการ มหาวิหารเซนต์แอนโทนี่ ปาดัว อิตาลี ผู้เขียน
หนังสือ Il libro della speranza ซึ่งเป็นการวิเคราะห์พระธรรมวิวรณ์ คือ บาทหลวง Martino Penasa
, O.F.M. Conv. ปริญญาโท ทางเทวศาสตร์และพระคัมภีร์ (Biblicum) ได้ไปพบอย่างน้อย 3 ครั้งที่ มิลาน
ท่านบาทหลวง สเตฟาโน กอบบี ซึ่งได้รับสารจากแม่พระด้วยการสนทนาทางจิต (Interior Locution)
เป็นเวลากว่า 25 ปี ท่านบันทึกสารของแม่พระเป็นหนังสือหลายสิบเล่ม นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมสัมมนา
ทางจิตวิญญาณพร้อมกับพระสงฆ์แห่งขบวนการของท่านราว 300 รูป ถึง 2 ครั้ง สุดท้ายได้เข้าร่วมสัมมนา
กับชาวอเมริกันและแคนาเดียนราว 100 ท่าน ที่กรุงโรมเมื่อปลายปี 1996 ในหัวข้อ "Fatima 2000"
โดยบาทหลวง นิโคลัส ครูเนอร์ ผู้อำนวยการนิตยสาร Fatima Crusader ท่านเป็นนักเคลื่อนไหวที่เข้มแข็ง
ในการรณรงค์เรียกร้องให้พระสันตะปาปา เปิดเผยความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา และเรียกร้องให้
พระสันตะปาปาเรียกประชุมพระสังฆราชทั่วโลก เพื่อถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระ
ตามคำขอร้องจากแม่พระที่ฟาติมา เพื่อให้เกิดสันติภาพในโลก ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคมนี้ ผมได้รับ
จดหมายจากท่าน เข้าใจว่าคงมีไปถึงสมาชิกนิตยสาร Fatima Crusader ทุกคน ให้อธิษฐานเผื่อท่าน
เป็นพิเศษ เพราะท่านถูกเรียกตัวเข้ากรุงโรมด้วยเรื่องร้ายแรงที่ไม่ชอบมาพากล เข้าใจว่า ท่านไปจี้จุด
"ความลับข้อที่ 3" ค่อนข้างถี่ ความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมานี้ แม่พระบอกให้เปิดเผยได้ในปี 1960 แต่
จนบัดนี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผย คงจะต้องมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง
สรุปแล้วข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวันสิ้นยุคที่รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ล้วนได้มาจากการเสาะแสวงหา
จากต้นตอแห่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น บางท่านที่เคร่งครัดในเรื่องความเชื่อมักจะอ้างพระคัมภีร์แบบยืน
กระต่ายขาเดียวว่า "แต่วันนั้น (วันสิ้นยุค) โมงนั้น ไม่มีใครรู้ แม้แต่ทูตสวรรค์ หรือพระบุตร (พระเยซู)
ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" แต่ลองมาฟังความคิดเห็นของนักเทวศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง 2 ท่าน ท่านแรก
คาร์ล ราห์เนอร์ กล่าวว่า มนุษย์จะเชื่อในการแทรกแซงจากสวรรค์ เช่นการปรากฏมาของแม่พระเพื่อ
มอบสารแก่บางคน เพื่อให้เกิดความมีชีวิตชีวาในคำสอนอันเป็นนามธรรมโดยนักเทวศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิ
ท่านที่ 2 เซนต์โทมัส อะไควนัส นักเทวศาสตร์ นักปรัชญาศาสตร์ และนักประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกได้
เขียนไว้ว่า "ในทุกยุคทุกสมัย มนุษย์ได้รับการสอนสั่งในเรื่องเกี่ยวกับความรอดพ้น และในทุกยุคทุกสมัย
ก็จะมีบุคคลที่ได้รับพรพระจิตในการทำนาย ไม่ใช่เป็นการประกาศความเชื่อใหม่ แต่เพื่อชี้นำพฤติกรรม
ของมนุษย์ ท่านเน้นอย่างชัดเจนว่า การที่คนส่วนใหญ่ต้องการหยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดโดนอาศัยการ
ปรากฏมาของแม่พระ หรือพระเยซูแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ถือเป็นการให้กำลังใจ หรือสะกิดใจ
ได้ดีกว่าการรับรู้จากพระคัมภีร์ อันจะเป็นการชักนำไปสู่ความรอดพ้นได้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะให้ความหวังอันบรรเจิด เพื่อจะได้ฟันฝ่่ พายุฝน ฟ้าคะนอง
ด้วยใจสงบ เพราะรู้แก่ใจว่า วันอันสดใสกำลังคอยเราอยู่ข้างหน้า หากเรา ทำใจ วางใจ และมั่นใจ
ขอพระอวยพรทุกท่าน
สนธิ สารธรรม
29 มิถุนายน 1998
วันฉลองเซนต์ปีเตอร์ พระสันตะปาปาองค์แรก

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 8:45 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (3)👈
🌼--- ปี 2000 สำคัญไฉน ---🌼

สืบเนื่องจากที่ซัดดัมบุกคูเวต เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดไปทั่วโลก ทำให้ผมซึ่ง
ศรัทธาในคำทำนายของนอสตราดามุส ฉุกคิดขึ้นมาว่า เขาได้ทำนายเหตุการณ์นี้ในหนังสือ
"เซ็นจูรี่" ของเขาด้วยหรือเปล่า จึงได้สั่งให้เพื่อนชาวอิตาลีและชาวสเปน ซื้อต้นฉบับที่เขียนเป็น
ภาษาฝรั่งเศส มีคำแปลเป็นภาษาอิตาลีและภาษาสเปน พร้อมด้วยบทวิเคราะห์ส่งมาให้ อ่านแล้วก็
รู้สึกพิศวงในอนาคตังสญาณของนอสตราตามุสเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นพรสวรรค์ที่น้อยคนจะมี เขา
ทำนายเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เป็นอดีตไปแล้ว แม้กระทั่งเหตุการณ์ในปัจจุบัน ได้อย่างแม่นยำแทบ
ไม่น่าเชื่อ และที่น่าขนหัวลุกก็คือ เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ นั่นก็คือ ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20
แต่เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า นอสตราดามุสไม่ได้หลอกเราเล่น จึงต้องค้นคว้าจากหลายๆ
แหล่ง ดูซิว่าทำไมวิบัติต่างๆ จะต้องเกิดในปี ค.ศ. 2000 เช่น จากหนังสือพิมพ์เยอรมัน "บิลด์ไซตุง"
ลงข่าวสะเทือนขวัญว่า "อานนี ชองตาล - ลาวาสเซอร์รีการ์ด" นักดาราศาสตร์ ชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า
"มีดาวพระเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 กม. หลุดจากวงโคจรของมันมุ่งหน้าสู่
โลกเราด้วยความเร็ว 1,000 กม.ต่อวินาที จะถึงโลกเรา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2000" ยังมีข่าว
ประเภทเดียวกันสหรัฐว่า "ดาวพระเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 - 2 ไมล์มีชื่อว่า "เทาทาทิส"
ค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส แถลงว่า ดาวนี้ได้โคจรเฉียดโลกเราเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1992
อาจจะพุ่งเข้าชนโลกเราได้ในปี 2004" นักดาราศาสตร์อเมริกันชื่อนายยูจีน ชูเมเกอร์ เผยว่า ถ้า
ดาวเทาทาทิสพุ่งชนโลก จะทำให้เกิดหลุมใหญ่ กว้าง 30 ไมล์ แต่หากตกลงสู่ทะเล ก็จะทำให้เกิด
คลื่นยักษ์น้ำท่วมโลก
นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ 2 ท่าน คือ จอห์น กริบบิน และสตีเฟน จี พลากมานน์ กล่าวว่า
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2000 ดาวพุธ ดาวอังคาร และโลก จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับ ดาวเสาร์
ดาวพฤหัส รวมทั้งดวงดาวอื่น ๆ ส่วนดาวศุกร์จะอยู่ใกล้ดาวพุธ จนเกือบเป็นเส้นตรงกับโลก ลักษณะ
การโคจรเช่นนี้ จะทำให้แกนหมุนของโลกเบี่ยงเบนไปจากเดิม และจะทำให้สนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง
ไปด้วย นักดาราศาสตร์ชาวบาบิลอน ชื่อ เบโรสซุส ได้กล่าวไว้เมื่อ 290 ปี ก่อนคริสตกาลว่า
วันที่ดวงดาวโคจรมาเป็นเส้นตรงกับกลุ่มดาวราศีกรกฎ ดาวพระเคราะห์ต่างๆ จะพยายามดึงดูด
กันและกัน จะก่อให้เกิดอาเพศ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์ถล่ม น้ำท่วม ในเดือนตุลาคม 1999
ปิรามิดของกษัตริย์อียิปต์โบราณนั้น สร้างขึ้นตามวิชาเรขาคณิต และการคำนวณถึงความเกี่ยว
พันกับดวงดาว ให้เราสังเกตถึงโครงสร้างของปิรามิด ดังต่อไปนี้
1. เส้นรอบวงฐานปิรามิดเท่ากับ 356.240 นิ้ว - ปิรามิด หรือเท่ากับจำนวนวันที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
หนึ่งรอบคูณด้วย 1,000
2. ความสูงปิรามิด คูณด้วย 1,000,000,000 จะเท่ากับระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์
3. เส้นรอบวงฐานของปิรามิดเมื่อหารด้วยจำนวน 2 เท่าของความสูงมีค่าเท่ากับ 3.1416
หรือค่าของ (3.1428)
4. ห้าสิบนิ้วปิรามิดมีค่าเท่ากับเศษหนึ่งส่วนสิบล้านของแกนขั้วโลก (EARTH'S POLAR AXIS)
5. น้ำหนักของปิรามิดกีซ่าคูณด้วย 1,000,000,000,000 จะเท่ากับน้ำหนักของโลก
6. เส้นรอบวงของฐานปิรามิด คูณด้วยสองจะเท่ากับหนึ่งนาทีขององศาที่เส้นศูนย์สูตร
นักดาราศาสตร์ชาวสก็อตชื่อ ชาร์ล ปิอัสซี สมิท เชื่อว่าในปัรามิดกีซ่า มีรหัสทำนาย
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ปรากฏอยู่บนแผ่นหิน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 4000 ปี
ก่อนค.ศ. และอวสานในวันที่ 17 กันยายน 2001
นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ยุคราศีมีนเกือบจะสิ้นแล้ว เรากำลังเข้าสู่ราศีกุมภ์
ในปี ค.ศ. 2000 บ้างก็ว่าปี 2023 บ้างก็ว่า 2033
เซนต์มาลาคี (MALACHY) เกิดปี 1094 ในเมืองอาร์มาค ไอร์แลนด์ เสียชีวิตที่เมืองเคียราวัลเล
(CHIARAVALLE) ปี 1148 เป็นสังฆราชปกครองเมือคอนเนอร์ และเป็นอัครสังฆราชปกครองเมือง
อาร์มาค ได้รับการสถาปนาเป็น "นักบุญ" เมื่อปี 1910 เป็นผู้ได้รับพรพิเศษจากพระผู้เป็นเจ้าในการ
ทำนาย และรักษาโรค ได้ทำนาย "เอกลักษณ์" ของโป๊ปตั้งแต่ปี 1139 จนถึงสิ้นยุค มีจำนวน 112 องค์
โป๊ปองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 110 ฉะนั้นยังเหลือโป๊ปอีก 2 องค์เท่านั้นก็จะสิ้นยุค
🔹ความเชื่อของศาสนาต่างๆ เกี่ยวกับอวสานของโลก🔹
👉 ศาสนาฮินดู เชื่อว่าโลกเรานี้มี 4 ยุค คือ 1. เทวปรยุค 2. เตตรยุค 3. สัตยยุค 4. กลียุค
ช่วงระยะเวลาของแต่ละยุคจะไม่เท่ากัน ยาวนานลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ จนถึงกลียุค ซึ่งเป็นระยะเวลา
สั้นที่สุด เพราะพลังแห่งการทำลายล้างกันมีความร้อนแรง เกิดในทันทีทันใด ส่วนพลังแห่งการ
สร้างสรรค์นั้นค่อยเป็นค่อยไป
👉 ศาสนาอิสลาม มีความเชื่อว่าสักวันหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุเมื่อใดจะเกิดเหตุวิปริตนานาประการ
ล้วนแต่เป็นเรื่องร้ายๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็จะเกิดทรยุคขุกเข็ญ เป็นมิคสัญญีขึ้นทั่วไป แล้วเกิดควันกลุ้ม
คลุ้มตลบไปทั่วจักรวาล แสดงว่าจักเกิดไฟประลัยกัลป์ เป็นอวสานของโลก
👉 ศาสนาพุทธ กลุ่มที่ 1 เชื่อว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า โคดม
จะมีอายุเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้นจะถึงยุคพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ พระนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย
ส่วนกลุ่มที่ 2 เชื่อว่า สิ่งทั้งปวงที่เป็นสังขารย่อมไม่เที่ยง อายุแห่งพระพุทธศาสนาก็ตกอยู่ในคติ
อนิจจังด้วย ขึ้นกับมนุษย์ผู้ถือเป็นสำคัญ ดังนั้นอายุของพุทธศาสนาจะยาวหรือสั้น จึงขึ้นอยู่กับพุทธบริษัท
👉 ศาสนายิว ศักราชของยิวปีนี้คือ 5753 นับเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก
ขณะนี้ชาวยิวกำลังรอพระเมสสิอาห์ (Messiah) หรือผู้นำ ที่สามารถนำชาติเข้าสู่ระดับมหาอำนาจ
มีพวกหัวอนุรักษ์สุดขั้ว กำลังประโคมข่าวกันเป็นเอิกเกริก มีการติดโปสเตอร์ติดบอร์ดกันเป็นการใ
หญ่ว่า พระเมสสิอาห์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว ขอให้ชาวอิสราเอลเตรียมตัวรับเสด็จ ชาวยิวเชื่อว่าอีกไ
ม่นานจะเกิดสงครามใหญ่ ฉะนั้นพวกเขาจึงสอดส่องมองหาคนที่จะมาเป็นผู้นำ เพื่อจะได้นำสันติสุข
มาสู่บ้านเมืองเสียที หลังจากระหกระเหินเป็นพันๆ ปีมาแล้ว
👉 ศาสนาคริสต์ คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ (คาทอลิก) มีทั้งหมด 73 ฉบับ แบ่งออกเป็น 2 ภาค
คือ ภาคพันธสัญญาเก่า (OId Testament) มี 46 ฉบับ และภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament)
มี 27 ฉบับ คัมภีร์ฉบับสุดท้ายเรียกว่า วิวรณ์ (APOCALYPSE) กล่าวถึง วาระสุดท้ายของโลก
สรุปใจความย่อๆ ดังนี้ ศาสนจักรของชาวคริสต์แบ่งออกเป็น 7 ยุค ยุค 300 ปี 6 ยุค ก็ 1800 ปี
ยุคที่ 7 ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายก็จะนับจากปี 1800 ถึงปี 2000 ยุคนี้สั้นแค่ 200 ปี ทั้งนี้เพราะมีกล่าว
ในคัมภีร์มัทธิวบทที่ 24 ข้อ 22 ว่า เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร (คนดี) จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
พระเยซูบอกใบ้อย่างไรว่าพระองค์จะเสด็จมาครั้งที่ 2 ? [ก่อนอื่นต้องเข้าใจขั้นตอน
1. เกิดมหาภัยพิบัติเป็นการลงโทษคนชั่ว แต่จะเว้นคนดี
2. พระองค์จะนิมิตแผ่นดินขึ้นใหม่
3. พระองค์จะครองโลก (แบบไหนคงจะต้องศึกษากันต่อไป) ที่เนรมิตใหม่กับคนดีตลอด
หนึ่งพันปี
4. การพิพากษาครั้งสุดท้าย คนดีไปสวรรค์ คนชั่วไปนรก]
คำตอบ โดยมัทธิว 24 : 32 - 35 จงเรียนคำเปรียบเทียบเรื่อง ต้นมะเดื่อ
(พระเยซูมักเปรียบชาวอิสราเอลเป็นต้นมะเดื่อ) เมื่อแตกกิ่งแตกใบ (ก่อตั้งประเทศขึ้นใหม่ในปี 1948)
ท่านก็รู้ว่า ฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านี้ ก็ให้รู้ว่า
พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว เราขอบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า "คนในชั่วอายุนี้จะ
ไม่ล่วงลับไป ก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายมิได้เลย"
ผมขอตีความย่อๆ ดังนี้ ผู้ที่เกิดใกล้ๆ ปี 1948 จะมีโอกาสเห็นพระเยซูเสด็จมาครั้งที่ 2 ส่วนจะเป็น
วันไหน และโมงไหน? พระเยซูเองเป็นผู้ให้คำตอบในมัทธิว 24 : 36 แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้แม้
บรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตร (พระเยซู) ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 8:50 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (4)👈
🌼--- เมื่อไรจะถึงวันสิ้นยุค [A] ---🌼
         
เมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับ ทุกศาสนาจะเหมือนกันหมด ทางคริสตศาสนาก็มีวันสิ้นพิภพ สิ้นโลกเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับผมชอบใช้คำว่าสิ้นยุค เพราะเข้าใจว่าโลกจะยังไม่สิ้น แต่ยุคแห่งความเห็นแก่ตัว ยุคแห่ง
ความเกลียดชังจะสิ้นไป แล้วเราก็จะเข้าสู่อีกยุคหนึ่ง เรียกว่ายุคแห่งความรัก มนุษย์ทุกคนจะตระหนัก
ดีว่าทุกคนเป็นบุตรบิดาเดียวกัน
โดยปกติทางคาทอลิกมักจะไม่ค่อยเน้นเรื่องวันสิ้นโลกเท่าไร คงจะเปรียบเหมือนความตาย ใครๆ
ก็รู้ว่าสักวันหนึ่งต้องตาย เพียงแต่ไม่รู้วันตายเท่านั้น และไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร จริงอยู่ ถ้าหาก
วันสิ้นยุคยังอยู่ไกล ก็ไม่น่าให้ความสนใจว่าจะมีรายละเอียด และขั้นตอนเป็นอย่างไร บังเอิญคราวที่
ซัดดัมบุกคูเวต เมื่อ 3 - 4 ปีมานี้ ทำให้ผมเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า นอสตราดามุสที่ว่าทำนาย
ได้แม่นยำ ได้ทำนายเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ด้วยหรือเปล่า จึงได้ให้เพื่อนชาวอิตาลี และชาวสเปนซื้อคำทำนาย
ของ นอสตราดามุสฉบับสมบูรณ์ ที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเคส และสเปน จึงรู้ว่า นอสตราดามุส ได้ทำนาย
เหตุการณ์ต่างๆ ไว้มากมาย รวมทั้งสงครามอ่าวเปอร์เซีย และการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ไซเวียตด้วย
ตั้งแต่ 400 ปีมาแล้ว และที่เพิ่มความตื่นเต้นขึ้นไปอีกก็คือ นอสตราดามุสบอกว่า ในเร็วๆ นี้จะเกิดสงคราม
โลกครั้งที่ 3 จะเริ่มต้นด้วยการบุกของชาวเอเชียต่อชาวยุโรป และหลังจากนั้นไม่นานนัก ก็จะถึงวันสิ้นยุค
ฉะนั้นจึงรู้สึกว่าจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เสียแล้ว ก็เลยหันมาสนใจในเรื่องวันสิ้นยุค ว่ามีรายละเอียดอย่างไร
และมีขั้นมีตอนอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง และเป็นการเตรียมใจรับเหตุการณ์
ด้วยความไม่ประมาทไปในตัว
เหตุการณ์ในวันสิ้นยุคนั้น ไม่มีใครบอกรายละเอียดได้ดี และน่าเชื่อถือเท่าพระเยซู เพียงแต่พระองค์
ไม่ได้ระบุวันเดือนปีเท่านั้น แต่เราก็พอจะตีความในคำอุปมาอุปไมยของพระองค์ได้บ้าง ลองมาเปิดพระวรสาร
โดย นักบุญ มัธธิว บทที่ 24 จะมีสิ่งใดเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ และวาระ
สุดท้ายของโลกบ้าง???"
พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้ใครชักนำไปในทางที่ผิด
เพราะจะมีหลายคนอ้างตนว่าเป็นพระคริสต์ (คือตัวเรา)
และจะชักนำคนเป็นอันมากให้หลงผิด ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวการสงคราม และข่าวลือเกี่ยวกับ
การทำสงครามอยู่เสมอ จงอย่าตื่นตระหนกไปเลย เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่ก็หา
ใช่เครื่องหมายบ่งบอกถึงวาระสุดท้ายของโลกอย่างใดไม่
ประเทศต่างๆ จะทำสงครามซึ่งกันและกัน และอาณาจักรต่างๆ จะรบราฆ่าฟันกัน จะเกิดการ
กันดารอาหาร และ แผ่นดินไหวในหลายประเทศ แต่เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงขั้นแรกของความทุกข์ยาก
และความสยดสยองนานาประการ ซึ่งจะมีมาในภายหน้า
ท่านทั้งหลายจะถูกจับไปทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส ถูกเข่นฆ่าประหัตประหาร
ตลอดจนถูกเกลียดชังในที่ทุกหนทุกแห่งในโลก เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายเป็นศิษย์ของเรา เวลานั้น
หลายคนจะเสื่อมถอยไปจากความเชื่อ จะเกลียดชัง และทรยศหักหลังซึ่งกันและกัน จะมีศาสดาเทียมเท็จ
เกิดขึ้นหลายคน และทำให้คนเป็นจำนวนมากต้องหลงผิดไป ความผิดบาปจะแพร่เชื้อไปทุกหนทุกแห่ง
และทำให้คนหลายคนคลายความรัก แต่ถ้าผู้ใดสู้ทนจนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์แห่ง
ความผิดบาป และข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า จะได้รับการประกาศเผยแผ่แก่นานาชาติ
ไปทั่วทุกมุมโลก แล้วต่อจากนั้นก็จะถึงวาระสุดท้าย
👉 ความวิบัติครั้งใหญ่ยิ่ง
เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งจะก่อให้เกิดภัยพิบัติ ตามที่ท่านประกาศกดาเนียล
กล่าวไว้ ตั้งอยู่ในพระวิหาร (ขอให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเอาเองเถิด)
ให้ทุกคนที่อยู่ในมณฑลคนยูดายหนีไปยังภูเขาในมณฑลนั้น
ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก ก็จงลงมาโดยเร็วอย่ากังวลในเรื่องที่จะเข้าไปเก็บข้าวของในบ้านอีก
ส่วนผู้ที่อยู่กลางทุ่งนา  ก็อย่าได้ห่วงถึงการที่จะกลับไปเอาเสื้อผ้าในบ้านอีกเลย
ในวาระนั้น ความเดือดร้อน จะเกิดแด่หญิงที่ตั้งครรภ์และแม่ลูกอ่อนเป็นที่สุด
ขอให้ท่านทั้งหลายจงอธิษฐาน เพื่อว่าเหตุการณ์นี้จะมิได้เกิดขึ้นแก่ท่านในฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต
เพราะในวาระนั้นจะเกิดการกดขี่ข่มเหง การคุกคามและบีบคั้นด้วยประการต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิด
ความเดือดร้อน ทุกขเวทนามากยิ่งกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกเป็นต้นมา หรือที่จะเกิดขึ้นอีก
ในอนาคตก็ตาม
ถ้าพระเจ้าไม่ทรงย่นเวลาที่เกิดภัยพิบัติเหล่านั้นให้สั้นเข้า มนุษย์ชาติทั้งปวงก็จะถึงแก่ความพินาศไปสิ้น
แต่เพราะเหตุที่พระเจ้าทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงบันดาลให้เวลานั้นสั้นเข้า
👉 อย่าเชื่อผู้สอนเท็จ
ฉะนั้นถ้าผู้ใดบอกแก่พวกท่านว่า "องค์พระคริสต์ ประทับอยู่ที่นี่ หรือที่นั่น" จงอย่าเชื่อเป็นอันขาด
เพราะเวลานั้นจะมี พระคริสต์เทียมเท็จ และประกาศกเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน พวกเขาจะสำแดงอิทธิฤทธิ์
เพื่อประกอบการมดเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อ แล้วผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ อาจถูกหลอกลวงด้วยเช่น
เดียวกัน จงระวังให้ดี เพราะเราได้เตือนพวกท่านให้รู้ตัวไว้แล้ว
ถ้าผู้ใดบอกท่านทั้งหลายว่า องค์พระคริสต์เสด็จมาแล้ว และประทับอยู่กลางทะเลทรายก็จะอย่า
ได้ไปดูเลย หรือถ้าใครบอกพวกท่านว่าพระองค์ทรงหลบซ่อนอยู่ ณ สถานที่ใด ก็อย่าได้เชื่อ เพราะว่า
แสงฟ้าแลบย่อมเปล่งประกายความสว่าง จากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก ฉันใด ในเวลาที่เรากลับมา
ยังโลกนี้ ก็จะเป็นประจักษ์แก่ตาของมวลมนุษย์ ฉันนั้น มีซากศพที่ไหนฝูงแร้งก็มักจะอยู่ที่นั้น
👉 พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกด้วยฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์
เมื่อเวลาแห่งการกดขี่ข่มเหง การคุกคามและความทุกข์ยากเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์
ก็จะดับมืดลง ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง และดวงดาวทั้งปวงก็จะร่วงหล่นจากฟากฟ้า สรรพพลังที่ครอบครอง
ในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
และในที่สุด จะมีนิมิตหมายปรากฏขึ้นในท้องฟ้า เป็นสัญญาณแห่งการมาของเรา เวลานั้นโลก
ทั้งโลกจะเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และประชาชาติทั้งปวงจะเห็นเรามาในหมู่เมฆอย่างมีสง่าราศี
และทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ เราจะส่งทูตสวรรค์ของเราออกไปทั่วจักรวาล ทูตสวรรค์เหล่านั้นจะเป่าแตร
เสียงดังกึกก้อง และจะรวบรวมผู้ที่เราเลือกสรรไว้ทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 8:54 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (5)👈
🌼--- เมื่อไรจะถึงวันสิ้นยุค ---🌼
🔹 บทเรียนจากต้นมะเดื่อเทศ

คราวนี้มาถึงบทเรียนที่ได้จาก ต้นมะเดื่อ
[*]เทศ เมื่อใดที่มันเริ่มแตกใบอ่อน ท่านทั้งหลายก็ย่อมรู้ว่า
ใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว ทำนองเดียวกันนี้เมื่อท่านเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราได้กล่าวมาแล้วเกิดขึ้น ก็จง
รู้ไว้เถิดว่า จวนจะถึงวาระที่เราจะกลับมายังโลกนี้แล้ว ประหนึ่งว่าเราได้มายืนอยู่ที่ประตูกระนั้น
เราขอบอกท่านทั้งหลายตามความจริงว่า ต่อเมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงจะถึง
กาลสิ้นสุดของยุคนี้ แม้ฟากฟ้าและแผ่นดินโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราก็จะยังคงอยู่นิรันดร
🔹ไม่มีใครรู้กำหนดเวลา ที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา
แต่ไม่มีใครรู้กำหนดวันเวลาแน่นอนว่า เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด แม้แต่ทูตสวรรค์หรือ
พระบุตรเองก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ นอกจากพระบิดาผู้เดียวเท่านั้น ก่อนหน้าที่ผู้คนในสมัยของโนอาห์จะ
ถูกน้ำท่วม พวกเขาหลงใหลอยู่แต่การจัดงานเลี้ยง การกินดื่ม และการแต่งงาน โดยปราศจากความ
ระวังระไว คนเหล่านั้นไม่เชื่อว่า จะมีภัยพิบัติอันร้ายแรงเกิดขึ้นแก่พวกของตน ตราบจนกระทั่งถูกน้ำท่วม
กวาดล้างจนสูญสิ้นไป สภาพความเป็นอยู่ของผู้คน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในสมัยของ
โนอาห์เป็นฉันใด ในวาระที่เรากลับมายังโลกนี้ ก็จะเป็นฉันนั้น
ในเวลานั้น ชายสองคนที่กำลังทำงานในไร่นาอยู่ด้วยกัน เราจะรับไปหนึ่งคน และละไว้หนึ่งคน
หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน เราจะรับไปหนึ่งคน และละไว้หนึ่งคน ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย
เตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเมื่อใด
จงสำนึกในความจริงข้อนี้เถิดว่า การที่เจ้าทรัพย์สามารถป้องกันทรัพย์สินของเขา ให้พ้นจาก
การปล้นสะดมภ์ของหมู่โจรได้ ก็เพราะเขาต้องคอยระแวดระวังอยู่ทุกเวลา เรื่องนี้เป็นฉันใด การที่ท่าน
ทั้งหลายจะสามารถรอดพ้น จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการมาของเรา ท่านก็จะต้องเตรียมพร้อมอยู่
เสมอฉันนั้น เพราะเวลาที่เราจะมานั้น จะไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้าแต่อย่างใด
🔹คนใช้ซื่อสัตย์กับคนใช้ที่อสัตย์อธรรม
ผู้ใดที่เป็น คนใช้ที่เฉลียวฉลาด และซื่อสัตย์ ต่อภาระหน้าที่ ตามที่นายของเขามอบหมายไว้
ให้ดูแลเรื่องอาหารการกินแก่ทุกคนในบ้านตรงตามเวลามิให้บกพร่อง ถ้านายของเขากลับมา และพบว่า
เขาปฏิบัติหน้าที่การงานตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เขาก็จะเป็นสุข เพราะผู้เป็นนาย
ย่อมจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทรัพย์สินทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่
แต่ถ้าคนใช้ผู้นั้นเป็นคนชั่ว คิดอยู่เสมอว่า 'นายข้าพเจ้าจะไม่มาในเร็ววันนี้หรอก' แล้วเริ่มต้นกดขี่
ข่มเหงเพื่อนคนใช้อื่นๆ และมัวเมาอยู่กับการกินและการดื่มร่วมกับพวกขี้เมา นายของเขาก็จะกลับมา
โดยที่เขามิได้คาดหมาย เพราะไม่รู้ตัว นายของเขาจะโบยตีเขาอย่างหนักจนเนื้อตัวแตกยับ และขับไล่
ให้ไปอยู่ในที่ซึ่งมีแต่ความทุกข์
วิจารณ์ [*] เครื่องหมายสำคัญอีกข้อหนึ่งที่จะบอกวันสิ้นยุค คือประเทศอิสราเอล ซึ่งพระเยซูมัก
เปรียบเทียบเหมือนต้นมะเดื่อ เช่นจากหนังสือโยเอลบทที่ 1 ข้อ 7 "เมื่อพระเจ้าลงโทษอิสราเอลโดยมือ
ของชนชาติอื่น พระองค์ตรัสว่า 'มันได้ทำลายเถ้าองุ่นของข้าพเจ้าเสีย และได้ปอกเปลือกต้นมะเดื่อของ
ข้าพเจ้า มันลอกเปลือกออก และโยนทิ้งเสีย กิ่งก้านก็ดูขาวโพลน'" ฉะนั้น คำเปรียบเทียบเรื่องต้นมะเดื่อ
ที่พูดถึงในบทนี้ก็คือ ประเทศอิสราเอล และเมื่อมะเดื่อต้นนี้เริ่มแตกกิ่งแตกใบ
(ก็หมายความว่า อิสราเอล สามารถตั้งประเทศขึ้นมาใหม่ ในปี 1948 หลังจากต้องระหกระเหินไปในปี 70)
เมื่อนั้นแหละให้รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมา (ครั้งที่ 2) ใกล้จะถึงประตูแล้ว คนในชั่วอายุนี้ (
ศาสนาจารย์หลายท่านตีความว่าคนที่เกิดราวปี 1948 ที่อิสราเอลตั้งประเทศขึ้นมาใหม่)
จะไม่ล่วงลับก่อนที่สิ่งทั้งปวงนั้น (วันสิ้นยุค) บังเกิดขึ้น
ลองมาดูกลอน นอสตราดามุสว่าได้พูดอะไรตอนก่อนสิ้นยุคบ้าง ในบทที่ 10/6
Un peu de temps les temples des couleurs
de blanc et noir des deux entre meslee:
ruges et Jaunes leur embleront les leurs
sang, terre, peste, faim, feu d'eau affollee.
อีกเวลาไม่นาน โบสถ์ต่างๆ (ศาสนจักร) จะมีหลากสีทั้งสีขาว และสีดำ จะต้องเคล้ากัน ทั้งสีแดง
และสีเหลือง ก็ดูเหมือนจะเป็นพวกเดิมนี่แหละ (แล้วที่สุดก็ไม่พ้น) เลือด แผ่นดิน โรคระบาด ความหิวโหย
ไฟแห่งน้ำที่เดือดพล่าน (ความกระหาย)
วิเคราะห์ บทวิเคราะห์นี้แปลมาจาก LAS PROFECIAS DEL FUTURO ของ ALICIA GALLOTI
ชาวอาร์เยนตินา
จริงๆ แล้ว ศาสนจักรควรจะต้องบริสุทธิ์ ผุดผ่อง (สีขาว) แต่ก็ไม่วาย ไปคลุกเคล้ากับความชั่ว (สีดำ)
จนได้ และแล้วก็จะค่อยๆ หนักข้อไปจนแปดเปื้อน ด้วยเลือด (สีแดง) และโรคภัยไข้เจ็บ (สีเหลือง)
เลือดมาจากการขัดแย้งซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากแย่งที่ทำมาหากิน แล้วโรคภัยไข้เจ็บที่ มาจากเราเอง
วิ่งหามัน เช่นโรคเอดส์ ความอดอยากหิวโหย ก็มีสาเหตุตัวเราเอง ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม สรุปแล้ว ไม่ว่า
จะเป็น ศาสนาก็ดี โลกเราก็ดี จะไม่สิ้น หากตัวเราเองไม่เป็นต้นเหตุ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:02 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (6)👈
🌼--- โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 --- 🌼
         
เมื่อไม่กี่วันมานี้ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2 ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา ณ เมืองเดนเวอร์
รัฐโคโลราโด ในงานชุมนุมเยาวชนทั่วโลกจาก 107 ประเทศ
(มีเยาวชนไทย 3 คน และบาทหลวงไทย 3 รูปด้วย) นิตยสาร TIME ยกย่องโป๊ปว่า เป็น Superstar
รุ่นเก๋า ขนาดอายุ 73 ปี ยังสามารถดึงดูดผู้คนไปเกือบ 2 แสนคน ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ให้การ
ต้อนรับโป๊ป จอห์น พอล เป็นอย่างดี ถึงแม้ชาวคาทอลิกอเมริกันไม่สู้จะเห็นด้วยกับโป๊ปในหลาย
ประเด็นก็ตาม เช่นเรื่อง การทำแท้ง พระองค์ใช้คำค่อนข้างรุนแรงว่า "เป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์" ทั้งๆ ที่
พระองค์รู้ดีว่าคลินตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ก็เพราะมีนโบาย ทำแท้งโดยเสรี พระองค์ทรง
ประณามประเทศที่ถึงแล้วซึ่งความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ประสบผลสำเร็จในการค้นคว้าตัวยา
ที่สามารถธำรงชีวิตให้ยืนยาว แต่ไฉนจึงมีความนึกคิดวิปริต ที่จะทำลายชีวิตเพื่อเอาบุญ หรือพ้นทุกข์
ให้เร็วขึ้น อย่างที่บางท่านใช้ศัพท์ไทยว่า เมตตาฆาตกรรม (Euthanasia) นอกจากนั้น พระองค์ยัง
ทรงประณามบรรดาพระสงฆ์ ที่ประพฤติผิดศีลพรหมจรรย์ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และเปิดเผยต่อสาธารณชน
อย่างที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีสังฆราช (Bishop) อเมริกันหลายท่าน ได้ขอให้ทาง
สำนักงานวาติกันรีบดำเนินการ ที่จะอนุญาตให้พระสงฆ์บางรูป สึกจากสมณเพศ เพื่อสามารถออกไป
ใช้ชีวิตฆราวาสได้อย่างถูกต้องตามจารีตประเพณี ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ที่ชาวอเมริกันเรียกร้องให้ยอม
รับสตรี หรือ ชายที่แต่งงานแล้วบวชเป็นพระสงฆ์ แต่โป๊ปไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
          นี่ก็เป็นธรรมเนียมของโป๊ปทุกครั้งที่เสด็จเยี่ยมประเทศไหนก็มักจะมี "สาร" ถึง "สัตบุรุษ"
ของประเทศนั้น เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้ยึดมั่นในหลัก "คำสอน" ของพระศาสนจักรสืบไป
          คาทอลิกอเมริกันส่วนใหญ่ยอมรับนับถือว่า โป๊ปจอห์น พอล เป็นผู้นำทางศีลธรรม และ ทางจิตใจ
และชื่นชมพระองค์เป็นพิเศษที่ได้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อความเป็นธรรมในสังคม พระองค์ทรง
ต่อต้านลัทธิถือผิวอย่างแข็งขัน และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเอา
จริงเอาจัง จนสามารถทำให้คอมมิวนิสต์ที่กำลังปกครองประเทศ โปแลนด์ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
ของพระองค์ ให้ล่มสลายไป เป็นผลให้ประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก พลอยล้มตามเหมือน
เกมดอมิโน รวมทั้ง ยักษ์ใหญ่โซเวียต ผู้เป็นต้นแบบคอมมิวนิสต์ด้วย อาจจะเป็นข้อนี้กระมังที่คอมมิวนิสต์
โซเวียตเห็นว่า พระองค์ จะเป็นต้นเหตุแห่งหายนะของตน จึงได้วางแผนที่จะกำจัดพระองค์ โดยส่งมือปืนชื่อ
เมห์เหม็ด อาลี อัคคา ไปสังหารพระองค์ แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต ขณะพระองค์ทรงรถจี้ปเปิดประทุนกำลังทักทาย
ฝูงชนที่พากันมาเข้าเฝ้าพระองค์ ที่หน้าพระวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในวันพุธที่ 13 พฤษภาคม 1981 นับเป็น
เหตุการณ์สะเทือนขวัญแก่คนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวคาทอลิก แน่นอนเหลือเกินเหตุการณ์ครึกโครม
ระดับชาติเช่นนี้ คงไม่พ้นสายตาทิพย์ของนอสตราดามุสไปได้ ให้เราเปิดกลอนของนอสตราดามุส บทที่ 97/2
Romain Pontife garde de t'approcher,
De la cité que deux fleuves arrouse,
Ton sang viendra aupres de là cracher,
Toy & les tiens quand fleurira la rose,
โป๊ปโรมันเอ๋ย! จงระวังคนที่จะเข้าใกล้เจ้า
ณ เมืองที่มีแม่น้ำสองสายไหลผ่าน
เลือดของเจ้าจะหลั่งและทางโน้นก็จะกระอัก
ทั้งตัวเจ้า และญาติพี่น้องของเจ้าด้วย
ในขณะที่ต้นกุหลาบกำลังผลิดอก
          กลอนบทนี้ นอสตราดามุส ต้องการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อพระสันตะปาปา เขาจึง
ใช้สรรพนามบุรุษที่สอง อันเป็นการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนพี่เหมือนน้อง ในบรรทัดแรก
นอสตราดามุสเตือนพระองค์ให้ระวัง เวลามีคนเข้าใกล้ เพราะการกิจอันเป็นกิจวัตรทุกๆ วันพุธ พระองค์
จะเสด็จออกมาที่พระลานหน้าพระวิหารนักบุญเปโตร เพื่อให้พสกนิกรเข้าเฝ้า ก็แน่นอนเหลือเกินที่คน
จะถือโอกาสนี้ลอบสังหารพระองค์ กล่าวคือในวันพุธที่ 13 พฤษภาคม 1981 นายเมห์เหม็ด อาลี อัคคา
ได้ลั่นกระสุนใส่พระองค์ ซึ่งตอนนี้กำลังรับกรรมอยู่ในคุกอิตาลี
          ในบรรทัด ที่ 2 เมืองที่มีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่านก็คือ กรุงโรม ซึ่งมีแม่น้ำ เตเวเร (Tevere) และ
อานีเอเน (Aniene) คำเตเวเรออกเสียงแบบอิตาลี นักศึกษาไทยมักจะรู้จักศัพท์ภาษาอังกฤษว่า
ไทเบอร์ (Tiber)
          คำกลอน 2 บาทสุดท้ายนี้ น่าสนใจมาก คือ คำ la rose ดอกกุหลาบซึ่งเป็นสัญลักษณ์
ของพรรคสังคมนิยมในยุโรป และในภาษาสลาฟก็ตรงกับคำ Orja ซึ่งแปลว่าทาสด้วย นอสตราดามุส
ต้องการสื่อเป็น 3 นัยคือ
          นัยที่ 1 พรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส (rose) จะได้รับชัยชนะ กล่าวคือ นายฟรังซัวส์ มิตเตอร์รอง
ได้รับแต่งตั้งเป็น ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1981
          นัยที่ 2 ความเป็นทาส (orja) ในโปแลนด์ซึ่งเป็นมาตุภูมิของโป๊ปกำลังผลิดอกออกช่อเช่นกัน
กล่าวคือในเดือนธันวาคม 1981 รัฐบาลโปแลนด์ประกาศใช้ กฎอัยการศึก หลังจากมีการเสียเลือดเนื้อ
ระหว่างการปะทะกัน ระหว่างทหารของรัฐบาลและ สหภาพแรงงานโซลิดาริตี้ของนายวาเวนซา
อันเป็นเหตุให้นายวาเวนซาต้องระเห็จเข้าไปในคุก จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 1982 ในคำกลอนนั้น
นอสตราดามุสจึงเตือนว่า "ทั้งตัวเจ้า (ซึ่งตอนนี้ประทับในกรุงโรม) และญาติพี่น้องของเจ้าทางข้างโน้น
aupres de là (ซึ่งอยู่ในโปแลนด์โน้น) ให้ระวังให้จงหนักจะต้องหลั่งเลือดเช่นกัน"
       นัยที่ 3 วันที่ 13 พฤษภาคมที่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์นั้นก็เป็นเดือนที่ดอกกุหลาบผลิดอกจริงๆ ด้วย
        นับเป็นการทำนายทายทักที่เฉียบขาดชิ้นหนึ่ง
        หลังจากโป๊ปถูกลอบปลงพระชนม์แค่ 6 สัปดาห์ ประธานาธิบดีเรแกน ก็ถูกลอบยิงบาดเจ็บสาหัสอีก
ผมเข้าใจว่าบุคคลทั้ง 2 ถูกปองร้ายด้วยสาเหตุเดียวกัน นิตยสาร TIME ลงความเห็นว่า พระเจ้าทรงไว้ชีวิต
บุคคลทั้งสอง เพื่อให้ประกอบภารกิจสำคัญในวันข้างหน้า นั่นก็คือในวันที่ 7 มิถุนายน 1982 บุคคลทั้งสอง
ได้มาปรากฏตัวที่ห้องสมุดของสำนักวาติกัน ทั้ง โป๊ป และ เรแกน ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการพูดคุยถึงปัญหา
ตะวันออกกลาง ตามที่มีข่าวออกไป แต่ใช้เวลานานนับชั่วโมง ข่าวมิได้ระบุว่านานกี่ชั่วโมง ที่จะทำ งานใหญ่
นิตยสารเรียกบุคคลทั้งสองนี้ว่า "พันธมิตรศักดิ์สิทธิ์" งานใหญ่ ที่ว่านี้คือ ทำอย่างไรจึงจะขจัดลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่เกาะกินโปแลนด์ และยุโรปตะวันออกไปได้ ในการพบปะกันครั้งนี้ บุคคลทั้งสองได้ตกลงจะดำเนินแผนใต้ดิน
ที่จะล้ม "จักรวรรดิ์คอมมิวนิสต์" ให้เร็วที่สุด ปฏิบัติการขั้นแรกพุ่งเป้าไปยังโปแลนด์ ประเทศบริวารโซเวียต
ที่มีประชากรมากที่สุด และ เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของ โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 บุคคลทั้งสองเชื่อมั่นว่า โปแลนด์
จะ "หลุด" จากวงโคจรของโซเวียตได้ ถ้าวาติกันและสหรัฐ ใช้ทรัพยากรทุกรูปแบบที่มีอยู่ ในการสั่นคลอน
เสถียรภาพรัฐบาลโปแลนด์ และพยายามที่จะชุบชีวิตสหภาพแรงงานโซลิดาริตี้ ให้ฟื้นขึ้นมาเสียใหม่
หลังจากประกาศกฎอัยการศึกในปี 1981
          ปฏิบัติการ "พันธมิตรศักดิ์สิทธิ์" โดยการส่งอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เข้าไปในโปแลนด์ เช่น เครื่องแฟกซ์
นับเป็นเครื่องแรกในโปแลนด์ เครื่องพิมพ์ โทรศัพท์ วิทยุคลื่นสั้น กล้องวิดีโอ เครื่องถ่ายเอกสาร
เครื่องเทเลกซ์ คอมพิวเตอร์ WORD PROCESSOR ถูกลักลอบนำเข้าไปโดยทางพวกนักบวช สายลับ
อเมริกัน ตัวแทนสหพันธ์กรรมกรอเมริกัน และขบวนการกรรมกรยุโรป ที่สำคัญคือ เงิน ได้มาจากซี.ไอ.เอ.
วาติกัน และ WESTERN TRADE UNION นายวาเวนซาและหัวหน้าคนอื่นๆ ของโซลิดาริตี้ จะได้รับ
คำแนะนำในกลยุทธ์ต่างๆ โดยมากจะผ่านทางพวกนักบวช หรือผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานอเมริกัน
หรือยุโรป ทางฝ่ายอเมริกันจะพยายามใช้กลยุทธ์กดดันโซเวียตด้านอื่นอีก เช่นชูแผนโครงการ
STAR WAR เป็นการสร้างสมอาวุธไฮเทคแบบสุดๆ ซึ่งทำให้โซเวียตมิอาจจะต่อกรกับสหรัฐในเรื่องนี้
เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก ลอบปฏิบัติการบางอย่างโดยมีจุดประสงค์ที่จะบำรุงขวัญแก่ขบวนการปฏิรูป
ให้มีใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งที่จะลงมือใน ฮังการี เชคโกสโลวาเกีย และ โปแลนด์ ให้ความช่วยเหลือทาง
การเงินแก่ สนธิสัญญาวอซอร์ เพื่อจะได้มีความตั้งใจจริงที่จะป้องกันสิทธิมนุษยชน และดำเนินการทาง
การเมือง และปฏิรูปตลาดเสรี กระทั่งโซลิดาริตี้ได้รับสถานภาพ เป็นองค์กรถูกต้องตามกฎหมาย
ในปี 1989 นายวาเวนซา สามารถดึงพรรคคอมมิวนิสต์ มานั่งเจรจา และยอมวางอำนาจในที่สุด
นายวาเวนซา กรรมกรอู่ต่อเรือก็มานั่งแป้นเป็นประธานาธิบดีในปลายปี 1990 แล้วคอมมิวนิสต์
ยุโรปตะวันออก ก็ล้มตามโปแลนด์ จนกระทั่งยักษ์ใหญ่ตัวสุดท้าย คือ โซเวียตก็ล้มครืนตามมา
ในฤดูร้อนปี 1991 เป็นไปตามแผนของ "พันธมิตรศักดิ์สิทธิ์" ทุกประการ


💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:09 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (7)👈
🌼--- ผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ---🌼
       
   บทความที่แล้วผมได้กล่าวว่า โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวฉกาจ
จนสามารถทำให้ประเทศคอมมิวนิสต์พังได้ในที่สุด แต่บุคคลแรก ที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์
อย่างฉกรรจ์ ก็คือโป๊ปเลโอที่ 13 พระองค์ทรงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา
เมื่อปี 1878 ขณะมีพระชนมายุได้ 68 พรรษา พระองค์ทรงต้องเผชิญกับการท้าทาย และความ
กดดันอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับเรื่องกรรมกร ความเจริญอย่างรวดเร็วของโรงงานอุตสาหกรรม
และสาเหตุแห่งความอดอยากในชนบท ทำให้ประชาชนอพยพเข้าสู่เมือง ทั้งหญิงและเด็กต้อง
ทำงานติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้าย อันเป็นผลจากระบบเศรษฐกิจ
แบบทุนนิยม เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วยุโรป มีการลดค่าจ้าง จึงได้เกิดการลุกฮือของ
กรรมกร อันเป็นอิทธิพลของแนวคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ของ คาร์ล มาร์กซ์ และ เฟรเดริก เองเกลส์
ซึ่งได้ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ "COMMUNIST MANIFESTO" มาร์กซ์ เป็นนักปรัชญาวัตถุนิยม ซึ่งมองว่า
ไม่ใช่จิต หรือความคิด ที่เป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก หากเป็น วัตถุเศรษฐกิจและ
วิธีการผลิต เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง เรื่อง "ปากท้อง" เป็นเหตุที่มาของการดิ้นรน
ต่อสู้ทางสังคม ซึ่งแบ่งชนชั้นคนรวย - คนจน ฝ่ายปกครอง - ฝ่ายถูกปกครอง ฝ่ายนายทุน - ฝ่ายกรรมกร
มาร์กซ์เน้นว่า ชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลกจะต้องร่วมกันต่อต้านนายทุน เพื่อนำโลกเข้าสู่ระบบสังคมนิยม
และเมื่อพัฒนาถึงระดับแล้ว โลกก็จะกลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ในที่สุด ในสังคมคอมมิวนิสต์นั้น
ทุกคนจะอยู่กันอย่างผาสุก มีฐานะเท่าเทียมกัน ไม่มีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เกิดสังคมใหม่ที่ปราศจาก
ชนชั้น ในที่สุดรัฐซึ่งมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชนส่วนใหญ่ ก็จะหมดความจำเป็นและสลายตัวไปเอง
ในระหว่างการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนี้ ศาสนามีบทบาทสำคัญ ในการให้ความชอบธรรมกับผู้มีอำนาจ
ซึ่งอ้างว่าตนเองมี "บุญวาสนา" "พระเจ้าโปรดปราน" ผู้ได้เปรียบเหล่านี้จะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ
"มอมเมา" ประชาชน ให้ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่โดยดุษฎี ให้มีความหวังว่า จะได้รับผลตอบแทนใน
"ชาติหน้า" นี่คือ "ความแปลกแยก" ประการแรกของสังคมมนุษย์ ศาสนาจะหมดไป เมื่อชนชั้นหมดไป
          โดยเหตุที่โป๊ปเลโอที่ 13 มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล ถือว่า ลัทธิมาร์กซ์เป็นมารตัวสำคัญ ที่จะมาท
ำลายมนุษยชาติ จึงได้ประณามและกล่าวโทษอย่างรุนแรงโดยออกสมณสาร (ENCYCLICAL)
ชื่อ RERUM NOVARUM (สภาพของกรรมกร) ในปี 1891 เพื่อแสดงจุดยืนของศาสนาคริสต์ โดยได้
ประณามทั้งระบบทุนนิยม และ ลัทธิมาร์กซ์ว่า ระบบทุนนิยมนั้นก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ และการ
กดขี่ ซึ่งขัดกับคำสอนที่ว่าด้วยศักดิ์ศรีของมนุษย์ ส่วนลัทธิมาร์กซ์นั้นขัดกับคำสอนที่ว่าด้วยสิทธิ์ของ
ปัจเจกบุคคล ที่จะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และขัดแย้งอย่างสำคัญต่อศาสนาคริสต์ ซึ่งมีรากฐานอยู่
ที่ความเชื่อในพระเจ้า
          จะขอนำสาระสำคัญๆ ของสมณสารของโป๊ปเลโอที่ 13 มาย่อๆ ดังนี้
*มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน *ค่าของมนุษย์อยู่ที่การเป็นคน และการมีคุณธรรม *มนุษย์เป็น
บุตรของพระเจ้าและทายาทสวรรค์ *พระเจ้าทรงอยู่ข้างคนจน *การใช้คนเยี่ยงทาสเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี
ของมนุษย์ *มนุษย์มีความแตกต่างกันตามธรรมชาติในหลายด้าน แต่ความแตกต่างนั้นมีคุณประโยชน์
ต่อสังคมมนุษย์ *ธรรมชาติผลักดันให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เช่น ครอบครัว, สมาคม, สหภาพแรงงาน
*ทุนและแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ธรรมชาติกำหนดให้คนทั้งสองชนชั้น ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
และกัน *ศาสนามีบทบาทสำคัญยิ่งในการรวมมนุษยชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน *มนุษย์ทุกคนมีสิทธิโดย
ธรรมชาติที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน *มนุษย์ต้องใช้ทรัพย์สินในทางที่ถูกต้อง พร้อมที่จะแบ่งปันแก่ผู้ขัดสน
*มนุษย์มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา *คนรวยต้องควบคุมตน มิให้โลภในข้าวของเงินทองจนเกินไป
และกินอยู่อย่างประหยัด *ส่วนคนจนก็มิให้เอาใจใส่ หาความสุขด้านวัตถุมากจนให้ความสนใจแก่เรื่อง
จิตวิญญาณน้อยเกินไป *การทำงานมิใช่สิ่งไร้เกียรติ พระเยซูเองยังเกิดมาเป็นลูกช่างไม้ ฯลฯ
สมณสารฉบับนี้ยังเสนอแนวทางให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงปฏิบัติคือ ทุนและแรงงานฝ่ายหนึ่ง
กับเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีพระศาสนจักรเป็นคนกลางประสานทั้งสองฝ่าย ทุนกับแรงงาน
ต้องเคารพเกียรติและสิทธิของกันและกัน กับปฏิบัติหน้าที่ที่มีต่อกันอย่างครบถ้วน ส่วนผู้บริหารบ้านเมือง
ไม่ใช่วางตัวเฉยต่อสถานการณ์อยุติธรรมที่เกิดขึ้น แต่ต้องหันหน้ามาทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของคน
ทุกชนชั้นอย่างเสมอหน้ากัน หมายความว่า นายทุนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง เลิกนำเอาทฤษฎี
เศรษฐศาสตร์ของสำนักคลาสสิก มาปฏิบัติในชีวิตเศรษฐกิจของสังคม ได้แก่ ลัทธิเสรีนิยมนั่นเอง ซึ่งปล่อย
ให้เอกชนมีเสรีภาพ ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การแข่งขันอย่างเต็มที่ ตลอดจนการจ่ายค่าจ้างต่ำสุดแก่
ผู้ขายแรงงาน เพื่อกำไรสูงสุดของคนชั้นกลาง โดยที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด ทฤษฎีนี้ได้สร้าง
ความลำบากยากเข็ญแก่แรงงาน ส่วนแรงงานก็ต้องหันหลังให้กับลัทธิสังคมนิยมของ มาร์กซ์ นี่เป็น
สมณสารที่โป๊ปเลโอที่ 13 ออกมาเพื่อสกัดกั้นลัทธิอุบาทว์คอมมิวนิสต์ ซึ่งยังไม่ทันโผล่หัวให้เห็นชัดนัก
เมื่อ 98 ปีที่แล้ว เพราะยังเป็นเพียงปรัชญาที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองสนับสนุน พระองค์เพียงแค่ "ไหว้ครู"
เท่านั้น พอระฆังยกแรกดังขึ้นในปี 1917 เมื่อพรรคบอลเชวิคโดยการนำของเลนินเข้ายึดอำนาจในรัสเซีย
ก็เริ่มใช้วิชามารหัวแดงลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โป๊ปเลโอที่ 13 ยังมิทันได้ต่อกรกับมารหัวแดง
ก็ถึงอสัญกรรมเสียก่อนในปี 1903 ขณะมีพระชนมายุ 93 พรรษา จึงเป็นหน้าที่ของโป๊ปองค์ต่อๆ มา
ปะทะกันถึง 73 ปีเศษ เจ้า "มารหัวแดง" จึงล่มสลายไป เป็นที่สะใจของคนทั้งโลก
โป๊ปเลโอที่ 13 ยังได้ออกสมณสารสำคัญอีกฉบับหนึ่งชื่อ Humanum Genus เพื่อต่อต้าน
สมาคมลับฟรีเมซอน (FREEMASON) ซึ่งพระองค์ถือเป็นมารสำคัญอีกตัวหนึ่ง เรียกกันว่า "มารหัวดำ"
เป็นมารพระศาสนาโดยเฉพาะ วัตถุประสงค์สำคัญคือต้องการทำลายนักบวชและศาสนาคริสต์
"มารหัวแดง" มีอายุแค่ 73 ปีเศษ ก็สิ้นท่า แต่ "มารหัวดำ" เหนือชั้นกว่า คือเกิดเมื่อปี 1717 นับถึง
ขณะนี้ก็อายุ 276 ปี ว่ากันว่าหนังเหนียวสุดๆ เพราะมันโวว่าจะอยู่สู้จนถึงที่สุด จนกว่าจะพังไปข้างหนึ่ง
ประวัติย่อของลัทธิฟรีเมซอน (FREEMASON) ตามตำนานเล่าว่าในปี 302 สมัยจักรพรรดิ
ไดโอคลีเซียน (DIOCLETION) มีช่างก่อตึกอิสระ (FREEMASON) 4 คน ได้ปฏิเสธที่จะแกะสลักเทวรูป
(เพราะขัดกับศาสนา) จึงถูกประหารชีวิต ช่างก่อตึกทั้ง 4 คนมีชื่อดังนี้ เกลาดิโอ (CLAUDIO)
นิกอสตราโด (NICOSTRATO) ซินฟรอนีอาโน (SINFRONIANO) และซิมปลีโช (SIMPLICIO)
ทั้ง 4 คนนี้ได้รับเกียรติเป็นวีรชนของพวกช่างก่อตึกอิสระ (FREEMASON) แล้วก็มีชมรมช่างก่อตึก
เหล่านี้เรื่อยมา จนถึงปี 1717 จึงได้ถีบตัวขึ้นเป็นสถาบัน เริ่มที่ประเทศอังกฤษ มีการแต่งตั้งตำแหน่ง
GRAND LODGE ชื่อ A. SKYERS. แต่ที่เด่นที่สุดก็คือ JAMES ANDERSON สถาบันฟรีเมซอนนี้
เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการของคนชั้นสูงในยุโรปตั้งแต่ปี 1723 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์ใหญ่ก็คือ
เพื่อหางานให้สมาชิก และบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม แต่จะต่อต้านนักบวช และศาสนาคริสต์ คาทอลิก
นโปเลียนก็เป็นผู้หนึ่งที่คลั่งไคล้ในลัทธินี้
ปี 1738 โป๊ป เคลเมนด์ที่ 12 ประณามฟรีเมซอน และห้ามชาวคาทอลิกร่วมสมาคมมาโซนิก
นอกจากนี้โป๊ปเบเนดิกที่ 14 ปีโอที่ 7 ปีโอที่ 9 และเลโอที่ 13 ก็ประกาศคว่ำบาตรสมาคมลับฟรีเมซอน
เช่นเดียวกัน ในปัจจุบัน สมณกระทรวงพระธรรมความเชื่อในปี 1983 ระบุว่า ใครก็ตามเข้าเป็นสมาชิก
มาโซนิก ถือว่ากระทำบาปข้ออุกฉกรรจ์ มีสมาชิกสมาคมลับฟรีเมซอนทั่วโลกอยู่ประมาณ 6 ล้านคน
แต่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเสีย 4 ล้านคน
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า เรื่องเกิดในวันที่ 13 ตุลาคม 1884 เมื่อโป๊ปเลโอที่ 13 เสร็จพิธีถวาย
มิสซาในโบสถ์น้อยส่วนพระองค์ ซึ่งมีพระคาร์ดินัลบางท่านกับเจ้าหน้าที่สำนักวาติกันร่วมพิธีด้วย
ทรงประทับยืนนิ่งอยู่เชิงแท่น คล้ายถูกสะกดจิตราว 10 นาที พระพักตร์ซีดเผือด แล้วเสด็จไปยัง
โต๊ะพระอักษร นิพนธ์บทสวดถวายเซนต์ไมเคิล (หัวหน้าเทวดา ซึ่งเป็นผู้ขับเทวดาชั่ว-มาร ออกจากสวรรค์)
บัญชาให้พระสงฆ์ทั่วโลกคุกเข่าสวดบทนี้ หลังพิธีมิสซาตั้งแต่นั้นมา มีผู้ทูลถาม "เกิดอะไรขึ้น" พระองค์
ดำรัสตอบว่า ขณะจะออกจากเชิงแท่น ได้ยินสองเสียงโต้เถียงกัน เสียงหนึ่งเยือกเย็นสุขุม อีกเสียงหนึ่ง
ห้าวหยาบคาย ไม่มีน้ำไม่มีนวล ดังมาจากหลังพระแท่น จึงยืนฟังจับความได้ดังนี้
"ข้าจะโค่นศาสนาเจ้าลง" เสียงห้าวของมารซาตาน
"อยากดี ก็ลองดู" เสียงพระเจ้าตอบเรียบๆ
"ให้เวลา ให้อำนาจข้ามากกว่านี้สิ"
"ต้องการเวลาสักเท่าไหร่ ?"
"75 ถึง 100 ปีก็พอ แต่ต้องให้ข้ามีอำนาจเหนือคนที่มาทำงานกะข้าด้วยนะ"
"ตกลง"...
โป๊ป เลโอที่ 13 สิ้นพระชนม์ 90 ปีมาแล้ว ในปี 1903

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:14 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (8)👈
🌼--- 73 ปี 7 เดือน มารหัวแดงในรัสเซียก็สิ้นฤทธิ์ [A] ---🌼
         
ในบทความครั้งที่แล้ว เราได้เห็นโป๊ป เลโอที่ 13 ผู้มีสายตายาวไกลถึงภยันตราย ที่ลัทธิคอมมิวนิสต์
จะนำมาสู่มนุษยชาติ จึงได้เตรียมการรับมือมารหัวแดงตัวนี้อย่างแข็งขัน แล้วโป๊ปองค์ต่อๆ มาก็
พยายามเดินตามนโยบายของพระองค์เรื่อยมา เช่น โป๊ปปีโอที่ 11 ในปี 1931 ก็ได้ออกสมณสาร
QUADRAGESIMO ANNO ระบบ สังคม สิทธิและหน้าที่ของนายทุน และ คนงานตามแนวทาง
ของพระวรสาร โป๊ปจอห์น ที่ 23 ออกในปี 1963 ชื่อ PACEM IN TERRIS สันติภาพในโลก ความ
รับผิดชอบของประเทศที่ร่ำรวย ต่อประเทศที่ยากจน ปัญหาด้านอาวุธนิวเคลียร์ และปัญหาเกี่ยวกับ
เชื้อชาติ โป๊ป พอลที่ 6 ออกในปี 1965 ชื่อ GAUDIUM ET SPES ธรรมนูญด้านการอภิบาลของ
พระศาสนจักรในโลกปัจจุบัน และ โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ออกเมื่อปี 1981 ชื่อ FAMILIARIS CONSORTIO
บทบาทของคริสต์ชนในปัจจุบัน
คอมมิวนิสต์เข้าครองในรัสเซีย สงครามโลกครั้งที่ 1 มีผลกระทบมากต่อเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองในประเทศต่างๆ ปัญหากรรมกรว่างงานทวีความรุนแรงขึ้น พวกเขาต้องอยู่กันอย่างแร้นแค้น
จึงหันไปฝากความหวังกับพรรคการเมือง ซึ่งนิยมการปกครองแบบเผด็จการ รัสเซียเป็นประเทศแรก
ที่นำเอาการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จมาใช้ในปี 1917 ต่อมา อิตาลีซึ่งมีมุสโสลินีเป็นผู้นำ ก็ได้นำ
การปกครองแบบนี้มาใช้ในปี 1922 เยอรมนีโดยฮิตเลอร์ในปี 1933 ตุรกีโดยอตาเตอร์กในปี 1923
นอกจากนี้ก็มี ยูโกสลาเวีย ฮังการี โปรตุเกส และ สเปน โดย ฟรังโกซึ่งครองอำนาจอยู่เกือบ 40 ปี
การปฏิวัติในรัสเซีย เกิดขึ้นเมื่อเดือน มีนาคม 1917 เริ่มต้นด้วยการผละงานของกรรมกรที่
กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กืทหารขัดคำสั่งรัฐบาล จนในที่สุด พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกมติหาชนบังคับ
ให้สละราชบัลลังก์ ต่อมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว มีเจ้าชายลวอฟ (LVOV) เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่อยู่ได้ไม่นาน แล้วเคอเรนสกี นักสังคมนิยมหัวปานกลางขึ้นมาเป็นนายกฯ แทน
หลังปฏิวัติไม่นาน เลนิน ได้รับความช่วยเหลือจากเยอรมนี ให้ลอบหนีจากสวิตเซอร์แลนด์
กลับมายังรัสเซียเป็นผลสำเร็จ พวกบอลเชวิกสามารถเข้าควบคุมสภากรรมกรที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
และตามหัวเมืองใหญ่ไว้ได้ ในที่สุดก็ใช้กำลังล้มรัฐบาลเคอเรนสกี และจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นแทน
ในเดือนพฤศจิกายน 1917 (ตามปฏิทินรัสเซียเป็นเดือนตุลาคม)
รัฐบาลคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเลนิน ต้องเผชิญกับปัญหาและการกิจมากมายเช่น
การปราบปรามศัตรูของพรรค ให้สำเร็จโทษพระเจ้าซาร์ และพระราชวงศ์ (มีนาคม 1918) ต้องทำ
สงครามกลางเมืองกับพวกรัสเซียขาว แต่รัฐบาลก็สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จโดยใช้
กองทัพแดงภายใต้การนำของ ทรอสกี ตลอดจนอาศัยความสามารถในการใช้ระบบเผด็จการควบคุม
สถานการณ์ไว้ได้ หลังเลนิน ที่ถึงยุค สตาลิน ซึ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างรัสเซียให้เป็นมหาอำนาจของโลก
ถือเป็นยุคมืดอีกยุคหนึ่ง ที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกถึงความเหี้ยมโหด ยิ่งกว่าทรราชใดๆ ในโลก
แห่งยุคสงครามเย็น
ยุคต่อมาก็ถึงยุคของ ครุสช้อฟ ที่เผชิญหน้ากับ เคนเนดี้ ขนาดขนจรวดนำวิถี ไปติดตั้งที่คิวมา
ในปี 1962 เป็นการ "จ่อคอหอย" สหรัฐอย่างน่าใจหายที่สุด ในยุคสงครามเย็นนี้ ถ้าเราได้ติดตามข่าว
อย่างจริงจังกับมัน จะมีอาการเครียดไม่น้อยทีเดียว ในท้ายที่สุดก็ถึงยุคคอร์บาช้อฟ ที่มีนโยบาย ปฏิรูป
ประชาธิปไตย เปเรสตรอยกา จนถึงจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 1991 เป็นการสู้
กันระหว่าง 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมคอมมิวนิสต์ และฝ่ายประชาธิปไตย และพวกเราก็ทราบกันดีแล้ว
ว่าฝ่ายประชาธิปไตย โดยนายบอริส เยลต์ซิน ชนะอย่างท่วมท้นในรัฐรัสเซีย ซึ่งมีพลเมือง 150 ล้าน
เป็นหนึ่งใน 15 รัฐของสหภาพโซเวียตซึ่งมีพลเมือง 300 ล้านคน ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะ
ของฝ่ายประชาธิปไตย หรือพูดอีกนัยหนึ่ง เป็นการพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของฝ่ายคอมมิวนิสต์
แล้วก็มาถึงวันรัฐประหารครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 19 สิงหาคม 1991 ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดย
เยลต์ซิน ได้ปลุกระดมประชาชนให้ออกมาสู้กับกระบอกปืน เพื่อจะย้ำว่าประชาธิปไตย (ประชาชนมือเปล่า)
นั้นใหญ่กว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์ (ที่มีอาวุธ) อย่างไม่ต้องสงสัย มีปาฏิหาริย์อันใดเกิดขึ้นหรือ
จึงไม่มีการนองเลือด!...
สรุปได้ว่า คอมมิวนิสต์เกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1917 ตอนเลนินขึ้นสู่อำนาจ และตายเมื่อ
เดือนมิถุนายน 1991 ตอนที่เยลต์ซิน ฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นเถลิงอำนาจเป็นประธานธิบดี นั่นก็คือ
คอมมิวนิสต์ในรัสเซียสิ้นอายุขัยเพียง 73 ปี 7 เดือน ตรงตามที่นอสตราดามุสได้ทำนายไว้
เมื่อ 400 ปีก่อนอย่างเหมาะเหม็ง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:20 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (9)👈
🌼--- 73 ปี 7 เดือน มารหัวแดงในรัสเซียก็สิ้นฤทธิ์ ---🌼
         
ลองมาดู คำทำนายที่เขาได้เขียนในรูปของจดหมาย กราบทูลพระเจ้าอังรีที่ 2
(Ll - lll)...et s'en suivent apres d'extremes changemens, permutations de regnes,
par grand tremblement de terre, avec pullulation de la neufve Babylone,
fille miserable augmentee par I' abomination du premier holocauste, et ne tiendra
tant seulement que septante trois ans, sept mois.
...จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอนรากถอนโคน มีการเปลี่ยนอาณาจักรแปลงอาณาเขต พร้อมกับ
มีแผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยๆ มีการแพร่พันธุ์ ความชั่วร้ายใหม่ (ลัทธิคอมมิวนิสต์ นอสตราดามุสใช้
คำศัพท์ Babylone นครแห่งบาป เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย อันจะทำให้มนุษย์ต่อต้านพระเจ้า
ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ชาวนครบาบิโลนได้สร้างหอบาเบล เจตนาให้สูงถึงฟ้า เพราะต้องการขึ้นไป
พบพระเจ้าทุกครั้งที่ตนต้องการ มนุษย์แสดงความยะโสโอหัง ขาดความเคารพยำเกรงพระเจ้าอย่าง
โฉดเขลา น่าสะอิดสะเอียน นอสตราดามุสจึงเปรียบเทียบลัทธิที่ไม่เคารพยำเกรงพระเจ้าเป็น บาบิโลนใหม่)
เป็นเหมือนลูกสาวที่น่าสงสาร ซึ่งจะแพร่พันธุ์ที่ชั่วร้ายนี้ เพราะสงครามโลก *ครั้งที่ 1 (1914 - 1918)
อันน่าชังเป็นเหตุ แต่ทว่ามันจะดำรงคงอยู่แค่ 73 ปี 7 เดือน
*คำ "สงครามโลก" นอสตราดามุสใช้ศัพท์ Holocauste จากคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งมีรากศัพท์จาก
ภาษาฮีบรู Holo- ทั้งหมด Causte- เผา เป็นธรรมเนียมของชาวยิวที่เผาสัตว์ทั้งตัวเป็นเครื่องบูชาแด่
พระเจ้า หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยัญบูชา"
นอกจากได้ทำนายไว้ในจดหมายถึงพระเจ้าอังรีที่ 2 แล้ว นอสตราดามุสยังได้ทำนายไว้
ในคำกลอนบทที่ 16/1 ดังนี้
Faulx a l'estang ioncte vers le Sagittaire,
En son hault AUGE de l'exaltation,
Peste, famine, mort de main militaire,
Le siecle approche de renovation.
เมื่อเคียว (ดาวเสาร์) ในสระ (ราศีกุมภ์) โคจรมาอยู่ที่ราศีธนู
ได้พัฒนามาถึงปลายทางแห่งการสรรเสริญ
ก็จะโดนกระหน่ำด้วยโรคติดต่อ ความอดอยาก ความตายของกองทัพทหาร
ขณะที่รอบศตวรรษใหม่กำลังเข้ามาใกล้
วิเคราะห์ บรรทัดแรก ผู้เชี่ยวชาญงานของนอสตราดามุส ชาวรูมาเนียชื่อ วลาอีกู โยเนสกู
(Vlaicu lonescu) ระบุว่า เคียว หมายถึง สหภาพโซเวียตอันมี ฆ้อน และ เคียว เป็นสัญลักษณ์
ถือเป็นดาวเสาร์ และโคจรในลักษณะนี้ ตามตำราดาราศาสตร์ก็จะตกในวันที่ 20 พฤษภาคม ถึง
20 มิถุนายน 1991
บรรทัดที่ 2 ได้เดินทางมาถึงปลายทาง หรือ สุดทางของมันก็จะต้องหวนกลับ แม้จะได้รับ
การสรรเสริญอย่างไรบ้างก็มาถึงที่สุดแล้ว
บรรทัดที่ 3 ที่ว่าสุดทางก็เพราะจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว จะพบแต่ความอดอยาก โรคติดต่อ
และ ความตายของกองทัพ ก็หมายถึงความไร้ชีวิตชีวา หรือขาดเอกภาพของกองทัพ คำ main คือ
มือ หมายถึงกองทัพ militaire คือ ทหาร ความล้มเหลวในการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1991 นี้ เ
ป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดของวลีที่ว่า "ความตายของกองทัพทหาร"
บรรทัดที่ 4 ค่อนข้างชัดเจน อีกไม่กี่ปี ก็จะถึงรอบศตวรรษใหม่คือ ศตวรรษที่ 21
เหตุการณ์ตอนยึดอำนาจ 3 วัน
บทที่ 52/4
En cite obsesse anx murs hommes & femmes,
Ennemis hors le chef prest a' soy rendre:
Vent sera fort encontre les gensdarmes,
Chassez seront par chaux, poussiere, & cendre.
ฝูงชนทั้งชายและหญิงมาชุมนุมกันที่กำแพงในเมืองที่ถูกครอบงำ (จากพวกก่อการ)
พวกต่อต้านออกมาข้างนอกพร้อมผู้นำ (นายเยลต์ซิน ที่ไม่ค่อยแน่ใจในตัวเอง ถึงกับพูดทางโทรศัพท์
กับผู้นำตะวันตกว่า เวลาเหลือน้อยแล้ว) มีท่าทีจะยอมจำนน
แต่ลมแรงได้พัดกองกำลังรักษาความสงบ
พวกเขาถูกขับไล่ด้วย ปูนขาว ฝุ่น และขี้เถ้า
นั่นก็เป็นเรื่องของนอสตราดามุส ผู้มีพรสวรรค์ (CHARISMA) ได้ทำนายการล่มสลายของ
คอมมิวนิสต์ไว้ล่วงหน้าถึง 400 ปี แต่ก่อนหน้าที่เลนินจะปฏิวัติยึดอำนาจ แล้วนำลัทธิคอมมิวนิสต์
มาปกครองในรัสเซียในเดือนพฤศจิกายน 1917 นั้น พระแม่มารีย์ก็ได้ปรากฏองค์มาพบเด็ก 3 คน
ที่ฟาติมา โปรตุเกส ในเดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม 1917 (ก่อนปฏิวัติแค่ 1 เดือน) เพื่อมอบ "สาร"
สำคัญให้แก่โลก "สาร" นั้นมักเรียกกันว่า ความลับ มี 3 ข้อ ความลับข้อที่ 1 คือสงครามโลกครั้งที่ 1
(1914 - 1918) จะสิ้นสุดแล้ว ความลับข้อที่ 2 รัสเซียจะแพร่เชื้อร้ายไปทั่วโลก จะเลิกนับถือพระเจ้า
แต่ในที่สุด จะกลับใจใหม่หันเข้าหาพระดังเดิม ศรัทธาแก่กล้ายิ่งกว่าเดิม และจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
(1939 - 1945) อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก่อนจะเกิดสงครามจะมีแสงประหลาดเกิดขึ้นก่อน
(และก็เป็นความจริง กล่าวคือในคืนวันที่ 25 มกราคม 1938 ได้เกิดแสงสว่างจ้าหลายชั่วโมง ทำให้
ทั่วยุโรปมองเห็นได้ เป็นแสงลึกลับเหนือธรรมชาติ) ส่วนความลับข้อที่ 3 นั้นแม่พระให้เปิดเผยได้
ในปี 1960 แต่พอถึงปี 1960 ทางวาติกันผู้เก็บความลับนี้ไว้ ก็ยังไม่ยอมเปิดเผย ทางสื่อมวลชนพยายาม
คาดคั้นที่จะรู้ความลับนี้ แต่ก็ไร้ผล ได้รับคำตอบเพียงอย่างเดียวว่า ให้สวดขอพระให้เมตตามนุษย์มากๆ
คนทั่วไปก็ตีความกันไปเองว่าจะต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทางผู้ใหญ่ไม่กล้าเผย เกรงจะ
เกิดความโกลาหล ถ้าจะให้ผมเดาความลับข้อที่ 3 คือจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่สำคัญคือ เมื่อไร?
สรุปได้ว่า คอมมิวนิสต์เกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1917 ตอนที่เลนินขึ้นสู่อำนาจ และต่อมา
เมื่อเดือนมิถุนายน 1991 ตอนที่เยลต์ซินฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นเถลิงอำนาจเป็นประธานาธิบดี
นั่นก็คือคอมมิวนิสต์ในรัสเซียสิ้นอายุขัยเพียง 73 ปี 7 เดือน ตรงตามที่นอสตราดามุสได้ทำนายไว้
เมื่อ 400 ปีก่อนอย่างเหมาะเหม็ง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:28 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 10 )👈
🌼--- โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 เยือนอดีตสหภาพโซเวียต [A] ---🌼
         
เมื่อวันที่ 4 เดือนที่แล้ว สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2 ได้เสด็จเยือนประเทศแถบบอลติก
อดีตสหภาพโซเวียต นับเป็นทัวร์ครั้งที่ 61 ทีโป๊ปเสด็จต่างประเทศ ทันทีที่เสด็จลงจากเครื่องบิน
ถึงนครหลวง VILNIUS แห่ง LITHUANIA พระองค์จุมพิตพื้นดินดังที่เคยกระทำทุกแห่งที่พระองค์
เสด็จ ครั้งนี้พระองค์โสมนัสเป็นพิเศษ พระทัยเปี่ยมล้นด้วยกตเวทิตาต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้โปรด
ให้ประเทศนี้ผ่านมรสุมร้ายมาสดๆ ร้อนๆ หมายถึง เหตุการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในปี 1990
ที่ลิธัวเนียประกาศอิสรภาพ และในเดือนมกราคม 1991 กองทหารของโซเวียตได้ยิงกราดผู้เรียกร้อง
ตายไป 13 คน แต่ในที่สุดก็ได้อิสรภาพในปลายปีนั้นเอง แล้วทหารโซเวียตก็ได้ออกจากประเทศนี้
ไปโดยสิ้นเชิง เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมปีนี้ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จเยือนแค่ 3 วัน ลิธัวเนียเป็นประเทศ
ทางยุโรปเหนือ มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ 3 พันปีก่อนคริสตกาล
บรรพบุรุษของชาวลิธัวเนียปัจจุบันได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อศตวรรษที่ 10 ศาสนาคริสต์ได้แผ่
เข้ามาในศตวรรษที่ 11 แต่ได้ยอมรับนับถือกันอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 14 สมัยที่อยู่ในครอบครอง
ของโปแลนด์ นอกจากนี้ ลิธัวเนียยังถูกครอบครองโดย ปรัสเซีย และรัสเซียด้วย ลิธัวเนียได้รับการ
ประกาศเอกราชในปี 1920 แล้วในปี 1939 ก็ถูกบังคับให้อยู่ในบล็อกของประเทศสังคมนิยม และ
ในท้ายที่สุดก็เป็นรัฐๆ หนึ่งของสหภาพโซเวียต เพิ่งได้รับอิสรภาพเต็มที่เมื่อ 3 วัน ก่อนที่โป๊ปจอห์น
พอลที่ 2 จะเสด็จมานี่เอง โดยที่ลิธัวเนียถูกระบบคอมมิวนิสต์เข้าครอบครองเกือบกึ่งศตวรรษ
ความเชื่อในธรรมะหรือพระเจ้า ก็ถูกบังคับให้ลืมเลือนไป โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 จึงได้ปลุกเร้า และ
ให้กำลังใจกับพระสงฆ์ นักบวช เพื่อจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อทางศาสนาขึ้นมาใหม่ ประเทศนี้มีสมญา
ว่า \"ประเทศแห่งไม้กางเขน" เพราะว่าจะเห็นไม้กางเขนปักอยู่ทั่วไป ไม่ว่าตามถนนหนทาง
หรือ ไร่ นา ป่า เขา และที่จริงประเทศลิธัวเนียนี้ช่างโชคร้ายเป็นเสมือนมรรคาแห่งกางเขน
(คือเส้นทางที่พระเยซูต้องแบกกางเขนจนถึงถูกตรึงบนยอดเขากัลวาริโอ) นั่นก็คือ ต้องได้รับเคราะห์
กรรมต่างๆ นานาอยู่เป็นนิจ ฉะนั้นพระองค์จึงเตือนใจพระสงฆ์ นักบวช ให้มีน้ำอดน้ำทน พร้อมที่จะ
ให้อภัย และคืนดีกัน ในสายตาของพวกเขาไม่ควรจะต้องมีผู้แพ้ หรือผู้ชนะ ผู้แพ้ (ประชาชน) จะต้อง
ลืมความหลังที่อยุติธรรมต่างๆ ไว้เบื้องหลัง ขอให้คิดเสียว่าความลำบากที่ได้รับในอดีต เป็นการใช้
โทษบาป หรือ ใช้กรรมเก่า สำหรับผู้ชนะ (เจ้าหน้าที่ของรัฐ) ตอนนี้อาจจะต้องถูกบังคับขู่เข็ญบ้าง
ก็ต้องอย่าลืมคำว่า "ให้อภัย" นั่นแหละจะเป็นที่มาแห่งสันติสุขที่แท้จริง
จากลิธัวเนียพระองค์ก็เสด็จสู่ประเทศ LATVIA ณ นครหลวง RIGA ในวันที่ 8 กันยายน ประชากร
ของประเทศนี้มี 2.6 ล้าน 52 % เป็นชาวลัทเวีย 47 % เป็นชาวรัสเซีย ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่สหภาพ
โซเวียตครองอยู่ ชาวรัสเซียที่อยู่ในลัทเวียก็ใช้ภาษาของตนเอง แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป
ชาวรัสเซียก็จะต้องอยู่อย่างลำบากในประเทศนี้ จะให้กลับไปอยู่รัสเซียก็ไม่รู้จักใคร เพราะได้มาตั้งร
กรากที่ลัทเวียนานถึง 50 ปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งเชื้อสายโปแลนด์ แต่สามารถ
ปรับตัวได้ดีกว่า และสามารถอยู่ร่วมกับชาวลัทเวียอย่างปกติสุข ถึงกระนั้น โป๊ป ซึ่งเป็นชาวโปแลนด์
ก็ตรัสกับพวกเขาเป็นภาษาอิตาเลียน แล้วใช้ล่ามแปล เพื่อมิให้เป็นที่ครหาว่าเลือกที่รักมักที่ชัง พระองค์
ยังเสด็จวิหารของชาวคริสต์นิกายลูเธอรัน ร่วมอธิษฐาน โดยมีจุดประสงค์ที่จะกลับมาคืนดีร่วมเป็นนิกาย
เดียวกันใหม่ จากนั้นพระองค์เสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์สู่ปูชนียสถานแม่พระที่เมือง AGLONA เพื่อถวาย
บูชามิสซา ร่วมกับพระสังฆราช และพระสงฆ์แห่งเมืองนี้
ในวันที่ 10 กันยายน พระองค์ได้เสด็จสู่ประเทศ ESTONIA ณ นครหลวง TALLINN หลังจาก
เสด็จเยี่ยมวิหารเซนต์ปีเตอร์และเซนต์พอลแล้ว ก็เสด็จสู่โบสถ์เซนต์นิโคลัสร่วมอธิษฐานเพื่อเอกภาพ
เช่นเดียวกัน เพราะทั้งที่เอสโทเนีย และลัทเวีย คริสตชนส่วนใหญ่เป็นคริสต์นิกายลูเธอรัน และออร์ธอดอกซ์
หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จเยี่ยมท่านประธานาธิบดี LENNART MERI ท่านแสดงความชื่นชมวาติกัน
ในอดีต ที่ได้ปฏิเสธการรับรองโซเวียตที่จะผนวกประเทศแถบบอลติกเข้ากับสหภาพโซเวียต ท่านยัง
เรียกร้องให้โป๊ปเข้ามาช่วยเอสทัวเนีย ให้ได้เอกราชอย่างสมบูรณ์ ท่านหวังว่าการเยี่ยมเยือนของ
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอล คงจะช่วยปลุกเร้าโลกคาทอลิก จะได้สำแดงพลังในยุโรป เพื่อเร่ง
ให้มีการเซ็นสัญญา ในการถอนกำลังทหารของต่างชาติออกไปจากเอสทัวเนียโดยปราศจากเงื่อนไข
ในเร็ววัน ในเอสทัวเนียยังมีทหารรัสเซียอยู่ถึง 6 พันคน นับเป็นชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ คือประมาณ 38%
ในประชากรทั้งหมด 1.6 ล้านคน ชาวรัสเซียโดยทั่วไปจะไม่พูดภาษาเอสทัวเนีย เพราะเป็นภาษาค่อน
ข้างยาก ใกล้เคียงกับภาษาฟินแลนด์ มีข้อกฎหมายระบุว่า ผู้ต้องการจะมีสัญชาติเอสทัวเนียต้องสอบ
ผ่านภาษาเอสทัวเนียก่อน จึงก่อให้เกิดความยุ่งยากใจ สำหรับชาวรัสเซียชนกลุ่มน้อย ซึ่งต้องกลาย
เป็นคนต่างด้าวชาวต่างแดนไป เมื่อประเทศนี้ได้ประกาศอิสรภาพเมื่อเร็วๆ นี้ โป๊ปจึงเข้ามาช่วยประนีป
ระนอมในความยุ่งยากโดยเตือนใจว่า "ภาษาควรที่จะเป็นเครื่องมือ นำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
มิใช่เป็นเครื่องกีดขวางที่ทำให้ต้องแตกแยกกัน" โป๊ปทรงตรัสภาษาเอสทัวเนีย หลังจากทรงศึกษามา
1 เดือนก่อนที่จะเสด็จมาเอสทัวเนีย มีชาวคาทอลิกแค่ 5 พันคน เพียง 0.3% ของประชากรทั้งหมด
1.6 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นออร์ธอดอกซ์ และลูเธอรัน
หลังจาก 10 ชั่วโมง ที่พระองค์ได้ประกอบพระภารกิจในเอสทัวเนีย ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ของสหภาพโซเวียต อันเป็นดินแดนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับวาติกันมาเกือบหนึ่งศตวรรษ พระองค์เสด็จ
กลับกรุงโรมใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมงโดยสายการบินอาลิตาเลีย ผมคิดว่าถึงแม้พระองค์จะเหน็ดเหนื่อย
สักเพียงใดก็คงหลับไม่ลงขณะบินสู่อิตาลี คงจะทรงปลาบปลื้มพระทัย เปรียบเหมือนผู้อาวุโส
ในครอบครัวไปเยี่ยมลูหลานที่ต้องโทษถึงกึ่งศตวรรษ เพิ่งพ้นโทษมาใหม่ๆ
จะนำความปลื้มปิติสักเพียงใด ฉันใดก็ฉันนั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:34 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 11 )👈
🌼--- โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 เยือนอดีตสหภาพโซเวียต ---🌼
         
ลองมาดูกลอนของนอสตราดามุสว่าได้ทำนายเกี่ยวกับการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์นั้น
เริ่มต้นมาจากรัฐเล็กๆ ของสหภาพโซเวียตเป็นหัวหอกก่อน และรัฐอื่นๆ ก็ค่อยล้มตามมา
ในบทที่ 95/3
La loy Moricque on verra deffaillir,
Apres une autre beaucoup plus seductive:
Boristhennes premier viendra faillir,
Par dons et langue une plus attractive.
กฎของมอร์จะถึงจุดเสื่อม
เพราะกฎอื่นมันล่อใจมากกว่า
จะเริ่มเสื่อมแถบแม่น้ำโบริสเทนเนสก่อน
ทั้งนี้ (ในโลกเสรี) สินค้าก็มีให้เลือกมากมาย
และภาษาที่ใช้ก็เย้ายวนใจ
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 แนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่เพิ่งเกิดมาเมื่อร้อยปีมานี้ พัฒนามาจาก
แนวคิดยูโทเปียของ โทมัส มอร์ เมื่อประมาณ 500 ปีก่อนนี้ ท่านโทมัส มอร์ เกิดที่ลอนดอน
เมื่อปี 1478 ท่านเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด รุ่นเดียวกับอีแรสมัส เป็นเหตุให้สนใจ
ลัทธิมนุษย์นิยมแบบคริสต์ไปด้วย มอร์เป็นผู้คัดค้านพฤติกรรมที่เรียกว่าลัทธิมาเกียเวลลี ที่ถือ
คติว่า ฝ่ายที่ชนะทางการเมืองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ท่าน มอร์ กล้าแฉความลับของนักการเมืองที่เลว
แต่สนับสนุนให้เล่นการเมืองอย่างซื่อสัตย์สุจริต เพื่อนำชาติไปสู่สภาพสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งท่าน
ประดิษฐ์นามสมมติให้ว่า เกาะอูโตเปีย (UTOPIA) หรือ ยูโทเปีย คำนี้หมายถึงรัฐในอุดมคติหรือ
อุตมรัฐ เป็นภาษากรีก แปลว่า ไม่มีสถานที่ได้เลย (U = ไม่ + TOPIA = สถานที่) เป็นนามสมมติ
ของเกาะหนึ่ง ซึ่งพลเมืองปกครองกันเอง และแบ่งงานกันทำด้วยความอารีอารอบต่อกัน ทุกคนใช้
เสรีภาพในขอบเขตที่ถูกต้อง และทุกคนมีความสุข ไม่มีใครเบียดเบียนใคร และไม่มีใครหวาด
ระแวงใคร ทุกคนรักและดูแลทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันอย่างเอาใจใส่ ราวกับเป็นของตนเอง
ทุกคนอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง
นอสตราดามุสเป็นคนรุ่นเดียวกับโทมัส มอร์ คงจะต้องเคยอ่านยูโทเปียของ มอร์ ซึ่งถือเป็น
แม่บทของลัทธิสังคมนิยมอย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงพรรณนาในกลอนบรรทัดแรกว่า กฎของมอร์
จะถึงจุดเสื่อม หลังจากที่ถูกนำไปใช้นานถึง 73 ปีกว่า
บรรทัดที่ 2 กฎของมอร์หรือลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ละคนไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินอันใดเลย
ทุกอย่างเป็นกลางหมด กฎอื่นก็คือ กฎที่มนุษย์สามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทำมากได้มาก
อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ย่อมดีกว่า หรือล่อใจมนุษย์ให้อยากได้ใคร่ดีมากกว่า
บรรทัดที่ 3 บริเวณที่เป็นจุดเล็กๆ คือแม่น้ำโบริสเทนเนส หรือแม่น้ำดนีเปอร์ในปัจจุบัน ซึ่งไหลผ่าน
รัฐแถบบอลติกนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นรัฐเล็กๆ แต่ก็กล้าหาญชาญชัยอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือรัฐลิธัวเนีย
ได้ประกาศอิสรภาพในวันที่ 11 มีนาคม 1990 แล้วรถถังก็ถูกส่งมาคุมเชิงจนถึงเดือนมกราคมปีต่อมา
จึงเกิดปะทะกันขึ้นชาวลิธัวเนียเสียชีวิตไป 13 คน แต่ได้อิสรภาพคืนมาในปลายปีนั้นเอง นับว่าคุ้มมาก
บรรทัดที่ 4 ในโลกเสรี ใครมีปัญญามาก ก็ย่อมมีทรัพย์สินมากเป็นเงาตามตัว ภาษาที่ใช้ก็ย่อม
สรรคำให้ไพเราะเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากที่สุด
ในบทที่ 32/4
Es lieux et temps chair au poisson donra lieu,
La loy commune sera faicte au contraire:
Vieux tiendra fort puis oste du milieu.
Le Panta Chiona Philon mis fort arriere.
ปลาไปแทนที่เนื้อ ในเวลาและสถานที่หนึ่ง
กฎเกณฑ์ทั่วๆ ไปจะใช้ไม่ได้
คนแก่จะยึดถืออย่างเหนียวแน่น แต่แล้วก็จะล่มสลายเสียกลางคัน
ทุกสิ่งที่ถือเป็นกองกลางระหว่างเพื่อนก็จะกลายเป็นเรื่องล้าหลัง
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 "ปลาไปแทนที่เนื้อ" นอสตราดามุสต้องการบอกใบ้ถึงช่วงเวลา 40 วัน
แห่งเทศกาลมหาพรต (ถือบวช) ของชาวคาทอลิก ซึ่งจะอดเนื้อสัตว์ทุกชนิดยกเว้นปลา แต่ในปัจจุบัน
จะอดเนื้อเฉพาะ วันศุกร์เท่านั้น ในปี 1990 ช่วงเวลา 40 วันแห่งมหาพรตนั้นนับตั้งแต่
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 8 เมษายน ฉะนั้นวันที่ลิธัวเนียประกาศอิสรภาพคือ วันที่ 11 มีนาคม 1990
จึงอยู่ในช่วงเทศกาลมหาพรต (Lent) คือช่วง "กินปลาแทนเนื้อ" ส่วนวลีที่ว่า "เวลาและสถานที่หนึ่ง"
นั้นคงจะเป็นเงื่อนไขในการอดเนื้อนั้น พระศาสนจักรกำหนดให้ถือไม่เหมือนกัน ถ้าอยู่ในประเทศยากจน
หรือในภาวะขาดแคลน ก็อนุโลมให้ได้แล้วแต่เวลา คืออดเนื้อทุกวัน หรือเฉพาะพุธ, ศุกร์ หรือวันศุกร์
เท่านั้น แล้วแต่จะอยู่ในประเทศ หรือสถานที่ใดเป็นการบอกใบ้ถึงเวลา และสถานที่อย่างน่าทึ่งที่สุด
ของนอสตราดามุส
บรรทัดที่ 2 กฎเกณฑ์ทั่วๆ ไปของมนุษย์ก็คือ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย
บรรทัดที่ 3 คนที่อยู่นานก็ย่อมยึดถือกฎเกณฑ์อย่างเหนียวแน่น แต่ก็จะล่มสลายไปก่อนที่
จะบรรลุอุดมการณ์สูงสุด
บรรทัดที่ 4 การที่ทุกสิ่งเป็นของกลาง (ลัทธิคอมมิวนิสต์) ก็ย่อมขัดกับความรู้สึกของมนุษย์
คงจะอยู่ไม่ได้นาน เราต่างเป็นประจักษ์พยานกันแล้วว่า ตอนนี้รัสเซียล้าหลังกว่าสหรัฐแบบไม่เห็นฝุ่นทีเดียว
นอสตราดามุสมองได้ทะลุปรุโปร่งอย่างยอดเยี่ยม ว่ารัฐเล็กๆ แถบแม่น้ำดนีเปอร์จะเริ่มเปิดเกมก่อน
บังอาจประกาศอิสรภาพสามารถระบุช่วงเวลาได้ด้วยว่าเป็นช่วงกิน "ปลาแทนเนื้อ" คือช่วง ถือบวช ดูตาม
เหตุผลแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่หนูตัวน้อยๆ จะหาญไปต่อกรกับพญาราชสีห์เป็นผลสำเร็จ แต่เราก็ทราบ
กันดีแล้วว่าโป๊ปจอห์น พอลที่ 2 เพิ่งเสด็จกลับจากการเยือน และคารวะวีรชนแห่งรัฐเล็กๆ ทั้ง 3 ที่ได้
เป็นหัวหอก ในการทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายไปในที่สุด
ในวโรกาสวันครบรอบ 15 ปีแห่งการสถาปนาเป็นพระสันตะปาปาของจอห์น พอล ที่ 2
ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ขออธิษฐานแด่เซนต์ปีเตอร์ พระสันตะปาปาองค์แรก จงปกป้องคุ้มครอง
ให้พระสมณนาวา สามารถฝ่ามรสุมสู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
เพื่อจะได้อยู่คู่ประชาตราบนานเท่านาน Ad Multos Annos.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 8:26 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (12 )👈
🌼--- มาสเตอร์เซนต์คาเบรียลเข้าเฝ้าโป๊ปจอห์น พอลที่ 2 ---🌼
          เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ผมได้พาคณะมาสเตอร์เซนต์คาเบรียล นำโดยอาจารย์ใหญ่
ชนะ ธนสมบูรณ์ รวม 33 ท่าน เข้าเฝ้าโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ณ หอประชุม พอลที่ 6 ข้างมหาวิหารเ
ซนต์ปีเตอร์ พร้อมกับชาวคาทอลิกหลายชาติราว 2 หมื่นคน จนต้องใช้วิหารเซนต์ปีเตอร์ จัดเป็น
ที่เข้าเฝ้าครั้งนี้สำหรับชาวโปแลนด์และเยอรมันด้วย ทั้งนี้เพราะเป็นวโรกาสวันคล้ายวันสมณาภิเษก
ครบรอบ 15 ปี นอกจากคณะมาสเตอร์แล้ว ยังมีคนไทยอีก 10 ท่าน ขอร่วมเข้าเฝ้าด้วยคือ คณะของ
คุณย่ากานดา เจียรวนนท์ นำโดยคุณประวัติ ปาริชาติธนกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เครือเจริญ
โภคภัณฑ์ ครั้นได้เวลาประมาณ 11.00 น. แทนที่โป๊ปจะดำเนินจากหลังเวที แล้วมาประทับที่กลางเวที
อย่างเคย กลับดำเนินมาจากประตูใหญ่หลังที่ประชุม แสดงว่าพระองค์เพิ่งดำเนินมาจากวิหารเซนต์ปีเตอร์
ซึ่งมีชาวโปแลนด์ และชาวเยอรมันราว 6 - 7 พันคนเข้าเฝ้าก่อนพวกเราแล้ว รู้สึกว่าพระองค์ทรงเหน็ด
เหนื่อยด้วยการย่างพระบาทอย่างเชื่องช้า ก่อนที่พระองค์จะทรงขึ้นสู่เวทีที่ประทับ ก็ทรงทำเซอร์ไพรส์
โดยเข้ามาทักทายผู้เข้าเฝ้าเลย ผิดหมายกำหนดการปกติซึ่งจะต้องมีพิธีบนเวทีก่อน แล้วจึงค่อยมา
ทักทายผู้เข้าเฝ้า ครั้งนี้พระองค์ต้องการรวบรัดรายการโดยยื่นมือให้สัมผัสเพียงเล็กน้อย ไม่เหมือน
ทุกครั้งที่พระองค์มักเข้าใกล้ ทักทายปราศรัยนานกว่านี้ แล้วขึ้นสู่เวทีที่ประทับด้วยพระอาการอ่อนเพลีย
อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นพิธีก็เริ่มขึ้น โดยพิธีกรจะกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี
รายงานถึงคณะต่างๆ ที่มาเข้าเฝ้า แล้วพระองค์ก็ทรงกล่าวตอบเป็นภาษาต่างๆ รวมทั้งภาษาญี่ปุ่นด้วย
วันนั้นมีกลุ่มทัวร์จากอเมริกาใต้หลายประเทศ ทางยุโรปก็มีหลายประเทศจากอดีตประเทศหลังม่าน
เหล็กด้วย เช่น จากรัฐยูเครน รัฐบอลติก จากประเทศเชค สโลวัค โครเอเชีย สำหรับเอเชีย ก็มีจาก
เกาหลี ไต้หวัน อินเดีย ญี่ปุ่น และประเทศไทย ซึ่งพิธีกรก็กล่าวเป็นภาษาอังกฤษใจความว่า
"คณะมาสเตอร์เซนต์คาเบรียล จากประเทศไทย" พวกเราก็ยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวเป็นภาษาไทยว่า
"ขอทรงพระเจริญ ไชโย ไชโย ไชโย" แล้วต่อท้ายด้วยภาษาอิตาลีว่า "VIVA IL PAPA" โป๊ปจอห์น พอลที่ 2
ได้รับการคัดเลือกจากพระคาร์ดินัลเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1978 แล้วจึงได้รับการอภิเษกเป็นพระสันตะปาปา
ในวันที่ 22 ตุลาคม ปีเดียวกัน 15 ปีที่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของพระศาสนจักรคาทอลิก ถือได้ว่าเป็น
โป๊ปนักปฏิรูปผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเด่น 3 ประการคือ (1) เป็นประมุขที่มีความเป็นสากล -
โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเดินทางไปเยี่ยม "สัตบุรุษ" ทุกมุมโลกกว่า 100 ประเทศ (2) เป็นประมุขที่พยายาม
ต้านแรงเหวี่ยง ที่จะหนีไปจากศูนย์กลาง ทั้งนี้เพราะพระศาสนจักรถูกคุกคามเป็นเวลาหลายทศวรรษ ที่
บางส่วนพยายามจะปลีกตัวไปเป็นศาสนจักรแห่งชาติ พระองค์ได้ใช้ความพยายามอย่างสูงที่จะดึงให้อยู่
รวมกันเป็นเอกภาพ แห่งพระศาสนจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรมเป็นผลสำเร็จ (3) เป็นประมุขที่พยายามเน้นถึง
ศักดิ์ศรีของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงวางรากฐานแห่งจริยธรรมที่คริสตชนที่ดีพึงปฏิบัติ เป็นการเสนอวิถีแห่ง
ชีวิตอันจะนำความสุขที่แท้จริงมาให้ มิใช่เป็นการตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ยังทรงปฏิบัติพระภารกิจ
ที่สำคัญๆ ก่อนครบ 15 ปี แห่งสมณสมัยของพระองค์ดังนี้
28 ก.ค. 93 เสด็จสู่ซีชิลี และทรงประณามแก๊งมาเฟีย "COSA NOSTRA" ขณะเดียวกันทรงสรรเสริญ
องค์กร แอนตี้มาเฟียแห่งพระศาสนจักรแห่งเกาะซีชิลี นำโดยพระอัครสังฆราชประจำเมือง ปาแลร์โม
พระคาร์ดินัล ซัลวาโตเร ปัปปาลาร์โด
2 ก.ย. 93 ยอดปรารถนาของโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ระหว่างที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา
ก็คือทรงปรารถนาที่จะไปเยือน เยรูซาเล็ม มอสโก และจีน ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างวาติกัน
กับอิสราเอล ยิ่งดูชัดเจนขึ้นหลังจากที่ พีแอลโอ และอิสราเอลจับมือกัน
ก่อนที่โป๊ปจะเสด็จเยือนลิธัวเนียแค่ 3 วัน รัสเซียก็ยอมถอนทหารออกไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งทำให้
พระองค์ใกล้ประตูมอสโกยิ่งขึ้น
แล้วทูตแห่งวาติกันก็ได้รับเชิญจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ไปเยือนปักกิ่ง นั่นคือพระคาร์ดินัล
ROGER ETCHEGARAY ผู้เป็นหัวหน้าองค์กรการกุศลโลก ได้ไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาแห่งชาติครั้งที่ 7
ณ กรุงปักกิ่ง โดยการเชิญของรัฐมนตรีกระทรวงกีฬาแห่งชาติ WU SHAOZU เป็นการเดินหมากการทูต
โดยอาศัยกีฬา เช่นเดียวกับครั้งที่สหรัฐกับจีนเริ่มจะสถาปนาทางการทูตอาศัยกีฬาปิงปอง
ในวันนี้ RAYMOND PLYNN เอกอัครราชทูตอเมริกันก็ได้ยื่นสารตราตั้งต่อสำนักวาติกัน 3 ก.ย. 93
ณ พระราชวังพักร้อน กาสเตล กันโดลโฟ สมเด็จพระสันตะปาปา ทรงมีพระราชปฏิสันฐาน สมเด็จพระ
จักรพรรดิอากิหิโต และสมเด็จพระจักรพรรดินี มิชิโกะ ซึ่งเสด็จมาเข้าเฝ้าเป็นการตอบแทน ที่โป๊ปทรง
เยือนญี่ปุ่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1981 สมเด็จพระจักรพรรดิยังมีพระประสงค์จะแสดงความชื่นชม
ที่พระองค์ทรงอุทิศพระองค์เพื่อมนุษยธรรม สังคม และการศึกษาแก่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
21 ก.ย. 93 วันนี้โป๊ปทรงมีราชปฏิสันฐานกับหัวหน้าพระรับไบ VISRAEL LAU ณ วังพักร้อน
กาสเตล กันโดลโฟ นับเป็นการพบปะกันครั้งแรก ระหว่างผู้นำชาวยิวแห่งอิสราเอล และผู้นำพระ
ศาสนจักรชาวคาทอลิก 960 ล้านคน พระองค์ทรงแต่งชุดพระสันตะปาปาเต็มยศ ทรงโปรยยิ้มอย่าง
สดชื่น แล้วทรงสัมผัสกับมือพระรับไบ Lau พร้อมกับตรัสเป็นคำทักทายของชาวยิวว่า "SHALOM"
ดังนั้นความเย็นเฉยประดุจก้อนน้ำแข็ง ที่ชาวยิวกับชาวคริสต์มีมาเป็นเวลานาน ก็ถูกหลอมให้ละลาย
ไปด้วยประการฉะนี้ ท่านรับไบ LAU ได้เชื้อเชิญให้พระองค์เสด็จเยือนอิสราเอล พระองค์ตรัสว่า
"อาตมาหวังว่า พระเป็นเจ้าผู้ทรงสัพพัญญู สักวันหนึ่งจะทรงนำอาตมา มาแสวงบุญ ณ แผ่นดิน
ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง" ทั้งนี้เป็นการย้ำถึงโป๊ปพอลที่ 6 ที่ได้เคยเสด็จมาเยือนอิสราเอล เมื่อปี 1963
ครั้นแล้ว พระองค์ทรงเรียบเคียงตรัสถึงความปรารถนา ที่จะจัดให้ผู้นำทุกศาสนาทั่วโลกมา
พบกันที่กรุงเยรูซาเล็ม ในปี 1994 เพื่อมาร่วมแสวงบุญ ณ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เพื่อธิษฐานร่วมกัน
วอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสันติภาพ ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างทุกศาสนา
ทั่วโลก หันมาดูกลอนของนอสตราดามุสว่า ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับการสิ้นสุดของสมณสมัยของ
พระองค์บ้าง ในบทที่ 3/10
En apres cinq troupeau ne mettra hors.
Un fuytif pour Penelon laschera,
Faux murmurer, secours venir par lors,
Le chef le siege lors abandonnera,
หลังจากที่ได้ปล่อยให้ 5 คณะออกไปแล้ว
ผู้ที่หนีจะทิ้ง (สำนัก) เพื่อไปสู่ Penelon
มีข่าวเท็จลือกันว่าพวกเขาจะมาช่วยพระองค์
องค์พระประมุขจะสละสำนัก (พระอาสน์)
คำที่น่าจะวิเคราะห์ มีคำเดียวคือ Penelon ซึ่งนอสตราดามุส นิยมสลับตัวอักษร
มาจากคำ Polenne ประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 8:34 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (1 3 )👈
🌼--- ใครคือโป๊ปองค์ต่อไป ---🌼
         
ไปอิตาลีคราวนี้เป็นช่วงที่โป๊ปครบรอบ 15 ปี แห่งสมณาภิเษก หนังสือพิมพ์จึงหยิบยกเรื่องสุขภาพ
ของโป๊ปขึ้นมากล่าวกันต่างๆ นานา ทั้งนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ แพทย์ได้ทำการผ่าตัดเนื้องอก
ใหญ่ขนาดเท่าผลส้มจากลำไส้ใหญ่ คณะแพทย์ยอมรับภายหลังว่าเนื้องอกลำไส้ใหญ่ที่เป็นนี้
บางส่วนกำลังกลายเป็นเนื้อร้าย ฉะนั้นการเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมนี้ จึงไม่รู้สึกเสียใจสักเท่าใด
ที่คณะทัวร์ไทยมิได้มีโอกาสสัมผัสพระหัตถ์พระองค์มากเท่าที่เคยเป็นมา เพราะรู้สึกสงสารพระองค์
เหลือเกิน ที่ต้องปฏิบัติภารกิจอย่างหนัก ทั้งๆ ที่มีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้บรรดา
นักหนังสือพิมพ์ และวารสารต่างๆ ยังหยิบยกเรื่องที่ใครจะมาเป็นโป๊ปองค์ต่อไป หลังจากสมณสมัย
ของโป๊ป จอห์น พอลที่ 2 แล้ว เซนต์มาลาคี (Malachy) แห่งไอร์แลนด์ ผู้มีพรสวรรค์ในการทำนาย
ได้ทำนาย "เอกลักษณ์" ของโป๊ป ตั้งแต่สมัยของท่าน คือ ปี 1139 จนถึงสิ้นยุค จะมีจำนวน 112 องค์
โป๊ปองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 110 ฉะนั้นยังเหลือโป๊ปอีก 2 องค์ องค์ต่อไปจะมี "เอกลักษณ์" เป็นภาษา
ลาตินว่า "De Gloria Olivae" องค์สุดท้ายคือ "Pretrus Romanus" De Gloria Olivae แปลว่า
ความรุ่งโรจน์ หรือชัยชนะของต้นมะกอก ลองมาดูกลอนของนอสตราดามุสซิว่า ได้ทำนายถึงโป๊ป
รองสุดท้าย ก่อนจะสิ้นยุคไว้อย่างไรบ้าง ในบทที่ 28/2
Le penultiesme du surnom du prophete,
Prendra Diane pour son iour & repos:
Loin vaguera par frenetique teste,
Et delivrant un grand peuple d'impos.
องค์รองสุดท้าย ตาม (คำทำนายของผู้มี) สมญาแห่งผู้ทำนายหนึ่ง พระองค์จะใช้วันจันทร์เป็น
วันพักผ่อน พระองค์จะท่องไปไกลแสนไกลด้วยหัวสมองที่บ้าคลั่ง เพื่อจะได้ปลดปล่อย "สัตบุรุษ"
ของพระองค์ จากการถูกครอบงำ
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 เซนต์ มาลาคีแห่งไอร์แลนด์นั้น จริงๆ แล้วท่านมีชื่อว่า Ua Morgair
แต่ที่คนทั่วไปในสมัยนั้นเรียกท่าน MALACHY นั้น เป็นสมญา (surnom) เพราะท่านมีพรสวรรค์
ในการทำนาย จึงเรียกท่านว่ามาลาคี อันเป็นชื่อผู้ทำนาย (Prophete) ผู้หนึ่งในพระธรรมเก่า
(OId Testament) บรรทัดที่ 2 โดยปกติพระสงฆ์คาทอลิก จะมีภารกิจค่อนข้างมากในวันอาทิตย์
ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่จะต้องดูแลวัดหลายวัด ฉะนั้นมักจะหยุดพักผ่อน
ในวันจันทร์ คำ Diane แปลว่า เทพธิดาแห่ง ดวงจันทร์ หมายถึง วันจันทร์ อาจเป็นไปได้ว่า ในอนาคต
โป๊ปจะต้องมีภารกิจอันหนักหน่วงในวันอาทิตย์ ไม่แพ้พระสงฆ์ธรรมดาก็เป็นได้ หรือพระองค์ "มุงาน"
หรือ "บ้างาน" ก็ได้ ดังในกลอนข้างบนที่ว่า "หัวสมองที่ บ้าคลั่ง" ในบรรทัดที่ 3 ที่ว่าจะท่องไปไกลแสนไกล
คงจะไม่ประทับอยู่แต่ในวังเช่นในอดีต แต่จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเยี่ยมเยียน และให้กำลังใจแก่มวล
สัตบุรุษเหมือนโป๊ปองค์ปัจจุบัน บรรทัดที่ 4 "สัตบุรุษ" ของพระองค์คงจะถูกพวกแอนตี้ไคร้สต์ชักจูงไป
ในทางที่ผิดหลักคำสอน ที่เคยประพฤติปฏิบัติ โดยสมยอมพร้อมใจที่ยึดเอาความสะดวกสบาย ตาม
ลัทธิวัตถุนิยม สรุปสั้นๆ ก็คือ ถือ "เงิน" เป็น "พระเจ้า"
(1) ถ้าสำรวจดูในหนังสือพิมพ์ (ในอิตาลี) ระยะนี้  มีการกล่าวขวัญถึงโป๊ปองค์ต่อไปจะเป็น
"โป๊ปดำ" ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความหมายของคำ "ดำ" นั้นมีสองนัย นัยที่ 1 คือ "ผิวดำ" หมายถึง
ชาวอัฟริกัน นัยที่ 2 "ดำ" หมายถึงที่ไม่ใช่ "ขาว" เพราะปกติโป๊ปจะแต่งชุด "ขาว" ฉะนั้น โป๊ปดำก็คือ
โป๊ปเงา (เหมือนรัฐบาลเงา) ถ้าภาษากีฬาพาชี ก็คือ "เต็งหนึ่ง" โดยปกติ ผู้เป็นพระคาร์ดินัลจากคณะ
นักบวชเยซูอิต (นักบวชคณะนี้จะต้องศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างดีเยี่ยม เป็นกำลังสำคัญ
ในการให้คำปรึกษาแก่โป๊ปในการบริหารศาสนจักร) เรียกกันว่า "โป๊ปดำ" ผู้นั้นก็คือ พระคาร์ดินัล
การ์โล มารีอา มาร์ตีนี (Carlo Maria Martini) ผู้นี้เป็นนักปกครองชั้นยอด เป็นที่ยอมรับนับถือของ
ชาวอิตาลีอย่างสูง เช่นมีนักการเมือง หรือนักธุรกิจใหญ่โตประพฤติมิชอบ ท่านจะออกโรงประณาม
อย่างไม่ไว้หน้า เป็นที่สะใจแก่ชาวอิตาลีในขณะนี้อย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่รัฐบาลอิตาลีกำลังปราบ
คอรัปชั่นขนานใหญ่ นอกจากนี้ท่านยังเป็นนักธรรมตัวยง ด้วยการเขียนหนังสือมากมาย ร้านไหน
ไม่มีหนังสือของท่านจะ "เชย" เอามากๆ ทีเดียว ท่านเกิดที่ตุริน เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1927 แล้วเข้า
คณะนักบวช เยซูอิต ในปี 1944 บวชเป็นพระสงฆ์ ในปี 1958 แล้วศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัย เกรกอรีอานา
ที่กรุงโรม ในปี 1962 แล้วเริ่มสอนในสถาบันพระคัมภีร์แห่งสันตะสำนัก จากปี 1969 ถึง 1978 ได้รับ
แต่งตั้งให้เป็นอธิการ แห่งมหาวิทยาลัยเกรกอรีอานา แห่งกรุงโรม เมื่อวันที่ 29 กันยายน ได้รับแต่งตั้ง
จากสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 ให้เป็นอัครสังฆราชแห่งเมืองมีลาโน และท้ายที่สุดได้รับ
แต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัล ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1983 รุ่นเดียวกับพระคาร์ดินัล ไมเคิล มีชัย กิจบุญชู
แห่งประเทศไทย
(2) อีกท่านหนึ่งที่มีผิวดำ ถ้าเป็นโป๊ปก็เป็นโป๊ปดำโดยแท้ และดูเหมือนจะมีคะแนนสูสีกันมาก
เพราะท่านมีตำแหน่งถึงประธานคณะพระคาร์ดินัล คือ พระคาร์ดินัล Bernardin Gantin ท่านเกิดที่ Cotonous
ในประเทศ Benin อัฟริกาตะวันตก เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1922 บวชเป็นพระสงฆ์เมื่อ 14 ม.ค. 1951
ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชแห่ง Cotonous ในปี 1960 และได้รับแต่งตั้งจากโป๊ป พอลที่ 6 ให้เป็น
พระคาร์ดินัล วันที่ 27 มิถุนายน 1977 ในวันที่ 29 กันยายน 1986 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมณมนตรีกระทรวงว่า
การพระสังฆราช และท้ายที่สุด เมื่อมิถุนายน 1993 ได้รับแต่งตั้งเป็นคณบดี (Dean) แห่งคณะพระคาร์ดินัล
(Collge of Cardinals)
(3) ท่านต่อไปก็คือ พระคาร์ดินัล Jean Marie Lustiger ปกครองกรุงปารีส ท่านผู้นี้มีเชื้อสายยิว
จากโปแลนด์ เกิดปี 1926 ศึกษาอักษรศาสตร์ ปรัชญาศาสตร์ และเทวศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย ซอร์บอร์น
บวชเป็นพระสงฆ์เมื่อปี 1954 เป็นอนุศาสนาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งปารีส เป็นเวลา 15 ปี แล้ว
ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช ปี 1979 ในปี 1981 ได้รับแต่งตั้งเป็น อัครสังฆราชประจำกรุงปารีส และ
ในปี 1983 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล พระคาร์ดินัลผู้นี้มีเอกลักษณ์ตรงกับ "เอกลักษณ์" ที่ เซนต์ มาลาคี
ระบุไว้ในคำทำนายของท่านคือ Gloria Oivae ชัยชนะแห่งต้นมะกอก ต้นมะกอกเป็นต้นไม้ที่อายุยืนเป็น
พันๆ ปี เช่นเดียวกับชาติยิว ที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยที่ท่านพระคาร์ดินัล Lustiger
นี้มีเชื้อสายยิว จึงสอดคล้องกับคำทำนายว่า ชัยชนะของต้นมะกอก หรือชัยชนะของชาวยิว เข้าใจว่าท่าน
จะเป็นกำลังสำคัญ ในการชักชวนชาวยิวให้กลับมายอมรับนับถือพระเยซูว่าเป็นพระเมสสิอาห์ที่แท้จริง
ตรงตามคำทำนายโบราณที่ว่า ในวาระสุดท้าย ชาวยิวก็จะกลับใจมายอมรับพระเยซูว่าเป็นผู้ "ไถ่" หรือ
"ปลดปล่อย" บาป มิใช่เป็นผู้ "ปลดปล่อย" หรือ "ไถ่" หรือ "กู้" ชาติ ท้ายที่สุด ก็ต้องมาดูกลอน
ของนอสตราดามุสว่า ได้ทำนายเกี่ยวกับโป๊ปองค์ต่อไปอย่างไรบ้าง ในบทที่ 78/6
Crier victoire du grand Selin croissant,
Par les Romains sera l'Aigle clame:
Ticcin, Milan & Gennes y consent,
Puis par eux mesmes Basil grand reclame',
Selim ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพระจันทร์เสี้ยวจะร้องตะโกนในชัยชนะ
ชาวกรุงโรม จะร้องหาอินทรี
เมืองตีชีโน มีลาโน และเยนัวก็แห่ตามไปด้วย
แต่ในที่สุดพวกเขาเองก็จะกลับมาทวงสิทธิ์จาก Basil ผู้ยิ่งใหญ่
วิเคราะห์ Selin อาจหมายถึง สุลต่าน Selim แห่งอาณาจักร ออตโตมันในอดีต แห่งพระจันทร์เสี้ยว
หมายถึง ชาวมุสลิม ก็แปลว่าในสงครามโลกครั้งที่ 3 นี้ กองทัพชาวมุสลิมนำโดย ผู้นำชาวตุรกีจะมีชัย
เหนือชาวยุโรปในช่วงแรก แน่นอน อิตาลีจะเป็นประเทศแรกๆ ที่จะต้องถูกบดขยี้ จนอิตาลีจะต้องเรียกหา
อินทรี หรือ มหาราช ซึ่งคงจะเป็นชาวเยอรมันมีเลือดกษัตริย์ฝรั่งเศส ตามคำทำนายของบรรดานักบุญที่ว่า
มหาราชจะมาปลดปล่อยยุโรป จากการยึดครองของชาวมุสลิม จากตะวันออก ซึ่งหมายรวมถึง ชาวอาหรับ
จีน และบางรัฐของอดีตสหภาพโซเวียต ในบรรทัดที่ 3 หมายถึง เมืองทางเหนือของอิตาลี ก็วิ่งเข้ามา
ขอความช่วยเหลือจากมหาราช ในบรรทัดที่ 4 พวกหัวเมืองทางเหนือนี้เองจะวิ่งเข้าหา Basil ผู้ยิ่งใหญ่
อีกแรงหนึ่งด้วย
(4) คำ Basil น่าจะหมายถึง ชื่อนักบุญของท่านพระคาร์ดินัลชาวอังกฤษก็ได้ คือ พระคาร์ดินัล
George Basil Hume ท่านเกิดปี 1923 บวชเป็นพระสงฆ์ปี 1950 เป็นสังฆราช 23 มีนาคม 1976 เป็น
พระคาร์ดินัล 24 พฤษภาคม 1976 ครองมหาวิหารเวสต์มินเตอร์ อังกฤษ ท่านเป็น "ตัวเก็ง" ผู้หนึ่ง
เหมือนกัน ท่านคาร์ดินัลผู้นี้ มาจากคณะนักบวช Benedictines ที่ปฏิบัติธรรมด้วยการสวดภาวนา
และยังชีพด้วยการเป็นชาวไร่มะกอก (Oivetans) และทำเหล้า เบเนดิกตินส์ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับ เอกลักษณ์
ของเซนต์มาลาคี ที่ว่า Gloria Olivae ชัยชนะของต้นมะกอก นี่เป็นการ "เก็ง" ตามภาษามนุษย์ ชาวคาทอลิก
ที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเชื่อว่า "พระจิต" จะเป็นผู้เลือก อย่างเช่นคราวที่แล้ว หนังสือพิมพ์ก็เก็งกันว่า
โป๊ปจะต้องมาจากคาร์ดินัลอิตาลี บ้างก็ว่าจากฝรั่งเศส แต่ความเป็นจริงมาจากโปแลนด์ คือ
"ม้ามืด" Karol Wojtyla โป๊ปองค์ปัจจุบัน

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 8:42 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (14 ) 👈
🌼--- "กาตากอมบ์" ในกรุงโรม [A] ---

[กาตากอมบ์ คือ ป่าช้าใต้ดินของชาวคริสต์รุ่นแรกๆ ในกรุงโรม ใช้สำหรับฝังศพตามคติของ
ชาวคริสต์ และใช้ประกอบศาสนกิจ เพื่อหลบสายตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยุคนั้น]
          ที่กรุงโรม นอกจากนำคณะมาสเตอร์เซนต์คาเบรียล เข้าเฝ้าโป๊ปแล้ว ยังนำชมสถานที่สำคัญ
อื่นๆ อีก เช่น มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ที่นี่แค่ชมรูปแกะสลักหินอ่อนของไมเคิล แอนเจโล ที่เรียกว่า
La Pieta แม่พระปลงสังเวช ก็เหลือคุ้ม คงจะเชยมากทีเดียวหากจะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับวิหาร
เซนต์ปีเตอร์อีก จากนั้น ได้ไปชมวิหารเซนต์จอห์น ซึ่งถือเป็นวิหารประจำตำแหน่งสังฆราชแห่งกรุงโรม
และผู้เป็นสังฆราชแห่งกรุงโรม ก็คือสมเด็จพระสันตะปาปาโดยตำแหน่ง แต่พระองค์จะทรงบริหารงาน
โดยพระคาร์ดินัลผู้หนึ่ง ที่นี่เห็นมีตำรวจมากกว่าปกติ เพราะเพิ่งถูกผู้ไม่ประสงค์ดี ถล่มด้วยระเบิด
เมื่อไม่นานมานี้ อาจเป็นพวกมาเฟียที่ถูกโป๊ปประณามอย่างหนักเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ แล้วก็พากันไปโยน
เหรียญลงในน้ำพุเทรวีอันลือลั่น ยังคงความสง่าอลังการ ระคนชุ่มฉ่ำ เมื่อเห็นน้ำพุไหลใสสะอาด สาด
ซาดซ่า เคล้าเสียงเพลง "ซานตา ลูซีอา" จากวิทยุทรานซิสเตอร์ของรถเข็นขายของที่ระลึก ฟังสำเนียง
พูดก็พอรู้ว่าคนขายต้องเป็นชาวนะโปเลตาโนแน่ๆ จุดเด่นของรายการทัวร์วันนี้ก็คือ "กาตากอมบ์"
ต้องย้อนเล่าถึงเซนต์พอล และ เซนต์ปีเตอร์ เริ่มบุกเบิกมาแพร่ศาสนาคริสต์ที่กรุงโรมตอนแรกๆ ก็มี
คนเปลี่ยนศาสนา จากนับถือเทพเจ้าต่างๆ นานา กลับมานับถือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว และนับถือ
พระเยซูผู้อวตารมาเกิดเป็นมนุษย์ทางพระนางมารีย์ เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ
เพราะยังไม่เป็นที่ยอมรับเป็นทางการ จวบกับเหตุการณ์ที่จักรพรรดิเนโร ผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอย วันดี
คืนดีนึกคึกคะนองขึ้นมา ก็สั่งให้ทหารจุดไฟเผากรุงโรมเล่น แล้วดีดพิณครวญเพลงจากบทลำนำเรื่อง
การล่มสลายของนครทรอย แล้วชาวคริสต์ก็เป็นแพะรับบาปไป จึงเป็นเหตุอันหนึ่งที่ชาวคริสต์รุ่นแรกๆ
ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในการชุมนุมกันเพื่อประกอบศาสนกิจ สำหรับชาวโรมันที่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์
ก็ต้องเปลี่ยนประเพณีที่เคยปฏิบัติมาด้วย คือเวลามีคนตายก็ไม่เผาเหมือนชาวโรมันทั่วไป แต่ต้องนำไป
ฝังในป่าช้าเพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นจึงมีคติที่จะฝังศพเพื่อรอวันฟื้น
คืนชีพ เกิดประเพณีใหม่สำหรับชาวคริสต์ต้องมีป่าช้าไว้ฝังศพ และจะต้องทำป่าช้าใต้ดินเพื่อไม่ให้เจ้าห
น้าที่ของบ้านเมืองรู้ แรกทีเดียวก็ใช้ศัพท์เรียก "ป่าช้า" จากภาษากรีก COEMETERIA แปลว่าสถานที่
พักผ่อน แต่ต่อๆ มาก็เปลี่ยนศัพท์ เป็นการหลบหลีกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็น CATACOMB จริงๆ แล้วราก
ศัพท์คำนี้แปลว่า "เหมืองดินขาว" ซึ่งใช้สำหรับทำเครื่องปั้นดินเผา เพราะเหมืองดินขาวนี้อยู่ใกล้กับป่าช้า
ใต้ดินของชาวคริสต์ ฉะนั้น ในการนัดพบไปชุมนุมในป่าช้าใต้ดิน แทนที่จะใช้ศัพท์เดิมซึ่งเจ้าหน้าที่จับ
ไต๋ได้แล้ว จึงเลี่ยงมาใช้คำ "เหมืองดิน" CATACOMB เป็นรหัสที่รู้กันในพวกขาวคริสต์ ป่าช้าใต้ดินนี้
เขาขุดเป็นอุโมงค์ยาวใต้ดิน พื้นที่บริเวณนั้นจะเป็นหินภูเขาไฟ ซึ่งจะ "ร่วน" กว่าหินทั่วไป แต่จะ "แกร่ง"
กว่าดิน จึงสามารถเจาะเป็นช่องๆ สำหรับฝังศพได้โดยไม่พังลงมา เขาขุดลงไปเป็นชั้นๆ ถึง 5 ชั้น ความลึก
ประมาณ 3 - 20 เมตร อุโมงค์คดเคี้ยววกวนใต้เนินเขา ในรัศมี 4 - 8 กิโลเมตร อุโมงค์ที่ขุดลึกลงไปนี้ เมื่อ
มาบรรจบกันก็จะสร้างเป็นวัดเล็กๆ สำหรับประกอบพิธีมิสซา เรียกว่า CRYPTE คูหาฝังศพอีกแบบหนึ่งเรียก
ว่า แบบ MENSA แปลว่า โต๊ะ จะเจาะถ้ำเป็นบริเวณกว้างกว่าอุโมงค์นิดหน่อย เนื้อที่ไม่เกิน 3x3 เมตร มีแท่น
ตรงกลางใช้สำหรับวางศพ คูหาฝังศพแบบ MENSA นี้จะปิดด้วยหินอ่อน ซึ่งมักจะสลักชื่อผู้ตาย หรือ วาดรูป
รูปที่นิยมวาดไว้ก็มี รูปกางเขน นกพิราบคาบกิ่งมะกอก เรือ สมอเรือ มงกุฎ องุ่น อักษรที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ x
ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกของชื่อพระคริสต์ในภาษากรีก ตัว P หมายถึงปลา เพื่อระลึกถึงปาฏิหาริย์ที่พระเยซู
ได้กระทำโดยเสกขนมปัง 5 ก้อน ปลา 2 ตัว ให้พอเลี้ยงฝูงชน 5 พันคน สองข้างอุโมงค์แคบๆ มีช่องสี่เหลี่ยม
ผืนผ้าเจาะตามยาวซ้อนๆ กัน นั่นคือ หลุมศพของเด็กๆ เป็นช่วงสั้นๆ กาตากอมบ์ ยังใช้เป็นที่หลบหนีของ
ชาวคริสต์ที่ถูกหมายจับ บางแห่งจะเห็นเป็นที่พัก มีภาชนะใส่น้ำดื่ม ทหารโรมันไม่ค่อยกล้าลงมาตามจับ
เพราะถือว่าป่าช้าเป็นสถานที่พึงเคารพ อีกประการหนึ่งก็เพราะกลัวหลง มีบางครั้งที่ทหารโรมันลงมาเป็นหมู่ๆ
เพื่อจับชาวคริสต์ไปประหาร ครั้นจวนตัว พวกคริสต์ก็ใช้กลวิธี หลอกล่อ โดยสร้างกำแพงลวง ทหารโรมันคิด
ว่าเป็นทางตันก็ล่าถอยไป ชาวโรมันเรียกตัวเองว่าอารยชน แต่วิธีการลงโทษประหารชาวคริสต์นั้น ล้วนเป็น
วิธีที่โหดเหี้ยมทารุณผิดมนุษย์ ความตายอย่างทารุณโหดเหี้ยมของพวกสาวกพระเยซู เป็นพยานถึงความป่า
เถื่อนของพวกโรมัน ถ้าจักรพรรดิเนโรฟื้นจากความตาย พระองค์จะงงงัน ผิดหวังและตระหนกตกใจ จนอาจ
ช็อกตายอีกครั้ง ที่รู้ว่า กลุ่มคนเพียงไม่กี่หยิบมือที่ไร้อาวุธ อ่อนแอ และ สุภาพเยี่ยงลูกแกะ เคยถูกพระองค์
จองล้างจองผลาญ บัดนี้ มีศูนย์ที่ยิ่งใหญ่เกริกเกียรติ บนหลุมศพของพระองค์เอง อาณาจักรพระคริสต์
แผ่ขยายไปทั่วโลก ในขณะที่อาณาจักรโรมันที่เคยเกรียงไกรในอดีต เหลือแต่เพียงชื่อไว้ในประวัติศาสตร์
และร่องรอยของซากปรักหักพังที่พอมองเห็นบางส่วนเท่านั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 8:51 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (15)👈
🌼--- "กาตากอมบ์" ในกรุงโรม ---🌼
          รถโค้ชของเรากำลังอยู่บนนถนนอัปเปีย VIA APPIA กล่าวว่าไม่มีถนนใดในโลก ที่มีคนรู้จัก
เท่ากับถนนสายนี้ ถึงกับถูกยกย่องว่าเป็นราชินีแห่งถนน REGINA VIARUM สร้างโดยจักรพรรดิ
อัปปีอุส เกลาดีอุส เมื่อ 312 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงแรกของถนนอัปเปีย เรียกว่า ถนนปอร์ตา ซาน
เซบัสเตียน ใกล้ๆ กันนั้น ในยุคแรกๆ มีสถานอาบอบนวดมีชื่อเสียง การากัลลา (CARACALLA)
เริ่มสร้างโดยจักรพรรดิ SEPTIMUS SEVERUS เสร็จเรียบร้อยในสมัย CARACALLA เมื่อ 217 ปี
ก่อนคริสตกาล สถานอาบน้ำนี้จุคนได้ถึง 1600 คน มีทั้งห้องอาบน้ำร้อน น้ำเย็น และห้องยิมประดับ
ด้วยหินอ่อนหายาก ห้องโถงใหญ่ๆ ค้ำยันด้วยเสาหินใหญ่มหึมาเป็นแถวๆ นับไม่ถ้วน รูปสลักหินอ่อน
เทพ และเทพีโรมัน ยืนเรียงรายให้ประชาชนนมัสการ อ่างอาบน้ำใหญ่ ยังทำด้วยหินแกรนิต หินอัลละ
บาสเตอร์ และหินภูเขาไฟชนิดหนึ่งสีดำและเนื้อละเอียด กล่าวกันว่า สถานอาบน้ำ การากัลลานี้ใหญ่โต
ราวกับเมืองย่อมๆ ทีเดียว แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงเสาหินกลมโดดเด่นอยู่ไม่กี่ต้น กับซากปรักหักพัง
ของชิ้นส่วนใหญ่โตของหินอ่อนกลิ้งระเนระนาด บนพื้นหญ้าเรียบเขียวชอุ่ม บ้างก็อยู่ระหว่างหมู่ไม้สน
และพุ่มไม้เตี้ย ทั้งหมดนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดแห่งชาติ ได้รับการตกแต่งอย่างมีศิลป์ ดูกลมกลืนไปกับสิ่ง
แวดล้อม ใช้เป็นโรงละครโอเปราเปิด นับเป็นโรงละครโอเปราเปิดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จะมีการแสดง
เฉพาะฤดูร้อน ประกอบ แสง สี เสียง โรงละครเปิดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งคือ ARENA แห่งเมือง VERONA
จะมีการแสดงละครโอเปราเช่นเดียวกัน ในฤดูร้อน แต่ไม่ตรงกับที่กรุงโรม ที่แสดงเป็นประจำก็คือเรื่อง AIDA
ARENA คือสังเวียนกีฬาโบราณ รูปทรงเหมือนโคลีเซียม แต่มีขนาดเล็กกว่า ผมเองเคยใช้ชีวิต
ที่เมืองนี้ถึง 4 ปี ยังจำได้ว่าในปี 1960 ก่อนที่จะเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโรม มีรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง
ที่คนนิยมกันมากเพราะพิธีกรเป็นคนน่ารัก พูดเก่งคล่องไปเสียทุกเรื่อง ชื่อ MARIO RIVA กำลังจะออก
รายการ โดยจะวิ่งชูคบเพลิงไปรอบๆ สังเวียน (ARENA) เลียนแบบการเปิดกีฬาโอลิมปิก แต่รอแล้ว
รอเล่า MARIO ก็ยังไม่ปรากฏบนจอ จนในที่สุดก็ทราบความจริงว่า MARIO ตกจาก ARENA ไปเสียชีวิต
ที่โรงพยาบาล ข่าวนี้ทำให้ชาวอิตาลีช็อกกันทั้งประเทศ วันฝังศพผู้คนไปร่วมพิธีกันล้นหลาม รวมทั้งผม
ด้วย 33 ปีผ่านไปเหมือนติดปีก แทบไม่น่าเชื่อ
ขอวกกลับเข้าถนนอัปเปียอีกครั้งหนึ่ง รถโค้ชของเราผ่านวัดเล็กๆ วัดหนึ่ง ชื่อ โคว วาดิส QUO VADIS?
(แฟนภาพยนต์ เมื่อ 40 ปีเศษก่อนนี้ คงยังจำความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดี) เป็นวัดที่สร้างขึ้นแบบ
โรมัน สร้างที่เซนต์ปีเตอร์พบกับภาพนิมิตของพระเยซู มีตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่า ในรัชสมัยของจักรพรรดิเนโร
เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวคริสต์ถูกทารุณอย่างเหี้ยมโหด ด้วยความบ้าคลั่ง ได้สั่งให้เผากรุงโรม แต่แล้วก็ป้าย
ความผิดให้ชาวคริสต์ เพราะความหวาดกลัวประชาชนซึ่งโกรธแค้น และกระหายเลือด ลุกฮือจะโค่นบัลลังก์
ชาวคริสต์ได้อ้อนวอนให้เซนต์ปีเตอร์หลบออกจากกรุงโรมชั่วคราว จนกว่าการเบียดเบียนข่มเหงจะซาลง
เซนต์ปีเตอร์ก็ตกลงยอมทำตาม ออกเดินทางจากกรุงโรมไป ครั้นเดินทางจากปอร์ตา (ประตู) อัปเปียไปได้
ไม่ไกล ก็แลเห็นชายคนหนึ่งเดินสวนทางเข้ามามุ่งหน้าไปทางกรุงโรม เซนต์ปีเตอร์เคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน
ท่านจำรูปร่างหน้าตาเขาได้ ท่านเคยฟังเขาเทศน์ ได้เคยเห็นเขาตาย และกลับคืนชีพ และครั้งสุดท้ายเห็นเขา
ลอยลับหายไปในท้องฟ้า นั่นคือ องค์พระคริสตเจ้า "พระเจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปที่ใด?" Quo Vadis ?
พระเยซูตรัสตอบว่า "เรากำลังเข้าไปในกรุงโรมเพื่อให้เขาจับตรึงกางเขนอีกครั้งหนึ่ง" แล้วพระองค์ก็หาย
วับไป เหลือเพียงรอยพระบาทประทับไว้บนแผ่นดิน เซนต์ปีเตอร์จึงเปลี่ยนใจเดินกลับเข้ากรุงโรม และไม่นาน
ท่านก็ถูกจับตัว และถูกตรึงกางเขนโดยเอาศีรษะลงดิน เซนต์ปีเตอร์เป็นโป๊ปองค์แรกของศาสนจักรของ
ชาวคริสต์ ศพของท่านถูกฝังไว้ ณ ใต้มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในปัจจุบันนั่นเอง ตรงหน้าวัด โคว วาดิส มีซาก
ปรักหักพังของหลุมศพของ นางปริสซิลลา นางเป็นภรรยาของอบาสกัน ซีอุส คนโปรดของจักรพรรดิ
โดมีเซียน (DOMITIAN) นางตายเมื่อยังสาว สามีอาลัยรักหนักหนา จึงสร้างอนุสาวรีย์ที่งามวิจิตรพิสดาร
กวีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น ได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังสามีผู้สูญเสียภรรยาที่รักว่า
"เป็นความอภิมย์ที่จะรักภรรยาขณะที่หล่อนมีชีวิต เป็นศาสนาที่จะรัก เมื่อหล่อนตายไปแล้ว" แล้วมาสเตอร์
เซนต์คาเบรียลก็ปรบมือกันเกรียวกราวในรสกวีของชาวโรมัน แล้วรถโค้ชก็แล่นผ่านบริเวณที่เคยเป็นสภา
ซีเนตของพวกศักดินา และสภาโฟรุมของพวกชาวบ้าน ทำให้คิดไปว่าดินแดนแห่งนี้ได้มีประชาธิปไตย
มานมนานกว่าสองพันปีมาแล้ว ก็ยังมิได้พัฒนาไปไกลแค่ไหน ยังอยู่ในวังวน "พวกมากลากไป" จนใกล้
เกิดสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกทีขณะนี้ ผ่านสถานที่นี้ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตอนที่
จูเลียส ซีซาร์ ขณะมีอำนาจล้นฟ้า ออกจากบ้านไปยังรัฐสภาซีเนต (CAPITOL) แต่ผู้เดียว พอถึงบันได
สภา ก็ถูกพวกสูญเสียอำนาจคบคิดกับ บรูตุส ลูกเลี้ยง เข้ากลุ้มรุมทำร้าย รวมทั้งบรูตุสลูกเลี้ยง ก็จ้วง
แทงที่ท้องด้วย ซีซาร์ก็ร้องขึ้น เป็นวลีประวัติศาสตร์ว่า Et tu, brute? เจ้าด้วยรึ บรูตุส? แล้วก็สิ้นใจ รายการ
สุดท้ายของทัวร์วันนี้ก็คือ โคลีเซียม ซึ่งชาวคริสต์ถือเสมือนอนุสาวรีย์วีรชน ที่ชาวคริสต์รุ่นแรกๆ ต้องเป็น
เหยื่อของผู้มีอำนาจในยุค 2 พันปีที่แล้ว กีฬาพระราชาในสมัยนั้นก็คือ สิงโตสู้กับคนคริสต์ในโคลีเซียม
เริ่มสร้าง ค.ศ. 72 สมัยจักรพรรดิ เวสปาเซียน โดย สถาปนิกชื่อ เกาเดนซีอุส ซึ่งสังเวยชีวิตในโคลีเซียม
ที่เขาเป็นคนออกแบบเอง เพราะเป็นคริสต์กะเขาด้วย จึงต้องโทษตามกกฎของบ้านเมืองขณะนั้น
โคลีเซียมนี้เปิดใช้ใน ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิตีโต ซึ่งไม่พอใจพ่อของตัวเองคือจักรพรรดิ เวสปาเซียน
ที่รีดภาษีแม้กระทั่งส้วม ขนาดโยนเหรียญเปื้อนอุจจาระจากส้วมใส่หน้าพ่อ แล้วประชดพ่อว่า
"เอ้า ดมเสียพ่อ หอมดีไหม" จักรพรรดิตีโตนี้ ก่อนครองราชย์ มีชีวิตโชกโชนในเรื่องกามารมณ์ จนใครๆ
พากันเกลียดขี้หน้า
เพราะเที่ยวทำลายผู้หญิงเป็นว่าเล่น ถือว่าพ่อใหญ่เสียอย่าง มาดังเป็นพลุแตก เมื่อคราวถล่มกรุงเยรูซาเล็ม
เมื่อ ค.ศ. 70 ทำให้พวกยิวต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลกตั้งแต่บัดนั้น มีคำทำนายโบราณของนักบวช
แห่งคณะฤๅษีผู้เคร่งครัดชาวอังกฤษชื่อ เบดา (673 - 735) ที่ทำนายถึงโคลีเซียมไว้
ดังนี้ Coliseus stabit et Roma; quando cadet Coliseus, cadet et Roma; quando cadet Roma
, cadet et mundus. ตราบใดที่ โคลีเซียม ยังยืนยง โรมก็ยังคงอยู่ด้วย หากโคลีเซียมพัง โรมก็ต้องพัง
และหากโรมพัง โลกก็พังด้วยแล
ข่าวระเบิดถล่มวิหารเซนต์จอห์นเมื่อเร็วๆ นี้คงไม่ทำให้โคลีเซียมกระเทือนนะครับ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส