“วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรค20นอสตราดามุส (ตอนที่16-30 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ เม.ย. 30, 2023 9:43 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (16)👈
🌼--- "น้ำใจงาม" กับ "น้ำศักดิ์สิทธิ์" ที่ลูร์ด [A] ---🌼
         
จบทัวร์ที่โรมแล้วก็เตรียมตัวบินสู่ปารีส ทางเอเย่นต์ที่ปารีสแจ้งด่วนมาว่า AIR FRANCE สไตรค์ยัง
ไม่เลิก วันก่อนทุกเที่ยวบินที่จะไปลงปารีสต้องบินเลยไปลงที่บรุกเซลส์ ให้เช็กจากสายการบินอาลิตาเลีย
ก่อนออกจากโรงแรมว่า เครื่องจะไปลงที่ไหนจะได้สั่งรถโค้ชให้ไปรับที่นั่น คนนำทัวร์ก็ย่อมตกใจจนตัว
ชาไปชั่วขณะ เพราะหากพลาดไปนิดเดียว รายการทัวร์จะรวนไปหมด ก็ได้แต่อธิษฐาน ขอพระช่วย
ให้ทุกอย่างราบรื่น แล้วสายการบินให้รีบไปแอร์พอร์ต จะไปลงที่ไหนจะรู้ก่อนเครื่องออก เลยไม่มี
โอกาสแจ้งให้เอเย่นต์ ที่สนามบินใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะไม่รู้ว่าจะได้ไปลงปารีสตามโปรแกรมหรือไม่
รอจนเลยเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่สุดก็โอเคไปลงไปที่ปารีส ขอบคุณพระ ที่สนามบินปารีสกว่าจะ
มีรถมารับที่เครื่อง ก็ต้องรอเกือบชั่วโมง แล้วที่สุดก็เห็นเอเย่นต์ทัวร์มารับเป็นอัน "โล่งอก" เขาบอกว่า
ช่วงเช้ายังปิดสนามบินอยู่ เพราะกำลังเจรจากัน นี่เพิ่งเปิดสนามบินได้สักชั่วโมงเดียว วันรุ่งขึ้นอาจจะ
มีสไตรค์ต่อ ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้น ตำรวจก็จะใช้มาตรการรุนแรง แต่สำหรับเราถือว่า
พ้นวิกฤติไปแล้ว เพราะรายการต่อไปจะใช้รถโค้ชตลอดจนถึงประเทศโปรตุเกส วันรุ่งขึ้นคณะทัวร์
ของเราก็เที่ยวชมมหานครปารีสสมใจอยาก ชมวิหารนอร์ทเทอร์ดาม อารามแม่พระเหรียญอัศจรรย์
ประตูชัย หอไอเฟล ล่องเรือแม่น้ำแซน ชมปารีสยามราตรี มีไกด์ชื่อวีรชัย ชาวลาวจากหลวงพระบาง
บรรยายให้พวกเราซาบซึ้งถึงทุกซอกทุกมุมของปารีสด้วยสำเนียง และ ภาษาไทยไพเราะรื่นหูทำให้
หัวหน้าทัวร์ต้องเขินไปหลายกิโลขีด คุณวีรชัยก็วกมาพูดถึงการสไตรค์ของแอร์ฟรานซ์ว่า รัฐบาลไม่
สามารถแบกภาระ การขาดทุนของบรรดารัฐวิสาหกิจแล้ว เช่น 6 เดือนของปีนี้ แอร์ฟรานซ์ขาดทุน
650 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเริ่มมีนโยบายแปลงรัฐวิสาหกิจ 21 แห่ง ให้เป็นบริษัทเอกชน (PRIVATISATION)
โดยเริ่มจะปลดคนงานของแอร์ฟรานซ์ 4,000 คน ซึ่งก็ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาดังกล่าว ทำให้คณะทัวร์
ของเราใจคอไม่สู้ดีไปหลายชั่วโมง ตอนนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยอ่านข่าวจากนิตยสาร
THE ECONOMIST ที่แอร์โฮสเตสแจก  ได้รับความรู้เพิ่มเติมว่าผลของการนัดหยุดงานของพนักงาน
แอร์ฟรานซ์ครั้งนี้ รัฐต้องสูญเสียวันละ 70 ล้าน ฟรังก์ หรือ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากแอร์ฟรานซ์แล้ว
รัฐวิสาหกิจอื่นๆ อีก 20 แห่ง ก็เตรียมแปลงร่างเป็นบริษัทเอกชน ใครอยากจะซื้อ ก็ต้องเตรียมเงินไว้หนึ่ง
แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อก็คงจะต้องพิจารณาดูว่า รัฐวิสาหกิจไหนอยู่ในกฎในระเบียบไม่เรียก
ร้องพร่ำเพรื่อ ฝรั่งเศส มีผู้ว่างงานถึง 3.2 ล้าน คิดเป็น 11.7% และมีทีท่าว่าจะมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ
ปีหน้าฝรั่งเศสหวังว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 1.4% ขณะที่เมืองไทยกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเติบโต
ถึง 8% พรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสของนาย ฟรังซัว มิตเตอรังค์ เข้าบริหารประเทศเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1981
จะครบวาระในฤดูใบไม้ผลิปี 1995 และรู้แน่นอนแล้วว่า พรรคสังคมนิยมจะไม่มีโอกาสเข้ามาอีก เพราะ
ได้เพลี่ยงพล้ำไปหลายเรื่อง โดยเฉพาะในยุคโรคเอดส์เฟื่อง ได้เกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนทางการเมือง
ครั้งร้ายแรงคือ เกี่ยวกับเรื่องเลือดปนเปื้อนเชื้อเอดส์ ทำให้ผู้อำนวยการศูนย์ถ่ายโลหิตแห่งชาติ
MICHEL GARETTA ถูกต้องโทษถึง 4 ปี นายกรัฐมนตรี LAURENT FABIUS รัฐมนตรีกิจการสังคม
GIORGINA DUFUIX เลขาธิการแห่งรัฐ EDMOND HERVE อธิบดีกรมสาธารณสุข JACQUES ROUX
ต้องลาออก หลังจากเที่ยวชมกรุงปารีสแล้ว คณะทัวร์ของเราก็เดินทางต่อไปยังภาคใต้ ของฝรั่งเศสแถว
เทือกเขาปีเรเนส์ เป็นเมืองเล็กๆ ชื่อ LOURDES คงจะมีคณะทัวร์น้อยคณะได้ไปสัมผัสเมืองนี้ เมืองลูร์ดนี้
เกิดมีความสำคัญขึ้นมาก็เพราะเมื่อ 135 ปีที่แล้ว คือ ในปี 1858 เด็กหญิงคนหนึ่งชื่อแบร์นาแดตต์
อายุ 14 ปี ได้เห็นแม่พระมารีอาปรากฏมาในซอกถ้ำใกล้บ้านของเธอ ขณะกำลังเก็บฟืนแถวๆ นั้น แม่พระ
เรียกเธอด้วยสำเนียงอ่อนหวาน ทำให้เธอหายตกใจ แล้วแม่พระก็กล่าวแก่เธอว่า "ฉันคือการปฏิสนธินิรมล"
(I am the Immaculate Conception) แบร์นาแดตต์ผู้ไม่รู้หนังสือ ก็พยายามจำข้อความของหญิงสวย
ผู้นั้นแล้วไปแจ้งแก่พระสงฆ์เจ้าวัด พระสงฆ์ก็เข้าใจทันทีว่าต้องเป็นเรื่องของเบื้องบน เพราะเด็กไม่รู้
หนังสือเช่นนี้ไม่อาจกล่าวข้อความอันเป็นหลักธรรมข้อความเชื่อ (DOGMA) ของชาวคาทอลิก ซึ่งโป๊ป
เพิ่งประกาศไปนั้น คือ แม่พระมารีอา ผู้ซึ่งได้รับการเลือกสรรจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นมารดาของพระเยซู
ได้รับเอกสิทธิ์จากพระเป็นเจ้าที่จะสงวนพระนางไว้เป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ให้พ้นมลทิน
แห่งปฐมบาป ที่อาดัมและอีฟได้ก่อขึ้น และถ่ายทอดมายังมวลมนุษย์ ฉะนั้นการที่แม่พระปรากฏมาแล้ว
กล่าวข้อความนี้จึงเป็นการย้ำเรื่องที่โป๊ปได้ประกาศไปนั่นเอง อีกประการหนึ่ง ประโยคที่แม่พระบอกกับ
แบร์นาแดตต์นั้น ก็มิใช่ภาษาธรรมดาๆ ที่ชาวบ้านพูดกัน แต่เป็นภาษาตรรกศาสตร์ คือ แทนที่พูดแบบ
ชาวบ้าน "ฉันคือผู้ปฏิสนธินิรมล" กลับพูดว่า "ฉันคือ การปฏิสนธินิรมล" การใช้นามธรรมเช่นนี้ ในภาษา
ตรรกศาสตร์ถือเป็นการบอกลักษณะทั้งหมดของคำนั้นๆ เช่น ฉันคือผู้บริสุทธิ์ แปลว่าฉันบริสุทธิ์ 10%
หรือ 90% ก็ได้ แต่ถ้าใช้ประโยคว่า ฉันคือความบริสุทธิ์ อันนี้หมายถึงฉันบริสุทธิ์ 100% หรือจะชมแหม่ม
You are beautiful แหม่มก็จะรู้สึกงั้นๆ แต่ถ้าชมเธอว่า You are the beauty เธอจะเป็นปลื้มไปทั้งวัน
การที่แม่พระปรากฏมาพบแบร์นาแดตต์นั้น ก็ยังมีจุดประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนหันหน้าเข้าหาพระ เพราะ
มนุษย์ยิ่งห่างเหินไปจากพระยิ่งขึ้น แม่พระขอร้องให้มนุษย์สวดและใช้โทษบาป (ใช้กรรม) มากๆ และ
ยังเรียกร้องให้สร้างวัดที่บริเวณถ้ำนั้น ที่สุดแม่พระให้แบร์นาแดตต์เอามือขุดดิน แล้วก็เกิดน้ำพุขึ้นมา
เพื่อใช้ชำระล้างความชั่วทางกายและ ทางใจ น้ำพุนั้นยังไหลจนกระทั่งทุกวันนี้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:12 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (17)👈
🌼--- "น้ำใจงาม" กับ "น้ำศักดิ์สิทธิ์" ที่ลูร์ด ---🌼
        
  แล้วผู้คนก็เริ่มพากันมาใช้น้ำนี้ด้วยจุดประสงค์ต่างๆ นานา รวมทั้งวิหารใหญ่โตก็ได้ถูกสร้างขึ้น
ตามพระประสงค์ของแม่พระ มีผู้เริ่มมาชุมนุมกันที่วิหารนี้เพื่อร่วมพิธีกรรมทางศาสนา แล้วนำน้ำ
กลับไปฝากคนเจ็บคนป่วย มีคนพิการหรือคนไข้ที่หมอไม่รับ เมื่อดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ได้หายจาก
โรคอย่างปาฏิหาริย์มากมาย จึงทำให้ลูร์ด ซึ่งเคยเป็นตำบลเล็กๆ กลับกลายเป็นเมืองใหญ่ไปทันที
เป็นเมืองที่มีโรงแรมมากเป็นอันดับที่ 3 ของฝรั่งเศส คือรองจากกรุงปารีส และลีออง มีรถไฟขบวน
พิเศษที่บรรทุกผู้ป่วยมาที่เมืองนี้ปีละเป็นร้อยขบวน และยังมีโรงพยาบาลที่ต้องรองรับผู้ป่วยที่มาจาก
ทั่วโลกเป็นพันๆ เตียง นอกจากนี้ ยังมีหน่วยพยาบาลอาสาสมัคร ที่คอยรับใช้ในการเข็นรถผู้ป่วยที่เดิน
ไม่ได้อีกจำนวนร้อย ผลัดเปลี่ยนเวียนวนเข้ามา อันเป็นประเพณีของชาวคาทอลิกที่ต้องทำงานรับใช้ผู้อื่น
เป็นการใช้โทษบาป (มิฉะนั้นจะต้องไปใช้ในไฟชำระเมื่อตายไป) พอดีพบข่าวในแมกกาซีนภาษาสเปน
ลงข่าวครึกโครมว่า ในฤดูร้อนที่แล้ว ได้มีเศรษฐีนีติดอันดับโลกชาวสเปนผู้หนึ่งพร้อมกับลูกสาว 3 คน
กับ ลูกเขย 1 คน ได้อาสาสมัครมารับใช้เข็นรถคนพิการที่เมืองลูร์ดนี้ถึง 4 วัน เศรษฐีนีผู้นี้ชื่อ
ESTHER KOPLOWIZ เจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างใหญ่ เป็นภรรยาของ ALBERTO ALCOCER
ในสเปนเมื่อเอ่ยชื่อเศรษฐีนีผู้นี้ น้อยคนที่จะไม่รู้จัก กิจกรรมที่เศรษฐีนีผู้นี้จะต้องปฏิบัติก็คือ ตื่นตอน
หกโมงเช้า ร่วมพิธีมิสซา แล้วกลับที่พัก แต่งชุดนางพยาบาลกระโปรงสีกรมท่า ติดผ้ากันเปื้อนที่หน้าอก
และรอบกระโปรงสวมกระบังหน้า และผ้าคลุมศีรษะ แล้วนำผู้ป่วยไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ โดยช่วยพยุงตัว
ผู้ป่วยลงในภาชนะรองน้ำ ที่ไหลมาจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของแม่พระ เศรษฐีนีผู้มีเงินนับล้านยอมพลีกรรม
ทำงานรับใช้คนพิการผู้ด้อยโอกาส คงจะช่วยขัดเกลากิเลสตัณหาไปได้เยอะทีเดียว อาศัย "น้ำใจงาม"
ของเธอ นอกเหนือจากเป็นการใช้โทษบาปของเธอแล้ว ยังจะนำความอิ่มเอมเปรมใจ และบรรเทาใจแก่
คนเจ็บคนไข้ ก่อนที่จะดื่ม "น้ำศักดิ์สิทธิ์" ด้วยซ้ำไป หากโลกเรามีผู้มี "น้ำใจงาม" เช่นนี้มากๆ คงจะไม่ "ยุ่ง"
เท่าทุกวันนี้เป็นแน่ ตอนบ่ายสี่โมงครึ่งก็มีพิธีอวยพรคนป่วยคนพิการ โดยมีพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เดินนำขบวน
ผู้ป่วย แห่ไปบริเวณหน้าวิหารแม่พระ พิธีกรรมท้ายก็คือ ตอน 3 ทุ่ม จะมีการสวดสายประคำเป็นภาษาต่างๆ
แล้วเดินแห่โคมรอบบริเวณหน้าวิหารแม่พระ แสงเทียนหมื่นๆ ดวงทำให้บริเวณนั้นสว่างไสว พร้อมขับร้อง
เพลงด้วยท่วงทำนองหนึ่งเดียวกัน แม้จะต่างภาษากันก็ตาม ช่างเป็นภาพที่ชวนศรัทธาอย่างยิ่ง หวังว่าแม่พระ
คงจะเอ็นดูสงสารลูกๆ ที่เข้ามาพึ่งพิงอย่างมิต้องสงสัย มีกลอนบทหนึ่งของนอสตราดามุส กล่าวถึงบริเวณ
เทือกเขาปี เรเนส์ ในบทที่ 1/6
Autour des monts Pyreness grans amas,
De gent estrange secourir Roy nouveau,
Pres de Garonne du grand temple du Mas,
Un Romain chef la craindra dedans l'eau.
รอบๆ เทือกเขาปีเรเนส์มีฝูงชนกลุ่มใหญ่
ที่เป็นคนต่างประเทศจะช่วยเหลือกษัตริย์องค์ใหม่
ใกล้แม่น้ำการ่อนมีวิหารใหญ่ติดกับถ้ำมัสซาเบียล
หัวหน้าชาวโรมจะกลัวน้ำ (ศักดิ์สิทธิ์) ของนาง
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 บริเวณที่แม่พระปรากฏมาเป็นถ้ำอยู่ในหุบของเทือกเขาปีเรเนส์
บรรทัดที่ 2 ขณะนี้กลายเป็นที่ชุมนุมของผู้แสวงบุญจากทั่วโลก กษัตริย์ในสมัยของนอสตราดามุส
อาจตีความในสมัยของเราว่าเป็น "ประมุขของประเทศ"
บรรทัดที่ 3 ถ้ำที่แม่พระปรากฏมานั้นมีชื่อเรียกว่า Massabielle และบนถ้ำนั้นเองก็ได้สร้างวิหารใหญ่
ตามคำขอร้องของแม่พระ แม่น้ำการ่อนนี้มีต้นน้ำมาจากเมืองบอร์โดซ์ไหลสูเมือง ตูลูส และเมืองโป
และแม่น้ำที่ไหลผ่านถ้ำชื่อแม่น้ำก๊าฟ ไหลมาจากเมืองโป
บรรทัดที่ 4 หัวหน้าชาวโรมคงจะเป็นพวกอธรรมหรือพวกมารจึงกลัวน้ำ (ศักดิ์สิทธิ์) ของหญิง
คนหนึ่งซึ่งอาจหมายถึงแม่พระก็ได้ ลองมาดูกลอนอีกบทหนึ่งของนอสตราดามุสที่พูดถึงภูเขาหรือ
ถ้ำเหมือนกัน ในบทที่ 68/9
Du mont Aymar sera noble obscurcie,
Le mal viendra ioinct de Saone & Rosne,
Dans bois cachez soldats iour de Lucie,
Qui ne fut onc un si horrible throsne,
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ (noble) แห่ง มารีอา (MARYA) จะกลับดำมืด
ความชั่วจะมา ณ บริเวณที่แม่น้ำซาโอนและแม่น้ำโรนไหลมาบรรจบกัน
ในวันฉลองนักบุญลูเซีย (13 ธ.ค.) ทหารจะหลบช่อนตัว
ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยว่า บัลลังก็จะสะเทือนถึงเพียงนี้
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 Aymar ถ้านำมาเรียงใหม่ก็จะได้ MARYA เป็นชื่อของแม่พระเขียน
แบบโบราณ สมัยนี้ก็เปลี่ยน Y ให้เป็น l คือ MARIA
บรรทัดที่ 2 แม่น้ำ 2 สายนี้จะบรรจบกันที่เมืองลีออง
บรรทัดที่ 3 ตามปฏิทินศาสนาคาทอลิกวันฉลองนักบุญลูเซียจะตกวันที่ 13 ธันวาคม
บรรทัดที่ 4 หากกลอนบทนี้สัมพันธ์กับบทที่ 1/6 (ข้างบน) กษัตริย์องค์ใหม่คงจะต้องมาที่ถ้ำ
ซึ่งมีชาวต่างชาติมาชุมนุมกันมากมาย ผู้ที่จะทำให้บัลลังก์สะเทือนก็น่าจะเป็นหัวหน้าชาวโรมอธรรม
(Antipope) คนนั้นที่กลัวน้ำศักดิ์สิทธิ์

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:20 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (18)👈
🌼--- นาม"ฟาติมา" นั้นสำคัญไฉน [A] ---🌼
        
  ครั้นแล้ว คณะทัวร์มาสเตอร์เซนต์คาเบรียลก็เดินทางสู่ประเทศสเปน สำหรับคนไทยเรามักจะ
ยังไม่คุ้นกับประเทศนี้เท่าไร จึงอยากจะหยิบยกประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม
ประเพณีที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังบ้าง สเปนแต่เดิมมีชื่อว่า อีเบเรีย ในปี 1360 ก่อนคริสตกาล
ชาวเซลต์จากภาคเหนือของยุโรปอพยพมาตั้งถิ่นฐาน แล้วผสมกับเผ่าเจ้าถิ่นทางใต้ อิเบโรส
ทำให้เกิดชนชาติใหม่ชื่อว่าเซลติเบริโกส ในปี 1200 ก่อน ค.ศ. ชาวเฟนิเชียนจากเมืองไทร์ และ
ไซดอน เข้ามาค้าขาย และสร้างเมืองขึ้นแถวฝั่งทะเลตอนใต้ในปี 630 ก่อน ค.ศ. ชาวกรีกเข้ามา
ค้าทองและเงิน แล้วตั้งอาณานิคมอยู่ตามฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 400 ก่อน ค.ศ. ชาวคาร์เทจ
ในแอฟริกาเหนือ ยกทัพเข้ามายึดครองทางตะวันออก ในปี 218 ก่อน ค.ศ. กองทัพโรมันเข้ามาไล่
ชาวคาร์เทจ ออกไป สเปนจึงตกเป็นของจักรวรรดิโรมันถึง 400 ปี ในศตวรรษที่ 5 โรมล่มสลาย
ชาววิซิโกทเข้ามาครองสเปนแทนโรมัน สมัยนั้นศาสนาคริสต์ก็ได้แพร่เข้ามา จนกลายเป็นศาสนา
ประจำชาติจนถึงปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 711 พวกอาหรับเข้ามามีอำนาจในสเปน สถาปนารัฐอิสลามขึ้น
ในแคว้นอันดาลูเซีย ซึ่งมีเมืองกอร์โดบาเป็นเมืองหลวง ในปี 1492 พวกอาหรับสิ้นอำนาจ และใน
ปีเดียวกันนี้เองที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส รับอาสาไปค้นหาโลกใหม่แก่สเปน ในศตวรรษที่ 16 สเปน
เข้าสู่ยุครุ่งเรืองสุดยอด เมื่อราชธิดาพระราชินีคาทอลิก คือ ฮวนนา แห่งกัสตีย่า ทรงสมรสกับ
เจ้าชายฟิลิปแห่งเยอรมนี ได้ให้กำเนิดราชโอรส คือ พระเจ้าการ์โลสที่ 1 ราชวงศ์ฮัปสบูร์กแห่งออสเตรีย
ขึ้นครองราชย์ในสเปน และในเวลาต่อมา ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นมหาจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรโรมัน
อันศักดิ์สิทธิ์อีกตำแหน่งหนึ่ง พระเจ้าการ์โลสจึงกลายเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุด
ในโลก ถือเป็นยุคทองของสเปน ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ชื่อว่า การ์โลสที่ 5 แห่งเยอรมัน นับเป็น
กษัตริย์องค์แรก แห่งราชวงศ์อัสตูเรียสที่สามารถรวมอาณาจักรสเปน และอิตาเลียน ราชวงศ์ตรัสตาโมรา
เข้ากับอาณาจักรในยุโรป แห่งราชวงศ์ฮัปสบูร์ก เป็นจักรวรรดิ์อันยิ่งใหญ่ภายใต้พระราชอำนาจของ
พระองค์
ต่อมาก็ถึงยุคของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 สามารถขยายอาณาเขตไปในทวีปยุโรป อเมริกา แอฟริกา และ
เอเชีย สเปนได้บรรลุถึงสุดยอดแห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกร จนได้ชื่อว่าดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน
เมื่อสิ้นพระองค์ สเปนก็เริ่มเสื่อมรัศมี จนกระทั่งถึงปี 1931 ระบอบราชาธิปไตยก็สิ้นสุดลง ได้เกิดมีสาธารณรัฐ
ขึ้นมาระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศไว้ได้ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 1936 ได้เกิด
รัฐประหารนำโดยนายพลฟรังโก แต่ไม่สามารถระงับความวุ่นวายได้ จึงเกิดสงครามกลางเมืองกินเวลา 3 ปี
ในที่สุดสเปนก็สงบ นายพลฟรังโกดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำรัฐ (CAUDILLO) ด้วยระบอบเผด็จการ
จนถึงปี 1975 นับเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่ง ที่ครองอำนาจนานเกือบสี่สิบปี ครั้นแล้ว สเปนก็ได้นำ
เอาระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่สเปนโดยการสถาปนา ดอน ฮวน การ์โลส ที่ 1
โอรสของ ดอน ฮวน เด บอร์บอง และ บัตเตมเบิร์ก ซึ่งเป็นดยุค แห่งบาร์เชโลน่าและเป็นพระโอรสของ
กษัตริย์องค์สุดท้ายของสเปน
(พระเจ้า อัลฟองโซที่ 13) ขึ้นเป็นกษัตริย์สเปน จวบจนทุกวันนี้ พูดถึงอุปนิสัยของชาวสเปนโดยทั่วไป
คล้ายคลึงกับชาวอิตาเลียน เป็นคนมีอัธยาศัยไมตรี ร่าเริงแจ่มใส ชอบช่วยเหลือเจือจุน ไม่ดูถูก
เหยียดหยามคนต่างด้าว หรือดูถูกเชื้อชาติหรือผิวพรรณ ชาวสเปนมักจะมองชาวต่างชาติในแง่ดี
หรือมองดูด้วยความสนใจใคร่จะรู้จักเท่านั้น ชาวสเปนมีศรัทธาในศาสนาคาทอลิกอย่างเหนียวแน่น
แม้จะถูกครอบครองจากชาวอาหรับเกือบ 800 ปี ก็ยังคงนับถือศาสนาคริสต์คาทอลิกเหมือนเดิม
และมีความศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระมารีอา จะสังเกตได้ง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
มักจะมีชื่อ มารีอา สำหรับผู้หญิงถือได้ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่มีชื่อมารีอา ชาวคริสต์โดยปกติจะมีชื่อ
(นักบุญ) 2 ชื่อ ชื่อแรกเมื่อรับศีลล้างบาป (ตอนเกิดใหม่ๆ) และชื่อที่ 2 ตอนเริ่มวัยรุ่นเมื่อ รับศีลกำลัง
ฉะนั้นผู้หญิงสเปนมักมีชื่อแรก มารีอา ชื่อที่ 2 อาจใช้ชื่อนักบุญอื่น นามสกุลของชาวสเปนก็มี 2 นามสกุล
เช่น นาย Juan Carlos นามสกุล Diaz Ruiz นั่นคือ Diaz เป็นนามสกุลของพ่อ และ Ruiz เป็นนามสกุล
ของแม่ หรือนางสาว Maria Isabel Lopez Sanchez สมมุติว่าไปแต่งงานกับนาย Juan Carlos Diaz Ruiz
จะต้องเดิม de Diaz รู้สึกว่าจะรุ่มร่าม ฉะนั้นปัจจุบัน กำลังมีแนวโน้มที่ปรับให้สั้นลงโดยตัดเอานามสกุล
ของแม่ออกไป เช่น นาง Maria Isabel Lopez de Diaz ในอเมริกาใต้ ซึ่งใช้ภาษาสเปน ได้เปลี่ยนมา
ใช้อย่างที่ว่าเป็นส่วนใหญ่
วันนี้เรามีนัดทานอาหารกลางวันที่เมือง Burgos เมืองของวีรบุรุษเอลซิด เราทานอาหรกลางวันกัน
แบบสเปนแท้ๆ คือ เลยบ่ายสองโมงเศษ อาหารค่ำแบบสเปนก็ต้องเลย 3 ทุ่มไปแล้วเช่นกัน อาหารกลางวัน
นี้ก็มี ข้าวอบไก่ผสมซีฟู้ด (paella) เป็นการลิ้มลองอาหารประจำชาติที่ไม่เหมือนใคร กลั้วคอด้วยไวน์แดง
แรงฤทธิ์ยี่ห้อ El sangre de toro (เลือดกระทิง) ฤทธิ์เลือดกระทิงสเปนได้ผลเกินคาด เพราะตลอดระยะ
ทางจาก Burgos ถึง Salamanca พวกเราครวญเพลง ตั้งแต่มอญต่อยหม้อ ไปจนถึงแร็พ แล้วผลัดกัน
เล่าโจ๊ก ทั้งใส่ไข่และไม่ใส่ไข่ แล้วหัวหน้าทัวร์ก็สลับฉากด้วยเกล็ดความรู้ภาษาสเปนว่า พวกเราคนไทย
ใช้ภาษาสเปนหรือโปรตุเกสโดยไม่รู้ตัว เช่น คำเหรียญมาจากภาษา สเปน real หนึ่ง เรอัล มีค่าเท่ากับ
หนึ่งสลึง (1 ใน 4) ของเงินสเปนโบราณ คือ เปโซ (แต่เดี๋ยวนี้ใช้ Peseta) คำสตางค์ ก็มาจาก คำ Centavo
( 1 ใน 100) อ่านว่า เซ็นต้าโบ คำ เลหลัง มาจากภาษาโปรตุเกส leilao เลอีเลา คำ ขนมปังมาจากภาษา
สเปน pan ปัน คำภาษาสเปนก็มีเพศเช่นเดียวกับภาษาฝรั่งเศส เช่น Hermano แอร์มาโน่ (พี่ชาย)
hermana แอร์มาน่า (พี่สาว) Hijo อีโฮ่ (ลูกชาย) Hija อีฮ่า (ลูกสาว) คำนี้ต้องตกเอกเซนต์ให้ดีนะครับ
มีพยัญชนะบางตัวที่ไม่ออกเสียงเหมือนภาษาอังกฤษ เช่นตัว H เท่ากับ อ. ตัว V เท่ากับ บ. เช่น SEVILLA
อ่านว่า เซบียา ตัว LL เท่ากับ ย. และตัว J เท่ากับ ฮ. ทั้งนี้ขึ้นกับว่ามาจากส่วนไหนของประทศ ถ้ามาจาก
ภาคใต้ และอเมริกาใต้ ออกเสียง ฮ.หมด ส่วนทางภาคเหนือ ภาคกลางออกเสียง ฮ. ก่อน แล้วตามด้วย
ข. หรือ ค. เช่น BAJO บาโฮ์ข่ คล้ายตัว R ในภาษาฝรั่งเศส ที่สุดก็ถึงเมือง ซาลามังกาโดยไม่รู้ตัว
เมืองนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์อยู่อย่างหนึ่งก็คือ เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลก
และศัพท์มหาวิทยาลัยก็ถูกบัญญัติโดยสังฆราชของเมืองนี้เมือ 800 ปีก่อน
โดยการสมาสของคำ uni และ versitas.

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:26 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (19)👈
🌼--- นาม "ฟาติมา" นั้นสำคัญไฉน ---🌼
        
  วันรุ่งขึ้นคณะทัวร์ของเราก็เดินทางสู่ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นชนเผ่าลูซิตาโน ในสมัยโบราณก็เป็น
ส่วนหนึ่งของสเปน ได้รับอิสรภาพจากการปกครองของแคว้นเลออนและคัสติญ ในปี 1143 และ
ในปี 1249 พวกอาหรับก็ถูกขับไล่ออกจากทางใต้ไปอย่างสิ้นเชิง ในปี 1411 เริ่มสำรวจแอฟริกาเหนือ
และขยายจักรวรรดิ์ไปยังชายฝั่งแอฟริกา และที่อื่นๆ เช่น อังโกลา บราซิล โมซัมบิก อินเดีย ซีลอน
มะละกา บอร์เนียว และทะเลจีน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดภาษาโปรตุเกสถึง 200 ล้านคน ชาวโปรตุเกส
ก็มีความศรัทธาในแม่พระ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาวสเปน อย่างเช่น กษัตริย์โปรตุเกสจะไม่มีพิธีสวม
มงกุฎในวันราชาภิเษก เพราะได้ให้เกียรติแม่พระเป็นพระราชินีแห่งโปรตุเกส โปรตุเกสได้เปลี่ยนมา
เป็นสาธารณรัฐในปี 1910 คณะทัวร์ของเราเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ชื่อ ฟาติมา เมื่อใกล้ค่ำ
ฟาติมาเป็นเมืองที่อยู่เหนือกรุงลิสบอน 130 กม. และห่างจากฝั่งทะเลอัตลันติก 50 กม. ในสมัยชาว
อาหรับปกครองโปรตุเกสได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า ฟาติมา ซึ่งเป็นชื่อของธิดาพระศาสดาโมฮัมหมัด
เมื่อ 76 ปีที่แล้ว คือในปี 1917 แม่พระได้ปรากฏมาพบเด็กเลี้ยงแกะ 3 คน คือ ยาชินทา ฟรังซิสโก
และ ลูเซีย ที่ตำบลฟาติมานี้ แม่พระเริ่มปรากฏมาทุกๆ วันที่ 13 ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม
โดยมอบสารหรือเรียกกันว่า "ความลับ" สำคัญๆ แก่เด็กทั้งสาม และในเดือนตุลาคมนั้น เพื่อแสดงว่า
เป็นเรื่องของเบื้องบน แม่พระจึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ดวงอาทิตย์หมุนเป็นไฟพะเนียงด้วยความเร็วสูง
และหมุนเคลื่อนใกล้เข้ามา และถอยออกไปสลับกันเป็นเวลาประมาณ 15 นาที ทำให้คนประมาณ
50,000 คน ที่ชุมนุมกันอยู่นั้น ตกตะลึงพรึงเพริศในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พึงสังเกตว่าหลังจากนั้น
หนึ่งเดือน คือในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 นั้นเอง รัสเซียก็เปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ แสดงถึงความห่วงใย
ของแม่พระต่อประเทศโปรตุเกส ซึ่งได้รับความบอบช้ำจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งทำให้
ประชาชนจำใจต้องปฏิเสธพระเจ้าด้วยลัทธิการเมืองใหม่ๆ ขนาดบังคับให้เด็กนักเรียนถือป้ายเดินต
ามถนนใจความว่า "ไม่เอาพระเจ้า ไม่เอาศาสนา" แล้วยังมีลัทธิคอมมิวนิสต์กระหน่ำเข้ามาอีก นี่แหละ
เป็นเหตุผลว่า ทำไมแม่พระจึงต้องปรากฏมาที่ฟาติมา สำหรับคณะมาสเตอร์ต่างก็ปลื้มปีติ ที่ได้มีโอกาส
มาเยือนสถานที่ที่แม่พระเคยปรากฏองค์มา เพื่อมอบสาส์นสำคัญแก่มวลมนุษย์ จริงๆ แล้วแม่พระปรากฏ
มาหลายแห่ง เท่าที่มีการกล่าวขวัญกัน แต่ 2 แห่งนี้ คือ ลูร์ด และ ฟาติมา ทางพระศาสนจักรให้การรับรอง
แล้วว่าแม่พระได้ปรากฏมาจริง ลองมาดูกลอนของนอสตราดามุสว่า ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเมืองฟาติมา
หรือ "ความลับ" ไว้อย่างไรบ้าง ในบทที่ 17/2
Le champ du temple de la vierge vestale,
Non esloigne' d'Ethene & monts Pyrenees:
Le grand conduict est cache' dans la male,
North getez fleuvers et vignes mastinees.
ในลานกว้างของวิหารแห่งสาวพรหมจารีย์
ไม่ห่างจากพวกไม่เอาพระ (อเทว์) และพวกปีเรเนส์
ผู้ที่หลั่งไหลมาก็ล้วนแต่คนอม (ซ่อน) โรค
จากภาคเหนือมีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่านและในที่ราบก็ปลูกต้นองุ่น
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 คำ "สาวพรหมจารีย์" ของนอสตราดามุสก็คือ "แม่พระ" นั่นเอง
วิหารที่มีลานกว้าง ก็เห็นจะมีวิหารแม่พระฟาติมาเท่านั้น
บรรทัดที่ 2 หลังจากที่โปรตุเกสเปลี่ยนจากระบบกษัตริย์ในปี 1910 ในปีถัดไปประมุขของรัฐ
Mr. Alfonso Costa ก็ได้รับรองกฎหมายให้แยกรัฐออกจากพระศาสนจักร แล้วโปรตุเกสก็ประกาศ
อย่างภาคภูมิใจว่า "ขอบคุณกฎหมายฉบับนี้ เพราะภายในสองชั่วอายุคนก็จะสามารถกำจัดศาสนา
คาทอลิกได้อย่างสมบูรณ์" พวกเด็กนักเรียนถูกบังคับให้เดินตามถนนชูป้ายใจความว่า
"ไม่เอาพระเจ้าไม่เอาศาสนา" เทือกเขาปิเรเนส์ ก็คือเทือกเขาทางใต้สุดของฝรั่งเศส
บรรทัดที่ 3 ผู้คนที่หลั่งไหลไปที่ฟาติมา ก็คือผู้แสวงบุญที่มีโรคภัยไข้เจ็บที่หมอไม่รับแล้ว
จึงมักหวังปาฏิหาริย์จากเบื้องบน กล่าวคือจากแม่พระนั่นเอง
บรรทัดที่ 4 บริเวณที่แม่พระปรากฏมาที่ฟาติมานั้นก็มีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่านคือ
แม่น้ำ TEJO และแม่น้ำ ZEZERE และชาวบ้านก็มีอาชีพปลูกต้นองุ่น และเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่
ความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา บทที่ 27/2
Le divin verbe sere du ciel frappe'
Qui ne pourra proceder plus avant:
Du reserrant le secret estoupe'
Qu'on marchera par dessus & devant.
"ข้อความ" แห่งสวรรค์ถูกบดบังจากเบื้องบน
จะไม่สามารถดำเนินการใดๆ ให้รุดหน้าไปได้
"ความลับ" ที่เฝ้ารักษาไว้ก็ยังคง "เร้นลับ" ต่อไป
บ้างก็เดินไปข้างหน้า บ้างก็เดินไปบน "ความลับ" นั้น
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 "ข้อความ" แห่งสวรรค์ คือ สาส์นของแม่พระฟาติมาที่ได้มอบให้
เด็ก 3 คนนั้นมีอยู่ 3 ข้อ สาส์นข้อ 1 สงครามจะสิ้นสุดในไม่ช้า (สงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่าง
ปี 1914 - 1918 แม่พระบอกเด็กทั้ง 3 ในปี 1917) สาส์นข้อ 2 รัสเซียจะแพร่เชื้อร้ายไปทั่วโลก
จะเลิกนับถือพระเจ้า แต่ในที่สุดจะกลับใจหันเข้าหาพระดังเดิม ศรัทธาแก่กล้ายิ่งกว่าเดิม และจะเ
กิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939 -1945) อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก่อนที่จะเกิดสงครามจะมีแสงประหลาด
เกิดขึ้นก่อน (และก็เป็นความจริง กล่าวคือในคืนวันที่ 25 มกราคม 1938 ได้เกิดแสงสว่างจ้าหลาย
ชั่วโมง ทำให้ทั่วยุโรปมองเห็นได้ เป็นแสงลึกลับเหนือธรรมชาติ) สาส์นข้อที่ 3 หรือที่เรียกกันว่า
"ความลับข้อที่ 3" นั้น แม่พระถือเป็นความลับให้เปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อถึงปี 1960 แต่พอถึงปี 1960
ทางวาติกันผู้เก็บความลับนี้ไว้ก็ยังไม่ยอมเปิดเผย เพียงแต่บอกให้ "สัตบุรุษ" สวดขอเมตตา
จากพระมากๆ
บรรทัดที่ 2 คงจะหมายถึงว่าได้มีความพยายาม ที่ใคร่จะได้รู้ถึงความลับข้อนี้ แต่ทางวาติกัน
ก็ยังไม่ยอมเปิดเผย เกรงว่าผู้คนจะตกอกตกใจ
บรรทัดที่ 3 "ความลับ" ก็ยังคงเป็น "ความลับ" ต่อไปหรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ได้เป็น
"ความลับ" ไปแล้ว เพราะเชื่อกันว่าได้มีการเปิดเผยผ่านทางการทูตไปแล้ว เป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่ว
แต่สำนักวาติกันก็ยังไม่ "ยอมรับ" หรือ "ปฏิเสธ" "ความลับ" ที่รั่วไหลออกมานั้น ผู้คนจึงยังเชื่อ
ต่อไปอีกว่า ยังคงมี "ความลับ" อยู่อีก
บรรทัดที่ 4 เกี่ยวกับ "ความลับ" นี้ บางคนก็ใส่ไข่ระบายสีกันเปรอะไปหมด หรือบางคนก็ไม่เชื่อ
เอาเสียเลย เห็นเป็นเรื่องเหลวใหลไปก็มี เนื่องจาก "ความลับ" ยังมิได้เปิดเผย จึงมีการคาดคะเนกัน
ต่างๆ นานาในสื่อมวลชนทางยุโรปว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 พร้อมๆ กับมหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เช่น น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ระเบิด เกิดโรคระบาด เป็นการชำระล้างโลกครั้งใหญ่ แล้วจะ
ถึงกาลสิ้นยุคมืด ยุคแห่งความเกลียดชัง แล้วเข้าสู่ยุคสว่าง ยุคแห่งความรัก ยุคแห่งสันติสุข สาธุ!

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:30 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (20)👈
🌼--- อิสราเอล แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ [A] ---🌼
         
หลังจากนำคณะมาสเตอร์มาท่องยุโรปได้ 4 ประเทศแล้ว ก็มาถึงช่วงสุดท้ายของทัวร์ซึ่งชาวคริสต์
เรียกกันว่า "แสวงบุญแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์" ศัพท์แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นั้น ชาวคริสต์หมายถึงประเทศอิสราเอล
อันเป็นแผ่นดินเกิดของพระเยซู อิสราเอลนอกจากจะมีความสำคัญต่อศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และ
ศาสนาอิสลามแล้ว ยังมีความสำคัญเกี่ยวกับเทคโนโลยีในหลายสาขา โดยเฉพาะสาขาเกษตรกรรม
แต่ในตอนนี้จะขอพูดถึงเรื่องศาสนาคริสต์ และศาสนายิวก่อน แล้วอาจจะพูดถึงการเกษตรในโอกาสต่อไป
ประเทศอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง ได้รับการสถาปนาเป็นประเทศเมื่อปี 1948 อยู่ในทวีปเอเชีย
ติดกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตก ล้อมรอบด้วยประเทศอาหรับ 4 ประเทศ คือ เลบานอน ซีเรีย
ทางทิศเหนือ จอร์แดน ทางทิศตะวันออก และ อียิปต์ ทางทิศใต้
อิสราเอลเคยเป็นยุทธภูมิทุกยุคสมัยในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 ทวีป
เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
อิสราเอลมีทุ่งราบที่อุดมสมบูรณ์คือ JEZREEL - ESDRAELON ที่นี่ก็ยังเป็นยุทธภูมิ นับจาก
สมัยฟาโรห์ ฮีบรูว์ หลังจากอพยพจากอียิปต์เข้าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์คานาอัน เรื่อยมาจนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด
กษัตริย์โซโลมอนผู้สร้างวิหารหลังแรก ถัดมาก็เป็นพวก XERXES, SENNACHERIS, อาเล็กซานเดอร์
มหาราช, แมคคานี, โรมัน ภายใต้การนำของจักรพรรดิตีตฺส, พวกไบแซนทีน, พวกอาหรับจากอาราเบีย
พวกครูเสด ภายใต้การนำของกษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์, พวกเตอร์ก, นโปเลียนและอังกฤษโดยนายพล
ALLENBY อิสราเอลมีความสำคัญในทางการเมือง และยังมีความสำคัญสำหรับจิตใจของคนทั่วโลก
บัญญัติสิบประการ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล และข้อเขียนของประกาศก (PROPHET) ชาวฮีบรูว์ เป็นหลัก
จริยธรรมของมวลมนุษย์
ประวัติศาสตร์ชนชาติยิวมีมานานเกือบ 4,000 ปีมาแล้ว ชาวยิวถูกขับไล่ออกนอกประเทศนาน
เกือบ 2,000 ปี แต่บัดนี้ประเทศอิสราเอลได้ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นประเทศกำเนิดของศาสนาใหญ่ๆ
ของโลก 3 ศาสนา คือ ยิว คริสต์ และ อิสลาม
ภูมิประเทศแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะระดับความสูงต่ำ ภาคเหนือมีภูเขาเฮอร์มอนสูงกว่า
ระดับน้ำทะเลถึง 2,730 เมตร ส่วนทะเลตาย อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 390 เมตร ทะเลสาปกาลิลี
ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 220 เมตร
ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อยู่ที่ทุ่งราบ JEZREEL และที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ที่เหลือเป็นดินแดนแห้งแล้ง
พื้นดินเป็นกรวดหรือเป็นทะเลทราย มีทะเลทราย NEGEV ทางภาคใต้
เมื่อหลายล้านปีก่อน บริเวณประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของทะเล เป็นเกาะใหญ่
มีที่ราบสูงซามาเรีย และ ยูเดีย แต่แผ่นดินเลื่อนไปทางภาคเหนือ ปิดกั้นทะเลบางส่วน ซึ่งปัจจุบันคือ
บริเวณทะเลตาย ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ไปจนถึงทะเลสาบกาลิลี ทำให้บริเวณดังกล่าว (ซึ่งเคยเป็นก้นทะเล)
อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมาก และทำให้แร่ธาตุของบริเวณที่เคยเป็นทะเลมาก่อนละลายน้ำ แล้วไหลลง
สู่ทะเลตาย จึงทำให้น้ำในทะเลตายมีความเข้มข้นมากกว่าน้ำทะเลปกติ
ประชากรในประเทศอิสราเอล ซึ่งสำรวจในปี 1988 มี 4.4 ล้านคน เป็นชาวยิว 3.6 ล้านคน นอกนั้น
เป็นชนชาติอื่นๆ ซึ่งได้จากดินแดนที่ยิวยึดครองได้ในสงคราม 6 วัน ในปี 1967 ในต้นศตวรรษที่ 4 เมื่อ
พระมารดาของจักรพรรดิ คอนสแตนติน ได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ ก็ได้จัดการสำรวจสถานที่สำคัญๆ
ที่พระเยซูเกิด เจริญวัย สถานที่พระองค์ออกเทศนา และที่สำคัญตอนที่พระองค์ถูกพิพากษาต้องโทษถึง
ประหารชีวิต ด้วยการตรึงบนไม้กางเขน และหลุมฝังศพของพระองค์ ฉะนั้นในอันดับแรกจะขอนำชม
สถานที่เกิดของพระเยซูคือ เมืองเบทเลเฮม
เบเลเฮม แปลว่า "บ้านขนมปัง" ในภาษาฮีบรูว์ และ "บ้านเนื้อสัตว์" ในภาษาอาหรับ อยู่ห่าง
จากเยรูซาเลมไปทางทิศใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บนภูเขา สูงจากระดับน้ำทะเล
900 เมตร มีประชาชนเพียง 30,000 คน ประชาชนมีอาชีพเพาะปลูก และผลิตศาสนภัณฑ์ที่ทำจาก
ไม้มะกอก และเปลือกหอยมุก สำหรับขายให้ผู้แสวงบุญ
ตามพระธรรมเก่า (OLD TESTAMENT) กล่าวถึงการตายของนางราเกล (RACHEL)
ภรรยาของยาโคป ศพของนางถูกฝังไว้ที่เบทเลเฮมนี่เอง
เบทเลเฮมเป็นฉากอันงดงามของนางรูธ (RUTH) และ โบอาซ (BOAZ) เมื่อเอลีเมเล็ค (ELIMELECH)
และ นางนาโอมิ (NAOMI) ได้เดินทางไปเมืองโมอับ (MOAB) พร้อมกับลูกชาย 2 คน ในคราวที่เกิดข้าว
ยากหมากแพง หลังจากความตายของสามี และบุตรชายทั้งสอง นางนาโอมิ พร้อมกับนางรูธบุตรสะใภ้
ได้กลับมาอยู่ที่เบทเลเฮม ณ ที่นั้น นางรูธได้พบกับโบอาซและแต่งงานกับเขา นางรูธเป็นย่าทวดของ
กษัตริย์ดาวิด ดังนั้นเบทเลเฮมจึงเป็นภูมิลำเนาของราชวงศ์ดาวิดด้วย เหตุนี้เองโยเซฟ ซึ่งเป็นเชื้อสาย
ของกษัตริย์ดาวิด จึงมีสำมะโนครัวอยู่ที่นี่

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 02, 2023 5:38 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (21)👈
🌼--- อิสราเอล แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ---🌼
         
เหตุการณ์สำคัญที่อุบัติขึ้นในเมืองเล็กๆ แห่งเบทเลเฮม ก็คือ การบังเกิดมาในถ้ำเลี้ยงสัตว์ของ
พระกุมารเยซู เมื่อ 750 ปีก่อนคริสตกาล ประกาศกมีคาห์ (MICAH) ได้พยากรณ์ว่า "โอ้ เบทเลเฮม
เมืองเล็กๆ แห่งแคว้นยูเดีย เจ้ามิได้ต่ำต้อยไร้ความหมายแต่อย่างใดเลย เพราะผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ผู้ครอบครองชนชาติอิสราเอลของเรา จะเกิดจากเจ้า" คำพยากรณ์ก็สมจริง เมื่อจักรพรรดิโรมันชื่อ
"เอากุสตุส" มีพระบรมราชโองการ ให้สำรวจสำมะโนประชากรของทุกหัวเมืองที่อยู่ในปกครองของ
อาณาจักรโรมัน ดังนั้น โยเซฟจึงออกจากเมืองนาซาแรธ ในแคว้นกาลิลี พร้อมกับมารีย์ซึ่งมีครรภ์แก่
เดินทางมาที่แคว้นยูเดียเมืองเบทเลเฮม ณ ถ้ำเลี้ยงสัตว์นอกเมืองเบทเลเฮม องค์พระผู้ไถ่บังเกิดมา
เหตุการณ์สำคัญนั้นเป็นเครื่องหมายของการแบ่งตอนระหว่างพระธรรมใหม่ (NEWTESTAMENT)
และ พระธรรมเก่า (OLD TESTAMENT) เบทเลเฮมกลายเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ เป็นหัวใจของคริสตชน
นับล้านๆ คนทั่วโลก
🔹พระวิหารพระคริสตสมภพ (CHURCH OF NATIVITY)
ในปี ค.ศ. 135 จักรพรรดิฮาเดรียน (HADRIAN) ปราบปรามการจลาจลของชาวยิวครั้งที่สอง
จนมีชัยชนะ ได้สร้างวิหารบูชาเทพอะดอนีสปิดทับถ้ำพระกุมารบังเกิด หลังจากนั้น 200 ปี จักรพรรดิ
คอนสแตนติน (CONSTANTINE) ผู้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ และในปี ค.ศ. 313 ได้มีพระบรมราช
โองการให้ คริสตศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของอาณาจักรโรมัน
ปี ค.ศ. 325 พระจักรพรรดินีเฮเลนา พระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนติน เสด็จเยือนแผ่นดิน
ศักดิ์สิทธิ์ ทรงให้รื้อทำลายวิหารเทพอะดอนีสลง และให้สร้างพระวิหารคร่อมถ้ำพระกุมาร ซึ่งได้พิสูจน์
แล้วว่าเป็นสถานที่ที่ถูกต้องจริงๆ โดยอาศัยพยานหลักฐาน และพยานบุคคลซึ่งได้เล่าสืบทอดกันมา
เป็นช่วงๆ ว่าถ้ำพระกุมารบังเกิดนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเบทเลเฮม ใต้วิหารเทพอะดอนีส
ดังนั้นเอง เมื่อรื้อวิหารนั้นออก ก็พบถ้ำเล็กๆ จักรพรรดิคอนสแตนตินจึงได้ทรงสร้างพระวิหารใหญ่โต
สง่างาม ภายในตกแต่งอย่างหรูหราโออ่าด้วยโมเสค หินอ่อน และภาพปูนเปียก พระองค์ถวายเงินทอง
และพรมทอด้วยมือแขวนฝาผนัง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมารดา
ในปี ค.ศ. 529 ชาวซามาเรีย ก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลคริสเตียนไบแซนทีน พระวิหารพระกุมาร
บังเกิดถูกเผาทำลายอย่างย่อยยับ พระอัยกาแห่งเยรูซาเล็มได้ส่งนักบุญซับบาส (SABBAS) ไปทูล
ขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิยูสติเนียน (JUSTINIAN) เพื่อสร้างพระวิหารใหม่ให้งดงามกว่าเดิม
แต่ผลงานไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยผู้แทนพระองค์ ซึ่งรับผิดชอบงานนี้ ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินหลวง
จึงต้องพระราชอาญาตัดศีรษะ วิหารหลังนี้ปัจจุบันยังอยู่ที่เมืองเบทเลเฮม
ในปี ค.ศ. 614 พวกเปอร์เซียได้บุกเข้าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ทำลายวัดวาอารามกว่า 300 แห่ง
พระวิหารแห่งนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ไม่ถูกทำลาย เพราะภาพโมเสค นักปราชญ์ ในเครื่องแต่งกาย
ของชาวเปอร์เซียโบราณ กำลังถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร ได้เปลี่ยนใจพวกเขาที่จ้องทำลาย
ศิลปวัตถุอย่างบ้าคลั่ง
ในสมัยสงครามครูเสด พระวิหารได้รับการซ่อมแซม ปูพื้นหินอ่อนเสียใหม่ หลังคาไม้ซีดาร์
ถูกกรุด้วยแผ่นตะกั่ว กำแพงด้านข้างบุด้วยหินอ่อน ด้านนอกเป็นกำแพงปราการแบบง่ายๆ ของสมัยกลาง
มีประตูทางเข้า 3 ประตู ซึ่งปัจจุบันถูกก่อกำแพงปิดกั้นเหลือแค่ประตูกลาง ซึ่งแคบและเตี้ยแค่ครึ่งเดียว
ทั้งนี้เพื่อป้องกันพวกโจรขี่ม้าเข้าปล้นพระวิหาร
ภายในพระวิหารเป็นรูปกางเขน ยาว 56 เมตร กว้าง 26 เมตร แบ่งเป็น 5 ช่อง ด้วยแนวเสาหิน 4 แนว
พื้นไม้ส่วนหนึ่งเปิดให้เห็นพื้นพระวิหารเดิม ซึ่งเป็นโมเสค สร้างในศตวรรษที่ 4 ที่นั่งของคณะขับร้อง
ของนิกาย ออโธดอกซ์ ทำด้วยไม้ซีดาร์ จากเลบานอน แกะสลักด้วยมืออย่างสวยงามมาก
พระวิหารปลูกคร่อมถ้ำเลี้ยงสัตว์ที่พระกุมารบังเกิด ทางเข้า 2 ทาง ต้องเข้าแถวเรียงสอง วันนี้
คณะทัวร์ของชาวอเมริกัน ประมาณ 100 คน เข้าก่อนพวกเรา จึงต้องใช้ความอดทนพอสมควรกว่าจะ
ไปถึงถ้ำเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 ฟุต ยาว 35 ฟุต จุแกะได้ 48 ตัว ดาวเงินมีอักษร
ภาษาละตินจารึกไว้ว่า "ณ ที่นี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารี มารีอา"
(HIC DE MARIA VERGINE JESUS CHRISTUS NATUS EST) ทางด้านขวามือเป็นเวิ้งเล็กๆ อยู่ระดับ
ต่ำลงไป 2 ขั้นบันไดเคยเป็นคอกสัตว์ และเป็นตำแหน่งของรางหญ้าซึ่งแม่พระเอาผ้าพันพระกุมาร และ
วางไว้ในรางหญ้านั้น หินดั้งเดิมเป็นสีดำ เพราะเขม่าควันจากตะเกียง และเทียนซึ่งจุดโชติช่วงตลอด 24
ชั่วโมง อุทิศถวายโดย นายแมค มาฮอน (MC MAHON) ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ในปี 1874
ภายในพระวิหารมีพระแท่นของนิกาย ออร์โธดอกซ์ พระแท่นของพระสงฆ์อาร์เมเนีย และของ
พระสงฆ์ คอปติคส์ ภายในวัดคาทอลิกซึ่งอยู่ห่างออกมาหน่อยหนึ่ง มีพระแท่นเล็กๆ มีรูปปั้นแม่พระขึ้น
สวรรค์ สวยงามมาก ที่สะดุดตาก็คือ ข้างล่างพระแท่นกั้นด้วยกระจกใส มีรูปปั้นพระกุมารยิ้มอ่อนหวาน
นอนในรางหญ้าน่ารักน่าเอ็นดู
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม นี้ ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู ถ้าดูตามปฏิทินก็
ถือว่าพระเยซูเกิดมาแล้ว 1993 ปี อีก 7 ปี ก็จะครบ 2000 ปี ทั้งนี้โดยการนับจากคริสตศักราช ที่ตั้งขึ้น
โดยนักบวชคณะดอมินิกัน ชื่อ ดีโอนีซีอุส เอกซีคูอุส เมื่อปี ค.ศ. 533 ท่านเอาปีสร้างกรุงโรม 754 เป็น
หลักเทียบ เริ่มนับ ค.ศ. 1 ตั้งแต่นั้นไป ครั้นพลิกประวัติของเฮร้อด มหาราช เวลาทรงสั่งฆ่าทารกชาย
(เพราะเฮร้อดทรงทราบจากโหราจารย์ว่า ได้มีผู้มีบุญมาเกิด ซึ่งผู้นั้นอาจมาแย่งบัลลังก์ จึงได้ทรงสั่งฆ่า
ทารกชายอายุตั้งแต่สองขวบลงมา) กลายเป็นว่าเด็กถูกสังหารหมู่ในปีที่สร้างกรุงโรม 750 ผิดกันถึง 4 ปี
ที่นี้ ถ้าเด็กที่ตายมีอายุแล้วอย่างน้อย 2 ปีลงมา ก็แปลว่าเวลานั้นพระเยซูมีวัย 6 ขวบ ก่อนที่
ดีโอนีซีอุส จะตั้งคริสตศักราชขึ้น ฉะนั้น ควรจะเริ่ม ค.ศ. ในปีสร้างโรม 748 ไม่ใช่ 754

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 02, 2023 5:43 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (22)👈
🌼--- สู่อาร์มาเกดโดน [A] ---🌼

🔹มักดาลา (Magdala)
วันนี้คณะทัวร์ของเรานั่งรถโค้ชเรียบริมทะเลสาบกาลิลี ผ่านสี่แยกแห่งหนึ่งเห็นป้ายชื่อเมือง
MAGDALA เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี ประมาณ 5 กม. จากทีเบเรียส
เป็นเมืองสมัยศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องปลา และผลิตผลจากปลา
ชื่อภาษากรีก TRACHEAE แปลว่า ที่ทำปลาเค็ม พบเรือหาปลาโบราณหลายลำจมในโคลนที่ชายฝั่ง
ใกล้เมืองนี้ ปัจจุบันเป็นศูนย์อุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ในสมัยเมื่อสองพันปีมาแล้ว มีหญิงคนหนึ่งชื่อ
มารีย์ แห่งมักดาลา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มารีย์ มักดาเลนา เป็นหญิงโสเภณีคนหนึ่ง ที่มีกล่าว
ในพระวรสารว่า มีผีสิงถึง 7 ตน แต่ในชีวิตบั้นปลายของเธอก็กลายเป็นนักบุญที่คนยกย่องกันทั้งโลก
นี่แสดงว่าการรู้สึกสำนึกผิดแล้วกลับตัวกลับใจ ก็ไม่มีอะไรสายเกินไป
🔹กาเปอร์นอม (CAPERNAUM)
เป็นเมืองประมงอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบกาลิลี ในสมัยโรมัน เป็นที่พักของนายทหารโรมัน
กาเปอร์นอม หรือ กาฟาร์นาอุมเป็นเมืองมีคนอาศัยเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มรุ่งเรืองมาตั้งแต่
ศตวรรษที่ 4 จนถึง ศตวรรษที่ 7 จึงถูกรุกรานโดยพวกเปอร์เซีย เมืองถูกทิ้งร้างจนกระทั่งทุกวันนี้
ในสมัยพระเยซูเจ้า พระองค์เทศนาอยู่ที่เมืองนี้เป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ชาวเมืองนาซาเร็ธปฏิเสธ
คำสอนของพระองค์ ทรงโปรดให้เรียกกาเปอร์นอมว่า "เมืองของพระองค์" ทรงสอนในธรรมศาลา
ของเมือง ทรงรักษาคนเจ็บหลายคน เช่น แม่ยายของนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นง่อย ทรงรักษาคนถูกผีสิง
คนโรคเรื้อน ทรงทำอัศจรรย์ให้ลูกสาวของนายธรรมศาลาชื่อ JAIRUS  ให้ฟื้นจากความตาย หญิงป่วย
ตกเลือดนานถึง 12 ปี นางได้เบียดคนเข้าไป แอบจับชายเสื้อของพระองค์ เพราะเชื่อว่าทำให้นาง
หายป่วยได้ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของนาง พระองค์ตรัสถามว่า "ใครแอบมาจับชายเสื้อของเรา"
นางตกประหม่านิ่งอึ้ง พระเยซูเจ้าทรงเมตตา นางจึงหายจากโรค
ทรงรักษาคนใช้ของนายทหารโรมัน เขากล่าวอย่างถ่อมตัวว่า "พระเจ้าข้า บ้านของข้าพเจ้าไม่
สมควรที่จะต้อนรับพระองค์ เพียงพระองค์ตรัสคำเดียว บ่าวของข้าพเจ้าก็จะหาย" พระเยซูเจ้าทรง
ประหลาดใจในความเชื่อและความสุภาพถ่อมตนของเขา ตรัสว่า "ไม่มีใครในหมู่ชาวยิวที่มีความเชื่อ
มั่นคงเท่าคนต่างด้าวคนนี้เลย"
ที่กาฟาร์นาอุม ทรงพบซีมอน (เปโตร) กับอันเดร น้องชาย ชาวเมืองเบทไซดา บุตรของยวงกำลัง
ทอดแห ทรงชักชวนเขาเป็นสาวก รวมทั้งยาโกเบ (ใหญ่) และน้องชายยวง บุตรของ เชบาด มารดาชื่อ
ชาโลเม เป็นคนเมืองเบธไซดา นางชาโลเมเป็นญาติของแม่พระด้วย ทั้ง 3 ละทิ้งงาน ติดตามพระองค์ไป
ทรงเรียก ยาโกเบ (เล็ก) ทัดเดว (ยูดา) และ ซีมอน สามพี่น้อง บุตรของนางมารีอา เคลโอเฟ
ซึ่งเป็นพี่ต่างบิดากับแม่พระ
ทรงเรียกเลวี คนเก็บภาษี ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมัทเธว เป็นอัครสาวก
🔹ธรรมศาลาแห่งกาฟาร์นาอุม
ที่เห็นในปัจจุบันสร้างประมาณปี ค.ศ. 300 ด้วยหินสีขาวซึ่งไม่มีในแถบนั้น ชักลากมาจากเมืองไกล
ธรรมศาลาหันหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ภายในแบ่งเป็นช่องด้วยเสาหินใหญ่ๆ กลม แบบโรมัน สลักด้าน
บนเป็นใบปาล์ม เหนือประตูทางเข้าใหญ่ สลักเป็นนกอินทรี และกามเทพถือพวงดอกไม้ เป็นสิ่งประหลาด
ที่จะพบภาพสลัก หรือรูปวาดใดๆ ในธรรมศาลาของชาวยิว เป็นข้อห้ามของศาสนายิว นอกจากนั้นยังมี
ภาพสลักดอกไม้ ใบไม้ เครื่องถวายในพิธี เช่น หีบพระบัญญัติจำลอง เข้าใจว่าธรรมศาลาหลังนี้เป็นการ
ผสมผสานระหว่างศิลปะยิวกับคริสต์ สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวยิวและชาวคริสต์
ในสมัยนั้น
🔹บ้านนักบุญเปโตร
จากการขุดค้นหาซากเมืองเก่า พบที่พักอาศัยสมัยพระเยซูเจ้ารายล้อมธรรมศาลา ส่วนมากเป็น
บ้านเล็กๆ ของคนยากจน อยู่รวมๆ กัน ต่อกันเป็นห้องๆ เรียงกัน บางห้องมีพื้นห้องดีกว่าห้องอื่นๆ ซึ่งทำ
ด้วยหินหยาบๆ บางห้องฉาบด้วยปูน ชั้นบนทำเป็นหลังคาโค้ง เข้าใจว่าในศตวรรษที่ 4 มีการสร้างวัด
บนบ้านเก่าๆ เหล่านี้ วัดมีลักษณะ 8 เหลี่ยม ไม่มีหลักฐานบ่งชัดว่าเป็นบ้านใคร ทราบว่าเป็นชาวประมง
พบเครื่องมือหาปลา มีชื่อของนักบุญเปโตร และพระเยซูเจ้าเขียนไว้บนพื้นหิน เชื่อกันเป็นตำนานว่าเป็น
บ้านของนักบุญเปโตร
🔹นาซาเร็ธ
นาซาเร็ธเป็นเมืองในเขตกาลิลีต่ำ (LOWER GALILEE) เป็นเมืองที่แม่พระได้รับสารจากอัครเทวดา
คาเบรียล และเป็นเมืองซึ่งพระเยซูเจ้าเจริญเติบโตจนถึงอายุ 30 ปี เป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคริสตชน
มีวัดวาอารามมากมาย ปัจจุบันนาซาเร็ธ เป็นชุมชนอาหรับที่ใหญ่ที่สุดในเขตกาลิลี
เขตเก่าของนาซาเร็ธ เป็นที่ตั้งของตลาดสด วัด บ้านโบราณ เมืองได้ขยายทุกทิศ และยังได้แบ่งเป็น
เขต ตามศาสนาที่คนนับถือ คือเขตคาทอลิก เขตกรีกออโธดอกซ์ และเขตมุสลิม เขตของใครก็มีวัดของ
ศาสนานั้นตั้งอยู่ และเหนือเมืองเก่า เป็นเขตของชาวยิว เรียกว่า UPPER NAZARETH
นาซาเร็ธเป็นเมืองเก่า จะเห็นบ้านโบราณอยู่ใต้วัดแม่พระรับสาร มีผู้คนมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัย
อิสราเอลและชาวโรมัน
นาซาเร็ธมีชื่อกล่าวถึงในพระธรรมใหม่ว่า เป็นเมืองของพระเยซูเจ้า ต่อมาในสมัยโรมัน และ
สมัยไบแซนทีนต้นๆ ชาวยิวอาศัยอยู่หนาแน่นที่เมืองนาซาเร็ธ จะเห็นได้จากสัญลักษณ์ เช่น ดอกไม้ เรือ
และไม้กางเขน วาดบนกำแพง บ่อเก็บน้ำที่ขุดพบใต้วัดแม่พระรับสาร

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 02, 2023 5:50 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (23)👈
🌼--- สู่อาร์มาเกดโดน ---🌼

🔹วัดนักบุญโยเซฟ (CHURCH OF ST. JOSEPH)
อยู่ตรงข้ามวัดแม่พระรับสาร เชื่อกันว่าสร้างตรงโรงไม้ของนักบุญโยเซฟ และยังมีตำนานว่า
ถ้ำที่อยู่ข้างใต้ เป็นที่อยู่ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
วัดปัจจุบันสร้างเสร็จในปี 1914 บนซากของวัดเก่าสมัยครูเสด ใต้ซากปรักหักพังนั้น คือถ้ำ
ที่เป็นบ้านของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ถัดจากนั้นคือท่อส่งน้ำ ทั้งถ้ำและท่อส่งน้ำทะลุผ่านก้อนหิน
ซึ่งเป็นของโบราณของบ้านนาซาเร็ธ
🔹วัดแม่พระรับสาร (CHURCH OF THE ANNUNCIATION)
เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในนาซาเร็ธ วัดนี้สร้างคร่อมบ้านของแม่พระ เมื่อ เทวดา Gabriel มาแจ้งสาร
ปัจจุบันวัดนี้อยู่ใจกลางเมืองนาซาเร็ธ เป็นวัดสมัยใหม่ สร้างในปี 1955 - 1969 ใช้เวลาสร้าง 14 ปี
เหนือซากปรักหักพังของวัดเก่าสมัยไบแซนทีนและครูเสด
ประตูวัดสลักรูปแม่พระและเทวดาคาเบรียล มีนักบุญผู้นิพนธ์พระวรสาร 4 องค์ ภายในวัดกำแพง
ปิดด้วยโมเสคหลายสี ซึ่งเป็นของถวายจากประเทศคาทอลิกทั่วโลก กำแพงด้านตะวันตกเป็นกระจก
เป็นของขวัญจากรัฐบาลฝรั่งเศส เพดานทรงดอกลิลลี่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแม่พระ
ใต้วัดใหญ่คือถ้ำแม่พระรับสาร คงเป็นที่อยู่ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่กลับจากอียิปต์
ใต้ดินมี 3 แท่น คือ แท่นแม่พระรับสาร มีเสาหินค้ำอยู่ 2 ต้น มีพื้นโมเสค แสดงว่าเป็นพื้นวัดเก่าสมัย
ไบแซนทีน และวัดนักบุญโยเซฟ อีกถ้ำหนึ่งเรียกว่า ครัวของแม่พระ
รอบนอกวัดมีกำแพงล้อมรอบ ทางด้านขวามือมีรูปแม่พระในชุดแต่งกายประจำชาติต่างๆ
เช่น ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น จีน
🔹กานา
กานาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ปัจจุบันเรียกว่า KFAR KANA อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืองของ
นาซาเร็ธออกไปประมาณ 8 กม. ปลูกตะบองเพชร และทับทิม เป็นหมู่บ้านของชาวคริสต์ และชาว
มุสลิมเชื้อสายอาหรับ
ที่กานาเป็นที่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ครั้งแรก ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ในงาน
ฉลองวิวาห์ตามพระวรสารโดยนักบุญยวงที่กล่าวว่า พระเยซูเจ้า แม่พระ และบรรดาสาวก ต่างได้
รับเชิญไปในงานนี้ เผอิญเหล้าองุ่นหมด แม่พระเกรงว่าเจ้าภาพจะเสียหน้า จึงมาบอกพระเยซูเจ้า
หวังให้พระองค์ช่วย พระองค์กลับตรัสว่า "แม่ ไม่ใช่ธุระของเรา เวลาของลูกยังมาไม่ถึง" แล้วแม่พระสั่ง
ให้คนใช้ทำตามที่พระเยซูเจ้าสั่ง พระองค์สั่งให้คนใช้เติมน้ำลงในตุ่ม 6 ใบ เมื่อเอาไปให้แขก ทุกคน
ต่างแปลกใจว่า ไฉนเจ้าภาพจึงเอาเหล้าองุ่นดีๆ เช่นนี้มาเสริฟทีหลัง มีวัด Franciscans ที่สร้าง
ในปี 1879 เป็นเครื่องหมายของอัศจรรย์นี้ ภายในวัดมีตุ่มน้ำซึ่งมีลักษณะเหมือนของโบราณที่ใช้ใน
สมัยของพระเยซูเจ้า ตุ่มน้ำของจริงถูกเก็บไว้ที่อาสนวิหารในเมืองโคโลญจน์ เยอรมันนี
เมืองกานายังเป็นเมืองของนาธานาเอล นักบุญฟิลิป ผู้เป็นสหายได้เล่าให้เขาฟังถึงพระกิตติคุณ
ของพระเยซูเจ้า เขาถึงกับกล่าวว่า "มีอะไรดีๆ อย่างนี้จากเมืองนาซาเร็ธเชียวหรือ" พิลิปก็บอกว่า
"ไปดูเองดีกว่า" เมื่อพระเยซูเจ้าเห็นนาธานาเอลก็ตรัสว่า "นี่คือชาวอิสราเอลแท้ๆ ไม่มีกลอุบายใดๆ เลย"
นาธานาเอลถามว่า "ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร" พระเยซูเจ้าตอบว่า "เมื่อเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเราก็เห็น
เจ้าแล้ว" นาธานาเอลจึงเลื่อมใสพระองค์ และติดตามเป็นสานุศิษย์ เปลี่ยนชื่อเป็นบาร์โธโลมิว เมื่อ
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว บาร์โธโลมิวไปประกาศพระวรสารในอินเดีย และต่อไปที่อาร์เมเนีย ซึ่งใน
สมัยนั้นนับถือเทพเจ้าต่างๆ ท่านได้ทำอัศจรรย์ให้รูปปั้นเทพทั้งหลายพูดว่า "ไม่ใช่พระเป็นเจ้า
คำพยากรณ์ก็เป็นเพียงแค่คำโกหกหลอกลวง" แล้วท่านก็สั่งให้ทำลายเสีย กษัตริย์โปลีนีอุส และ
ชาวเมืองต่างๆ อีก 12 เมืองก็กลับใจ ทำให้พระสงฆ์ผู้นับถือศาสนาอื่นไม่พอใจ จับท่านไปแล่ถลกหนัง
แล้วเอาไปตรึงกางเขน ต่อมากษัตริย์ได้เป็นสังฆราชองค์แรกของ อาร์เมเนีย เผยแพร่พระวรสารนาน
กว่า 20 ปี ทำให้คนกลับใจมากขึ้น
🔹ภูเขาคาร์เมล (MOUNT OF CARMEL)
คาร์เมลเป็นชื่อภูเขาลูกหนึ่งอยู่รอบนอกเมือง HAIFA ซึ่งอยู่เหนือ TEL AVIV 90 กม. บนภูเขา
คาร์เมลนี้มีถ้ำแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นถ้ำที่ประกาศก (PROPHET) เอลียาห์ เคยอาศัยอยู่ เมื่อ 800 ปี
ก่อนคริสตกาล ณ ที่นี้ท่านเคยท้าพนันกับพวกสงฆ์ 450 องค์ ของพระบาอัลว่าพระของใครจะศักดิ์สิทธิ์
กว่ากัน แล้วต่างก็สร้างแท่นบูชา พวกสงฆ์ของพระบาอัลต่างก็สวดกันทั้งวัน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอ
เอลียาห์สวด ก็เกิดมีไฟลงมาเผาเครื่องบูชา แล้ววันหนึ่งเทวดาของพระเจ้าก็ส่งรถเพลิงมารับเอลียาห์
สู่สวรรค์ ตอนใกล้สิ้นยุค เอลียาห์ผู้นี้ กับ เฮน็อค จะปรากฏมาเพื่อเป็นพยานให้พระเยซูเจ้า เพราะใน
ช่วงนั้นแอนตี้ไคร้สต์ จะทำให้คนหลงผิด เฮน็อค และ เอลียาห์จึงต้องช่วยกันยืนยันคำสอนของ
พระเยซูเจ้าว่าถูกต้อง
🔹อาร์มาเกดโดน (ARMAGEDDON)
เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนที่ราบเจ็สเรเอล อยู่ทางภาคเหนือตอนกลางของอิสราเอล อาร์มาเกด
โดนเป็นศัพท์ที่เพี้ยนจาก HAR MEGIDDO คำ HAR เป็นภาษาฮีบรูแปลว่าเนินเขา เป็นเมืองที่มีเส้นทาง
ยุทธศาสตร์สำคัญตัดกัน นั่นคือ เส้นทางจากอียิปต์ไปดามัสคัส และเส้นทางจากทะเลเมดิเตอเรเนียน
ไปเมโสโปเตเมีย ที่เมือง MEGIDDO นี้มีสงครามสำคัญ 2 ครั้ง คือระหว่างกษัตริย์ทัสโมซิส (
THUTMOSIS) ที่ 3 กับบรรดากษัตริย์ของคานาอันไนท์ในปี 1484 ก่อนคริสตกาล และระหว่างกองทัพ
อียิปต์กับกษัตริย์โยชีอาห์ แห่งยูดาห์ในปี 609 ก่อนคริสตกาล
เมกิดโดเป็นเมืองที่สร้างตั้งแต่สี่พันปีก่อนคริสตกาล ช่วงที่มีความสำคัญที่สุดคือยุคของคานาอันไนท์
ระหว่าง 3,000 ปี ถึง 1,200 ปีก่อนคริสตกาล และในยุคของอิสราเอล กษัตริย์โซโลมอนก็เคยสร้างพระราชวัง
2 หลัง และประตูเข้าเมือง หลังจากอาณาจักรอิสราเอลล่มสลายในปี 1712 ก่อนคริสตกาล เมกิดโดก็เป็น
แค่จังหวัดหนึ่งของอาณาจักรอัสสิเรีย หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าจนถึงปัจจุบัน หนังสือวิวรณ์
(APOCYLYPSE) กล่าวถึงเมกิดโด หรืออาร์มาเกดโดนว่า จะเป็นสมรภูมิแห่งสงครามครั้งสุดท้ายก่อน
สิ้นยุค จะมีทหารจากตะวันออกล้มตายถึง 200 ล้านคน ตามตัวเลขของ WORLD ATLAS ที่ทำไว้
ในปี 1988 กล่าวว่า ถ้าจะระดมพลทหารทั้งโลกรวมกันจะมีกำลังทหารถึง 580 ล้านคน หนังสือวิวรณ์
ระบุจะมีทหาร (ไม่นับพลเรือน) ทางตะวันออก เอาชีวิตมาทิ้งที่เมกิดโดถึง 200 ล้านคน ตะวันออก
ก็คงหมายถึง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย มีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับนโยบายมีลูกได้คนเดียวของจีน
ในปี 1978 มีประชากรรุ่นหนุ่มสาว ในอัตราส่วน 9 ต่อ 1 ทั้งนี้เพราะประเพณีและค่านิยมที่คนจีนนิยม
มีบุตรชายมากกว่าบุตรหญิงมาช้านานแล้ว กอปรกับมีกฎหมายมาควบคุมอย่างเคร่งครัดที่ให้มีบุตร
แค่คนเดียว หากปล่อยให้ตั้งครรภ์บุตรคนที่สองก็ถูกบังคับให้ทำแท้ง และหากปล่อยให้ตั้งครรภ์
คนที่ 3 ก็ถูกบังคับให้ทำหมันถาวร ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้คนจีนรุ่นไฮเทคพยายามมีบุตรชาย
จนได้ จึงทำให้อัตราส่วนชายหญิง ห่างไกลกันมากยิ่งขึ้น ขณะนี้จีนมีประชากรทั้งหมด 1,100 ล้านคน
นับว่าคุมประชากรได้ตามเป้าพอสมควร ทั้งนี้เพราะจีน กลัวคนจีนจะ "อดข้าว" โดยไม่คำนึงถึงว่า
ประชากรหนุ่ม 125 ล้านคน จะ "อดเสน่หา" ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ตามที่ WORLD ATLAS
ได้ทำสถิติไว้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะเกิดกับอินเดีย และเกาหลีเหนือเช่นกัน
ดังนั้นตัวเลขของทหารชาวตะวันออก 200 ล้านคนที่เอาชีวิตมาทิ้งที่อาร์มาเกดโดน
ในอิสราเอลตอนสิ้นยุค ตามหนังสือวิวรณ์นั้นดูเหมือนจะมิใช่เป็นนิยายปรำปราเสียแล้ว

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 03, 2023 8:54 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (24)👈
🌼--- มาตาฮารี และ 007 สไตล์ มักกะโรนี [A] ---🌼
         
หลังจากเที่ยวชมกรุงโรมพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็เดินทางต่อไปยัง ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส
และอิสราเอล จากอิสราเอล เครื่องบินอาลิตาเลียต้องบินย้อนกลับมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงโรมอีก
ครั้งหนึ่ง เมื่อส่งคณะมาสเตอร์ขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยแล้ว ผมก็อยู่กรุงโรมต่อ เพื่อไปคารวะ
หลุมศพชาวอิตาเลียนชื่อ PIERO LOMBARDINI (พล.ต.อ. ไกรสุข สินศุข ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า
ปิยะ หรือดอนปิยะ) ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ที่ระบุชื่อก็เป็นการบอกข่าวแก่เพื่อนฝูง
ที่อยู่เมืองไทยไปในตัว ชาวอิตาเลียนผู้นี้เป็นเพื่อนรักของผม เขารักเมืองไทย และรักคนไทยเป็น
ชีวิตจิตใจ ชื่นชมกับวัฒนธรรมไทย และความน่ารักของคนไทยอย่างคลั่งไคล้ ช่วงที่อยู่กรุงโรม
ผมก็พักที่บ้านหลานของภรรยาที่แต่งงานกับชาวอิตาเลียน ชื่อ LAMBERTO SIMONELLI เป็น
เพื่อนสนิทกับคุณโรแบร์โต โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการบริษัททูริสโมไทย บริษัทนำเที่ยวมีชื่อ
ของเมืองไทย วันนั้นเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันหยุดทางศาสนา (ALL SAINTS) หลานติ๋วชวน
นั่งรถไปเที่ยวเมือง SPOLETO ใช้เวลาขับรถราวชั่วโมงครึ่งก็ถึงบ้านเพื่อน แล้วก็พากันไปเก็บเห็ด
บ้านของเพื่อนติ๋วนี้อยู่บนเนินเขา มีป่าต้นสนและป่าต้นเกาลัดมากมาย ช่วงนั้นมีเห็ดให้เก็บกันน่าสนุก
มีประมาณ 7 - 8 ชนิด ที่ผู้คนแถวนั้นรู้จักกันดีว่าไม่มีพิษ จะมีชนิดที่มีพิษอยู่บ้างสัก 2 - 3 ชนิด ถ้าไม่
แน่ใจว่าจะมีพิษหรือไม่ ก็สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่อนามัยแถวนั้นได้ แล้วอาหารมื้อเที่ยงของวันนั้น
ก็คือเห็ดทอดน้ำมันมะกอก ทานกับขนมปังปิ้ง อร่อยอย่าบอกใคร มีรสหวานเหมือนเห็ดโคนเมืองกาญจน์
มิมีผิด นี่แค่ออร์เดิฟ แล้วก็ถึงจานหลักคือสปาเกตตี้ แทนที่จะเป็นซอสเนื้อ หรือ ซอสมะเขือเทศ ก็เป็น
ซอสเห็ดสับ แล้วตามด้วย เนื้อแกะย่าง กลั้วคอด้วยไวน์แดง เกียนตี เป็นอันครบสูตรแบบอิตาเลียนสไตล์
ไปอีกหนึ่งมื้อ ช่วงบ่ายก็ไปเก็บลูกเกาลัดกันเป็นที่สนุกสนาน ในอิตาลีมีกฎหมายแปลกข้อหนึ่ง คือ
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ทุกคนมีสิทธิไปเก็บผลเกาลัดได้ ไม่ว่าจะเป็นไร่หรือป่าของใคร
ผู้เป็นเจ้าของจะต้องจัดการเก็บของตนให้เป็นที่พอใจภายในวันที่ 31 ตุลาคม ฉะนั้นชาวกรุงมักจะถือ
โอกาสขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และเก็บเกาลัด ไม่ว่าจะเป็นป่าของใครก็ตาม และในเย็นวันนั้นก็มักจะ
ไปเยี่ยมหลุมฝังศพของญาติผู้ใหญ่ไปในตัว เพราะวันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวันระลึกถึงผู้ตาย
(ALL SOULS) คล้ายวันเช็งเม้งในเมืองไทย นับเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่าทีเดียวที่ได้ไปเห็นเมืองเล็กๆ
ที่มีประวัติความเป็นมากว่าสองพันปี ของเมือง SPOLETO ซึ่งมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยเอตรุสกัน
และสมัยโรมัน เขายังคงรักษาโบราณวัตถุไว้อย่างดีเยี่ยม ซ้ำยังได้ลิ้มรสเห็ดรสหวานหลากชนิด แล้วยัง
หิ้วกล่องเกาลัดมาอีกหนึ่งกล่องเบียร์ ทำเอาศุลการักษ์ "เหล่" ตอนถึงดอนเมือง ช่วงที่อยู่กรุงโรม 3 - 4 วัน
ก็อ่านพบข่าวที่น่าสนใจหลายเรื่อง จึงอยากจะขยายสู่กันฟังบ้าง มีข่าวหนึ่งที่ฮือฮากันมาก ซึ่งทางสื่อมวลชน
ให้สมญาว่า "มาตาฮารี" ยุคอิตาลีเฟื่องฟู จาระสตรีผู้นั้นชื่อ โดนาเตลลา ดีโรซา ไปมีสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว
กับนายพล ตำแหน่งใหญ่โตแห่งกองทัพบกผู้หนึ่งชื่อ ฟรังโก มอนติโกเน แล้วจารชนยุคไฮเทค ก็สมคบ
กับสามี ซึ่งมียศพันเอกชื่อ อัลโด มิกิตตู ไปเรียกร้องเอาเงินก้อนใหญ่จากนายพลผู้นี้ว่า ถ้าไม่ยอมให้เงิน
แก่เขาทั้งสอง 700 ล้านลีเร (4 แสนเหรียญสหรัฐ) จะไปบอกสื่อมวลชนว่า เขาวางแผนจะทำปฏิวัติ ทั้งนี้
นางดีโรซา ผู้ไปรู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับนายพลผู้นี้ เป็นเหตุให้นายพลหลายคนพลอยวุ่นวายไปด้วย
แต่เรื่องมาลงเอยว่านางดีโรซาเป็นจาระสตรีสติเฟื่อง เลยถูกจับเข้าคุกไปทั้งคู่
อีกข่าวหนึ่งที่ฮือฮาพอสมควรคือ นาย การ์โล เด เบเนเดตตี ประธานบริษัท OLIVETTI หนึ่งใน
ห้าบริษัทยักษ์ใหญ่ในอิตาลี ถูกจับ และถูกกล่าวหาว่าได้ให้สินบนนักการเมืองพรรค PSI พรรค DC
กรมไปรษณีย์ และการรถไฟ คิดเป็นเงินประมาณ 10 ล้านเหรีญสหรัฐ จริงๆ แล้ว นายการ์โล เด เบเนเดตตีนี้
ได้ถูกดำเนินคดีไปแล้ว เกี่ยวกับการล้มของธนาคาร อัมโบรซีอาโน ยังมาโดนครั้งนี้อีก คงไม่แคล้ว
ต้องติดคุกถึง 4 ปี
อีกรายหนึ่ง ยุคโรคเอดส์เฟื่องฟู เซ็งลี้กระทั่งเลือดที่ซื้อมาจากประเทศที่ไม่ปลอดเอดส์ ชื่อ
นายดุยลีโอ ปอจโจลีนี มีตำแหน่งถึงอธิบดีกรมบริการเภสัชกรรม ถูกจับพร้อมภรรยา ชื่อ เปียร์ ดีมาเรีย
ซึ่งทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ มีเงินจำนวนมหาศาลทั้งในและนอกประเทศถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในตู้เซฟเจ้าหน้าที่พบเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญโบราณ เพชร พลอย มีค่าจำนวนมาก ข้อหา
ค้าเลือดที่มาจากประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ เช่น จากอัฟริกา สหรัฐ อดีตยูโกสลาเวีย
ปราศจากการควบคุมอย่างถูกต้อง เพราะอิตาลีขาดเลือดมาก ไม่ค่อยมีใครบริจาคเลือด
จึงต้องซื้อจากต่างประเทศถึง 80%

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 04, 2023 11:24 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรมิ 👉 ตอนที่ (25)👈
🌼--- มาตาฮารี และ 007 สไตล์ มักกะโรนี ---🌼
         
แล้วก็มาถึงเรื่อง "007 สไตล์ มักกาโรนี" ณ คืนวันที่ 3 พฤศจิกายน ขณะที่ชมฟุตบอลทางทีวี
เวลาประมาณ 22.15 น. รายการฟุตบอลก็ถูกตัดไปอย่างกระทันหัน แล้วมีประกาศว่าท่าน
ประธานาธิบดีจะมีสาส์นสำคัญถึงประชาชนชาวอิตาลี แล้วภาพก็ขาดหายไป แล้วก็มีประกาศ
อีกครั้งว่า จะมีทีวีพูล จะแพร่ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี ทุกคนในบ้านต่างรอคอยด้วย
ความระทึกใจ ก็คงจะคล้ายๆ กับในเมืองไทยที่จะมีการปฏิวัตินั่นแหละ มักจะมีอะไรที่ฉุกละหุก
เหมือนกัน และในราว 22.30 น. ท่านประธานาธิบดี ลุยจี สกัลฟาโร ก็ปรากฏบนจอโทรทัศน์
ท่านพูดอย่างมีอารมณ์ เสียงดังฟังชัด ใช้เวลาทั้งหมด 7 นาที แล้วหลานเขยชาวอิตาเลียนก็เล่า
ความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า ในระยะ 6 เดือนมานี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติภายใต้ชื่อ
"ปฏิบัติการมือสะอาด" (OPERAZIONE MANI PULITE) กำลังกวาดล้าง และสะสางการทุจริต
คอรัปชั่น ทั้งจากนักธุรกิจทั่วไป และเจ้าหน้าที่ของรัฐขนานใหญ่ ทำให้เจ้าหน้าที่ "หน่วยสืบราชการลับ"
ซึ่งทางสื่อมวลชนขนานนามว่าหน่วย "007" ซึ่งมีเงินราชการลับจำนวนมหาศาลอยู่ในมือ ทำการ
ยักย้ายถ่ายเทกันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่วายถูกหน่วย "ปฏิบัติการมือสะอาด" "ซิว" ไปด้วยความชำนาญ
มีตัวเป้งๆ ถูกจับไป 6 ราย ได้ซัดทอดว่า เงินจำนวนมหาศาลนี้นอกจากใช้จ่ายในการดำเนินการแล้ว
ยังได้มอบให้เป็นของขวัญแก่บุคคลสำคัญๆ ของกระทรวงกิจการภายใน ตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมา
ระบุชื่อด้วยว่า นายสกัลฟาโร (ประธานาธิบดีเอง) คาวา สก็อตตี และ มันชีโน ซึ่งดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรีกิจการภายในคนปัจจุบัน ท่านประธานาธิบดีจึงเต้นเป็นเจ้าเข้า ต้องออกอากาศเป็นการด่วน
ดังได้กล่าวข้างต้น ใจความสรุปย่อๆ ว่า นี่เป็นแผนร้ายที่คน 6 คน วางแผนที่จะถล่มด้วยระเบิดอานุภาพ
ร้ายแรง มิใช่สู่เป้าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือ พิพิธภัณฑ์ หรือ รถไฟที่มีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ครั้งนี้มี
เป้าหมายที่จะถล่มประเทศอิตาลีทั้งประเทศเลยทีเดียว บุคคลที่มีแผนชั่วร้ายก็คือ หัวหน้าสืบราชการลับ
เพื่อรักษาความปลอดภัยแห่งรัฐ (SISDE) และพวกคือ ริคการ์โด มาลปิกา, อันโตนิโอ กาลาตี, เมารีซี
โอ บรอกกอเลตตี, มีเกเลฟีนอคกี, เจราร์โด ดีปาสกวาเร พวกนี้ได้กล่าวหาว่าได้มอบเงินจำนวนประมาณ
2 ล้านบาทต่อคนต่อเดือนให้แก่ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในทั้ง 4 ดังกล่าวข้างต้น ท่านประธานาธิบดี
ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของท่าน และพร้อมเสมอที่จะให้มีการพิสูจน์กันตามครรลองแห่งกฎหมาย
ท่านว่า เป็นเกมฆ่าหมู่ซึ่งท่านไม่ยอมเล่นด้วยเป็นอันขาด ท่านพร้อมที่ออกมาต่อต้าน และปกป้องผู้บริสุทธิ์
และปกป้องสถาบันแห่งชาติเอาไว้ให้ได้ ท่านย้ำว่า จะไม่มีการดึงเกมให้การเลือกตั้งยืดเยื้อออกไปอีก
ท่านจะใช้ความพยายามอย่างที่สุด ที่จะให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ ท่านลงท้าย
ในสาส์นถึงประชาชนชาวอิตาลีครั้งนี้ว่า "บ้านเมืองนี้เป็นของทุกคน บ้านเมืองนี้มีความต้องการความ
ร่วมมือจากทุกคน โดยเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันของบ้านเมือง เราชาวอิตาลี และ ประเทศอิตาลี
เป็นส่วนรวมจะมิสามารถฝ่ามรสุมร้ายนี้ไปได้ โดยปราศจากความรับผิดชอบ ความเสียสละ และความรัก
กันฉันพี่น้อง เราถูกเรียกร้อง และเราจะต้องตอบสนองให้จงได้"
การเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมาไม่กี่วันมานี้เป็นลางบอกเหตุว่า อิตาลีจะยังอยู่อย่างสงบมิได้ เพราะจะ
เป็นรัฐบาลผสมที่มาจากขั้วที่ต่างกันอย่างสุดสุด คือ ซ้ายสุดกู่ PDS และ ขวาสุดขั้ว MSI และเหนือสุดโต่ง
LEGA NORD (แปลว่า สันนิบาตชาวเหนือ มีนโยบายไม่ยอมแบ่งรายได้ให้ชาวใต้ซึ่งยากจนกว่า)
ลองมาดูซิว่านอสตราดามุสได้ทำนายอนาคตของประเทศอิตาลีไว้อย่างไรบ้าง ในบทที่ 98/6
Ruyne" aux Volsques de peur si fort terribles,
Leur grand cite' tainte, faict pestilent:
Piller Sol, Lune, & violer leurs temples:
Et les deux fleuves rougir de sang coulant.
ความพินาศแก่ชาว โวลซี (โรมัน) ช่างน่าสะพรึงกลัว และใหญ่หลวงยิ่งนัก เมืองใหญ่
ของพวกเขา (โรม) ถูกทำให้เป็นมลทิน และ ถูกทำให้ฟอนเฟะ
พวกเขาจะปล้น พระจันทร์ (เงิน) พระอาทิตย์ (ทอง) และทำอนาจารวัดวาอาราม แม่น้ำทั้งสอง
(เตเวเร และ อานีเอเน) จะแดงฉานไปด้วยเลือดของผู้ล้มตาย
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 ตามประวัติศาสตร์ 400 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่า VOLSCI เป็นชนเผ่าดุร้าย
อาศัยอยู่บนเขาระหว่างแคว้น LATIUM และ CAMPANIA บรรทัดอื่นดูเหมือนจะชัดเจนอยู่แล้ว มีแต่
บรรทัดที่ 4 นั้น คงจะเป็นการบอกใบ้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงแน่ๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้คุยกับ
คุณหมอชาวอิตาลีผู้หนึ่งที่ไปแสวงบุญที่ฟาติมา โปรตุเกส ท่านบอกว่าจะต้องเกิดความวุ่นวาย
ในอิตาลีแน่นอน เพราะประชาชนพากันรังเกียจพรรครวมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค และจะต้องหันไปเท
คะแนนให้พรรคสุดขั้วทั้งหลาย จะเป็นใครก็แล้วแต่เป็นการประท้วง แล้วชาวอิตาลีก็จะได้รัฐบาลผสม
ที่เลวร้ายไปกว่าเดิมอย่างมิต้องสงสัย ฉะนั้นพวกเขา (80 คน) จึงเดินทางมาขอพรจากแม่พระ
ลองมาดูอีกบทหนึ่ง คือ บทที่ 16/8
Au lieu que HIERON feit sa nef fabriquer,
Si grand deluge sera & si subite,
Qu'on n'aura lieu ne terres s'ataquer.
L'onde monter Fesulan Olympique.
ในสถานที่ซึ่งผู้คนสร้างนาวาศักดิ์สิทธิ์
จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่และฉับพลัน
ซึ่งจะไม่มีสถานที่ใดหรือแผ่นดินใดจะยึดเป็นหลักได้
คลื่นจะท่วมท้นถึงสนามกีฬาเมืองฟีเอโซเล
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 คำ HIERON เป็นภาษากรีก แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ นาวาศักดิ์สิทธิ์อาจหมาย
ถึงโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโรมก็ได้ บรรทัดที่ 2 Deluge แปลว่า น้ำท่วม หมายถึงการ
เปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปก็ได้ บรรทัดที่ 3 น่าจะมีใจความว่าน้ำท่วมเสียจนมิด จนมองไม่เห็นแผ่นดินเลย
บรรทัดที่ 4 คลื่นท่วมท้นไปจนถึงเมือง Fiesole เป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขาสูง 970 ฟุต จากกระดับน้ำทะเล
เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอตรุสกัน อยู่ห่างจากเมืองฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 40 กม.
นี่ก็หมายความว่าคงจะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ตั้งแต่กรุงโรม แล้วเอ่อล้นไปถึงเมืองฟีเอโซเลแห่ง
จังหวัดฟลอเรนซ์ ระยะทางก็ประมาณ 300 กม. เศษๆ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 05, 2023 7:38 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 26 )👈
🌼--- ข่าวน่าสนใจจากวาติกัน [A] ---🌼
       
   เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมานี้สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2 ในฐานะเป็นพระสังฆราช
แห่งกรุงโรม ได้เสด็จมาที่โบสถ์เซนต์อิกนาซีอุส เพื่อประกอบพิธีมิสซาขอบคุณพระเจ้า ในวโรกาส
ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อันเป็นประเพณีที่ปฏิบัติเป็นประจำทุกปี บทเทศน์ระหว่างพิธีแบ่งเป็น
4 ตอน ตอนที่ 3 พระองค์เริ่มดังนี้ "พี่น้องชายหญิงที่รัก. ท่านอัครสาวกจอห์นบอกเราว่า
"บัดนี้จวนจะถึงวาระสุดท้ายของโลกแล้ว พวกท่านต่างก็ทราบว่าจะมีผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์พระคริสต์
(ANTICHRIST) และแท้ที่จริงแล้ว แม้ทุกวันนี้ก็มีบุคคลผู้กระทำตนเป็นปรปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้น
เป็นจำนวนมาก สภาวะเช่นนี้แหละ จึงทำให้เราแน่ใจยิ่งขึ้นว่า ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของโลกแล้ว
(1 จอห์น 2:18) บางทีคำพูดเหล่านี้ฟังดูแปลก ในวโรกาสพิธีขอบคุณพระเจ้า  แต่ถึงกระนั้นก็ดี
มันไม่ไกลเกินความจริง จากประสบการณ์ของมนุษย์เราเลย ท่านอัครสาวก จอห์น ย้ำเตือนพวกเราว่า
"ชาวโลกทั้งมวลล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้ความครอบงำของพญามารทั้งสิ้น (1 จอห์น 5:19) เป็นการดี
ที่จะตั้งชื่อให้มารชั่วร้ายที่ปรากฏในโลก พระคริสต์เองยังยอมอนุญาตให้มารปีศาจมันมาผจญ แล้ว
พระองค์ยังสอนเราให้สวดว่า "อย่าปล่อยให้เราแพ้การผจญ" แล้วพวกเราก็สวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในพิธีมิสซา อย่างไรก็ตาม การคิดถึงสิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้ความยินดีในวันคริสตมาสลดน้อยลงไปเลย
ตรงกันข้าม กลับเป็นการให้กำลังใจเราที่จะขอบคุณพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ในการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์
แก่สังคม
จริงๆ แล้ว เราไม่สามารถปิดตาเราต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เราจะต้องตระหนักว่าพระคริสต์
และพระวรสารของพระองค์ ยังคงเป็นเครื่องหมายแห่งความขัดแย้ง (ลูกา 2:34) ให้เราสังเกตให้ดีว่า
พร้อมกับวัฒนธรรมแห่งความรัก วัฒนธรรมแห่งความจริง และ ชีวิต ยังมีอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่กำลังขยาย
อย่างรวดเร็ว ซึ่งตรงกับที่ท่านจอห์นได้กล่าวในบทที่ว่าด้วยเรื่อง "วาระสุดท้ายของโลก" ท่านอัครสาวก
จอห์นเขียนไว้ว่า มีบุคคลที่กระทำตนเป็นปรปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้นมากมาย แล้วท่านจอห์นก็เสริมว่า
"คนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นสมาชิกของศาสนจักรของเรามาก่อน แต่มิได้มีความผูกพันอยู่กับเราอย่างแท้
จริงเลย มิฉะนั้นแล้วพวกเขาคงต้องอยู่กับพวกเราต่อไปอย่างแน่นอน การที่คนเหล่านี้ละทิ้งพวกเราไป
เช่นนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าคนเหล่านั้นมิได้เป็นฝ่ายเรา ( 1 จอห์น 2:19)
พระคริสตเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้อดทนจนถึงที่สุด ดังอุปมา "ข้าวพันธุ์ดี กับข้าวละมาน"
(มัทธิว 13:24 - 30 ซึ่งมีใจความดังนี้ อาณาจักรสวรรค์พอจะเปรียบได้กับการที่ชายคนหนึ่ง ได้หว่าน
เมล็ดข้าวพันธุ์ดีไว้ในนาของเขา แต่คืนหนึ่งขณะที่เขานอนหลับอยู่นั้น ศัตรูของเขาก็ลอบเข้าไปในนา
แล้วหว่านเมล็ดข้าวละมานปะปนลงไปด้วย เมื่อต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้น และออกรวง ข้าวละมานก็
เจริญเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน คนงานของชายผู้นั้นได้มารายงานให้ทราบว่า "นายเจ้าข้า ไร่นาที่ท่าน
เพาะปลูกข้าวพันธุ์ดีไว้ บัดนี้มีต้นข้าวละมานขึ้นเต็มไปหมด เขาก็ตอบว่า "นี่เป็นการกระทำของศัตรู
คนงานของเขาจึงถามต่อไปว่า "เราควรจะถอนต้นข้าวละมานเหล่านั้น ทำลายเสียดีหรือไม่" แต่เขากลับ
ตอบว่า อย่าทำเช่นนั้น เพราะจะทำให้ต้นข้าวพลอยเสียหายไปด้วย ปล่อยให้ต้นข้าว และต้นข้าวละมาน
เหล่านั้นเจริญขึ้นด้วยกัน ต่อเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เราจะบอกให้คนเก็บเกี่ยวแยกแยะรวบรวมเอาต้นข้าว
ละมานเผาไฟเสีย ส่วนข้าวก็ให้เก็บไว้ในยุ้งฉาง)
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1994 ฯพณฯ ท่านเอกอัครราชทูต วิทย์ รายนานนท์ แห่งประเทศไทย
ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เพื่อถวายสารตราตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำ
สันตะสำนัก (คือ Holy See หมายถึง สำนักงานของพระสันตะปาปา คำ See มีรากศัพท์มาจาก
ภาษาลาติน Sedes แปลว่าที่นั่งหรือสถานที่ที่ทรงอำนาจ สำนักงานนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาวาติกัน)
และข่าวใหญ่สำหรับชาวคาทอลิกไทย คือ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1994 หนังสือพิมพ์
L'Osservatore Romano ได้ลงข่าวสำคัญดังนี้
"สมเด็จพระสันตะปาปา ได้ทรงแต่งตั้งบุคคลต่อไปนี้ให้เป็นคณะที่ปรึกษาแห่งสภาพระคาร์ดินัล
เพื่อศึกษาปัญหาขององค์การต่างๆ และปัญหาทางเศรษฐกิจแห่งสันตะสำนัก และหนึ่งในหกท่าน คือ
พระคาร์ดินัลไมเคิล มีชัย กิจบุญชู อัครสังฆราชแห่งกรุงเทพฯ นับเป็นเกียรติสำหรับประเทศไทย
ที่โป๊ปได้ให้ความไว้วางใจอย่างสูง ที่ให้พระคาร์ดินัลไทยได้รับใช้พระศาสนจักรสากล"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ พ.ค. 06, 2023 7:24 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (27 )👈
🌼--- ข่าวน่าสนใจจากวาติกัน ---🌼
         
และในวันเดียวกันนี้เองเมื่อ 11 ปีก่อน คือ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1983 สมเด็จพระสันตะปาปา ได้ทรงสถาปนา
พระคุณเจ้ามีชัย กิจบุญชู เป็นพระคาร์ดินัล วันนั้นมีชาวคาทอลิกไทยได้ไปร่วมพิธีราว 300 คน ทั้งๆ ที่อยู่
ในกลางฤดูหนาว ความหนาวเหน็บมิได้เป็นอุปสรรคแก่พวกเราชาวไทย ซึ่งกำลังเต็มตื้นด้วยความยินดี
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นความชื่นชมสำหรับคาทอลิกชาวไทย ที่มีพระคาร์ดินัลเป็นองค์แรก
ในประวัติศาสตร์คาทอลิกแห่งประเทศไทย
ขอถือโอกาสนี้พูดถึงประวัติความเป็นมาของ "ตำแหน่ง" และสถาบัน "พระคาร์ดินัล โดยสังเขป
ดังนี้
ตำแหน่ง "พระคาร์ดินัล" เป็นสมณศักดิ์สูงสุดในศาสนจักรคาทอลิก รองจากสมเด็จพระสันตะปาปา
พระคาร์ดินัลมีหน้าที่ถวายคำปรึกษา แนะนำ และความช่วยเหลือแก่พระสันตะปาปาในการปกครอง
ศาสนจักร นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเจ้ากระทรวง ทบวง กรม องค์การ และ หน่วยงานต่างๆ
ของพระศาสนจักร คล้ายๆ กับตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐวาติกัน หรืออาจรับแต่งตั้งเป็นผู้แทนโป๊ป
ในงานเฉพาะกิจด้วย "คณะพระคาร์ดินัล (THE SACRED COLLEGE OF CARDINALS)" ยังมีหน้าที่
บริหารพระศาสนจักร ในระหว่างที่ตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างลงอีกด้วย ในกรณีที่พระสันตะปาปา
ถึงแก่อสัญกรรม คณะพระคาร์ดินัลจะต้องมาประชุมกัน เพื่อเลือกตั้งพระคาร์ดินัลองค์หนึ่งขึ้นเป็น
พระสันตะปาปาแทนต่อไป
ศัพท์ "คาร์ดินัล" (CARDINAL) เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาลาตินใช้คำว่า "CARDINALIS
มาจากรากศัพท์ CARDO แปลว่า "เดือยประตู" หรือ "แกนกลางที่หมุนอยู่ที่" ตำแหน่ง คาร์ดินัล
จึงหมายถึง "บุคคลหลัก" ของงานบริหารในพระศาสนจักร
สถาบัน "คาร์ดินัล" ไม่มีกล่าวในพระคัมภีร์ เป็นสถาบันที่เกิดขึ้นภายในศาสนจักรกรุงโรมเอง
ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 5 ตอนแรกตำแหน่งนี้หมายถึงพระสงฆ์ ที่ประจำอยู่เขตวัดต่างๆ ของกรุงโรม
ในอาณัติของโป๊ป จึงเรียกว่า "พระคาร์ดินัล - สงฆ์" (CARDINAL - PRIESTS) นอกจากนี้ยังมี "
พระคาร์ดินัล - สังฆานุกร (CARDINAL - DEACONS) มีหน้าที่เอาใจใส่ดูแลคนยากจนในเขตต่างๆ
ในสมณสมัยพระสันตะปาปา สตีเฟ่น ที่ 3 (768 - 772) ก็เกิดมีตำแหน่ง "พระคาร์ดินัล - สังฆราช
(CARDINAL - BISHOP) เพื่อทำหน้าที่แทนโป๊ปในการประกอบศาสนพิธี ที่มหาวิหารจอห์น ลาเตราน
อันเป็นวิหารประจำตำแหน่งของสังฆราชกรุงโรม ซึ่งพระสันตะปาปาเองดำรงตำแหน่งนี้ด้วย
ต่อมาในสมณสมัยของโป๊ป เลโอ ที่ 9 (1048 - 1054) ก็มี "คาร์ดินัล" ในฐานะที่ปรึกษาของโป๊ป
ในงานปฏิรูปพระศาสนจักร พระองค์เรียกมาจากต่างประเทศ
คณะพระคาร์ดินัล (SACRED COLLEGE OF CARDINALS) มีประธานเรียกว่า DEAN  จึงกลาย
เป็นองค์กรหลักในการบริหารพระศาสนจักรในฐานะที่ปรึกษาของโป๊ป
ในปี 1586 พระสันตะปาปาซิกซ์ตุสที่ 5 (1588 - 1590) ได้ทรงกำหนดจำนวนพระคาร์ดินัลไว้
เพียง 70 องค์ ตามจำนวนผู้อาวุโส 70 ท่าน ที่โมเสสตั้งให้เป็นผู้ช่วยในการปกครองประชากรอิสราเอล
ในทะเลทราย
โป๊ปจอห์น ที่ 23 ได้ทรงยกเลิกกฎเกณฑ์นี้ จำนวนพระคาร์ดินัลในสมณสมัยของพระองค์มีมากกว่า
80 องค์ ต่อมา โป๊ป พอลที่ 6 มีพระคาร์ดินัลถึง 134 องค์ และในยุคของโป๊ปองค์ปัจจุบันในปี 1993
มีพระคาร์ดินัล 153 องค์
การเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระคาร์ดินัลไม่มีพิธีบวช แต่เป็นพิธีแต่งตั้ง กระทำขึ้นโดยคณะพระคาร์ดินัล
กับพระสันตะปาปา เรียกว่า CONSISTORY พิธีสั้นมาก โป๊ปจะมอบหมวกแดง (BIRETTA) ทรงสี่เหลี่ยม
มีสันด้านบนเป็น 3 แฉก สีแดงเลือดนก สีแดงนี้เป็นสัญลักษณ์ หมายถึงโลหิตที่พระคาร์ดินัลจะต้องมี
ความกล้าหาญถึงกับยอมสละได้ เพื่อป้องกัน และเทิดทูนคำสอนที่พระศาสนจักรสั่งสอน เพื่อเสริมสร้าง
สันติภาพและความสงบสุขของประชากรคริสตชน
หน้าที่สำคัญที่สุดของพระคาร์ดินัล ที่มีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายของพระศาสนจักรคือ
การเลือกตั้ง และรับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปา ในปี 1179 พระสังคายนา ลาเตรานที่ 3 ก็กำหนด
ให้ผู้ที่รับคะแนนเสียง 2 ใน 3 คาร์ดินัลที่ออกเสียงเป็นพระสันตะปาปาทันที กฎนี้ยังใช้จนถึงปัจจุบันนี้
แต่โป๊ป พอล ที่ 6 กำหนดเพิ่มเติมว่า คาร์ดินัลที่มีอายุเกิน 80 พรรษา ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน และรับเลือกตั้ง
เป็นโป๊ป และจะต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ของพระศาสนจักร และรัฐวาติกันด้วย
ในการเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้น คาร์ดินัลจากทั่วโลกจะไปประชุมเลือกโป๊ปนี้เป็นการประชุมลับ
สุดยอด มีการกำหนดเขตของคาร์ดินัลแต่ละองค์ ทางเข้าออกในบริเวณนั้นจะถูกตีตราและลั่นกุญแจ
ด้วยเหตุนี้จึงเรียกการประชุมเลือกโป๊ปนี้ว่า Conclave เป็นภาษาลาติน แปลว่า (ปิด) ด้วยกุญแจ เพราะถือ
เป็นการประชุมลับ ติดต่อกับภายนอกไม่ได้ จึงต้องเตรียมเรื่อง กิน อยู่ นอน ให้พร้อมสรรพ คาร์ดินัล
แต่ละองค์จะมีอาสน์ และกลด นอกจากนี้ในห้องประชุมจะต้องมี "เตา" ที่มีปล่องยาว 30 เมตร ให้ส่วนสูง
ของปล่องโผล่ออกจากอาคาร 14 เมตร เพื่อให้ผู้คนเห็นควันได้ชัดเจน เมื่อมีผู้ได้รับคะแนน 2 ใน 3 ก็จะ
จัดการเผาบัตรลงคะแนนกับผงเคมีเพื่อให้เกิดควันออกมาเป็นสีขาว เป็นการประกาศให้ประชาชนรู้
แต่หากยังไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนตามกำหนด ก็จะเผาบัตรกับผงเคมีที่ให้ควันเป็นสีดำ แสดงว่ายังไม่มีผู้ใด
ได้รับเลือก ประชาชนจะได้ร่วมใจกันอธิษฐานต่อไป ว่ากันว่า โป๊ปองค์ต่อไป จะเป็นโป๊ปดำ คำว่า ดำ มี
ความหมายว่า คนผิวดำ ก็ได้ หรือ ดำ หมายถึงโป๊ปเงา อันมักหมายถึง พระคาร์ดินัลที่มาจาก
คณะนักบวชเยซูอิตก็ได้ หรือ ดำ อาจหมายถึง มืด คล้ายความหมาย ม้ามืด ก็ได้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 07, 2023 12:21 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 28 )👈
🌼--- ปรปักษ์พระคริสต์ (ANTICHRIST) คือใคร? [A] ---🌼
         
ชาวคริสต์ส่วนใหญ่จะมีความรู้เกี่ยวกับวาระสุดท้ายของโลกบ้างไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับครูผู้สอน
"คำสอน" ว่าจะมีข้อมูลป้อนให้นักเรียนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
โดยมากก็จะอาศัยพระคัมภีร์หลายๆ เล่ม ซึ่งมักจะเขียนไว้อย่างคลุมเครือ จะไม่บอกเรื่องอย่าง
แจ่มแจ้ง (คงจะเกรงมนุษย์เราไม่เป็นอันทำกิน) หรืออาจมีผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่บำเพ็ญภาวนาถึงขั้นเห็น
ภาพนิมิตเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวาระใกล้สิ้นโลกว่ามีอะไรบ้าง ก็พอจะทำให้ครูผู้สอน "คำสอน"
พอจะมีอะไรถ่ายทอดให้ลูกศิษย์บ้างตามสมควร
ความรู้ของผมเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของโลกซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากครูผู้สอน "คำสอน"
เมื่อประมาณเกือบ 50 ปีที่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. แผ่นดินไหวมีถี่ขึ้น
2. ภูเขาไฟระเบิดถี่ขึ้น
3. คลื่นยักษ์ทำให้น้ำท่วม
4. มีไฟตกจากฟ้า
5. มืด 3 วัน 3 คืน
6. สงครามระบาดทั่วโลก
7. วงการพระศาสนาจะปั่นป่วน
8. เมื่อยิวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก สามารถกลับมาตั้งประเทศในอิสราเอลได้สำเร็จก็แปลว่า
ใกล้จะสิ้นพิภพแล้ว
9. จะมีมารพระศาสนาคนสำคัญเกิดขึ้น จำได้ว่า ครูใช้ศัพท์ "อันเตคริสโต" น่าจะมาจากภาษาลาตินว่า
ANTE CHRISTO แปลว่าผู้เตรียมทาง หรือผู้นำหน้า (PRECURSOR) พระคริสต์ (ซึ่งจะเสด็จมาครั้งที่ 2)
แต่มาระยะหลังมักใช้ศัพท์ ANTICHRIST ซึ่งมีความหมายว่าปรปักษ์พระคริสต์ ที่จะมาเบียดเบียน
พระศาสนาครั้งใหญ่ จะไม่ให้พระสงฆ์ทำพิธีมิสซา และจะบังคับชาวคริสต์ให้เลิกถือศาสนา แล้วมันจะ
เป็นจ้าวโลกสามารถคุมทุกประเทศไว้ในกำมือ แต่ในที่สุดจะต้องยอมสยบแก่อัครเทพมีคาแอล
นี่เป็นความรู้คร่าวๆ ที่ผมได้รับจากครู เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ครั้นมาบัดนี้ มีเหตุการณ์หลายอย่าง
เกิดขึ้น ตามที่เคยเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบมาบ้างแล้ว จึงได้หันมาค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ก่อนที่จะเขียนเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายของโลก ซึ่งชาวคาทอลิกนิยมใช้ศัพท์ "สิ้นพิภพ"
นั้น ผมจะขอใช้ศัพท์ "สิ้นยุค" เพราะได้ฟังข่าวสารจากหลายแหล่ง ล้วนมีความเห็นตรงกันว่ามิใช่
เป็นการสิ้นโลกสิ้นพิภพ เพราะโลกยังคงอยู่ต่อไป แต่จะเป็นการสิ้นยุคเก่า ยุคที่เราอยู่ปัจจุบันนี้เข้าสู่
ยุคใหม่ ยุคแห่งความรัก ยุคแห่งสันติสุข นอกจากนี้ยังได้ทราบข่าวสารจากแม่พระที่ปรากฏพบเด็ก 6 คน
ที่ตำบลเมดจูกอเรีย (MEDJUGORJE) ซึ่งขณะนี้อยู่ในเขต BOSNIA กล่าวว่า ในไม่ช้าก็จะถึงกาลสิ้นยุค
แต่ไม่ใช่ สิ้นพิภพ หรือสิ้นโลก (ในความหมายว่า โลกแตก)
ประเด็นที่จะพูดวันนี้ก็คือ "ปรปักษ์พระคริสต์ (ANTICHRIST) คือใคร" เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ
ทางศาสนา จึงจำเป็นต้องอ้างพระคัมภีร์ แล้วจะต้องกำกับชื่อคัมภีร์ที่อ้างไว้ในวงเล็บ สำหรับผู้ที่ประสงค์
จะค้นคว้าหรือตรวจสอบ
ปรปักษ์พระคริสต์คือ 1. บุคคล ที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่อพระคริสต์ ในวาระสุดท้ายของโลก
(1 จอห์น 2:18) 2. ทูตแห่งความพินาศ (ที่แสนจะชั่วร้ายเลวทรามนี้) ก็จะมาปรากฏตัว แต่ในที่สุด
ก็จะถูกองค์พระเยซูเจ้าเผาผลาญทำลายด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ ในการเสด็จกลับมาปรากฏ
ของพระองค์ "ทูตแห่งความพินาศ" จะมาในฐานะที่เป็นเครื่องมือของพญามาร มันจะล่อลวงทุกคนด้วย
วิธีการที่แปลกประหลาดต่างๆ นานา และสำแดงฤทธิเดชมากมายหลายอย่าง เพื่อชักจูงผู้คนให้หลงผิด
และจะสามารถครอบงำบรรดาผู้ที่กำลังหลงให้เตลิดไป ตามวิถีทางที่นำไปสู่ความพินาศ ด้วยอุบายชั่ว
นานาประการของมัน ทั้งนี้เพราะคนเหล่านั้นปฏิเสธไม่ยอมรับสัจธรรมของพระเจ้า และไม่ยอม
ให้สัจธรรมนั้นช่วยเขาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ซึ่งจะต้องได้รับในบั้นปลาย (2 เธสโลนิก 2:8 - 10)
รูปแบบของปรปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร้สต์ ที่นักศาสนศาสตร์มักหยิบยกมากล่าว เพื่อให้
เห็นภาพพจน์ของความไม่มีธรรมะ ในหลากรูปแบบที่รวมอยู่ในตัวมันก็คือ สุดยอดของความดุร้าย
เหี้ยมโหด อำมหิตผิดมนุษย์ ร้อยเล่ห์เพทุบาย ทรราช แต่ก็มีคุณลักษณะที่คนทั่วไปจะต้องอิจฉา เพราะ
มันคล่องไปเสียทุกเรื่อง เปรื่องปราชญ์ ฉลาดเฉลียว พราวเสน่ห์ นิ่ม และ เก่งสารพัดเพราะมารซาตานสิง
ในตัวมัน บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะใกล้เคียงที่นักศาสนศาสตร์หยิบยกมาทาบ พอจะให้เห็น
เป็นภาพเลือนลางของแอนตี้ไคร้สต์ก็มี จักรพรรดิ เนโร เจงกิสข่าน นโปเลียน ฮิตเล่อร์ สตาลิน
นางจีน ดิกสัน (JEAN DIXON) 30 ปีที่แล้วได้เล่าถึงภาพนิมิตของหนุ่มคนหนึ่งที่จะมาปฏิวัติโลกไว้ดังนี้...
เธอได้เห็นนิมิตนี้ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันที่ 5 ก.พ. 1962 เวลา07.00 น. วันนี้อาจจะมีความสำคัญ
พิเศษ ถึงแม้นางจีนจะไม่รู้มาก่อน ถึงความจริงที่ว่าหลายเดือนก่อนหน้านี้ มีนักพยากรณ์หลายท่านได้
ทำนายว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในวันที่ 5 ก.พ. 1962 บางคนถึงกับกล่าวว่าจะถึงกาลสิ้นโลกด้วยซ้ำไป 
เพราะเป็นการโคจรมาทาบกันอย่างประหลาดของดวงดาวนพเคราะห์ เหมือนครั้งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้
เมื่อสองพันปีก่อนว่า มีดาวสุกใสทอแสงทางตะวันออกทำให้คนเลี้ยงแกะลานตาไป แล้วยังนำ 3 นักปราชญ์
มายังถ้ำเลี้ยงสัตว์เมืองเบทเลเฮม เพื่อพบองค์เยซูที่บังเกิดจากนางมารีอา
3 คืนก่อนที่นางจีนเห็นภาพนิมิตนี้ เธอกำลังนั่งวิปัสสนาในห้องของเธอ มารู้ตัวก็ต่อเมื่อแสงได้มัวลง
แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้น และเห็นดวงไฟเล็กๆ ห้าดวงในโคมระย้าดับลง ยกเว้นดวงกลางซึ่งยังส่องสว่างจ้าอยู่
เธอประหลาดใจ เธอจึงวิ่งไปยังห้องของสามีเธอ และบอกเขาเรื่องไฟดับ ในขณะที่ไฟที่บ้านของคนอื่นยัง
สว่างไสวอยู่ นายดิกสันคะเนเอาว่าบ้านของเขาฟิวส์คงขาด แต่พอลงไปข้างล่างเพื่อหาสาเหตุแล้ว
เขาก็สังเกตว่าโคมระย้าของภรรยาของเขาก็ลุกสว่างดีเป็นปกติ
คืนต่อมาขณะเธอกำลังนั่งวิปัสสนา เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเหมือนเดิมอีก แต่คราวนี้เธอยังคงอยู่ใน
ห้องของเธอ แล้วดวงไฟเล็กๆ ก็เริ่มดับลงอีก และในเวลาประมาณ 10 วินาที เธอก็กล่าวว่าเธอได้ยิน
เสียงแตกเบาๆ แล้วเส้นลวดเล็กในหลอดไฟก็เริ่มคุแสงขึ้นทีละน้อยจนลุกเต็มที่ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำ
อีกเป็นครั้งที่ 3 นางจีนจึงรู้ว่ามันก็คือลางบอกเหตุบางอย่างจะเกิดขึ้น เธอไม่ทราบว่ามันจะเกิดที่ไหนและ
เมื่อไร เช้าวันรุ่งขึ้นเธอนอนตื่นสายผิดปกติ แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้น เธอเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดสู่อ่าว
ของห้องนอนของเธอซึ่งหันไปทางตะวันออก
ขณะที่เธอกำลังจ้องไปข้างนอก เธอได้เห็นไม่ใช่ต้นไม้ใบโกร๋น และถนนในเมืองตามปกติ
แต่เธอเห็นท้องฟ้าสีครามอันสุกใสเหนือทะเลทรายอันแห้งแล้งเหนือขอบฟ้า เธอเห็นพระอาทิตย์
ส่องแสงสุกใสเป็นพิเศษ ซึ่งเธอไม่เคยพบมาก่อน มันลุกโชนเหมือนลูกไฟสีทอง มันจะฉายแสงจาก
ดวงกลมของพระอาทิตย์ แผ่ออกไปทุกทิศด้วยรัศมีอันเจิดจ้า ซึ่งดูเหมือนถูกวาดจากโลกไปยัง
พระอาทิตย์เหมือนกับแม่เหล็ก แล้วก็เห็นบุคคลทั้งสองจับมือกันเดินออกมาจากแสงอาทิตย์ ทั้งคู่
คือฟาโรห์และพระราชินีเนแฟร์ตีติ (Nefertiti) มีเด็กน้อยนอนในวงแขนของพระราชินี เด็กนั้นพัน
กายด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรก ซึ่งตรงข้ามกับฟาโรห์และพระราชินีที่ประดับกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา
ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กน้อย ดูทีจะรู้ไปเสียทุกอย่าง" นางจีนกล่าว

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 08, 2023 4:07 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 29 )👈
🌼--- ปรปักษ์พระคริสต์ (ANTICHRIST) คือใคร? ---🌼
         
ข้างๆ พระราชินีเนแฟร์ตีติ นางจีนสามารถมองเห็นปิรามิดลูกหนึ่ง ขณะที่นางจีนเฝ้ามอง ทั้งคู่เข้ามา
แล้วยื่นเด็กมาให้เธอ เหมือนว่าจะให้ทั้งโลก ภายในลูกกลมของดวงอาทิตย์ นางจีนก็เห็นโจเซฟ
เป็นผู้จัดฉากละคร เหมือนคนเชิดหุ่นกระบอก ที่ดึงเชือกผ้าม่าน ขณะนี้รัศมีของแสงทอแสงจาก
เด็กน้อยไปกระทบกับแสงของดวงอาทิตย์ จึงทำให้ภาพของฟาโรห์เลือนหายไปจากสายตา นางจีน
สังเกตเห็นราชินีเนแฟร์ตีติกำลังเดินห่างออกไป "เป็นพันไมล์ในอดีต" พระราชินีหยุดอยู่ข้างๆ
เหยือกน้ำใหญ่สีน้ำตาล ขณะที่พระนางหยุด แล้วรินน้ำใส่ถ้วยที่เธอถือในมือเพื่อยกขึ้นดื่ม พระนาง
ก็ถูกแทงด้วยกฤชทางข้างหลัง นางจีนกล่าวว่า ได้ยินเธอร้องกรีดก่อนตาย แล้วอันตรธานไป
นางจีนหันกลับมามองเด็กน้อย ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่ม เธอเห็นผู้คนทุกชาติทุกภาษาทั้งชน
ทุกผิวสี (ดำ เหลือง แดง น้ำตาลและขาว) ต่างก็คุกเข่าและยกแขนทั้งสองขึ้นกราบไหว้แล้วล้อม
รอบเขา แล้วห้องก็กลับมืดขึ้นอีก ถึงแม้เธอยังอยู่ในภวังค์อยู่ แต่เธอก็หันไปดูนาฬิกาปลุกของเธอ
โดยอัตโนมัติ นั่นเป็นเวลา 07.17 น.
มันหมายถึงอะไร? การเยี่ยมของคนแปลกหน้ามีความสำคัญอย่างไร? เธอเดินทางรอบโลก
ครั้งที่ 3 จากอียิปต์? นางจีนรู้สึกว่าเธอรู้คำตอบแล้ว เธออธิบายช้าๆ ว่า "เด็กคนหนึ่งเกิดที่ใดที่หนึ่ง
ในตะวันออกกลาง หลัง 07.00 น. เล็กน้อย ก่อนจะสิ้นศตวรรษนี้ เขาจะปฏิวัติโลก" นางดิกสันเสริมว่า
"มนุษยชาติจะเริ่มรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเด็กคนนี้ในทศวรรษที่ 80 และหลังจากนั้น เขาจะสำแดง
ให้โลกรู้จักถึงพลานุภาพของเขาในปี ค.ศ. 1999 เมื่อนั้นแหละผู้คนถึงจะตระหนักอย่างทะลุปรุโปร่ง
ถึงภาพนิมิตอันนี้ของเธอ แต่สำหรับโจเซฟนั้นมีความเกี่ยวพันอย่างไรกับเรื่องนี้ เธอสารภาพว่า
"จนปัญญา" เธอทราบแต่ว่าโจเซฟถูกพี่ๆ น้องๆ 11 คน ขายไปเป็นทาสในอียิปต์เพราะความอิจฉา
ส่วนพระราชินีเธอว่าเป็นราชินีเนแฟร์ตีติ เพราะเธอเคยเห็นรูปปั้นในพิพิธภัณฑ์คราวไปท่องเที่ยวไคโร
พระราชินีผู้เป็นพระมเหสีของฟาร์โรห์ อาเมนโฮเทพที่ 4 หลังจากเลิกนับถือ อามอน แล้ว ได้หันไปนับถือ
เทพ อาทอน (Aton) แล้วพระองค์ได้สร้างเมืองหลวงใหม่เพื่ออุทิศในการนมัสการพระอาทิตย์ ณ ริมฝั่ง
แม่น้ำไนล์ พระราชินีเนแฟร์ตีติก็เป็นผู้สนับสนุนอันร้อนรนในการนับถือ หรือนมัสการเทพอาทอน (Aton)
เช่นเดียวกัน "เทพแห่งพระอาทิตย์ - เทพแห่งแสงสว่าง" นางดิกสันรำพึงในใจ
จากข้อความนี้ทำให้เห็นว่า นางดิกสันยังไม่มั่นใจว่าหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ มีความรู้สึกว่า จะมอง
ภาพของหนุ่มนี้ไปทางบวก แต่เร็วๆ นี้ผมได้พบข้อเขียนของเธอ ซึ่งได้ระบุลงไปแล้วว่า หนุ่มที่จะปฏิวัติโลก
นั้นเธอลงความเห็นว่าเป็นแอนตี้ไคร้สต์ ที่จะมาเป็นมารพระศาสนา และจะกลายเป็นจ้าวโลก
ในต้นศตวรรษที่ 21 ดังมีข้อเขียนดังนี้
"กรณีแวดล้อมแห่งการเกิดของเด็กนี้ ช่างเหมือนของพระเยซูเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็แตกต่าง
กันราวฟ้ากับดินทีเดียว ดิฉันมิมีความสงสัยอันใดในใจอีกแล้วว่า เด็กผู้นี้จะต้องเป็นปรปักษ์พระคริสต์
ซึ่งจะมาหลอกลวงคนทั้งโลกในนามของซาตาน"
"ดิฉันเห็นว่าเด็กนี้มิได้ใช้ชีวิตในเมืองที่เขาเกิด แต่ได้ถูกพ่อแม่นำไปอีกสถานที่หนึ่งในตะวันออกกลาง
ดิฉันเห็นอย่างชัดเจนว่าอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น แห่งสาธารณรัฐอาหรับ (REPUBLICHE ARABE UNITE)"
"ดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่า เขาถูกย้ายไปอยู่เมืองไหนแน่ รู้แต่ว่า เด็กหนุ่มนี้ถูกห้อมล้อมด้วย
หน่วยปฏิบัติการอันเข้มแข็ง เพื่อให้การคุ้มกันแก่เด็กหนุ่มผู้นี้อย่างดี"
"เมื่อเด็กคนนี้อายุ 11 ปี ก็จะเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญยังความประหลาดใจแก่ผู้อยู่ใกล้ชิด
อาจเป็นไปได้ว่าในวาระนั้น เราคงจะยังไม่ได้ให้ความสนใจในตัวมันด้วยซ้ำ แต่เด็กเองเริ่มจะรู้ตัว
อย่างเต็มที่ว่า ถูกบัญชามาจากซาตาน มันจะเริ่มแผ่อิทธิพล และคนใกล้ชิดก็จะเริ่มรวมกลุ่มกัน
เป็นบริวารเมื่อเด็กนี้อายุได้ 19 ปี แล้วจะร่วมทำงานกันไปอย่างเงียบๆ ไปจนเด็กนี้อายุ 30 ปี เมื่อนั้นแหละ
โลกเริ่มจะได้รับผลแห่งความชั่วร้ายของมันอย่างประปราย"
ตั้งแต่ปี 1980 มันได้เริ่มแผ่อิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คำสอน" ของมันได้ถูกเผยแพร่
อย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยอาศัยเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยของสหรัฐอเมริกา ในการโฆษณาชวนเชื่อ
มันเดินทางไปยังอเมริกาเหนือบ่อยๆ ทั้งนี้เป็นการร่วมมืออย่างใกล้ชิดที่ถูกเสนอจากหน่วยงานของ
สหรัฐอเมริกา อิทธิพลของหนุ่มผู้นี้จะทวีขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วกระทั่งปี 1999 เมื่อนั้นแหละ จริยธรรม
แบบคริสต์ในทุกรูปแบบจะอันตรธานไปจากโรงเรียนต่างๆ และบรรดาหนุ่มสาวก็จะพร้อมยอมรับ
"คำสอน" ของมันโดยดุษฎี จะมีหนุ่มสาวมากมายให้การสนับสนุน จนเกิดพลังงานมหาศาล ในการที่จะ
ครอบครองโลกในที่สุด
จะมีคนมากมายที่ไม่มีฐานทางความเชื่อศรัทธาในคริสตศาสนาจะพ่ายต่อ "คำสอน" อันชั่วร้าย
ของมันอย่างน่าใจหาย
นางจีน ดิกสัน ยอมรับว่า แอนตี้ไคร้สต์ จะเป็นนักการเมืองมีระดับ โลกอาจเพิกเฉยต่อนักบวช
ทุศีลได้ แต่จะไม่สามารถทำซื่อบื้อ กับคนที่มีอิทธิพลสูง ซึ่งจะสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเป้า
ประสงค์ของพวกมันได้
"มันจะเข้าอยู่ในวงการทหาร จะพิชิตทุกๆ ประเทศให้อยู่ในกำมือโดยเด็ดขาด โดยอาศัยอาวุธที่ทันสมัย
อาณาจักรของมันจะแผ่ไปทั่วโลก มันจะควบคุมทุกคน แม้กระทั่งความคิด จะไม่มีรัฐต่างๆ อีกแล้ว
ทั่วแผ่นดินจะกลายเป็นเกาะใหญ่เกาะหนึ่งที่อยู่ในโลก สงครามที่เกิดขึ้นเป็นประจำนั้นจะอันตรธานไป
และปรปักษ์พระคริสต์จะประกาศตัวเป็น "เจ้าชายแห่งสันติภาพ"
"สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกนั้น ดิฉันมองไม่เห็นทางออกเอาเสียเลย ในท้ายที่สุดนั้นจะหดเล็ก
ลงมาเหลือแค่กลุ่มเล็กๆ ที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะไม่มีอะไรเหลือให้เห็นสภาพเก่าๆ เลย ถึงแม้พระจิต
จะติดตามเพื่อให้ความช่วยเหลือ ดังที่พระเยซูได้ตรัสว่า...จวบจนกระทั่งสิ้นยุค!"
ยังมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกหรือ?
"มันจะตั้งศาสนาแปลกประหลาด โดยมีพื้นฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อมนุษย์ ตั้งอยู่บนลัทธิอเทวนิยม
และมีเป้าหมายที่จะต่อต้านศาสนาในทุกรูปแบบ"
ฉะนั้น จะเกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก จะเกิดการแบ่งแยก และแตกแยกทางศาสนา บางศาสนา
จะเปลี่ยนไปเป็นลัทธิอเทวนิยมไปเลยก็มี จะมีส่วนน้อยที่พยายามรักษาไว้ซึ่งความเชื่อต่อพระเจ้า
จะต้องทนต่อการนองเลือด และทุกสิ่งอันเป็นผลแห่งกิจกรรมของมัน ผู้จะได้รับสมญาจากบริวาร
ของพวกมันว่า "เจ้าชายแห่งสันติภาพ"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 10, 2023 10:59 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 3 0 )👈
🌼--- ข่าวน่าสนใจจากอิตาลี ---🌼
      
    เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา พระคุณเจ้า เกลาดีโอ มารีอา เชลลี รองเลขาธิการแห่งรัฐ
ทางการทูต (เทียบเท่ารัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศ) ผู้เป็นตัวแทนแห่งสันตะสำนัก และ
ดร. ยอสซี เบยลิน รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศอิสราเอล ได้บรรลุข้อตกลงในหลักการพื้นฐาน
ที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสันตะสำนัก และประเทศอิสราเอล ในพิธีเป็นทางการ
ณ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเยรูซาเล็ม
และเมื่อวันที่ 10 SHMUEL HADAS ผู้แทนพิเศษ แห่งรัฐอิสราเอล เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว
ณ สันตะสำนัก
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต SHMUEL HADAS อายุ 63 ปี มีบุตร 2 คน เกิดในประเทศอาร์เจนตินา
จากพ่อแม่ชาวโปแลนด์ จบจากมหาวิทยาลัยอเมริกันในเมกซิโก หลังจากอพยพสู่ประเทศอิสราเอล
ในปี 1954 แล้ว ได้เข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศในปี 1980 ถูกส่งไปเป็นเอกอัครราชทูต
ประจำสเปนในปี 1987 ถูกเรียกตัวเข้ากระทรวงการต่างประเทศในปี 1993
เมื่อวันที่ 15 มกราคมนี้ สมเด็จพระสันตะปาปา โปรดให้คณะทูตานุทูตประจำสันตะสำนักเข้าเฝ้า
ในวโรกาสฉลองปีใหม่ มี 147 ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสันตะสำนัก รวมทั้งประเทศไทย
ของเราด้วย ซึ่งในเดือนเมษายนนี้ ก็จะครบรอบ 27 ปี
สำหรับอิสราเอลนั้นหลังจากได้สถาปนาเป็นประเทศอิสราเอลในปี 1948 ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์
ทางการทูตกับสันตะสำนักเลย การที่ได้มีการลงนามในข้อตกลงครั้งนี้ จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับ
ทั้งสองประเทศที่จะได้มีความสัมพันธ์ และความเข้าใจต่อกันมากยิ่งขึ้น
🔹โฉมหน้าใหม่ของรัฐบาลอิตาลี
ผมขอสรุปความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ ในอิตาลี ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งครั้งสำคัญ
ในวันที่ 27 - 28 มีนาคม นี้
ก่อนอื่นจะขอพูดถึงวิธีการลงคะแนนเลือกตั้งซึ่งถูกปฏิรูปใหม่หมดคือ การลงคะแนนนั้นจะ
ต้องเข้าไปใน 3 คูหา คูหาที่ 1 สำหรับเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ซึ่งมี 315 ที่นั่ง คูหาที่ 2 และ 3 สำหรับเลือก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี 630 ที่นั่ง คูหาที่ 2 ลงคะแนนให้ตัวบุคคล คูหาที่ 3 ลงคะแนนให้พรรค
(แล้วพรรคจะเลือกว่าจะเอาลูกพรรคคนไหนมาเป็น ส.ส.) แต่สำหรับคูหาที่ 2 จะเอา ส.ส. ที่ได้รับเลือก
แค่ 75% และคูหาที่ 3 เอาแค่ 25%
โพลล์ของต้นเดือนกุมภาพันธ์ออกมาว่า ฝ่ายซ้ายยังมีคะแนนนำคือจะได้ที่นั่งมากที่สุดในสภา
165 ที่นั่ง และน้อยที่สุด 135 ที่นั่ง ส่วนพรรคฝ่ายขวา คือพรรคอิตาลี สู้ (FORZA ITALIA) ได้ที่นั่ง
มากที่สุด 150 ที่นั่ง และน้อยที่สุด 130 ที่นั่ง
ครั้นมาต้นเดือน มีนาคม พรรคอิตาลี สู้ ซึ่งมีเลขาธิการพรรค ชื่อ แบร์ลุสโกนี เป็นนักธุรกิจระดับ
ยักษ์ใหญ่ เป็นเจ้าของทีวี 3 ช่อง เจ้าของทีมฟุตบอลอันลือลั่น คือ เอซี.มิลาน เจ้าของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
และเจ้าของห้างสรรพสินค้าอีกต่างหาก มีคะแนนนำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คือจะได้ที่นั่งถึง 27% พรรค
อดีตคอมมิวนิสต์ หรือพรรคประชาธิปไตยฝ่ายซ้าย (PDS) ได้คะแนนแค่ 21% ส่วนพรรคที่นโยบายกลางๆ
ซึ่งเป็นอดีตพรรค D.C. นั่นเอง คะแนน 15%
นอกจากนี้ยังมีโพลล์ด้วยว่า "นายกรัฐมนตรี ในอุดมคติของท่าน" ผู้ได้คะแนนนำคือ ชัมปี
นายกรัฐมนตรีรักษาการคนปัจจุบันได้ 45% แบร์ลุสโกนี ได้ 40% ฟินี เลขาธิการพรรคนิวฟาสซิสต์
ได้ 37% เซญี พรรคสนธิสัญญาได้ 36% ออคเกตโต พรรคอดีตคอมมิวนิสต์ ได้ 32% มาร์ตีนัสซอลี
พรรคอดีต D.C. ได้ 30% บอสซี พรรคสันนิบาตภาคเหนือได้ 27%
มาถึงโค้งสุดท้ายดูเหมือนว่า "อัศวิน" (CAVALIERE) แบร์ลุสโกนีน่าจะเข้าป้ายค่อนข้างแน่
แต่ก็เกิดเรื่องจนได้ หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับประโคมข่าวตัวยักษ์ว่า "อัศวิน" แบร์ลุสโกนีเป็นสมาชิก
สมาคมลับฟรีเมซอน P.2 นิตยสารชื่อดังรายสัปดาห์ L'EXPRESSO พาดหัวตัวโตว่า "มีเหตุผลสำคัญ
10 ประการไม่ไว้ใจ แบร์ลุสโกนี" เป็นการแฉของนักหนังสือพิมพ์มีระดับผู้หนึ่ง อดีตเป็นบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์รายวัน "PAESE SERA" เคยเป็น ส.ส. ด้วย เขาผู้นี้คือ จูเซปเป ฟีออรี (GIUSEPPE FIORI)
เขาแจงว่า SILVIO BERLUSCONI มีเลขประจำตัวในสมาคมลับนี้ 1816 รหัส E.19.78 หมู่ที่ 17
หมวดที่ 0625 วันที่เข้าเป็นสมาชิก วันที่ 26 มกราคม 1978
แบร์ลุสโกนีสารภาพว่าเพื่อนของเขาชื่อโรแบร์โต แจร์วาโชได้แนะนำให้รู้จัก ลีโช เจลลี เป็น
หัวหน้ากลุ่ม (LODGE) คนสำคัญในอิตาลี ผู้นี้ได้แนะนำให้แบร์ลุสโกนีเข้าเป็นสมาชิกฟรีเมซอน P.2
เขาว่าจะทำให้แบร์ลุสโกนี สามารถขยายกิจการไปกว้างขวางระดับนานาชาติ จะมีช่องทางทำมาหากิน
ไปอีกหลากหลาย โดยเฉพาะในแวดวงอุตสาหกรรม และการสื่อสาร และรู้สึกว่าได้ผลทันตาเห็นตามที่
ทราบๆ กันอยู่
ผมได้กล่าวถึงสมาคมลับฟรีเมซอนมาบ้างแล้ว เมื่อวันที่ 14 กันยายน 1993 ว่า ลัทธิฟรีเมซอน
มีตำนานเล่าขานมาตั้งแต่ปี 302 ถือเป็นชมรมช่างก่อตึก จนกระทั่งปี 1717 ได้ถีบตัวขึ้นมาเป็นสถาบัน
ซี่งเป็นที่ยอมรับนับถือในวงสังคมชั้นสูงในยุโรป ตั้งแต่ปี 1723 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์ใหญ่ คือเพื่อ
หางานให้สมาชิก และบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่สังคม นี่คือหน้าฉาก แต่หลังฉากเป็นอย่างไรนั้น คงต้องว่า
กันอีกหลายตอน มีอะไรหนักหนาแค่ไหน ก็เพียงแค่ดูท่าทีของโป๊ปเคลเมนต์ที่ 12 ในปี 1738 เรื่อยมา
จนถึงโป๊ปองค์ปัจจุบัน ก็ประกาศคว่ำบาตรสมาชิกฟรีเมซอน P.2 มาตลอด ฉะนั้นการที่สื่อมวลชนสามารถ
ขุดคุ้ยเบื้องหลังของ "อัศวิน" แบร์ลุสโกนี ถือเป็นความโชคดีของพรรคฝ่ายซ้ายอย่างยิ่ง เพราะการเป็น
สมาชิก สมาคมลับฟรีเมชอน P.2 นี้ ถือว่ามีเบื้องหลังที่ไม่ "โปร่งใส" ข่าวล่าสุดยังมีการเปิดโปง "อัศวิน"
ผู้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลดัง เอซี. มิลาน ได้หลบภาษีจำนวนมหาศาล ในกรณีที่ไปซื้อนักฟุตบอลผู้หนึ่งด้วย
จำนวนเงินสองหมี่นล้านลีร์ แต่เสียภาษีเพียงน้อยนิด แสดงว่าไม่ได้แสดงยอดซื้อจริง ข่าวว่าต่างกันราวฟ้า
กับดิน แสดงว่า อัศวินแบร์ลุสโกนีมิได้ชำนาญแค่ขี่ม้าเท่านั้น ยังชำนาญในการหลบภาษีด้วย และคงมิใช่
แค่ทีมฟุตบอลเท่านั้น อาจรวมถึงกิจการอื่นๆ ด้วยเป็นแน่
ฝ่ายนายออคเกตโต หัวหน้าพรรคอดีตคอมมิวนิสต์ (P.D.S) ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไร ทีแรกก็นึกว่าบริสุทธิ์
ผุดผ่อง เพราะมิได้เคยร่วมรัฐบาลเลย กำลังถูกขุดคุ้ยและโดนข้อหาคอรัปชั่นเช่นเดียวกัน แสดงว่าฝ่าย
รัฐบาล (ในอดีต) ช่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงฝ่ายค้านด้วย ไม่ถึงกับอดอยากปากแห้งเหมือนอย่างประเทศ
สารขัณฑ์ ไม่มีใครเลยที่ไม่มีแผล เพียงแต่ว่า "แผล" เล็กหรือ "แผล" ใหญ่เท่านั้น
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. นี้ได้มีการปะทะคารมกันครั้งสุดท้ายในจอทีวี ทั้งนี้เป็นการสรุปข่าวทางโทรศัพท์
จากหลานสาวที่อยู่กรุงโรมว่า เป็นการปะทะคารมที่มันมาก ระหว่างหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอดีตพรรค
คอมมิวนิสต์ คือนาย ออคเกตโต กับนักการเมืองหน้าใหม่ แต่ยิ่งใหญ่ในวงการธุรกิจคือ "อัศวิน"
แบร์ลุสโกนี ทั้งคู่ต่างก็มีข้อบกพร่อง แต่ผู้คนจะให้เครดิตกับนักการเมืองหน้าใหม่ ที่ไม่เคยด่างพร้อย
ในทางการเมือง และมีความหวังว่า เขาจะสามารถบริหารประเทศได้ดี เท่ากับที่เขาสามารถสร้างเนื้อ
สร้างตัวจากไม่มีอะไร จนกระทั่งมาเป็นมหาเศรษฐีในปัจจุบัน
ลองมาเปิดกลอนนอสตราดามุสดูซิว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้า ระหว่างบล็อก
ซ้ายจัด กับ บล๊อกขวาจัด ล่าสุดรู้สึกว่าค่ายขวาจัดจะมาแรง หรือ แฟนม้าอาจจะบอกว่า "นอนมา"
อย่างไม่น่าเชื่อ โดยมี "อัศวิน" แบร์ลุสโกนี เป็นคนถือบังเหียน แต่เห็นท่าจะตกม้าตายเสียแล้ว เพราะ
สื่อมวลชนไปขุดคุ้ยได้หลักฐานในนาทีสุดท้ายว่า เป็นสมาชิกสมาคมลับฟรีเมซอน P.2 ค่ายซ้ายจัด
คงจะได้ทีขี่แพะไล่เป็นแน่ มาดูกลอนนอสตราดามุส บทที่ 87/1
En nosigee feu du centre de terre,
Fera trembler autour de cite neuve,
Deux grands rochers longtems feront la guerre,
Puis Arethuse rougira nouveau fleuve.
แผ่นดินไหวพาเอาไฟออกมาจากกลางโลก
จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทั่วบริเวณ เมืองใหม่ (ภาษากรีก คำ NEA แปลว่า ใหม่ POLIS
แปลว่าเมือง เป็นชื่อเมือง เนเปิ้ลส์ NEAPLES เพราะว่าในอดีตชาวกรีกซึ่งเจริญกว่าได้มาจับจอง
ที่ดินแถวนี้ และได้สร้างเมืองใหม่ ก็คือ NAPOLI นี่เอง)
ค่าย (การเมือง คือฝ่ายซ้ายสุดขั้วกับ ขวาสุดขั้ว) 2 ค่าย ต่างก็ประจันหน้ากันเป็นเวลาช้านานแล้ว
แล้วเทพธิดาพระสมุทร (เกาะซิซิลี) จะทำให้แม่น้ำแดงฉานไปด้วยเลือดอีกครั้งหนึ่ง
วิเคราะห์ ในวันที่ 27 - 28 มีนาคมนี้ ในอิตาลี จะมีการเลือกตั้งครั้งสำคัญ จะเป็นการประจันหน้ากัน
ระหว่างค่ายการเมืองฝ่ายซ้ายจัด และ ขวาจัด เพราะค่ายที่มีนโยบายกลางๆ ซึ่งครองอิตาลีมาเกือบครึ่ง
ศตวรรษนั้น ชาวอิตาลีพากันเข็ดเสียแล้ว จะเกิดภูเขาไฟระเบิด และแผ่นดินไหว บริเวณแถวเมืองเนเปิ้ลส์
ซึ่งก็มีภูเขาไฟ เวซูเวียต ส่วนที่เกาะซิซิลี ของอิตาลีก็มีภูเขาไฟ เอตนา จะแดงฉานไปด้วยเลือด อาจจะเป็น
การสำแดงเดชของพวกมาเพียซิซิลี ที่ต้องการบอกรัฐบาลใหม่ของอิตาลีว่าพวกเขายัง "แกร่ง" อยู่ก็ได้
หรืออาจมีการถล่มกันด้วยอาวุธหนักสาเหตุจากการเลือกตั้งสกปรก ในดินแดนเจ้าพ่อแห่งเจ้าพ่อก็ได้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส