รวมเรื่องสั้น คติสอนใจ (ชุดที่ 2)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:42 pm

(1 )
การเห็นคุณค่าของชีวิต

เจอาร์ดี ทาทา อดีตประธานทาทากรุ๊ป วันหนึ่งเค้าได้พบกับเพื่อนสนิท และสังเกตุเห็นเพื่อน
ใช้ปากการาคาถูก เพื่อนบอกเหตุผลเพราะตัวเองชอบลืมปากกาบ่อยๆ ก็เลยไม่ซื้อปากกา
ราคาแพง เวลามันหายจะได้ไม่เสียดาย ซึ่งเค้าเองก็กลุ้มใจกับนิสัยขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง

ทาทา เลยแนะนำกับเพื่อนว่า ให้ไปซื้อปากกาแพงเท่าที่คุณจะซื้อได้มาใช้ซะ เพื่อนก็เชื่อเลย
ไปซื้อปากกาที่ทำจากทองคำมาใช้

6 เดือนผ่านไป เพื่อนเล่าให้ฟังว่าไม่เคยทำปากกาหายอีกเลย เพื่อนแปลกใจว่านิสัยขี้หลงขี้ลืม
หายไปได้ยังไง

ทาทา บอกเพื่อนว่าคุณไม่ได้ผิดปกติหรอก แต่มูลค่าของปากกาทำให้คุณปฎิบัติกับมันต่าง
ออกไปแค่นั้น

วิธีที่เราใช้ชีวิต ขึ้นกับการให้คุณค่าของเรา

ถ้าเราให้คุณค่ากับร่างกาย เราก็จะระมัดระวังกับสิ่งที่กิน และการใช้ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไป

ถ้าเราเห็นคุณค่าภรรยา/สามี เราจะระมัดระวังคำพูด และปฎิบัติกับเค้าอย่างให้เกียรติ

ถ้าเราเห็นคุณค่าเงิน เราจะระมัดระวังการใช้จ่าย และใช้จ่ายอย่างประหยัด

ถ้าเราเห็นคุณค่าเวลา เราจะระมัดระวังทุกลมหายใจ และไม่ปล่อยให้มันเสียไปเปล่าๆ

ถ้าเราประเมินชีวิตตัวเราต่ำเกินไป (Under Estimate) เราจะปฎิบัติกับมันเหมือนกับปากการาคาถูก

แต่ชีวิตเรามีราคาแพง เรามีคุณค่าในสายตาพระเจ้า ขอให้เราใช้ชีวิตของเราให้สมกับคุณค่านั้น

อย่า Over Estimate จนประมาท และอย่า Under จนเราใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่ายและไร้คุณค่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:46 pm

( 2 )

อย่าหวงคำพูด

ขอบคุณ
เวลาใครทำดีกับเรา
อย่าลังเลที่จะพูดว่า "ขอบคุณ"
เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้ว่า ตัวเรารับรู้นะ

ขอโทษ
ทุกคนเคยทำผิดพลาด ได้ทั้งนั้น
ต่างกันตรงบางคนเรียนรู้ที่จะขอโทษ ทุกครั้งที่ทำผิด
แต่บางคนเลือกที่จะไม่ยอมรับผิด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
หากเราเป็นฝ่ายที่ทำผิด
จงขอโทษเสมอ

ไม่เป็นไร
คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นทั้งคำที่เราพูดให้กับตัวเอง และให้กับคนอื่น
เพราะบางวันที่แย่เกินจะรับไหว
คำว่า ไม่เป็นไร แม้ไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์หายไป
แต่อย่างน้อย ก็เหมือนเราวางความทุกข์นั้นลงบ้าง

ยินดีด้วยนะ
การยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นอย่างจริงใจ
จะช่วยให้เราเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิตได้ง่าย
เพราะไม่ต้องรอให้ตัวเองประสบความสำเร็จ ถึงรู้สึกยินดีได้
แต่เมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จ
เราก็ยินดีกับเขาได้เช่นกัน

พบกันใหม่นะ
ไม่มีใครรู้จริง ๆ หรอกว่า หลังการแยกย้าย
จะได้กลับมาพบกันอีกหรือไม่
แต่คำว่า "พบกันใหม่" ทำให้เรารู้ว่า ต่างมีใจที่ยังอยากพบกันอีก

เก่งมากๆ
ทุกวันนี้เราชื่นชมกันน้อยเกินไป
หากเรารู้จักชื่นชม และมองเห็นข้อดีของคนอื่น
เราจะพบว่า โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นกว่าที่คิด
เชื่อเถอะว่า โลกที่เรา ดีอยู่คนเดียว ไม่น่าอยู่หรอก

คิดถึง
ในทุกๆ ความสัมพันธ์
ไม่ว่ากับพ่อแม่ ลูก หรือคนรัก
ย่อมมีช่วงเวลาที่อยู่ห่างกันบ้าง
คำว่า "คิดถึง" จะเป็นคำพูดที่ทำให้รู้ว่า เราไม่เคยลืมกันในวันเหล่านั้น

รัก
รู้สึกดีกับใคร หรือรักใคร
ถ้าพูดคำว่า "รัก" ไม่ได้
เราอาจจะสูญเสียเขาไป
จงหมั่นบอกความรู้สึกรักที่มีต่อกันเถอะ
เชื่อไหมว่า บางคนได้ยินคำว่า รักอย่างจริงใจ
ก็ทำให้วันแย่ๆ ของเขา กลายเป็นวันที่ดีขึ้นมาได้
เพราะอย่างน้อยในวันที่รู้สึกโดดเดี่ยว
เขายังรู้ว่า ไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ 😁😘 #พาป้าเที่ยว วันนี้วันพระ

อ่านแล้วชอบ ก็แชร์ให้คนที่คุณรักได้รู้ด้วย ไม่ต้องขอจ๊ะ
เราไม่ใช่เพจธรรมะสอนใจ แค่แอดมินอยากแบ่งปันข้อคิดดีๆ ให้กับทุกๆ ท่าน
เราเป็นเพจที่อาสาพาผู้สูงวัย ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านนะจ้า 😍
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 01, 2023 9:52 pm

( 3 )

Keep Going
.
ถ้าเปรียบปัญหาอุปสรรคเป็นภูเขา เราทุกคนมักคิดว่า ภูเขาตรงหน้าเราใหญ่กว่าภูเขาของ
คนอื่นเสมอ นั่นเป็นเพราะเรายืนอยู่ใกล้ภูเขาของเราเอง จึงมองว่ามันใหญ่โตมโหฬาร!
.
“ภูเขาลูกนี้ของฉันข้ามลำบากจริง ๆ” โจเซฟเพื่อนรุ่นน้องชาวอเมริกันยืนยัน แต่เมื่อถามว่า
เรื่องราวเป็นอย่างไร เขากลับตอบไม่ชัดเจน - -

“ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า ปัญหาคืออะไรกันแน่... บางที ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าเบื่อหน่าย เหมือนไม่ใช่
ตัวตนของเรา บางครั้งก็รู้สึกอึดอัด ไม่ชอบตัวเองเอาเสียเลย”
.
โจเซฟเล่าว่า หลังจากเรียนจบ เขาได้เข้าทำงานที่อื่นมาแล้ว 2 บริษัท ก่อนจะลาออกมาทำที่
บริษัทเดียวกับผม เขาบอกว่าทุกที่ที่เข้าทำงาน เขาตั้งใจทำเต็มที่ เขาพยายามเป็นมิตรกับทุกคน
ทำทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการ ทำให้ทุกคนพึงใจ แต่แปลก! ในขณะที่ใคร ๆ ก็ชอบเขา ที่ทำงาน
ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด... ทว่าเขาเองกลับไม่มีความสุข - ตื่นมาทุกเช้าไม่รู้สึกกระตือรือร้น ไม่อยาก
ไปทำงาน เขาเลยตัดสินใจลาออก - เปลี่ยนงานใหม่ เปลี่ยนผู้คนสิ่งแวดล้อมใหม่ นึกว่าจะแก้ปัญหาได้
แต่ในที่สุด ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ละที่ทำงานได้ไม่เกิน 4-6 เดือน

“แล้วที่นี่เป็นยังไง” ผมหมายถึงบริษัทที่เราทำงานด้วยกันในตอนนั้น “...ก็เหมือนเดิมอีกใช่ไหม?”
เขาหัวเราะก่อนตอบว่า
“ใช่ ดูเหมือนจะเป็นเหมือนเดิมอีก”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ตัวนายมากกว่า นายต้องแก้ไขที่ตัวเอง”
.
ผมว่าปัญหาของโจเซฟอยู่ตรงที่เขาเข้าใจผิดคิดว่า การเอาชนะใจผู้อื่นได้นั้น คือการทำให้คนรอบ
ข้างพอใจ เขาพยายามทำให้ทุกคนมีความสุข ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำให้คนทั้งร้อยทั้งโลก
ชอบเขา – เขาเอาใจคนอื่นจนหนักเหนื่อย ในที่สุด ตัวเองก็ไปต่อไม่ไหว...

เพราะตามใจคนอื่นมากไป จึงตามหาใจตัวเองไม่พบ!
.

เมื่อย้อนมองดู- - เราหลายคนก็เป็นเช่นนั้น เราเผลอเป็นอย่างโจเซฟ เราพยายามที่จะเป็นตามที่
พ่อแม่ต้องการให้เป็น, เป็นตามที่เพื่อนฝูงอยากให้เราเป็น, หรือเป็นตามที่เจ้านายจะพอใจ...
ใช้ชีวิตตามที่คนอื่นคาดหวังให้เป็น - -จนกลายเป็นภูเขาหนักอึ้งทับอกเราเอง!
.
“บางครั้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภูเขา” ผมบอกโจเซฟ “จำไว้ว่า นายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนอื่น
บางเรื่องนายไม่จำเป็นต้องฟังหรือทำตาม นายไม่จำเป็นต้องพยายามเอาใจทุกคน- - และนายไม่ต้อง
ไปเคลื่อยย้ายหรือทุบทำลายภูเขาใดทั้งสิ้น แค่เดินข้ามผ่านไปเท่านั้นเอง”

ไม่ต้องเอาชนะภูเขา แต่ชนะใจเราเองก็พอ!

. . . . .
.
ผมรู้จักแอนน์จากงานเลี้ยงปาร์ตี้คริสต์มาสของบริษัทเมื่อหลายปีก่อน... เธอเป็นลูกสาวของมาร์ค
- เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง แอนน์เป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลง แถมมีน้ำเสียงใสไพเราะ
ใครต่อใครจึงคะยั้นคะยอให้เธอร้องเพลงในคืนนั้น - เพียงขึ้นมาประโยคแรก ผมและหลายคนใ
นงานต่างตะลึงในเสียงสวรรค์ของเธอ - หลายคนบอกให้เธออัดเสียงร้องเพลงแล้วเผยแพร่ทาง YouTube
.
ในช่วงแรก ยอดจำนวนผู้ที่เข้าไปชมคลิปร้องเพลงของเธอ มีเพียงไม่กี่สิบคน เฉพาะเพื่อนและ
ญาติสนิทที่รู้เท่านั้น – ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ เริ่มมีคนทั่วไปเข้ามาฟังบ้าง หลายคนชมเสียงของเธอว่า
ไพเราะ
แต่ก็มีบางคน ที่แสดงความคิดเห็นในเชิงลบ บ้างตำหนิ บ้างเย้ยหยันเสียดสี จนเธอรับไม่ได้
เกือบเลิกล้มความคิดที่จะร้องเพลง...
.
“อย่าสนใจเลย คนทั่วไปชอบแสดงความคิดเห็นทั้งนั้น โดยเฉพาะในอินเตอร์เน็ต ใคร ๆ ก็พูดได้
โดยไม่ต้องรับผิดชอบ... เขามีสิทธิ์ที่จะพูด แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกรับฟัง” มาร์คบอกกับแอนน์

“เราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเราได้หรอก เพราะถ้าเราพยายามที่จะทำอย่างนั้น ทำให้ทุกคนมี
ความสุข ทำให้ทุกคนชอบ เราเองนั่นแหละที่จะไม่มีความสุข และจะไม่ชอบตัวเอง... ถ้าเราต้องการ
จะไปให้ถึงจุดหมายของเราเอง เราต้อง keep going เดินหน้าต่อไป อย่าเสียเวลากับคำพูดข้างทาง
ความคิดเห็นที่ไร้สาระไม่มีค่าเหล่านั้น”
.
มาร์คชอบจักรยานเป็นชีวิตจิตใจ บางวัน เขาก็ปั่นจักรยานไปทำงาน เขาจึงเล่าให้แอนน์ฟังว่า- -

“เมื่อตอนที่พ่อเริ่มหัดขี่จักรยานใหม่ ๆ บางครั้ง ขณะที่ขี่ไปข้างหน้า พ่อเกิดมีความรู้สึกกลัวขึ้นมา
กลัวเสียงคนที่เตือนว่าระวังโน่นนี่ คอยกังวลว่าจะล้ม พอคิดอย่างนั้น พ่อก็ล้มทันที เพราะเท้าจะ
หยุดปั่น โดยไม่รู้ตัว เมื่อไม่ปั่น มันก็ล้ม แต่ถ้า keep going ปั่นต่อไปเรื่อย ๆ เราก็จะไม่ล้ม...
หลักการง่าย ๆ แค่นั้นเอง”

. . . . โจเซฟลาออกจากบริษัทที่ 3 ซึ่งเป็นบริษัทที่เราทำงานด้วยกัน แต่นั่นเป็นเพราะฐานะการเงิน
ของบริษัทเริ่มง่อนแง่น ไม่ใช่ลาออกด้วยสาเหตุเดิม ๆ แบบที่ผ่านมา เขาย้ายไปอยู่บริษัทที่ 4 -
แทบไม่น่าเชื่อว่า แม้เมื่อผมกลับมาเมืองไทยหลายปีแล้ว โจเซฟยังคงทำงานที่บริษัทเดิม - - ผมเดาว่า
เขาคงเป็นผู้ชนะอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ใช่ภูเขาหรอกที่เขาเอาชนะมาได้ - แต่เขาชนะใจตัวเองต่างหากล่ะ!
.

เป็นเพราะแอนน์ keep going เธอไม่คิดกลัวกังวลว่าจะล้ม จักรยานของเธอจึงปั่นไปข้างหน้าได้
อย่างราบรื่น – ยอดจำนวนผู้เข้าชมคลิปเพลงที่เธอร้อง ล่าสุด เข้าสู่หลักหมื่นแล้ว (ณ ขณะนั้น) ...
.

บนเส้นทางชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าเป้าหมายข้างหน้าอยู่ที่ไหน อย่าสนใจเสียงนกเสียงกา
อย่าหยุดเสียกลางทาง - Keep going แล้วเราจะไม่ล้ม!
.
ปะการัง

.
[ ตัดต่อบางส่วนจากหนังสือ #ถ้าใจเราใกล้อะไรก็ไม่ไกล โดย #ปะการัง ]

ภาพ : แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
.
. . . . . . . . .
.
แนะนำหนังสือเล่มใหม่ของ ป ะ ก า รั ง
*************************************
.
“เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้น จะวนกลับมาหาเรา”
หนังสือรวมถ้อยคำและความเรียง สำหรับกำลังใจแห่งชีวิต โดย ปะการัง
พร้อมภาพประกอบสีสวยตลอดเล่ม โดย ภูพเยีย
. .
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 02, 2023 5:56 pm

( 4 )

จำได้ ตั้งแต่เด็กแล้ว คุณพ่อผมซึ่งไม่ใช่คาทอลิก ได้สอนสั่งว่า อย่าแบมือให้ใครดูลายมือ ผมถามว่า
เพราะกลัวเขาจะรู้อนาคตหรือ? คุณพ่อตอบว่า คนที่ดูเส้นสายลายมือเป็น เขาจะรู้จุดอ่อนในตัวเรา
ว่าเป็นคนอย่างไร กลัวอะไร อ่อนไหว หรือเชื่อง่ายแค่ไหน เมื่อเขารู้จุดอ่อนของเราเสียแล้ว ไม่ว่า
อดีตหรืออนาคต เขาก็คาดเดารู้ได้หมด และชีวิตเราจะขึ้นอยู่กับเขา...
.
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมนึกถึงคำสอนของพ่ออีกครั้ง... เพราะมีประเด็นถกเถียงถึงเรื่องดูดวง
แต่คราวนี้เกี่ยวกับศาสนาด้วย เพื่อนบางคนถามผมว่าจริงหรือที่ศาสนาคริสต์มีข้อห้ามดูดวง?
.
เดิมที (ในอดีตก่อนกลับใจ) ผมก็เคยเป็นคนขี้สงสัย และชอบความลี้ลับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอดีต
หรืออนาคตอย่าง UFO ผมจึงตั้งตาศึกษาค้นคว้าหามาอ่านอย่างหลงใหล - - ยุคหนึ่งในวัยหนุ่ม “ไพ่ยิปซี”
หรือ “ไพ่ทาโรต์”โด่งดังมาก ในเมื่อผมขี้สงสัย อยากรู้อนาคต ประกอบกับคุณพ่อสอนไว้ว่าอย่าให้ใคร
ดูลายมือ ผมเลยศึกษาไพ่ดูดวงด้วยตัวเอง พบว่า แม่นในบางเรื่อง ไม่แม่นในอีกหลายเรื่อง แต่ตอนนั้น
ถ้าจิตใจเราเอนไปทางสิ่งนี้ เราก็จะเลือกจำเฉพาะบางสิ่งที่ทายแม่น!
.
อันที่จริง การดูดวงในบางลักษณะเป็นเรื่องของศาสตร์ที่ขึ้นกับการคำนวณและหลักสถิติ จึงมีโอกาส
ผิดพลาดได้ง่าย เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ดูขลัง น่าเชื่อถือมากขึ้น เราจึงมักได้ยิน Story ถึงที่มาว่าเป็นศาสตร์
ลึกลับแต่โบราณกาล และบางครั้งก็จะเกี่ยวข้องพึ่งพากับวิญญาณ ภูตผี ปิศาจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต้องยอมรับ
ว่ามีอยู่จริง บางปิศาจวิญญาณช่วยการทำนายได้แม่นยำขึ้น!
.
นี่จึงเป็นต้นเหตุแห่งอันตราย เพราะการเปิดเผยอนาคตเป็นเรื่องของพระเจ้า เรามีพระองค์เป็นที่พึ่งเท่านั้น!
.
ครั้งหนึ่ง ซูซาน บริงก์แมน นักเขียนคาทอลิก เคยให้สัมภาษณ์รายการวิทยุของดรูว์ มาริอานี
ทั้งสองต่างพูดคุยเล่าถึงประสบการณ์ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ว่าสร้างความเสียหายให้กับชีวิตเพียงใด - -
.
“เมื่อใดก็ตามที่คุณคบหากับอำนาจที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า คุณจะอยู่ในดินแดนที่อันตรายมาก” ซูซานกล่าว
“มันอันตรายมากจริง ๆ เพราะตอนนี้คุณกำลังคบค้าสมาคมกับปีศาจร้ายด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้เพื่อ
ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นจริง”
.
ซูซานเล่าว่าสมัยที่เธอยังไม่กลับใจเข้าหาพระเจ้า เธอเคยไปดูดวงและหมอดูทำนายอนาคตของเธอได้
อย่างแม่นยำจนน่าขนลุก! ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราคิดว่าบุคคลนี้มีพลังพิเศษบางอย่าง และนั่นคือ
สิ่งที่ซาตานกำลังพยายามทำ- - เพื่อให้เราหลงติดกับ เป็นทาส และต้องไปหามันเมื่อต้องการความช่
วยเหลือ แทนที่จะเป็นพระเจ้า... มันจะบันดาลสิ่งล่อใจต่าง ๆ ที่มาในรูปโชคลาภ กิเลส ยศศักดิ์ อัตตา!
เป็นวิธีที่ทำให้เราหันเหจากพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย...
.
ดรูว์เองก็มีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้ เขาเล่าว่า ก่อนแต่งงาน ภรรยาของเขาไปดูไพ่ทาโรต์กับเพื่อน ๆ
และได้รับโชคลาภที่เธอรู้ว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า มิเพียงแค่นั้น - -
.
“หมอดูผู้มีพลังจิตคนนั้นก็พยายามชี้นำเธอว่าอย่าแต่งงานกับผม” เขากล่าว “นั่นคือความฉลาดของ
ซาตาน เพราะมันรู้ว่า เธอคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตผม เธอทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น เราเกิดมาเพื่อคู่กัน
และในขณะเดียวกัน ผมเองก็ได้พยายามช่วยดึงเธอให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น ทุกวันนี้ เรามีลูกที่น่ารัก
5 คน บางครั้ง ผมอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ถ้าเธอตัดสินใจฟังปิศาจที่หลอกลวงนั้น...”
. . . . .
.
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2023 เป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4 ของเทศกาลปัสกา ทางพระศาสนจักร
ได้กำหนดให้เป็นวันนายชุมพาบาลที่ดี บทอ่านวันนี้ จึงมาจากพระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน 10:1-10
) กล่าวถึงลักษณะของผู้เลี้ยงแกะที่ดี จะต้องเข้าออกทางประตูคอกแกะเท่านั้น
(ถ้าปีนเข้าทางอื่นก็เป็นพวกโจรขโมย) เขาจะเรียกชื่อแกะทีละตัว บรรดาแกะจะจำเสียงของ
ผู้เลี้ยงแกะได้ และจะฟังเสียงเขา
.
พระเยซูเจ้าตรัสสรุปว่า “เราเป็นประตูคอกแกะ ผู้ที่เข้าทางเราก็จะรอดพ้น จะเข้าจะออกก็พบทุ่งหญ้า”
พระองค์เสด็จมาเพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ ส่วนพวกขโมยที่ปีนเข้าทางอื่น
มาเพื่อฆ่าและทำลาย!
. . . . .
.
แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 2,000 ปี แต่คำสอนของพระเยซูเจ้ายังชัดเจนเป็นจริง โดยเฉพาะในโลก
ทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยคำลวง สิ่งล่อใจให้หลงทาง อย่างที่ซูซานกับดรูว์พยายามเตือนสติเราว่า
อย่าหลงฟังเสียงของคนแปลกหน้าที่พยายามเข้ามาแนะนำและควบคุมชีวิต-ขโมยจิตวิญญาณเรา
ให้เบี่ยงเบนออกจากแสงสว่างไปสู่ทางมืด!
.
จงเป็นลูกแกะที่จำเสียงของผู้เลี้ยงแกะที่ดีได้ และจะฟังเพียงเสียงของพระองค์เท่านั้น - - เสียง
ที่รู้จักเราอย่างแท้จริง และจะเรียกชื่อเรา ไปสู่ประตูแห่งชีวิตที่รอดพ้น!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 05, 2023 7:53 pm

( 5 )

“ความซื่อสัตย์ คือ ความเป็นอมตะนิรันดร์”

มีเพื่อนรักอยู่สองคน
คนหนึ่งชื่อ "ฉลาด" อีกคนชื่อ "ซื่อสัตย์"
ทั้งสองคนนั่งเรือออกไปท่องทะเลด้วยกัน
โชคไม่ดี เจอพายุฝนลูกใหญ่กระหน่ำกลางทะเลจนทำให้เรือล่ม
บนเรือชูชีพมีที่นั่งเพียงคนเดียว
คนชื่อ "ฉลาด" เห็นท่าไม่ดี
รีบถีบ "ซื่อสัตย์" ตกทะเลไป
แล้วตนเองก็ขี้นเรือชูชีพหนีไป

"ซื่อสัตย์"สำลักน้ำเกือบตาย
โชคยังดีที่ลอยคอมาถึงเกาะเล็กๆเกาะหนึ่ง
พอเอาชีวิตรอดมาได้ ก็ตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่จะมีเรือผ่านมาแถวนั้น

ไม่นานเกินรอ ก็ได้ยินเสียงเพลงเสียงดนตรีลอยมาแต่ไกล
เป็นเสียงมาจากเรือลำหนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านมาทางเกาะที่ตนอยู่
เมื่อเรือเข้าใกล้ สังเกตุเห็นบนเรือปักธงโบกสะบัดว่า "ความสุข"

"ซื่อสัตย์"รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
"ความสุขครับ ได้โปรดช่วยชีวิตเราด้วย เราชื่อ "ซื่อสัตย์""
พอ "ความสุข" ได้ยิน ก็ตะโกนตอบไปว่า
"ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าหากเรามัวแต่เป็นคน "ซื่อสัตย์"
ขีวิตเราคงหา "ความสุขไม่ได้เลย
ไม่เห็นเหรอว่า มีคนมากมายที่พูดความจริงเพราะความ "ซื่อส้ตย์"
และความจริงเหล่านั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายคนพูด"
พอพูดเสร็จ "ความสุข" ก็หันหัวเรือห่างออกไป

ในเวลาต่อมา เรือ "ตำแหน่ง" ก็แล่นใกล้เข้ามา
"ซื่อส้ตย์" รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
พอ "ตำแหน่ง" รู้ว่าคนขอความช่วยเหลือคือ "ซื่อสัตย์"
จึงรีบปฏิเสธไปว่า ""ตำแหน่ง”ของเราต้องห้ำหั่นกับผู้คนมากมายกว่าจะได้มา
และเราจะก้าวต่อไปไม่หยุดยั้งไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม หากเราต้องดำรงค์ "ตำแหน่ง"
ด้วยความ "ซื่อสัตย์" สงสัยเราจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นและคงไปไม่ได้ไกล"
"ซื่อสัตย์" มองดูเรือ "ตำแหน่ง" ค่อยๆห่างออกไป
ก็ต้องจำใจรอเรือลำต่อไปด้วยความหวัง

ไม่นานเกินรอ ก็เห็นเรือ "แข่งขัน" แล่นมาอีกลำ
จึงตะโกนแต่ไกลว่า ""แข่งขัน"ครับ เราคือ "ซื่อสัตย์" ช่วยมารับเราหน่อย"
พอ "แข่งขัน" รู้ว่าเป็น "ซื่อสัตย์" เลยตะโกนตอบไปแบบไม่ต้องคิดมาก
"อย่าทำให้เราลำบากใจเลย ทุกวันนี้การ”แข่งขัน”ในสังคมสูงมาก
หากเรายังต้องเป็นคน "ซื่อสัตย์" เราคง "แข่งขัน" สู้คนอื่นไม่ได้แน่นอน"
พอพูดจบ "แข่งขัน" ก็จากไปอย่างไม่ใยดี

ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ดังก้องทั่วท้องทะเล
พายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำอย่างแรง
"ซื่อสัตย์" ที่กำลังอยู่ในอาการหมดหวัง สับสนกับจุดยืนของชีวิตตน
ก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างปราณีว่า
"ลูกเอ๋ย มาขึ้นเรือเราเถอะ"
พอ "ซื่อสัตย์" มองหาไปยังต้นเสียง จึงได้รู้ว่าเป็นผู้เฒ่าแห่ง "กาลเวลา"
เมื่อขึ้นเรือเสร็จ เขาจึงถาม "กาลเวลา" ว่า
"ทำไมท่านจึงช่วยเรา"
ท่านผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้มว่า
"มีแต่ "กาลเวลา" เท่านั้น ที่จะพิสูจน์ให้รู้ว่า ความ "ซื่อสัตย์" มีความสำคัญแค่ไหน"

บนเส้นทางที่กำลังแล่นเรือกลับบ้าน
"กาลเวลา" ชี้ให้มองดู "ฉลาด" "ความสุข" "ตำแหน่ง" และ "แข่งขัน"
ทั้งหมดล้วนตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลที่กำลังจะจมหายไปในน้ำ

ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า
"หากไร้ซึ่งความ "ซื่อสัตย์".......
"ฉลาด" ก็จะทำร้ายตัวเองในที่สุด
"ความสุข" จะอยู่ได้ไม่จีรัง
"ตำแหน่ง" อยู่ท่ามกลางเสียงสาปแช่ง
"แข่งขัน" ก็จะเป็นได้แค่ผู้พ่ายแพ้
สุดท้ายแล้ว มีแต่ความ "ซื่อสัตย์" เท่านั้น
ที่จะเป็นความอมตะนิรันดร์

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:55 pm

( 6 )

เมื่อสามปีก่อน มีข่าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นแถวเวสต์ ฮอลลีวู้ด - - ขณะที่ตำรวจผิวขาวกำลังเผชิญหน้า
กับชายไร้บ้านผิวดำ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร...
.
จู่ ๆ รถคันหนึ่งซึ่งผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี ได้จอดเข้าข้างทาง ชายผิวดำสูงใหญ่คนหนึ่งรีบลงมา
จากรถ ตรงเข้าไปยืนแทรกตรงกลางระหว่างตำรวจกับคนไร้บ้าน เพื่อใช้ตัวเองเป็นตัวกั้นป้องกัน
ไม่ให้เจ้าหน้าที่วู่วามใช้ปืน ดังที่เคยเกิดเหตุบ่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็คอยสอบถามพูดคุย ช่วย
ตำรวจคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด และในที่สุด ชายไร้บ้านก็ถูกคุมตัวอย่างปลอดภัย
โดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น!
.
ชายผิวดำที่ใช้ตัวเองคั่นกลางเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดจากทั้งสองฝ่าย บนกลางถนนในวันนั้น
คือ เดนเซล วอชิงตัน ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังนั่นเอง!
.
เป็นที่รู้กันดีว่า ในแวดวงบันเทิงแสงสีอย่างฮอลลีวู้ด นักแสดงหลายคนไม่ค่อยกล้าเปิดเผยถึง
ความเชื่อศรัทธาของตัวเอง ด้วยเกรงว่าจะเป็นคนคร่ำครึ ไม่ทันสมัยน่าอาย พวกเขาจึงปล่อยใจ
เป็นคนไม่มีศาสนา แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเดนเซล วอชิงตัน- - เขาเอ่ยอ้างคำสอนจากพระคัมภีร์อยู่
บ่อยครั้งและไม่อายที่จะบอกใครต่อใครในสาธารณะว่าเขาเชื่อในพระเยซูคริสต์!
.
เมื่อปีที่แล้ว หลังเกิดเหตุวิล สมิธ ตบปากคริส ร็อกบนเวทีประกาศผลรางวัลออสการ์ ตามคำบอกเล่า
ของวิล - - เดนเซลเป็นผู้ที่เดินเข้าไปกระซิบเตือนสติเขาว่า “ในจุดสูงสุดของชีวิต ให้ระวังไว้ มันเป็น
เวลาที่ปีศาจจะเข้ามาหาคุณ”
.
ซึ่งนั่นสะท้อนจากพระคัมภีร์ไบเบิล - - “จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือ
มาร กำลังดักวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงโตคำราม เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1เปโตร 5:8)
. . . . .
.
วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2023 ทางพระศาสนจักรคาทอลิกกำหนดให้เป็นวันสมโภช
พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ บทอ่านวันนี้มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 28:16-20)
กล่าวถึงคำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูบนโลกก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไป
ยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนก็
ยังสงสัยอยู่
.
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์
และบนแผ่นดินให้กับพระองค์แล้ว ดังนั้น ขอให้บรรดาศิษย์จงออกไปสั่งสอนนานาชาติ ทำพิธีล้างบาป
ให้พวกเขา และจงสอนให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ พระเยซูเจ้ายังทรงย้ำด้วยว่า
“...จงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”
.
คำสั่งสอนสุดท้ายของพระเยซูเน้นให้เราออกไปสอนทุก ๆ คนทั่วโลก (ไม่จำกัดผิวสีเผ่าพันธุ์)
ด้วยคำสอน 'ให้รักกันและกัน' ของพระองค์ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่ผ่านทางวาจาเท่านั้น หากจะลึกซึ้ง
ชัดเจนยิ่งกว่าด้วยการกระทำและผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน - -
.
เดนเซล วอชิงตันเป็นตัวอย่างที่ดีในฐานะศิษย์ของพระเยซูเจ้าในโลกยุคปัจจุบัน ที่ไม่หลงติดกับดัก
แห่งชื่อเสียงเงินทอง กลับอุทิศตัวเองเป็นเครื่องมือเตือนสติผู้คน ช่วยเหลือ คลี่คลายเหตุตึงเครียด
โดยไม่เกรงกลัวอันตรายใด - -
.
เดนเซล เคยเล่าว่า เมื่อตอนอายุ 67 หลังฝังศพคุณแม่ เขาได้สัญญากับท่านและต่อพระเจ้าว่า
นับจากนี้ไป เขาจะไม่ใช่แค่ทำสิ่งดีที่ถูกต้องเท่านั้น แต่จะใช้ชีวิตวันเวลาที่เหลือทุก ๆ วันบนโลกนี้
เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณแม่และคุณพ่อของเขา - -
.
“ผมอยู่บนโลกนี้ เพื่อรับใช้ เพื่อช่วยเหลือ เพื่อดูแลจัดเตรียมให้...” เดนเซลย้ำหนักแน่น - -
.
“ทุกครั้งที่สวดภาวนา ผมได้ยินแต่เพียงว่า ‘จงดูแลลูกแกะของเราเถิด’ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ
ให้ผมทำ และผมพบว่า ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีแกะอยู่ทุกชนิด ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้อง
พูดคุยกับ ‘พระผู้เลี้ยงแกะ’ที่มีประสบการณ์ เพื่อช่วยนำทางผม”
.
จากวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ จนถึงวันนี้ เรายังจำคำสั่งของพระองค์ได้หรือไม่? ภารกิจ“จงดูแล
ลูกแกะของเราเถิด” อาจดูหนักหนายิ่งใหญ่ แต่อย่ากลัวเลย เพราะจงรู้เถิดว่าพระองค์จะอยู่กับเรา
ทุกวันตลอดไป ตราบจนสิ้นพิภพ - - เดนเซลยืนยันข้อนี้ได้ดี!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]

ภาพ: Daily Mail
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 9:02 pm

( 7 )

ช่วงชีวิตทำงานที่ผมรู้สึกว่าหนักหนาที่สุด คือตอนผมอยู่อเมริกา ทั้งช่วงที่เป็นลูกจ้างบริษัท และช่วงที่
ออกมาตั้งบริษัทกับเพื่อน- - ผมรู้สึกว่าตัวเองขี้หงุดหงิดและเจ้าอารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ายังโชคดี
อยู่บ้าง ที่ผมมักใช้เวลาหลังเลิกงานแวะโบสถ์ระหว่างทางก่อนกลับบ้าน...
.
เย็นวันหนึ่ง ผมเดินสวนกับคุณพ่อริชาร์ด บาทหลวงประจำโบสถ์ผู้มีหนวดเคราสีเงินเป็นเงางาม
(เราเลยมักเรียกท่านว่าคุณพ่อแซนตา) จู่ ๆ ท่านก็ทักถามผมว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ...
จากประโยคคำถามนั้น ทำให้เราต้องไปคุยกันต่อที่ห้องทำงานของท่าน
.
“ฉันเห็นไหล่เธอลู่ราวกับแบกกระสอบทรายมาทั้งสองข้าง” ท่านหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
.
ผมไม่รู้ตัวเลยว่า การที่เราแบกอะไรไว้ในใจ มันจะแสดงออกให้คนอื่นเห็นได้ชัดเจนบนไหล่สองข้างนั้น
ทั้ง ๆ ที่พยายามฝืนระบายยิ้มเต็มใบหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์เศร้าเหล่านั้นอย่างมิดชิดแล้ว - -
.
หลังจากตัดสินใจเล่าให้ท่านฟังถึงปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันในช่วงชีวิตนั้น
พร้อมเปรยคำถามทิ้งท้ายว่า... “ทำไมผมถึงต้องเหน็ดเหนื่อยเจอปัญหามากมายขนาดนี้”
.
“เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ!”
.
คุณพ่อแซนต้าเอ่ยประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ผมงงในตอนแรก แต่จุดความสว่างให้ชีวิตในเวลาต่อมา...
. . . . .
.
แมคเคนซีเป็นลูกของแดนนี่เพื่อนร่วมงาน เธอเป็นสาวน้อยที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ทั้งที่เธอมีความ
สามารถซ่อนอยู่ภายในเต็มเปี่ยม แต่เธอมักคิดว่าเธอทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น เพราะเธอไม่มีความสามารถ
พิเศษอย่างคนอื่น เพราะเธอตัวเล็กกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะแข่งขันกีฬาอะไร เธอก็ไม่เคยชนะ ทั้ง ๆ ที่ ครูฝึก
ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าเธอทำได้ดี แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่มีคือความมั่นใจในตัวเอง!
.
“ทำไมหนูต้องเป็นแบบนี้ ทำไมหนูต้องเจออุปสรรคมากมาย ทำไมหนูไม่ตัวสูง ไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น”
- - นั่นคือคำถามร้อยแปดของแมคเคนซีที่เธอชอบบ่น และผู้เป็นพ่อตอบไม่ได้
.
แดนนี่เล่าว่า “เมื่อก่อนเธอตัวเล็กที่สุดในห้อง เพื่อน ๆ ชอบล้อ จะทำอะไร ก็ไม่ทันคนอื่น สิ่งนี้ทำให้
เธอขาดความมั่นใจ และคิดเสมอว่าตัวเองมีปัญหาอุปสรรคมากกว่าเพื่อน ๆ”
.
ปีนี้ แมคเคนซีโตขึ้นมาก จนไม่ต่างกับเพื่อนคนอื่นแล้ว แต่ใจเธอยังคิดว่าตัวเองเล็กอ่อนด้อยกว่าคนอื่น
จึงทำให้เธอไม่กล้าแสดงความสามารถพิเศษที่เธอมีอย่างเต็มล้นอยู่ภายใน- - ความคิดแบบเดิม ๆ
คอยกดทับฝังตัวเธอไว้...
. . . . .
.
เมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่ง ถูกต้นไม้ใบหญ้าอื่น ๆ พากันหัวเราะเยาะและเรียกมันอย่างดูแคลนว่า
“เจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อย” ด้วยความที่มันยังเป็นเมล็ดเล็ก ๆ มันจึงถูกลมพัดปลิวไปตกตามที่ต่าง ๆ
อยู่เสมอ ทุกที่ที่มันปลิวไปตก ต้นไม้รอบตัวก็จะพร้อมใจกันเรียกมัน“เจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อย” จนมัน
เข้าใจว่ามันคงเกิดมากระจ้อยร่อยอย่างนี้ไปตลอดชีวิต
.
วันหนึ่ง มันถูกลมแรงพัดปลิวไปตกตรงริมบึงน้ำ ได้รับแสงอาทิตย์อบอุ่น ได้รับฝนชุ่มฉ่ำ ทำให้มัน
สบายตัวสบายใจอย่างยิ่ง- - หลายเดือนต่อมา มันเห็นชายคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล ชายคนนั้นอ่อน
ระโหยโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ก็ร้องตะโกนด้วยความดีใจยิ่ง
.
“โอ... ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ขอนั่งพักตรงร่มเงานี้สักหน่อยเถิดนะ”

เจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อยรู้สึกแปลกใจในคำพูดของชายคนนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “คุณพูดถึงร่มเงาอะไรหรือ?”

ชายนักเดินทางที่กำลังล้มตัวลงนอน หันมามอง...

“สวัสดี ฉันคือเมล็ดกระจ้อยร่อย” มันทักทาย

“เจ้านะหรือ คือเมล็ดกระจ้อยร่อย?” ชายนักเดินทางหัวเราะ “เจ้าพูดตลกหรือไง เจ้าไม่ใช่เมล็ด
กระจ้อยร่อยสักหน่อย เจ้าคือต้นไม้ใหญ่!”

“หา! ฉันนี่นะหรือ คือต้นไม้ใหญ่” เจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อยตกใจ “ฉันไม่เชื่อหรอก ก็ใคร ๆ พากัน
เรียกฉันว่าเมล็ดกระจ้อยร่อยนี่นา”

“แล้วเจ้าคิดว่าฉันจะมานั่งใกล้เจ้าทำไม ถ้าเจ้าเป็นแค่เมล็ดกระจ้อยร่อย เจ้าจะมีร่มเงาให้ฉันได้
อาศัยนั่งพักเหนื่อยหรือ ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองชะโงกดูที่บึงน้ำสิ ว่าเจ้าเห็นอะไร?”
.
เจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อยทำตามที่ชายนักเดินทางแนะนำ แล้วก็ตกใจที่เห็นเงาของต้นไม้ใหญ่ในน้ำนั้น - -
“ฉันเป็นต้นไม้ใหญ่จริง ๆ ด้วย!!”
.
หลายครั้ง เราเป็นเหมือนอย่างเจ้าเมล็ดกระจ้อยร่อย มองไม่เห็นถึง “ความเติบโต” หรือ
“ความพิเศษ”ของตัวเอง เลยทำให้คิดว่ายังคงกระจ้อยร่อยอยู่อย่างนั้น- -
.
เราจำกัดความฝัน ความสามารถของเราเองโดยไม่รู้ตัว แล้วคิดว่ามันเป็นอุปสรรค ทั้งที่แท้จริงแล้ว
พลังพิเศษและความยิ่งใหญ่ที่รออยู่ภายใน กำลังกวักมือเรียกให้เราแสดงมันออกมาอย่างเต็มที่!
. . . . .
.
“เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ!”

เมื่อวันที่ไหล่ผมลู่ด้วยกระสอบทรายแห่งปัญหาอุปสรรค คุณพ่อแซนตา เตือนผมด้วยประโยคนั้น
- - หลายครั้ง เราลืมไปว่า เราไม่ใช่พันธุ์กระจ้อยร่อย ที่จะเจอแค่ปัญหาเล็กน้อยอีกต่อไป...

“เพราะเธอเป็นคนพิเศษ เธอจึงมีปัญหามากเป็นพิเศษกว่าคนอื่น เพราะเธอไม่ใช่คนธรรมดา
เธอจึงเจอความทุกข์ยากที่ไม่ธรรมดากว่าคนอื่น”

คำพูดไม่กี่ประโยคนั้น กลับเติมเรี่ยวแรงให้ผมได้อย่างน่าประหลาดใจ

“จำไว้ว่า เรือที่ไม่มีวันจมคือเรือที่จอดหลบภัยอยู่ในท่าเรือ แต่เรือที่สง่างามคือเรือที่กางใบแล่น
ฝ่าพายุฝน เธออยากเป็นเรือแบบไหนล่ะ?”
. . . . .
.
ล่าสุด แดนนี่ส่งข่าวมาว่า แมคเคนซีเพิ่งชนะรางวัลเหรียญทองการแข่งขันยิมนาสติก ผมไม่แน่ใจว่า
เป็นเพราะนิทานเมล็ดกระจ้อยร่อยที่ผมส่งไปให้แดนนี่หรือเปล่า? จึงทำให้แมคเคนซีรู้ว่า ตอนนี้เธอ
เป็นต้นไม้ใหญ่แล้ว และทำไมเธอถึงเจออุปสรรคมากกว่าคนอื่น...
.
หากวันใดที่คุณรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพายุที่ถาโถมเข้าใส่ตลอดเวลา จงภูมิใจที่ไม่ได้เป็นเรือจอด
หลบภัยในท่า และอย่าลืมบอกกับตัวเองว่า...

“เพราะเราไม่ธรรมดา เราเป็นคนพิเศษ อุปสรรคจึงมากกว่าคนทั่วไป!”
.
ปะการัง
.
ขอพระเจ้าอวยพระพรพิเศษแด่ทุกคนที่ไม่ธรรมดา
.
[ บางส่วนจากหนังสือ #นับหนึ่งใหม่ไม่เป็นไร โดย #ปะการัง ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 9:09 pm

( 8 )

เจ้าหน้าที่ตำรวจคาเมรอน ทักเกอร์กับจัสติน ภรรยาของเขากำลังรับประทานมื้อค่ำที่ร้านอาหาร
แห่งหนึ่งในเดอแลนด์ ฟลอริด้า มันเป็นเย็นวันเสาร์ที่แสนปกติธรรมดาวันหนึ่ง... จนกระทั่งเด็กหนุ่ม
ชื่อฮวนเดินเข้ามาในร้าน วันปกติธรรมดาก็กลายเป็นวันพิเศษขึ้นมาในทันใด!
.
ฮวนเป็นนักศึกษาผิวดำ เขาเดินผ่านโต๊ะที่ทั้งสองกำลังนั่งทานอาหาร จู่ ๆ ฮวนก็เอ่ยถามเจ้าหน้าที่
ตำรวจคาเมรอนว่า ขออนุญาตสวดภาวนาให้พระเจ้าคุ้มครองปกป้องเขาให้ปลอดภัยได้ไหม
คาเมรอนและภรรยารู้สึกประหลาดใจ คาดไม่ถึงกับความมีน้ำใจของเด็กหนุ่ม แต่ก็ตอบรับด้วย
ความยินดี
.
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวกับคนผิวดำในอเมริกานั้น เคยมีเรื่องบาดหมางกัน
มาตลอด จนเหมือนศัตรูคู่แค้นที่ไม่มีวันลงเอยกันได้... การเสนอตัวของเด็กหนุ่มผิวดำ เพื่อสวด
ภาวนาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตรายตลอดเวลา จึงเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงและ
ประทับใจของผู้พบเห็น เมื่อเด็กหนุ่มฮวนวางมือลงบนไหล่ของเจ้าหน้าที่คาเมรอน!
.
จัสติน ภรรยาผู้ถ่ายภาพนี้ไว้ บอกว่า หลังจากที่เธอแอบร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจแล้ว พวกเขา
ก็ได้มีโอกาสสนทนาทำความรู้จักกัน ฮวนกำลังเรียนและเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย เขาจบไฮสคูล
ด้วยเกรดดีเยี่ยม
.
ฮวนเล่าว่า เขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะสวดภาวนาให้คาเมรอน แต่มีความรู้สึกเต็มล้น
เหมือนพระเจ้าสั่งให้ทำ! ...ผมเองเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันนี้มาก่อน - -
.
เมื่อครั้งผมยังอยู่ที่อเมริกา หลังเลิกงาน ผมจะแวะไปร่วมพิธีมิสซารอบเย็น
ที่โบสถ์ Good Shepherd Parish เสมอ - - วันหนึ่ง ขณะนั่งอยู่ในโบสถ์ ผมเห็นเด็กหนุ่มเข็นผู้ป่วย
ที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ผ่านไป แม้ไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ก็สังเกตเห็นมือของเขาสั่นกระตุกตลอดเวลา
ดูเหมือนเขากำลังร้องไห้...
.
ทันใดนั้นเอง ผมมีความรู้สึกว่าต้องสวดภาวนาให้เขา ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน
- - ใจหนึ่งคัดค้าน ขัดเขินไม่กล้าเสนอตัว แต่อีกใจก็อึดอัดกระวนกระวาย 'ความรู้สึกต้องทำ'
คอยรบกวนใจตลอดเวลา
.
เมื่อเขาเข็นผ่านหน้าผมอีกครั้งเพื่อกลับออกจากโบสถ์ อะไรบางอย่างผลักใจให้ผมรีบลุกยืนถาม
เด็กหนุ่มว่า ผมขออนุญาตสวดภาวนาให้ผู้ป่วยบนรถเข็นได้ไหม เขาก้มลงกระซิบบอกผู้ป่วย
ชายคนนั้นเงยหน้ามองผม แล้วพยักหน้ารับ ผมจึงวางมือเหนือศีรษะเขาเล็กน้อยและเริ่มต้น
สวดภาวนา...
.
หลายสัปดาห์ต่อมา ผมพบพวกเขาอีกครั้ง ชายผู้ป่วยสีหน้าสดชื่นขึ้น เด็กหนุ่มคนนั้นคือลูกชาย
ของเขานั่นเอง เมื่อเห็นผม ลูกชายรีบประคองคุณพ่อของเขาเดินตรงมาหา ชายคนนั้นมีพันแผล
ที่ศีรษะ มือยังสั่นเล็กน้อย แต่ไม่ต้องนั่งรถเข็นแล้ว
.
เขาเล่าว่า วันที่ผมสวดภาวนาให้เขานั้น เป็นวันที่เขาเศร้า กลัว สิ้นหวัง หดหู่ที่สุดในชีวิต
เพราะรุ่งเช้าอีกวันเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ครั้งสำคัญที่เสี่ยงอันตราย เขากล่าวขอบคุณแล้ว
ขอบคุณอีกสำหรับกำลังใจที่อบอุ่นนั้น
.
ก่อนกลับเมืองไทย ผมพบเขายังมาโบสถ์สม่ำเสมอ และขับรถมาด้วยตัวเองแล้ว มือไม่สั่นอีกต่อไป
แม้ท่วงท่าเวลาเดินยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็เดินได้เร็วขึ้น ยิ้มแย้ม ทักทาย หยอกล้อกับผมด้วยสีหน้า
แจ่มใส จนบางครั้งลืมไปว่าเขาเป็นคนเดียวกับชายเจ็บป่วยที่สิ้นหวังบนรถเข็น...
. . . . .
.
โลกนี้ไม่มีใครแข็งแรงหรืออ่อนแอกว่ากัน ไม่ว่าแกร่งแค่ไหน สักวันหนึ่ง เราต้องพึ่งพามือคนอื่น
ช่วยพยุงเราลุกขึ้นจากเก้าอี้แห่งความสิ้นหวัง เราต้องพึ่งหลังพิงไหล่คนอื่นในยามอ่อนแรง
เหนื่อยล้าบนถนนชีวิต - -
.
หากครั้งต่อไป ระหว่างทาง เราพบเจอดวงตาที่เศร้าเหงาเดียวดาย ส่งยิ้ม ทักทาย ให้คำพูดดี ๆ
เติมดวงใจที่ว่างเปล่านั้นให้เต็ม หากได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาล แม่ไม่เห็น ไม่รู้จัก
สวดภาวนาอวยพรผู้เจ็บป่วยในรถนั้น... หากเห็นใครเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน หรือเสี่ยงต่ออันตราย
สวดภาวนาให้พระเจ้ารักษาและปกป้องให้ปลอดภัย
.
การสวดภาวนามิใช่เพียงช่วยผู้อื่นเท่านั้น หากยังเป็นแบบฝึกหัดตัวเราเอง - - ช่วยให้ใจที่กระด้าง
นั้นอ่อนลง, ช่วยให้ใจที่คับแคบกว้างขึ้น และช่วยให้ใจที่เย็นชา ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของความรัก!
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรทุกดวงใจที่เผื่อแผ่ผู้อื่น ]
.
ขอบคุณภาพ : Justine Tucker
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 9:12 pm

(9 )

หนึ่งวัน แสนสั้น
สั้นจน "กอดยามเช้า" ไม่ทันไร
"ยามเย็น" ก็มาอยู่ ในมือ แล้ว

หนึ่งเดือน แสนสั้น
สั้นจน "ยินดีกับเงินเดือน" ไม่ทันไร
"รายจ่าย" ก็มากระชากไปหมด

หนึ่งปี แสนสั้น
สั้นจน "เชยชมฤดูหนาว" ไม่ทันไร
"ฤดูร้อน" ก็มาให้สะสางแล้ว

หนึ่งชีวิต แสนสั้น
สั้นจน "สนุกกับชีวิต หนุ่มสาว" ไม่ทันไร
"ความชราภาพ" ก็มาปรากฏแล้ว

ชีวิตนั้น ผ่านไปเร็ว แต่ คนเรา รู้ตัวช้า

ดังนั้น จงหัด ทะนุถนอม ให้เป็น
ทะนุถนอม ความสัมพันธ์ ระหว่าง พ่อแม่พี่น้อง ระหว่างมิตรสหาย เพื่อนเรียน
เพื่อนร่วมงาน ที่ได้คบค้ากันมา ได้ร่วมรบกันมา บนเส้นทาง ชีวิตด้วยกัน

เพราะเมื่อเฉียดไหล่ ผ่านไปแล้ว อาจไม่มีวัน ได้พบกันอีก

หลังอายุ 20 จะอยู่บ้านเกิด.หรือไปต่างเมือง ก็เหมือนกัน
หัวหกก้นขวิด ที่ไหน ก็ อยู่ได้

หลังอายุ 30 จะกลางวัน หรือ กลางคืน สู้ได้ทั้งนั้น
"อดนอน" กี่วัน ก็ ไม่เป็นไร

หลังอายุ 40 วิทยฐานะ สูงหรือ ต่ำไม่ใช่ เรื่องสำคัญ
เรียนไม่สูง อาจหาเงิน ได้มากกว่า

หลังอายุ 50 จะสวยหรือ ขี้เหร่มาก่อน ตอนนี้ หน้าตาก็เริ่ม เหี่ยวย่น ดูแก่ พอกัน

หลังอายุ 60 จะเคย มียศสูงหรือ ยศต่ำก็เท่าเทียมกัน เพราะ เกษียนแล้ว ต้องลงจาก ตำแหน่ง

หลังอายุ 70 จะอยู่บ้านหลังใหญ่ หรือ หลังเล็ก ก็เท่านั้น เพราะ เดินเหิน ไม่คล่องตัว
มีที่ให้ ขลุกตัว เพียงมุมหนึ่ง ก็พอ

เมื่อชีวิตคุณ ได้เดินเกือบ จะถึงปลายทาง ลองหันกลับไป ดูอีกที คุณจะรู้สึก ว่ามันเป็น เช่นนั้น จริง ๆ

อย่านึกว่า ตนเองแน่ อย่าไปอิจฉาใคร และอย่าไปเสียใจ กับสิ่งใด เพราะว่า ชีวิตมัน ก็ เท่านี้เอง....

รักนะ....

:s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:32 pm

( 10 )

สุภาพถ่อมตนหรือจองหองพองขน Humble or Proud
สตรีผู้หนึ่งนั่งรถไฟจากนิวยอร์กไปฟิลาเดลเฟียอย่างเพลิดเพลิน และมีผู้โดยสารเพียงคนเดียว
นั่งอยู่ข้างๆ ชายคนนั้นดูเคร่งขรึม ความสุขของเธอหมดไปเมื่อชายคนนั้นจุดซิการ์สูบในรถไฟ
สตรีนั้นไอออกมาอย่างเปิดเผย และชักสีหน้าไม่ดีให้เห็น แต่ไม่ได้ผล ชายนั้นยังสูบต่อไป ที่สุดเธอก็
ระเบิดออกมาว่า "คุณคงต้องเป็นชาวต่างชาติแน่ๆ คุณไม่รู้หรือว่ามีตู้รถไฟที่สูบบุหรี่อยู่ ที่นี่เขาห้ามสูบบุหรี่"
ชายคนนั้นจึงค่อยๆ ทิ้งซิการ์ออกนอกหน้าต่างไปและก็ยังคงนิ่งสงบอยู่ เมื่อพนักงานเก็บตั๋วมาถึง
สตรีนั้นจึงทราบว่าเพื่อนร่วมทางของเธอคือ นายพล Ulysses Grant และเธอก็เพิ่งทราบว่าเธอขึ้นผิดโบกี้
เธอกำลังนั่งอยู่ในโบกี้ส่วนตัวของท่านนายพล เธอจึงรีบออกจากโบกี้นั้นทันที นายพลแกรนท์ไม่มอง
เธอเพื่อเธอจะได้ไม่อาย ท่านเพียงยิ้มๆ เมื่อเธอออกจากที่นั่นไปแล้ว
ความสุภาพถ่อมตนที่ยิ่งใหญ่นั้นเห็นได้จากผู้คนที่เข้มแข็งและมีความยิ่งใหญ่ด้วยความสุภาพเท่านั้น
ผู้ใหญ่จริงต้องสุภาพถ่อมตน เราเห็นคนมากมายทั้งมีตำแหน่งและไม่มีตำแหน่งพิเศษอะไรวางตัวสูงส่ง
ประกาศควมศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและเรียกร้องให้ผู้คนให้เกียรติตนเอง ใส่ร้ายคนลับหลัง ผู้คนอาจกลัวเกรง
แต่สิ่งที่พวกเขาจะไม่ได้รับเลยคือความจริงใจ Somebody becomes Nobody.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:37 pm

( 11 )

ขณะกำลังเติมน้ำมัน (ที่สหรัฐอเมริกา ต้องบริการตัวเอง) โคดี้ได้ยินเสียงหญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม 2 คน
ที่เข้ามาวุ่นวาย เธอพูดเสียงแข็งว่า ‘อย่ามายุ่งกับฉัน!’ - - เธอกำลังเติมน้ำมันรถที่จอดถัดไปไม่ไกล โคดี้
เดาเหตุการณ์ออก เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหา ตะโกนถามว่า
.
“ประชุมวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ที่รัก”

หญิงสาวคนนั้นมองมาที่โคดี้แว่บหนึ่ง ก่อนพูดว่า “ก็ดีค่ะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเมื่อเรากลับถึงบ้าน”
.
โคดี้ตอบกลับไปว่า “เยี่ยมเลย ผมจะแวะซื้ออาหารค่ำก่อนนะ”
.
ชายหนุ่มสองคนรีบถอยออกไปทันที เมื่อพวกเขาไปแล้ว หญิงสาวเอ่ยขอบคุณโคดี้ เธอย้ำว่า การเข้ามา
ช่วยของเขามีความหมายต่อเธอมาก โคดี้บอกว่า ไม่เป็นไร ด้วยความยินดีครับ
.
จากนั้นเขายังยืนอยู่กับหญิงสาว รอจนมั่นใจว่าชายหนุ่มสองคนนั้นเดินจากไปไกลแล้ว โคดี้จึงเดินกลับมา
ที่รถ พลางคิดในใจ “หวังว่า สักวัน คงมีใครใจดี ทำอย่างนี้กับลูกสาวในอนาคตของฉันบ้าง...”
. . . . .
.
เรย์ออกจากร้านอาหาร เดินตรงไปยังรถของเขาที่ลานจอดรถ ชายท่าทางไม่น่าวางใจคนหนึ่งถีบจักรยาน
เข้ามาประชิดตัว ขอเงินซื้ออาหารให้ลูกทั้งสองที่บ้าน เรย์เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องโกหก - - แค่ส่ายหน้า โบกมือ
ปฏิเสธ หรือตะโกนไล่เสียงดัง ก็จบเรื่องแล้ว แต่อีกใจหนึ่งบอกเรย์ว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ เขาจะรู้สึกเสียใจ
ไหมที่แล้งน้ำใจกับคนที่ยากลำบากและลูกทั้งสองของเขา ขณะที่ตัวเองพอมีกำลังจะช่วยได้...
.
เรย์ลังเลแค่เสี้ยวนาที จากนั้นเขาก็ตัดสินใจตอบว่า “ผมจะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างหน้านี้ คุณตามผม
ไปเลือกซื้ออาหารให้ลูกของคุณได้เลย ถ้าคุณสนใจ อีก 10 นาทีเจอกัน”
.
อีกครั้ง, เรย์แอบเดาว่า คงไม่มาหรอก เพราะเขาต้องการเงินมากกว่าอาหาร แต่เรย์คาดผิด เขาตามมาจริง ๆ
และเข้าไปซื้ออาหารด้วยกัน... ระหว่างนั้น เขาเล่าว่า ภรรยาทิ้งเขากับลูกสาวไป ขณะเขาตกงาน ลูกสาว
สองคนอยู่ในวัย 10 กับ 13 ขวบ เงินสะสมหมดลงหลายวันแล้ว เขาจึงตัดสินใจออกมาขอเงิน
.
“ก่อนหน้านี้ ผมขอมาแล้ว 7 คน ทุกคนปฏิเสธหมด คุณเป็นคนที่ 8 ที่ยินดีช่วยเหลือ” ชายคนนั้นพูดพลาง
น้ำตาไหล สังเกตว่าในตะกร้า เขาพยายามเลือกซื้ออาหารเพียงน้อยชิ้น ราคาถูก แต่เก็บได้นาน...
.
เรย์บอกเขาว่า “คุณซื้อได้ตามต้องการเลยนะ เผื่อไว้เลย”

ชายคนนั้นร้องไห้ ขออนุญาตกอดเรย์ด้วยความซาบซึ้งใจ
. . . . .
.
ผมเชื่อว่า หลายคนคงเคยตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ บางที รถประจำทางสายที่เราต้องการมาแล้ว
แต่เนื่องจากเป็นยามค่ำคืนและป้ายจอดรถก็มืดเปลี่ยวเหลือเกิน เด็กหญิงท่าทางหวาดกลัวต้องยืน
รอรถคนเดียว เราจึงทำทีว่าไม่ใช่คันที่เราจะไป เพื่อรอส่งเด็กหญิงคนนั้นขึ้นรถไปก่อน... บางทีการ
ปกป้องใครสักคน ก็ไม่ต้องใช้ความกล้าหาญมากมายในการสู้รบปรบมือ แค่ ‘ใส่ใจ’ สละเวลาสักนิด
ใครคนหนึ่งก็อบอุ่นใจ ถึงบ้านปลอดภัยได้แล้ว...
.
หรือหลายครั้ง เราลังเลที่จะยื่นมือช่วยเหลือใคร เพราะกลัวเสียรู้ กลัวเขาจะหลอกเรา จึงเดาไว้ก่อนว่า
คนเหล่านั้นต้องการเงินไปซื้อเหล้า หรือไม่ก็เล่นการพนัน ไม่ใช่อาหารหรอก - - หรือ จริง ๆ แล้ว เรา
ไม่อยากให้ แค่หาข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองใน ‘การไม่ให้’ หรือเปล่า?
.
เมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนี้ แต่ต่อมาเรียนรู้ว่า หน้าที่ของเราคือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่าที่ทำได้
แต่หน้าที่ตัดสินว่าเขาหลอกหรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาอย่างพระเจ้า ไม่ใช่เรา! และไม่ว่าเงิน
ของเราจะถูกใช้ไปในทางใด ก็ไม่มีผลอะไรกับเราแล้ว เพราะการมีน้ำใจดีทำให้เราสอบผ่านด้วย
คะแนนเต็ม!
.
ไม่ต้องบอก ก็รู้ได้เลยว่า สำหรับหญิงสาวคนนั้นที่ปั๊มน้ำมัน โคดี้คือฮีโร่ของเธอ, เช่นเดียวกับชายตกงาน
ที่มีลูกสาวสองคน เรย์คือฮีโร่ของเขา - - เราสามารถเป็นฮีโร่ข้างถนนสำหรับใครก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้อง
เป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่กอบกู้โลกจากอุกกาบาต แค่กอบกู้ใจที่แตกสลายของชีวิตเล็ก ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง
นั่นก็ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้โลกนี้หมุนต่อไปได้อย่างงดงาม!
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:39 pm

( 12 )

“อย่าโต้เถียงกับลา”
เมื่อเปลี่ยนความคิดผู้อื่นไม่ได้จงปล่อยวางที่ใจตน

………………………………………………………………..
ลาพูดกับเสือ:

- "หญ้าเป็นสีฟ้า".

เสือตอบว่า:

- "ไม่ หญ้าเป็นสีเขียว"

การโต้แย้งเริ่มรุนแรงขึ้น และทั้งสองก็ตัดสินใจนำเรื่องไปสู่การตัดสินชี้ขาด และด้วยเหตุนี้พวกเขา
จึงไปต่อหน้าสิงโต ราชาแห่งป่า

ไม่ทันถึงที่โล่งของป่าที่สิงโตนั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์ลาก็เริ่มตะโกนว่า

- "ฝ่าบาท หญ้าเป็นสีฟ้าจริงหรือ"

สิงโตตอบว่า:

- "จริงสิ หญ้าเป็นสีฟ้า"

ลารีบพูดต่อไปว่า

- "เสือไม่เห็นด้วยกับฉัน เขาโต้แย้งและทำให้ฉันรำคาญ โปรดลงโทษเขาด้วย"

ผู้เป็นราชาจึงประกาศว่า

- "เสือจะถูกลงโทษด้วยความเงียบ 5 ปี"

ลากระโดดอย่างร่าเริงและเดินต่อไปอย่างพอใจและพูดซ้ำอีกว่า

- "หญ้าเป็นสีฟ้า"...

เสือยอมรับการลงโทษ แต่เขาก็ได้ไต่ถามสิงโต

“ฝ่าบาท ทรงลงโทษข้าทำไมเล่า หญ้าก็เขียวขจี”

สิงโตตอบว่า:

- "อันที่จริงหญ้าเป็นสีเขียว"

เสือถามว่า:
- "แล้วท่านลงโทษข้าทำไม"

สิงโตตอบว่า:
- "นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับคำถามที่ว่าหญ้าเป็นสีฟ้าหรือเขียว
การลงโทษนั่น ก็เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ที่กล้าหาญและฉลาดอย่างเจ้าจะเสียเวลาไปโต้เถียง
กับลา และยิ่งไปกว่านั้น ยังมารบกวนข้าด้วยคำถามนั้น”

การเสียเวลาที่เลวร้ายที่สุดคือการโต้เถียงกับคนโง่และคนบ้าที่ไม่สนใจข้อเท็จจริงหรือ
ความเป็นจริง นอกจากชัยชนะจากความเชื่อและภาพลวงตาของเขาเท่านั้น จงอย่าเสียเวลากับข้อ
โต้แย้งที่ไม่สมเหตุสมผล...

มีคนที่ไม่ว่าหลักฐานที่เรานำเสนอต่อพวกเขาจะมากเพียงใด ก็ไม่อยู่ในความสามารถที่พวกเขา
จะเข้าใจได้ และคนเหล่านั้นถูกบังตาด้วยอัตตา (ego) ความเกลียดชัง และความขุ่นเคือง และสิ่งที่
พวกเขาต้องการก็คือเป็นคนถูก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม

………………………………………………………………..
#เมื่อเปลี่ยนความคิดผู้อื่นไม่ได้จงปล่อยวางที่ใจตน
#เพื่อนอัษฎางค์ แนะนำมา

https://youtu.be/dtkMBJ991EU

สมัยแรกๆ ผมเองก็เคยมีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง เสียใจบ้าง เถียงบ้าง แต่หลังๆ มา ผมไม่สนใจแล้ว
เพราะคิดได้ว่าเรามีหน้าที่ให้ข้อเท็จจริงเท่านั้น ก็ทำหน้าที่ไป บัวยังมี 4 เหล่า คนที่พร้อมจะเข้าใจ
จะเข้าใจไปเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:43 pm

( 13 )

แอชเชอร์ เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ในโรงแรม บังเอิญได้ยินโรเบิร์ตสนทนากับภรรยาทางโทรศัพท์ - -
.
โรเบิร์ตเดินทางไปทำงานต่างเมือง มีกำหนดต้องบินกลับถึงบ้านให้ทันในคืนนั้น... แต่เที่ยวบินถูก
ยกเลิก เขาต้องเลื่อนกลับในเที่ยวบินตอนเช้าแทน ซึ่งต้องออกจากโรงแรมไปสนามบินตี 4 ครึ่ง!
เขารู้ว่าต้องมีปัญหาแน่ เพราะเมมฟิสในขณะนั้นมีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงมาก เขาจะไม่สามารถ
หาแท็กซี่หรืออูเบอร์ได้ในช่วงเช้ามืด!
.
เขาเลยโทรบอกซาราห์ภรรยาถึงความล่าช้าที่จะเกิดขึ้น... ที่สำคัญเช้าวันต่อมา เขาต้องไปเป็นโค้ช
ให้ทีมเบสบอลของลูกชายวัย 5 ขวบ ซึ่งจะลงเล่นในเช้าวันนั้นด้วย เขาต้องพยายามไปให้ทัน เพื่อไม่ใ
ห้ลูกชายและเด็กคนอื่นในทีมผิดหวังถ้าโค้ชไม่ปรากฏตัวข้างสนาม!
.
แอชเชอร์ เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เลยอาสาที่จะตื่นเช้ามืดแล้วขับรถไปส่งโรเบิร์ต
ที่สนามบินตอนตี 4:30! เขาช่วยยกปัญหากังวลทั้งหมดออกจากใจของโรเบิร์ตและครอบครัว ทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่หน้าที่/ธุระของเขาเลย หลังจากโรเบิร์ตกลับถึงบ้านทันนัดสำคัญ ซาราห์ภรรยาเขียนมา
ขอบคุณแอชเชอร์
.
เขากลับตอบว่า "ที่ทำไปนี้ไม่ใช่ความดีความชอบของผมเลย... เป็นกิจการของพระเจ้าที่ทำงานผ่าน
ตัวผมเท่านั้นเอง..." เขาได้ยินพระเจ้าตรัสกับเขา ด้วยพระวาจาข้อนี้ “…แสงสว่างของท่านต้องส่องแสง
ต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”
(มัทธิว 5:16)
.
แอชเชอร์ยืนยันว่า - - การตัดสินใจที่จะช่วยจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย...
. . . . .
.
ขณะที่สมิธขับรถกลับบ้านพร้อมกับลูกชายวัย 5 ขวบ ระหว่างทาง พวกเขาเห็นชายจรจัดคนหนึ่งยืน
อยู่บนเกาะกลางถนน สมิธนึกอยากให้เงินเขา แต่ไม่มีเงินสดติดตัว ส่วนลูกชายวัย 5 ขวบ ก็คิดแบบ
เดียวกัน เขาโพล่งออกมา อยากให้เงินทั้งหมด 30 เซ็นต์ ที่เขามีในกระเป๋า!
.
สมิธเล่าว่า เขารู้สึกดีใจที่ลูกชายคิดเองเช่นนั้น แต่... ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาลังเล สมิธนึกในใจว่า
ชายไร้บ้านคนนี้คงต้องการมากกว่านั้น เขาไม่อยากให้แค่ 30 เซ็นต์ หรือบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้า?
.
“ผมเกือบบอกลูกชายว่า ไว้รอคราวหน้าตอนที่เรามีหนึ่งเหรียญดีกว่า ผมเกือบพลาดที่จะบอกว่าสิ่งที่
เขามีนั้นไม่พอ... ผมเกือบจะแสดงให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขามองว่าเป็นสิ่งดีนั้น ไม่ดีพอที่จะสร้างความแตกต่าง
ในชีวิตของใครบางคน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ดีมาก ผมเกือบจะทำให้เขาเห็นว่าการกลัวเสียหน้า
สำคัญกว่าการช่วยเหลือมนุษย์อีกคนหนึ่ง”
.
แต่โชคดี ที่สมิธคิดได้เสียก่อนว่าเขาเองนั่นแหละเป็นตัวปัญหา - ลูกชายวัย 5 ขวบ กำลังแสดงตัวอย่าง
ให้เห็นจริงในสิ่งที่เขาพร่ำสอนมาตลอด ในที่สุด สมิธก็ตัดสินใจเลื่อนกระจกหน้าต่างรถลง... ให้ลูกชาย
ได้ยื่น 30 เซ็นต์ - - ชายคนนั้นยิ้มกว้าง พูดกับเด็กชายว่า “ขอพระเจ้าอวยพร ขอบคุณมากพ่อหนุ่มน้อย”
.
สมิธเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ ได้ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นในวันนั้น รถคันหลังที่ตามมาต่างเลื่อนกระจกรถ
ลง ยื่นเงินให้ชายจรจัดเช่นกัน...
. . . . .
.
วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2023 เป็นวันสมโภชพระจิตเจ้า บทอ่านประจำวันมาจากพระวรสาร
ตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 20:19-23) กล่าวถึงค่ำวันนั้น ที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันอยู่
ในห้องที่ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา เพราะกลัวชาวยิว...
.
จู่ ๆ พระเยซูเจ้าก็เสด็จเข้ามายืนอยู่กลางวง ตรัสว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วพระองค์
ทรงให้บรรดาศิษย์ดูแผลที่พระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้า
ก็มีความยินดี พระองค์จึงตรัสกับเขาอีกครั้งว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรา
มาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”
.
ทำไมพระเยซูถึงต้องย้ำเน้นคำว่า ‘สันติสุข’ (Peace) ในประโยคแรกทันทีที่พบปะบรรดาศิษย์ เพราะ
ขณะนั้นอยู่ในช่วงสับสนหวาดกลัว พระอาจารย์ตายจากไป ทำให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว พระเยซูจึง
ต้องปลอบให้สงบลง ณ สถานการณ์ตรงหน้าก่อน
.
จากนั้น พระเยซูตรัสว่าสันติสุข เพื่อให้ใจสงบ อย่าได้กังวลอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะกำลังจะบอกถึงภารกิจ
ที่มอบหมาย นั่นคือ พระบิดาส่งพระองค์มาช่วยปลดปล่อยโลกนี้ที่กำลังพังพินาศ ให้หลุดพ้นจากบาป
ให้ผู้คนที่เชื่อในพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ - -จากนี้ไป พระองค์จะส่งต่อภารกิจให้กับบรรดาศิษย์ สืบทอด
มาจนถึงเราในทุกวันนี้ที่จะต้องทำหน้าที่แทนพระองค์
.
แล้วพระองค์ทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาป
ของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”
.
ลองนึกถึงภาพของการวิ่งผลัด - - จู่ ๆ นักวิ่งตัวจริงยิ่งใหญ่ แข็งแรงกว่าส่งไม้มาให้เรารับช่วงวิ่งต่อไป
เป็นใครก็ต้องกลัว เพราะรู้ว่า เราทำได้ไม่ดีแน่ เลือกเราทำไม ไปเลือกคนอื่นเถิด... กรณีนี้ก็เช่นกัน
.
แน่นอน พระองค์ทรงรู้ว่า ภารกิจที่มอบหมายนั้นหนักหนาเทียบเท่ากับพระองค์ทุกประการ จนถึง
เรื่องการให้อภัยบาป ซึ่งไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ พระองค์จึงให้ ‘พระผู้ช่วยเหลือ’มาอยู่กับเราด้วย
นั่นคือ ‘พระจิตเจ้า’ ซึ่งเป็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จะอยู่ภายในผู้เชื่อทุกคน เปลี่ยนพวกเขาจากภายใน
สู่ภายนอก คอยเสริมกำลัง, สติปัญญา, ความรู้, ความเข้าใจ และปรีชาญาณ เพื่อช่วยให้ภารกิจสำเร็จ...
. . . . .
.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมแอชเชอร์เด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ถึงตัดสินใจอาสาตื่นแต่เช้ามืดขับรถไปส่ง
โรเบิร์ตที่สนามบิน เขาสารภาพเองว่าได้ยินพระวาจาในใจ นั่นล่ะ คือ พระจิตเจ้าที่อยู่ภายในตัวผู้เชื่อ
พระจิตเจ้าเดียวกับที่พระเยซูทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์เมื่อสองพันกว่าปีก่อน - ก็เพื่อช่วยให้เราทำ
ภารกิจสำเร็จ เป็นแสงสว่างให้ผู้อื่น
.
ไม่ต้องสงสัยเช่นกันว่า ทำไมลูกชายวัย 5 ขวบ จึงเข้าใจ ‘ความรัก’ได้ละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่าผู้ใหญ่
อย่างสมิธผู้เป็นบิดาซึ่งมองว่าความรักที่แบ่งปันได้ ต้องมีมูลค่ามากกว่า 30 เซ็นต์! นั่นเป็นเพราะ
พระจิตเจ้าที่อยู่ภายใน ทำให้หนูน้อยกลายเป็นตัวอย่างความรักยิ่งใหญ่ ที่ส่องประกายให้คุณพ่อ
ได้เข้าใจ และรถคันอื่นที่ตามหลังมาได้มองเห็นและแบ่งปัน...
.
ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุใดให้ต้องเกรงกลัว เพราะทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมาย พระจิตเจ้าจะอยู่กับเราเสมอ - -
ครั้งต่อไป เมื่อพระเยซูเจ้าส่งไม้ผลัดมาให้ จงรับไว้แล้ววิ่งออกไปให้เต็มที่!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:50 pm

( 14 )

นิทานนี้ชื่อเรื่อง "ซามูไรกับชาวประมงญี่ปุ่น"

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ซามูไรคนหนึ่งได้ไปเก็บหนี้จากชาวประมงคนหนึ่ง

"ขอโทษจริงๆ ข้าเสียใจที่ต้องบอกท่านว่า ข้ายังไม่มีเงินจ่ายเพราะปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แย่ที่สุดปีหนึ่ง
ของข้า" ชาวประมงกล่าว

เมื่อซามูไรได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก จึงชักดาบออกมาเพื่อจะลงมือฆ่าชาวประมงคนนั้นทันที

ส่วนชาวประมงก็คิดหาทางเอาตัวรอดทันทีเช่นกัน โดยพูดอย่างกล้าหาญว่า

"ข้ากำลังศึกษาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้อาจารย์ของข้าสอนว่า ไม่ควรจู่โจมคู่ต่อสู้เพราะความโกรธ"

ซามูไรหยุดมองชาวประมงชั่วขณะ แล้วค่อยๆ ลดดาบลงและพูดขึ้นว่า "อาจารย์ของเจ้าฉลาดมาก "
อาจารย์ของข้าก็สอนเช่นนั้นเหมือนกัน บางครั้งความโกรธก็มักพรากเอาสิ่งที่ข้าควรจะได้มากกว่า
นั้นหรือดีกว่านั้นไป

เอาล่ะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าไปหาเงินมาใช้หนี้อีกหนึ่งปี แต่ถ้าเจ้าจ่ายคืนไม่ครบแม้สตางค์แดงเดียว
รับรองว่าข้าฆ่าเจ้าแน่

ในคืนนั้น ซามูไรกลับมาถึงบ้านดึกมาก เขาค่อยๆ คลานขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่อยาก
ทำให้ภรรยาตื่น

แต่เขาก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่ามีคนสองคนนอนอยู่บนเตียง คนหนึ่งนั้นคือภรรยา
อีกคนเป็นชายแปลกหน้าในชุดซามูไร!!

ด้วยความโกรธและความหึงที่ถาโถมเข้ามาเขาคว้าดาบขึ้นมาหมายเข่นฆ่าคนทั้งสอง

ฉับพลันคำพูดของชาวประมงก็ดังขึ้น "อย่าจู่โจมเพราะความโกรธ"

ซามูไรชะงักไปชั่วขณะ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง ภรรยาของเขาตกใจ
ตื่นขึ้นพร้อมคนแปลกหน้า!!!

พอชายผู้สวมใส่ชุดซามูไรหันมา.. ถึงกับตกใจ!

“ ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นแม่ของเขานั่นเอง ”

"นี่หมายความว่าอย่างไงกัน ข้าเกือบจะฆ่าเจ้าทั้งสองไปแล้ว" ซามูไรตะโกน

"เรากลัวพวกหัวขโมย ข้าก็เลยขอให้แม่ของท่านแต่งตัวด้วยชุดซามูไร เพื่อหลอกหัวขโมย"
ภรรยาของเขาอธิบาย
.

หนึ่งปีผ่านไป ชาวประมงได้เดินทางมาหาซามูไร "ปีนี้เป็นปีที่ดีของข้า ข้าจึงนำเงินพร้อมดอกเบี้ยมา
ใช้คืนท่าน" ชาวประมงพูดกับซามูไรอย่างยิ้มแย้ม

"เอาเงินของเจ้าเก็บไว้ เพราะเจ้าได้ใช้คืนข้ามานานแล้ว" ซามูไรตอบ
.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าจู่โจมเพราะความโกรธ
เพราะความโกรธอาจจะพรากเอาบางสิ่งบางอย่างจากเราไปตลอดกาล

ถ้าซามูไรคนนั้นได้ลงดาบไป..
เขาจะสูญเสียคนที่เขารักและรักเขามากที่สุดไปตลอดกาล

นิทานเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อย "เมื่อทุกท่านเกิดความโกรธ อย่าลืมนึกถึง
คำพูดของชาวประมงนะครับ”

ความโกรธทำให้หูหนวกตาบอด ความกลัวทำให้เป็นอัมพาตและความรู้สึกผิดทำให้อ่อนแอ

หนังสือ"THE" POWER OF A POSITIVE NO"
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:20 pm

(15)

เด็กชายคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีจักรยานปั่นไปโรงเรียนเหมือนคนอื่น อีกทั้งบ้านของเขา
อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน แค่เดินไม่ถึงครึ่งทาง ก็เหนื่อยเสียแล้ว... เมื่อไปถึงโรงเรียน โดนคุณครูทำโ
ทษแทบทุกวัน ระหว่างทาง เขาจะแวะพักเหนื่อยที่หน้าโบสถ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บาทหลวงเห็นเขาอ่อนแรง
ทั้งกายใจ รู้สึกสงสาร เลยยื่นน้ำให้เขาขวดหนึ่งติดตัวไว้ดื่มกิน
.
“เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า? คุณพ่อเสกหรือยัง?” เด็กชายถาม ดวงตาเต็มไปด้วยประกายใสแห่งความหวัง

“ทำไมล่ะ...?” บาทหลวงสงสัย

“ก็ถ้าเป็นน้ำเสกศักดิ์สิทธิ์ ผมดื่มแล้ว จะได้ไม่เหนื่อย รับรองวิ่งรวดเดียวถึงโรงเรียน” เด็กน้อยยิ้ม
.
“อ้อ... เอ่อ... ใช่แล้ว เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์” บาทหลวงจำใจพยักหน้า ที่แท้มันเป็นแค่น้ำขวดธรรมดา
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและความหวังนั้นแล้ว กลับปฏิเสธไม่ลง คงต้องสารภาพบาปทีหลังแล้วกัน...
………บาทหลวงคิดในใจ
.
เด็กน้อยดื่มไปครึ่งขวด รู้สึกสดชื่นมีพลัง วิ่งไปโรงเรียนทันที!
.
เช้าวันต่อมา เขามาเคาะประตูเรียกบาทหลวงแต่เช้า บอกว่าเมื่อวานไปถึงโรงเรียนก่อนระฆังดัง
เสียอีก ไม่เหนื่อยเลย - -

“ขออีกขวดนะครับ”
.
หลังจากวันนั้น บาทหลวงต้องเตรียมน้ำขวดไว้ให้เด็กน้อยติดตัวไปโรงเรียนทุกเช้า...
.
น้ำแต่ละขวดนั้น ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เพราะการเสก แต่ศักดิ์สิทธิ์เพราะความเชื่อ!
. . . . .
.
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2023 เป็นวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสต์เจ้า
ซึ่งก็คือศีลมหาสนิท ที่เราใช้ขนมปังและเหล้าองุ่นในการถวายบูชาพิธีมิสซานั่นเอง เพื่อระลึกถึง
คำสอนที่ว่าเมื่อเรารับศีลมหาสนิทดังกล่าวแล้วจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และถือเป็นอาหารทาง
ฝ่ายจิตวิญญาณที่สำคัญยิ่ง!
.
บทอ่านวันนี้จึงมาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 6:51-58) พระเยซูเจ้าตรัส
กับชาวยิวว่า “เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เรา
จะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต...”
.
พระวาจานี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากสำหรับคนต่างความเชื่อ ยิ่งเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา
และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” ...ก็ยิ่งทำให้สับสนงุนงง
เหมือนชาวยิว - - ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อล้วน ๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในการพลีชีพของ
พระเยซูเจ้า เพื่อไถ่บาปให้เรา และเราจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เมื่อกินเนื้อและดื่มโลหิตของ
พระองค์ – ความเชื่อ นี้สืบต่อมาผ่านการรับศีลมหาสนิทในพิธีมิสซานั่นเอง!
.
จิม คาวีเซล นักแสดงที่รับบทพระเยซูคริสต์ในภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ
(จากการสร้างและกำกับของ เมล กิ๊บสัน เมื่อปี 2004) เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชื่ออย่างมาก เขาเคย
กล่าวว่า “ผมไปโบสถ์ร่วมพิธีมิสซาทุกวัน และศีลมหาสนิทคือพระคริสต์อยู่ในตัวผม ทุกสิ่งที่ผมทำ
ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ คอยชี้ทางและนำผมไป ผมได้รับความสามารถพิเศษจากสวรรค์
สิ่งที่ผมคืนให้พระเจ้า ก็มาจากสิ่งที่พระองค์มอบให้นั่นเอง …
พระองค์แค่ทวีคูณและอำนวยพรชนิดที่ผมคาดไม่ถึง!”
. . . . .
.
ในทางโภชนาการ เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “You are what you eat” แปลง่าย ๆ ตรงตัว
“กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น” - - เราทุกคนรู้ดีว่า การกินอาหารดีมีคุณภาพ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ในขณะเดียวกัน หากกินแต่อาหารขยะ ก็ทำลายสุขภาพอย่างแน่นอน - - การกินเป็นความต้องการขั้น
พื้นฐานของมนุษย์ เป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นว่าสิ่งที่เรากินมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร
ทางด้านจิตวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน และอาจมีความสำคัญยิ่งกว่า...
.
อย่างที่เราทราบกันดีว่าอารมณ์ของมนุษย์มีผลต่อร่างกาย - -และมีงานวิจัยบอกว่า ทุกสิ่งมีคลื่นความถี่
เช่น อารมณ์เศร้าหมอง หรือมองโลกในแง่ร้ายนั้น มีความถี่ต่ำ - - ช่วงที่โควิด 19 ระบาด เคยมีคุณหมอ
คนหนึ่งกล่าวว่า โควิดเป็นไวรัสที่มีความถี่ต่ำ ฉะนั้น ถ้าคนที่มีอารมณ์ในเชิงลบสัมผัสกับไวรัส ก็จะมี
โอกาสติดง่ายและเชื้อจะเติบโตได้ดี แต่สำหรับความรัก, การมีน้ำใจดี, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะเป็นความถี่สูง
จึงทำให้เชื้อไวรัสเติบโตได้ยาก!
.
ฉะนั้น ทุกครั้งที่เราเชื่อ! รับพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระแห่งการเสียสละและ
ความรักยิ่งใหญ่ เราจึงเสมือนได้ดื่มกิน ‘ความรัก’ อันศักดิ์สิทธิ์นั้น เข้าร่างกายเพื่อยับยั้งเชื้อร้าย และ
เจริญชีวิตให้ผลิงามนิรันดร์ - -
.
ไม่ต่างจากเด็กชายที่วิ่งไปถึงโรงเรียนก่อนเสียงระฆังดัง ด้วยขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]

.
ภาพ : Mission Basilica San Diego de Alcalá โบสถ์เก่าแก่ที่แซน ดิเอโก แคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1769 เป็นโบสถ์ที่ผมชอบมากแห่งหนึ่ง...
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:47 pm

( 16 )

ปกติเราจะบอกให้อ่านให้จบ​ แต่เรื่องนี้คนเขียนๆไม่จบ​ เพราะเขาต้องการให้เราคิดเองว่า
เรื่องมันเป็นยังไง​ คิดแล้วน้ำตาจะไหลครับ


ความรักที่สูงค่าของคนเป็น”พ่อ”

เขากับพ่ออาศัยอยู่ด้วยกันตั้งแต่เขาจำความได้ ตอนนี้พ่อเริ่มแก่แล้ว ส่วนเขาก็อายุเลยเลขสาม
ไปแล้ว เขาคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาสักที

เจ้าสาวย้ายจากในเมืองมาอยู่ด้วยกัน กาลเวลาค่อยๆผ่านไป จากบ้านที่มีอยู่ด้วยกันสองคนอย่างสงบ
พอเพิ่มเป็นสาม ปัญหาก็เริ่มเกิด

ลูกสะใภ้เข้ากับพ่อสามีไม่ได้ เธอบ่นว่าพ่อจู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว สุดท้ายภรรยา
ยื่นคำขาดกับสามีว่า ตนคงทนอยู่กับพ่อไม่ได้อีกต่อไป

คนอยู่ตรงกลางวางตัวลำบาก ฝั่งหนึ่งก็พ่อ ฝั่งหนึ่งก็ภรรยา พยายามแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่าง
แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และดูเหมือนความระหองระแหงจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี
สุดท้ายก็ต้องเปิดอกคุยกับพ่อ อยากขอร้องให้พ่อย้ายไปอยู่สถานเลี้ยงดูคนชรา

พ่อเตรียมตัวเตรียมใจอยู่แล้วว่าวันนี้อาจต้องมาถึง จึงบอกลูกว่าไม่ต้องหนักใจ พ่อยินดีจะไปอยู่
ตามที่ลูกเสนอ และอวยพรให้ชีวิตคู่ของลูกจะไปได้ราบรื่นจากนี้เป็นต้นไป

วันนี้เป็นวันที่พ่อย้ายออกจากบ้านไปอยู่สถานเลี้ยงดูคนชรา ที่นี่จัดการและรับผิดชอบโดยองค์กร
การกุศลของทางคริสตจักรโรมันคาทอลิก มีคณะแม่ชีเป็นผู้ดำเนินงาน ที่แห่งนี่รับเลี้ยงดูทั้งเด็กและ
คนชรา ตึกหลังสำหรับดูแลผู้สูงวัย ส่วนตึกหน้าดูแลเด็กกำพร้า

ระหว่างที่คนเป็นลูกกำลังกรอกข้อความรายละเอียดต่างๆลงในแบบฟอร์ม สังเกตว่าพ่อเดินไปทักทาย
และพูดคุยอย่างสนิทสนมกับแม่ชีอาวุโสท่านหนึ่ง กว่าจะกรอกข้อมูลจนเสร็จเรียบร้อย ก็พอดีพ่อขอตัว
ไปเข้าห้องน้ำ เขาจึงถือโอกาสเดินไปหาแม่ชีท่านนั้น
"ท่านแม่ชีดูเหมือนจะรู้จักกับผู้ชายคนนั้นมาก่อนหรือเปล่าครับ"
"อ๋อ ใช่ค่ะ เคยรู้จักกันเมื่อประมาณร่วมๆสามสิบปีมาแล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นท่านมาติดต่อกับทาง
หน่วยงานของเราอยู่หลายหน และสุดท้าย ท่านก็ตัดสินใจขอรับเด็กทารกเพศชายคนหนึ่งไปเลี้ยง........."

Facebook:ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: 網絡文章
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:54 pm

( 17 )


จักรพรรดิคังซีป่วยเป็นโรคประหลาด แม้แพทย์หลวงในวังจะใช้โอสถดีหรือแพงแค่ไหนรักษา
ก็ไม่ปรากฏว่าอาการจะดีขึ้น ทรงโกรธมาก จึงยุติไม่ยอมรับการรักษาใดๆอีกจากแพทย์หลวง

คืนนี้จักรพรรดิคังซีออกท่องราตรีโดยลำพัง เมื่อเดินผ่านมาถึงตรอกซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง พบว่ามีร้าน
ขายยาตั้งอยู่ร้านหนึ่ง แม้จะย่างเข้ายามวิกาลแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าไฟในร้านยังคงสว่างไสวอยู่ และยัง
ได้ยินเสียงอ่านหนังสืออย่างชัดเจนดังจากในร้าน

จักรพรรดิทรงคิดว่าในเมื่อแพทย์หลวงในวังไร้ความสามารถ คนมีฝีมืออาจจะหาได้จากชุมชนทั่วๆไป
เพราะโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “ร้านยาเล็กๆมักมีโสมเลอค่าเก็บรักษาไว้” ทำไมไม่ลองเข้าไปทดลอง
ใช้บริการสักครั้ง ว่าแล้ว จักรพรรดิก็ตรงเข้าไปในร้าน มีชายอายุไม่น่าถึง 40 ปีนั่งอ่านหนังสืออยู่
ทรงคิดว่า คนนี้น่าจะเป็นหมอประจำร้าน พอหมอพบว่ามีแขกมาเยือน จึงถามว่า
"มีอะไรให้ผมรับใช้ยามดึกครับ"

จักรพรรดิทรงตรัสว่า "ต้องขออภัยที่ต้องเข้ามารบกวนยามดึก ข้าป่วยเป็นโรคประหลาด คันไปทั้งตัว
แล้วยังมีผื่นแดงๆขึ้นตามตัวด้วย หาหมอที่ไหนก็ไม่หาย รบกวนหมอช่วยดูแลรักษาให้หน่อย"

"ถ้าเช่นนั้นช่วยถอดเสื้อออกหน่อย จะได้ตรวจดูอาการ"

เมื่อจักรพรรดิถอดเสื้อออก หมอมองดูเดี๋ยวเดียวก็บอกว่า "ท่านไม่ต้องกังวล ท่านไม่ได้ป่วยเป็น
โรคร้ายแรงอะไรหรอก สาเหตุของอาการล้วนมาจากการที่ท่านมักรับประทานแต่อาหารดีๆมาก
จนเกินความจำเป็นต่อร่างกาย แล้วยังทานโสมเป็นประจำ มันจึงเกิดอาการของโรคร้อนในสะสม
อย่างรุนแรง เลยทำให้มีผื่นแดงขึ้นเต็มตัวไปหมด แล้วยังมีอาการคันไปทั้งตัว"

จักรพรรดิทรงถามว่า "แล้วมันจะหายขาดไหม"

หมอตอบด้วยความมั่นใจว่า "ไม่ต้องวิตก เดี๋ยวจัดยาให้ อีกไม่นานก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง"

ว่าแล้วหมอก็เอื้อมมือไปยกกล่องยาลงมาจากบนหิ้ง ปูผ้าไว้บนโต๊ะ แล้วเทยาทั้งหมดออกมา
น่าจะมีน้ำหนักสัก 4 หรือ 5 กิโลกรัม

พอจักรพรรดิเห็นเข้าก็ตกใจ "หมอ ยาเยอะขนาดนี้จะทานหมดได้ไง"

หมอรีบชี้แจงว่า "สมุนไพรพวกนี้เป็นโกฐน้ำเต้า ไม่ได้มีไว้ให้ท่านรับประทาน แต่ให้เอากลับบ้าน
ไปต้มกับน้ำประมาณ 50 กิโลกรัม พอต้มจนเดือดแล้ว ให้เทใส่อ่างน้ำแล้วผสมน้ำธรรมดา
ให้พอประมาณ อุณหภูมิให้อุ่นกำลังดี แล้วก็ลงไปนั่งแช่วันละครั้ง น่าจะแช่สักสามถึงสี่ครั้ง
โรคก็น่าจะหายเอง"

จักรพรรดิคิดในใจว่า ในเมื่อแพทย์หลวงในวังรักษามานานก็ยังไม่ยอมหาย สมุนไพรพื้นบ้าน
แบบนี้จะรักษาให้หายได้จริงเหรอ

หมอเห็นแววตาเขามีความสงสัย จึงบอกว่า "ท่านสบายใจได้ ผมไม่ได้จะหลอกเอาเงินท่านหรอก
จงเอาสมุนไพรพวกนี้ไปลองใช้ก่อน หากไม่หาย สตางค์แดงเดียวผมก็ไม่คิด" จักรพรรดิตรัสว่า
"ถ้าเช่นนั้นก็จะลองนำไปทดลองใช้ดู แต่หากรักษาให้หายได้จริง รับรองจะมีรางวัลสมนาคุณอย่างงาม"

เมื่อจักรพรรดิกลับมาถึงวัง ก็ทำตามที่หมอสั่งทุกขั้นตอน พอก้าวเท้าลงไปในอ่าง ก็รู้สึกได้ทันทีว่า
เนื้อตัวช่างสบายอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากแช่ได้สามครั้ง อาการคันเนื้อคันตัวก็ค่อยๆหายเป็นปลิดทิ้ง ผื่นแดงก็ค่อยๆจางหายไปจนหมด
จักรพรรดิทรงยินดีปรีดามาก วันที่สี่ก็กลับไปหาหมอที่ร้านอีกครั้ง

เมื่อหมอเห็นสีหน้ายิ้มย่องผ่องใสของคนไข้ก็รู้ทันทีว่า อาการป่วยต้องหายแล้วเป็นแน่แท้ เลยแกล้งถามว่า
"ท่านมาชำระค่ายาใช่หรือไม่"

"ใช่แน่นอน ไม่ทราบว่าหมอจะคิดค่ารักษาเท่าไหร่"

หมอหัวเราะชอบใจใหญ่ "ล้อเล่นนะครับ คืนนั้นผมเห็นสีหน้าท่านอีหลักอีเหลื่อไม่ค่อยมั่นใจ จึงแกล้ง
หยอกไปว่าไม่หายไม่คิดเงิน ตอนนี้แม้จะหายเจ็บหายป่วยแล้ว แต่ก็ไม่คิดเงินเช่นกัน ผมเห็นท่าน
เป็นคนที่มีบุคลิกโหงวเฮ้งดีเยี่ยม แค่คิดอยากจะเป็นเพื่อนกับท่านก็เพียงพอแล้ว ถ้าไม่เป็นการละลาบ
ละล้วงจนเกินไป ผมขอทราบชื่อเสียงเรียงนามท่านหน่อยจะรังเกียจไหม"

จักรพรรดิยิ้มก่อนตอบไปว่า "ข้าแซ่หวง ชื่อเทียนซิง เป็นนักศึกษา"

หมอดีใจรีบตอบว่า "ผมแซ่จ้าว ชื่อกุ้ยถัง เป็นนักศึกษาจนๆคนหนึ่ง พ่ออยากให้ผมไปสอบจอหงวน
ให้ได้ เพื่อจะสร้างชื่อเสียงให้วงตระกูล แต่แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ก็ต้องผิดหวังทุกปี
สุดท้ายเลยตัดสินใจมาเปิดร้านขายยาเล็กๆร้านนี้อยู่ในเมืองหลวง นอกจากมีโอกาสรักษาคนไข้แล้ว
ก็ถือโอกาสทบทวนตำราเรียนเตรียมตัวสอบไปในตัว แค่หวังว่าสักวันคงได้มีโอกาสประสบความสำเร็จ
ในการสอบจอหงวนให้ได้"

จักรพรรดิตรัสว่า "คุณพี่จ้าว โบราณสอนไว้ว่า “แม้บนกระดานประกาศผลสอบจะไร้ซึ่งชื่อเรา
แต่ใต้ฝ่าเท้าเราก็ยังมีเส้นทางให้เดินไปข้างหน้าเสมอ” ด้วยความสามารถด้านการเยียวยารักษาคนไข้
เก่งๆอย่างท่าน ข้าสามารถแนะนำให้ท่านเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง นี่ก็น่าจะถือว่าเป็นการประสบ
ความสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ"

หมอยิ้มก่อนตอบว่า "นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผม ในความคิดของผม คนเป็นหมอควรที่จะช่วยเหลือ
เยียวยารักษาชาวบ้านทั่วๆไป เพื่อที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่พวกเขา หากเข้าไปเป็นแพทย์หลวงในวัง
แม้จะร่ำรวยสุขสบาย แต่ไม่สามารถรับใช้ชาวบ้านทั่วไป นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ผมปราถนา ไร้ประโยชน์
ที่อุตส่าห์ฝึกฝนจนเป็นหมอ"

พอจักรพรรดิได้ยินดังนั้น จึงตรัสว่า "ท่านช่างเป็นคนดีที่มีจริยธรรมสูงส่งเหลือเกิน นับถือจริงๆ
แต่ในเมื่อท่านก็ลองสอบจอหงวนไปแล้วตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วทำไมไม่หันมา
เอาดีทางด้านการเยียวยารักษาให้จริงจังไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ"

หมอตอบว่า "ผมก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่การเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ร้านยาเล็กๆร้านนี้
ที่ตั้งอยู่ในตรอกซอย ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ จะเปิดร้านใหญ่ทำเลดีก็ต้องมีเงินทุนมากพอสมควร
ผมไม่มีเงินทุนเพียงพอ มีแต่ความสามารถก็คงยากที่จะเห็นเดือนเห็นตะวัน หากพี่ท่านมีโอกาสร่ำรวย
กลายเป็นเศรษฐีสักวันในอนาคต ก็จงช่วยผมสักแรงเปิดกิจการร้านขายยาใหญ่โตสักร้าน ถือว่าเป็น
ค่ารักษาในครั้งนี้ก็แล้วกัน"

พอจักรพรรดิได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ตอบแบบไร้ความลังเล "หากจะเปิดร้านจะตั้งชื่อว่าอะไรดี
ชื่อ"จ้าวกุ้ยถัง"ชื่อเดียวกับชื่อท่านก็แล้วกัน"

หมอเห็นจักรพรรดิพูดอย่างเอาจริงเอาจัง จึงรีบตอบกลับไปว่า "ที่พูดเมื่อสักครู่เป็นการพูดเล่น
อย่าถือเป็นสาระ จะเปิดร้านขายยาใหญ่โตต้องใช้เงินเยอะ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี
เป็นเรื่องไกลสุดขอบฟ้า ไม่กล้าหวังเช่นนั้นเด็ดขาด"

จักรพรรดิตอบว่า "ทำไมไม่ลองดูเล่า" พูดแล้วก็หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเขียนข้อความลงบน
กระดาษ ประทับตราประจำตัว แล้วก็ยื่นให้หมอ

"พรุ่งนี้ให้เจ้าไปติดต่อฝ่ายบริหารจัดการของวังหลวง ข้ามีเพื่อนอยู่ที่นั่น ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้เขา
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ความช่วยเหลือเจ้าได้" เมื่อพูดเสร็จแล้วก็ลากลับทันที

หมอมองดูแขกที่จากไปอย่างรีบร้อน นึกในใจว่าหมอนี่ช่างเป็นมนุษย์ประหลาดแท้

วันถัดมา หมอก็อยากลองดูสักครั้ง จึงนำจดหมายฉบับนั้นตรงไปยังฝ่ายบริหารภายในของวังหลวง
หลังยื่นจดหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแล้ว ครู่เดียวก็มีขันทีท่านหนึ่งออกมาต้อนรับ พาหมอเข้าไปภายในวัง
แล้วก็มาถึงตึกหลังหนึ่ง ขันทีเปิดประตูออก ชี้นิ้วเข้าไปข้างใน ถามเขาว่า "หมอครับ เงินเหล่านี้
เพียงพอสำหรับค่ายาไหม"

พอหมอเพ่งดูให้ชัด ต้องตกใจอย่างมาก ในห้องนั้นมีแต่เงินเป็นกองๆ เขายืนนิ่งจนนึกว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า

ขันทีบอกว่า "คุณหมอครับ จักรพรรดิท่านรับสั่งไว้ว่า คุณหมอช่วยรักษาโรคให้ฝ่าบาทจนหายเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ยอมเก็บเงินสักแดง ฝ่าบาทจึงตั้งพระทัยจะมอบร้าน "จ้าวกุ้ยถัง" ให้ท่านได้สมหวังสักที"

หมอเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน แท้จริงคนที่ตนแค่อยากเป็นเพื่อนด้วย กลับกลายเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือหัว
อยากตำหนิตัวเองเหลือเกินว่า “มีตาหามีแววไม่”

หลังจากนั้นไม่นาน ร้านขายยาใหญ่ๆร้านหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในทำเลชั้นเยี่ยมของเมืองปักกิ่ง ชื่อว่า "จ้าวกุ้ยถัง"

ในวันทำพิธีเปิดร้าน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิคังซีท่านก็เสด็จมาร่วมงานด้วยพระองค์เอง
ทำให้หมอลนลานไปหมด จักรพรรดิหัวเราะชอบใจในความตื่นเต้นของหมอ "อย่าได้ตกใจ ค่ารักษา
ที่ติดค้างหมอไว้ บัดนี้ได้จ่ายให้หมดแล้ว แต่ถ้าข้ามาหาหมออีกเมื่อไหร่ ก็อย่าได้คิดค่ารักษาข้าอีกนะ"

หลังจากวันนั้น ในกรุงปักกิ่งก็มีร้านขายยาที่โด่งดังแบบไม่มีใครไม่รู้จัก นามว่า "จ้าวกุ้ยถัง"
ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองหลวง

นี่เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังนานมาแล้วในเมืองจีน มันสอนให้รู้ว่า "คนซื่อ ใจซื่อ คนดี ใจดี มักจะมีดีตอบ"
.
ขอบคุณเรื่องดีๆ จาก
ห้องสมุดฟลิ้นท์ ซึ่งคุณ
“ขจรศักดิ์” แปลและเรียบเรียง

หมายเหตุ คุณ Anake Pravithana บอกว่า จ้าวกุ้ยถัง 赵桂堂 เปิดร้านยาชื่อ. 同仁堂 ถงเหยินถัง
(ถงเหรินถัง) แต้จิ๋วจะอ่าน ท้งหยิ่งตึ๊ง มีสาขาที่เยาวราช และมีสาขาทั่วโลก มียาดีๆมากมาย มีชื่อเสียง
โด่งดังที่สุดของร้ายยาจีน
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 28, 2023 8:17 pm

( 18 )


เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเอฟเว่นสวิลล์ รัฐอินเดียน่า ได้รับแจ้งมีว่าการขโมยของเกิดขึ้น เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ
พบเด็กชายวัย 14 เป็นผู้เสียหาย เครื่องตัดหญ้าซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดของเขาถูกขโมยไป...
.
หลังจากสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ก็ทราบว่าเด็กชายคนนี้ช่วยตัดหญ้าให้สนามของเพื่อนบ้านสูงวัยที่
ตัดเองไม่ไหว-โดยไม่คิดเงิน! เมื่อเครื่องตัดหญ้าถูกขโมย เขาจึงรู้สึกเสียใจมาก ว่าทำไมต้องเกิดเหตุ
อย่างนี้ด้วย...
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจเองรู้สึกประทับใจในความดีของเด็กชาย ได้กลับไปรวบรวมเงินบริจาคจากเพื่อนตำรวจ
ด้วยกัน ซื้อเครื่องตัดหญ้าเครื่องใหม่มามอบให้เด็กชายคนนี้แทน...
. . . . .
.
ระหว่างช่วงพักกลางวัน ขณะทิฟฟานี่ขับรถไปร้านอาหาร เธอเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่ริมถนนโดยมีจักรยาน
ล้มอยู่ข้างตัว คนเริ่มมุงดูรอบ ๆ เขา- - ทิฟฟานี่รีบจอดรถ กระโดดลงไปช่วยทันที เธอเห็นชายคนนั้นพยายาม
ยกศีรษะขึ้นจากพื้นถนนที่ร้อนระอุ และบอกว่าคอกับหลังของเขาปวด ทิฟฟานี่สังเกต -ดูเหมือนขาจะหักด้วย...
เธอจึงตัดสินใจนั่งลงกับพื้นและให้เขาวางพักศีรษะบนขาของเธอ โดยมือข้างหนึ่งพยายามประคองศีรษะ
ของเขาไว้ ส่วนมืออีกข้างคอยบังแดดไม่ให้ส่องตาเขา...
.
เธอรอจนเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมาถึง และนำเขาขึ้นรถพยาบาล ทิฟฟานี่ไม่ลืมที่จะคว้าเป้สะพายหลังของเขา
ส่งให้เจ้าหน้าที่ บอกว่าคุณแม่ของชายบาดเจ็บคนนั้นโทรมา ช่วยโทรกลับบอกคุณแม่ด้วยว่าจะส่งตัวเขา
ไปที่โรงพยาบาลไหน...
.
แม้จะไม่ใช่ญาติหรือเพื่อน แค่คนผ่านทางมาพานพบ แต่เธอรู้สึกดีที่ทำหน้าที่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งได้ครบถ้วน
.
เพื่อนของทิฟฟานี่ถ่ายรูปนี้ไว้ ตอนแรกคิดเพียงว่าจะใช้เป็นหลักฐานบอกเจ้านายถึงสาเหตุที่กลับออฟฟิศ
ช้ากว่าปกติ...
. . . . .
.
เป็นเรื่องเล็ก ๆ สองเรื่อง ที่ไม่อาจเป็นข่าวใหญ่ของสื่อใด
แต่เป็นเรื่องดี ๆ สองเรื่องที่ใครอ่านก็รู้สึกมีความสุข
.
แต่เชื่อไหม ทุกวันนี้ ในโลกยุคดิจิตอลของสังคมออนไลน์ คนบางคนกลับมองทุกสิ่งให้ผิดเพี้ยนไป พวกเขา
มักจะจับผิด ตำหนิ ติวิจารณ์ไปได้ทุกเรื่อง แม้ในความสวยงาม ก็ยังพยายามหาจุดด่างพร้อยมาขยายความ - -
เมื่ออ่านจบลง อาจมีคนสงสัยว่าตำรวจสร้างภาพ? เป็นหน้าที่ของตำรวจหรือเปล่า ควรไปจับโจรนะ...
.
หรือเรื่องของทิฟฟานี่ ก็ยังมีคนอุตส่าห์คอมเมนต์ว่า “เดี๋ยว! มือของเธอบังแดดไม่ให้ส่องตาชายคนนั้นจริง
เหรอ ดูเงาจากมือเธอสิ!” - - เราต่างไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ จึงไม่ควรตัดสินเรื่องราวด้วยภาพเดียว แต่ทิฟฟานี่
ก็เข้ามาตอบยืนยันว่า เธอพยายามใช้มือบังแดดไม่ให้ส่องตาของเขาจริง ๆ (นั่นอาจเป็นแว่บเดียวที่ปรากฏในภาพ)
ซึ่งตอนหลังเธอยังขอให้เพื่อนที่ถ่ายรูปมายืนใกล้ ๆ ทำให้บังแดดได้ทั้งใบหน้าของเขา...
.
เมื่ออ่านเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่ง, เมื่อเห็นภาพภาพหนึ่ง อย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา, นักสืบขี้สงสัย เพราะใจแห่งอคติ
จะนำไปสู่ความเกลียดชัง ที่ทำลายสันติสุขในใจตัวเอง - - หากไม่ได้ลงมือช่วยอย่างทิฟฟานี่ ก็อย่ายืนมุงดูและ
คอยแต่วิจารณ์
. . . . .
.
ขณะแอนไปทำงานตอนเช้า เธอเห็นเสื้อคลุมตัวหนึ่งแขวนไว้ที่เสาตรงมุมถนนนอกสำนักงาน มีป้ายเขียนว่า
“ถ้าคุณหนาว, โปรดสวมเสื้อคลุม” ความหมายก็คือ เอาเสื้อคลุมตัวนี้ไปใช้ได้เลย...
.
แอนบอกว่า จากคำพูดแค่เพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกมากมายกว่านั้น - - เธอรับรู้ได้ถึงความเห็นอก
เห็นใจกัน, การเคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์, ไม่มีความสงสัย หรือความเกลียดชังต่อกัน... แอนขอบคุณ
คนแปลกหน้านิรนามที่เอื้อเฟื้อเสื้อคลุมตัวนี้... แม้เธอจะไม่ใช่คนที่สวมใส่ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจและเต็ม
ไปด้วยความหวังในเช้าเหน็บหนาวนั้น...
. . . . .
.
เราทุกคนก็เช่นกัน จงมีดวงตาที่มองเห็นแต่สิ่งดี จงมีดวงใจที่รู้สึกได้แต่ความรัก เหมือนอย่างที่แอนเห็น
และรู้สึก - - ตื่นมาทุกเช้า- - คนบางคนมีแต่วันร้าย ๆ เพราะเลือกมองหาแต่สิ่งร้าย ๆ จนเป็นนิสัย
แม้พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ก็ยังคิดเตรียมเรื่องร้าย ๆ ไว้ล่วงหน้า...
.
ขณะที่คนบางคน พบเจอแต่วันดี ๆ ไม่ว่าวันนั้นย่ำแย่แค่ไหน ก็มองเห็นแต่เรื่องดี ๆ

วันดี ๆ จึงไม่ได้มาเพราะโชค แต่เพราะเราเลือกมองโลกในแง่ดี!
.
ปะการัง
.

[ ขอพระเจ้าอวยพรให้เรามองเห็นแต่สิ่งดี ๆ ในทุกวัน ]

.
ฝากติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pakarangWriter/
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ค. 17, 2023 10:25 pm

19 )

เรื่องจริงเล่าโดยศาสนาจารย์ท่านหนึ่งครับ
“ผมมักจะเทศน์ในวันอาทิตย์เช้าและขึ้นต้นด้วยเรื่องเล่าน่ารักๆ แต่วันนี้ผมเริ่มต้นด้วย
เรื่องน่าเศร้า บ๊อบและเบ็ทตี้เป็นคู่แต่งงานที่รักกันมากและเป็นเพื่อนของผม แต่ทั้งสองจะมาช้า
เสมอไม่ว่าในเรื่องใดๆ ก็ตาม ช้าอย่างน้อย 15 นาที ไปวัดก็ช้า ไปทานอาหารตามนัดก็ช้า
ไปปาร์ตี้ก็ช้า บ๊อบเป็นมะเร็งและก็เสียชีวิต พิธีปลงศพของเขาก็ประกอบพิธีในวัด บ่ายวัน
ปลงศพ เจ้าหน้าที่พิธีปลงศพมาพบผมพูดว่า “เบ็ทตี้อยู่ข้างนอก นั่งอยู่ในรถและไม่ยอมออก
จากรถครับ” ผมออกไปที่รถของเธอคิดว่าเธอคงเสียใจและรับไม่ได้กับความจริงที่เกิดขึ้นนั่น
คือความตายของบ๊อบ ผมขอร้องเธอให้ออกมาจากรถ แต่เธอก็ยืนยันว่าจะไม่ออกมาจากรถ
ที่สุดเธอก็กลั้นใจ มองมาที่ผมและพูดว่า “ผู้ชายคนนั้นทำให้ฉันช้าในทุกเรื่องมาถึง 45 ปี,
เพราะว่าเขาจะรอและรอไปจนถีงนาทีสุดท้ายแล้วถึงจะเริ่มเดินทาง ฉันจะไม่ยอมตรงเวลาเพื่อ
ไปพิธีปลงศพเขา” (ศาสนาจารย์ได้เปลี่ยนชื่อในเรื่องเล่านี้เพื่อไม่ให้เสื่อมเสีย)
การตรงต่อเวลาสำคัญมากนะครับ บางคนคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ที่จริงเป็นเรื่องใหญ่นะครับ
เพราะการไม่ตรงเวลาทำลายความรู้สึกของผู้คนที่ตรงเวลา เราทำให้คนต้องรอคอยและการอคอย
คือความทุกข์ใจจนยากที่จะอธิบายได้ แม้การไม่ตรงเวลาบางครั้งก็มีสาเหตุและเหตุผลก็ตาม
การตรงเวลาคือบอกว่า “ฉันแคร์คุณ” การไม่ตรงเวลาก็คือ “ฉันไม่แคร์ใคร” Have a Good “On Time”.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 11, 2023 7:27 pm

(20 )

ครั้งหนึ่งนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก พอล แอร์ดิช (Paul Erdős) ได้ยินว่าลูกศิษย์คนหนึ่ง
ไม่สามารถเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดได้ เพราะขาดเงิน เขาจึงมอบเงินให้ลูกศิษย์เรียนต่อจนจบ หลายปี
ต่อมา ลูกศิษย์คนนั้นกลับมาหาอาจารย์และคืนเงินที่อาจารย์ให้ยืม อาจารย์ตอบว่า
“คุณเอาเงินนี้ไปให้นักศึกษาคนอื่นที่ต้องการใช้เงิน ให้เขาใช้เรียนต่อ”

เคยไหมที่เรายื่นหนังสือที่อ่านแล้วให้คนแปลกหน้า เขาบอกว่า “แล้วผมจะคืนคุณยังไง?”

“ก็ส่งต่อให้คนอื่นอ่านก็แล้วกัน”

เคยไหมที่เมื่อการจราจรติดขัด รถคันหนึ่งยอมเปิดทางรถให้เรา เรารู้สึกดีจนเมื่อมีรถคันอื่นขอ
ทางบ้าง เราก็เปิดทางให้รถอีกคันหนึ่ง

เหล่านี้ดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ เหมือนหยดน้ำใสหยดเล็กที่ไม่มีพลังอำนาจใด แต่เมื่อรวมกัน ด้วยจำนวน
คนที่ส่งต่อหยดน้ำใสมากพอและนานพอ หยดน้ำใสก็สามารถเปลี่ยนบ่อน้ำครำทั้งบ่อเป็นน้ำใสได้

สังคมเราโอบรับความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที มากจนสำลัก คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะทำดีเพื่อคนอื่นหาก
ไม่ได้รับสิ่งตอบแทน และมองว่าการให้คนอื่นเป็น ‘ความโง่’

นี่คือแนวคิดที่เรียกว่า pay it forward

pay it forward เป็นสำนวน หมายถึงการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับจากใครคนหนึ่งให้คนอื่นแทน

นี่มิใช่แนวคิดใหม่ เชื่อว่ามันเริ่มมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และมีนักคิดนักเขียนไม่น้อยเขียน
แนวคิดนี้ มันเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้ดีขึ้น

นักเขียนผู้เริ่มใช้วลี Pay It Forward คนแรกคือ Lily Hardy Hammond ในหนังสือเรื่อง
In the Garden of Delight ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1916 ท่อนหนึ่งในหนังสือเขียนว่า
“You don’t pay love back; you pay it forward.”

คุณไม่รักตอบ คุณรักต่อ

pay it forward ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน อุดมคติโง่ ๆ ไม่มีประโยชน์ แต่หากทุกคนตอบแทน
ความดี ที่ได้รับต่อให้คนอื่น โลกจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เราไม่ควรปล่อยการทำดีเป็นหน้าที่ของมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคน

มันเป็นงานที่ยาก แต่มันเป็นไปได้

เพราะในโลกที่คนไม่แยแสสังคมส่วนรวม การเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นไม่อาจกระทำได้ง่าย ๆ

ความดีเป็นสิ่งแปลกอย่างหนึ่ง ยิ่งให้ยิ่งงอกเงย ยิ่งส่งต่อยิ่งสวยงาม

บุญคุณได้รับแล้วสมควรตอบแทน แต่การตอบแทนสามารถไปได้กว้างกว่าคืนเจ้าของเดิม

และนี่คือความรักโดยไม่มีข้อแม้ที่แท้จริง

ไม่ต้องตอบแทนความรัก ส่งมันต่อออกไป

.……………….

จากหนังสือ 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้

วินทร์ เลียววาริณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ต.ค. 18, 2023 10:43 pm

( 21 )


เพื่อนสนิทคนหนึ่งของโอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) ส่งของขวัญมาให้ - - เป็นของขวัญที่
เพื่อนคนนั้นอยากมอบให้ทุกคนที่เขารัก... เมื่อโอปราห์แกะออกดู ปรากฏว่าเป็นซีดีเพลงโปรด
ของเธอนั่นเอง - - I Hope You Dance ร้องโดย Lee Ann Womack เนื้อร้องท่อนหนึ่งกล่าวว่า - -
.
‘เมื่อใดก็ตามที่ประตูบานหนึ่งปิดลง ฉันหวังว่ายังมีอีกบานหนึ่งเปิดอยู่ สัญญากับฉันสิว่า เธอจะใ
ห้ความเชื่อของเธอนั้นมีโอกาสได้สู้อีกสักครั้ง’
.
And when you get the choice to sit it out or dance,
I hope you dance...
.
‘และเมื่อเธอต้องเลือกว่าจะนั่งนิ่งดูดาย (ปล่อยให้โอกาสผ่านไป) หรือลุกออกไปเต้น ฉันหวังว่า
เธอจะเลือกลุกออกไปเต้น’
.
หลายครั้ง หลายหน, ไม่ใช่เป็นเพราะประตูของเราปิดลงทุกบาน ไม่ใช่เป็นเพราะเราไม่มีโอกาส
เหมือนคนอื่น แต่เมื่อเพลงแห่งจังหวะชีวิตผ่านเข้ามา เรากลับไม่ได้ยิน หรือเรารู้สึกว่ามันไม่ไพเราะ
เราเกี่ยง เราเลี่ยง เราเลือกที่จะนั่งดูดาย แทนที่จะลุกออกไปเต้นกับเพลงบทนั้น...
.
และบางครั้งเราคอยกังวลต่อคำพูด, กลัวสายตาคนอื่นที่อาจจับจ้องมองอยู่ จึงได้แต่ลังเล แล้วเฝ้ารอ
เพลงต่อไป... ในที่สุด ก็กลายเป็นเฉยชาชิน ไม่มีโอกาสได้ลุกออกไปเต้นอีกเลย เพราะเพลงนั้นที่
ต้องการไม่เคยมาถึง
.
ผมเชื่อว่า เราหลายคนเคยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน เมื่อบทเพลงแห่งโอกาสลอยผ่านมา
เรากลับรีรอ จนต่อเมื่อเพลงนั้นลอยผ่านไป เราถึงนึกเสียดายที่ไม่ได้ลองลุกออกไปเต้นดู...

. . . . . .

“ลองแล้วล้มเหลว ยังดีกว่าล้มเหลวที่จะลอง”
.
เมื่อครั้งผมยังทำงานที่อเมริกา เพื่อนผมคนหนึ่ง-ปีเตอร์, สอนลูกของเขาด้วยประโยคนั้นบ่อย ๆ
จนพวกเราได้ยินติดหู - - ต้องยอมรับว่า หลายครั้ง เวลาที่ผมต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ
ย่างก้าวต่อไปของชีวิต และอยู่ในภาวะสับสน ไม่แน่ใจ ผมจะนึกถึงคำพูดนั้นของปีเตอร์เสมอ แล้วมัน
ก็เป็นเสมือนพลังที่จะผลักดันให้ผมกล้าก้าวออกไปลองดู
.
ในสายตาคนอื่น อาจมองว่าลูกของปีเตอร์ เป็นคนไม่เอาไหนก็ได้ เพราะเขาเพียรลองทำทุกสิ่งที่เขา
ต้องการอย่างไม่รู้เหน็ดหน่าย พลาดจากสิ่งหนึ่ง ก็มุ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง- เขาเป็นมาแล้ว ทั้งช่างภาพ, นักดนตรี
หรือนักบาสเกตบอล – จนเพื่อนอีกคนกระซิบบอกปีเตอร์ว่า อย่าตามใจลูกมากนัก ต้องให้เขาเอาจริง
อะไรสักอย่าง แต่ปีเตอร์กลับยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า
.
“ไม่เป็นไร... อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้ชีวิต”
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับปีเตอร์- -
.
“เขาอาจจะล้มเหลวเป็นสิบครั้งกว่าจะค้นหาตัวเองเจอ ดีกว่าเขาประสบความสำเร็จในการเป็นตัวตน
ที่เขาไม่ชอบและใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนตาย”
. . . . .
.
ทุกความสำเร็จในโลกนี้ ล้วนเกิดจากการลองผิดลองถูกมาแล้วทั้งสิ้น - - ไม่ว่าจะเป็นไอนสไตล์, เอดิสัน,
สตีฟ จ็อบส์ หรือมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ชื่อของเขาเป็นที่รู้จัก ก็เพราะกล้าที่จะลองนั่นเอง!
.
ปะการัง
.

[ จากหนังสือ #เพราะเชื่อฉันจึงทำได้ โดย #ปะการัง ]
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5962
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 28, 2023 6:49 pm

( 22 )

…………ขอให้อ่านๆกันจนจบนะ
จะได้ข้อคิด สติ และพลัง ในการใช้ชีวิต ไม่มีความลำบากมากมายเกินกำลังของเราเลย
ถ้าเราคิดดี และใช้สติ หาช่องทาง ทำงาน ขยัน แบบไม่เลือกงาน ไม่คิดมากเรื่องจะได้เงินมากน้อย
ขอให้เด็กๆรุ่นใหม่ ลุย และ สู้ชีวิต ขยัน เก่งงาน สู้งาน กันได้มากๆนะ


เรื่องนี้ถูกใจยายที่สุดเลย
ขอส่งต่อเน้อ

"เด็กที่ไม่มีร่มกาง จึงจะมี ความพยายามที่จะวิ่งฝ่าสายฝน"
บทความจีนเรื่องหนึ่ง ซึ่งสื่อถึง ความพยายาม ซื่อสัตย์ อดทน ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่ย่อท้อ
ต่อความยากจนที่ติดตัวมา แต่กำเนิด ไม่โทษว่า เป็นความผิดของพ่อแม่ ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆให้
ในทางกลับกัน เขากลับขอบคุณ พ่อแม่ที่มอบ “ขา 1 คู่” ที่แข็งแรง เพราะเกิดในชนบทห่างไกลความเจริญ

ตอนที่พ่อเขานั่งถอนหายใจ เฮือกใหญ่ ยื่นมืออันสั่นเทา
ส่งเงิน 4,533 หยวน ที่ไป หยิบยืมมาจากทุกสารทิศ ให้กับเขา เขาเข้าใจดีว่า หลังจ่ายค่าเล่าเรียนและ
ค่าธรรมเนียมในภาคการศึกษานั้น เป็นเงิน 4,100 หยวนแล้ว เขาจะเหลือเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
และจิปาถะเพียง 433 หยวน เขาก็รู้ซึ้งแก่ใจดีว่า พ่อของเขาได้ พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
คงไม่สามารถให้เขามากไปกว่านี้ได้
"พ่อครับ พ่อไม่ต้องห่วงลูกชาย ของพ่อนะ ลูกยังมี 2 แขนและ 2 ขา ดีอยู่"
เขายิ้มสู้กับความขมขื่น และ ยิ้มปลอบใจพ่อ หันตัวออก และเดินไปตามทางภูเขา ที่โค้งไปมา
ขณะที่เขาหันตัวออกนั้น น้ำตาเขา ก็ไหลออกมา
เขาสวมใส่รองเท้าพลาสติก กึ่งใหม่ เดินตามทางบนเขาไกล ถึง 120 ลี้

เมื่อถึงมหาวิทยาลัย หลังจาก ชำระค่าเล่าเรียนแล้ว เขาเหลือ เงินในมือเพียง 365 หยวน เวลา 5 เดือน
กับเงิน 300 กว่าหยวน จะอยู่ได้อย่างไร หันมองไปดูนักศึกษาอื่นรอบข้าง ที่มีเครื่อง MP3 คล้องคอ
สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม เดินไปมา และยิ้มทักทายกัน อย่างรวดเร็ว พูดถึงอาหาร เขาจะกินเพียง
แค่ 2 มื้อ และแต่ละมื้อต้อง ไม่ให้เกิน 2 หยวน นี่คือสิ่งที่เขา ตั้งใจจะทำเพื่อให้มีรายจ่าย น้อยที่สุด
มิฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่ สามารถอยู่รอดจนถึงวันสุดท้าย ของภาคการศึกษานี้ได้

คิดไปคิดมา

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจ อย่างห้าวหาญ ซื้อโทรศัพท์มือถือ มือสองมา 1 เครื่องด้วยเงิน 150 หยวน

ในวันต่อมา บอร์ดที่โฟสต์ ข้อความต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย นั้น ทุกๆกระดานจะมีแผ่นกระดาษ ใบเล็ก ๆ
เขียนข้อความด้วยลายมือ ติดไว้ว่า

“คุณต้องการให้ช่วยบริการอะไร ไหม?

หากคุณไม่ต้องการไปซื้ออาหารเอง ต้มน้ำดื่มเอง จ่ายค่าโทรศัพท์เอง ฯลฯ

ขอให้ติดต่อข้าพเจ้าที่เบอร์..... คุณจะได้รับการบริการในเวลา อันรวดเร็วที่สุด

ค่าบริการภายในมหา’ลัย ครั้งละ 1 หยวน นอกมหา’ลัยภายในรัศมี ไม่เกิน 1กิโลเมตรคิดค่าบริการ
ครั้งละ 2 หยวน”

เมื่อได้ติดแผ่นโฆษณาลงบนกระดาน ต่าง ๆ แล้ว เบอร์โทรของเขา กลายเป็นหมายเลขที่ “hot” ที่สุด ขึ้นมาทันที

เริ่มด้วยรุ่นพี่ปี 4 คณะศิลปกรรม ศาสตร์เป็นคนแรก ที่โทรเข้ามา บอกว่า

“ฉันเป็นคนขี้เกียจ ตอนเช้า ไม่อยากตื่นมาซื้ออาหาร เรื่องนี้ ก็รบกวนคุณแล้วกัน” “ได้เลยครับ!

ทุกวันเวลา 7 โมงเช้า ฉันจะไปส่งอาหาร ถึงห้อง(หอพัก)คุณ”

พูดจบเขาก็ลงบันทึกรายการแรก ของธุรกิจอย่างตื่นเต้น ก็มีเพื่อนนิสิตอีกคนส่งข้อความ มาว่า

“ไม่ทราบว่าจะไปซื้อรองเท้าแตะ ให้คู่หนึ่งได้ไหม?

ส่งมาที่ห้องหมายเลข 504 รองเท้าเบอร์ 41เอาที่กัน กลิ่นอับได้ด้วยนะ”

เขาเป็นเด็กฉลาด เข้ามาเรียน ได้ไม่นาน ก็พบปรากฎการณ์ ที่น่าสนใจ นั่นคือในรั้วมหาวิทยาลัย แห่งนี้
โดยเฉพาะนิสิตปี 3และปี 4 ใช้ห้องพักเป็น ”ที่ซุกอาศัย” เขาให้นิยาม ”ที่ซุกเอาศัย” ว่า คือกลุ่มเด็กที่มี
ฐานะทางครอบครัว ดีหน่อย จะซุกอยู่แต่ในห้องพัก ทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ เล่นเกมคอมพิวเตอร์
แม้กระทั่ง อาหารการกิน ก็ไม่ยอมออก ลงไปซื้อที่ด้านล่าง

ในขณะที่เขาเติบโตมาจากบนดอย ผ่านการเดินบนทางภูเขาที่ขรุขระ และลาดชัน ทำให้เขามีขา ที่เดิน
ได้รวดเร็ว การขึ้นบันไดไปชั้น 5 ชั้น 6 นั้น สำหรับเขา แค่กระพริบตาก็ถึงแล้ว

ในบ่ายวันเดียวกัน มีนิสิตคนหนึ่ง โทรมา ขอให้เขาไปซื้ออาหาร จานด่วนนอกสถาบัน ซึ่งขายใน ราคามาตรฐาน
ที่ 15 หยวนต่อจาน พอวางสายปั๊บ เขาก็บึ่งไปอย่าง รวดเร็วปานลมหมุน รวมเวลา ที่ไปและกลับมาส่งถึงมือคนสั่ง
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที

นี่ก็เร็วเกินไปหน่อยกระมัง!

นิสิตคนนั้นรู้สึกทึ่ง และรีบส่งเงิน ให้ 20 หยวน เขาทอนเงินคืน 3 หยวน โดยให้เหตุผลว่า

เขาบอกแล้วว่า ค่าบริการนอก สถาบันคิด 2 หยวน

การทำธุรกิจ จากการบริการที่มี ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ที่ได้รับความไว้วางใจ ทำให้ทุกห้อง
ทุกหอ เมื่อมีสิ่งของที่จะซื้อ จะนึกถึง เขาขึ้นมา การมีธุรกิจที่ร้อนฉ่าได้ ขนาดนี้ ต้องถือว่าเกินความคาด
หมายของเขาไปอย่างมาก มีบางครั้งที่เวลาพักจากชั่วโมงเรียน
เมื่อเปิดดูข้อความในมือถือ จะพบกับรายการหลากหลาย เกือบทุกชนิด ที่จะไหว้วาน ให้เขาไปทำให้

ในบ่ายวันหนึ่ง ฝนตกลงมา อย่างหนัก มีเสียงส่งข้อความ ทางโทรศัพท์ดังเข้ามา เป็นข้อความจากนิสิต
หญิงคนหนึ่ง แจ้งความจำนงว่า

ต้องการร่ม 1 คัน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี

พอเขาได้รับข้อความ เขาก็รีบวิ่ง ลุยฝนออกไป เนื้อตัวที่เปียก มะร่อกมะแร่ก เอาร่มไปส่ง ให้กับนิสิตสาว
ทำเอาเธอประทับใจ อย่างสุดซึ้ง ถึงกับโอบกอดเขาไว้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้รับการโอบกอด จากสาว
เขาได้แต่กล่าวคำขอบคุณ และไม่สามารถหยุดการไหล ของน้ำตาได้ ….

พร้อมกับการเป็นที่รู้จักของเพื่อนๆ มากขึ้น ธุรกิจของเขาก็ยิ่งโตวัน โตคืน

เวลาผ่านไปไวเหมือนพริบตา จากการที่เขาวิ่งส่งงานบริการ ภาคการศึกษาที่หนึ่งก็ได้สิ้นสุด ลงแล้ว
เขาได้กลับบ้านไป ในช่วงฤดูหนาว

ที่บ้าน พ่อเฒ่ายังคงวิตกกังวล เรื่องค่าใช้จ่าย ในการศึกษา ถัดไปของเขาอยู่ เขาเอาเงิน 1,000 หยวน
ออกมา ยัดเยียด ใส่มือพ่อ และพูดว่า

“พ่อครับ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้ ให้บ้านที่มีฐานะกับผม แต่พ่อ ได้ให้ขาคู่ที่สามารถวิ่งได้ดีมาก ด้วยสองขา
ที่พ่อให้มานี้ ผมสามารถ ‘วิ่ง' จนจบมหาวิทยาลัยและ จะมีชื่อเสียงได้ครับ”

ปีการศึกษาต่อมา เขาไม่ได้ทำงาน คนเดียวอีกต่อไป เขารับเพื่อน ร่วมงานที่มาจากครอบครัวที่มี ฐานะ
ไม่ค่อยดี มาช่วยให้บริการ ทั้งในมหาวิทยาลัยและนอก มหาวิทยาลัย การให้บริการ ที่ขยายวงออกไป
ทำให้ค่อย ๆ วิ่งไป วิ่งไป วิ่งไปไม่หยุดยั้ง เขากำลังวิ่งไปสู่ทางสำเร็จ

เขาให้นิยาม “กระปุกทอง”ของเขาไว้ที่ 5 แสนหยวน ซึ่งชื่อจริงของเขาคือ นายเจียหนัน แซ่เฮอ จาก
ตำบลเนินเขาห่างไกล

ชื่อ Daxinanling ตรงเข้า สู่วิทยาลัยครูประจำจังหวัด

ปัจจุบัน นอกจากเป็นนิสิตปี 3 แล้ว ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายใน มหาวิทยาลัย แต่เขาก็ยังเป็น ชายหนุ่มคนเดิม
ที่เรียบง่าย ทำงานหนักอย่างการรับต้มน้ำ 1 กา และนำส่งให้ลูกค้า ในเวลาอันรวดเร็วปานลม เพื่อให้ได้เงิน
ค่าจ้าง 1 หยวน เช่นเดิม

หากเป็นคุณ คุณจะจัดการ กับเรื่องนี้อย่างไร? จะเป็นเหมือนตัวเอกในเรื่อง หรือจะโทษความยากจน
ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ ผู้ปกครองกับสังคมไหมนะ?

supersuntanee@hotmail.com

:s007: :s007:
ตอบกลับโพส