“วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่20 นอสตาดามุส(ตอนที่31-45)
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 10, 2023 11:09 pm
~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~
โดย สนธิ สารธรรม ตอนที่ (31)
--- เจ้าหญิงอิตาลี...ได้เป็นราชินีในหลายประเทศ ---
เนื่องจากต้องเดินทางไปอิตาลี จึงของดเรื่องราวของแอนตี้ไคร้สต์ไว้ชั่วระยะหนึ่ง เพราะไม่มีเวลา
พอจะค้นคว้ามาเขียนได้ ขอขัดตาทัพด้วยเรื่องเบาๆ ไปพลางๆ ก่อน
พูดถึงผู้หญิงสวยแล้วอิตาลีไม่เคยน้อยหน้าใคร เช่นดาราอิตาลี "โซเฟีย ลอเรน" หรือ
"จีน่า ลอลโลบริจิตา" มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก หากพลิกประวัติศาสตร์ยุโรป ก็จะพบว่าหญิงในราชนิกูล
อิตาลี ดูเหมือนจะมีบุญญาบารมีได้ครองมงกุฎราชินีมากกว่าหญิงชาติใดๆ
เริ่มต้นตั้งแต่ พระนาง คาเธอรีน เดอ เมดิซี (1519 - 1589) จากตระกูลเศรษฐี และทรงอิทธิพล
มาหลายศตวรรษ จากเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี เป็นพระราชินีที่ครองบัลลังก์ฝรั่งเศสมากว่าสิบปี กับ
พระเจ้าอังรีที่ 2 แล้วยังครองผ่านพระราชโอรสถึง 3 พระองค์ คือ พระเจ้าฟรังซิสที่ 2 พระเจ้าชาร์ล ที่ 9
และ พระเจ้าอังรี ที่ 3 พระนางคาเธอรีนทรงได้ยินกิตติศัพท์ของนอสตราดามุส ที่ทำนายถึงพระเจ้าอังรีที่ 2
ในคำทำนายบทที่ 35 ในเซ็นจูรีที่ 1 เห็นว่าพ้องกับโหรหลวง จึงได้ทรงเรียกตัวนอสตราดามุสให้เข้าพบ
ในเดือนมิถุนายน ปี 1559 ใจความของบทกลอนเป็นดังนี้
Le lyon ieune le vieux surmontera,
En champ bellique par singulier duelle,
Dans cage d'or les yeux luy crevera,
Deux calsses une puis mourir mort cruelle.
สิงห์หนุ่มจะมีชัยเหนือสิงห์เฒ่า
ในสนามประลองฝีมือด้วยการต่อสู้ (ดวล) ตัวต่อตัว
สิงห์หนุ่ม จะแทงทะลุนัยน์ตา ของพระองค์ผ่านกรงทอง
สองแผลรวมเป็นแผลเดียว แล้วพระองค์จะสิ้นพระชนม์ อย่างทารุณ
วิเคราะห์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1559 ในพระราชสำนักฝรั่งเศสได้จัดงานใหญ่ 2 งาน คือ
งานฉลองอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธ กับ พระเจ้าฟิลิป ที่ 2 กษัตริย์แห่งสเปน และ
งานอภิเษกสมรสเจ้าหญิงมาการิต กับดยุค แห่งซาวอย หลังจากพิธีทางศาสนาก็มีการฉลองต่อไปอีก 3 วัน
กษัตริย์อังรีทรงเข้าร่วมการประลองฝีมือกับราชบริพาร และประชาชน 2 วันแรกทรงประสบชัยชนะ
อย่างงดงาม แต่วันที่ 3 พระราชินีทรงมีสาส์นถวาย ขอร้องให้ทรงงดการประลองฝีมือ เพราะทรงรู้สึก
ไม่สบายพระทัย พระเจ้าอังรีทรงปฏิเสธคำขอร้องของพระนาง ในการประลองฝีมือในวันที่ 3 มีเด็กน้อย
คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาดังๆ ว่า พระเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต กษัตริย์อังรีไม่ทรงสนพระทัย เตรียมประลอง
ฝีมือกับนายทหารรักษาพระองค์ชื่อ มองต์โกเมอรี่ ประอาวุธกัน 2 ครั้ง ไม่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ตกจาก
หลังม้าได้ มองต์โกเมอรี่รู้สึกกลัวจึงทูลให้ยุติการประอาวุธครั้งที่ 3 แต่ทรงปฏิเสธ กลับทรงมีรับสั่งให้
มองต์โกเมอรี่ประลองอาวุธครั้งที่ 3 นี้ให้ได้ คราวนี้ท่อนไม้ของมองต์โกเมอรี่แทงทะลุหมวกเหล็กเข้าไป
ถึงพระเศียร ทำให้กษัตริย์อังรีที่ 2 ได้รับบาดเจ็บทรมานอย่างที่สุด และสวรรคตในอีก 10 วันต่อมา
พระองค์ทรงอภัยให้มองต์โกเมอรี่ แต่พระราชินีไม่ทรงยินยอม มองต์โกเมอรี่ถูกจับประหารชีวิตในกาลต่อมา
จากการทำนายอันแม่นยำครั้งนี้ ทำให้ชื่อของนอสตราดามุสระบือไป มิใช่ฝรั่งเศสเท่านั้นแต่ทั่วทั้งยุโรปด้วย
เจ้าหญิงในอิตาลีคนต่อไปคือ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา (1847 - 1911) แห่งซาวอย เมื่อพระราชบิดา
วิตตอรีโอ เอมมานูเอล ที่ 2 ได้รับอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์แห่งประเทศอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวบรวมแคว้นต่างๆ
สำเร็จ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา ก็อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 กษัตริย์แห่งประเทศโปรตุเกส ในปี 1862
เมื่อพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระราชินีไปจนถึงปี 1889 ทรงมีราชโอรส 2
พระองค์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในปี 1911 หลังจากหนึ่งปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐ
เจ้าหญิง มาร์เกริตา แห่งซาวอย (1851 - 1926) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอุมแบร์โต ที่ 1 เป็นกษัตริย์
องค์ที่ 2 ของอิตาลี ต่อจากพระราชบิดา พระเจ้าวิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ที่ 2 แต่สำหรับพระราชินีมาร์เกริตา
ถือเป็นพระราชินีองค์แรกของอิตาลี ทั้งนี้ เพราะกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ตอนขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นหม้าย
และไม่ทรงคิดอภิเษกสมรสอีก พระราชินีมาร์เกริตา และกษัตริย์อุมแบร์โต อภิเษกสมรสกันเมื่อ
วันที่ 22 เมษายน 1868 พระนางมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติใกล้ชิดกัน แต่ได้รับ
อนุญาตพิเศษจากพระสันตะปาปาให้อภิเษกสมรสกันได้ ทั้งสองพระองค์มิได้ทรงมีความรักต่อกันมาก่อน
แต่อภิเษกกันด้วยเหตุผลทางการเมือง ทรงมีสร้อยมุกมากเป็นพิเศษ กล่าวกันว่า ทุกครั้งที่พระเจ้าอุมแบร์โต
นอกพระทัย พระนางก็จะได้รับสร้อยมุกเป็นรางวัลปลอบขวัญทุกครั้งไป
เจ้าหญิงอิตาลีองค์ต่อไปคือ เจ้าหญิงโจวันนา แห่งซาวอย เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าวิตตอรีโอ
เอมมานูเอเล ที่ 3 อภิเษกสมรสกับพระเจ้าโบริส ที่ 3 แห่งบัลกาเรีย ซึ่งสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1943 พระนางขณะนี้พระชนมายุได้ 87 พรรษา ยังเป็นที่รักของชาวบัลกาเรีย
ตราบทุกวันนี้ ทรงพำนักอยู่ในประเทศโปรตุเกส หลังจากที่ประเทศบัลกาเรียได้เปลี่ยนแปลงไปเป็น
สาธารณรัฐในปี 1946
เจ้าหญิงอิตาลีคนสุดท้ายที่ดวงชะตาพลิกผันให้เป็นพระราชินี เหมือนฟ้าผ่ากลางฤดูร้อนก็คือ เปาลา
แห่งกาลาเบรีย ผู้เป็นบิดาคือ เจ้าชายฟุลโก รุฟโฟ แห่งกาลาเบรีย เปาลา แต่งงานกับเจ้าชายอัลเบิร์ต
แห่งลีเอจี (LIEGI) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1959 แล้วจู่ๆ ในกลางฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว คือเมื่อ
วันที่ 31 กรกฎาคม 1993 พระเจ้าโบดวง แห่งเบลเยี่ยม ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคพระทัยวาย ทางรัฐสภา
ได้อัญเชิญเจ้าชายอัลเบิร์ตขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยม แทนที่จะเลือกเจ้าชายฟิลิป ผู้ยังครองโสด หาก
มี "ดวงกษัตริย์" คงจะได้สวมมงกุฎ ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่าง ตามที่นอสตราดามุสทำนายไว้
ในบทที่ 13/5 กล่าวถึงกษัตริย์เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม ดังนี้
Par grand fureur le Roy Romain Belgique
Vexer voudra par phalange barbare:
Fureur grinssant chassera gent Libique,
Depuis Pannons iusque Hercules la hare,
ด้วยพระพิโรธสุดขีดกษัตริย์เลือดผสม โรมัน - เบลเยี่ยม
มีพระประสงค์จะทำลายล้างกองทหารพวกป่าเถื่อน
และด้วยความมุทะลุเปรี้ยงปร้าง
พระองค์จะขับไล่พวกลิเบีย
ให้ออกไปจากฮังการี จนกระทั่งจรดปลายชายแดนกรีก
ในเดือนตุลาคมที่แล้ว ผมได้เอากลอนบทนี้มาลงแล้ว วิเคราะห์ว่า กษัตริย์เลือดผสมโรมันเบลเยี่ยม
น่าจะได้แก่ วิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ราชโอรสของอดีตกษัตริย์อุมแบร์โต ที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลี
หากเป็นจริงตามนี้ก็แสดงว่า อิตาลีก็จะหวนกลับมามีระบบกษัตริย์ใหม่ ซึ่งชาวอิตาลีต่างสั่นหัวดิกกันทุกคน
ว่า "IMPOSSIBLE" ฉะนั้น จะต้องหันมาดูราชโอรสของกษัตริย์อัลเบิร์ต กับพระราชินีเปาลา คือเจ้าชายฟิลิป
ซึ่งพระชนมายุได้ 34 พรรษา จริงๆ แล้วใครๆ ก็หวังว่าเจ้าชายฟิลิปจะได้นั่งบัลลังก์แทนกษัตริย์โบดวง
แต่ทางรัฐสภาคงยังเห็นว่า พอมีเวลาที่จะหาประสบการณ์ จึงได้อัญเชิญเจ้าชาย อัลเบิร์ต พระราชบิดา
ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมสืบต่อจากพระเจ้าโบดวง ฉะนั้น คำกลอนของนอสตราดามุส ที่ว่า
"กษัตริย์ เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม" น่าจะได้แก่ เจ้าชายฟิลิป ราชโอรสของพระเจ้าอัลเบิร์ต (ชาวเบลเยี่ยม)
และพระราชินีเปาลา (อิตาลี) มากกว่าพระองค์อื่นในอนาคตอันใกล้นี้
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
โดย สนธิ สารธรรม ตอนที่ (31)
--- เจ้าหญิงอิตาลี...ได้เป็นราชินีในหลายประเทศ ---
เนื่องจากต้องเดินทางไปอิตาลี จึงของดเรื่องราวของแอนตี้ไคร้สต์ไว้ชั่วระยะหนึ่ง เพราะไม่มีเวลา
พอจะค้นคว้ามาเขียนได้ ขอขัดตาทัพด้วยเรื่องเบาๆ ไปพลางๆ ก่อน
พูดถึงผู้หญิงสวยแล้วอิตาลีไม่เคยน้อยหน้าใคร เช่นดาราอิตาลี "โซเฟีย ลอเรน" หรือ
"จีน่า ลอลโลบริจิตา" มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก หากพลิกประวัติศาสตร์ยุโรป ก็จะพบว่าหญิงในราชนิกูล
อิตาลี ดูเหมือนจะมีบุญญาบารมีได้ครองมงกุฎราชินีมากกว่าหญิงชาติใดๆ
เริ่มต้นตั้งแต่ พระนาง คาเธอรีน เดอ เมดิซี (1519 - 1589) จากตระกูลเศรษฐี และทรงอิทธิพล
มาหลายศตวรรษ จากเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี เป็นพระราชินีที่ครองบัลลังก์ฝรั่งเศสมากว่าสิบปี กับ
พระเจ้าอังรีที่ 2 แล้วยังครองผ่านพระราชโอรสถึง 3 พระองค์ คือ พระเจ้าฟรังซิสที่ 2 พระเจ้าชาร์ล ที่ 9
และ พระเจ้าอังรี ที่ 3 พระนางคาเธอรีนทรงได้ยินกิตติศัพท์ของนอสตราดามุส ที่ทำนายถึงพระเจ้าอังรีที่ 2
ในคำทำนายบทที่ 35 ในเซ็นจูรีที่ 1 เห็นว่าพ้องกับโหรหลวง จึงได้ทรงเรียกตัวนอสตราดามุสให้เข้าพบ
ในเดือนมิถุนายน ปี 1559 ใจความของบทกลอนเป็นดังนี้
Le lyon ieune le vieux surmontera,
En champ bellique par singulier duelle,
Dans cage d'or les yeux luy crevera,
Deux calsses une puis mourir mort cruelle.
สิงห์หนุ่มจะมีชัยเหนือสิงห์เฒ่า
ในสนามประลองฝีมือด้วยการต่อสู้ (ดวล) ตัวต่อตัว
สิงห์หนุ่ม จะแทงทะลุนัยน์ตา ของพระองค์ผ่านกรงทอง
สองแผลรวมเป็นแผลเดียว แล้วพระองค์จะสิ้นพระชนม์ อย่างทารุณ
วิเคราะห์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1559 ในพระราชสำนักฝรั่งเศสได้จัดงานใหญ่ 2 งาน คือ
งานฉลองอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธ กับ พระเจ้าฟิลิป ที่ 2 กษัตริย์แห่งสเปน และ
งานอภิเษกสมรสเจ้าหญิงมาการิต กับดยุค แห่งซาวอย หลังจากพิธีทางศาสนาก็มีการฉลองต่อไปอีก 3 วัน
กษัตริย์อังรีทรงเข้าร่วมการประลองฝีมือกับราชบริพาร และประชาชน 2 วันแรกทรงประสบชัยชนะ
อย่างงดงาม แต่วันที่ 3 พระราชินีทรงมีสาส์นถวาย ขอร้องให้ทรงงดการประลองฝีมือ เพราะทรงรู้สึก
ไม่สบายพระทัย พระเจ้าอังรีทรงปฏิเสธคำขอร้องของพระนาง ในการประลองฝีมือในวันที่ 3 มีเด็กน้อย
คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาดังๆ ว่า พระเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต กษัตริย์อังรีไม่ทรงสนพระทัย เตรียมประลอง
ฝีมือกับนายทหารรักษาพระองค์ชื่อ มองต์โกเมอรี่ ประอาวุธกัน 2 ครั้ง ไม่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ตกจาก
หลังม้าได้ มองต์โกเมอรี่รู้สึกกลัวจึงทูลให้ยุติการประอาวุธครั้งที่ 3 แต่ทรงปฏิเสธ กลับทรงมีรับสั่งให้
มองต์โกเมอรี่ประลองอาวุธครั้งที่ 3 นี้ให้ได้ คราวนี้ท่อนไม้ของมองต์โกเมอรี่แทงทะลุหมวกเหล็กเข้าไป
ถึงพระเศียร ทำให้กษัตริย์อังรีที่ 2 ได้รับบาดเจ็บทรมานอย่างที่สุด และสวรรคตในอีก 10 วันต่อมา
พระองค์ทรงอภัยให้มองต์โกเมอรี่ แต่พระราชินีไม่ทรงยินยอม มองต์โกเมอรี่ถูกจับประหารชีวิตในกาลต่อมา
จากการทำนายอันแม่นยำครั้งนี้ ทำให้ชื่อของนอสตราดามุสระบือไป มิใช่ฝรั่งเศสเท่านั้นแต่ทั่วทั้งยุโรปด้วย
เจ้าหญิงในอิตาลีคนต่อไปคือ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา (1847 - 1911) แห่งซาวอย เมื่อพระราชบิดา
วิตตอรีโอ เอมมานูเอล ที่ 2 ได้รับอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์แห่งประเทศอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวบรวมแคว้นต่างๆ
สำเร็จ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา ก็อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 กษัตริย์แห่งประเทศโปรตุเกส ในปี 1862
เมื่อพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระราชินีไปจนถึงปี 1889 ทรงมีราชโอรส 2
พระองค์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในปี 1911 หลังจากหนึ่งปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐ
เจ้าหญิง มาร์เกริตา แห่งซาวอย (1851 - 1926) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอุมแบร์โต ที่ 1 เป็นกษัตริย์
องค์ที่ 2 ของอิตาลี ต่อจากพระราชบิดา พระเจ้าวิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ที่ 2 แต่สำหรับพระราชินีมาร์เกริตา
ถือเป็นพระราชินีองค์แรกของอิตาลี ทั้งนี้ เพราะกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ตอนขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นหม้าย
และไม่ทรงคิดอภิเษกสมรสอีก พระราชินีมาร์เกริตา และกษัตริย์อุมแบร์โต อภิเษกสมรสกันเมื่อ
วันที่ 22 เมษายน 1868 พระนางมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติใกล้ชิดกัน แต่ได้รับ
อนุญาตพิเศษจากพระสันตะปาปาให้อภิเษกสมรสกันได้ ทั้งสองพระองค์มิได้ทรงมีความรักต่อกันมาก่อน
แต่อภิเษกกันด้วยเหตุผลทางการเมือง ทรงมีสร้อยมุกมากเป็นพิเศษ กล่าวกันว่า ทุกครั้งที่พระเจ้าอุมแบร์โต
นอกพระทัย พระนางก็จะได้รับสร้อยมุกเป็นรางวัลปลอบขวัญทุกครั้งไป
เจ้าหญิงอิตาลีองค์ต่อไปคือ เจ้าหญิงโจวันนา แห่งซาวอย เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าวิตตอรีโอ
เอมมานูเอเล ที่ 3 อภิเษกสมรสกับพระเจ้าโบริส ที่ 3 แห่งบัลกาเรีย ซึ่งสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1943 พระนางขณะนี้พระชนมายุได้ 87 พรรษา ยังเป็นที่รักของชาวบัลกาเรีย
ตราบทุกวันนี้ ทรงพำนักอยู่ในประเทศโปรตุเกส หลังจากที่ประเทศบัลกาเรียได้เปลี่ยนแปลงไปเป็น
สาธารณรัฐในปี 1946
เจ้าหญิงอิตาลีคนสุดท้ายที่ดวงชะตาพลิกผันให้เป็นพระราชินี เหมือนฟ้าผ่ากลางฤดูร้อนก็คือ เปาลา
แห่งกาลาเบรีย ผู้เป็นบิดาคือ เจ้าชายฟุลโก รุฟโฟ แห่งกาลาเบรีย เปาลา แต่งงานกับเจ้าชายอัลเบิร์ต
แห่งลีเอจี (LIEGI) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1959 แล้วจู่ๆ ในกลางฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว คือเมื่อ
วันที่ 31 กรกฎาคม 1993 พระเจ้าโบดวง แห่งเบลเยี่ยม ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคพระทัยวาย ทางรัฐสภา
ได้อัญเชิญเจ้าชายอัลเบิร์ตขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยม แทนที่จะเลือกเจ้าชายฟิลิป ผู้ยังครองโสด หาก
มี "ดวงกษัตริย์" คงจะได้สวมมงกุฎ ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่าง ตามที่นอสตราดามุสทำนายไว้
ในบทที่ 13/5 กล่าวถึงกษัตริย์เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม ดังนี้
Par grand fureur le Roy Romain Belgique
Vexer voudra par phalange barbare:
Fureur grinssant chassera gent Libique,
Depuis Pannons iusque Hercules la hare,
ด้วยพระพิโรธสุดขีดกษัตริย์เลือดผสม โรมัน - เบลเยี่ยม
มีพระประสงค์จะทำลายล้างกองทหารพวกป่าเถื่อน
และด้วยความมุทะลุเปรี้ยงปร้าง
พระองค์จะขับไล่พวกลิเบีย
ให้ออกไปจากฮังการี จนกระทั่งจรดปลายชายแดนกรีก
ในเดือนตุลาคมที่แล้ว ผมได้เอากลอนบทนี้มาลงแล้ว วิเคราะห์ว่า กษัตริย์เลือดผสมโรมันเบลเยี่ยม
น่าจะได้แก่ วิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ราชโอรสของอดีตกษัตริย์อุมแบร์โต ที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลี
หากเป็นจริงตามนี้ก็แสดงว่า อิตาลีก็จะหวนกลับมามีระบบกษัตริย์ใหม่ ซึ่งชาวอิตาลีต่างสั่นหัวดิกกันทุกคน
ว่า "IMPOSSIBLE" ฉะนั้น จะต้องหันมาดูราชโอรสของกษัตริย์อัลเบิร์ต กับพระราชินีเปาลา คือเจ้าชายฟิลิป
ซึ่งพระชนมายุได้ 34 พรรษา จริงๆ แล้วใครๆ ก็หวังว่าเจ้าชายฟิลิปจะได้นั่งบัลลังก์แทนกษัตริย์โบดวง
แต่ทางรัฐสภาคงยังเห็นว่า พอมีเวลาที่จะหาประสบการณ์ จึงได้อัญเชิญเจ้าชาย อัลเบิร์ต พระราชบิดา
ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมสืบต่อจากพระเจ้าโบดวง ฉะนั้น คำกลอนของนอสตราดามุส ที่ว่า
"กษัตริย์ เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม" น่าจะได้แก่ เจ้าชายฟิลิป ราชโอรสของพระเจ้าอัลเบิร์ต (ชาวเบลเยี่ยม)
และพระราชินีเปาลา (อิตาลี) มากกว่าพระองค์อื่นในอนาคตอันใกล้นี้
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้