“วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่20 นอสตาดามุส(ตอนที่31-45)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 10, 2023 11:09 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (31)👈
🌼--- เจ้าหญิงอิตาลี...ได้เป็นราชินีในหลายประเทศ ---🌼
         
เนื่องจากต้องเดินทางไปอิตาลี จึงของดเรื่องราวของแอนตี้ไคร้สต์ไว้ชั่วระยะหนึ่ง เพราะไม่มีเวลา
พอจะค้นคว้ามาเขียนได้ ขอขัดตาทัพด้วยเรื่องเบาๆ ไปพลางๆ ก่อน
พูดถึงผู้หญิงสวยแล้วอิตาลีไม่เคยน้อยหน้าใคร เช่นดาราอิตาลี "โซเฟีย ลอเรน" หรือ
"จีน่า ลอลโลบริจิตา" มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก หากพลิกประวัติศาสตร์ยุโรป ก็จะพบว่าหญิงในราชนิกูล
อิตาลี ดูเหมือนจะมีบุญญาบารมีได้ครองมงกุฎราชินีมากกว่าหญิงชาติใดๆ
เริ่มต้นตั้งแต่ พระนาง คาเธอรีน เดอ เมดิซี (1519 - 1589) จากตระกูลเศรษฐี และทรงอิทธิพล
มาหลายศตวรรษ จากเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี เป็นพระราชินีที่ครองบัลลังก์ฝรั่งเศสมากว่าสิบปี กับ
พระเจ้าอังรีที่ 2 แล้วยังครองผ่านพระราชโอรสถึง 3 พระองค์ คือ พระเจ้าฟรังซิสที่ 2 พระเจ้าชาร์ล ที่ 9
และ พระเจ้าอังรี ที่ 3 พระนางคาเธอรีนทรงได้ยินกิตติศัพท์ของนอสตราดามุส ที่ทำนายถึงพระเจ้าอังรีที่ 2
ในคำทำนายบทที่ 35 ในเซ็นจูรีที่ 1 เห็นว่าพ้องกับโหรหลวง จึงได้ทรงเรียกตัวนอสตราดามุสให้เข้าพบ
ในเดือนมิถุนายน ปี 1559 ใจความของบทกลอนเป็นดังนี้
Le lyon ieune le vieux surmontera,
En champ bellique par singulier duelle,
Dans cage d'or les yeux luy crevera,
Deux calsses une puis mourir mort cruelle.
สิงห์หนุ่มจะมีชัยเหนือสิงห์เฒ่า
ในสนามประลองฝีมือด้วยการต่อสู้ (ดวล) ตัวต่อตัว
สิงห์หนุ่ม จะแทงทะลุนัยน์ตา ของพระองค์ผ่านกรงทอง
สองแผลรวมเป็นแผลเดียว แล้วพระองค์จะสิ้นพระชนม์ อย่างทารุณ
วิเคราะห์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1559 ในพระราชสำนักฝรั่งเศสได้จัดงานใหญ่ 2 งาน คือ
งานฉลองอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธ กับ พระเจ้าฟิลิป ที่ 2 กษัตริย์แห่งสเปน และ
งานอภิเษกสมรสเจ้าหญิงมาการิต กับดยุค แห่งซาวอย หลังจากพิธีทางศาสนาก็มีการฉลองต่อไปอีก 3 วัน
กษัตริย์อังรีทรงเข้าร่วมการประลองฝีมือกับราชบริพาร และประชาชน 2 วันแรกทรงประสบชัยชนะ
อย่างงดงาม แต่วันที่ 3 พระราชินีทรงมีสาส์นถวาย ขอร้องให้ทรงงดการประลองฝีมือ เพราะทรงรู้สึก
ไม่สบายพระทัย พระเจ้าอังรีทรงปฏิเสธคำขอร้องของพระนาง ในการประลองฝีมือในวันที่ 3 มีเด็กน้อย
คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาดังๆ ว่า พระเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต กษัตริย์อังรีไม่ทรงสนพระทัย เตรียมประลอง
ฝีมือกับนายทหารรักษาพระองค์ชื่อ มองต์โกเมอรี่ ประอาวุธกัน 2 ครั้ง ไม่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ตกจาก
หลังม้าได้ มองต์โกเมอรี่รู้สึกกลัวจึงทูลให้ยุติการประอาวุธครั้งที่ 3 แต่ทรงปฏิเสธ กลับทรงมีรับสั่งให้
มองต์โกเมอรี่ประลองอาวุธครั้งที่ 3 นี้ให้ได้ คราวนี้ท่อนไม้ของมองต์โกเมอรี่แทงทะลุหมวกเหล็กเข้าไป
ถึงพระเศียร ทำให้กษัตริย์อังรีที่ 2 ได้รับบาดเจ็บทรมานอย่างที่สุด และสวรรคตในอีก 10 วันต่อมา
พระองค์ทรงอภัยให้มองต์โกเมอรี่ แต่พระราชินีไม่ทรงยินยอม มองต์โกเมอรี่ถูกจับประหารชีวิตในกาลต่อมา
จากการทำนายอันแม่นยำครั้งนี้ ทำให้ชื่อของนอสตราดามุสระบือไป มิใช่ฝรั่งเศสเท่านั้นแต่ทั่วทั้งยุโรปด้วย
เจ้าหญิงในอิตาลีคนต่อไปคือ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา (1847 - 1911) แห่งซาวอย เมื่อพระราชบิดา
วิตตอรีโอ เอมมานูเอล ที่ 2 ได้รับอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์แห่งประเทศอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวบรวมแคว้นต่างๆ
สำเร็จ เจ้าหญิงมารีอา ปีอา ก็อภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 กษัตริย์แห่งประเทศโปรตุเกส ในปี 1862
เมื่อพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระราชินีไปจนถึงปี 1889 ทรงมีราชโอรส 2
พระองค์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในปี 1911 หลังจากหนึ่งปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสาธารณรัฐ
เจ้าหญิง มาร์เกริตา แห่งซาวอย (1851 - 1926) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอุมแบร์โต ที่ 1 เป็นกษัตริย์
องค์ที่ 2 ของอิตาลี ต่อจากพระราชบิดา พระเจ้าวิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ที่ 2 แต่สำหรับพระราชินีมาร์เกริตา
ถือเป็นพระราชินีองค์แรกของอิตาลี ทั้งนี้ เพราะกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี ตอนขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นหม้าย
และไม่ทรงคิดอภิเษกสมรสอีก พระราชินีมาร์เกริตา และกษัตริย์อุมแบร์โต อภิเษกสมรสกันเมื่อ
วันที่ 22 เมษายน 1868 พระนางมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทั้งสองพระองค์เป็นพระญาติใกล้ชิดกัน แต่ได้รับ
อนุญาตพิเศษจากพระสันตะปาปาให้อภิเษกสมรสกันได้ ทั้งสองพระองค์มิได้ทรงมีความรักต่อกันมาก่อน
แต่อภิเษกกันด้วยเหตุผลทางการเมือง ทรงมีสร้อยมุกมากเป็นพิเศษ กล่าวกันว่า ทุกครั้งที่พระเจ้าอุมแบร์โต
นอกพระทัย พระนางก็จะได้รับสร้อยมุกเป็นรางวัลปลอบขวัญทุกครั้งไป
เจ้าหญิงอิตาลีองค์ต่อไปคือ เจ้าหญิงโจวันนา แห่งซาวอย เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าวิตตอรีโอ
เอมมานูเอเล ที่ 3 อภิเษกสมรสกับพระเจ้าโบริส ที่ 3 แห่งบัลกาเรีย ซึ่งสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1943 พระนางขณะนี้พระชนมายุได้ 87 พรรษา ยังเป็นที่รักของชาวบัลกาเรีย
ตราบทุกวันนี้ ทรงพำนักอยู่ในประเทศโปรตุเกส หลังจากที่ประเทศบัลกาเรียได้เปลี่ยนแปลงไปเป็น
สาธารณรัฐในปี 1946
เจ้าหญิงอิตาลีคนสุดท้ายที่ดวงชะตาพลิกผันให้เป็นพระราชินี เหมือนฟ้าผ่ากลางฤดูร้อนก็คือ เปาลา
แห่งกาลาเบรีย ผู้เป็นบิดาคือ เจ้าชายฟุลโก รุฟโฟ แห่งกาลาเบรีย เปาลา แต่งงานกับเจ้าชายอัลเบิร์ต
แห่งลีเอจี (LIEGI) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1959 แล้วจู่ๆ ในกลางฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว คือเมื่อ
วันที่ 31 กรกฎาคม 1993 พระเจ้าโบดวง แห่งเบลเยี่ยม ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคพระทัยวาย ทางรัฐสภา
ได้อัญเชิญเจ้าชายอัลเบิร์ตขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยม แทนที่จะเลือกเจ้าชายฟิลิป ผู้ยังครองโสด หาก
มี "ดวงกษัตริย์" คงจะได้สวมมงกุฎ ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่าง ตามที่นอสตราดามุสทำนายไว้
ในบทที่ 13/5 กล่าวถึงกษัตริย์เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม ดังนี้
Par grand fureur le Roy Romain Belgique
Vexer voudra par phalange barbare:
Fureur grinssant chassera gent Libique,
Depuis Pannons iusque Hercules la hare,
ด้วยพระพิโรธสุดขีดกษัตริย์เลือดผสม โรมัน - เบลเยี่ยม
มีพระประสงค์จะทำลายล้างกองทหารพวกป่าเถื่อน
และด้วยความมุทะลุเปรี้ยงปร้าง
พระองค์จะขับไล่พวกลิเบีย
ให้ออกไปจากฮังการี จนกระทั่งจรดปลายชายแดนกรีก
ในเดือนตุลาคมที่แล้ว ผมได้เอากลอนบทนี้มาลงแล้ว วิเคราะห์ว่า กษัตริย์เลือดผสมโรมันเบลเยี่ยม
น่าจะได้แก่ วิตตอรีโอ เอมมานูเอเล ราชโอรสของอดีตกษัตริย์อุมแบร์โต ที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลี
หากเป็นจริงตามนี้ก็แสดงว่า อิตาลีก็จะหวนกลับมามีระบบกษัตริย์ใหม่ ซึ่งชาวอิตาลีต่างสั่นหัวดิกกันทุกคน
ว่า "IMPOSSIBLE" ฉะนั้น จะต้องหันมาดูราชโอรสของกษัตริย์อัลเบิร์ต กับพระราชินีเปาลา คือเจ้าชายฟิลิป
ซึ่งพระชนมายุได้ 34 พรรษา จริงๆ แล้วใครๆ ก็หวังว่าเจ้าชายฟิลิปจะได้นั่งบัลลังก์แทนกษัตริย์โบดวง
แต่ทางรัฐสภาคงยังเห็นว่า พอมีเวลาที่จะหาประสบการณ์ จึงได้อัญเชิญเจ้าชาย อัลเบิร์ต พระราชบิดา
ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมสืบต่อจากพระเจ้าโบดวง ฉะนั้น คำกลอนของนอสตราดามุส ที่ว่า
"กษัตริย์ เลือดผสมโรมัน - เบลเยี่ยม" น่าจะได้แก่ เจ้าชายฟิลิป ราชโอรสของพระเจ้าอัลเบิร์ต (ชาวเบลเยี่ยม)
และพระราชินีเปาลา (อิตาลี) มากกว่าพระองค์อื่นในอนาคตอันใกล้นี้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 11, 2023 12:24 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (32 )👈
🌼--- อีกมุมหนึ่งในอิตาลี [A] ---🌼

🔹เวนิส
          อันที่จริง เวนิสผมไปมาหลายครั้งแล้ว นับตั้งแต่คราวฮันนีมูน เมื่อ 20 กว่าปีก่อน รวมทั้งนำทัวร์
คนไทยมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ถือเป็นการศึกษาเมืองเวนิสอีกแง่มุมหนึ่ง โดยมีอาจารย์ทางศิลปะจาก
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คือ อาจารย์กำจร สุนพงษ์ศรี เป็นผู้ให้ความรู้แบบเจาะลึกถึงภาพวาด
รูปแกะสลักหินอ่อน และรูปปั้นที่เห็นกันอยู่ดาษดื่น ทำให้ภาพวาด รูปแกะสลัก รูปปั้นที่เคยเห็นจนชินชา
มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ท่านแนะนำให้ไปชมอนุสาวรีย์ บาร์โทโลเมโอ กอลเลโอนี
(BARTOLOMEO COLLEONI) ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรในสมัยกลาง ขี่ม้าในท่าสง่าผ่าเผยที่หน้า
โบสถ์เซนต์จอห์น และพอล ซึ่งถือเป็นโบสถ์สำคัญของเมืองเวนิส
รองจากโบสถ์เซนต์มาร์ค รูปขี่ม้าของแม่ทัพกอลเลโอนีนี้ นักประวัติศาสตร์ทางศิลปะถือเป็นรูปคนขี่ม้า
ที่งามที่สุดรูปหนึ่งของโลก ซึ่งท่านอาจารย์ศิลป พีระศรี ใช้รูปนี้เป็นต้นแบบในการปั้นรูปพระเจ้าตากสิน
ทรงม้าที่วงเวียนใหญ่
          มาเวนิสก็ต้องไปชมโบสถ์เซนต์มาร์ค ชาวคาทอลิกไทยใช้คำว่า อาสนวิหารเซนต์มาร์ค
มีความหมายว่า เป็นโบสถ์ประจำตำแหน่งของพระสังฆราชเมืองเวนิส ซึ่งมีเซนต์มาร์คเป็นองค์อุปถัมภ์
และ พระสังฆราชผู้ครองเมืองใหญ่ๆ เช่น เวนิสนี้มักได้รับสมณศักดิ์เป็นพระคาร์ดินัล โป๊ปองค์ก่อนก็
เป็นพระสังฆราชของเมืองเวนิส คือ พระคาร์ดินัล อัลบีโน ลูชานี (ALBINO LUCIANI) การชมโบสถ์
เซนต์มาร์ค และ วังเจ้าเมือง (DOGE'S PALACE) แห่งเวนิสครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่ม "ภูมิ" อย่างยอดเยี่ยม
คงจะสามารถถ่ายทอดให้ลูกทัวร์ได้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป ในวังเจ้าเมือง ทำให้ผมเกิดความซาบซึ้งถึง
ภาพวาดของตินตอเรตโต (TINTORETTO) และเวโรเนเซ (VERONESE) อย่างไม่เคยมีมาก่อน ชมแผนก
อาวุธโบราณ พวกดาบ หอก หลาว ฯลฯ ล้วนแต่ใหญ่โตเหลือเกิน คนไทยเราคงยกไม่ไหว อีกมุมหนึ่ง
เห็นสาวๆ กลุ่มหนึ่งมุงดูกันแน่นพลางวิจารณ์ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมรู้แล้วว่าดูอะไรกัน "เข็มขัดกันชู้"
นั่นเอง
          มาครั้งก่อนๆ ก็ชมแค่ "สะพานถอนสะอื้น" ไม่ได้เข้าไปชมข้างในว่าทำให้สะอื้นได้อย่างไร ก็คือข้างใน
"คุก" เห็นลูกกรงเหล็กแต่ละซี่ใหญ่ขนาดลำแขน ไม่รู้คาซาโนวา "ขุนแผนอิตาลี" แหกคุกไปได้อย่างไร
อาจมีคาถาเหนือกว่าขุนแผนชาวสุพรรณก็เป็นได้
          ออกจากวังเจ้าเมือง ก็ชมร้านรวงหรูหราบริเวณหน้าโบสถ์เซนต์มาร์ค ผ่านร้านกาแฟที่ขับกล่อมด้วย
ดนตรีแสนหวาน ทำให้คลายเครียด จากการนั่งเครื่องบินอันยาวนานไปเป็นปลิดทิ้ง
          การเที่ยวเวนิสครั้งนี้ มีเวลาเดินเตร็ดเตร่ไปตามลำคลองแบบสบายๆ เห็นนักท่องเที่ยวนั่งเรือกอนโดลา
กันเป็นคู่ๆ มีนักร้องขับร้องเพลงแสนโรแมนติค ทำให้นึกถึงความหลังครั้งยี่สิบกว่าปีก่อน เมืองเวนิสมีแต่คลอง
ไม่มีถนนรถยนต์ ที่หัวมุมตึกก็มีชื่อถนน กาลเล (Calle) ภาษาสเปนก็ใช้คำนี้เหมือนกัน แต่ออกเสียงว่า "กาเย"
นัยว่าในสมัยโรมันรุ่งเรืองเคยเกณฑ์ชาวแคว้นเวเนโต อันมีเวนิสเป็นเมืองหลวงนี้ไปรบในสเปน ถือกันว่า
ชาวเวเนโตนี้กล้าหาญ และรบเก่งจนดังไปทั่วสเปน ในที่สุดสามารถพิชิตแขกมัวร์ได้สำเร็จ หลังจากถูก
ครอบครองมาเกือบแปดร้อยปี เมื่อสเปนประกาศอิสรภาพแล้ว ก็ยกย่องภาษาชาวเวเนโต ที่อยู่ใน
แคว้นคัสติลนี้ เป็นภาษาประจำชาติจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้น ภาษาสเปนกลางปัจจุบัน เขาเรียกกันว่า
ภาษากัสตียาโน ชาวแคว้นเวเนโต (อิตาลีภาคเหนือรวมเวนิส) จึงฟังภาษาสเปนในปัจจุบันได้สบายมาก
เข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ เพราะเป็นภาษาบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง
        เราจบการท่องเที่ยวเวนิสด้วยการไปชมพิพิธภัณฑ์เอกชนชื่อ PEGGY GAUGGENHEIM COLLECTION
เป็นของเศรษฐินีอเมริกันที่รวบรวมผลงานเยี่ยมของศิลปิน MODERN ART โดยเฉพาะ โดยเริ่มเปิดการแสดง
MODERN ART ในปี 1948 เป็นครั้งแรกในยุโรป ที่เวนิส ทุกๆ 2 ปี พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ริม GRAND CANAL
ใกล้โบสถ์เซนต์มาร์ค ศพของเธอก็ถูกฝังไว้ในสวนของพิพิธภัณฑ์ที่นี่เอง ณ เมืองเวนิสที่เธอหลงใหล

🔹ฟลอเรนซ์
          ตามโปรแกรมทัวร์ของเรา จากเวนิสก็จะมุ่งสู่เมืองฟลอเรนช์ แต่อาจารย์กำจรบอกว่า ที่เมืองปาดัว
ยังมีรูปปั้นคนขี่ม้ามีชื่ออีกแห่งหนึ่งคือ รูปของขุนศึก กัตตาเมลาตา ผลงานของโดนาเตลโล ซึ่งอาจารย์ศิลป์
ใช้เป็นแบบม้าของพระเจ้าตากสินเช่นกัน ผมเลยขอร้องให้โชเฟอร์เบนซ์ 3 ตอนช่วยแวะปาดัวโชเฟอร์ใจดี
ก็แวะให้เพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว จึงพุ่งรถไปที่มีอนุสาวรีย์ ขุนศึกกัตตาเมลาตาขี่ม้า ก็ไม่ใช่ที่ไหนดอก
ที่วิหาร เซนต์แอนโทนี่ นั่นเอง ผมนำชาวคาทอลิกมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยทราบว่าขุนศึกขี่ม้าที่หน้า
วิหารนี้ ก็มีความสำคัญเกี่ยวกับรูปพระเจ้าตากสินทรงม้า ที่วงเวียนใหญ่มาก่อน ผมเลยนำคณะทัวร์
ทั้ง 3 ท่าน คารวะหลุมศพท่านนักบุญอันตน ตามที่ชาวคาทอลิกไทยนิยมเรียกตามภาษาโปรตุเกส เราชม
ภายในวิหารซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของจ้อตโต และ โดนาเตลโล แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองฟลอเรนซ์
ก่อนถึงเมืองฟลอเรนซ์มีหิมะตก นับเป็นเรื่องค่อนข้างแปลก แม้สำหรับชาวอิตาเลียนเอง
เพราะเข้าเดือนเมษายนแล้ว ทำให้เราทั้ง 4 คน พลอยตื่นเต้นไปด้วย
ที่ฟลอเรนซ์ จุดประสงค์ใหญ่ของเราคือเข้าชมพิพิธภัณฑ์ UFFIZI ซึ่งรวบรวมศิลปะวัตถุมีค่าไว้มากมาย
ก็ได้ชมสมใจนึก โดยมีอาจารย์กำจร ให้คำอรรถาธิบายอย่างทะลุปรุโปร่ง ภาพเด่นๆ ที่ให้ความประทับใจ
เป็นอย่างมากก็คือ ภาพวาดอัครเทพ Gabriel แจ้งสาส์นแด่แม่พระ (ANNUNCIATION) ของ เลโอนาร์โด ดาวินชี
การเกิดของวีนัส ของซานโดร บอตตีเชลลี อุปมาแห่งวสันตฤดู ของ บอตตีเชลลี และที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
ก็คือ ภาพวาดของไมเคิล แอนเจโล ที่วาดภาพ "ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์" คือ แม่พระ ท่านโยเซฟ และ พระกุมารเยซู
สีสันสดใสมาก โดยมากมักจะรู้จักแต่ภาพ "การพิพากษาครั้งสุดท้าย" (THE LAST JUDGEMENT)
ในโบสถ์ซิสติน แล้วก็มาถึงภาพ "แม่พระ และพระกุมาร กับ เทวดาน้อย 2 องค์" เป็นผลงานของ
ฟิลิปโป ลิปปี (FILIPPO LIPPI) ซึ่งภรรยาของผมชอบเป็นพิเศษ ถึงกับซื้อจี้รูปแม่พระนี้ซึ่งวาดจากจิตรกร
มีชื่อของสเปน เมื่อ 4 - 5 ปีมานี้ อาจารย์กำจรท่านเล่าประวัติของผู้วาดภาพแม่พระ ผู้มีท่าทางสงบเสงี่ยม
น่ารักนี้ว่า เป็นจิตรกรที่มีชื่อมากทีเดียวในสมัยนั้น ทีแรกก็เรียกกันว่า FRA (Frater - พี่ชาย) FILIPPO
หลวงพี่ฤๅษีฟิลิปโป ท่านได้รับเชิญให้เข้าไปวาดรูปแม่พระในอาราม และใช้ชีสาวหน้าตาหมดจดเรียบร้อย
ชื่อลูเกรเซีย (LUCREZIA) เป็นแบบ วาดไปวาดมาหลวงพี่เกิดดื่มด่ำในความงามของซิสเตอร์ลูเกรเซีย
เกิดอาการ "ตบะ" แตกด้วยกันทั้งคู่ จึงสึกออกมาแต่งงานกัน มีลูก 2 คน คนแรกเป็นชายชื่อ FILLIPPINO
ซึ่ง ก็มีพรสวรรค์ในการวาดรูปเช่นเดียวกับพ่อ ส่วนลูกสาวชื่อ ALESSANDRA แล้วก็จะไปชมรูปดาวิด
ซึ่งสลักโดยไมเคิล แอนเจโล พอไปถึงก็คอตก เห็นคิวยาวเป็นกิโลเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว ที่มากับคณะ
ของคุณประเทือง และอาจารย์ปรีชา เถาทอง ก็ต้องยอมแพ้ฝรั่งที่มีความอดทน และมีเวลามากกว่าพวกเรา
เพราะยังไม่ได้ชอปปิ้งสินค้าประเภทหนัง เพราะที่นี่ของเขา "เนี้ยบ" จริงๆ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 8:12 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (33)👈
🌼--- อีกมุมหนึ่งในอิตาลี ---🌼

🔹โรม
วันแรกก็เข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สมบูรณ์แบบจริงๆ มีของสารพัด
ให้ชม เช่น มัมมี่จากอียิปต์ รูปแกะสลักหินอ่อนจากกรีก เรื่อยมาจนถึงภาพวาดของจิตรกรมีชื่อ
ในสมัย 500 ปีที่แล้ว แต่ที่ตั้งใจจะไปชมกันเป็นพิเศษก็คือ ผลงานวาดของไมเคิล แอนเจโล
(ภาษาอิตาลีออกเสียง มีเกลันเจโล) ในโบสถ์ซิสติน ก็ได้ชมสมใจนึกคือ ภาพพระเจ้าสร้างโลก
สร้างมนุษย์คู่แรก ซึ่งบูรณะซ่อมแซมมา 4 ปีเพิ่งเสร็จ ดูภาพสดใสกว่าที่เคยชมครั้งแล้วๆ มากทีเดียว
เสียอยู่นิดเดียวที่ไม่ได้ชมภาพมีชื่อของไมเคิล แอนเจโล ที่วาดภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย อันที่จริง
เขาบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเอาฉากปิดไว้ เพียงรอการเปิดเป็นทางการโดยพระสันตะปาปา
ในอีก 3 วันข้างหน้าเท่านั้น แล้วพวกเราก็ออกจากพิพิธภัณฑ์ ตรงไปชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
เพื่อชมศิลปะชิ้นเอกของไมเคิล แอนเจโล คือ รูปแกะสลักหินอ่อนเป็นรูปแม่พระวางพระศพของ
พระเยซูไว้บนตัก หลังจากถูกปลดลงจากไม้กางเขน ชาวคาทอลิกเรียกกันว่า "แม่พระปลงสังเวช"
หรือ LA PIETA จากนั้นอาจารย์กำจร ก็นำไปชมผลงานของ แบร์นีนีหลายชิ้น เช่น BALDACCHINO
หรือภาษาอังกฤษว่า CANOPY ในภาษาไทยไม่ทราบว่าเขาเรียกกันอย่างไร ผมขอเรียกพลับพลาก็
แล้วกัน จุดเด่นก็คือ เสาบรอนซ์ลวดลายสวยงาม 4 ต้น พร้อมหลังคาลวดลายเช่นเดียวกัน
สร้างคร่อมพระแท่นกลาง โป๊ปเท่านั้นจะเป็นผู้ประกอบพิธีบนพระแท่นนี้
ชมผลงานของแบร์นีนีในวิหารเซนต์ปีเตอร์ยังไม่จุใจ ก็เลยไปชมที่พิพิธภัณฑ์แบร์นีนี ที่วิลลา
บอร์เกเซ รูปแกะสลักหินอ่อน "เนี้ยบๆ" ของแบร์นีนีรวมกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด เห็นแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
ฝีมือแกะสลักของเขาเยี่ยมจริงๆ เช่น รูปการฉุดคร่านางโปรแซร์ปีนา รูปอาโปลโล และดาฟีเน
สุดท้ายรูปดาวิด กำลังเหวี่ยงสายสลิงฆ่ายักษ์โกไลแอท แล้วเราก็จบการชมพิพิธภัณฑ์กันที่พิพิธภัณฑ์
MODERN ART แห่งกรุงโรมเพียงเท่านี้ ผมขอสงวนที่จะไม่วิจารณ์เกี่ยวกับ MODERN ART ชมพิพิธภัณฑ์
ยุโรปมามากแห่ง ผ่านเกจิมาหลายท่าน รวมทั้งอาจารย์กำจร และอาจารย์ประเทือง ก็ยังรู้สึกวนเวียน
แค่อนุบาลนี่เอง ในเรื่อง MODERN ART จึงขอคุยเรื่องต่อไปดีกว่า

🔹เข้าเฝ้าโป๊ป
ผมต้องทำหนังสือผ่านพระสมณทูตแห่งสันตะสำนัก (วาติกัน) ประจำประเทศไทยล่วงหน้า 2 เดือน
ในนามของวุฒิสมาชิกท่านหนึ่ง ซึ่งจะร่วมเดินทางสู่อิตาลีครั้งนี้ด้วย แต่บังเอิญมีการเปิดประชุมวิสามัญ
ท่านจึงยกเลิการเดินทาง เหลือพวกเรา 4 คนเท่านั้น อาศัยบารมีของท่านนี่เองพวกเราจึงได้ที่นั่งอันดับ
ต้นๆ นำความตื่นเต้นยินดีเหลือที่จะบรรยาย เมื่อได้เวลา โป๊ป จอห์นพอล ที่ 2 ก็ประทับยืนบนรถจี๊ป
เสด็จมาที่ลานหน้าวิหารเซนต์ปีเตอร์ ทรงทักทายผู้มาเข้าเฝ้าเต็มลานพระวิหาร แล้วประทับนั่งบน
พลับพลาหน้าพระวิหาร แล้วเป็นการรายงานของกลุ่มคริสตชนต่างๆ จากทั่วโลก แล้วพระองค์ตรัส
ตอบเป็นภาษาต่างๆ ประมาณ 10 ภาษา ที่จำได้ก็มี ภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส
เชคโก โครแอต ฮังการี โปแลนด์ และอิตาลี เมื่อเสร็จพิธีแล้ว พระองค์ก็ตรงมาทักทายพวกเราเป็น
อันดับแรก คุณศิวพร หิรัญรัตน์ และคุณศรีสุภางค์ อินทร์ไทร ทั้งๆ ที่มิใช่คาทอลิก ก็อุตส่าห์ซื้อลูกประคำ
ไปคนละหลายสายเพื่อให้พระองค์ทรงเสก แล้วจะได้นำกลับมาฝากเพื่อนขาวคาทอลิก
ต่างเป็นปลื้มกันแบบสุดสุด

🔹โป๊ปทรงอวยพร "URBI ET ORBI"
ณ วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน เป็นวันอีสเตอร์ ชาวคริสต์ถือเป็นวันฉลองที่สำคัญที่สุดในรอบปี
บางท่านเข้าใจไปว่าวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันสมภพของพระเยซูนั้นสำคัญที่สุด นับว่ายังเข้าใจไม่ถูกต้อง
ชาวคริสต์ถือว่า การอวตารมาเกิดเป็นมนุษย์ในวันคริสต์มาสนั้นก็สำคัญอยู่ แต่การที่พระองค์สิ้น
พระชนม์แล้วทรงกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันอีสเตอร์ (ซึ่งปีนี้ตกวันที่ 3 เมษายนนั้น) สำคัญยิ่งกว่า ทั้งนี้
เป็นการสำแดงถึงพระเทวภาพของพระองค์ คือ พระองค์มิใช่มนุษย์ปุถุชน แต่เป็นพระเจ้า
(อวตารมาเกิดเป็นมนุษย์) จึงสามารถฟื้นคืนชีพได้ ในวันอีสเตอร์นั้น โป๊ปเสด็จมาประกอบพิธีมิสซา
ที่หน้าพระวิหารเซนต์ปีเตอร์ เมื่อจบพิธีแล้วพระองค์เสด็จขึ้นบนมุขชั้นบนของวิหาร เพื่อกล่าวสุนทรพจน์
เป็นการแจกแจงถึงความสำคัญแห่งการฉลองอีสเตอร์ แก่ผู้มาร่วมพิธี พระองค์ตรัสเป็นภาษาต่างๆ
ถึง 57 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยของเราด้วย ซึ่งมีใจความย่อๆ ดังนี้ "วันนี้เราฉลองปัสกา เพื่อรำลึก
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ครั้งเมื่อโมเสสรวบรวมชาวอิสราเอล ที่ตกเป็นทาสในอียิปต์ให้
เตรียมสเบียง และ เอาเลือดลูกแกะทาที่วงกบประตูก็ถูกไว้ชีวิตจากทูตสวรรค์ ที่สุดก็ข้ามทะเลแดงสู่
แดนอิสรภาพได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชาวยิวยังคงฉลองปัสกาเรื่อยๆ มา จนกระทั่งยุคพระเยซูซึ่งได้สิ้น
พระชนม์ แล้วคืนชีพในวันปัสกาของยิวนี้เอง จึงนับเป็นวันน่าชื่นชมสำหรับชาวคริสต์ ที่มีความหวังว่า
จะมีชีวิตใหม่ในอาณาจักรสวรรค์ โดยอาศัยพระบารมีแห่งการไถ่บาป โดยการตายบนไม้กางเขนของ
พระเยซู เช่นเดียวกับชาวยิวที่อพยพมาสู่แดนอิสรภาพโดยอาศัยเลือดของลูกแกะ ฉันนั้น"
ที่สุดพระองค์ทรงอวยพร "URBI ET ORBI" เป็นภาษาลาติน แปลว่า "แด่เมือง (โรม) และ แด่โลก"
โดยที่พระองค์ทรงเป็นสังฆราชแห่งกรุงโรม และเป็นประมุขพระศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลก จึงมี
ความหมายว่า พระองค์ทรงอวยพร สัตบุรุษแห่งกรุงโรม และ สัตบุรุษทั่วโลกด้วย
อิตาลีหลังเลือกตั้ง แล้วเจ้าพ่อสื่อสารแบร์ลุสโกนีก็นำพันธมิตรฝ่ายขวาเข้าป้ายไปตามคาดหมาย
พันธมิตรฝ่ายขวาเขามีชื่อเป็นทางการว่า ขั้วแห่งอิสรภาพ (POLO DELLA LIBERTA) ก็มีพรรคอิตาลี สู้
(FORZA ITALIA) พรรคสันนิบาตภาคเหนือ (LEGA NORD) พรรคพันธมิตรแห่งชาติหรือฟาสซิสใหม่
(ALLEANZA NAZIONALE) และพรรคหัวรุนแรง เล็กๆ อีกหนึ่งพรรค รวมได้ที่นั่งทั้งหมด 366 ที่นั่ง
ส่วนพันธมิตรฝ่ายซ้าย ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า กลุ่มก้าวหน้า (PROGRESSISTI) ได้ที่นั่งทั้งหมด 213 ที่นั่ง
พรรคสายกลาง ซึ่งก็คือ อดีต DC ได้ทั้งหมด 46 ที่นั่ง ขั้นตอนต่อไปก็คือ นัดประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภา
แล้วจึงมีการฟอร์มรัฐบาล ช่วงนี้ก็เป็นรายการแก้เหงาปาก นายบอสซี่เลขาธิการพรรคสันนิบาตภาคเหนือ
ก็คุยว่าเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลก็จะเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่ และเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศใหม่เป็น
สหพันธรัฐ วันรุ่งขึ้นก็โดนสื่อมวลชนอัดเสียแทบจะหมดรูปของผู้ชนะ
ยังไม่ทันฟอร์มรัฐบาลเลย ชาวอิตาลีชักรู้สึกผิดหวังที่ไปเลือกคนเพี้ยนเข้าสภา
จะเพี้ยนขนาดไหนผมจะติดตามมาคุยในโอกาสต่อไป

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 8:17 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 34 )👈
🌼--- 25 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง "ไทยกับนครรัฐวาติกัน" [A] ---🌼
       
  ประเทศไทยกับสันตะสำนัก (HOLY SEE) อันหมายถึง นครรัฐวาติกัน มีความสัมพันธ์กันมาเวลา
ไม่น้อยกว่า 483 ปี โดยผ่านงานแพร่ธรรมศาสนาคริสต์ของคณะนักบวชต่างๆ จากหลายประเทศ
คือในปี 1511 อัลฟอนโช อัลบูเกิร์ท อุปราชโปรตุเกสประจำประเทศอินเดีย ได้จัดคณะทูตในนาม
ของพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกส โดยมี มองซินญอร์ ดัวร์เต แฟร์นันเดส เป็นหัวหน้า เดินทางเข้ามา
เชื่อมสัมพันธไมตรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่า น่าจะมีพระสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นศาสนาจารย์ประจำกองทหาร
เข้ามากับคณะทูตด้วย ถ้าเป็นดังสันนิษฐาน ก็แสดงว่าการแพร่ธรรมในประเทศไทยเริ่มต้นแต่บัดนั้น
และในเวลาต่อมา คือในปี 1555 ตรงกับ รัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีพระสงฆ์ดอมีนิกัน 2 รูป
เข้ามาในประเทศไทยในฐานะ มิสชันนารี ชื่อเจโรม แห่งไม้กางเขน (JEROME DE LA CROIX) อีกรูปหนึ่ง
ชื่อ เซบาสเตียน แห่งกันโต (SEBASTIEN DE CANTO) ในปี 1584 มีพระสงฆ์นักบวชคณะฟรันซิสกัน
เข้ามาอีก 2 รูป คือ คุณพ่อ ฟรันซิส แห่งมอลติลดา และคุณพ่อ ดีเอโก ฆีเมเนส
พอถึงปี 1662 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็มีสถิติออกมาว่า
ในกรุงศรีอยุธยา และลพบุรี มีคริสตชนประมาณ 2000 คน มีพระสงฆ์ดูแลให้บริการทางศาสนาอยู่ 11 รูป
ในปี 1666 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระราชทานที่ดินแก่พระสังฆราช เดอลาม็อต
เพื่อสร้างวัด และโรงเรียน ในเขตกรุงศรีอยุธยา เรียกกันในสมัยนั้นว่า ค่ายนักบุญยอแซฟ พระสังฆราช
ลาม็อตยังได้ตั้งคณะนักบวชหญิง ชื่อภคินีรักไม้กางเขน การแพร่ธรรมระยะแรกนี้ได้รับความสำเร็จ
อย่างมาก จากความสามารถของคณะสงฆ์ธรรมทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อลาโน ผู้สามารถ
ในหลายๆ ด้าน ทั้งทางด้านอบรมสามเณร รักษาคนป่วย แปลบทสวด เรียบเรียงคำสอนเป็นภาษาไทย
เดินทางไปแพร่ธรรมยังที่ต่างๆ ลงมาถึง ตำบลบางกอก และได้สร้างวัดเล็กๆ ที่ริมน้ำเจ้าพระยาขึ้นแห่งหนึ่ง
ชื่อวัดแม่พระปฏิสนธินิรมล (วัดคอนเซ็ปชัญ) ซึ่งยังคงรักษาไว้กระทั่งบัดนี้ ณ เลขที่ 167 ซอยมิตคาม
ถนนสามเสน กรุงเทพฯ
ประวัติศาสตร์ตอนนี้ บอกถึงความสัมพันธ์ผ่านทางศาสนาคริสต์สู่ประเทศไทยเมื่อเกือบ 500 ปี
มาแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ของประเทศไทยต่อสันตะสำนักโดยตรงเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1960
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือน
นครรัฐวาติกัน และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ที่ 23
ต่อมา รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสันตะ
สำนักอย่างเป็นทางการ เอกอัครสมณทูตประจำประเทศไทยท่านแรก คือ ฯพณฯ ฌัง ฌาโดต์ ได้เข้า
เฝ้าถวายสาส์นตราตั้งต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1968 และเอกอัครราชทูต
ไทยประจำสันตะสำนักท่านแรกคือ ฯพณฯ พลจัตวา (ปัจจุบัน พลเอก) ชาติชาย ชุณหะวัณ ฯพณฯ
ได้เข้าเฝ้าถวายสาส์นตราตั้งต่อสมเด็จพระสันตะปาปา พอลที่ 6 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1971

🔹รายนาม เอกอัครสมณทูตแห่งสันตะสำนัก ประจำประเทศไทย
1. H.E. JEAN JADOT A.N. (68 - 72)
2. H.E. GIOVANNI MORETTI AN. (72 - 78)
3. H.E. SILVIO LUONI A.N. (78 - 81)
4. H.E. RENATO R. MARTINO A.N. (81 - 86)
5. H.E. ALBERTO TRICARICO A.N. (86 - 93)
6. H.E. LUIGI BRESSAN A.N. 93
เอกอัครสมณทูต (Apostolic Nuncio) องค์ปัจจุบันคือ พระอัครสังฆราช ลุยจี เบรสซัน
(ARCHBISHOP LUIGI BRESSAN) ท่านเกิดที่เมือง ซาร์เก จังหวัด เตรนโต อิตาลี
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1940 บวชเป็นพระสงฆ์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1964 ได้รับอภิเษก
เป็นพระสังฆราช เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1989 ท่านเดินทางมารับตำแหน่งเอกอัครสมณทูต
ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1993

🔹รายนาม เอกอัครราชทูตไทย ประจำสันตะสำนัก
1. ฯพณฯ พลจัตวา ชาติชาย ชุณหะวัน 1971
2. ฯพณฯ อุปดิษฐ์ ปาจรียางกูร 1971
3. ฯพณฯ พลตรี ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล 1974
4. ฯพณฯ กลด วิเศษสุรการ 1977
5. ฯพณฯ วราจิต นิติพนธ์ 1977
6. ฯพณฯ โอวาท สุทธิวาทนฤพุฒ 1984
7. ฯพณฯ สมบูรณ์ เสงี่ยมบุตร 1988
8. ฯพณฯ สินธู ศรสงคราม 1991
9. ฯพณฯ วิทย์ รายนานนท์ 1994
ตำแหน่ง สันตะปาปา คำว่า "สันตะปาปา" เป็นคำที่ใช้แทนคำ SANCTUS PAPA แปลว่า
บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ แต่สำเนียงใกล้มาทางคำว่า "สันตะปาปา" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ผู้สงบบาป" หรือ
"ผู้ระวังบาป" จะยึดตามคำแปลใดก็ตาม ก็ยังคงอยู่ในความหมายเดียวกัน เพราะผู้สงบจากบาป
หรือระวังมิให้บาปเกิดขึ้น ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์กายใจประกอบกับความดีที่บำเพ็ญมา
ทำให้เกิดบุญบารมีที่ถือเป็นความศักดิ์สิทธิ์
ตำแหน่ง "สันตะปาปา" เป็นตำแหน่งที่ครองสองฐานะควบคู่กันไป ได้แก่ ฐานะประมุขและ
ผู้ปกครองพระศาสนจักรคาทอลิกสากล และฐานะผู้ครองนครรัฐวาติกัน ดังนั้นจึงมีภาระหน้าที่พร้อมกัน
สองประการ ดังต่อไปนี้
ประการหนึ่ง ได้แก่ภารกิจต่อพระศาสนจักรคาทอลิกสากล ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกเป็นจำนวน
ประมาณ 970 ล้านคน (คริสตชนทุกนิกายมี 1600 ล้านคน) เป็น "ผู้เลี้ยงแกะ" ด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดี
แนะนำ สั่งสอนชี้ขาด เมื่อมีข้อข้องใจทางธรรม บำรุงจิตใจ และ การกระทำให้เจริญงอกงามตาม
พระธรรม ตามธรรมจริยา และตามธรรมประเพณีคาทอลิก
ประการที่สอง ได้แก่ภารกิจต่อโลกและมนุษยชาติ ในฐานะที่เป็นผู้ครองรัฐอิสระ ที่มีความสัมพันธ์
ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
สันตะสำนัก ในภาษาลาติน ใช้คำ SANCTA SEDES แปลว่า ที่นั่งศักดิ์สิทธิ์ ภาษาอังกฤษใช้
"HOLY SEE" คำ SEE คงเพี้ยนมาจากคำ SEDES ที่นั่ง ซึ่งภาษาอังกฤษ ก็คือ SEAT หรือบางทีก็ใช้
APOSTOLIC SEE คำ APOSTOLIC เป็นคำคุณศัพท์ของคำ APOSTLE มาจากภาษากรีก แปลว่า
อัครสาวก นั่นก็คือ "ที่นั่งที่สืบจากอัครสาวก" "สันตะสำนัก" นี้ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า วาติกัน ในกรุงโรม
โดยอาศัยสนธิสัญญาลาเตราน วันที่ 11 ก.พ. 1929 กำหนดให้ ระหว่างรัฐบาล อิตาลี กับสันตะสำนัก
ว่าสันตะสำนัก เป็นรัฐอิสระ มีเนื้อที่ 0.44 ตารางกิโลเมตร มีขอบเขตตั้งแต่หมู่เสาของระเบียงวิหาร
เซนต์ปีเตอร์ ถนน PORTA ANGELICA, จตุรัส (PIAZZA) RISORGIMENTO
ถนน BASTIONI DI MICHELANGELO ถนน VATICANO และถนน STAZIONE SAN PIETRO
มีประชากร 600 คน จริงๆ แล้ว สันตะสำนักแห่งแรกอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วย้ายมาที่อันตีโอเกีย
ที่สุดก็ย้ายมาที่กรุงโรม ในปัจจุบัน สันตะสำนัก มีโรงเรียนการทูตเก่าแก่ที่สุดในโลกตั้งเมื่อปี 1701

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 8:23 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (35)👈
🌼--- 25 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง "ไทยกับนครรัฐวาติกัน" ---🌼
         
สันตะสำนัก มีความสัมพันธ์ทางการทูต กับ 151 ประเทศ กัมพูชาเป็นประเทศที่ 151 เนื่องจาก
สันตะสำนักเป็นรัฐอิสระรัฐหนึ่ง ซึ่งมีโป๊ปเป็นประมุข ก็มีหน่วยงานในการบริหารเช่นประเทศหนึ่ง
ดังนี้
สำนักเลขาธิการแห่งรัฐ เทียบเท่าสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งแบ่งเป็น 2 แผนกใหญ่ๆ ดังนี้คือ
1. แผนกความสัมพันธ์กับรัฐต่างๆ (SECTION FOR RELATION WITH STATES) แบ่งออกเป็น
ก. สถานทูตต่างๆ กับสันตะสำนัก (EMBASSIES TO THE HOLY SEE)
ข. สถานสมณทูต (APOSTOLIC NUNCIATURES) ซึ่งแต่ละสถานสมณทูตมีภารกิจต่อพระศาสนจักร
ท้องถิ่น และมีภารกิจต่อรัฐบาลในประเทศนั้นๆ
ค. ผู้แทนแห่งสันตะสำนัก (APOSTOLIC DELEGATIONS) หมายถึงผู้แทนแห่งสันตะสำนัก มีบทบาท
กับพระศาสนจักรท้องถิ่นเท่านั้น อย่างเช่นในปี 1957 พระศาสนจักร มีผู้แทนสันตะสำนัก สำหรับ
พระศาสนจักรในเมืองไทย ยังมิได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เราเรียกว่า พระสมณทูต APOSTOLIC DELEGATE
ซึ่งได้แก่ พระคุณเจ้า JOHN GORDON และในปี 1965 ถึง 1967 เราก็มีพระสมณทูตชื่อ พระคุณเจ้า
ANGELO PEDRONI
2. แผนกภารกิจทั่วไป ซึ่งแบ่งเป็น 4 ส่วน
ดังนี้
ก. ส่วนพิธีกรรม (CEREMONIAL)
ข. ส่วนสื่อสารมวลชน (MEDIA)
ค. ส่วนการเงิน (FINANCIAL)
ง. ส่วนการจัดการ (ADMINISTRATIVE)
การบริหารแบ่งออกเป็น 9 สมณกระทรวง (CONGREGATION) มีสมณมนตรี
พระชั้นคาร์ดินัล หรืออัครสังฆราชเป็นเจ้ากระทรวงดังนี้
1. สมณกระทรวง พระธรรมความเชื่อ (DOCTRINE OF THE FAITH)
2. สมณกระทรวง พระศาสนจักรตะวันออก (EASTERN CHURCHES)
3. สมณกระทรวง การนมัสการพระเจ้า และศีลศักดิ์สิทธิ์ (DIVINE WORSHIP & THE SACRAMENTS)
4. สมณกระทรวง สอบสวนก่อนแต่งตั้งเป็นนักบุญ (CAUSES FOR THE SAINTS)
5. สมณกระทรวง พระสังฆราช (BISHOPS)
6. สมณกระทรวง แพร่ธรรมสู่ประชาชน (EVANGELIZATION TO PEOPLE)
7. สมณกระทรวง บรรพชิต (CLERGY)
8. สมณกระทรวง สถาบันของผู้อุทิศชีวิต (INSTITUTES OF CONSECRATED LIFE)
9. สมณกระทรวง สามเณราลัย และสถาบันแห่งการศึกษา (SEMINARIES & INSTITUTES OF STUDY)
เพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างราบรื่น โป๊ป ก็มีสภาที่ปรึกษาเปรียบเสมือนวุฒิสมาชิก
คือคณะพระคาร์ดินัล จำนวนประมาณ 150 ท่าน
เมื่อโป๊ปสิ้นพระชนม์ลงก็จะมีการเลือกตั้งโป๊ปองค์ใหม่ ผู้มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็นโป๊ป ต้องมี
พระสมณศักดิ์ เป็นพระคาร์ดินัล อายุไม่เกิน 80 พรรษา เมื่อต้นปีนี้มีพระคาร์ดินัลสำคัญ 2 ท่าน คือ
พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ พระสมณมนตรี กระทรวงพระธรรมความเชื่อได้เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
เพื่อเสวนากับรับไบชั้นผู้ใหญ่ของยิว หลังจากบรรลุข้อตกลงที่จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน
นับได้เกือบสองพันปี ที่มิได้มีการติดต่อกัน หรือพูดให้ตรงจุดก็คือ มีความขัดแย้งกันในเรื่องศาสนาเรื่อยมา
เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ ทำให้นักพยากรณ์ทั้งหลายต่างก็หาคำตอบด้วย
การพลิกตำรากันมือเป็นระวิง คำทำนายเกี่ยวกับโป๊ป โดยตรงก็มีท่าน มาลาคี สังฆราช แห่งไอร์แลนด์
เมื่อ 800 ปีที่แล้วเท่านั้น ที่ถือว่า "เจ๋ง" ที่สุด ท่านทำนายว่าโป๊ปองค์ต่อไปจะมีสมญาว่า DE GLORIA OLIVAE
"ชัยชนะของต้นมะกอก" พระคาร์ดินัลมาร์ตีนี เขียนในหนังสือของท่านเล่มหนึ่งว่า การแตกแยก (สังฆเภท)
ครั้งแรกและครั้งใหญ่ เกิดขึ้นเกี่ยวกับหลักเทวศาสตร์ และกิจกรรมบางอย่างในชุมชนชาวยิว และชาวคริสต์
ในระยะแรกๆ ได้สร้างรอยแผลมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แผลใหญ่ และเรื้อรังนี้ จะไม่สามารถบำบัดเยียวยาได้
หากไม่ยอมย้อนถอยกลับเข้าไปในส่วนลึกภายในของศาสนายิว นั่นก็หมายความว่า โป๊ปองค์ต่อไป
จะต้องกลับคืนสู่กรุงเยรูซาเล็ม ปีเตอร์กลับคืนสู่ปีเตอร์ หลังจากถูกเนรเทศไปสู่กรุงโรม
(เช่นเดียวกับพวกยิวที่ถูกเนรเทศไปทั่วโลกเกือบสองพันปี ที่สุดก็กลับคืนรังเมื่อปี 1948)
"ชัยชนะของต้นมะกอก" อาจหมายถึงเหตุการณ์ตอนที่พระเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย
มีคนต้อนรับโห่ร้องยินดี พร้อมโบกกิ่งลาน (ปาล์ม) หรือกิ่งมะกอก แต่หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้รับการ
ทรมานแสนสาหัส กระทั่งสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วจึงจะทรงฟื้นขึ้นมาใหม่ คงจะเป็นการบอกใบ้ถึง
สถานการณ์ของพระศาสนจักรว่าจะถึงช่วงสุดท้าย ที่วิกฤติสุดสุดก่อนจะกลับรุ่งโรจน์ในบั้นปลาย
การมากรุงเยรูซาเล็มของพระคาร์ดินัลมาร์ตินี ก็กระทำเช่นเดียวกับอาคันตุกะคนสำคัญของอิสราเอล
ที่ต้องไปปลูกต้นมะกอกที่ป่าแห่งสันติภาพชื่อ TALPIOT แต่สำหรับท่านพระคาร์ดินัล คงจะมีความหมาย
เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นที่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นบ้านมากกว่าที่อื่น" พลางชี้มือไปทางเนินเขาอีกด้านหนึ่ง
แล้วกล่าวว่า นั่นเป็นที่ฝังศพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะมาพักผ่อนที่นี่หลังจากลาเกษียณ
(พระสังฆราช จะลาเกษียณได้หลังครบ 75 พรรษา) "โป๊ป ไม่มีลาเกษียณนะครับพระคุณเจ้า" นักข่าวผู้หนึ่ง
กล่าวกับท่านอันเป็นการบอกใบ้ว่า พระคาร์ดินัลมาร์ตินี คือ โป๊ปองค์ต่อไป พระคาร์ดินัลสวนกลับ
ในทันทีว่า "NON CI PENSO" ฉันไม่คิดเรื่องเหล่านี้หรอก
มาดูบทกลอนของนอสตราดามุส ว่าพูดอะไรถึงสันตะสำนักบ้าง ในบทที่ 99/8
Par la puissance des trois Rois temporels,
en autre lieu sera mis le sainct Siege,
ou la substance de l'esprit corporel,
sera remis et receu pour vray siege.
เนื่องเพราะอิทธิพล แห่ง จ้าว 3 ตนผู้มีอิทธิฤทธิ์ชั่วระยะหนึ่ง
สันตะสำนักจะถูกสถาปนาในสถานที่อื่น
ณ ที่ซึ่ง สถานภาพแห่งจิตวิญญาณที่ยังแนบติดกับกายนั้น
จะถูกแปรโฉมและเป็นที่ยอมรับว่าเป็น(สันตะ) สำนักที่แท้จริง
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าจากคำทำนายต่างๆ รวมทั้งสารจากผู้มีฌานญาณ
หรือผู้นั่งทางใน จากคำกลอนบทอื่นๆ ของนอสตราดามุส และที่สำคัญที่สุดจากพระธรรมวิวรณ์บทที่ 12
และ 13 ผมขอฟันธงลงไปเลยว่า จ้าว 3 ตน ผู้ทรงอิทธิพล คือ 1. จ้าวตนแรก หรือ พญามังกรสีแดง มีเจ็ดหัว
มีสิบเขาแต่ละหัวมีมงกุฎอยู่ (วิวรณ์ 12:3) จ้าวที่ 2 คือ ลัทธิฟรีเมซอน หรือ สัตว์ร้ายตัวที่ 1 ที่ขึ้นมาจากทะเล
มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละเขามีมงกุฎสวมอยู่ (วิวรณ์ 13:1) ได้แก่ อำนาจทางการเมือง จ้าวที่ 3 ลัทธิ
ฟรีเมซอนที่แฝงตัวเข้าไปในพระศาสนจักร หรือสัตว์ร้ายตัวที่ 2 ที่ออกมาจากแผ่นดินโลก สัตว์ตนนี้มีเขา
เล็กๆ สองเขามองดูคล้ายลูกแกะ แต่มีเสียงร้องที่น่ากลัวประดุจเสียงของมังกร หมายเลขของมันคือ 666
ได้แก่ประกาศกจอมปลอม หรือปรปักษ์โป๊ป (Antipope) หรือ แอนตี้ไคร้สต์ ซึ่งจะครองเป็นจ้าวโลกช่วง
เวลาสั้นๆ ตามความเห็นของบาทหลวงกอบบี ผู้รับสารจากแม่พระเป็นประจำกล่าวว่า
ปี 1998 แอนตี้ไคร้สต์จะปรากฏโฉม
บรรทัดที่ 2 เมื่อจ้าว 3 ตนรังควานหนักมือขึ้น โป๊ปคงจะต้องหลบไปจากกรุงโรม อาจหลบไปตั้งหลัก
ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะสันตะสำนักแรกเริ่มก็มาจากกรุงเยรูซาเล็ม
บรรทัดที่ 3 เมื่อกรุงโรมจะกลายเป็นศูนย์ของแอนตี้ไคร้สต์ ตามสารของแม่พระแห่งลาซาแลตต์ที่
ได้กล่าวไว้ ตั้งแต่ปี 1846 เมื่อกรุงโรมไม่มีจิตวิญญาณคริสตชนอีกแล้ว โป๊ปคงต้องกลับบ้านเดิม คือ
เยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคริสตศาสนา แต่ไร้จิตวิญญาณคริสตชน ถือได้ว่าโป๊ปนำจิตวิญญาณ
คริสต์มาแนบกับกายเดิม
บรรทัดที่ 4 สูงสุดสู่สามัญ สันตะสำนักเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วย้ายไปอันตีโอกไปสุดที่กรุงโรม
แล้วคืนสู่สามัญที่กรุงเยรูซาเล็ม

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 15, 2023 3:25 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 36 )👈
🌼--- แสวงบุญและท่องเที่ยวยุโรปกับอิสราเอล ---🌼
         
นั่งเครื่องไปยุโรปตอนหน้าร้อนนี้รู้สึกจะไม่เหงา เพราะเห็นคนไทยหลบร้อนไปสัมผัสความหนาวเย็นกัน
มากหน้าหลายตา ถึงกรุงโรมแล้ว ต่อเครื่องไปโปรตุเกส เพื่อไปคารวะสถานที่ที่แม่พระเคยปรากฏองค์
มาพบเด็ก 3 คนที่ตำบล ฟาติมา (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม 1917 และในเดือนพฤศจิกายน
ปีนั้นเอง พรรคบอลเชวิก ในรัสเซีย ก็ปฏิวัตินำระบอบคอมมิวนิสต์มาปกครอง) ขณะนั่งเครื่องไปลิสบอน
แอร์โฮสเตสแจกหนังสือพิมพ์ให้อ่าน รู้สึกสะดุ้ง เมื่อพบข่าวว่าโป๊ปทรงหกล้มในห้องน้ำ กระดูกสะโพกหัก
ต้องเข้า ร.พ. ผ่าตัด และต้องพักฟื้นถึง 3 สัปดาห์ ที่ว่าสะดุ้งเพราะเสียใจที่พระองค์ทรงได้รับความเจ็บปวด
และ อีกอย่างหนึ่งเพราะคณะทัวร์ของเรามีโปรแกรมเข้าเฝ้าในวันที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งนับเป็นเป้าหมาย
สำคัญอันหนึ่งของคณะทัวร์ของเรา จุดสำคัญอื่นๆ ของคณะทัวร์ของเราก็มี คารวะแม่พระที่เคยปรากฏมา
ที่ฟาติมา (โปรตุเกส) ที่ลูร์ด (ฝรั่งเศส) และที่ปารีส และจุดที่สำคัญที่สุดของการแสวงบุญครั้งนี้ก็คือ
คารวะแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (อิสราเอล) อันเป็นแผ่นดินเกิดของพระเยซู พระผู้ไถ่บาปของมนุษยชาติ
การที่โป๊ปทรงต้องเข้าโรงพยาบาล ก็คงต้องยกเลิกการประชุมของคณะพระคาร์ดินัลจากทั่วโลก
ซึ่งได้กำหนดไว้แล้วคือ วันที่ 9 และ 10 พฤษภาคม พระองค์มีพระประสงค์จะจัดงานฉลองครั้งมโหฬาร
ในวโรกาสครบคริสต์ศักราช 2000
นักหนังสือพิมพ์นามกระเดื่อง บรูเนลลี แห่งหนังสือพิมพ์รายวันชื่อ "IL Tempo" วิเคราะห์ว่า การที่
โป๊ปเรียกประชุมคณะพระคาร์ดินัลครั้งนี้ มิใช่เป็นการเรียกประชุมตามปกติ แต่เป็นการเรียกประชุมที่
ทำให้คนในวงการประหลาดใจ "การสิ้นศตวรรษที่กำลังมาถึง หมายความถึงวันครบรอบ 2000 ปี แห่ง
พระประสูติกาลของพระเยซู และการเริ่มยุคใหม่แห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ" เป็นการตรัสย้ำแล้วย้ำ
อีกตลอดพระสมณสมัยของโป๊ปคาโรล วอยตัวล์ (KAROL WOJTYLA) "ฤดูหนาวเกือบจะผ่านพ้นไปแล้ว
พระจิตเจ้าจะหลั่งไหลลงสู่ฤดูใบไม้ผลิแห่งความเชื่อ ความไว้ใจ และความรัก" เป็นพระดำรัสของโป๊ป
ทำให้บรูเนลลีวิจารณ์ว่า ทำไมโป๊ปจึงตรัสอะไรแปลกๆ พระองค์ทรงพยายามที่จะสื่อความหมายให้มวล
สัตบุรุษเข้าใจ ถึงคำสอนที่พระเยซูได้ประทานให้เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว ในดินแดนที่เรียกกันตอนนั้นว่า
ปาเลสไตน์ ยังคงใช้ได้ และยังคงทันสมัยตลอดเวลาว่า "อาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม" โป๊ปได้พิจารณา
ไตร่ตรองมาเป็นเวลานาน และอย่างหนักหน่วงถึง "สัญญาณแห่งกาลเวลา" และพระองค์ก็ทรงเห็นว่า
- ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของโลก ที่มีต้นต่อมาจากความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์และทางศาสนา ยิ่งทียิ่งทวี
การขยายตัวกลายเป็นสงครามไปทั่วยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และ เอเชีย
- วัฒนธรรมของชาติตะวันตกถึงจุดเสื่อม ขั้นล้มละลายทางศีลธรรม ซึ่งจะนำไปสู่หายนะในที่สุด
- ระบบเศรษฐกิจของโลก อยุติธรรมเป็นการต้อนคนจนให้เข้ามุมอับ
- วัฒนธรรมแห่งความตาย ซึ่งมีรูปแบบที่เหี้ยมเกรียมได้ขยายไปทั่วโลก และได้กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ไปเสียแล้ว ในการฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดโดยปราศจากหิริโอตัปปะ
"โป๊ป...กำลังคิดอะไรอยู่ หากพระองค์ทรงจินตนาการถึง ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง หมายถึงการ
ถูกต้อนเข้ามุมที่ว่าข้างบนนี้หรือ หรือว่าพระองค์ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเรามองไม่เห็น...ก็อาจเป็นได้!" บรูเนลลี
กล่าวระหว่างที่โป๊ปทรงพักฟื้นที่โรงพยาบาลนี้ ทรงมีบัญชาให้นำแม่ชีมืด (Seclusion) 8 รูป
(แม่ชีคาทอลิกที่เห็นกันทั่วๆ ไปที่สอนหนังสือตามโรงเรียนต่างๆ นั้นเรียกกันว่า ชีสว่าง คือ แม่ชีที่ใช้ชีวิต
ภายนอกอาราม ส่วนชีมีด เช่นที่ถนนคอนแวนต์ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในอาราม กิจวัตรประจำวันคือ บำเพ็ญศีล
และภาวนา) เข้ามาในสำนักวาติกัน แม่ชีมืดทั้ง 8 รูปนี้มาจาก 4 ทวีป 6 ชาติคือ จากอิตาลี บอสเนีย แคนาดา
นิการากัว รวันดา และ ฟิลิปปินส์ การที่พระองค์ทรงเชิญชีมืดทั้งแปด เข้ามาบำเพ็ญภาวนาในสำนักวาติกัน
นำความแปลกใจมาสู่ผู้ใกล้ชิดเป็นอันมาก พระองค์ทรงอรรถาธิบายว่า "นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นสักขีพยานว่า
กลไกของสันตะสำนักเคลื่อนไปด้วยการบำเพ็ญภาวนา และปฏิบัติฌานสมาบัติชั้นสูงเป็นงานอันดับแรก
ส่วนงานการเมือง และการทูตนั้นเป็นอันดับรองลงมา"
หลังจากคารวะแม่พระฟาติมาแล้ว พวกเราก็เดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศส โดยผ่านสเปนแบบฉาบฉวย
ค้างที่เมือง บูรโกส แค่หนึ่งคืน อ่านหนังสือพิมพ์ ลงข่าววิกฤตการณ์การเมืองในสเปน คงจะเข้าอีหรอบเดียว
กับอิตาลี เช่นลงข่าวผู้ว่าการธนาคารชาติสเปน นายมารีอาโน รูบิโอ เข้าคุกไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับ
นายมานูแอล เดลา กอนช่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของรัฐ และผู้บัญชาการหน่วยรักษาความปลอดภัย
(Guarda Civil) กำลังหนีต่อการถูกจับ ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีนายฟิลิปเป กอนซาเลส กำลังถูกฝ้ายค้าน
ต้อนเข้ามุม คาดว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในไม่ช้า จากสเปนก็เข้าฝรั่งเศส ไปคารวะแม่พระที่เมืองลูร์ด
ที่มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีผู้แสวงบุญหลั่งไหลมาจากทั่วโลก เพื่อขอเมตตาจากพระ มาฝรั่งเศสคราวนี้ก็มีข่าว
ใหญ่ คือ พระราชินีอลิซาเบธเสด็จร่วมพิธีเปิดอุโมงค์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ร่วมกับประธานาธิบดี มิตเตอรองค์
ไปอิสราเอลคราวนี้อากาศกำลังเย็นสบาย หลังจากเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่กรุงเยรูซาเล็ม
แล้วก็เดินทางสู่กาลิลี แวะเมืองเยริโกตามปกติ ก่อนจะเข้าเมือง เห็นรถทหารวิ่งสวนกันมาหลายคัน
ไกด์บอกว่า วันนี้ วันที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันประวัติศาสตร์อิสราเอลตกลงยอมถอนทหารออกจากเยริโก
และ ฉนวนกาซ่า พวกเราจึงขอร่วมฉลองการปกครองตนเอง (AUTONOMY) กับชาวปาเลสไตน์ ด้วยการ
ชอปปิ้งที่ร้านแห่งหนึ่งที่เยริโก ก็มีพวกเครื่องสำอางรักษาผิวหน้า ที่ได้มาจากโคลนของทะเลตาย ว่ากันว่า
ราคาถูกกว่าซื้อที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ หลายเท่าตัว
อิตาลี กำลังได้รัฐบาลใหม่ เป็นรัฐบาลฝ่ายขวา ซึ่งยังมีบางคนยังขยาดฝ่ายขวาฟาสซิสต์อยู่
เช่นนายฟรังโก โมดีลีอานี เป็นยิวในอิตาลี ได้อพยพไปอยู่ในอเมริกาตั้งแต่ปี 1938 เขาบอกว่าดีใจที่ได้
หนีไปจากอิตาลีแล้ว เพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หรือ ดาราหญิง อิซาเบลลา รอสเซลลีนี กล่าวว่า
"เมื่อรู้ว่าฝ่ายขวาได้รับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาล ดิฉันก็คิดถึงคุณพ่อของดิฉัน คิดถึงเหตุการณ์ร้ายที่ได้เกิด
กับคุณพ่อของดิฉัน และยังคิดถึงเพื่อนๆ ของคุณพ่อที่ได้เสียชีวิตในคราวต่อต้านพวกฟาสซิสต์ที่ Amendola"
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ยังพาดหัวตัวโตว่า "50 ปี ให้หลัง ฟาสซิสต์ ก็กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก"
เป็นการพาดหัวข่าวที่ก่อให้เกิดความวิตกไปไกลโพ้นทะเล และ ในคำกล่าวของเลขาธิการพรรคฟาสซิสต์
ใหม่ นาย FINI ที่ว่า "มุสโสลินี เป็นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ" ยิ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปมีอาการ
"เกร็ง" ไปตามๆ กัน
และแล้วพรรคสันนิบาตภาคเหนือ ก็ได้หยิบชิ้นปลามันไปด้วยลูกตื้อของบอสซี่ตามความคาดหมาย
กล่าวคือกระทรวงกิจการภายใน ตกอยู่กับนายมาโรนี แห่งพรรคสันนิบาตภาคเหนือ ทันทีที่สาบานตัวเสร็จ
รัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ มาโรนี ก็กล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยากจะไป ปาแลร์โม เมืองเอกของ เกาะซิซิลี
ดินแดนมาเฟีย"
"ข้าพเจ้าจะเป็นรัฐมนตรีคนแรก ที่จะเปิดโปงการโกงกิน และจะไม่มีผู้ใดในระหว่างผู้บริหาร
จะฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยเด็ดขาด"
และคนหนึ่งในพรรคฟาสซิสต์ใหม่ นาย กาสปาร์รี กล่าวว่า "ประธานาธิบดี สกัลฟาโรเสี่ยงที่
จะถูกดำเนินคดี กรณีรับเงินเดือนลับๆ จากหน่วยสืบราชการลับ สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ทางที่ดีควรจะสละบัลลังก์ประธานาธิบดีโดยทันที"
การเมืองในอิตาลีคงไม่เหงานักหรอกครับ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 16, 2023 6:47 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 37 )👈
🌼--- 4 ศาสนิกรื่นรมย์ชมธรรมชาติใน 4 รัฐเล็กๆ [A] ---🌼
         
เพิ่งกลับจากการนำทัวร์ยุโรประหว่างเพื่อนๆ เกือบ 30 ชีวิต มีทั้งชาวคาทอลิก พุทธ โปรเตสแตนต์
และอิสลาม รัฐเล็กๆ ที่พวกเราตั้งใจจะไปชมก็คือ 1. ลิคเคนสไตน์ (Liechtenstiein) 2. อันดอรา
(Andorra) 3. วาติกัน (Vatican) 4. ลูรด์ (Lourdes)
ลิคเคนสไตน์ ตั้งอยู่ระหว่างประเทศออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ มีเนื้อที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร
มีประชากรประมาณ 30,000 คน มีประวัติความเป็นมาเกือบ 300 ปี มีเจ้าชายเป็นประมุข และมีเมือง วาดุส
(Vaduz) เป็นเมืองหลวง ก่อนที่จะมาชมรัฐนี้ได้ ก็ต้องไปตั้งหลักที่ กรุงเวียนนา แห่ง ออสเตรีย ซึ่งรูปร่าง
ของประเทศนี้มีรูปทรงคล้ายผลมะละกอ ถ้าจับมะละกอมาวางบนโต๊ะ เวียนนา ก็คือ ขั้วมะละกอ ซึ่งเป็น
ตะวันออกแล้วเดินทางสู่ตะวันตก คือ อินซ์บรุค (Insbruck) โดยผ่านเมืองซอลซ์เบิร์ก (Salzburg)
ที่มีชื่อเสียงก้องโลกในด้านทิวทัศน์สวยงาม ถูกนำมาเป็นฉากภาพยนตร์เรื่อง Sound of Music อันลือลั่น
ที่จริงจะชมวิวที่สวยงามไม่จำเป็นต้องไปถึงซอลซ์เบิร์ก เพราะตลอดระยะทางจากเวียนนาถึงอินซ์บรุค
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็งามไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะช่วงชอลซ์เบิร์กสู่อินซ์บรุค ในเส้นทางที่ลัดเลาะ
ไปตามซอกเขาตามชายแดนฝั่งออสเตรีย โดยไม่ตัดตรงเข้าประเทศเยอรมัน ซึ่งย่นระยะไปเป็นร้อยกิโลเมตร
ทำให้ได้ชมธรมชาติพิลาสล้ำจริงๆ มีทั้งเนินเขา ลำเนาไพร น้ำตกน้อยใหญ่ สาดซ่า พาใจให้เคลิบเคลิ้ม
เหนือคำพรรณนาใดๆ
แล้วก็มาถึงรัฐเล็กๆ ในใจกลางยุโรป ลิเคนสไตน์ เสียดายที่ช่วงนี้เข้าชมวังไม่ได้ เพราะเจ้าชาย
เสด็จเข้าพำนักระหว่างฤดูร้อนนี้ พวกเราจึงถือโอกาสช้อปปิ้งเสียเลย เพราะมีเวลาชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะ
รับประทานอาหารกลางวัน นาฬิกาโรเล็กซ์ที่ตั้งใจจะไปซื้อกันที่สวิตเซอร์แลนด์ก็ซื้อที่เมืองวาดุส แห่ง
ลิคเคนสไตน์นี่แหละ เพราะราคาปลอดภาษี เหมือนที่ สวิตเซอร์แลนด์เช่นเดียวกัน สินค้าอีกอย่างที่ขึ้นชื่อ
ที่นี่ก็คือ ฟันปลอม ทั้งสวยงาม และฝีมือประณีต แล้วก็เดินทางเข้าสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เต็มไปด้วย
ภูเขาสวย รวยทะเลสาบ พวกเราพักกันที่เมืองอินเตอร์ลาเคน (Interlaken) ชื่อเมืองก็บอกอยู่แล้วว่าอยู่
ระหว่างทะเลสาบ ที่เมืองนี้มีบ่อนคาสิโนเยอะ แต่พวกเราไม่ขอข้องแวะกับอบายมุข วันรุ่งขึ้นก็ขึ้นไปชมภูเขา
ยุงฟราว โดยนั่งรถไฟไปตามไหล่เขา ต้องเปลี่ยนรถไฟเล็ก 3 ครั้ง แล่นชันขึ้นไปเรื่อยๆ รู้สึกจะให้ความรื่นรมย์
ดีกว่าการขึ้นกระเช้า เพราะค่อยๆ ไต่เขาไปไม่หวือหวานัก จึงเหมาะแก่การถ่ายภาพวิวเป็นอย่างยิ่ง จะเลือก
เอามุมไหนก็ได้ดังใจ ภูเขายุงฟราว (Yungfrau) นี้มีความสูงถึง 3,454 เมตร ถือเป็นภูเขาที่สูงที่สุดสำหรับ
นักท่องเที่ยว คือสูงกว่า เขาปิลาตุส และทิตลิส หลังจากลงจากยอดเขาแล้วก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ โดยแวะ
ชมเมืองโลซาน ไม่มีใครที่จะหลับลง เมื่อเห็นวิวสุดสวยทั้งสองข้างทาง แล้วมาพักที่เมืองเจนีวา ถ้าดูแผนที่แล้ว
จะเห็นว่า พวกเราเดินทางเกือบเป็นเส้นตรง จากกรุงเวียนนาทางทิศตะวันออก สู่กรุงเจนีวาทางทิศตะวันตก
จากเจนีวา พวกเราก็เดินทางเข้าประเทศฝรั่งเศส วิวทิวทัศน์มิใช่ว่าจะไม่สวย เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศใหญ่
จึงคละเคล้าไปด้วยความหลากหลาย อาจจะดูไม่ค่อยกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนสวิตเซอร์แลนด์ หรือออสเตรีย
ระหว่างนั่งรถโค้ชในถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ที่กว้างขวางของฝรั่งเศส พวกเราก็เพลาการชมวิวลงบ้าง สลับรายการ
ด้วยการร้องเพลงนานาชาติ มีทั้งเพลงไทย เพลงจีน และเพลงฝรั่ง แต่ที่เรียกเสียงหัวเราะกันแทบตกเก้าอี้ก็คือ
คุณพี่ผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาก็ดูเป็นคนไทยหรอก แต่เสนอตัวร้องเพลงกล่อมลูกเป็นภาษาจีน กว่าจะร้อง
"เพลงจีนแปลง" จบ ก็เรียกเสียงฮา สลับกระทืบเท้าและเป่าปากกันมันหยด แล้วก็มาถึง Pont du gard
โดยไม่รู้ตัว สะพานข้ามแม่น้ำการ์ดนี้ สร้างโดยอากริปปา (Agrippa) บุตรเขยของจักรพรรดิ เอากุสตุส
เมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล ใช้เป็นท่อส่งน้ำ (Aqueduct) จากภูเขาสู่เมือง Nimes นับเป็นสิ่งอัศจรรย์กว่า
สองพันปีที่ยังหลงเหลืออยู่ สะพานนี้เคยถูกทำลายเมื่อศตวรรษที่ 3 แล้วได้รับการซ่อมแชมหลายครั้ง ตลอด
ศตวรษที่แล้วจนถึงปัจจุบัน สะพานนี้ยังใช้สำหรับคนข้ามเป็นปกติ ตลอดสองพันปี ปองต์ เดอ การ์ด เป็นที่
กล่าวขวัญมิใช่แต่จากนักเขียนนักประพันธ์เท่านั้น แต่จากวิศวกรก่อสร้างที่ยังทึ่งถึงความเก่งกาจของคนโ
บราณเมื่อสองพันปีด้วย พวกเขาใช้หินเป็นก้อนๆ วางซ้อนกันโดยไม่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ สะพานนี้มีความสูง
ถึง 49 เมตร มีน้ำหนักถึง 6 ตัน ซ้อนกันเป็น 3 ชั้น พวกเราก็ชักภาพกันไว้เป็นที่ระลึก รวมทั้ง "ก๋ง" ปรากฏว่า
ไม่ค่อยมีภาพสะพานโรมันสักเท่าไร แต่จะได้ภาพ "กบ" อาบน้ำ เสียส่วนมาก คณะทัวร์จึงให้สมญาใหม่ว่า
"ก๋งทีเด็ด" แล้วรถโค้ชก็แล่นผ่านเมือง อาวีญอง ทำให้คิดถึงประวัติศาสตร์ตอนที่เคยเป็นศูนย์กลาง
พระศาสนาจักรคาทอลิกถึง 70 ปี แล้วจึงได้มีการย้ายกลับสู่กรุงโรมจนถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ตอนนี้ก็ไป
"ซ้ำรอย" กับประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศไปอยู่กรุงบาบิโลนเสีย 70 ปี ในปี 586 ก่อน
คริสตกาล แล้วจึงกลับถิ่นฐานบ้านเกิดในอิสราเอล ต่อมา ในปี ค.ศ. 70 ถูกกองทัพโรมันบดขยี้จนต้อง
แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลกเกือบ 2,000 ปี ที่สุดในปี 1948 จึงได้กลับมารวมชาติกันใหม่ ตามคำทำนาย
โบราณ ว่ากันว่า พระศาสนจักรคาทอลิกจะย้ายกลับถิ่นเดิมคือกรุงเยรูซาเล็ม อันเป็นศูนย์กลางแรกเริ่มของ
พระศาสนจักรคาทอลิก หากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองโดยสมาคมลับฟรีเมซอนในกรุงโรม
เราพักคืนแรกในฝรั่งเศสที่เมืองมองเปลีเยร์ (Montpellier) เป็นเมืองที่นอสตราดามุส
ได้มาศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ แต่กลับไปเอาดีทางโหราศาสตร์ที่เมืองซาลอง ใกล้ๆ กันนั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 9:13 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (38 )👈
🌼--- 4 ศาสนิกรื่นรมย์ชมธรรมชาติใน 4 รัฐเล็กๆ ---🌼
         
วันรุ่งขึ้นคณะทัวร์ของเราออกเดินทางแต่เช้ามุ่งสู่เมืองเล็กๆ ชื่อ ลูร์ด (Lourdes) มีประชากรราว
50,000 คน ที่เมืองนี้ แม่พระได้ปรากฏมาพบเด็กยากจนคนหนึ่งชื่อ แบร์นาแดตต์ เมื่อ 135 ปีที่แล้ว
แม่พระได้ให้เด็กเอามือขุดที่พื้นดิน แล้วก็มีน้ำพุไหลออกมา เพื่อใช้ชำระกายและจิตใจให้ผุดผ่อง
คู่ควรกับที่เป็นบุตรของพระเจ้า แล้วผู้แสวงบุญในภายหลังใช้น้ำที่ได้มาจากบ่อน้ำนี้ เพื่อรักษาโรค
ต่างๆ ซึ่งก็มีผู้คนจำนวนมากได้หายโรคอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้  ลูร์ดจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้แสวงบุญ
จากทุกมุมโลก เป็นเรื่องที่แปลกที่คุณผู้หญิงชาวพุทธคนหนึ่งในคณะทัวร์ของเรา ก่อนที่จะตัดสินใจ
เดินทางท่องยุโรปครั้งนี้ เธอได้นิมิตเห็นภาพบริเวณวิหารแม่พระเมืองลูร์ด และในนิมิตได้ไปอาบน้ำ
ศักดิ์สิทธิ์ในห้องๆ หนึ่ง โดยมีคนมาช่วยพยุงตัวให้จุ่มในบ่อน้ำ จึงได้ชวนน้องสาว 2 คน รวมทั้งคุณแม่
อายุ 84 ปีไปด้วย และเมื่อคณะทัวร์ไปถึงเมืองลูร์ด เธอถึงกับตะลึงกับภาพบริเวณวิหารแม่พระ ช่าง
เหมือนกับในนิมิตของเธอไม่ปิดเพี้ยน และขณะเข้าห้องอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีบรรดาอาสาสมัครคอย
ช่วยเหลือในการผลัดผ้า หรือพยุงตัว เธอก็รู้สึกตัวชาไปหมด ไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนถึงเวลาแต่งตัวเรียบ
ร้อยแล้ว ในใจของเธอเต็มตื้นไปด้วยความปีติ เธอนำเหตุการณ์เหล่านี้มาเล่าให้คณะทัวร์ฟังด้วยน้ำตา
คลอเบ้า และเสียงสั่นเครือด้วยความยินดีเหลือล้น มิใช่เธอคนเดียวที่รู้สึกมีความสุข แต่หลายคนก็เกิด
ปิติจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อย่างไม่คาดคิดมาก่อน แน่นอนสำหรับชาวคาทอลิก ต่างก็เต็มตื้นด้วยความ
ยินดีที่ได้มีโอกาสมายืนอยู่หน้าถ้ำ ที่แม่พระเคยปรากฏมาพบเด็กถึง 18 ครั้ง เมื่อ 135 ปีที่แล้ว ก็ย่อมรู้สึก
ใกล้ชิดกับแม่พระยิ่งขึ้น มีทุกข์สุขอะไรก็มาระบายกับแม่พระ ในฐานะที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ก็ต้องการสิ่ง
สัมผัสเพื่อกระหวัดคิดถึงแม่พระได้ง่ายขึ้น หากมีญาณวิเศษเหมือนบางคน คงไม่ต้องดั้นด้นมาถึงยุโรป
อยากจะสัมผัสกับพระก็ทำได้ดังใจนึก ในคณะทัวร์คราวนี้ก็มีชาวพุทธอีกท่านหนึ่ง รู้สึกจะมีสัมผัสที่ 6
ขณะที่เธอร่วมพิธีอวยพรคนป่วยคนพิการ โดยมีพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่นำขบวนยกศีลมหาสนิทซึ่งบรรจุ
ในรัศมี (เครื่องประดับอย่างหนึ่งชุบทองรูปร่างคล้ายตาลปัตรทำเป็นแฉกๆ คล้ายรัศมี) อวยพร
(โดยยกรัศมีทำเป็นรูปกางเขน) ให้คนพิการที่นั่งบนรถเข็น เธอบอกว่าเห็นแสงสุกใสเปล่งออกมา
จากรัศมี ที่พระสงฆ์ผู้เป็นประธานถือในพิธีอวยพรให้คนพิการ
          วันต่อมาคณะทัวร์ของเรา ก็เดินทางออกจากฝรั่งเศสเข้าประเทศสเปน โดยผ่านรัฐเล็กๆ อีกรัฐหนึ่ง
ชื่อ อันดอรา (Andorra) มีพื้นที่ประมาณ 464 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 56,000 คน มีผู้คนที่อาศัย
ในดินแดนนี้ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากนั้นก็มีพวกเซลติก อิเบเยน อันดัล โกธ และพวกอาหรับผลัดกัน
เข้ามาครอง ในที่สุดก็อยู่ในจักรวรรดิของโรมัน และได้กลายเป็นชาวคริสต์ในศตวรรษที่ 6 แล้วมาเป็นส่วน
หนึ่งของแคว้นคาตาโลเนียในศตวรรษที่ 8 ในศตวรรษที่ 13 ก็มาอยู่ในความดูแลของพระสังฆราชแห่ง
แคว้น Urgell ซึ่งมีตำแหน่ง Coprincep แต่ทว่าในปัจจุบันตำแหน่ง Coprincep ก็คือประธานาธิบดีของฝรั่งเศส
มีการปกครองตนเอง รายได้ส่วนใหญ่ได้จากสินค้าปลอดภาษีจากนักท่องเที่ยว และโรงเรียนสอนการเล่นสกี
วันนั้นพวกเราโชคดีได้เห็นหิมะตกกลางฤดูร้อน ตอนที่รถโค้ชของพวกเราจอดบนยอดเขาแห่ง อันดอรา
          หลังจากช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีจนหนำใจแล้ว โดยเฉพาะกระเป๋าเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นกว่า 10 ใบ รถโค้ช
ก็แล่นสู่ร้านอาหารจีนแห่งเมืองบาร์เซโลนา หลังจากรับประทานอาหาร ประเภทนมเนยมาเสียหลายเพลา
ที่บาร์เซโลนาพวกเราได้ไปไหว้แม่พระดำ บนภูเขารูปร่างประหลาดและสวยงามที่ Montserrat ชื่อก็บอก
แล้วว่า "ภูเขาหยักเหมือนฟันเลื่อย" มีความสูง 1,235 เมตร ในสมัยโบราณก็เป็นสถูปที่บูชาเทพีวีนัส
ในศตวรรษที่ 9 ได้มีการสร้างอารามขึ้นแทนที่ และได้ประดิษฐานพระรูปแม่พระดำบนพระแท่นสูง พระรูป
แม่พระเป็นไม้แกะสลักเป็นสีดำ คงทำขึ้นในสมัยแขกมัวร์ครอบครองแคว้นนี้ จึงเรียกกันว่า "แม่พระดำ"
(Morenata) เราได้ร่วมพิธีมิสซา ซึ่งมีพระสงฆ์ฤๅษีคณะเบเนดิกติน ประมาณ 30 รูป ร่วมประกอบพิธี
ระหว่างพิธีก็มีการขับร้องเพลงแสนไพเราะเป็นภาษาลาติน
          จากบาร์เซโลนา พวกเราบินสู่อิตาลี อันเป็นจุดหมายสุดท้ายที่พวกเราอยากเข้าชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
ในรัฐกระจิ๋วหริวชื่อ วาติกัน ซึ่งมีเนื้อที่แค่ครึ่งตารางกิโลเมตร และมีประชากรเพียง 1,000 คน โดยมีโป๊ปเป็นประมุข
         วันที่คณะทัวร์ของเราดีใจแบบสุดสุดก็คือ วันที่ 29 มิถุนายน อันเป็นวันฉลองเซนต์ปีเตอร์ โป๊ปองค์แรก
ของพระศาสนจักรคาทอลิก คณะทัวร์ของเราได้รับเชิญให้นั่งใกล้พระแท่นกลาง ประดับด้วยพลับพลาอันวิจิตร
ของแบร์นีนี ร่วมพิธีมิสซา ซึ่งโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เป็นประธานในพิธี หลังจากต้องเข้าโรงพยาบาลมาหนึ่งเดือน
พิธีกรรมดำเนินไปตั้งแต่ 9.30 น. จนถึง 12.00 น. มีการขับร้องเพลงประสานเสียงสุดไพเราะและชวนศรัทธา
ผู้ร่วมพิธีคนสำคัญก็คือ สมเด็จพระสังฆัยกา ประมุขของคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ บาร์โธโลมิวที่ 1 แห่ง
คอนสแตนติโนเปิ้ล โป๊ปจอห์น พอล ที่ 2 ก็มีหมายกำหนดการไปร่วมฉลองครั้งสำคัญของฝ่ายออร์โธดอกซ์
เป็นการตอบแทน ในวันฉลองเซนต์แอนดรู ผู้เป็นน้องชายของเซนต์ปีเตอร์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน ปีนี้ ทั้งนี้
เป็นความพยายามของโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ที่จะดำเนินการเพื่อการคืนดีกันระหว่างนิกายต่างๆ
ที่เคยแยกตัวออกไป
          ในระหว่างนั่งรถโค้ชสลับกับการชมวิว ผมก็ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับวันสิ้นยุคของชาวคริสต์ว่า
จะเกิดอะไรบ้าง อันเป็นความเห็นส่วนตัว ก็เป็นที่น่าแปลกใจที่ว่า ชาวพุทธในคณะทัวร์ก็มีความเห็นคล้ายๆ กัน
ในวันสิ้นยุค รวมทั้งชาวอิสลามด้วย อย่างเช่น มีพุทธทำนายข้อหนึ่งว่า "จะมีภิกษุทฺศีล ซึ่งเรียกกันว่า โคตรภู
สงฆ์ทรงแต่งกาสาวพัสตร์น้อยห้อยพันคอเท่านั้นสำคัญว่า เป็นภิกษุ" ถ้าจะเทียบกับบาทหลวงยุคนี้ก็ไม่สวมชุด
นักบวช (เสื้อหล่อ) บางท่านให้เหตุผลว่า ในยุคสุดท้ายที่จะมีการเบียดเบียนศาสนา การแต่งชุดเหมือนชาวบ้าน
สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้แนบเนียนกว่า ฉะนั้นช่วงก่อนสิ้นยุค ควรให้ชาวบ้านชินกับการแต่งแบบฆราวาส
ไว้ก่อน นับเป็นเหตุผลที่น่าฟัง ในคริสตทำนายมีข้อหนึ่งที่ว่า
"จะมีชุมพาบาล (คนเลี้ยงแกะ) ผู้เดียวและฝูงแกะฝูงเดียว" ก็คงจะหมายถึงว่า หลังจากสิ้นยุคนี้ มนุษย์เราจะ
ไม่แยกเป็น พุทธ คริสต์อีกแล้ว แต่มนุษย์ทุกคนจะรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง และจะรักและบูชาพระผู้สูงสุด
ดุจบิดาของเราทุกคน"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 9:25 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 39 )👈
🌼--- รัสปูติน นักบวช นักรัก นักพยากรณ์ [A] ---🌼
         
รัสปูติน มีชื่อเต็มเป็นภาษารัสเซียว่า Grigori Jefimnovich เกิดเมื่อปี 1868 ที่เมือง Pudakino Rasputje
มีอาชีพเหมือนบิดาของเขาคือ นำสินค้าไปขายในเมืองใกล้เคียง วันหนึ่งขณะเดินทางไปค้าขาย
พบเพื่อนคนหนึ่งชื่อ Mileti Saborowski เป็นนักศึกษา (เณร) ของอารามฤๅษีแห่งเมือง Werchoturje
ซึ่งได้ขอโดยสารพาหนะของรัสปูตินไปด้วย ระหว่างทางก็สนทนาด้วยเรื่องทั่วๆ ไปเป็นการฆ่าเวลา แล้ว
นักศึกษาหนุ่มนั้นก็วกมาพูดถึง ความสุขที่มาจากเบื้องบน และพรสวรรค์ในธรรมชาติ "คำพูดของเขา
เป็นเหมือนประกายไฟเล็กๆ ที่จุดในใจของรัสปูติน พอไปถึงที่หมาย รัสปูตินเลยขอสมัครเข้าอยู่ในสำนัก
นั้นด้วย อารามฤๅษีเมือง Werchoturije แห่ง ไซบีเรียนี้ มีชื่อเสียงในเรื่องการบำเพ็ญภาวนา
และวิปัสสนากรรมฐานชั้นสูง นักบวชในสำนักนี้ถือกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ใช้ชีวิตทั้งบำเพ็ญภาวนา
และเลี้ยงชีพด้วยการเกษตร อารามแห่งนี้ยังเป็น "บ้านคุมประพฤติ" ของนักบวชมีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือหย่อนยาน
แนวคิดของอารามนี้เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาออร์ธอดอกซ์ คือ นำข่าวดีในการทำตัวให้ศักดิ์สิทธิ์ผ่านบาป
ในประวัติมิได้กล่าวว่ารัสปูตินอยู่ในสำนักนี้มานานเท่าไร แต่เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเป็นธรรมเนียม
ของที่นี่ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากสำนักนี้จะต้องไปเยี่ยม ฤๅษีอาวุโสผู้ศักดิ์สิทธิ์ชื่อ Makari เพื่อขอรับ "พร" และ
รับคำแนะนำ รัสปูตินสารภาพกับฤๅษีผู้เฒ่าว่าตนเต็มด้วยพยศชั่วช้านานาประการ มีความคิดฟุ้งซ่าน ถูกทรมาน
ด้วยราคะตัณหาสูงมาก เมื่อสารภาพถึงความบกพร่องของตัวเองแล้ว รัสปูตินยังปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำ ถึง
ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดกับตัวเอง คือมีเสียงพูดภายในใจว่าจะมีใครมาพบ และบอกเวลาที่แน่นอนไว้ด้วย
ท่านฤๅษีผู้เฒ่าได้แนะนำให้เขาท่องไปทั่วรัสเซีย ท่านกล่าวว่า "ใครอยากเดินภายในจะต้องเดินภายนอกก่อน
และต้องผิดพลาด (เข้าตำรา ความผิดเป็นครู) ในที่สุดจะบรรลุ ฌานสมาธิ หรือ ฌานญาณ"
แล้วดวงของรัสปูตินก็เริ่มสุกใส เมื่อรัชทายาท (Zerevich) อเล็กซิส ประชวรด้วยโรคเฮโมฟิเลีย โลหิตไหล
ไม่หยุด หมอทั่วยุโรปถูกเรียกมาแต่ไร้ผล ข่าวพระหนุ่ม Grigori Rasputin เข้าพระกรรณซารินาว่า สามารถรักษา
สารพัดโรค รัสปูตินจึงถูกเรียกตัวเข้าวัง ก่อนที่จะทำการรักษา เขาเข้าห้องสวดเป็นเวลานานเป็นชั่วโมง ตอนแรก
รัชทายาทอเล็กซิสรู้สึกหวาดๆ เพราะรัสปูตินแต่งชุดนักบวชดำยาวไว้หนวดเครารุงรัง รัสปูตินจึงพูดปลอบไปว่า
"ฉันมารักษา มาเอาความเจ็บไข้ออกจากร่าง สักประเดี่ยวก็จะสบาย พรุ่งนี้ก็จะหาย อีกไม่กี่วันก็จะออกไปวิ่งเล่นได้"
พูดซ้ำๆ หลายครั้ง พร้อมใช้มือลูบไปทั่วร่างแล้วปิดตาครู่หนึ่ง ทำเครื่องหมายกางเขน ซารินาอเล็กซานดรา
ผู้ทรงเข้ารีตเป็นออร์ธอดอกซ์รู้สึกตื้นเต้นและเป็นหนี้บุญคุณรัสปูติน จนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ พลางจับมือ
รัสปูตินมาจุมพิต แล้วรัสปูตินก็กล่าวแก่ซารินาว่า "ถ้าเชื่อในคำอธิษฐานภาวนา เซเรวิกจะรอด" แล้ววันรุ่งขึ้น
อเล็กซิสก็ยิ้มได้ โลหิตหยุดไหล และรู้สึกหิว ไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เพราะอาการหมดหวังแล้ว รัสปูติน
จึงกลายเป็นคนโปรดในราชสำนักตั้งแต่วันนั้น เป็นที่อิจฉาแก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะจากการที่นิโคลัสที่ 2
เสด็จไปประทับ ณ แนวหน้า ซึ่งห่างไกลจากนครหลวงราว 500 ไมล์ ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้พระนาง
อเล็กซานดรา เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตั้งแต่กลางปี 1915 พระนางทรงไว้วางพระทัยรัสปูตินแต่เพียงผู้เดียว
รัสปูตินยิ่งกำเริบหนัก จนเกิดเรื่องอื้อฉาวซุบซิบว่า รัสปูตินข่มขืนเด็กชื่อ Wischnja kowa จนถูกอัปเปหิออกไป
จากวังระยะหนึ่ง แต่ก็ถูกเรียกตัวกลับเข้าวังอีก เมื่อรัชทายาทเสด็จประพาสทางเรือ หัวเข่ากระทบหินโลหิตออก
ไม่หยุด แล้วรัสปูตินก็รักษาให้หายได้เหมือนเดิม อาเล็กซิสแสดงความสนิทสนมกับรัสปูตินขนาดเดินกอดคอกัน
ซาร์เชื่อว่า รัสปูติน เป็นคนที่พระเจ้าส่งมาโดยแท้
ในปี 1912 แกรนด์ ดยุค Kikoloj Nikoloyivich ใช้ความพยายามทุกอย่างที่ชักจูงให้ซาร์เข้าร่วม
ในสงครามบอลข่าน แต่รัสปูตินก็พยายามทัดทานทุกวิถีทาง
และการที่รัสเซียประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี 1914 นั้น ทำให้ขุนนางและราษฎรเกิดอารมณ์ร่วมกันว่า
สงครามนี้มิใช่เป็นสงครามการเมือง แต่เป็นการต่อสู้โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันระหว่างคนเผ่าสลาฟกับ
ชาวเผ่าเยอรมัน แต่รัสปูตินคัดค้านการเข้าร่วมสงครามนั้น รัสปูตินขณะนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะถูก
ผู้หญิงชื่อ Khrima Gussewa แทงที่ท้อง ได้ส่งโทรเลขกราบทูลนิโคลัสที่ 2 ว่า "พระเจ้าพ่อ อย่าได้คิดทำสงคราม
เลย สงครามจะนำความล่มจมมาให้รัสเซียและพระองค์ คนจะตายกันหมด พอนิโคลัสที่ 2 ทรงอ่านโทรเลขก็ทรง
พิโรธ แต่รัสปูตินไม่ละความพยายาม เขาใช้กระดาษแผ่นโตแผ่นหนึ่งและเขียนด้วยลายมือหวัดๆ เป็นคำ
พยากรณ์ให้แก่พระเจ้าซาร์ ดังนี้ "สหายที่รัก ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ถึงการที่ข้าได้เห็นว่า รัสเซียกำลังจะประสบ
ภยันตรายอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากว่าข้าได้เห็นเมฆหมอกดำมืด ได้ครอบคลุมไปทั่วราชอาณาจักร จนข้า
ไม่สามารถที่มองเห็นแสงสว่างใดๆ เลย ข้ามองเห็นว่าชาวรัสเซียทั้งมวล จะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด
ข้าจะพูดอย่างไรดีจึงจะให้พวกท่านเข้าใจได้ เนื่องจากข้าไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆ มากล่าวได้เลย เพราะ
มันเต็มไปด้วยความสยดสยองอย่างที่คิดไม่ถึง ข้ารู้ดีว่าเขาให้พวกเจ้าไปรบ ซึ่งมันจะมีแต่ความตายเท่านั้น
ที่รอเจ้าอยู่ พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษพวกที่ไม่มีสติ การสงครามครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของความหายนะทั้งปวง
พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าพ่อของประชาชน อย่าได้ทรงยอมให้ความคิดบ้าๆ เข้าครอบครอง เพราะมันจะทำ
ให้พระองค์และพระราชอาณาจักร ตลอดจนพสกนิกรต้องประสบเภทภัยอย่างใหญ่หลวง เอาละ ถึงแม้เราจะเ
อาชนะเยอรมนีได้ก็ตาม แล้วรัสเซียจะเป็นอย่างไร หากมีผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ ที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ เขาผู้นั้น
ก็จะเห็นว่า รัสเซียนั้นจะพบแต่ความวิบัติอันรุนแรงเหลือที่จะบรรยายได้ ตั้งแต่แรกเริ่มที่รัสเซียเข้าร่วมสงคราม
รัสเซียก็จะจมอยู่ในกองเลือด รัสเซียจะประสบความหายนะอย่างน่าสะพรึงกลัว อันไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้เลย"
ทางฝ่ายแกรนด์ดยุคเปิดเผยความไม่ดีของรัสปูตินว่า "นี่หรือคนที่ถูกส่งมาจากพระเจ้า กระทำสิ่งที่คาดไม่ถึง
บ้าตัณหา ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืน กินเลี้ยงและเต้นรำยั่วราคะ ส่วนทางฝ่าย Anna Alexandrowna Tanejeff
บุตรีของผู้อำนวยการสำนักพระราชวัง และราชเลขาประจำองค์แห่งซารินาก็แย้งว่า "ทุกอย่างบริสุทธิ์
ศักดิ์สิทธิ์ เพราะถูกกระทำจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ "สำหรับรัสปูตินนั้นก็กล่าวว่า "การปฏิบัติสุนทรีกรรมแห่งรักเป็น
การกระทำที่บริสุทธิ์ ประดุจเด็ดดมบุปผาชาติฉะนั้น" รัสปูตินได้รับการปกป้องจากซาร์เอง จึงถูกเพ่งเล็ง
จากฝ่ายตรงข้าม
ณ บ้านเช่าเล็กๆ ซึ่งศิษย์สาวชื่อ Bascmakowa เช่าให้ มีคนเข้าพบทุกวัน ไม่ว่าเศรษฐีหรือยาจก มักมา
เล่าความวิตกกังวลและความทุกข์ใจ ทางฝ่ายอันนาก็รายงานความเป็นไปของราชสำนักว่า คนมากมายเข้า
บ้านรัสปูติน ด้วยน้ำตานองหน้าประเภทอมทุกข์สารพัด แต่กลับออกมาด้วยใบหน้าสดใส เป็นเรื่องแปลก
ไม่อาจอธิบายได้ ทุกๆ วันอันนาจะรายงานทางโทรศัพท์ให้ Mama หรือซารินา และยังได้นำจดหมายหลาย
ฉบับที่รัสปูตินเขียนกราบทูลซารินา เพื่อเป็นการปลอบใจ และให้ยอมรับกรรมตามน้ำพระทัยพระเจ้า และเพื่อ
ฉีกม่านแห่งอนาคต ซึ่งยิ่งทียิ่งทับถมประเทศรัสเซียอันศักดิ์สิทธิ์ ในด้านนี้คือต้านที่รัสปูตินทำนายเหตุการณ์ต่างๆ
มักถูกเพิกเฉยต่อนักประวัติศาสตร์หลายคน ส่วนใหญ่มักจะเน้นประวัติรัสปูตินไปในทางนักบวช นักรัก ผู้วิเศษ เป็นต้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 9:41 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม👉 ตอนที่ (40 )👈
🌼--- รัสปูติน นักบวช นักรัก นักพยากรณ์ ---🌼
        
  วันหนึ่งรัสปูตินพูดกับอันนาว่า "รู้สึกเป็นคนแปลกหน้า ในราชสำนักที่หรูหราในเมืองหลวง เขาชอบ
บรรยากาศแบบบ้านนอก เพราะเขาเป็นชาวนาแถบไซบีเรีย เขาเคยไปนครปีเตอร์เบิร์กบ่อยๆ ที่ Villa Rode"
เป็นภัตตาคารมีโชว์วาไรตี้ มีบันทึกไว้ว่า รัสปูตินเป็นลูกค้าประจำที่ภัตตาคาร Villa Rode ไปกินและดื่ม
อย่างสนุกสนาน ที่นี่รัสปูตินมีห้องพิเศษ หลังจากสนุกสนานสุดเหวี่ยงก็จะทำกิจใช้โทษบาป เช่น ครั้งหนึ่ง
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก จะทิ้งตัวลงนอนกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า แล้วพร่ำสวดอธิษฐานขอโทษพระเจ้า
อย่างฟูมฟาย เขามีบุคลิกที่แปลกคือ มีความขัดแย้งในตัว เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวป่าเถื่อน โดยเฉพาะ
กับผู้หญิง เขาชอบยั่วโมโหบรรดาสามี และคู่หมั้นชายของผู้หญิงหลายคนในราชสำนัก
เจ้าหน้าที่โอ๊คครานารายงานที่ Villa Rode ว่าระหว่างการเลี้ยงอาหารค่ำวันหนึ่ง ราชองครักษ์หนุ่ม
OBsassoff ตรงรี่เข้าตบหน้ารัสปูติน
ในวันที่ 22 มิ.ย. 1915 ยังมีรายงานจากโอ๊คครานาว่า รัสปูตินได้จัดเลี้ยงที่บ้าน Pokrowkoje
ว่าเขาเมาจนไม่ได้สติ เปิดจานเสียงดังลั่น แล้วเต้นรำจากอำนาจลึกลับ แล้วพูดพล่ามโอ้อวดที่ได้ช่วย
ปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระถึง 300 คน แล้วพูดถึงเรื่องแปลกๆ บุคคลแปลกๆ ในอนาคต บอกว่าเขา
สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตได้ ซึ่งทุกสิ่งที่เขาได้ทำนาย ยังถูกเก็บรักษาไว้ในแฟ้มเอกสาร
พี่ประวัติศาสตร์จนทุกวันนี้
ไม่กี่ปีก่อน ผู้คนเชื่อกันว่ารัสปูติน "เป็นเทวดามาเกิด" แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้วคือ "เป็นปีศาจมาเกิด"
ร้ายกว่านั้นบางคนบอกว่าเป็น แอนตี้ไคร้สต์ เลยทีเดียว
รัฐมนตรีมหาดไทย และหัวหน้าตำรวจ Chwostoft ได้วางแผนที่จะกำจัดรัสปูติน แต่มีบางจุดบอบบาง
จนแตะไม่ได้ เพราะไปเกี่ยวข้องกับพวกผู้ดีบางคน โดยเฉพาะพระเจ้านิโคลัสไม่ประสงค์จะทำอะไรรุนแรง
มีการร่วมวางแผนระหว่างเจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซุปเปอร์กับแกรนด์ดยุคดิมิตรี ปาฟโลวิด พระเจ้าหลานเธอ
ของนิโคลัสที่ 2 และสมาชิกรัฐสมาดูม่า วลาดิมีร์ ปูริสเกวิกเป็นนักพูดและนักประพันธ์มีชื่อเสียง กับนายแพทย์
สตานิสเลา ลาโซเวิร์ตได้จัดการเตรียมเหล้าองุ่นผสมยาพิษปริมาณมากพอฆ่าคนได้ 10 คน ออกอุบายทำที
เชิญให้รัสปูตินไปพบ เจ้าหญิงอิรินาพระชายาเจ้าชายเฟลิกซ์ เพราะรัสปูตินหลงใหลในความงามของเจ้าหญิง
อิรินายิ่งนัก
อันที่จริง รัสปูตินรู้ตัวตลอดเวลาว่ามีผู้คิดที่จะลอบฆ่า เนื่องจากวันหนึ่งเขาได้เล่าให้ผู้อยู่ร่วมบ้านเช่า
เดียวกับเขาว่า เขาได้เห็นพระโลหิตของเชื้อพระวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าแดงฉานอยู่ในแม่น้ำ เนวา และในการเข้า
เฝ้านิโคลัสที่ 2 เป็นครั้งสุดท้าย รัสปูตินก็มิได้ถวายพระพรเช่นเคย ตอนจะกลับเขากลับกราบทูลว่า
"ครั้งนี้ใต้ฝ่าพระบาทเป็นฝ่ายพระราชทานให้ข้าพระพุทธเจ้า" ชิมาโนวิกเลขาส่วนตัวซึ่งรัสปูตินไว้ใจมาก
ได้เป็นผู้แสดงจดหมายส่วนตัวของรัสปูติน ที่เขียนไว้ในปลายเดือนธันวาคม 1916 ก่อนหน้าที่รัสปูติน
จะถูกลอบฆ่าไว้ดังนี้ "ข้าได้เขียน จ.ม. ฉบับนี้ขึ้นมา และได้เก็บไว้ ณ นคร ปีเตอร์เบิร์ก ข้ามีความรู้สึกว่า
ชีวิตของข้านั้นคงจะไม่ยืนยาวไปจนถึงวันที่ 1 มกราคม 1917 เป็นแน่ ดังนั้น ข้าจึงอยากจะเขียนจดหมาย
ฉบับนี้ไว้แก่ประชาชนชาวรัสเซีย แด่พระเจ้าพ่อ พระเจ้าแม่ พระเจ้าลูกทุกพระองค์ ตลอดจนแก่แผ่นดิน
รัสเซีย เพื่อที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหลายว่า ถ้าข้าจะถูกประหารชีวิตโดยบุคคลที่เป็น
สามัญชนแล้วละก็ พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียก็ไม่ต้องทรงพระวิตกแต่ประการใด พระองค์จะดำรงตำแหน่ง
เป็นเจ้าชีวิตของชาติตลอดพระชนมชีพ และพระราชวงศ์ก็จะยั่งยืนนับเป็นร้อยปีพันปี แต่หากว่าข้าถูกบรรดา
บุคคลที่อยู่ในฐานันดรแห่งราชวงศ์ หรือบุคคชั้นขุนนางทำการฆาตกรรมข้า และพวกนี้ทำให้โลหิตของข้า
ต้องนองพื้นดินเมื่อไร พวกนี้จะได้รับการเลือดตกยางออกเป็นเวลา 25 ปี จึงจะสามารถล้างโลหิตที่เปื้อน
เกรอะกรังนั้นออกได้ และพวกขุนนางเหล่านี้จะกระเสือกกระสนออกจากแผ่นดินรัสเซียไปตลอดกาล พี่น้อง
ก็จะฆ่าฟันกันเอง จะชิงชังกันเอง และในเวลา 25 ปีนับจากนี้ จะไม่ระบบเจ้าขุนมูลนายอีกตลอดกาล
พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียจงโปรดรับทราบไว้เถิดว่า เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงได้ยินเสียงระฆังส่งวิญญาณ
ของข้า ที่ได้เสียชีวิตโดยพระญาติของพระองค์ เป็นคนลงมือเอง บรรดาสมาชิกในครอบครัวตลอดจนพระ
ญาติสนิท จะต้องประสบความหายนะ ภายในเวลา 2 ปี ทุกๆ พระองค์ ในพระราชวงศ์จะถูกลอบปลงพระชนม์
โดยชาวรัสเซีย...ข้าเองจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน ข้าจะไม่มีโอกาสอยู่กับพวกมนุษย์แล้ว จงอธิษฐาน
ภาวนา จงอธิษฐานภาวนา จงเข้มแข็งเถิดพระองค์ และทรงพยายามสวดอ้อนวอนให้พระราชวงศ์ของ
พระองค์ด้วยเถิด"
โดยปกติรัสปูตินจะไม่ค่อยไว้ใจใครง่ายๆ แต่คราวนี้เขาไม่กลัวความตาย แต่วิ่งไปหาเลยทีเดียว
เมื่อคนขับรถไปถึงบ้านรัสปูติน รัสปูตินรีบเข้าห้องพระเพื่อสวดอธิษฐาน ขณะเดียวกันก็ให้แม่บ้านเตรียม
เสื้อผ้าชุดที่หรูที่สุด
สำหรับรัสปูตินการไปพบเจ้าหญิงมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร...แต่เพื่อจะไปพบความตาย สมควรที่แต่ง
ชุดสวยที่สุด คำเหล่านี้เป็นคำทำนายโดยแท้ มีหลายคนยอมรับว่ามาถึงจุดนี้รัสปูตินคงเบื่อชีวิต ฉะนั้น
ความตาย จึงเป็นการฉลองมากกว่า ไปฉลองต้องแต่งชุดสวยที่สุด
แผนการของเจ้าชายยุสซูปอฟนั้นมีว่า เจ้าชายจะเป็นผู้ที่ไปรับรัสปูตินมาที่รถ ซึ่งมีนายแพทย์ลาโซเวิร์ต
ปลอมเป็นคนขับรถมายังห้องใต้ดินในวัง มอยกา ซึ่งได้เตรียมจัดไว้อย่างดี นายแพทย์ลาโซเวิร์ตได้จัดการ
ผสมสารหนู ซึ่งเขานำมาบดจนเป็นผงละเอียดลงในชั้นของขนมเค้ก และผสมลงในไวน์ มาเดยรา รัสปูติน
หยิบขนมเค้กเข้าปากไป 2 ชิ้น แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้นเขาก็ยังดื่มไวน์อีก 2 แก้ว เวลาผ่านไป
ถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง รัสปูตินก็ยังมีอาการปกติ แถมยังขอให้เจ้าชายยุสซูปอฟเล่นกีต้าร์ และร้องเพลงให้ฟัง ส่วน
นายแพทย์ลาโซเวิร์ตซึ่งเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ ตื่นเต้นถึงกับเป็นลมไปแล้วพักหนึ่ง ส่วนแกรนด์ดยุคดมิตรีนั้น
ทรงบอกพรรคพวกให้ล้มเลิกแผนการ แต่ปูรเกวิกไม่ยอมล้มเลิก เจ้าชายยุสซูปอฟจึงตัดสินพระทัยยิงรัสปูติน
ทางด้านหลัง รัสปูตินล้มฟุบลง นายแพทย์ลาโซเวิร์ตจับข้อมือรัสปูตินก็บิดตัว ใบหน้ากระตุก ตาซ้ายลืมโพลง
แล้วก็ลืมตาข้างขวา กรอกลูกตาอันเขียวปัดทั้ง 2 ข้างไปมา น้ำลายฟูมปาก ปราดเข้ามาบีบคอของยุสซูปอฟ
แล้วก็วิ่งหนีอย่างรวดเร็วตรงไปยังประตูวัง ยุสซูปอฟจึงยิงไปอีก 3 นัด ถูกที่ไหล่รัสปูติน นัดที่ 4 ถูกที่ศีรษะ
ยุสซูปอฟตรงเข้าไปเตะที่ขมับสุดแรงเกิด ทำให้รัสปูตินฟุบลงไปกับหิมะ เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ทำได้แต่
เพียงแยกเขี้ยวอย่างน่าสยองเท่านั้น แล้วศพของเขาก็ถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา ได้ถูกนำไปยังทะเลสาบเนวา
ซึ่งเป็นน้ำแข็ง อีก 2 วันต่อมา มีผู้พบศพของเขาปรากฏว่าตายเพราะจมน้ำ ทั้งนี้เพราะภายในปอดทั้งสองข้าง
เต็มไปด้วยยาพิษและกระสุนปืน เชือกที่รัดมือสองอย่างแน่นหนานั้น หลุดออกได้อย่างอัศจรรย์
เมื่อเกิดปฏิวัติใหญ่ในรัสเซีย และเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์ ซาร์ นิโคลัสที่ 2
พร้อมกับซารินา อเล็กชานดรา เซเรวิช อเล็กซิส และแกรนด์ ดัชเชสทั้ง 4 ก็ถูกสำเร็จโทษจากพวกบอลเซวิก
โดยมีมือสังหารชื่อ จาก๊อบ ยูลอฟสกี้ หัวหน้าตำรวจลับเซก้า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1918

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 9:48 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (41)👈
🌼--- คำพยากรณ์ของรัสปูติน [A] ---🌼

🔹ความเฉลียวฉลาดถูกโซ่ล่าม
คำพยากรณ์ มนุษย์เรากำลังเดินไปสู่ความหายนะ เอาคนโง่ไปขับรถ ไม่ว่าจะในรัสเซีย ในฝรั่งเศส
ในอิตาลี หรือที่อื่นๆ อีก มนุษยชาติจะถูกทับด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมของคนบ้า และผู้ประสงค์ร้าย
ความเฉลียวฉลาดจะถูกโซ่ล่าม คนโง่ และผู้มีอำนาจบาตรใหญ่จะประกาศิตตรากฎหมายสำหรับคนฉลาด
และคนต้อยต่ำ และมนุษย์ส่วนใหญ่จะเชื่อในผู้มีอำนาจ และไม่เชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว การลงทัณฑ์ของ
พระเจ้าจะมาถึงช้าสักหน่อย แต่ทว่าจะสะท้านทรวงทีเดียว ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนจะสิ้นศตวรรษของเรา แล้ว
ในบั้นปลายความเฉลียวฉลาดจะหลุดจากโซ่ตรวน มนุษย์จะหวนกลับมาไว้ใจในพระเจ้า เหมือนกับเด็กๆ
ไว้ใจแม่ของตน ด้วยทางสายนี้ (คือเมื่อกลับมาไว้ใจในพระเจ้าแล้ว) มนุษย์ก็จะบรรลุ สวรรค์ ณ แผ่นดิน
วิเคราะห์ ในปี 1916 รัสปูตินได้มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่า โลกเราจะจบลงด้วยการดิ่งสู่ความพินาศ
คำพยากรณ์นี้เอ่ยถึงรัสเซีย ฝรั่งเศส และอิตาลี คงจะต้องการบอกใบ้ว่าจะโดนหนักที่สุด เราจะต้องจับตาดู
"มหาภัยพิบัติ" มนุษย์จะต้องถูกนำหรือจูง จากพวกคนบ้าและจากผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งจะไปเหยียบย่ำผู้ต้องการ
จะมีชีวิตที่สงบและถูกต้อง วันหนึ่งจะมาถึง ที่อำนาจจะไปตกอยู่ในมือของคนที่รู้จักร้องเสียงดังกว่า แล้ว
ความวิตถารของประชาธิปไตย ก็จะผลักดันให้ประชาชนใช้มันเหมือนแมวฟัดหนูที่ทำด้วยผ้า แล้วประชาชน
ก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ เมื่อได้คนโง่ไปตรากฎหมาย แล้วกฎหมายเหล่านี้ก็จะนำไปสู่ความพินาศ ดังตัวอย่าง
ที่มีบันทึกในคำพยากรณ์ของแม่ชีแห่งเดรสดาว่า "ภัยพิบัติสุดท้ายของมนุษย์ก็คือ ความโง่ ความเขลาอย่าง
มหันต์ที่จะมีคนไม่ฉลาดอยากจะนำคนฉลาด และชาวคริสต์มากมายในยุคนี้ เอาพระเจ้าไปฝากไว้ในธนาคาร
และจะเชื่อในเงินทองเท่านั้น"
สักวันหนึ่งมาตรวัดจะถึงขีดสุด และเมื่อนั้นพระพิโรธของพระเจ้าจะล้นปรี่เหมือนกระแสของลาวาภูเขาไฟ
ซึ่งจะเผาผลาญทุกสิ่งให้วอดวายเป็นเถ้าธุลี มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อเสวยสุขใน สวรรค์ ณ แผ่นดิน มนุษย์ก็ต้อง
กลับสู่ สวรรค์ ณ แผ่นดิน แต่ว่าก่อนที่บรรลุถึงได้ จะต้องผ่านการชำระล้าง แบบถอนรากถอนโคน โดยสลัดทิ้ง
ทุกสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ที่ไม่ชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง

🔹ผู้เลี้ยงแกะแห่งหิมะและเลือด
คำพยากรณ์ ผู้เลี้ยงแกะในชุดหิมะและเลือดจะนั่งบนบัลลังก์จะเป็นเวลานั้น ที่บรรดาแกะจะกระจัด
กระจายจากพายุ สายฟ้าจะฟาดลงมา แต่ทว่าสายฟ้ามิได้มาจากท้องฟ้า ในเวลากลางคืนพวกท่านจะเห็น
ผู้เลี้ยงแกะอื่น แต่ผู้เลี้ยงคนหนึ่งจะตีตัวออกห่าง แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงมาอีก น่าสงสารฝูงแกะที่ต้องกระจัด
กระจาย บรรดาผู้เลี้ยงแกะจะเหลืออยู่น้อยซึ่งจะดูแลท่าน เพราะเวลาของพวกหมาป่ากำลังเข้ามาใกล้
และพวกหมาป่าจะนั่งบนบัลลังก์ จะประกาศิตตรากฎหมายและฉีกมันทิ้งในนามของบรรดานักบุญ แล้ว
เมื่อหัวใจ (พวกหมาป่า) มันกักขฬะ ฝูงแกะจึงออกไปในทุ่งหญ้าใหญ่ แต่ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะ
เป็นทุ่งหญ้าที่มีแต่หญ้าอาบยาพิษ ดินก็เค็ม และน้ำก็ขม ที่นี่ผู้เลี้ยงแกะคนสุดท้ายจะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสวด
มนต์บทสุดท้าย
วิเคราะห์ ผู้เลี้ยงแกะ หรือชุมพาบาล หมายถึง พระผู้ใหญ่ชั้นผู้ปกครอง หมายถึง โป๊ป สังฆราช หรือ
พระสงฆ์ แต่งชุดหิมะ (ขาว) และ เลือด (แดง) คือธงชาติของโปแลนด์ แถบขาวแดง รวมความหมายถึง
โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ซึ่งเป็นชาวโปแลนด์ จะเป็นยุคที่บรรดาแกะ หมายถึง สัตบุรุษหรือศาสนิกจะกระจัด
กระจายเพราะพายุแห่งวัตถุนิยม, บริโภนิยม, สนุกนิยม และลงท้ายด้วยอเทวนิยม คือ ไม่สนใจเรื่องพระ
เรื่องเจ้า จนมีบางคนบอกว่า พระเจ้าตายไปแล้ว คือ ตายไปจากจิตใจไปเสียแล้ว สายฟ้าฟาดลงมา
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1981 พระองค์ถูกเมห์เหม็ด อาลี อัคคา ลอบสังหารที่หน้าพระวิหารเซนต์ปีเตอร์
กระสุนเฉียดขั้วหัวใจ อาการสาหัส สายฟ้ามิได้มาจากฟ้า แต่มาจากปืน อาลี อัคคา ในเวลากลางคืนท่าน
จะเห็นผู้เลี้ยงแกะอื่นๆ หมายถึง บรรดาสังฆราชต่างๆ นานๆ ครั้งก็จะไปพบกันเพื่อปรึกษาหารือ แต่จะมี
สังฆราชชาวฝรั่งเศสชื่อ Marcel Lefebre แยกตัวออกไป (ผู้เลี้ยงแกะคนหนึ่งจะตีตนออกห่าง) แล้วสายฟ้า
ก็ฟาดลงมาอีก คงหมายถึงโป๊ปจะถูกลอบสังหารอีก หรือเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ คือการแยกไปตั้ง
นิกายใหม่ ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายอีก หมายถึง สัตบุรุษก็ย่อมระส่ำระสาย บรรดาผู้เลี้ยงแกะจะเหลือ
อยู่น้อย หมายถึงพระสงฆ์หรือสังฆราชอาจจะแยกตัวกัน บางส่วนก็จะติดตามโป๊ปองค์เดิม (จอห์น พอล ที่ 2)
พวกหมาป่าจะพากันมานั่งบนบัลลังก์ของโป๊ป แล้วจะมาออกกฎและฉีกกฎตามใจชอบ ในนามของบรรดา
นักบุญ และหัวใจของหมาป่า ที่กักขฬะจะมาเป็นผู้ปกครอง พวกลูกแกะคือศาสนิกหรือสัตบุรุษ เมื่อขาดผู้เลี้ยง
ก็พยายามดิ้นรน ไปหาหญ้าเพื่อประทังชีวิต แต่จะไม่พบหญ้าที่มีคุณภาพเหมือนเดิม (เช่นการรับศีลมหาสนิท
ซึ่งถือเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ) จะพบแต่เป็นหญ้าอาบยาพิษ ดินเค็ม น้ำขม จะต้องคอย คอยจนกว่า
จะมีผู้เลี้ยงคนใหม่ ดูเหมือนจะเป็นองค์สุดท้าย เพื่อจะมาอธิษฐานภาวนาบทสุดท้าย

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 9:56 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (42)👈
🌼--- คำพยากรณ์ของรัสปูติน ---🌼

🔹สังฆราชใหญ่ ณ นครปีเตอร์เบิร์ก
คำพยากรณ์ เมื่อถึงเวลาสุกงอมสำหรับการชำระล้าง, จิตวิญญาณของคนมากมายก็จะกลับลงมา
สู่แผ่นดิน และจะรับรูปกายซึ่งพวกเขาเคยมีมาในอดีต บรรดาห้องโถงของ Tsarkoe Selo จะเป็นที่อยู่
ของผู้ที่ได้คืนชีพ ซึ่งเฉพาะคนที่อยู่ในพระหรรษทาน (คือคนที่มีบุญติดตัว) เท่านั้นจะสามารถ รู้สึก และ
สามารถเห็น ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่จะบันทึกปาฏิหาริย์ต่างๆ สังฆราชใหญ่จะมาสู่นครปีเตอร์เบิร์ก และระฆัง
ของทุกโบสถ์จะก้องกังวานเป็นการแสดงคารวะ และเป็นการประกาศสันติภาพ ณ นครปีเตอร์เบิร์ก 3 กษัตริย์
จะพบกัน และยุ้งฉางแห่งเดียวสามารถขจัดความหิวได้ทั่วยุโรป ในยุคเสื่อมพวกท่านจะเห็นปาฏิหาริย์
และทุกข์เข็ญ แต่ทว่าพวกท่านจะเห็นเงามากมายในร่างของมนุษย์
วิเคราะห์ "เวลาสุกงอมสำหรับการชำระล้าง" ซึ่งเชื่อกันว่าจะเกิดก่อนขึ้นศตวรรษที่ 21 ฉะนั้นจะมี
ปาฏิหาริย์ และผู้คนจะได้รับการชำะล้าง จะรู้สึกสะทกสะท้านและหวั่นไหว ด้วยคำพยากรณ์ทำให้เข้าใจว่า
จะมีจิตวิญญาณของบางคน ซึ่งจะได้รับอำนาจที่จะกลับมาสู่แผ่นดินอีก โดยการรับเอาร่างมนุษย์ แต่ทว่า
เงาในร่างของมนุษย์ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถมองเห็นเงาเหล่านี้ เพราะนั่นคืออภิสิทธิ์ของจิตวิญญาณที่ดี
ของบางคนเท่านั้น หมายถึงบุคคลที่เคยเจริญชีวิตอยู่ในศีลในพรของพระผู้เป็นเจ้า และในคำพยากรณ์ที่มี
วาดไว้ในยุคสุดท้ายนั้น ดูเหมือนจะเห็นเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาทีเดียว ในพยากรณ์ของ Ragno Nero มี
ตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า "ท่านจะรู้สึกว่ามีใครบางคน ที่เคยมีชีวิตมาก่อนท่าน มาเดินเคียงคู่กับท่าน" ขอให้
สังเกตว่า ผู้พยากรณ์มิได้บอกว่า "พวกท่านจะเห็น แต่บอกว่าพวกท่านจะรู้สึก เพราะว่าหลายคนจะรู้สึก
การปรากฏในสภาพนี้ แต่บรรดาจิตวิญญาณที่ดีเท่านั้นจะเห็นเงา ซึ่งพวกเขาได้รับในร่างมนุษย์ อีกสิ่งหนึ่ง
จะมีอีกหลายกรณีที่คนไม่สนใจ เช่นว่า ครั้งหนึ่งเคยมีคฤหาสน์ของตระกูลเก่าแก่ ที่สุโขสโมสร และพระราชวัง
มากมาย เช่น ในห้องโถงของ Tsarkoe Selo ซึ่งในอดีตได้เห็นความอลังการและสมบัติพัสถาน ก็จะรู้สึกสิ่ง
เหล่านี้ยังปรากฏอยู่อีก และก็จะบันทึกปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งจะไม่มีคำอธิบายหรือเหตุผลใดมาชี้แจงได้
ในยุคนี้ได้มีคำพยากรณ์ว่า "สังฆราชใหญ่ จะมาสู่นครปีเตอร์เบิร์ก ข้อนี้มีการตีความกันไปหลายทาง
บ้างก็ว่าบุคคลสำคัญผู้นี้ (สังฆราชใหญ่) คือ สังฆราชแห่งกรุงโรม หรือพระสันตะปาปา บางคนก็หมายถึง
บุคคลสำคัญ แต่มาในนามของโป๊ปก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้มีข่าวล่าสุดบอกว่า Filaret พระสังฆราชแห่ง Minsk
กล่าวว่า โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 จะเสด็จสู่มอสโก ฉะนั้น คำพยากรณ์ที่ว่า "สังฆราชใหญ่" อาจหมายถึง "สังฆราช"
แห่งกรุงโรมก็ได้ จริงๆ แล้ว โป๊ปเป็นสังฆราชของกรุงโรมโดยตำแหน่ง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์มอบหมาย
ให้พระคาร์ดินัลองค์หนึ่งรับผิดชอบแทน และเช่นเดียวกับคำพยากรณ์ที่ว่า พระเจ้าซาร์ทั้ง 3 พระองค์ก็จะพบกัน
ที่นครปีเตอร์เบิร์กด้วย ในอนาคตอาจจะมีบุคคลสำคัญ 3 ท่านมาพบกันที่นครปีเตอร์เบิร์ก เพื่อจะจัดสรรปันส่วน
พืชพรรณธัญญาหาร ซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาลในรัสเซีย มาเลี้ยงคนได้ทั่วยุโรป

🔹สันติภาพเลือด
คำพยากรณ์...จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งแห่งสันติภาพ แต่ทว่าสันติภาพที่เขียนด้วยเลือด และเมื่อไฟ 2 กอง
ดับไปแล้ว ไฟกองที่ 3 ก็จะเผาขี้เถ้า ผู้คนจะเหลือน้อย และสิ่งของก็จะเหลือน้อยเช่นเดียวกัน แต่ว่าผู้คนที่ยัง
คงเหลือ ก็จะต้องผ่านการชำระล้างครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปในสวรรค์ ณ แผ่นดิน
วิเคราะห์ ไฟ 2 กองคงหมายถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914 - 1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (
1939 - 1945)
รัสปูติน มองเห็น "สงครามโลกครั้งที่ 3" ล่วงหน้า ซึ่งจะต้องมีการหลั่งเลือดกันแบบสุดสุด มากกว่า
สงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง คำพยากรณ์ "ไฟกองที่ 3" หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้นเผาแม้กระทั่ง "ขี้เถ้า" แปลว่า
เผาอย่างสิ้นซากจริงๆ
นอกจากนี้ รัสปูติน ยังตั้งชื่อคำพยากรณ์บทนี้ได้เก๋ไก๋ทีเดียวว่า "ช่วงเวลาแห่งสันติภาพที่เขียนด้วยเลือด"
เขาคงต้องการสื่อช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กับสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เขาเรียกว่า ช่วงเวลาแห่ง
สันติภาพ คือตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันแล้วเลยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
หญิงเหล็กมากาเร็ทต์ แทชเซอร์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ ในสมัชชาสหประชาชาติครั้งหนึ่งว่า ได้เกิดสงครามเล็กบ้าง
ใหญ่บ้างประมาณ 150 ครั้ง สงครามบางแห่งก็ใช้ทฤษฎีของพวกนาซี คือรบแบบสายฟ้าแลบ Blitz grieg
เช่นสงครามในเคนยาปะทะกับ Mau - Mau (1977 - 1978) หรือสงครามแบบยืดเยื้อ เช่นใน โมซักบิก หรือ
ระหว่างอิรัก - อิหร่าน และในปัจจุบันก็มีสงครามบอสเนียกับเซอร์เบีย เหล่านี้ถือเป็นการอุ่นเครื่อง หรือเป็น
แค่ซ้อมใหญ่เท่านั้น "ของจริง" จะสะเทือนไปทั่วยุโรปซึ่งชนวนจะเริ่มจุดจากตะวันออก ยัง ยัง ไม่หมด
จากนั้นจะติดตามมาด้วย การชำระล้างครั้งใหญ่
ทั้งหมดนี้เป็นบทวิเคราะห์ของผู้เรียบเรียง IL Grande libro delle Profezie ชื่อ Renzo Baschera และ
Ettore Cheynet
ผมขอวิเคราะห์ต่อเกี่ยวกับการชำระล้าง ตามความรู้ที่ได้มาจากการอ่านจากหลายๆ กระแส ส่วนใหญ่
ได้มาจากบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือบางท่านที่ได้รับพรพิเศษ เช่น วาสสุลา ไรเดน ซึ่งได้รับการเผยจากพระเยซูเอง
พระเยซูปรากฏมาในนิมิตของเธอ แล้วให้เธอเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดในไม่ช้านี้ เธอมิได้ระบุว่าเมื่อไร
สาส์นสำคัญที่วาสสุลาบันทึกไว้ก็คือ ให้มนุษย์เลิกทำบาปเสียที กลับตัวกลับใจเสีย สวดอธิษฐานต่อ
พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เพราะการชำระล้าง (Purification) ใกล้เข้ามาแล้ว วาสสุลาก็อธิบายถึงรายละเอียด
ถึงการชำระล้างว่า จะเกิดมหาภัยพิบัติ แล้วลงท้ายด้วยมืด 3 วัน 3 คืน ระหว่างนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะบันดาล
ให้นุษย์ทุกคน รู้ถึงสถานภาพของจิตวิญญาณของแต่ละคน ว่ามีบาปบุญมากน้อยแค่ไหน มนุษย์ทุกคนจะเห็น
หรือเข้าใจพระผู้เป็นเจ้าว่าพระองค์คือผู้สร้างสรรพสิ่ง รักมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ล้วนเป็นลูก
ของพระองค์ทั้งสิ้น พระองค์ประสงค์จะให้มนุษย์ทุกคนไปอยู่สวรรค์กับพระองค์ หากใครเห็นสภาพของจิตวิ
ญญาณของตนว่า ไม่คู่ควรหรือไม่บริสุทธิ์ ก็เพียงแต่ขอโทษพระองค์ แล้วพยายามประพฤติตัวเสียใหม่
เมื่อมนุษย์ทุกคนเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ก็จะไม่ยอมประพฤติชั่ว หันมาประกอบแต่กรรมดี จึงเรียกยุคใหม่นี้ว่า
เป็นยุคแห่งความรัก แล้วพระองค์จะเนรมิตแผ่นดินขึ้นใหม่ให้สวยงามดังที่ควรจะเป็น ที่เรียกว่า
สวรรค์ ณ แผ่นดิน
แล้วใครล่ะมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ณ แผ่นดิน?

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 10:07 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (43)👈
🌼--- คริสตทำนายจากวิวรณ์ ---🌼
         
ก่อนอื่นหมดใคร่ขอแปลไทยเป็นไทย คำ "วิวรณ์" แปลว่าอะไร? คำ "วรณ หรือ วร มาจากสันสกฤต วฤ
แปลว่า ปิด ปัดป้อง เมื่อใส่อุปสรรคบาลี - สันสกฤต วิ อา ก็มีความหมายในทางตรงข้าม ฉะนั้น คำ
วรณ อุปมาเหมือน หม้อดินมีฝาครอบ พอใส่อุปสรรค วิ เป็นวิวรณ์ ก็แปลว่า เปิดฝาหม้อดิน นั่นก็คือ
เปิดเผยสิ่งเร้นลับ คำวิวรณ์นี้ แปลมาจากคำภาษากรีก Apokalypsis แปลว่าการเปิดเผย การไขความ
ซึ่งเป็นคำสมาสจากคำ kalyptra แปลว่า ผ้าคลุม (ศีรษะ) kalypter ฝาครอบ (หม้อ ปิ่นโต) kalypto แปลว่า
ปิด ครอบ เมื่อเติมอุปสรรค Apo เป็น Apo - kalypto แปลว่า เปิดเผย ไขความ ตรงกับภาษาลาติน Revelatio
ซึ่งก็เป็นคำสมาสจากคำ Velum แปลว่า ผ้าคลุม (ศีรษะ) Velare แปลว่า เอาผ้าคลุม เอามาปิด
เมื่อเติมอุปสรรค re ซึ่งจะให้ความหมายไปในทางตรงกันข้าม หรือ ทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้น Revelatio ก็คือ
การไขความ การเปิดเผยสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ การเผยแสดง"
หนังสือ วิวรณ์ เป็นคัมภีร์ฉบับสุดท้ายของพระธรรมใหม่ (New Testament ซึ่งหมายถึงการบันทึก
เหตุการณ์ต่างๆ นับตั้งแต่สมัยพระเยซูเป็นต้นมา) วิวรณ์นี้บันทึกโดย เซนต์จอห์น ศิษย์คนสำคัญของเยซู
เป็นศิษย์คนเดียวที่ไม่ได้แต่งงาน ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ได้ฝากฝังพระมารดาของ
พระองค์ไว้ในความดูแลของเซนต์จอห์น เมื่อท่านออกเทศนาในแคว้นเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบัน คือ ตุรกี)
ท่านก็รับพระนางมารีไปอยู่ด้วย ท่านจอห์น รับภาระดูแลชุมชนแถวนั้น ซึ่งเซนต์พอลได้นำร่องมาก่อน
ในที่สุด ทางบ้านเมืองเห็นว่าผู้คนได้เปลี่ยนศาสนาไปเป็นคริสต์มากมาย เกรงว่าจะเป็นภัยต่อบ้านเมือง
จึงได้เนรเทศท่านจอห์นไปอยู่เกาะปัทมอส (Patmos) ในทะเลอีเจียน (Aegean Sea) ประเทศกรีก
ในราว ค.ศ. 90 การต้องถูกเนรเทศอยู่บนเกาะอันเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ ทำให้ท่านมีเวลาว่าง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ
สมัยที่ท่านติดตาม "พระอาจารย์" ยังหวนกลับมาในห้วงแห่งความทรงจำของท่านเป็นฉากๆ เช่น คราวที่
พระเยซูทรงแสดงปาฏิหาร์เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ในพิธีแต่งงานที่หมู่บ้านกานา เมื่อเจ้าภาพต้องเสียหน้า
เพราะเหล้าองุ่นเกิดหมดกลางคัน...ชุบชีวิตลาซารัสที่ตายไปหลายวันแล้วให้ฟื้นขึ้นมาอีก...และเมื่อทรงเห็น
ทิวทัศน์ของนครเยรูซาเล็มจากเนินเขามะกอก พระองค์ถึงกับกรรแสง เพราะพระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าว่านคร
อันสวยงามจะต้องถูกทำลายในไม่ช้า (และก็เป็นความจริง ณ ค.ศ. 70 กองทัพโรมันได้บดขยี้กรุงเยรูซาเล็ม
จนราบพณาสูร ชาวยิวต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก) แล้วก็มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลถามพระองค์
ถึง วาระสุดท้ายของโลกจะเป็นอย่างไร? จะมีสัญญาณเตือนให้รู้ถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์อย่างไรบ้าง
พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า จงระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครชักนำไปในทางที่ผิด เพราะจะมีหลายคนอ้างตนว่า
เป็นพระคริสต์ และจะชักนำให้คนเป็นอันมากให้หลงผิด จะได้ยินข่าวการสงคราม และข่าวลือเกี่ยวกับสงคราม
อย่าได้ตกใจไปเลย ถึงแม้จะเกิดสงครามจริง ก็มิใช่จะเป็นวาระสุดท้ายของโลก ประเทศต่างๆ จะทำสงครามกัน
อาณาจักรต่างๆ จะรบราฆ่าฟันกัน จะเกิดการกันดารอาหาร และแผ่นดินไหวในหลายประเทศ แต่เหตุการณ์
เหล่านี้เป็นเพียงขั้นแรกของความทุกข์ยาก และความสยดสยองนานาประการ ซึ่งจะมีมาในภายหน้า ท่านทั้ง
หลายจะถูกจับไปทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส ถูกเข่นฆ่าประหัตประหาร ตลอดจนถูก
เกลียดชังทุกหนแห่งในโลก เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายเป็นศิษย์ของเรา เวลานั้นคนเป็นอันมากจะเสื่อมถอย
ไปจากความเชื่อ จะเกลียดชังและทรยศหักหลังซึ่งกัน และศาสดาเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และทำให้คนเป็น
อันมากหลงผิดไป ความผิดบาปจะแพร่เชื้อไปทุกหนทุกแห่ง และทำให้คนหลายคนคลายความรัก แต่ถ้าผู้ใด
สู้ทนจนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์แห่งความผิดบาป และข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินพระเจ้า จะได้รับ
การประกาศเผยแก่นานาชาติไปทั่วทุกมุมโลก แล้วต่อจากนั้นก็จะถึงวาระสุดท้าย
ในวาระนั้น ความเดือดร้อนจะเกิดแก่หญิงที่ตั้งครรภ์และแม่ลูกอ่อนเป็นที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายจงอธิษฐาน
เพื่อว่าเหตุการณ์นี้จะมิได้เกิดขึ้นแก่ท่านในฤดูหนาว หรือในวันสะบาโต เพราะในวาระนั้นจะเกิดการกดขี่ข่มเหง
การคุกคาม และบีบคั้นด้วยประการต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเดือดร้อนทุกขเวทนามากยิ่งกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่
พระเจ้าทรงสร้างโลกเป็นต้นมา หรือที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตก็ตาม ถ้าพระเจ้าไม่ทรงย่นเวลาที่เกิดภัยพิบัติ
เหล่านั้นให้สั้นเข้า มนุษยชาติทั้งปวงก็จะถึงแก่ความพินาศไปสิ้น แต่เพราะเหตุที่พระเจ้าทรงเห็นแก่ผู้ที่พระองค์
ทรงเลือกสรรไว้ พระองค์จึงทรงบันดาลให้เวลานั้นสั้นเข้า ฉะนั้นถ้าผู้ใดบอกแก่ท่านว่า องค์พระคริสต์ประทับ
อยู่ที่นี่หรือที่นั่น จงอย่าเชื่อเป็นอันขาด เพราะเวลานั้นจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และประกาศกเทียมเท็จ เกิดขึ้น
หลายคน พวกเขาจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อประกอบการมดเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อ แล้วผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
ไว้อาจถูกหลอกลวงด้วยเช่นกัน จงระวังให้ดี เพราะเราได้เตือนพวกท่านให้รู้ตัวไว้ก่อนแล้ว ถ้าผู้ใดบอกท่าน
ทั้งหลายว่า องค์พระคริสต์เสด็จมาแล้ว และประทับอยู่กลางทะเลทรายก็จงอย่าได้ไปดูเลย และถ้าใครบอก
พวกท่านว่าพระองค์ทรงหลบซ่อนอยู่ ณ สถานที่ใด ก็อย่าได้เชื่อ เพราะแสงฟ้าแลบย่อมเปล่งประกายความสว่าง
จากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกฉันใด ในเวลาที่เรากลับมาในโลกนี้ ก็จะเป็นประจักษ์แก่ตาของมวลมนุษย์ฉันนั้น
เมื่อเวลาแห่งการกดขี่ข่มเหง การคุกคาม และความทุกข์ยากเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์ก็จะ
ดับมืดลง ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง และดวงดาวทั้งปวงก็จะร่วงหล่นจากฟากฟ้า สรรพพลังที่ครอบครอง
ในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
และในที่สุด จะมีนิมิตหมายปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเป็นสัญญานแห่งการมาของเรา เวลานั้นโลกทั้งโลก
จะโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง และประชาชาติทั้งปวงจะเห็นเรามาในหมู่เมฆอย่างมีสง่าราศี และทรง
ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ เราจะส่งทูตสวรรค์ของเราออกไปทั่วจักรวาล ทูตสวรรค์เหล่านั้นจะเป่าแตรเสียง
ดังกึกก้อง และจะรวบรวมผู้ที่เราเลือกสรรไว้ทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก
นี่คือคำพูดของ "พระอาจารย์" ซึ่งยังก้องในหูของเซนต์จอห์น อย่างมิรู้เลือน
ขณะที่เซนต์จอห์นกำลังนั่งรำพึงถึงคำทำนายต่างๆ ของพระเยซูอยู่นั่นเอง ท่านก็ได้รับการดลใจจาก
พระผู้เป็นเจ้า ให้เกิดนิมิตเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดในโลกแห่งอนาคต และยังได้รับเทวะโองการให้ผ่าน
ประตูสวรรค์ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้เสด็จประทับเหนือบัลลังก์ และได้พบเห็นองค์พระผู้ไถ่
พระเยซูคริสตเจ้ากำลังเข้าเฝ้ารับม้วนหนังสือจากหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ผนึกตราประทับไว้เป็น 7 ม้วน
7 ตรา และได้รับอนุญาตให้แกะตรา คลี่ม้วนหนังสือแต่ละม้วนออก อันจะเกิดนิมิตเห็นการพยากรณ์เหตุการณ์
ในอนาคต ในบรรดาม้วนหนังสือทั้งหมด 4 ม้วนแรก จะเป็นเหตุการณ์ การมาถึง ชายขี่ม้า 4 คน ส่วน 3 ม้วน
ที่เหลือ ก็เป็นนิมิตพยากรณ์เหตุการณ์อื่น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสิ้น
ณ ชายหาดแห่งเกาะปัทมอส เซนต์จอห์นมองไปยังท้องฟ้าสีครามใส ปราศจากเมฆหมอก พลันก็
ได้ยินเสียงกระหึ่มกึกก้องกุกกัก กุกกัก เป็นเสียงโขยกของม้า แล้วภาพมหัศจรรย์ก็ปรากฏ เป็นชาย 4 คน
ขี่ม้า ม้าตัวที่ 1 เป็นม้าสีขาว ท่าทางทะมัดทะแมง ผู้ขี่เป็นชายแต่งชุดขาว ภาพยิ่งทียิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ชาย
ชุดขาวขี่ม้าด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย ดุจนักรบผู้เกรียงไกร มือถือธนู บนศีรษะมีมงกุฎ ยิ่งใกล้เข้ามายิ่งเห็น
หน้าตาชัดเจนขึ้น ดูทีท่ากระฉับกระเฉง พร้อมจะบรรเลงเพลงรบได้ทุกเมื่อ แล้วในบัดดล ชายขี่ม้าขาวก็
อันตรธานหายวับลับสายตาไป ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงควบม้ามาแต่ไกล ยิ่งทีเสียงกักกักของม้าวิ่ง
ก็ใกล้เข้า จนเห็นม้าตัวที่ 2 สีแดงดั่งเลือด มีชายนั่งบนหลังม้า ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง ท่วงท่าในการ
ควบม้าก็เชื่องช้า เหมือนเพิ่งกลับจากการสู้รบอันทรหดจนหมดเรี่ยวแรง ในมือถือดาบ ที่ยังส่องประกาย
วาววับเมื่อต้องกับแสงตะวัน เสียงคำรามก้องสนั่นคล้ายเสียงรถศึกเทียมม้าคึกคะนอง ดังก้องมาจาก
ขอบฟ้าทางฝั่งข้างโน้น
ภาพเหตุการณ์การฆ่าฟันอย่างเหี้ยมโหด ป่าเถื่อน ล้วนเพิ่มความสยดสยองให้กับท่านจอห์นยิ่งนัก
ในทันใดนั้นภาพเหตุการณ์แห่งการฆ่าฟัน ก็พลันจางหายไปไร้ร่องรอย แล้วภาพม้าสีดำตัวที่ 3 ก็ปรากฏ
ในมโนภาพของเซนต์จอห์น ชายผู้ขี่ม้าคนนี้ร่างกายผ่ายผอม ในมือถือตราชูแล้วค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา
แผ่วกระท่อนกระแท่นความว่า "ข้าวสาลีทะนานละหนึ่งเหรียญ ข้าวบาร์เลย์สามทะนานต่อหนึ่งเหรียญ แต่
อย่าทำลายน้ำมันและเหล้าองุ่น..." แล้วม้าสีดำกับผู้ขี่ก็ค่อยๆ หายไปในพริบตา
เซนต์จอห์นหลับตาอยู่ครู่ใหญ่เพื่อเก็บภาพไว้ในมโนสำนึกมิให้ลืมเลือน พอลืมตา พลันก็เห็นเป็นภาพม้า
ตัวที่ 4 ผู้ขี่มีชื่อว่า มัจจุราช เป็นภาพที่น่ากลัวสุดประมาณ เซนต์จอห์นพยายามปิดเปลือกตาลง เพื่อมิให้เห็นสิ่ง
ใดๆ อีก แต่ภาพอันน่าสยดสยองนั้น หาได้เลือนลางไปไม่ เพราะมันเป็นภาพนิมิตเกิดในวิถีจิตเบื้องลึก มิใช่เป็น
ภาพที่ปรากฏขึ้นจริง ม้าที่ท่านเห็นในนิมิต เป็นม้าสีเขียวซีด เบื้องหลังของเขามีผู้ขี่ม้าตามมาติดๆ บุคคลหลัง
นี้ชื่อว่า ขุมอเวจี บุคคลทั้งสองได้รับมอบหมาย ให้มีอำนาจล้างผลาญมนุษย์ได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของโลก ด้วย
การก่อให้เกิดสงคราม การกันดารอาหาร โรคระบาด และอันตรายจากสัตว์ร้ายต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก
ข้อความ "ชายขี่ม้า 4 คน" ผมเอามาจากวิวรณ์ แต่มาเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่การตีความนั้นออกจะ
เป็นภาระหนัก ที่จะต้องอ่านจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ ท่าน ซึ่งก็มีทรรศนะแตกต่างกันออกไปหลายแนวทาง
เพราะวิวรณ์เป็นภาษาสัญลักษณ์ จะต้องวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบจริงๆ จึงจะสามารถ "ไขความ" ที่ค่อนข้าง
เร้นลับ อันเป็นเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ (เซนต์จอห์น) และผู้บงการ (พระเจ้า) ผู้ให้ประพันธ์ เมื่อได้ข้อสรุปที่
น่าเชื่อถือที่สุด ก็จะได้เสนอให้ท่านผู้อ่านทราบในโอกาสอันควร ตอนนี้ก็ขอให้ท่านผู้อ่านใช้จินตนาการ
ของท่านเองไปพลางๆ ก่อน

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 10:16 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (44 )👈
🌼--- วิวรณ์ พยากรณ์อะไรในศตวรรษที่ 20? ---🌼
          ในวิวรณ์นั้น เซนต์จอห์นใช้ลีลาการเขียนที่แปลก และแหวกแนว ทั้งในเรื่องภาษาและเค้าโครง
เรื่อง ภาษานั้นท่านใช้ภาษาสัญลักษณ์เสียส่วนใหญ่ จะตีความตามตัวอักษรเห็นจะไม่ได้ เช่น พญามังกร
สีแดงมีเจ็ดหัว มีเขาสิบเขา ให้จิตรกรมาวาดภาพนี้ตามตัวอักษร คงจะออกมาเป็นสัตว์ประหลาด ฉะนั้น
คำ หัว หรือ เขา คงหมายความเป็นอย่างอื่น ส่วนเค้าโครงเรื่องนั้น ท่านพรรณนาแบบวกไปเวียนมา
ไม่มีลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง ทั้งนี้คงจะมีเจตนามิให้ผู้อ่านล่วงรู้อนาคตอย่างจะแจ้งนัก มิฉะนั้นคงจะ
วิตกกังวลไม่เป็นอันทำมาหากิน วิวรณ์ มีทั้งหมด 22 บท เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว เหตุการณ์ที่ท่านทำนายจะ
ไม่เป็นไปตามลำดับบท  มีอีกอย่างที่สำคัญ อาจแยกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของหนังสือเล่มนี้ก็ว่าได้ ท่าน
ใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องมือต่างๆ ต่อไปนี้เป็นการบอกใบ้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในพระศาสนจักร หรือในโลก
อุปกรณ์เหล่านี้ก็คือ 1. จดหมาย ที่ท่านมีไปถึง คริสตจักรทั้ง 7 แห่งที่ท่านปกครองอยู่ ก็มี 1. เมืองเอเฟซัส
2. สเมอร์นา 3. เปอร์กามัม 4. ธิยาทิรา 5. ซาร์ดิส 6. ฟีลาเดลเฟีย และ 7. เลาดีเซีย (เมืองเหล่านี้ปัจจุบัน
อยู่ในประเทศตุรกี) หากเอาใจความในจดหมายมาวิเคราะห์แล้วจะกินความถึง 2 อย่าง อย่างหนึ่ง
คือเป็นจดหมายของท่านเขียนไปถึงขุมชนนั้นจริงๆ เช่น ชุมชนชาวเอเฟซัส แต่อีกอย่างหนึ่ง ท่านยังต้องการ
บอกใบ้ถึงเหตุการณ์ของพระศาสนจักรส่วนรวมในยุค 300 ปีซึ่งถือเป็นยุคที่ 1 ด้วย ฉะนั้น จดหมายที่เขียน
ไปถึงชุมชนเลาดีเซีย นอกจากหมายความถึงชาวเลาดีเซียจริงๆ แล้ว ยังเป็นการบอกใบ้ถึงพระศาสนจักรยุค
ที่ 7 ระหว่างปี 1800 - 2100 อีกด้วย 2. ม้วนหนังสือที่ประทับตรา ซึ่งมีอยู่ 7 ตรา จะต้องถูกแกะออก 3. เทวทูต
เจ็ดองค์เป่าแตร 7 คัน 4. เทวทูตเทขัน (ถ้วย) 7 ขัน
ต่อไปนี้ผมใคร่หยิบยก วิวรณ์ บางบทที่น่าสนใจ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เซนต์จอห์นบอกไว้ว่า จะเกิด
ในยุคของพวกเรา คือในศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้เป็นไปตามการตีความของบาทหลวง มาร์ตีโน มารีอา เปนาซา
Rev. Martino Maria Penasa O. F. M. Conv. ปริญญาโททางเทวศาสตร์ และพระคัมภีร์
บทที่ 8: 6 - 13 และบทที่ 9 ทั้งบท
ทูตสวรรค์ทั้ง 7 องค์ (ซึ่งมีแตร 7 คันนั้น) ต่างก็ยกแตรขึ้นเป่าเมื่อทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตร ก็บังเกิด
ลูกเห็บและไฟกับเลือดตกลงสู่พื้นดินโลก เผาผลาญพื้นโลก และต้นไม้น้อยใหญ่ เสียเศษหนึ่งส่วนสามของ
ทั้งหมด ส่วนต้นหญ้าอันเขียวขจีนั้น ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น
ไขความ เทวทูตเป่าแตรครั้งที่ 1 นี้หมายถึง สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914 - 1918) มีสาเหตุมาจากการ
แข่งขันแสวงหาอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งต้องการตลาดโพ้นทะเลเพื่อใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบ
และแหล่งระบายสินค้าทางอุตสาหกรรมของตน สรุปสั้นๆ ก็คือ แย่งที่ทำกินในยุคอุตสาหกรรมกำลังเฟื่อง
ทำให้ชาวไร่ชาวนาทิ้งไร่นาเข้าเมือง หรือไร่นาของประเทศเมืองขึ้น ตกไปเป็นของนักล่าอาณานิคม เพื่อ
ใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรม สรุปก็คือ พื้นที่การเกษตรถูกทำลายดังในวิวรณ์
และแล้วทูตสวรรค์องค์ที่ 2 ก็เป่าแตรขึ้น มีวัตถุอย่างหนึ่งมองดูคล้ายภูเขาใหญ่ลุกโชติช่วง ถูกทิ้งลง
สู่ทะเล ทำให้เศษหนึ่งส่วนสามของท้องทะเลกลายเป็นเลือด ทำลายชีวิตของสัตว์น้ำที่อาศัยในท้องทะเลถึง
เศษหนึ่งส่วนสามของทั้งหมด บรรดาเรือน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ถูกทำลายลงเศษหนึ่งส่วนสามของทั้งหมด
เช่นเดียวกัน
ไขความ เทวทูตเป่าแตรครั้งที่ 2 หมายถึง สงครามโลกครั้งที่2 (1939 - 1945) ขอให้สังเกตข้อความ
ภูเขาใหญ่ลุกโชติช่วง ถูกทิ้งลงทะเลทำให้ท้องทะเลกลายเป็นเลือด คำ "ภูเขา" ในวิชาภูมิศาสตร์ ก็เปรียบ
ได้กับ "ศีรษะ" ของมนุษย์ และอากาศหรือก้อนเมฆ ก็เปรียบเหมือน "บรรยากาศทางศีลธรรม หรือวัฒนธรรม
" ที่ "ศีรษะ" ใช้หายใจ... ในแวดวงสังคมมนุษย์ "ภูเขา" เปรียบเสมือนรัฐบาลซึ่งเป็น "ศีรษะของสังคม" ที่
วิวรณ์บอกว่า ลุกโชติช่วง คงต้องการบอกใบ้ถึงการถูกลงโทษ เช่นไฟกำมะถันตกจากฟ้าลงโทษชาวเมือง
โซโดม และโกโมราห์ ที่มั่วเซ็กซ์แบบสุดๆ ไฟที่ลุกโชติช่วง ก็คือไฟแห่งตัณหา โลภ โกรธ หลง ตกลง
ในทะเล หมายความว่า อุดมการณ์แห่งตัณหานี้เพ่งไปที่ทะเลทั้งหลายของโลกที่เป็นเป้าหมายใหญ่ ซึ่งต่าง
จะไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งสิทธิพิเศษแห่งเผ่าพันธุ์ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ต่างคนต่างคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตัวเองเลิศที่สุด
สมบูรณ์ที่สุดตามแนวคิดของ Nietzsche ก็ว่าเผ่าพันธุ์เยอรมันเป็น "SUPERMAN" ซึ่งจะท้าทายกับแนวคิดของ
Freud ซึ่งเป็นยิว จึงเป็นเหตุผลให้ฮิตเลอร์นำแนวคิดนี้ไปเผาล้างเผ่าพันธุ์คนยิว 6 ล้าน ในสงครามโลกครั้งที่ 2
พวกเราคงทราบกันดีแล้วจากประวัติศาสตร์ว่า มูลเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือลัทธิชาตินิยม
เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่ 3 เป่าแตรขึ้น ดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งมีชื่อว่า ดาวขม ติดไฟลุกโชติช่วงประดุจไต้
ก็ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าสู่แม่น้ำลำคลอง และตาน้ำต่างๆ เศษหนึ่งส่วนสามของทั้งหมด ทำให้น้ำส่วนนั้นมี
รสขม มนุษย์เป็นจำนวนมากต้องตายเพราะดื่มน้ำขมนี้
ไขความ เทวทูตองค์ที่ 3 เป่าแตร หมายถึง ยุคสงครามเย็น หรือยุคปฏิวัติวัฒนธรรมทางสังคมและ
ทางการเมือง (1946 - 1991) สงครามยังไม่สิ้นสุดอย่างที่คิด สงครามจะต้องดำเนินต่อไป เป็นสงครามเย็น
สงครามประสาท เพียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็พร้อมจะเป็นสงครามร้อนได้ทันที
ในยุคหลังสงคราม มารซาตานและพลพรรคของมัน ก็ไม่หยุดยั้งที่จะปฏิบัติการอันแยบยลของมันต่อไป
โดยพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลและมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยใช้สื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อถึง
"เสรีภาพปราศจากของเขต" ทั้งนี้เพราะสิ้นหวังกับระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นต้นเหตุของสงคราม
ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นมาหยกๆ จะทำให้คลั่งเสรีภาพและประชาธิปไตย เป็นช่องทางให้อุดมการณ์ของ มาร์กซ์ และของ
ฟรอยด์ แทรกซึมเข้ามา ดังนั้น ยาพิษ (ดาวขม) แห่งอนาธิปไตย ความชั่วแบบสุดๆ ความไม่มีศาสนา ความรุนแรง
ก็เจริญงอกงามในหมู่คนรุ่นหนุ่มสาว ผลลัพธ์ก็คือ ใช้ยาเสพติด การข่มขืน การทำแท้งก็จะตามมา (น้ำมีรสขม)
"ดาวขม" อีกอย่างหนึ่งก็คือ วิทยุและโทรทัศน์ เพราะเข้าไปถึงทุกคนทุกแห่ง โดยเฉพาะวิดีโอเคลือบ
รสขมสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังจะทำให้สมาชิกในครอบครัวห่างเหินกัน ขาดการพูดคุยสนทนาวิสาสะ
ทำให้ละเลยวัฒนธรรมอันดีงาม ในการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน
นอกจากนี้คำ "ดาวขม" ในภาษาละตินเรียกว่า Absinthium ในภาษายูเครนเรียกว่า Chernobyl
อุบัติเหตุเตานิวเคลียร์รั่วที่เชอร์โนบิล ในทศวรรษที่ 80 นั้นก็อยู่ในยุคสงครามเย็นนี้ด้วย
เมื่อทูตองค์ที่ 4 เป่าแตรขึ้น หนึ่งในสามส่วนของดวงอาทิตย์ก็ถูกทำลายไป นอกจากนั้นหนึ่งในสามส่วน
ของดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายก็ถูกดับแสงมืดมนไป เป็นเหตุให้เวลากลางวันไม่มีแสงสว่างเสียหนึ่ง
ในสามส่วน กลางคืนก็เช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้าแลเห็นนกอินทรีตัวหนึ่ง บินไปมาในท้องฟ้า และได้ยินมันร้องด้วยเสียงอันดังว่า
"วิบัติ วิบัติ วิบัติ จะเกิดแก่ทุกคนที่อยู่ในโลก ด้วยอานุภาพของเสียงแตรที่ทูตสวรรค์อีก 3 องค์
จะเป่าในลำดับต่อไป"
ไขความ ทูตสวรรค์องค์ที่ 4 เป่าแตร หมายถึง เกิดวิกฤติในความเชื่อ ความศรัทธา และแข็งข้อกับ
สังคายนาล่าสุด ท้องฟ้าแห่งพระศาสนจักร ก็คือ บรรดาพระสงฆ์และบรรดาผู้ถวายตัวเป็นนักบวช ผู้มีเป้า
ประสงค์ที่จะพัฒนาชีวิตด้านจิตใจให้สมบูรณ์ขึ้น ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ขึ้น เพื่อความรอดพ้น (ฝ่ายวิญญาณ)
ของตนเอง และเพื่อนพี่น้องก็โดยอาศัยความร่วมมือของพระเยซู และแม่พระมารีย์ เป็นประหนึ่งบรรดาเทวดา
ซึ่งดารดาษบนท้องฟ้าแห่งพระศาสนจักร พระเยซูคือดวงอาทิตย์ แม่พระมารีย์คือดวงจันทร์ เทวดาที่มองไม่เห็น
และที่เห็นได้ ก็คือ พระสงฆ์ จะเป็นประหนึ่งดวงดาว พระเยซูและแม่พระมารีย์จึงไม่อับแสงแน่นอน เพราะพระองค์
ทั้งสองเป็นแสงสว่างในตัวอยู่แล้ว แต่รูปลักษณ์ของพระองค์จะมืดสลัวไปเพราะใจของสัตบุรุษต่างหาก ทั้งนี้
เพราะโลกได้แพร่เชื้อร้ายแห่งความหลงผิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนแสงของพระองค์มิอาจทะลุลอดเข้ามาในใจ
ได้ดังเก่าก่อน จึงถือได้ว่าเป็นยุคที่ความเชื่อศรัทธาได้เสื่อมถอยไป และมีการแข็งข้อกับสังคายนาครั้งล่าสุด
พระสงฆ์ทอแสงแห่งความเชื่อแก่มวลสัตบุรุษในกิจวัตรประจำวัน ก็ถือเป็นผู้ส่องแสงที่มองเห็นได้ แต่หาก
ท่านถอดเสื้อสงฆ์ออก เมื่อท่านออกจากโบสถ์เดินปนเปไปกับผู้คน ท่านคงจะไม่ทอแสงให้ผู้คนเห็นได้เป็นแน่

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:42 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (4 )👈
🌼--- วิวรณ์กล่าวถึงแอนตี้ไครสต์ ---🌼
         
ข้าพเจ้าเห็นนกอินทรีตัวหนึ่ง บินไปมาในท้องฟ้า และได้ยินมันร้องด้วยเสียงอันดังว่า "วิบัติ วิบัติ วิบัติ
จะเกิดแก่ทุกคนที่อยู่ในโลก ด้วยอานุภาพของเสียงแตรที่ทูตสวรรค์อีกสามองค์จะเป่าในลำดับต่อไป
(วิวรณ์8:13)
ไขความ นกอินทรีหมายถึง ผู้ทำนาย ผู้ได้รับพรพิเศษจากพระเจ้า เช่น เซนต์จอห์น นอสตราดามุส
พยากรณ์ถึงความวิบัติใหญ่ๆ 3 ครั้งที่จะเกิดขึ้น
วิบัติครั้งที่ 1 หมายถึง เหตุการณ์ที่จะเกิดเมื่อเทวทูตองค์ที่ 5 เป่าแตร (วิวรณ์ 9:1-11)
ครั้นเมื่อทูตสวรรค์องค์ที่ 5 เป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าก็เห็นดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นจากฟากฟ้าลงสู่พื้นโลก
ดาวดวงนี้ได้รับกุญแจให้ไขขุมนรก เมื่อขุมนรกถูกไขออก ก็มีควันพวยพุ่งขึ้น ประดุจควันที่พุ่งออกมา
จากเตาไฟขนาดใหญ่ บดบังดวงอาทิตย์เสียสิ้น อากาศจึงมืดมน และมีตั๊กแตนฝูงใหญ่บินออกจากหมอก
ควันนั้นสู่โลกมนุษย์ ตั๊กแตนเหล่านั้นมีพิษร้าย ไม่ผิดอะไรกับแมลงป่อง และได้รับคำสั่งห้ามมิให้ทำอันตราย
แก่ต้นหญ้า หรือพืชพรรณธัญญาหาร ตลอดจนบุคคลอื่นใด เว้นแต่ผู้ที่ไม่มีดวงตราของพระเจ้าประทับไว้
ที่หน้าผากเท่านั้น แต่ก็มิให้ทำอันตรายคนเหล่านั้นจนถึงตาย หากแต่ให้ทรมานพวกเขาให้ได้รับความเจ็บ
ปวดเป็นเวลา 5 เดือน ประหนึ่งถูกแมลงป่องต่อย ในช่วงระยะเวลานั้น มนุษย์จะกระเสือกกระสนดิ้นรนหา
ทางตาย แต่ก็จะไม่สมหวัง พวกเขาอยากตาย แต่ความตายจะกลับหนีห่างไปจากเขา ตั๊กแตนเหล่านั้น
เปรียบประดุจม้าศึกซึ่งพร้อมจะเข้าสู่สนามรบ บนหัวของแต่ละตัวมีเครื่องประดับคล้ายมงกุฎทองคำ หน้าตา
ของมันดูคล้ายกับใบหน้าของผู้ชาย ขนของมันยาวประดุจเส้นผมของสตรี และฟันก็มองดูคล้ายกับฟันของ
สิงโต มันมีแผงหน้าอกคล้ายเกราะเหล็ก และเวลาขยับปีกก็เกิดเสียงดังครืนครัน ประหนึ่งเสียงรถศึกเทียม
ด้วยม้าหลายตัว กำลังควบลิ่วเข้าสู่สนามรบ หางของมันประดุจหางแมลงป่อง ที่หางมีเหล็กไนสามารถสร้าง
ความเจ็บปวดให้ผู้ที่ถูกมันต่อยเป็นเวลาถึง 5 เดือน ผู้มีอำนาจควบคุมตั๊กแตนเหล่านี้คือทูตสวรรค์ผู้ดูแล
ขุมนรก ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า อาบัดโดน ภาษากรีกเรียกว่า อาโปลลิโยน (ผู้กำหนดชะตากรรม)
ไขความ เทวทูตองค์ที่ 5 เป่าแตร หมายถึง ปรปักษ์พระคริสต์ (Antichrist) อุบัติขึ้นในโลก การตีความ
ตอนนี้ ขอหยิบยกคำอรรถาธิบายของพระเยซูเองที่ปรากฏมาพบ "จอห์นน้อย" Valtorta ในนิมิต ณ เดือน
สิงหาคม 1943 ใจความว่า "มันผู้นี้มักเรียกกันว่า "ลูกของซาตาน" "เกิดมาร" "ผู้ทุศีล" "จอมมหากาฬ"
"จอมทำลายล้าง" "จอมล้างแค้น" จะเป็นบุคคลมาจากเบื้องสูง สูงระดับดวงดาว ไม่ใช่ดาวธรรมดาๆ ซึ่ง
ส่องแสงในท้องฟ้า หากแต่มาจากดวงดาวที่อยู่ในชั้นเหนือธรรมดา ซึ่งยอมจำนนต่อการล่อลวงของศัตรู
มันจะเป็นคนหยิ่งยโส หลังจากที่เคยเป็นคนสุภาพถ่อมตน จะเป็นคนที่จมในปลักของกองกิเลส หลังจากที่
เคยถือศีลพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด จะเป็นคนที่หิวกระหายในทรัพย์สินเงินทอง หลังจากที่เคยบำเพ็ญตน
เป็นผู้สมถะ จะเป็นคนอยากได้ใคร่ดีในลาภยศ หลังจากที่เคยทำตัวเงียบๆ"
การที่เห็นดาวดวงหนึ่งตกจากท้องฟ้า ยังไม่น่าใจหายเท่ากับการที่เห็นสัตว์โลกที่ถูกเลือกสรรมาแล้ว
ต้องมาตกเข้าสู่วังวนของซาตาน ซึ่งต้องยอมสยบมันประดุจบิดาบังเกิดเกล้า
ลูซีเฟอร์ เพราะความหยิ่งจองหองต้องกลายเป็นผู้ถูกสาป และความมืด แอนตี้ไคร้สต์ เพราะความ
จองหองแค่หนึ่งชั่วโมง จะต้องกลายเป็นผู้ถูกสาป เป็นความมืด หลังจากที่เคยเป็นดวงดาวในกองทัพของเรา
ผลพวงที่มันตระบัดสัตย์กับเรา จะทำให้ท้องฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างน่าหวาดหวั่น และยังจะทำให้
เสาของศาสนจักรของเราต้องสั่นสะท้านและหวั่นไหว ทำท่าจะพังครืนลงมาอย่างน่าใจหาย มันจะได้รับความ
ช่วยเหลืออย่างดีจากมารซาตาน ซึ่งจะมอบกุญแจแห่งขุมนรกแก่มัน เพื่อจะได้ใช้เปิดขุมนรกนั้น แอนตี้ไคร้สต์
จะเปิดประตูนรกอย่างเต็มที่ เพื่อว่าเครื่องไม้เครื่องมืออันน่าสยดสยองต่างๆ จะได้ถูกนำออกมาใช้อย่างกว้าง
ขวาง ซึ่งในช่วงพันปีนี้มารซาตานได้ตระเตรียม เพื่อจะได้จูงมนุษย์ไปสู่ความสิ้นหวังแบบสุดสุด เพื่อว่าคนที่
กำลังจะสิ้นหวังนี้ จะได้เรียกหามารซาตาน ซึ่งพวกเขาจะยอมรับนับถือเป็นจ้าว และจะต้องวิ่งเข้าหาแอนตี้
ไคร้สต์ ผู้เป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดประตูนรกทุกบาน เพื่อให้จ้าวแห่งอเวจีออกมาได้ ก็จะเป็นเช่น
เดียวกันกับพระเยซูได้เปิดประตูสวรรค์ เพื่อปล่อยให้พระหรรษทาน (พระพร และการอภัยโทษหลั่งไหลออกมา)
ซึ่งจะทำให้ผู้คนกระทำเช่นเดียวกัน ในการร้องหาพระผู้เป็นเจ้า และกษัตริย์แห่งอาณาจักรนิรันดร
ซึ่งกษัตริย์แห่งกษัตริย์ก็คือตัวเราเอง
ตามที่พระบิดาได้ทรงมอบอำนาจทุกอย่างแก่เรา เจ้ามารซาตานก็จะให้อำนาจทุกอย่างแก่แอนตี้
ไคร้สต์เช่นกัน โดยเฉพาะอำนาจในการหลอกลวง เพื่อจะได้จูงพวกอ่อนแอและพวกอมโรค แห่งความ
ทะเยอทะยานเหมือนแอนตี้ไคร้สต์ เจ้านายของพวกเขานั่นแหละ แต่ทว่าในความทะเยอทะยานอันไร้
ขอบเขตของ Antichrist จะพบความช่วยเหลือแบบเหนือธรรมชาติน้อยมากจากมารซาตาน มันจึงพยายาม
แสวงหาความช่วยเหลือทางอื่น จากบรรดาศัตรูของพระคริสต์ ได้แก่กองกำลังรบที่ฉกาจฉกรรจ์ยิ่งขึ้น ซึ่ง
จะทำให้มารซาตานสะใจยิ่งนัก ในการจูงใจให้สร้างอาวุธที่ร้ายแรง เพื่อจะก่อให้เกิดความสิ้นหวังในฝูงชน
อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าอดรนทนไม่ไหว จนต้องส่งไฟมาเผาผลาญให้วอดวายไปต่อหน้า
ต่อตานั่นแหละ
พระเยซูมิได้ตรัสอย่างจะแจ้งตรงไปตรงมาว่า คำอธิบายนี้คือ วิบัติที่ 1 ตามวิวรณ์ 9:1-11
แต่ทว่าคนตาบอดเท่านั้นที่ยังอาจจะสงสัย
พระองค์อธิบายว่าใครคือดาวที่ร่วงหล่น? ขุมอเวจีหมายถึงอะไร? การเปิดขุมอเวจีหมายถึงอะไร
ควันและตั๊กแตนที่ออกมาจากขุมอเวจีนั้นหมายถึงอะไร ทำไมแมลงป่องไปต่อยคนที่ไม่มีเครื่องหมาย
ของพระคริสต์ แต่จะไปต่อยผู้ที่มีเครื่องหมายของซาตาน คือ หมายเลข 666
แอนตี้ไคร้สต์ ซึ่งมอบโอกาสให้มารซาตาน ปรากฏตนลงมาจากฟ้าท่ามกลางผู้คน โดยปรากฏ
ตนมีหน้า มีเสียง และมีมือเหมือนมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสา เป็นการปรากฏนำหน้าการเสด็จมาครั้งที่ 2
ของพระเยซูเพื่อจะได้ทำลายพระองค์ และทุกอย่างบนโลกให้พินาศ เพื่อว่าเมื่อจะเสด็จมา ก็จะไม่พบอะไร
เลยนอกจากศัตรู และซากเปื่อยเน่าผุพัง แต่ผลสุดท้ายจะตรงกันข้าม เหมือนพระมหาทรมานของพระองค์
จะเป็นเหมือนตะแกรงที่จะกรองเอาสิ่งดีๆ ไว้ แล้วปล่อยให้สิ่งผุพังเน่าเสียจนแก้ไขไม่ได้แล้วหลุดลอยไป
และพระองค์จะเก็บสิ่งดีๆ ไว้ แล้วจะเริ่มประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติใหม่ ดังเช่นเคยทำในสมัยน้ำวินาศ
มาแล้ว คำอธิบายข้อปลีกย่อยอื่นๆ เกี่ยวกับเทวทูตองค์ที่ 5 เป่าแตร ควันเตาใหญ่ซึ่งเปิดกว้างออกมาจะ
ทำให้พระอาทิตย์ และอากาศมืดมัวไป ทำให้ท้องฟ้าแห่งบรรยากาศของโลก และท้องฟ้าแห่งบรรยากาศ
ของดวงดาวมืดมัว หมายความว่า ผลแห่งกิจกรรมของมารและของวิญญาณของคนชั่ว จะขัดขวางหน้าที่
การงานอันอิสระทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรม หากผู้นั้นไม่ออกแรงอย่างสุดฤทธิ์ในการบังคับตัวเอง
ในการพินิจพิจารณา และในการบำเพ็ญภาวนา  ก็จะสูญเสียแสงสว่างแห่งความเชื่อและเหตุผล จะถูก
พวกมากลากไป ตามกระแสโลกจนไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ คล้ายๆ กับเหตุการณ์วันที่พระเยซูกำลัง
จะถูกนำไปตรึงกางเขน พระองค์ได้ตรัสกับผู้ที่ถูกว่าจ้างมาจับพระองค์ว่า "เราอยู่กับท่านในพระวิหารทุกๆ
วัน แต่พวกท่านมิได้จับกุมเรา แต่บัดนี้เป็นเวลาของพวกท่าน เป็นเวลาที่อำนาจแห่งความมืดกำลังเป็นใหญ่"
(ลูกา 22:53)
เพื่อขัดขวางมิให้สานุศิษย์ของพระองค์ตกใจจากการถูกจู่โจม พระเยซูเจ้าจึงย้ำแก่พวกเขาว่า
"จงตื่นเฝ้าและภาวนาเพื่อมิให้ถูกประจญ เนื่องเพราะจิตนั้นพร้อมอยู่แต่ร่างกายนั้นอ่อนแอ"
คำเตือนนี้ ใช้ได้สำหรับพวกเราในปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเรากำลังอยู่ใกล้กับเหตุการณ์สำคัญและ
น่าสะพรึงกลัว แต่ทว่าผลคงจะไม่เหมือนกัน สำหรับผู้ที่มีเครื่องหมายจากพระเจ้า กับผู้ที่มีเครื่องหมายของ
แอนตี้ไคร้สต์ ผู้ที่มีเครื่องหมายของแอนตี้ไคร้สต์ ก็จะถูกบีบคั้นจากความไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้อง
ทรมานทางร่างกายเหมือนกับที่คนถูกแมลงป่องต่อย ก็จะปวดร้าวเพราะพิษของมัน พิษแมลงป่องจะทำให้
เจ็บปวดไปชั่วครู่ จะบวมไปสัก 4 - 5 ชั่วโมง ไม่ถึงทำให้ตาย ผลของจิตชั่วไม่ถึงทำให้ตาย ผลของจิตชั่ว
ก็เช่นกัน ก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม
เซนต์จอห์นยังมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งเป็นตั๊กแตน ก็หมายถึง มารหรือวิญญาณของคนชั่ว ทั้งหมด
ก็เป็นนรกนั่นเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ระหว่างมารและวิญญาณของคนชั่ว
ท่าทีของตั๊กแตนก็จะเป็นเช่นเดียวกับม้าศึก เวลาจะเคลื่อนตัวก็ทำให้เกิดเสียงกระทบกันเหมือน
ตั๊กแตนขยับปีก ก็เกิดเสียงดังครืนครัน หมายความถึงจิตชั่วที่จู่โจมเข้าใส่มนุษย์ที่ไม่ทันตั้งตัว หรือหลับไหล
อยู่ในบาป พวกมันก็จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย บนหัวของพวกมันก็มีมงกุฎทองคำ ก็หมายถึง ความจองหอง
พองขนไร้ขอบเขต มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ หมายถึงลัทธิถือหลักเหตุผลเป็นสำคัญ ซึ่งแพร่ภาพของโลกที่เป็น
ของมนุษย์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับความเชื่อที่เหนือไปกว่านั้น มีผมแบบผู้หญิง หมายถึง ถือการ
สนุกสนานสำราญบานใจเป็นสำคัญ มีฟันคล้ายของสิงโต หมายถึง การพัฒนาอย่างไร้ขอบเขตในเรื่องการ
กินอยู่ (บริโภคนิยม) ถือลัทธิอเทวนิยมแบบมาร์กซิสต์เป็นใหญ่ ถือเงินเป็นพระเจ้านั่นเอง ที่หน้าอกคลุมด้วย
ทับทรวงเหล็ก หมายถึง ความเห็นแก่ตัวอย่างไร้เทียมทาน ทุกอย่างต้องเป็นของฉันแต่ผู้เดียว ที่หาง
(ของแมลงป่อง) มีเหล็กไนที่มีพิษ หาง ก็คือ ประกาศกเทียม หรือผู้เอาศาสนามาหากิน พิษ ก็คือความปลิ้น
ปล้อนหลอกลวง ซึ่งจะคร่าวิญญาณ พวกเขาจะมีกษัตริย์เป็นผู้กำหนดชะตากรรม ก็คือมารซาตาน
หรือพญามังกรนั่นเอง ในวิวรณ์บทที่ 12 ที่มีกล่าวถึง พญามังกร ที่ตวัดหางกวาดเอาดวงดาวบนท้องฟ้าร่วงหล่น
ลงสู่พื้นโลกเสียหนึ่งในสามของดวงดาวทั้งหมด หมายถึงมารซาตานจะล่อลวงพระสงฆ์องค์เจ้า นักบวช นักพรต
ให้เลิกปฏิบัติธรรม ถลำตัวพัวพันในโลกีย์วิสัยไปหนึ่งในสาม

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ตอบกลับโพส