เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ ( ชุดที่ 19 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 11, 2023 12:08 pm

🪰🪰รังต่อมฤตยู ตอนที่ ( 1 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดย Gerry Johnson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

พ่อแม่และลูกชายสองคนกำลังชื่นชมกับธรรมชาติในป่าของรัฐฟลอริด้า
แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับศัตรูร้ายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เด็บบี้ วอล์คเกอร์ (Debbie Walker) วัย 41 ปี แม่ลูกสองเงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์เบื้องบน
พลางยิ้มอย่างเป็นสุขเหนือบริเวณหนองบึงของรัฐฟลอริด้า เธอเติบโตในเมืองแมรี่แลนด์ซึ่ง
สภาพธรรมชาติ ต่างกันลิบลับกับรัฐเมืองร้อนอย่างฟลอริด้า เธอจึงรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อย่างเข้า
เขตป่าดิบแห่งนี้ เธอไม่ชอบป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานประเภทจระเข้และงูพิษเท่าใดนัก
แต่ก็ยังอุ่นใจเมื่อนั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์ล้อสูงเกือบ 2 เมตรที่สามีประดิษฐ์ขึ้นสำหรับแล่นใน
บริเวณหนองบึงตื้น ๆ

เมื่อย่างเข้าฤดูล่าสัตว์ช่วงปลายเดือนตุลาคมปี 2538 เบ็น (Ben) ก็วางมือจากธุรกิจ
เพาะเลี้ยงต้นไม้ในเมืองบ้านเกิดรัฐฟลอริด้า จากนั้นก็เข้าป่าล่ากวางและหมูป่า ครั้งนี้เขาพาเด็บบี้
ภรรยาพร้อมกับลูกชาย 2 คน คือแมทธิว (Matthew) 4 ขวบและมาร์ก (Mark) 2 ขวบไปด้วย

เด็กทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันและยังถูกรถเขย่าอีกด้วย จึงงีบหลับอยู่ข้างหลังใต้ที่นั่ง
ยกสูงของลูก ๆ มีสุนัขล่าสัตว์ 2 ตัวของเบ็นนอนเงียบอยู่ในกรงใหญ่

“เราน่าจะกลับกันได้แล้วนะ” เด็บบี้บอก

“ก็แค่ย้อนกลับทางเดิม เราก็คงถึงบ้านก่อนค่ำ” เบ็นยืนยัน

รถลุยป่าเกิดไปสะดุดติดกิ่งไม้ เบ็นปีนลงไปบนล้อมหึมาเพื่อใช้มีดพร้าตัดฟันออกให้พ้นทาง
ครู่ต่อมาเด็บบี้ได้ยินเสียงสุนัขร้องโหยหวนแทรกเสียงเครื่องยนต์ แล้วเบ็นก็ร้องขึ้นว่า

“อะไรกันนี่”

“มีอะไรหรือคะ” เธอถามขณะที่เบ็นสาละวนปัดกางเกงยีน พอมองลงไปก็เห็นฝูงตัวต่อเหลืองดำ
รุมตอมต่อยเบ็นแน่นตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมาถึงต้นขา

ภายในไม่กี่วินาที ฝูงต่อก็เข้ากลุ้มรุมรถทั้งคัน เด็บบี้รู้สึกปวดแปลบจากพิษเหล็กในที่ทิ่มแทงตัวเธอ

“ลูก ๆ ล่ะ !” เธอหันไปเห็นฝูงต่อกำลังรุมตอมเด็กน้อยที่หลับอยู่ แมทธิวตื่นขึ้นมาหวีดร้องลั่น
สองมือโบกปัดเป็นพัลวัน เธอได้ยินเสียงมาร์กลูกคนเล็กร้องไห้จ้า

“แม่ แม่ หยุดมันที!”

เบ็นตะเกียกตะกายกลับขึ้นมานั่งประจำที่บนรถ แล้วเข้าเกียร์ถอยหลังเต็มแรง แต่เกียร์ไม่เข้า

“เราต้องวิ่งแล้ว” เขาตะโกนบอก

“ผมจะลงไปก่อน แล้วคุณค่อยส่งลูก ๆ มาให้ผม”

เขาหลับหูหลับตากระโดดลงบนกอหญ้าสูง ขาขวาดูเหมือนจะหักเพราะกระแทกกับของแข็ง
เหมือนหินเบื้องล่าง ความปวดร้าวแล่นเข้าสู่ร่างกายราวกับถูกไฟจี้

“คอยเดี๋ยว เด็บบี้ !” เขาลากขาพาตัวไปท้ายรถ “หย่อนมาร์กลงมาตรงนี้ ดินค่อยอ่อนหน่อย”

เด็บบี้ลังเล เธอไม่กล้าโยนลูกน้อยจากที่สูงเกือบ 4 เมตรลงไป ทันใดนั้น ต่อที่กำลังโกรธเกรี้ยว
ฝูงมหึมาก็เข้ารุมต่อยเธอทางด้านหลัง เด็บบี้หวีดร้อง ปล่อยตัวมาร์กลงไป แล้วขดตัวงอด้วยความเจ็บปวด

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พุธ พ.ค. 24, 2023 10:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 11, 2023 12:14 pm

🪰🪰รังต่อมฤตยู ตอนที่ ( 2 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดย Gerry Johnson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

มาร์กตกลงไปในโคลนโดยไม่เป็นอันตราย เบ็นดึงลูกให้พ้นจากรถขณะที่เด็บบี้หย่อน
แมทธิวลงแล้วทิ้งตัวตามลงมา

สุนัขที่ถูกขังอยู่ในกรงส่งเสียงร้องโหยหวน เด็บบี้รู้สึกราวกับหัวใจจะแตกสลายพลาง
รีบดึงแมทธิวออกมาให้ห่างจากรถ

“เราต้องหาอะไรมาปิดลูกไว้” เธอตะโกน สามีภรรยาช่วยกันปัดตัวต่อออกจากตัวลูก
แล้วกลิ้งตัวเด็กทั้งสองลงไปในโคลนให้ดินโคลนเคลือบตัวไว้...

แต่ทำไมทุกอย่างจึงดูพร่ามัวไปหมดเล่า “แว่นตาหาย” เด็บบี้เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้น เธอเป็นคนสายตาสั้นมาก

เบ็นเหลือบไปมองเด็บบี้ ต่อตอมหน้าเธอเต็มไปหมดเหมือนหน้ากากที่บิดเบี้ยว แก้มทั้งสอง
หน้าผาก และคางเริ่มบวม ซึ่งบ่งบอกอาการแพ้พิษเหล็กในที่อาจทำให้ช็อกถึงตายได้

“พามาร์กเดินกลับไปตามทางที่เรามา เด็บบี้” เบ็นสั่ง “ผมจะให้แมทธิวตามไป”

เด็บบี้คว้ามาร์กขึ้นอุ้ม เดินกะโผลกกะเผลกไปตามรอยรถให้ไกลจากฝูงต่อ
ในที่สุดฝูงต่อก็เลิกตามเธอ

“ตามแม่ไป” เบ็นสั่งแมทธิวด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่จะดูแลลูกเอง”

แมทธิววัย 4 ขวบคลานออกไปทั้งที่ตื่นตระหนกและมีต่อรุมตอมเต็มตัว เมื่อเด็บบี้เห็น
ลูกมาคนเดียว เธอก็รู้ว่าเบ็นต้องบาดเจ็บจนเดินไม่ไหวแน่

“อยู่กันตรงนี้” เธอบอกลูกทั้งสอง แล้วเธอก็ก้มศีรษะต่ำขณะเดินกลับฝ่าดงต่อไปหาเบ็น

“แข็งใจเดินนะเบ็น ฉันจะช่วยพยุง” เธอพูดทั้งที่หายใจหอบ แต่เด็บบี้รับน้ำหนักเบ็นไม่ไหว
เขาสูงกว่า 180 เซนติเมตรและหนัก 100 กิโลกรัม

“โธ่ เบ็น เราจะทำยังไงกันดี”
เธอร้อง เสียงพูดเริ่มไม่ชัดเพราะลิ้นคับปาก

เบ็นรู้ว่ากำลังเข้าตาจน ตัวเองก็เจ็บปวดสาหัสอยู่ และเด็บบี้กำลังใกล้จะช็อก เธอเคยถูก
ตัวต่อต่อยมาแล้ว และมีอาการแพ้ขั้นรุนแรงจนต้องหามส่งโรงพยาบาล เวลาใกล้มืดเข้ามาทุกขณะ

“ฟังผมนะ เด็บบี้” เขาบอก “คุณต้องวิ่งไปหาคนมาช่วย ทิ้งลูกไว้ตรงนั้นก่อน”

“ไม่ได้หรอก” เธอตอบ

“ลูกจะถ่วงให้คุณช้า รีบไปตอนที่คุณยังไหว เดินตามรอยรถเราไปตรงแคมป์ที่เราผ่านมา”

เมื่อเห็นสามีอยู่ในสภาพช่วยตัวเองไม่ได้ และได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น
เด็บบี้รู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก

“ก็ได้ ฉันจะพยายามเต็มที่”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 7:58 pm

🪰🪰รังต่อมฤตยู ตอนที่ ( 3 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดย Gerry Johnson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เบ็นมองตามเด็บบี้ซึ่งเดินโซซัดโซเซลับหายไป ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปถึงแคมป์นั่นได้หรือเปล่า
ในใจนึกขอให้มีใครสักคนมาช่วยครอบครัวของเขา
เด็บบี้เดินตุปัดตุเป๋ไปบนเศษใบไม้ที่เน่าทับถมกัน พยายามไม่ให้หลุดหลงไปจากรอยล้อรถ
ทั้งสองข้าง แต่เมื่อไม่มีแว่นตา ทุกอย่างก็พร่ามัวไปหมด สมองเธอตื้อและร่างกายเริ่มหมดความรู้สึก

พิษของตัวต่อกำลังสำแดงฤทธิ์เดช พอร่างกายเกิดอาการช็อกรุนแรง พิษจะทำให้ความดัน
โลหิตต่ำลง เป็นผลให้ปริมาณออกซิเจนที่จะส่งไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ลดน้อยลง
เนื้อเยื่อของร่างกายภายนอกซึ่งขาดออกซิเจนเช่นกัน ก็จะเปิดประตูเซลล์ปล่อยให้ของเหลวไหลออก
สู่เนื้อเยื่อ ทำให้บวมจนลำคอและหลอดลมตีบตัน เหยื่อบางรายเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว บางรายหายใจ
ขัดและแน่นจนหายใจไม่ออกทีละน้อย ๆ

อาการของเด็บบี้กำลังเข้าระยะแรก เธอเดินสะเปะสะปะออกนอกทางรอยล้อรถโดยไม่รู้ตัว

‘ฟิล เพลเลเทีย’ (Phil Pelletier) ผู้อำนวยการฝ่ายสันทนาการของเขตวัย 45 ปี รอคอยวันที่
จะเข้าป่าล่าสัตว์กับเพื่อน ๆ ครั้งนี้มานานแล้ว แต่เขาค่อนข้างจะผิดหวังกับการล่าในช่วงเช้าวันนั้น
ทั้ง ๆ ที่เจอสัตว์มากมาย และพวกเพื่อน ๆ ก็สนุกสนานกันดี แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยหน่วงเขาไว้

‘ฟิล’ตัดสินใจอยู่ที่พักคอยเก็บข้าวของเตรียมกลับ เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า
ทำไมจึงนึกอยากอยู่รั้งท้าย

ตอนที่‘ฟิล’ขับรถกระบะไปตามทางแคบ ๆ ที่เคยเป็นทางรถไฟและปล่อยร้างไว้นั้นเป็นเวลา 16.25 น.
เมื่อมองไปข้างหน้าในระยะ 100 เมตรเขาเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นผู้หญิงเดินโซซัดโซเซเปื้อน
โคลนมอมแมม ใบหน้าบวมเป่ง

“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”
พอได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของเขาเท่านั้น เด็บบี้ก็ร้องไห้โฮ “ลูก ๆ ฉันแย่แล้ว สามีก็ขาหักอยู่
ถูกฝูงต่อต่อย มันรุมเราเต็มไปหมด”

“ผมจะช่วยคุณเอง”

‘ฟิล’พยายามปลอบเธอ “พาผมไปหาพวกเขาซิ”

“ฉันไปไม่ไหวแล้ว” เธอสะอึก

“คอฉันกำลังตีบ ต้องการยา” ดวงตาของเธอดูผิดปกติ และผิวสีซีดเหมือนขี้เถ้า

“ผมจะพาคุณไปที่ร้านค้า” ‘ฟิล’บอก “ห่างไปแค่ 5 นาที มีร้านค้าอยู่ที่นั่น เราโทรฯ เรียกให้คนมาช่วยได้”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 8:01 pm

🪰🪰รังต่อมฤตยู ตอนที่ ( 4 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดย Gerry Johnson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เจ้าหน้าที่แพทย์ไปพบเด็บบี้ที่ร้านค้า และรีบฉีดยา “เอพิเนฟริน”( Epinephrine)
กระตุ้นหัวใจให้ทันที อาการของเธออยู่ในขั้นร้ายแรง

ขณะที่เจ้าหน้าที่แพทย์กำลังดูแลเธออยู่นั้น เด็บบี้ไม่ได้ละสายตาจาก‘ฟิล’เลย
ดวงตานั้นอ้อนวอนให้เขากลับไปค้นหาครอบครัวของเธอ ในฐานะพ่อลูกสอง ‘ฟิล’เข้าใจดีถึง
ความทุกข์โศกของเด็บบี้

“อย่าห่วงเลยครับ” เขาบอกคนเป็นแม่ที่กำลังสะลึมสะลือใกล้หมดสติเต็มที
“ผมจะหาสามีและลูก ๆ ของคุณให้พบ”

หยาดเหงื่อไหลย้อยเป็นทางบนแผ่นหลังของ‘ฟิล’ขณะบึ่งรถกระบะด้วยความเร็วเกือบ 100 กม.
ต่อชั่วโมงไปตามแนวทางรถไฟเก่ามุ่งหน้าสู่หนองน้ำ เด็บบี้บรรยายภาพบริเวณที่เธอโผล่ออกมา
จากป่าให้ฟัง ทันใดนั้น‘ฟิล’ก็สังเกตเห็นปากทางเข้า จึงเหยียบเบรกโดยแรง “อาจเป็นตรงนี้นะ”
เขาคิด

แต่รถกระบะถลำลึกลงไปในหนองน้ำที่มีดินอ่อนและเริ่มจะจมลง เขารีบถอยหลังกลับขึ้นไป
บนพื้นถนนแล้วขับต่อไป

จากตรงนั้นไปอีกประมาณกิโลเมตรครึ่ง เขาพบปากทางแคบ ๆ อีกแห่ง จำได้ว่ามีทางแคบ
สำหรับชักลากไม้คดเคี้ยวเข้าไปในป่า “ต้องเป็นทางนี้แหละที่เธอเดินออกมา”

แสงแดดอ่อนลง ‘ฟิล’ขับรถพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เห็นร่องรอยของทางเดิน เสียงพัดลมของ
เครื่องยนต์ตีกระทบน้ำขาดเป็นห้วง ๆ ทำให้เขาประมาณได้ว่ารถของตนจมลงในดินเหลวลึกเพียงไร
พอแล่นต่อไปอีกเกือบกิโลก็สะดุดกับสีที่แวบเข้าตา

เขาหยุดรถแล้วมองไปใหม่ เห็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่ในแอ่งน้ำตื้น หันหน้าไปทางอื่น
และกำลังพูดอยู่คนเดียว

‘ฟิล’ส่งเสียงเรียกแต่ไกลเพื่อมิให้เด็กตกใจ

“แม่ของหนูอยู่กับเราแล้ว !”

พอได้ยินเสียง แมทธิวก็หันมาและเริ่มร้องไห้ ‘ฟิล’ไม่คิดมาก่อนว่าจะเห็นภาพเช่นนั้น
ลำคอ แขน และขาของเด็กน้อยวัย 4 ขวบผิดรูปร่าง ใบหูกางยื่นออกมาจากศีรษะ ผิวหนังบวมเป่ง
และขาวซีด มีรอยกัดต่อยสีแดงคล้ำเป็นร้อย ๆ รอย

‘ฟิล’ก้มลงช้อนตัวเด็กขึ้นมาแล้วอุ้มพาไปที่รถ แมทธิวร้องลั่น บิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด
ตัวสั่นเทิ้มทั้งที่อากาศร้อน ดวงตาที่มองมานั้นว่างเปล่า แล้วแกก็ฟุบศีรษะลง “เด็กกำลังจะตายไปต่อหน้า” ‘
ฟิล’คิด “ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล อย่างน้อยก็ช่วยไว้ได้คนหนึ่งละ”

ขณะขับออก ‘ฟิล’พยายามเลี่ยงหลุมบ่อน้ำตามทาง แต่ไม่นานก็เข้าตาจน น้ำสูงท่วมหน้ารถ
เครื่องยนต์สำลักและดับลง ‘ฟิล’อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของแมทธิวลุยน้ำที่สูงถึงสะโพกออกไป

เมื่อถึงที่โล่งข้างหน้า เขาก็มองไปเห็นชายคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่า “คาร์ลิน โคลแมน”
(Carlin Coleman) ผู้ช่วยนายอำเภอ ตามรอยรถของ‘ฟิล’มาจนถึงตรงนั้น

“เด็กคนนี้ต้องการความช่วยเหลือด่วน!” ‘ฟิล’ตะโกนบอก “ทางเดียวที่เราจะช่วยคนอื่น ๆ
คือต้องมีรถลุยหนองน้ำ” เขาบอก’คาร์ลิน’ให้ไปเอารถที่ว่านั้นจากเพื่อนของเขาที่แคมป์พักแรม

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ค. 14, 2023 8:05 pm

🪰🪰รังต่อมฤตยู ตอนที่ ( 5 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดย Gerry Johnson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คนทั้งสองขับรถออกมาได้นิดเดียวก็พบ ‘เดนนิส’หัวหน้าตำรวจดับเพลิง ทั้งสามตกลงกันว่า
‘คาร์ลิน’จะพาเด็กไปยังร้านค้านั้น ส่วน‘ฟิล’และ’เดนนิส’จะขับรถลุยหนองน้ำที่ยืมมากลับไปที่
เกิดเหตุ ขณะนั้นเป็นเวลา 18.37 น. อีกเพียงชั่วโมงเดียว โอกาสที่จะหาตัวมาร์กและเบ็นพบ
ก็จะหมดลง

เมื่อกลับเข้าสู่ทางในป่าอีกครั้ง ‘เดนนิส’สังเกตเห็นทางโคลนที่มีรอยล้อรถ “หยุดก่อน”
เขาร้องขึ้น “มีรอยล้อรถลุยป่าอยู่ 2 รอย รอยใหญ่กับรอยเล็ก รอยทั้งสองตัดกันตรงนี้”

“ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า สามีของเธอมีรถลุยป่าขนาดใหญ่” ‘ฟิล’กล่าว “เธอคงหลงทางตรงนี้
แล้วเดินต่อไปตามรอยเล็ก จึงไปถึงที่พักของผมเร็ว เคราะห์ดีของเธอแท้ ๆ”

ชายทั้งสองตามรอยล้อรถใหญ่ไปถึงบ่อน้ำกลางดงหญ้าสูง พอมองข้ามบ่อไป
ก็เห็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นรูปศีรษะคน

‘เดนนิส’กระโดดลงไปในบ่อ ลุยเลนพรวด ๆ แล้วก็เห็นใบหน้าบวมปูดเป็นสีเทาซีดเหมือนขี้เถ้า
ของหนูน้อยมาร์ก

หัวหน้านายตำรวจดับเพลิงกลั้นน้ำตาขณะคว้าตัวเด็กน้อยมากอดไว้
“เราจะพาหนูออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้แหละ”

‘เดนนิส’วิทยุส่งข่าว “ได้ตัวเด็กอีกคนแล้ว” เสียงพูดขาดเป็นห้วง
“เราจะพาออกไป แล้วค่อยกลับมาหาคนที่เป็นพ่อเด็ก” ตกลงกันว่า ‘คาร์ลิน’จะกลับมารับเด็กไปที่ร้านค้า

เบ็นไม่ได้ขยับไปไหนเลยนับแต่เด็บบี้เดินออกไป เขาร้องเรียกลูกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบ
จึงกลัวว่าลูก ๆ จะพากันเดินตามหาแม่จนหลงทาง สิ่งเดียวที่ทำให้เบาใจได้คือ เจ้าต่อมฤตยูเลิก
ตอแยกับเขาแล้ว มันหันไปรุมรถซึ่งเครื่องยังเดินส่งเสียงคำรามอยู่ โดยถือว่าเป็นศัตรูของมัน

เบ็นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและกำลังจะหมดสติอยู่แล้วตอนที่เขาได้ยินเสียงรถแล่น
เข้ามาอีกคัน แล้วก็มีเสียงเรียก

“เบ็น เป็นอะไรหรือเปล่า เรามาช่วยแล้ว เบ็น”

“ขอบคุณ” เบ็นร้องตอบ

จากนั้นไม่นาน พวกล่าสัตว์ก็ไปเอารถของเบ็น และปล่อยสุนัขออกจากรง พวกมันรอดมาได้
แต่พอรถขยับ ฝูงต่อก็หวนกลับมาอีก แม้จะถูกไฟเผา มันก็ไม่ลดละ ผลที่สุด พวกล่าสัตว์ต้อง
เผารังมันทิ้ง รังของต่อส่วนมากอยู่ใต้ดิน แต่รังนี้แผ่ขยายขึ้นมาถึงต้นไม้ล้มที่ผุอยู่บนดิน
รถของเบ็นแล่นทับรังต่อจนมันตื่น

ที่โรงพยาบาล เด็บบี้รอดพ้นความตายมาได้ เบ็นได้รับบาดเจ็บกระดูกหักและแผลฉีกขาด
ที่ขาขวาและต้นขา ต้องผ่าตัดหลายครั้ง ขณะที่เขียนเรื่องนี้ เขาทำงานได้ตามปกติแล้ว เด็กทั้งสอง
หายวันหายคืนและเลิกฝันร้ายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ที่ร้านค้านั้น ผู้คนยังพูดถึงเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะอย่างยากจะอธิบายได้ การที่คนซึ่ง
สามารถช่วยได้ปรากฏตัวออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม และการหลงเลี้ยวผิดแต่กลายเป็นถูกทาง
อย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์โดยแท้

หมายเหตุ : ตัวต่อชนิดที่ทำร้ายครอบครัวนี้ เป็นแมลงประจำถิ่นของสหรัฐฯ อยู่ในสกุล “Vespula”
ซึ่งเป็นคนละสกุลกับต่อในเมืองไทย ต่อชนิดนี้พอเทียบได้ใกล้เคียงกับ “ต่อหัวเสือ”
แม้รูปร่างหน้าตาจะต่างกันก็ตาม

***************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 15, 2023 3:33 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ มีทั้งหมด ( 6 ) ตอนจบ


🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ (1)
คุณพ่อเรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แคโรไลน์เล่าให้สตีฟฟังหลายครั้งถึงความกลัวที่หลอนเธอ แต่ตอนนี้มันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

ท่าเรือ”กรูเอนรายา “Krueng Raya Port” ตรงเหนือสุดของเกาะสุมาตราทั้งร้อนระอุและแน่นขนัด
เรือข้ามฟากกำหนดออกจากท่าบ่าย 3 โมง แต่ตอนนี้ 5 โมงแล้วเรือยังไม่เทียบท่าเลย วันนั้นตรงกับ
วันที่ 19 มกราคม 2539 คนนับร้อยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอยากกลับบ้านบนเกาะ‘ปูเลาแว’
(Pulau We) เพื่อเริ่มต้นเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม

ในหมู่ผู้โดยสารมีชาวอังกฤษจากลอนดอน 2 คน คือสตีฟ นิโคลสัน (Steve Nicolson)
หนุ่มร่างผอมสูง 180 เซนติเมตร ผมสีเข้ม ดวงตาสีฟ้าสดใส และแคโรไลน์ แฮริสัน (Caroline Harrison)
สาวร่างเพรียวสมส่วน ทั้งคู่วัย 34 ปีและรู้จักกันมา 4 ปีแล้วก่อนตัดสินใจท่องโลกด้วยกัน ทั้งสองเดิน
ข้ามเขาหิมาลัย บุกป่าดงดิบ และตะลุยมาเกือบทั่วทวีปออสเตรเลีย จนรู้สึกอ่อนล้าจากการเดินทาง
จึงตัดสินใจจะใช้เวลาพักผ่อนเงียบ ๆ สัก 2-3 วันบนเกาะ‘ปูเลาเว’ที่สงบและเป็นธรรมชาติ

“กูรีดา” เรือยนต์ข้ามฟากลำเล็ก หัวเรือเป็นสนิมเข้ามาเทียบท่าในที่สุด ท่ามกลางความโกลาหล
ของการแย่งชิงกันขึ้นเรือ ทั้งสองสังเกตเห็นนักเดินทางประเภทสะพายเป้หลัง ชาวตะวันตกคนอื่น ๆ
บนเรือด้วย สตีฟและแคโรไลน์ได้ที่นั่งตัวสุดท้ายบนดาดฟ้าเรือ

พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับแสง รถบรรทุกคันแล้วคันเล่าทยอยกันนำถุงปูนมาส่งตรงทางขึ้น
ก่อนจะลำเลียงไปกองไว้ตรงดาดฟ้าท้ายเรือ สตีฟมองเห็นช่องระบายน้ำข้างเรือจมลงไปใต้น้ำ 2-3 นิ้ว
ส่วนแคโรไลน์กังวลด้วยเหตุผลอื่น

ตลอดชีวิตเธอกลัวการนั่งเรือและทะเลเสมอเพราะความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เธอเห็นภาพตัวเอง
แหวกว่ายในความมืด มีแสงไฟลิบ ๆ อยู่ไกลออกไป เธอร้องเรียกแต่ไม่มีใครได้ยิน...

“ตอนจบเป็นยังไง” สตีฟถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตกใจตื่นก่อนทุกที”

ภาพในฝันแจ่มชัดมากจนสมัยเป็นเด็กนักเรียน แคโรไลน์ไม่กล้าแม้แต่จะนั่งเรือล่องแม่น้ำเทมส์
สตีฟพาเธอดำน้ำตื้นแบบใส่หน้ากากลอยตัวบนผิวน้ำ ทำให้เธอมั่นใจมากขึ้น ตอนนี้เธอไม่กลัวการ
นั่งเรือแล้วถ้าเป็นเวลากลางวัน แต่ตอนที่เรือ“กูรีดา”ออกจากท่าเป็นเวลา 18.30 น.และฟ้าเริ่มมืด

มองจากดาดฟ้าผ่านหน้าต่างไปยังบริเวณที่นั่งชั้นหนึ่ง แคโรไลน์เห็นบรรดาผู้โดยสารเบียดเสียด
ยัดเยียดกัน ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ทารกน้อยคนหนึ่งหลับปุ๋ยในเปลญวน

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 16, 2023 6:36 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ ( 2 )

เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เรือแล่นมาได้สัก 1 ชั่วโมง ประมาณครึ่งทาง อยู่ดี ๆ เรือเกิดชะลอความเร็วลงกะทันหัน
กะลาสีคนหนึ่งแหวกฝูงคนมาบนดาดฟ้าพร้อมกับสั่งและทำท่าให้ทุกคนขยับลุกขึ้นไปอีกด้าน
บรรดาพ่อแม่ถอนใจเพราะต้องต้อนเด็ก ๆ และขนข้าวของ สตีฟและแคโรไลน์พยายามขยับ
ตามแต่คนแน่นมากจนสตีฟพูดขึ้นว่า “บ้าจริง ๆ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”

ทั้งสองพบที่ว่างข้างในเรือและนั่งลงบนพื้น แคโรไลน์ตัวเอียงทั้งที่พยายามนั่งให้ตรง
“รู้สึกมั้ย” เธอถามด้วยความตกใจ “เรือเริ่มเอียง”

จากนั้นดาดฟ้าค่อย ๆ กลับมาได้ระดับก่อนที่จะเอียงกระเท่เร่ไปอีก คราวนี้เอียงหนักกว่าครั้งก่อน
ผู้โดยสารหวีดร้องเสียงหลงขณะไหลเทไปตามพื้นเรือที่เอียง เครื่องยนต์หยุดกึก ไฟดับพรึบ

แคโรไลน์รู้สึกชาวาบในสมอง สตีฟพยายามข่มความตกใจกลัวและพูดอย่างมีสติ

“ไปข้างนอกก่อนและเตรียมกระโดดออกจากเรือ ผมจะไปหาเสื้อชูชีพ”

เมื่อเรือเริ่มเอียงเป็นครั้งที่สาม กัปตันและกะลาสีคนอื่น ๆ เริ่มคว้าเสื้อชูชีพสีส้มออกแจก
ผู้โดยสารต่างกรูกันเข้ามา สตีฟถูกฝูงชนที่กำลังแตกตื่นกระแทกจนล้มลง

บนดาดฟ้า แคโรไลน์อยู่ตรงด้านสูงของเรือที่เอียง เธอพยายามหาเสายึดและปีนไปที่ราว
หลายคนเริ่มกระโดดลงทะเล บางคนกระโดดลงน้ำที่ทะลักเข้ามาทางด้านล่างของดาดฟ้าที่มี
รถจอดอยู่และถูกแรงน้ำกระแทกปะปนอยู่กับรถ ผู้โดยสารบางคนยังติดอยู่ในรถ

“สตีฟ สตีฟ” แคโรไลน์ตะโกนเสียงลั่น “ท้องเรือจะพลิกขึ้นมาแล้ว เร็วเข้า”

สตีฟพยายามแหวกฝูงคนออกมา เขาเห็นแคโรไลน์อยู่ตรงประตูทางเดิน อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตัว
ทันใดนั้นเรือก็เอียงจนพื้นตั้งฉาก บานประตูเหวี่ยงปิดถูกหัวสตีฟ ส่วนแคโรไลน์ก็ไม่รู้หายไปทางไหน

ร่างของสตีฟจมอยู่ใต้น้ำในฉับพลันก่อนจะทันได้หายใจด้วยซ้ำ เขาถูกน้ำดูดเข้าไปในวังวน
มืดมิด รอบตัวมีแต่กระเป๋า เก้าอี้และผู้คนที่กำลังเอาตัวรอด “เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ” เขาคิด “เรือกำลัง
จะจมและฉันกำลังจะจมน้ำ”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ พ.ค. 24, 2023 10:22 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ (3 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เขาดำน้ำท่ากบมุ่งหน้าไปทางที่คิดว่ามีประตูอยู่และโผขึ้นคิดว่าจะโผล่พ้นน้ำ แต่หัวไปชนเก้าอี้
ที่เรียงเป็นแถวติดพื้น เขาพยายามพุ่งหัวไปทางที่น่าจะเป็นประตูอีกครั้ง แต่ก็ชนเข้ากับกำแพง
เขาติดกับเสียแล้ว

ปอดเขาเริ่มขาดอากาศ แต่สมองยังปลอดโปร่งและคิดว่า “มีเวลาเหลือไม่ถึงนาที อย่าหายใจ
อย่าอ้าปาก คิดให้ดี คิดสิว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของห้อง”

เขาจับทิศทางจากเก้าอี้ที่อยู่เหนือหัวและทะยานตัวไปข้างหน้า นิ้วสะเปะสะปะคว้าไปถูกช่องประตู
ที่เปิดอยู่ เขาว่ายลอดออกมาได้และรู้สึกว่ามาถึงส่วนที่เป็นบริเวณเปิด จึงว่ายต่อจนเหนื่อยเหมือนปอด
จะระเบิด ในที่สุดหัวก็โผล่พ้นน้ำ แต่ยังไม่ทันหายใจเต็มที่ก็มีมือของผู้โดยสารที่ตื่นตระหนกมาล็อกคอ
เขาจากด้านหลัง ทั้งคู่จมดิ่งลงน้ำเหมือนถูกถ่วงด้วยก้อนหิน

สตีฟรู้สึกถึงกล้ามแขนอันทรงพลังล็อกคอไว้ ขณะที่อีกมือคว้าสายกระเป๋าเงินไนลอนคาดเอว
ของเขาไว้แน่น เวลาเหลือน้อยเต็มที สตีฟดิ้นเอาตัวรอด ถีบชายคนนั้นอย่างแรงจนสายกระเป๋าคาด
เอวและกางเกงขาสั้นขาดไปครึ่ง เขาพุ่งตัวขึ้นอย่างเร็วและร้องตะโกนเรียก “แคโรไลน์”

แคโรไลน์ถูกพัดเข้าไปในวังวนมหึมาของฟองน้ำ เธอล่องลอยไปตามกระแสแล้วออกแรงว่าย
สุดชีวิตให้หลุดจากวังวน คอนแทกเลนซ์เธอหลุดหาย ภาพเหนือน้ำที่เห็นจึงเป็นแค่เงาราง ๆ ของผู้คนที่
กำลังกระเสือกกระสน จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ใจชื้น เป็นเสียงของสตีฟที่เรียกเธอท่ามกลางความมืด

ทั้งสองว่ายจนมาพบกันและกอดกันไว้ เลือดไหลเป็นทางจากรอยแตกบนหัวสตีฟ ส่วนแคโรไลน์
ตัวสั่นด้วยความกลัวถึงกับอาเจียน ลำเรือเอียงกระเท่เร่ลอยห่างไป 2-3 เมตร บนท้องเรือที่แบนราบ
คนราว 50 คนกำลังคุกเข่าสวดมนต์พร้อม ๆ กัน สตีฟพาแคโรไลน์ว่ายออกไป เมื่อเขาหันกลับไปมอง
อีกครั้ง เรือก็จมน้ำแล้ว

ขณะแหวกว่ายน้ำออกมา แคโรไลน์พยายามข่มความกลัวที่ฝังลึก ผืนทะเลและท้องฟ้าเป็นสีดำ
มีแสงไฟเรียงเป็นสายจากเกาะที่อยู่ไกลออกไป ภาพนี้คุ้นตายิ่งนัก และแล้วเธอก็ตระหนักว่า
“สตีฟ เรากำลังอยู่ในเรื่องที่ฉันฝัน”

แคโรไลน์เล่าความฝันให้สตีฟฟังบ่อยครั้งมากจนเขาเห็นภาพเช่นเดียวกับเธอ เขาตะลึงงัน
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็จะได้รู้กันเสียทีว่า เรื่องจะจบอย่างไร” เขาคิดเศร้า ๆ แต่พูดเสียงดังว่า
“อย่าไปคิดถึงมัน ว่ายตามผมมา”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 7:00 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ ( 4 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในทะเลอันอบอุ่นยามค่ำคืน ตัวแพลงตอนขนาดจิ๋วจุดประกายให้กับท้องน้ำเหมือนพรายน้ำ
บนหน้าปัดนาฬิกา ตามทางที่ทั้งสองแหวกว่ายไป ผมของแคโรไลน์และหนวดเคราของสตีฟ
ส่งแสงแวววับดั่งประกายเพชร

สตีฟชะโงกหน้าเหนือน้ำดูภาพแห่งความตาย ผู้คนนับร้อยที่กำลังตะกุยตะกายไม่ให้จมน้ำ
จับกลุ่มกันตรงแสงสีเขียวเรื่อ ๆ เสียงร้องโหยหวนดังทั่วบริเวณ เสียงดิ้นรนและเสียงร้องแผ่วลง
พร้อมกับแสงนั้นเริ่มหรี่และดับไปในที่สุด

ทั้งสองคนว่ายมาถึงวัตถุสีดำลอยน้ำอยู่ มันคือเรือยางทรงกลมลอยคว่ำอยู่ เรือนี้จุคนได้ 8 คน
มีชาย 3-4 คนกำลังแย่งที่บนเรือและอีกราว 50 คนเกาะเชือกอยู่รอบ ๆ สตีฟเจอช่องว่างและสอดนิ้ว
เกี่ยวเชือกขณะที่แคโรไลน์จับมือเขาไว้อีกข้างลอยคออยู่เคียงคู่ แคโรไลน์เห็นใบหน้าขาว ๆ ในแสงสลัว

เธอคือมาร์กาเร็ต ครอตตี (Magaret Crotti) สาวอเมริกันวัย 23 ทำงานกับกองทุนช่วยเหลือเด็ก
ในอินโดนีเซีย ตอนน้ำท่วมเรือ เธอล้มลงและติดอยู่ในบริเวณตู้เก็บของ เธอจำไม่ได้แล้วว่าหลุดออกมา
ได้อย่างไร แต่เท้าทั้งสองเป็นแผลเลือดออก “เหตุการณ์แบบนี้แหละที่ทำให้คนเราเป็นเพื่อนกันชั่วชีวิต”
สตีฟพูดให้จิตใจชุ่มชื่น มาร์กาเร็ตยิ้ม รู้สึกใจชื้นที่ได้ยินเสียงภาษาอังกฤษ

“กัปตันคงจะวิทยุขอความช่วยเหลือก่อนเรือจม” สตีฟพูดขึ้น “ทางการคงส่งหน่วยกู้ภัยออกค้นหา”
ในยามนี้เขารู้ว่าจำเป็นต้องช่วยกันให้กำลังใจ ตอนเป็นวัยรุ่นเขาสนใจเรื่องวิธีการเอาชีวิตรอดและ
อ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้

“การเอาชีวิตรอดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกาย” เขาจำได้จากที่อ่าน “จิตใจต่างหาก
ที่ทำให้เราไม่ละความพยายาม ถ้าคุณตกใจ ความคิดของคุณจะไม่แล่น”

“เราต้องทำให้พวกนั้นเลิกตื่นตกใจ” เขาพูดกับมาร์กาเร็ต และหมายถึงพวกผู้ชายที่กำลังตะกาย
ปีนขึ้นเรือยาง มาร์กาเร็ตช่วยเป็นล่ามให้ บอกทุกคนให้ลงมาก่อนจะได้ช่วยกันพลิกเรือให้ถูกทางและ
รับคนขึ้นเรือมากขึ้น แต่พอชาย 3 คนลงมาจากเรือ อีกหลายคนกลับปีนขึ้นไปแทน สตีฟรู้สึกว่าคงไม่มีหวัง
เขาเตือนว่า “ถ้าเรือยางรั่ว รีบว่ายหนีนะ เพราะพวกที่ว่ายน้ำไม่เป็นจะพยายามคว้าตัวคุณไว้”

ทันใดนั้น ทั้งสามเห็นแสงเหมือนดาวตกใต้สมุทรขณะที่รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างล่าง
และรู้ทันทีว่าเป็นฉลาม

มาร์กาเร็ตดึงเข่าขึ้นชิดคาง เท้าสองข้างเลือดไหลเป็นทางซึ่งจะดึงดูดความสนใจเจ้าฉลาม
สตีฟรู้ว่ามาร์กาเร็ตกำลังกลัว เขาเตือนแคโรไลน์ว่า “ยกเท้าขึ้นและอย่าฉี่ลงในน้ำ หรือกระทุ่มน้ำเพราะ
จะเป็นการดึงความสนใจฉลาม”

เวลาประมาณ 23.30 น. ท่อลมหนึ่งในสองของเรือยางเริ่มส่งเสียงฟู่ สตีฟถีบตัวออกทันทีและ
ดึงแคโรไลน์ไปด้วย “เราต้องว่ายน้ำกันแล้ว” สตีฟบอก แต่มาร์กาเร็ตไม่อยากสละเรือยาง เสียงสุดท้าย
ที่สตีฟและแคโรไลน์ได้ยินท่ามกลางเสียงร้องขณะมุ่งหน้าสู่ความมืดคือ เสียงมาร์กาเร็ตอวยพรให้โชคดี

โปรดติดตามตอนที่ (5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 7:03 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ ( 5 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เรือข้ามฟากจมกลางช่องแคบเบงกอล เกาะ‘ปูเลาแว’อยู่ห่างไปทางขวาราว 8 กิโลเมตร
ส่วนทางซ้ายห่างไปอีกหลายกิโลเมตรเป็นเกาะใหญ่ 2 เกาะ ปลายเกาะมีโขดหินเรียงรายและ
ประภาคารตั้งอยู่ สตีฟและแคโรไลน์ค่อย ๆ ว่ายเพื่อถนอมแรงไว้และให้กระแสน้ำแรงช่วยพัดพา
ไปยังประภาคาร

มีบางอย่างที่ดูเหมือนถุงสีส้มลอยมา สตีฟคว้าไว้ “ไม่อยากเชื่อเลย” เขาบอก มันเป็นเสื้อชูชีพ
ทั้งสองหัวเราะด้วยความดีใจ แล้วแผ่เสื้อชูชีพออกเพื่อให้เกาะด้วยกันได้

ราว 3.00 น. คลื่นเริ่มก่อตัวสูงขึ้น สตีฟเห็นแสงไฟทางขวา ดวงหนึ่งสีเขียว อีกดวงสีขาว

“นั่นเรือ ว่ายไปกันเถอะ”

ประมาณ 20 นาที ทั้งสองเกือบถึงเรือหาปลาขนาด 25 ฟุต ใกล้พอที่จะเห็นห้องถือท้ายเรือ
เหมือนตู้โทรศัพท์ตรงท้ายเรือ จึงหยุดและร้องตะโกนเรียกตรงระยะห่างราว 100 เมตร

สตีฟเป่านกหวีดจากเสื้อชูชีพ สตีฟและแคโรไลน์ ได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์ แล้วเรือก็
หันหัวแล่นหายไป “ไอ้บ้า กลับมานะ” แคโรไลน์ตะโกน จากนั้นก็สะอื้นไห้อย่างหมดหวัง

ทำไมพระเจ้าให้ความหวังเราแล้วกระชากความหวังนั้นไป
ฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว แสงอาทิตย์ทออาบเกาะที่อยู่ตรงหน้าเป็นสีทอง แคโรไลน์ปล่อยใจตัวเองอย่าง
ไร้เหตุผลว่า “เราปลอดภัยแล้วละตอนนี้ เราจะไม่จมน้ำตอนกลางวันเพราะว่าในฝันไม่เป็นอย่างนั้น”

เธอจ้องมองหาดทรายสีขาวที่อยู่ห่างไปราวกิโลเมตรเศษ ๆ ทำไมเราว่ายไม่ถึงเสียทีนะ ทันใด
เธอก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกว่า กระแสน้ำเชี่ยวพัดเธอกับสตีฟเลยท้ายเกาะไปแล้ว อีกไม่ถึงกิโลเมตรเป็นแนว
โขดหินซึ่งเป็นแผ่นดินส่วนสุดท้ายของอินโดนีเซียก่อนเข้าเขตมหาสมุทรอินเดีย ทั้งคู่เตะเท้าและว่ายน้ำ
อย่างสุดชีวิต แต่ก็เลยเกาะไปราว 150 เมตร

เมื่อหลุดจากเกาะสุดท้ายก็ถูกกระแสน้ำพัดออกมากลางคลื่นทะเลใหญ่ คลื่นสาดพัดจากทุกทิศทุกทาง
กระแทกหัวลูกแล้วลูกเล่า ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็หลุดออกจากวังวนของกระแสคลื่น ขณะตัวลอยตามคลื่นลูกโต
สตีฟหันกลับไปมอง เกาะแก่งหายไปในไอแดด เหลือเพียงทั้งสองกลางมหาสมุทรเวิ้งว้าง

โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 7:15 pm

🌊ฝันร้ายกลางทะเลทมิฬ ตอนที่ ( 6 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย John Dyson
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กลางทะเล สตีฟและแคโรไลน์ยึดเสื้อชูชีพไว้และว่ายน้ำต่อไป ใบหน้าถูกคลื่นกระแทกนับไม่ถ้วน
และดูเหมือนคลื่นลูกหลัง ๆ จะโตขึ้นเรื่อย ๆ “เราไม่จมน้ำ ว่ายต่อไป” สตีฟบอกตัวเอง “อย่ายอมแพ้”
ทั้งคู่วายน้ำนาน 14 ชั่วโมง แคโรไลน์คิดในใจว่า “จะว่ายต่อไปจนกว่าจะหมดแรงจะได้ไม่รู้ตัวเวลา
จมน้ำ” เธอพูดเสียงดังขึ้นว่า “ฉันอยากจะบอกที่บ้านว่า ฉันรักพวกเขาทุกคน”

ความคิดแล่นปราดในหัวสตีฟ เขาบอกแคโรไลน์หรือยังนะว่าเขารักเธอเพียงใด “นี่แน่ะ” เขาพูด
ขึ้นขณะดึงเธอมาใกล้ “เมื่อเรากลับบ้านกันแล้ว เราจะแต่งงานกัน ดีมั้ย”

“แน่นอนค่ะ” แคโรไลน์ยิ้มตอบ ทั้งคู่แขนขาอ่อนล้าแทบหมดแรง ผิวหนังเหี่ยวซีด ปากและลิ้นแห้ง
บวมเพราะกระหายน้ำ แต่ความรู้สึกอบอุ่นทำให้เธอกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก “ดีใจที่มีสตีฟอยู่ด้วย”
เธอคิดในใจ

“ดูนี่สิ” สตีฟชูมะเขือเทศลูกใหญ่สีแดงขึ้น เขาหัวเราะดีใจและกัดเป็นรูตรงเปลือก ผลัดกันดูดเนื้อข้างใน
สิบนาทีจากนั้นก็พบมะเขือเทศอีกหลายสิบลูกลอยน้ำผ่านมา

แสงแดดแผดจ้ายามเที่ยงวันอยู่ตรงหัวพอดี สตีฟถึงกับตะลึงเมื่อถูกซัดไปอยู่บนยอดคลื่น
“ผมเห็นเรือแล้ว” สักพักเขาก็รู้ว่าเป็นเรือบรรทุกน้ำมันที่ตระเวนหาผู้รอดชีวิตจากเรือจม แต่ทั้งสองอยู่
นอกบริเวณค้นหา และต้องพยายามคาดว่าเรือจะไปทางไหนในอีก 2 ชั่วโมงเพื่อจะได้ว่ายไปดัก

สตีฟและแคโรไลน์พยายามว่ายเต็มแรงทั้งที่อ่อนล้าเต็มที จนเข้าไปใกล้เห็นสนิมข้างเรือสีแดง
ขณะเรือเลี้ยว แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนใจจะขาดเมื่อเห็นเรือค่อย ๆ แล่นห่างออกไป และแล้วสตีฟก็เห็นเงา
เปลี่ยนทิศ “เรือกำลังเลี้ยว เรือหันกลับมาแล้ว”

หัวเรือสูงตระหง่านประดุจหน้าผาใหญ่ขณะที่เรือเคลื่อนเข้าใกล้ สตีฟและแคโรไลน์ได้ยินเสียง
เครื่องยนต์ และเห็นบรรดากะลาสีเกาะราวข้างเรือ ขณะกวาดตามองไปตามน้ำและมองตรงมาที่ทั้งสอง
“เขาไม่เห็นเรา เราต้องตายแน่” แคโรไลน์หายใจหอบ

“เราอยู่ใกล้เกินไป พวกเขามองข้ามหัวเราไป” สตีฟบอก เขาพยายามถีบตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ
โบกแขนเรียกขณะเรือยักษ์แล่นเฉียดในระยะแค่ 50 เมตร

ทันใดนั้น กะลาสีคนหนึ่งชี้ตรงมาที่ทั้งสอง เรือชะลอและวกมาหา ชายคนหนึ่งเอาเชือกคล้อง
เอวกระโดดลงน้ำช่วยพยุงเราไปที่บันได และคนในเรือช่วยกันดึงขึ้น ทั้งคู่อยู่ในน้ำนานกว่า 18 ชั่วโมง

ที่โรงพยาบาลบนเกาะ แคโรไลน์และสตีฟพบกับมาร์กาเร็ต เธอว่ายน้ำไปทางประภาคาร
เมื่อเรือยางจม ตำรวจตระเวนชายฝั่งพบและช่วยไว้

“คุณรอดมาได้” มาร์กาเร็ตส่งเสียงดีใจ แคโรไลน์สบตาสตีฟและยิ้มให้กัน “เพราะเรามีกันและกัน”
เธอตอบพร้อมกับกุมมือเขาไว้ “ความฝันของฉันจบลงอย่างนี้เอง” เธอคิดด้วยความสุขใจ

หมายเหตุ : จากจำนวนผู้โดยสารและลูกเรืออย่างน้อย 377 คนบนเรือ”กูรีตา”
มีผู้รอดชีวิตเพียง 40 คนเท่านั้น

*************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:11 pm

( มี 7 ตอน )


ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 1 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ดอนน่าเหลือบมองนาฬิกาติดผนังร้านขายของในเมืองยูจีน (Eugene) รัฐโอเรกอน
ขณะนั้นเป็นเวลา 22.30 น. ของวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2537

“อีกครึ่งชั่วโมงก็จะปิดร้านแล้ว” เธอคิด

ขณะที่ยืนเช็ดทำความสะอาดเคาน์เตอร์อยู่นั้น ดอนน่าได้ยินเสียงของ ‘ฟราน วอล’ (Fran Wall)
เพื่อนร่วมงานโทรฯ คุยกับสามีที่มุมโทรศัพท์สาธารณะภายในร้าน พนักงานหญิงทั้งสองวัย 28 ปีเท่ากัน
เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนบ้านในย่านที่อยู่ไม่ไกลจากร้านที่ทำงาน

“เดี๋ยวก็จะกลับถึงบ้านแล้ว” ‘ฟราน’บอกสามี “รักคุณค่ะ”

แล้วเธอก็วางหู จากนั้นก็เดินอ้อมไปด้านหลังซึ่งเป็นห้องน้ำ ห้องเก็บสินค้าและห้องเย็นขนาดใหญ่

ขณะนั้นเอง ดอนน่าเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่นอกร้าน เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ ผมสีทองยาวรวบเป็น
หางม้า สูงประมาณ 175 เซนติเมตร ใบหน้าอ่อนมีสิวเขรอะ ดอนน่าจำเขาได้เพราะเขาเข้ามาซื้อบุหรี่
ในร้านก่อนหน้าในวันเดียวกันนั้นเอง ตอนนั้นเธอขอดูหลักฐานแสดงอายุ บัตรประชาชนของเขาระบุว่า
เขาเกิดเดือนมิถุนายน 2518

ออดไฟฟ้าที่ประตูส่งสัญญาณเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาในร้าน ดอนน่ายังคงสาละวนทำงาน
และสังเกตเห็นว่า ม้วนล็อตเตอรีชนิดขูดดูรางวัลในกล่องพลาสติกใสใกล้เครื่องคิดเงินใกล้จะหมดแล้ว
ดอนน่าเตือนตัวเองว่า พรุ่งนี้จะต้องใส่รหัสล็อตเตอรีม้วนใหม่เข้าคอมพิวเตอร์เพื่อจะนำออกขายได้
สิ่งที่เธอไม่ทราบก็คือพนักงานขายอีกคนจัดการเรียบร้อยแล้ว ล็อตเตอรีม้วนใหม่ 200 ใบนั้นเหน็บ
อยู่ระหว่างเครื่องคิดเงินกับกล่องพลาสติกใส
ดอนน่าเงยหน้าขึ้นเห็นชายคนที่สองด้านหลังร้าน ใบหน้าเขาเล็กและจมูกยาว ผมยาวสีน้ำตาล
ปรกอยู่รอบใบหน้า ทำให้ดอนน่านึกถึงตัวละครหน้าตาพิลึกพิลั่นในหนังสือการ์ตูน
แล้วดอนน่าก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงคำรามทางด้านขวา เธอหันไปดูก็พบชายไว้เครา
ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือท่อนเหล็กยาว พร้อมกับส่งเสียงเกรี้ยวกราด

“เรากำลังถูกปล้น” ดอนน่าคิด แล้วถอยหลังกรูดด้วยความกลัว เจ้าหนุ่มผมทองกระโจนไปที่ห้องเก็บสินค้า

“อย่าให้เขาได้ยินเสียง’ฟราน’จากในห้องเย็นเลย” ดอนน่าภาวนา

“เปิดเครื่องคิดเงิน” ชายไว้เคราตะคอกสั่ง

ดอนน่ากดเครื่องคิดเงิน ลิ้นชักเปิดผางออก ชายผู้นั้นหยิบเงินสดแล้วส่งเงินพร้อมท่อนเหล็ก
ให้ชายอีกคนซึ่งเพิ่งโผล่เข้ามา

“เฝ้าหล่อนไว้” ชายร่างใหญ่สั่ง จากนั้นก็เดินอ้อมมุมร้านไปทางห้องเย็น

ดอนน่าจ้องคนร้ายที่เฝ้าเธออยู่ เขาเพิ่งโตเป็นหนุ่ม

“ได้เงินแล้ว ได้โปรดไปจากร้านนะคะ” เธอร้องขอ “ฉันมีลูก 4 คนรออยู่ที่บ้าน อย่าทำร้ายฉันเลย”

เด็กหนุ่มไม่ใส่ใจคำพูดของดอนน่า พลางเงื้อง่าท่อนเหล็กค้างไว้เหนือศีรษะเธอ ดอนน่ารู้สึกหมดแรง
และตัวสั่น

“ไอ้พวกนั้นทำอะไรอยู่ในห้องด้านหลังกันนะ” เธอสงสัย
อีกไม่กี่นาทีต่อมา ชายไว้เคราและหนุ่มผมทองก็เดินออกมา หน้าและเสื้อผ้าของเจ้าผมทองเปรอะ
ไปด้วยเลือด “แย่แล้ว ดอนน่าคิดด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “พวกมันทำอะไร ‘ฟราน’ “

“มาเร็ว” ชายผมทองสั่ง พร้อมกับชี้ให้ดอนน่าเดินไปทางห้องหลังร้าน “เราไม่ทำร้ายคุณหรอก”

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:15 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 2 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

“ฟาดหล่อนสิ”
“พวกมันจะฆ่าฉัน” ดอนน่าคิดอย่างตื่นตระหนก เธอคว้ารถเข็นเครื่องดื่มที่หนักอึ้ง แล้วผลักใส่
พวกคนร้าย เจ้าคนไว้เคราใช้ขายันรถไว้ และผลักเธอเข้าไปติดผนังห้องเก็บสินค้า

“ฟาดหล่อนสิ” เจ้าผมทองตะโกน “แกไม่มีปัญญาแม้แต่จะฆ่าผู้หญิงหรือวะ”

ดอนน่าหวีดร้องพลางเบียดตัวชิดผนังขณะที่คนร้ายคืบเข้ามาใกล้ พร้อมกับเงื้อท่อนเหล็กในมือ
เธอยกแขนขึ้นป้องศีรษะตอนที่คนร้ายฟาดท่อนเหล็กใส่

คนร้ายกระหน่ำอาวุธในมือซ้ำแล้วซ้ำอีก กระดูกแขนและมือเธอแตกยับ และแม้ว่าจะเจ็บปวดอย่าง
แสนสาหัส ดอนน่าก็ยังแข็งใจยกแขนป้องกันศีรษะตนเอง และคิดว่า
“ถ้าหมดสติ ฉันจะไม่ได้เห็นหน้าลูก ๆ อีกเลย”

ดอนน่าพยายามต่อสู้ แต่ถูกตีอย่างทารุณจนล้มลงไปกองกับพื้น เธอตัวงอเมื่อถูกคนร้ายเตะ
และฟาดซ้ำด้วยท่อนเหล็ก

“ส่งมีดมา” เจ้าคนไว้เคราคำรามสั่ง วินาทีต่อมา มันก็แทงดอนน่าที่แขนแต่ร่างกายของเธอ
เจ็บปวดเสียจนไม่รู้สึกว่าถูกแทง

“ฉันฆ่าเหยื่อของฉันแล้ว แล้วทำไมแกไม่เก็บนังนี่ซะ” เจ้าผมทองแดกดัน ตอนนั้น ดอนน่ารู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาอีก

“เจ้าสัตว์นรกพวกนี้ฆ่า‘ฟราน’แล้ว “ เธอนึกในใจ
ทันใดนั้นพวกมันก็หยุดฟาด ดอนน่ามองลอดแขนเห็นคนร้ายมองไปทางอื่น ท่าทางพวกมันวอกแวก

“นี่เป็นโอกาสที่ฉันจะรอด” ดอนน่าคิด พร้อมกับยันกายในท่าหมอบ แล้วพุ่งถลาไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ห่าง
ออกไปไม่ถึง 2 เมตร
“ต้องเข้าไปในนั้นแล้วล็อกประตู” เธอคิดอย่างตื่นตระหนก ดอนน่าไปถึงประตู แต่เจ้าคนไว้เคราก็
กระแทกประตูเข้ามาได้ แล้วผลักเธอไปชิดผนัง

“ทำไมแกไม่ตายเสียที นังตัวดี” มันคำราม แล้วยัดท่อนเหล็กใส่ปากเธอ ดอนน่าสำลักและสู้สุดกำลัง

ทันใดนั้น เจ้าเคราก็หันหน้าไปเหมือนกับเงี่ยหูฟังอะไรสักอย่าง เสียงออดประตูหน้าร้านนั่นเอง
ลูกค้ามา! เจ้าวายร้ายก้าวออกจากห้องน้ำแล้วมองไปทางหน้าร้าน

ดอนน่าปิดประตูปังแล้วใส่กลอน จากนั้นก็ทรุดลงไปกองกับพื้น เธอคาดว่าพวกฆาตกรคงจะกลับมาอีก
แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ท้ายที่สุด ดอนน่าก็เปิดกลอนประตูแอบดูเหตุการณ์ภายนอก เมื่อพบว่า
ไม่มีใครอยู่ในร้านเลย มีผู้หญิงมาเปิดประตู

“พวกมันฆ่า’ฟราน’ตายแล้ว” ดอนน่าสะอื้น “ช่วยฉันด้วย”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:18 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 3 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

“เตรียมตัวเตรียมใจให้ดี”

เวลา 23.06 น. รอน โรเบิร์ต (Ron Robert) นักสืบแผนกฆาตกรรมน้องใหม่วัย 32 ได้รับแจ้งว่า
มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น โรเบิร์ตโทรฯ ถึงคู่หูคือ แพ็ต ไรอัน (Pat Ryan) ตำรวจฝีมือเยี่ยมวัย 42 ซึ่ง
ทำงานในกรมตำรวจมานานถึง 20 ปี 5 นาทีต่อมา นักสืบทั้งสองก็ขับรถไปยังร้านขายของที่เกิดเหตุ
สิบเอก ริก กิลเลียม (Rick Gilliam) นักสืบแผนกฆาตกรรมพบกับทั้งสองที่นั่น

“ผมมอบหน้าที่ให้คุณทั้งสองทำคดีนี้” เขาพูดกับโรเบิร์ต

โรเบิร์ตรู้สึกปั่นป่วนในท้อง เขาเป็นตำรวจท้องที่มานาน 6 ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เป็นหัวหน้า
ทีมสอบสวนคดีฆาตกรรม เขาได้เลื่อนตำแหน่งเกินหน้าตำรวจที่อาวุโสกว่าหลายคนในแผนก และรู้ดี
ว่าตอนนี้ผู้คนจะต้องจับตาดูการทำงานของเขา

“ดอนน่า พนักงานขายของที่ได้รับบาดเจ็บให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณของคนร้ายทั้งสี่อย่าง
ชัดเจน” กิลเลียมบอก “ปาฏิหาริย์จริง ๆ ที่เธอรอดมาได้ พนักงานอีกคนไม่โชคดีเท่า”
เขาเดินนำไปที่ห้องเย็น “คุณเตรียมตัวเตรียมใจนะ”

นักสืบทั้งสามเปิดประตูห้องเย็นแล้วชะงัก ‘ฟราน วอล’นอนตายบนพื้น กะโหลกศีรษะถูกทุบอย่าง
เหี้ยมโหด ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ไรอันเอ่ยขึ้นว่า “เราต้องจับคนร้ายพวกนี้ให้ได้ ถ้าพวกมันฆ่าผู้หญิงที่
ไม่มีทางสู้แบบนี้ได้ มันไม่ลังเลที่จะฆ่าคนอื่นอีกแน่”

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:21 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 4 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(*)ความหวังเพียงอย่างเดียว

หมอต้องใช้หมุด 400 ตัวช่วยยึดรอยแตกที่กะโหลกศีรษะของดอนน่า และใช้เวลาหลายชั่วโมง
ตกแต่งบาดแผลที่แขนทั้งสองของเธอ ซึ่งต้องเข้าเฝือกถึงหัวไหล่

หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ 8 วัน แพทย์ก็อนุญาตให้เธอกลับบ้านได้ แต่ริกผู้เป็นสามีสังเกตเห็น
ภรรยาซึ่งเคยเข้มแข็งและเต็มไปด้วยความมั่นใจ กำลังเสียขวัญ

“พวกคนร้ายยังลอยนวล และฉันก็เป็นคนเดียวที่จะชี้ตัวพวกมันได้” ดอนน่าคร่ำครวญ

ดอนน่ากระตือรือร้นที่จะช่วยตำรวจและยินดีให้ปากคำกับโรเบิร์ตในวันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล
โรเบิร์ตมาถึงพร้อมแฟ้มภาพอาชญากรซึ่งมีถึง 100 รูป

“ช่วยดูหน่อยว่าคุณจำคนไหนได้บ้าง” เขาบอก

แม้โรเบิร์ตจะทำคดีนี้อย่างแข็งขัน แต่ก็ยังอดวิตกไม่ได้ และคิดว่า “เวลาผ่านมา 8 วัน ตอนนี้เรา
ควรจะจับคนร้ายได้แล้ว”

เขารู้ดีว่า คดีฆาตกรรมที่สืบสวนได้สำเร็จส่วนใหญ่นั้น ปมคดีจะคลี่คลายภายใน 72 ชั่วโมง
หลังจากเกิดเหตุ

ดอนน่าอธิบายรูปพรรณสัณฐานคนร้ายทั้งสี่ และให้รายละเอียดทุกอย่างเท่าที่เธอจำได้ รวมทั้ง
วันเกิดเดือนมิถุนายน 2518 ตามบัตรประชาชนของเจ้าคนร้ายผมทอง โรเบิร์ตค่อนข้างมั่นใจว่า
ถ้ารูปคนร้ายอยู่ในแฟ้มภาพอาชญากรนี้ ดอนน่าจะต้องจำพวกมันได้แน่

ดอนน่ารับแฟ้มมาดูอย่างใจจดใจจ่อ แต่อีกหลายนาทีต่อมาก็ต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแรง “ไม่มีรูป
พวกมันในนี้เลย” ดอนน่าพูดและเริ่มร้องไห้ “คุณต้องหาตัววายร้ายกลุ่มนี้ให้ได้นะคะ”

โรเบิร์ตเห็นใจดอนน่าอย่างมาก “เราจะจับพวกมันให้ได้ครับ” นักสืบหนุ่มย้ำกับเธอและ
เธอก็หวังว่าเขาจะรักษาสัญญานี้ได้

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 ) ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 25, 2023 8:25 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 5 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ล็อตเตอรีที่ถูกรางวัล

ในช่วง 2 เดือนหลังเกิดเหตุ โรเบิร์ตกับไรอันได้เบาะแสนับพันและติดตามสืบสวนไม่หยุด
แต่ก็คว้าน้ำเหลว มูลเหตุจูงใจในการฆาตกรรม ‘ฟราน วอล’ยังคงสร้างความงุนงงให้ผู้คน

เจ้าของร้านรายงานตำรวจว่า คนร้ายขโมยเงินจากเครื่องคิดเงินไปเพียง 50 เหรียญเท่านั้น

และแล้วในวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 โรเบิร์ตก็ได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนกองสลากกินแบ่งของรัฐฯ
ซึ่งแจ้งว่า “ผมคิดว่า เรามีบางอย่างที่คุณอาจจะสนใจ”

อีก 2-3 นาทีต่อมา โรเบิร์ตก็รีบบอกข่าวดีกับไรอัน เช้าวันนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจสอบล็อตเตอรีตาม
ร้านค้าพบว่า ล็อตเตอรีชนิดขูดหายไปจากร้านที่เกิดเหตุ 200 ใบ เป็นม้วนที่หนีบอยู่ระหว่างเครื่องคิดเงิน
กับกล่องพลาสติกใสนั่นเอง

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นโทรฯ มาที่กองสลากเพื่อถามว่า ล็อตเตอรีที่หายไปผ่านการบันทึกเข้าเครื่อง
คอมพิวเตอร์เพื่อให้จำหน่ายได้หรือยัง ทางกองสลากตอบว่าผ่านขั้นตอนนั้นแล้วในวันที่ ‘ฟราน’
ถูกฆาตกรรมนั่นเอง

“ล็อตเตอรีบางใบถูกรางวัล” โรเบิร์ตบอกไรอัน “มีคนไปขึ้นรางวัลเมื่อเดือนที่ผ่านมา
ในเมืองยูจีนนี่เอง” นี่เป็นเบาะแสแรกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากได้เบาะแส โรเบิร์ตก็โทรฯ ไปที่ร้านค้า 2 แห่งแรกที่คนร้ายไปขึ้นรางวัล
แต่ต้องผิดหวังเมื่อพนักงานทั้งสองร้านบอกว่า ถ้ารางวัลน้อยกว่า 50 เหรียญ ทางร้านจะไม่เก็บ
ล็อตเตอรีนั้นไว้ โรเบิร์ตหายใจเข้าลึกก่อนจะโทรฯ ไปร้านสุดท้ายในรายชื่อที่มีอยู่

“เราเก็บล็อตเตอรีที่ถูกรางวัลบางใบไว้ตามกระบวนการเก็บหลักฐานของร้านเรา”
ผู้จัดการบอก “รอเดี๋ยวนะครับ ผมจะไปดูว่ามีล็อตเตอรีเบอร์ที่คุณว่ามาบ้างหรือเปล่า”

โรเบิร์ตเริ่มเครียดเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดผู้จัดการก็กลับมา “ผมได้มาแล้วครับ นี่ไง”

“มีใบไหนที่มีลายเซ็นสลักหลังบ้าง” โรเบิร์ตถาม เขารู้ดีว่าเป็นความหวังรางเลือนเพราะพนักงานขาย
ส่วนมากจะไม่ขอให้คนขึ้นรางวัลเซ็นสลักหลังหากรางวัลที่ได้ต่ำกว่า 50 เหรียญ ล็อตเตอรีที่หายไป
ไม่มีใบไหนเลยที่ถูกรางวัลเกิน 50 เหรียญ

“ครับ มีอยู่ใบหนึ่ง” ผู้จัดการบอก “เรามีพนักงานใหม่มาทำงานอยู่ช่วงหนึ่ง เขาขอให้คนที่มาขึ้นรางวัล
ทุกคนเซ็นสลักหลัง ใบนี้มีชื่อ ‘ไมเคิล เฮย์วูด’ เซ็นอยู่

โรเบิร์ตชีพจรเต้นแรง “นี่คือการค้นพบที่เราเฝ้าคอยหรือเปล่า?”

โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ค. 26, 2023 8:17 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 6 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)เปลี่ยนชื่อ

หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง โรเบิร์ตก็นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ รู้สึกสิ้นหวัง ผู้ชำนาญเรื่องลายนิ้วมือ
บอกว่าไม่สามารถแกะรอยจากกระดาษประเภทนี้ได้ ที่แย่ยิ่งกว่านั้น เมื่อโรเบิร์ตตรวจชื่อ “ไมเคิล เฮย์วูด”
จากจอคอมพิวเตอร์ ก็ไม่พบใครที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับหนึ่งในสี่คนร้าย

คืนนั้นโรเบิร์ตนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ และท้ายที่สุดก็ตื่นตอน 5.30 น. “มีอะไรบางอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ”
เขาคิด “ฉันรู้สึกว่าใกล้จะถึงตัวพวกผู้ร้ายเข้าทุกที” แล้วเขาก็นึกขึ้นได้สมัยที่ตระเวนตรวจตามท้องถนน
เขารู้ว่า “เมื่อคนร้ายถูกจับได้คาหนังคาเขาและต้องบอกชื่อตัวเอง พวกนั้นมักจะโกหกโดยให้ชื่อที่เพี้ยน
จากชื่อจริง”

โรเบิร์ตเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง 3 ชั่วโมงต่อมาเมื่อเขาพิมพ์ชื่อ “ไมเคิล เฮย์เวิร์ด”
สิ่งที่ปรากฏขึ้นบนจอคือ

“ไมเคิล เจมส์ เฮย์เวิร์ด” ซึ่งมีประวัติเคยถูกจับเพราะบุกเข้าก่อความเสียหายในร้านค้าแห่งหนึ่ง
รูปพรรณสัณฐานระบุว่า ผมทอง สูงประมาณ 175 เซนติเมตร หนัก 65 กิโลกรัม วันเกิดของชายผู้นึ้คือ
เดือนมิถุนายน 2518 ตรงตามที่ดอนน่าเห็นบนบัตรประชาชนของผู้ต้องสงสัย

ที่อยู่ของเฮย์เวิร์ดอยู่ห่างจากร้านที่เขานำล็อตเตอรีไปขึ้นรางวัลเพียง 2-3 ช่วงตึก โรเบิร์ตรู้สึก
ตื่นเต้น แต่ก็รู้ดีว่า ยังมีขั้นตอนสำคัญอีกอย่าง นั่นคือดอนน่าจะต้องชี้ตัวเฮย์เวิร์ด

โรเบิร์ตได้รูปถ่ายติดบัตรประชาชนของเฮย์เวิร์ดจากกองทะเบียนประวัติของรัฐ เขาปนรูปนั้น
กับรูปอาชญากรหนึ่งกอง

ดอนน่าค่อย ๆ ดูแต่ละรูป เธอดูรูปอาชญากรมาแล้วมากกว่า 600 รูปในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา
ทันใดนั้นใบหน้าของดอนน่าก็มีชีวิตชีวาขึ้น “ชายคนนี้ฆ่า ‘ฟราน’ “ เธอร้องบอก รูปที่เธอชี้คือรูปเฮย์เวิร์ด

อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตกับไรอันตัดสินใจไม่จับกุมเฮย์เวิร์ดทันที เขาต้องหาคนร้ายอีก 3 คนให้พบ
และเฮย์เวิร์ดก็เป็นคนเดียวที่จะนำเขาไปถึงตัวพวกนั้น

โปรดติดตามตอนที่ ( 7 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ค. 29, 2023 8:19 pm

ล็อตเตอรี่ไขปมฆาตกรรม ตอนที่ ( 7 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Michael Bowker
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)รักษาสัญญา

ในช่วง 3 สัปดาห์หลังจากนั้น เฮย์เวิร์ดถูกสะกดรอยตาม โทรศัพท์ถูกดักฟัง ต่อมาไม่นาน
ตำรวจพบเพื่อนของเฮย์เวิร์ด 3 คนซึ่งมีรูปพรรณตรงกับที่ดอนน่าบอก นักสืบแอบถ่ายรูปพวกเขา
โรเบิร์ตนำภาพทั้ง 3 รวมกับรูปอาชญากรคนอื่น แล้วนำแฟ้มไปที่บ้านของดอนน่า
ดอนน่าชี้รูปฆาตกรทั้งสามได้อย่างแม่ยำ แล้วหันมาทางโรเบิร์ต น้ำตาคลอเบ้า

“ฉันรู้ว่าคุณจะรักษาสัญญา” เธอกล่าวขณะสวมกอดเขาด้วยความดีใจ

วันที่ 3 กันยายน 2537 ตำรวจจับตัว “โจล บร็อก” หนุ่มหน้ายาววัย 19 ขณะขับรถอยู่บริเวณใกล้บ้าน
ตนเองในเมืองยูจีน วันต่อมา โรเบิร์ตกับไรอันโดยการสนับสนุนของหน่วยจู่โจมท้องที่เข้าจับกุมผู้ร้าย
อีก 3 คนขณะพักแรมกลางแจ้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง

ผู้ต้องสงสัยแต่ละคนถูกสอบสวนแยก โรเบิร์ตสอบสวน “แดเนียล ราบาโก” วัย 16 ปีซึ่งเป็นคน
ยืนเฝ้าดอนน่าขณะที่ ‘ฟราน’ถูกฆ่า ราบาโกให้การว่า เขากับคนร้ายที่เหลือเป็นพวกนิยมลัทธิซาตาน
และเป้าหมายในคืนนั้นคือ “ฆ่าใครก็ได้” เขาสารภาพว่า ขณะถูกจับ พวกเขากำลังวางแผนฆาตกรรมอีก

ไมเคิล เฮย์เวิร์ดยอมรับว่า เขาไม่รู้จัก ‘ฟราน วอล’ แถมยังยักไหล่บอกว่า “ถึงย้อนเวลากลับได้
ผมก็คงไม่เปลี่ยนในสิ่งที่ทำไปแล้ว ชีวิตของหล่อนหรือของใครก็ตามไม่มีความหมายสักนิดสำหรับผม”

เจสันหนุ่มไว้เคราวัย 19 ปีมีท่าทีไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนใด ๆ เช่นเดียวกับเฮย์เวิร์ดเมื่อถูกจับ
เขาบอกว่า พวกเขาปล้นร้านค้าเพื่อเอาเงินไปซื้อยาเสพย์ติด

โรเบิร์ตกับไรอันรู้สึกลิงโลด เมื่อนำผู้ต้องสงสัยเดินทางไปยังคุกของเมือง เจ้าหน้าที่คนอื่นชูมือเป็น
รูปตัว”วี” สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ นักสืบทั้งสองเดินออกจากห้องขังกลางแดดยามบ่ายอย่างเหนื่อยล้า
เขาหยุดชั่วครู่ ยิ้มให้แก่กันโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถ้อยคำใด ๆ

เจสันหนุ่มไว้เคราวัย 16 ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตกับอีก 20 ปีโดยไม่ได้รับทัณฑ์บน

แดเนียล ราบาโกวัย 16 ปีและบร็อกหนุ่มหน้ายาววัย 19 สารภาพผิดในข้อหาฆาตกรรม ทำร้ายร่างกาย
และปล้นทรัพย์ ทั้งสองถูกจำคุก 11 ปี และ 12 ปีตามลำดับ

ไมเคิล เฮย์เวิร์ด หนุ่มผมทอง ถูกพิพากษาว่าทำการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมและถูกตัดสินประหารชีวิต

โรเบิร์ตได้รับการยกย่องจากกรมตำรวจยูจีน และได้เลื่อนขั้นเป็นสิบเอกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2539

**************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:34 pm

เรื่อง "สัญญาณวัดใจ" มี ( 3 ) ตอนจบ

สัญญาณวัดใจ ตอนที่ ( 1 ))
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2540 โดย Nick Jans จาก
“The Last Light Breaking” รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

รถวิ่งบนหิมะ 2 คันแล่นตามมา ผมได้ยินเสียงตะโกนจึงทิ้งขวาน แล้วเดินอ้อมมุมกระท่อม
จนเกือบชนโรนัลด์ คลีฟแลนด์ เพื่อนสมัยนักเรียนมัธยมซึ่งกำลังวิ่งอย่างสุดชีวิต มีเด็กวิ่งตามหลัง
เป็นพรวน “เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม
“ไฟไหม้” เขาตะโกน
“ไฟไหม้บ้านพวกเรา”

ผมมองไปทางกระท่อมไม้ซุงของเขาซึ่งอยู่ห่างไปเกือบ 200 เมตร เห็นควันขาวพวยพุ่งม้วนตัวขึ้น
สู่ท้องฟ้า บ้านหลังถัดไปเลขที่ 73 ของครอบครัว‘ไกรสต์’กำลังถูกไฟไหม้

ผมตกอยู่ท่ามกลางควันร้อนผ่าวเมื่อกระแสลมเปลี่ยมทิศ เพื่อนบ้านคนหนึ่งหิ้วถังน้ำวิ่งผ่านไป
ผมรีบเข้าบ้านไปเอาถังขณะวิ่งไปตามทาง ได้ยินเสียงหวอของหมู่บ้านส่งสัญญาณโหยหวน ฝูงหมา
ในเมืองหอนรับกันเกรียว

หมู่บ้าน’แอมเบลอ’ซึ่งเป็นชุมชนเอสกิโมเล็ก ๆในรัฐอลาสกาที่ผมสอนหนังสืออยู่นี้มีผู้คนอาศัยอยู่
เพียง 250 คน แต่ตอนนี้ชาวบ้านมาออกันอยู่แถวกระท่อมไฟไหม้กว่า 20 คนแล้ว และกำลังเพิ่มจำนวน
ขึ้นเรื่อย ๆ บ้านส่วนใหญ่ในเมืองมีวิทยุติดต่อกัน และทันทีที่มีเสียงตะโกนขึ้นว่า “ไฟไหม้บ้านเลขที่ 73”
ทุกคนก็วิ่งออกมา ในมือถือถังหรือขวาน หรือไม่ก็เครื่องดับเพลิงต่างถามกันเซ็งแซ่
“มีคนติดอยู่ในบ้านหรือเปล่า เด็ก ๆ ล่ะ”
เด็กเล็ก ๆ อยู่ในบ้านกับพี่เลี้ยง แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน ชายสองคนพยายามฝ่าเข้าไปดู แต่ต้อง
หนีออกมาเพราะควันหนามาก ชั่วครู่นั้นดูเหมือนว่าทุกคนจะตื่นตระหนก แล้วก็มีเสียงพูดต่อ ๆ กันมาว่า
เด็ก ๆ ปลอดภัย

กลุ่มควันพวยพุ่งออกมาทางประตูและชายคาบ้าน แต่ยังไม่เห็นเปลวเพลิง ‘แคลเรนซ์ วู้ด’ เพื่อนผมออก
หน้าใช้ขวานจามหน้าต่างจนเปิด พวกที่มีเครื่องดับเพลิงวิ่งกรูกันเข้าไป กลุ่มควันดูจะหนาแน่นกว่าเดิม
รถคันหนึ่งบรรทุกถังขยะใบใหญ่ใส่น้ำเต็มปรี่วิ่งเข้ามา มีเสียงตะโกนบอกให้ไปเอาน้ำมาอีก

“หัวก๊อกดับเพลิงอยู่ไหน” เสียงตะโกนถาม ที่นี่ก็เหมือนหมู่บ้านในป่าทั้งหลาย มีเพียงไม่กี่บ้านที่มีหัวก็อก
ดับเพลิงอยู่ใกล้ ๆ

กระท่อมหลังนี้อยู่ห่างจากกลุ่มที่กระจุกตัวกันเกือบ 300 เมตร ใน‘แอมเบลอ’ไม่มีหน่วยดับเพลิงหรือ
แม้แต่รถดับเพลิงเลย มีเพียงสายท่อดับเพลิง 2-3 ขดกับเครื่องดับเพลิงอันใหญ่ที่ใช้น้ำยาเคมีเครื่องเดียว
ในยามฉุกเฉิน ผู้คนต้องพึ่งพาตัวเองและเพื่อนบ้าน

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:40 pm

สัญญาณวัดใจ ตอนที่ ( 2 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2540 โดย Nick Jans
จาก “The Last Light Breaking”
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผมคว้าถังเปล่าได้ 3 ใบ แล้วร้องถามว่าบ้านไหนมีน้ำบ้าง “บ้านแคธรีน”เด็กมัธยมคนหนึ่งบอก
พวกเราวิ่งเต็มฝีเท้าไปบ้านแคธรีนที่อยู่ห่างไป 100 เมตร หนูน้อยรีน่าอายุ 10 ขวบเปิดประตูให้
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นค่ะ” เธอตะโกน พลางชี้มือบอก

“เอาถังและหม้อไหทุกใบที่หาได้ใส่น้ำให้เต็ม” ผมบอก รีน่าพยักหน้ารับ เด็กวัยเตาะแตะ 2 คนเสื้อผ้า
หลุยรุ่ยร้องไห้จ้าอยู่บนเตียง รีน่าบอกว่าเด็กทั้งสองอยู่ในบ้านหลังนั้นตอนไฟเริ่มไหม้ เมื่อได้น้ำเต็มทุก
ถังแล้วผมก็ออกวิ่งพร้อมกับถังที่มีน้ำอยู่เต็ม น้ำกระฉอกจากถังตามทางที่ผมวิ่งผ่านไป

ความมืดข้างนอกอาบด้วยแสงสีส้มสว่าง เปลวไฟลามเลียผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าขึ้นไปถึงหลังคากระท่อม
และลุกลามอย่างรวดเร็ว

ผมค้อมตัวต่ำเพื่อหนีความร้อนและควันไฟ แล้วตรงไปที่หน้าต่าง สาดน้ำ 30 ลิตรที่หิ้วมาเข้าไปกลาง
เปลวไฟ ไม่มีแม้แต่เสียงฉ่า ผมเดินโผเผออกมาด้วยอาการสำลักควัน มีคนใหม่เข้าไปแทน แต่พระเพลิง
ก็ไม่ไยดีกับเรา กลับโหมกระพือเป็นลำโชติช่วง เราจึงได้แต่ดู

“ถอยออกมา” มีเสียงตะโกน
รถวิ่งบนหิมะอีกคันแล่นเข้ามา ลากที่ดับเพลิงอันใหญ่ชนิดใช้น้ำยาเคมีมาด้วย หลายคนช่วยกันกลิ้งมัน
เข้าไปใกล้ ๆ เล็งท่อฉีดน้ำยาไปที่ไฟ มีเสียงดังฟู่และควันขาวพวยพุ่งออกมาราว 30 วินาที แล้วเปลวเพลิง
ก็มอดลง เสียงผู้คนโห่ร้องด้วยความดีใจ เครื่องดับเพลิงส่งเสียงฟู่ ๆ และน้ำยากระฉูดออกมา แต่มีน้ำยา
อยู่ไม่ถึงครึ่งถัง

เราสาดน้ำเข้าไปจนน้ำหมด แล้วหันมาตักหิมะโยนใส่ พยายามเอาชนะไฟให้ได้ แต่เปลวไฟสีส้มแลบเลีย
ออกมาจากกลุ่มควันไม่ขาดสาย ที่สุดหลังคายอมจำนนต่อเปลวเพลิง ทำให้เราต้องถอยฉาก

ผมวิ่งกลับไปขนน้ำมาอีก แคธรีนกับรีน่ารองน้ำใส่ภาชนะต่าง ๆ ไว้พร้อมแล้ว เพียงยกเทใส่ถังจึงใช้เวลา
เพียงเล็กน้อย ผมวิ่งไปมา 5-6 เที่ยว แต่ละครั้งดูราวกับเปลวไฟจะยิ่งลุกโชนและทวีความร้อนระอุ ผมสาดน้ำ
โครมเข้าไปแล้วตั้งท่าจะวิ่งกลับไปขนมาอีก แต่สแตนลีย์ จอห์นสัน เพื่อนบ้านจับแขนผมไว้

“ไม่มีประโยขน์หรอกเพื่อน” เขาสั่นศีรษะ “ปล่อยให้มันไหม้ไปเถอะ”

ผมคุกเข่าลงนั่งห่างจากเปลวไฟราว 20 เมตร ทั้งไอและหอบ เสื้อชุดกางเกงติดกันที่ใส่ทำงานถูกน้ำ
กระเซ็นเปียก ตอนนี้เย็นเฉียบจนแข็งกระด้าง ใบหน้าเกรียมจากความร้อน หลังคาบ้านพังยุบลงมา
ส่งประกายไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:42 pm

สัญญาณวัดใจ ตอนที่ ( 3 )(ตอนจบ) เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนสิงหาคม 2540
โดย Nick Jans จาก “The Last Light Breaking”
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เฟรดและอาร์ลีน ไกรสต์เจ้าของบ้านที่ถูกไฟไหม้ยืนอยู่กับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง มองดู
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีสูญสลายไปในกองเพลิง ฐานะครอบครัวก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว บ้านไม่ได้ประกันภัย
และไม่มีเงินเก็บ มีเพียงบ้านที่ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพื่อพำนักอาศัยและเลี้ยงดูลูก ๆ
บัดนี้ทั้งคู่เหลือเพียงเสื้อผ้าที่สวมติดตัวเท่านั้น

โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นทุกแห่งหน แต่ที่นี่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างความสูญเสียดู
ใหญ่หลวงยิ่งนัก เส้นบาง ๆ ระหว่างชีวิตและความตายยิ่งเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลาง
อากาศเย็นเยือกต่ำกว่าศูนย์องศาและกำลังลดต่ำลงอีก

หากไม่มีใครช่วย ครอบครัว’ไกรสต์’คงไม่สามารถมีชีวิตรอดราตรีนี้ไปได้

ไฟเกือบจะดับแล้ว แต่มีเพียงไม่กี่คนที่หันหลังกลับบ้านไป ทุกคนร่วมกันรับวิบากกรรมครั้งนี้
ด้วยการยืนจับกลุ่มเป็นเพื่อนปลอบใจในราตรีอันเยียบเย็น ไม้ขื่อหลังคาอันหนึ่งร่วงผลุงลงมา
เสียงประกายไฟระเบิดและเปลวไฟก็สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ฝูงชนค่อย ๆ แยกกันกลับ
แต่ไม่ได้หมายความว่ายอมแพ้

ต่างพากันป่าวร้องขอความช่วยเหลือ ตอนที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มีคนพาเฟรดและอาร์ลีน
ไปพักอยู่ด้วยแล้วในคืนนั้น และยังมีการจัดบ้านว่างไว้ให้เขาหนึ่งหลัง ซึ่งดีกว่าหลังที่ถูกไฟไหม้
ไปแล้วเสียอีก อาสาสมัครออกเดินขอรับบริจาคตามบ้านต่าง ๆ มีทั้งอาหาร เสื้อผ้าและเงิน

ผู้คนแบ่งปันสิ่งที่พอจะให้ได้ วันรุ่งขึ้นจะมีการกระจายข่าวทางวิทยุในท้องถิ่น เพื่อขอความช่วยเหลือ
จากหมู่บ้านในเขตนั้น หลายแห่งจะตอบสนองเป็นอย่างดี ผมเขียนเช็ค เติมเชื้อเพลิงเข้าไปในเตาไม้
แล้วคลานขึ้นเตียง ยังอกสั่นขวัญแขวนกับสิ่งที่เพิ่งประสบมา แต่รู้สึกเต็มตื้นในใจและเปล่าเปลี่ยว
เดียวดายน้อยกว่าที่เคยเป็นมา

ชาวพื้นเมืองมีจิตใจโอบอ้อมและทระนงซึ่งเป็นสิ่งที่ผมประทับใจตั้งแต่แรกย้ายเข้ามาอยู่เมื่อ 15 ปีก่อน
ยังไง ๆ ผมก็ยังเป็นคนนอกในหมู่ชาวบ้านที่นี่ แต่ผมได้พบแล้วว่า สถานที่แห่งนี้คือบ้านของผม

เพราะไฟไหม้บ้าน “ของพวกเรา” เราทุกคนจึงไปช่วยกัน

****************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส