“ เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ “(ชุดที่20)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:19 pm

เรื่อง "ครอบครัวในพงไพร" มี (21)ตอนจบ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:23 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 1 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)คำนำ

เมื่อ ‘โคบัส ครูเกอร์’ (Kobus Kruger) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าที่อุทยาน
แห่งชาติครูเกอร์ (Kruger National Park) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ และเป็น
มรดกโลกทางธรรมชาติตามประกาศของยูเนสโก มีผู้เตือน’โคบี้’ (Kobie) ภรรยาของเขาถึงความน่ากลัว
เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่า สัตว์ป่าและโรคมาลาเรีย รวมทั้งความเงียบเหงาและขาดแคลนสิ่งอำนวย
สะดวกต่าง ๆ

แต่โคบัสและโคบี้กลับพบว่า 11 ปีที่อยู่ในบ้านของที่ทำการป่าไม้ซึ่งห่างไกลจากความเจริญ
ชีวิตกลับเต็มไปด้วยความแปลกใหม่และตื่นเต้น ลูก ๆ เติบโตท่ามกลางเพื่อนบ้านเช่นเสือดาว ช้าง
และลิงบาบูน การเดินทางเข้าเมืองแต่ละครั้งต้องข้ามแม่น้ำที่เต็มไปด้วยฮิปโปและจระเข้ ต้องค้างคืน
ใต้แสงดาวซึ่งอาจต้องผจญกับสิงโต การดำรงชีวิตต้องอาศัยความคิดริเริ่มและความกล้าหาญตลอด
เวลา แต่นั่นอาจจะเป็นสวรรค์บนดินที่มนุษย์มีโอกาสพบก็เป็นได้

คืนแรกที่สถานีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เราเหนื่อยกันมาทั้งวัน บ้านอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง มีกล่องตรงนั้น
ลังตรงนี้ เฟอร์นิเจอร์ระเกะระกะไปหมด แต่ท่ามกลางความขัดสน เราก็จัดการหาที่วางเตียงและหาผ้าปูเตียง
ให้ทุกคนได้ครบ เพราะฉะนั้นวันแรกของพวกเราที่สถานีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า “มาห์ลันเกนี” (Mahlangeni :
คำภาษาพื้นเมืองแปลว่า “สถานที่นัดพบ”) ซึ่งทุรกันดารและห่างจากความเจริญมากที่สุดของอุทยาน
เราทั้งสองและลูกสาว 3 คน (เฮ็ตตี้ : Hetty -11 ขวบ, ซานดร้า : Sandra – 9 ขวบ, และ ดาริน : Darin – 2 ขวบ)
เข้านอนกันแต่หัวค่ำ ทุกคนเข้านอนกันแต่หัวค่ำ

นอนไปได้สัก 1 ชั่วโมง ฉันก็ตื่นเพราะได้ยินเสียงประหลาด ฉันปลุกสามีให้ตื่นและทำเสียงตื่นเต้น
ถาม “โคบัส ได้ยินมั้ย เสียงอะไรน่ะ”

“นกเค้า” สามีตอบ

“ไม่ใช่นะ เสียงเหมือนคนหายใจแรง ๆ”

เราเงียบไปชั่วครู่ ขณะรอฟังเสียง มีเสียงกบนับล้านตัวที่อยู่เลยตัวบ้านไปทางริมน้ำกำลังร้อง
เสียงดังไปทั่ว เสียงฮิปโปหายใจดังไกลออกไป เสียงหมาในร้องโหยหวน และเสียงประหลาดอื่น ๆ
ในอากาศยามวิกาล แต่ภายในบ้านเงียบสงัด

ท้ายที่สุด โคบัสพูดขึ้นว่า “หูแว่วไปเองมั้ง ทำใจให้สบาย นอนเถอะ”

“ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบ
ฉันคงคิดไปเอง บ้านมืดตึ๊ดตื๋อดูประหลาดหลังนี้ทำให้ฉันเครียด

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:26 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 2 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ขณะที่ฉันกำลังหลับสนิทกลางดึกก็ถูกเฮ็ตตี้ลูกสาวคนโตปลุกขึ้นมาอีก เพราะหาทางไปห้องน้ำไม่เจอ
เวลากลางคืนในบ้านมืดจริง ๆ เราเปิดสวิตซ์ไฟไม่ได้เพราะเครื่องปั่นไฟทำงานเฉพาะเวลากลางวัน
ฉันเอื้อมมือหยิบไฟฉายที่โต๊ะข้างเตียงและลุกขึ้น

พอจัดการพาลูกเข้าห้องน้ำเสร็จ ฉันกลับไปห้องนอน ลำแสงไฟฉายฉวัดเฉวียนแถวเตียง
ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างคล้ายกับเคลื่อนไหวอยู่แวบหนึ่ง

ฉันยกไฟฉายขึ้นเล็กน้อยและก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ สิ่งที่เห็นเลือนรางเป็นส่วนหนึ่งของ
สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ ผิวมันมะเมื่อมเป็นจุด หางของมันอยู่ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงที่เปิดคาอยู่ ส่วนกลาง
ของลำตัวขดอยู่บนโต๊ะและส่วนที่เหลือพันอยู่กับหัวเตียง เป็นภาพที่น่าตกใจจนฉันชะงักไปครู่ใหญ่กว่า
จะตั้งสติได้

“โคบัส” ฉันพูดเสียงหอบ “ตื่นเร็ว” เสียงตื่นเต้นของฉันทำให้เขาตื่นทันที “มีอะไรเหรอ”

“งู กำลังเลี้อยไปบนเตียง” ฉันพูดตะกุกตะกัก

โคบัสกระโดดโหยงเหมือนโดนฟ้าผ่า พยายามสะบัดผ้าปูเตียงชุลมุน

“ถอยไป” เขาสั่งฉัน

ที่จริงไม่ต้องบอกฉันก็ถอยมายืนอยู่ที่ผนังฝั่งตรงข้ามก่อนแล้ว

สลัดผ้าได้แล้ว เขาก็คลำทางในความมืดตรงมาที่ฉันยืนอยู่ ฉันส่งไฟฉายให้เขาส่องไปที่ตัวงู
และพูดว่า “งูหลาม”

ความเคลื่อนไหวในห้องทำให้งูตกใจและขดตัวกลับเข้าไปหลบในลิ้นชัก ขณะยืนมองด้วยความทึ่ง
กึ่งขยะแขยง ภาพลิ้นชักที่เปิดคาอยู่ครึ่ง ๆ ทำให้หวนนึกถึงช่วงกลางวัน ตอนที่เฟอร์นิเจอร์ยังกองอยู่
นอกบ้านรอขนเข้ามา ฉันเดินผ่านโต๊ะข้างเตียงและสังเกตเห็นว่าลิ้นชักเปิดคาอยู่ ความที่ฉันรีบและมือ
ไม่ว่างเพราะยกกล่องใหญ่อยู่ เลยใช้เท้าดันลิ้นชักให้ปิดโดยไม่ได้ดูของในลิ้นชัก เป็นไปได้ว่าตอนนั้นงู
ก็อยู่ในลิ้นชักโต๊ะแล้ว

งูหลามตัวนี้ยังเล็ก ยาวประมาณ 2 เมต. โคบัสใช้แส้ทำความสะอาดปืนยาว “ผลักดัน”เจ้างูกลับเข้าไป
ในลิ้นชัก จากนั้นก็รีบปิดลิ้นชักและยกโต๊ะตัวนั้นออกไปที่สวนนอกบ้าน ฉันถือไฟฉายตามไปด้วย เขายกโต๊ะ
วางห่างจากบ้านพอสมควรและค่อย ๆ เปิดลิ้นชักอย่างระมัดระวัง งูหลามยังเหนียมอายอยู่ในนั้น เราทิ้งมัน
ไว้ตรงนั้นและกลับไปนอนต่อ ปล่อยให้งูเลือกเวลาออกไปเอง

ถึงแม้จะเป็นฉากที่ค่อนข้างระทึกใจสำหรับการต้อนรับในคืนแรกของเราที่มาห์ลันเกนี แต่จริง ๆ
แล้วต้องถือว่าเป็นการโหมโรงที่เหมาะสมกับชีวิตใหม่ในพงไพร ซึ่งสัตว์ป่าในธรรมชาติต่างอยู่กันอย่าง
อิสระ มนุษย์นั่นแหละที่ต้องระมัดระวังไม่ไปรบกวนสัตว์เหล่านี้

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ค. 30, 2023 9:30 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 3 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)ก่อนจะย้ายถิ่นมาใช้ชีวิตในพงไพร

ฉัน (โคบี้) รู้จักกับโคบัสที่มหาวิทยาลัยพริทอเรีย (University of Pretoria) ในเมืองหลวงของ
ประเทศแอฟริกาใต้ เขาเป็นคนรูปร่างสูง หุ่นดีแต่ออกจะรักสันโดษ เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะ
มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง เป็นลูกชาวนาด้วยกันทั้งคู่ ชอบดนตรีและวรรณกรรมเหมือนกัน ครั้งแรก
นัดเที่ยวกัน เราไปดูหนังเรื่อง “เกิดมาฟรี” (Born Free) เราทั้งคู่ต่างประทับใจกับเรื่องราวของนางสิงโต
และภูมิประเทศในป่าดงพงไพร ทำให้เราต่างเกิดความรู้สึกลึก ๆ ที่ถวิลหาบรรยากาศแบบนั้น หลังจาก
ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เราก็สนิทกันเกินระดับเพื่อนและเริ่มพูดถึงความฝันของเราในอนาคต

หลังเรียนจบ เราแต่งงานกันและย้ายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศแอฟริกาใต้ ที่ซึ่งโคบัส
ได้งานเป็นบรรณาธิการข่าวบรรษัทกระจายเสียงและฉันทำงานเป็นล่ามของสำนักงานภาษา หลังจากนั้น
3 ปี เราย้ายไปโยฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) ที่แอฟริกาใต้

โคบัสได้ปริญญาด้านภาษาพื้นเมืองต่าง ๆ ในแอฟริกาและมานุษยวิทยา แถมประกาศนียบัตร
ด้านอนุรักษ์ธรรมชาติพ่วงมาอีกใบ ปลายปี 2522 ความฝันชั่วชีวิตของเขาที่จะเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์
สัตว์ป่าก็ใกล้เป็นความจริง เมื่อเขาได้รับจดหมายจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติครูเกอร์เชิญเขาไป
สัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ “ซกูกูซา” (Skukuza) ซึ่งเป็นค่ายพักนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุด
ในเขตอุทยานฯ และเป็นที่ตั้งสำนักงานอุทยานฯ

ในจดหมายระบุว่า “ภรรยาของผู้สมัครจะต้องไปร่วมในการสัมภาษณ์ด้วย” ฉันสงสัยว่าเพื่ออะไร
แต่ก็ไม่รีรอ รีบจัดแจงให้แม่มาช่วยดูแลลูกเล็กทั้ง 3 คนสัก 2 วันเพื่อฉันจะได้ไปกับ “ผู้สมัคร”

ผู้สัมภาษณ์คือหัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้และผู้อำนวยการอุทยานฯ เขาถามโคบัสว่าทำไมถึงสมัครงานนี้
ทำไมถึงอยากจะทิ้งงานดี ๆ ในเมืองเพื่อไปทำงานในป่า โคบัสตอบง่าย ๆ ว่าอยากเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์
สัตว์มาตั้งแต่จำความได้ พวกเขาดูจะพอใจในคำตอบ

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 03, 2023 4:43 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 4 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

จากนั้นพวกเขาก็หันมาที่ฉันและพยายามพูดจาข่มขู่ฉันโดยสาธยายถึงความลำบากลำเค็ญ
ที่ภรรยาเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะต้องทน เขาเตือนฉันถึงอากาศหน้าร้อนที่ร้อนจริง ๆ โรคร้ายอย่างมาลาเรีย
และอันตรายทั่วไปในป่า ซ้ำยังเน้นถึงความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกสบาย ห่างจากหมอ โรงเรียน ศูนย์การค้า
และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่คนเมืองได้มาง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิด

พวกเขาเตือนฉันว่า สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างโทรศัพท์หรือไปรษณีย์ก็ไม่มี ซ้ำยังพูดถึงความเงียบ
เหงาเหลือทน และเตือนว่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าต้องเดินทางจากบ้านไปครั้งละหลาย ๆ วัน ทิ้งให้เมีย
อยู่บ้านตามลำพัง ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีใครจะพูดด้วย ฉันจะทนอยู่ในสถานการณ์นั้นได้อย่างไร

ฉันอยากจะให้พวกเขาประทับใจในคำตอบของฉันเหมือนกับของโคบัส จึงตอบไปว่า ฉันอยากเป็น
คน”สันโดษ”ตั้งแต่จำความได้ แต่พวกเขาบอกว่า “กลับบ้านและคิดดูให้ดีก่อน ใช้เวลาสักเดือนก็ได้ถ้า
คุณทั้งสองยังสนใจงานนี้และตกลงใจโดยไม่มีข้อแม้ แจ้งให้เราทราบด้วย”

ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องให้ภรรยาผู้สมัครไปร่วมสัมภาษณ์ด้วย พวกเขาไม่อยากได้เจ้าหน้าที่
พิทักษ์สัตว์ป่าซึ่งมีภรรยาอยู่ป่าไม่ได้

ฉันเป็นคนขวัญค่อนอ่อนก็จริง แต่ไม่ชอบให้ใครมาสงสาร การที่พวกเขาเล่าเรื่องสภาพความหดหู่
กระตุ้นให้ฉันเกิดอาการฮึดสู้เพื่อพิสูจน์ว่า ฉันเป็นคนอดทนกว่าที่พวกเขาคิด ถ้าภรรยาเจ้าหน้าที่พิทักษ์
สัตว์ป่าคนอื่นอยู่ได้ ฉันก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันไม่อยากเห็นความฝันชั่วชีวิตของ
สามีต้องมลายสลายไปเพราะตัวฉัน

ถึงแม้โคบัสกับฉันจะทำตามคำของผู้สัมภาษณ์ คือพูดคุยปรึกษากันทุกวันว่า เราจะทนชีวิตในป่าที่
มาห์ลันเกนีได้หรือไม่ เราทั้งคู่ก็รู้ดีว่าจะไม่เปลี่ยนใจแน่

ทันทีที่เรายืนยันว่าสนใจตำแหน่งงานนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ส่งจดหมายแจ้งข่าวดีให้ทราบทันทีว่า
โคบัสได้งานสมใจ สองเดือนต่อมา ต้นปี 2523 เราก็ขายบ้านในเมือง เก็บสมบัติและพาเด็ก ๆ มุ่งหน้า
สู่ชีวิตใหม่ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ใหญ่และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 03, 2023 4:46 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 5 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)อุปสรรคบนเส้นทางเปลี่ยว

พื้นที่อุทยานในความดูแลของโคบัสครอบคลุมบริเวณเกือบ 1,000 ก.ม. บ้านของเราอยู่ริมฝั่งน้ำ
ทางเหนือของแม่น้ำเกรเตอร์ เลตาบา (Greater Letaba River)

เมื่อย้ายครอบครัวไปอยู่ที่มาห์ลันเกนีแล้ว เราส่งลูก ๆ เข้าเรียนที่ “พาลาบอร์วา” (Phalaborwa
) ซึ่งเป็นชุมชนชาวเหมืองนอกเขตชายแดนตะวันตกของอุทยานครูเกอร์ แต่เนื่องจากเมืองนี้อยู่ห่างจาก
บ้านเกือบ 50 กิโลเมตร เด็ก ๆ จึงต้องอยู่ประจำในช่วงวันธรรมดา

ทุกเช้าวันจันทร์ ฉันจะขับรถไปส่งเด็ก ๆ ที่พาลาบอร์วา และไปรับกลับในวันศุกร์ ถึงแม้ระยะทางจะ
ไม่ไกลนัก แต่การเดินทางก็ไม่ง่ายเลย ถ้าถนนแห้งและอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ใช้เวลาขับรถประมาณ
1 ชั่วโมง แต่มักมีเหตุให้ต้องล่าช้าอยู่เสมอ เช่นเจอฝูงควายป่าหรือช้างอ้อยอิ่งข้ามถนน แต่เราก็ถึงบ้าน
โดยสวัสดิภาพเสมอ มีอยู่ครั้งเดียวที่เราเจอเหตุการณ์ไม่รู้ลืมบูชา

บ่ายวันหนึ่งขณะขับรถกลับบ้าน รถจิ๊ปเกิดเครื่องดับเสียเฉย ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ติด อีก 20 กว่ากิโลเมตร
จึงจะถึงบ้าน โคบัสไม่อยู่เพราะไปทำงานตามแนวอุทยานด้านตะวันออก กว่าจะกลับอย่างน้อยก็อีก 1 อาทิตย์
ดังนั้นคงไม่มีใครออกตามหาเพราะไม่รู้ว่าเราหายไป สงสัยจะต้องเดินกันละ

ฉันดูนาฬิกา เกือบ 4 โมงแล้ว ไม่มีทางเดินถึงบ้านก่อนมืดแน่ พอตะวันตกดิน สัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็น
อาหารก็จะออกหากิน ฉันตัดสินใจว่าเราควรค้างแรมกันในรถจิ๊ป

โชคดีที่วันนั้นฉันซื้อข้าวของมาไว้มากหน่อย มีขนมปังเพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ และส้มด้วย น้ำในขวด 2 ลิตร
มีน้ำเหลือไม่ถึงครึ่งขวด แต่ส้มน่าจะช่วยดับความกระหายได้ เด็ก ๆ บอกฉันว่าถ้าหิวน้ำจริง ๆ ให้เคี้ยวใบ
“โมปานี” (mopani : ต้นยางสนชนิดหนึ่ง ใบรูปผีเสื้อ) พบได้ทั่วไปในอุทยานฯ

โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 03, 2023 4:49 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 6 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เราวาดรูปและเล่นหมากเก็บกันบนพื้นทราย ฉันเป็นห่วงหนทางไกลที่เราจะต้องเดินกันวันรุ่งขึ้น
ขณะกำลังนึกถึงแรดโทนที่เห็นออกท่องเที่ยวเล็มหญ้าตามทุ่งบ่อย ๆ นึกถึงเสือดาวที่เพิ่งเจอใกล้ห้วย
ที่เพิ่งผ่านมา นึกถึงสิงโตที่ป้วนเปี้ยนในบริเวณนี้ และโขลงช้างที่อาจจะโผล่มาเมื่อไรที่ไหนก็ได้
โชคดีที่ฉันมีปืนลูกโม่ขนาดเก้ามิลลิเมตรติดมาด้วย แต่ปืนพกนั้นหยุดแรดหรือช้างไม่ได้
ทางที่ดีก็ขอให้สัตว์ใหญ่พวกนั้นอย่าเห็นเราเลย

เรากำลังเล่นเกมกันบนพื้นทรายตอนที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถขนาดใหญ่กระหึ่มใกล้เข้ามา
แต่รถไม่ได้แล่นอยู่บนถนนเส้นเดียวกับเรา เป็นถนนอีกเส้นที่ใช้เป็นแนวกันไฟนอกรั้วเขตอุทยานฯ

ฉันบอกให้ดารินลูกคนเล็กไปกดแตรรถจิ๊ป ส่วนลูกคนโตอีก 2 คนกับฉันรีบวิ่งสุดฝีเท้าฝ่าดงต้น
โมปานีเป็นระยะทางราว 400 เมตรเพื่อไปถึงรั้ว กว่าจะถึงก็หอบจนแทบเป็นลม และที่แย่กว่านั้นคือ
ไปถึงไม่ทัน รถบรรทุกคันนั้นแล่นเลยไปแล้ว

ถึงแม้จะผิดหวังแต่ฉันบอกตัวเองว่า เมื่อมีรถแล่นมาทางนี้คันหนึ่งแล้ว ก็น่าจะมีรถแล่นมาอีก
ฉันจึงบอกเฮ็ตตี้และซานดร้าให้เดินกลับไปอยู่กับน้องดารินที่รถของเรา ส่วนฉันจะนั่งรอเผื่อเจอรถ
อีกคันแถวนั้นก่อน ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะมีรถผ่านมาอีก แต่แล้วฉันก็เกิด
ความคิดหลักแหลมว่า ฉันควรทำที่ขวางถนนไว้

ฉันปีนข้ามรั้วสูง รั้วเกี่ยวเสื้อและกระโปรงขาด จากนั้นก็จัดแจงลากขอนและกิ่งไม้จากข้างทาง
มาสุมกองไว้บนถนน กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อท่วมและฝุ่นแดงมอมแมมไปทั้งตัว ข้างกองไม้ที่ขวาง
ถนนอยู่ ฉันเขียนคำว่า “ช่วยด้วย” ไว้ทั้งสองข้างพร้อมลูกศรตัวใหญ่ชี้ไปที่รั้ว

ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันแปลกใจและโล่งใจที่เห็นรถกระบะเก่า ๆ คันหนึ่งแล่นมา ปกติรถที่ใช้เส้นทางนี้มี
แต่รถทหารที่นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน พอคนขับเห็นฉัน เขาเหยียบเบรกตัวโก่งทำท่าเหมือนจะหันเลี้ยว
กลับไปอีกทาง ฉันต้องโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้เขากลับมา

คนขับท่าทางไม่เต็มใจนัก แต่ก็ค่อย ๆ ขับมาตรงที่ฉันยืน คนขับเป็นคนหนุ่ม น่าจะเป็นคนเชื้อสาย
โปรตุเกส มีคนเผ่าพื้นเมืองนั่งมาด้วย ท่าทางตื่นกลัวพอ ๆ กัน ทั้งสองพูดภาษาอาฟริคานส์ไม่ได้
(Afrikaans : ภาษากลางในประเทศแอฟริกาใต้) ฉันจำต้องใช้ภาษามืออธิบายว่า
รถฉันเสียอยู่ข้างในรั้วเขตอุทยานฯ

โปรดติดตามตอนที่ ( 7 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ มิ.ย. 03, 2023 4:52 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 7 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ฉันขอให้คนขับช่วยส่งข่าวให้ที่ด่านพาลาบอร์วาซึ่งอยู่ห่างไปนอกเมืองแค่ 2 กิโลเมตร และเขา
ก็กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศนั้นอยู่แล้ว ท่าทางคนขับไม่ค่อยสบายใจและหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ฉันรู้สึกงง ๆ รีบอธิบายต่อว่า ลูก ๆ ฉัน 3 คนอยู่ที่รถ ทุกคนหิวน้ำและบ้านเราก็ยังอยู่อีกไกล

ท้ายที่สุดเขาตกลงยอมให้ฉันเขียนโน้ตสั้น ๆ ฝากไปให้กับนายด่าน คนขับยัดกระดาษโน้ตใส่
กระเป๋าเสื้อและจ้องสิ่งกีดขวางกลางถนนด้วยสายตาระแวง จนกระทั่งฉันรื้อมันออก

ชายทั้งสองขับผ่านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ พอรถแล่นผ่านขึ้นไปแล้วฉันถึงเห็นผ้าใบเปื้อนเลือดผืน
ใหญ่ที่ท้ายรถ พวกนี้เข้ามาลักลอบล่าสัตว์นี่เอง มิน่าถึงทำท่าไม่ไว้ใจฉัน แถมฉันยังมีปืนและตั้งเครื่อง
กีดขวางถนนไว้อีกด้วย

เมื่อกลับไปหาเด็ก ๆ และเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ลูก ๆ ไม่แน่ใจว่าชายทั้งสองจะเอาโน้ตไปส่งให้ที่ด่าน
ตามที่รับปาก ฉันเองก็ไม่แน่ใจพอ ๆ กัน เราเตรียมตัวนอนค้างคืนกันในรถจิ๊ปนั่นเอง

ตะวันเริ่มลงต่ำ เงาที่พาดผ่านต้นไม้พาดเป็นลำยาว ครอบครัวหมูป่าและฝูงละมั่งอิมพาลาเดินข้าม
ถนนอยู่ไม่ไกล ฉันเห็นภาพสัตว์ป่าที่เดินกันตามสบายอย่างสงบทำให้พลอยรู้สึกสุขใจไปด้วย จากนั้น
เจ้าช้างโทนโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันยืนจ้องเราจากในกลุ่มต้นโมปานีห่างไปราว 40-50 เมตร เรารีบลุกพรวด
ย่องกลับไปหลบอยู่ในรถ

พอเจ้าช้างโทนไปแล้ว เราเพิ่งคิดได้ว่า ต้องไปหาฟืนไว้จุดไฟคืนนี้ ทันใดก็ได้ยินเสียงกระหึ่มมา
แต่ไกล 2-3 นาทีต่อมา เห็นรถแลนด์โรเวอร์ของอุทยานวิ่งลัดเลาะตามถนนตรงมาที่เรา

คนขับได้รับข้อความจากนายด่านว่า “โคบี้และลูก ๆ อยู่ในอันตรายราว 25 กิโลเมตรบนถนนมาห์ลันเกนี
ต้องการความช่วยเหลือ ด่วน”

เรากลับถึงบ้านปลอดภัยแล้วและขณะกินอาหารค่ำอย่างเอร็ดอร่อยฝีมือทำเอง พวกเราอดคิดถึงพวก
ลักลอบล่าสัตว์ทั้งสองไม่ได้ว่า ถ้าไม่ได้พวกเขา เราอาจจะยังติดอยู่ในป่า และไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดอะไรมา
แต่เราก็เป็นหนี้บุญคุณพวกเขา

โปรดติดตามตอนที่ ( 8 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2023 1:43 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 8. )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ระวังช้าง

เมื่ออยู่อุทยานครูเกอร์ไปได้สักพัก ความกลัวสิงสาราสัตว์ในป่าก็ลดน้อยลงไปมาก แต่มีสัตว์
บางขนิดที่ยังต้องยำเกรงอยู่ เช่นสิงโต เห็นทีไรก็ผวาทุกครั้ง และที่ฉันกลัวมากที่สุดคือ ช้างป่า

ถึงแม้ช้างจะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ไม่เรื่องมากและใจเย็น แต่กฎทั้งหลายย่อมมีข้อยกเว้น ควรหลีก
ให้ห่างช้างเจ้าอารมณ์ถ้าคุณวิ่งหนีได้เร็วพอ แต่ถ้ามันตั้งใจจะเล่นงานคุณ อย่างไรก็หนีไม่รอด

บ่ายวันหนึ่งเราสังเกตว่ามีช้างกำลังกินหญ้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเลตาบาน้อย ( Little Letaba) เยื้อง
ไปทางตะวันตกจากบ้าน หน้าแล้งแม่น้ำสายนี้จะแห้งเกือบหมด แล้วเราก็เห็นควายป่า ช้าง และ
สัตว์ป่าต่าง ๆ ข้ามน้ำมากินหญ้านอกเขตคุ้มครองของอุทยานฯ อยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกครั้งโคบัสจะไปไล่ต้อน
ฝูงสัตว์ให้ข้ามกลับมาที่ฝั่งที่เราคุ้มครอง เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าเพื่อป้องกันไม่ให้
โรคเท้าและปากเปื่อยระบาด อีกทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้พวกสัตว์เหล่านี้เป็นเป้าของพรานในเขตที่อยู่
นอกการคุ้มครองฯ มีอยู่วันหนึ่ง โคบัสเห็นช้างมุ่งหน้าตรงไปที่รั้ว เขาจึงตามไป ปกติเขาใช้วิธีตบมือเรียก
ความสนใจจากช้างจนมันยอมหันหลังกลับ ถ้าตัวไหนดื้อนัก ก็อาจใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า 2-3 นัด

แต่วันนั้นตอนที่โคบัสตรงไปที่เจ้าช้าง มันคงไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดจาด้วยและวิ่งตรงเข้าใส่โคบัสทันที
โคบัสวิ่งหนีและหลบอยู่หลังต้นไม้ แต่ช้างไม่ยอมแพ้ เที่ยวควานหาโคบัสต่อ

มันลุยเข้าไปตามสุมทุมพุ่มไม้ เมื่อมันใกล้เข้ามา โคบัสหนีออกจากที่ซ่อน วิ่งตรงไปฝั่งแม่น้ำเลตาบาน้อย
เจ้าช้างวิ่งกวดตามมาอย่างรวดเร็ว หูลู่แนบกะโหลก งวงสอดใต้อก ไม่ส่งเสียงใด ๆ เสียงเดียวที่ดัง
ไล่หลังโคบัสคือเสียงฝีเท้าที่กระทืบไปบนพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหวและต้นไม้กิ่งไม้ที่แหลกละเอียดจากเท้าช้าง

โปรดติดตามตอนที่ ( 9. )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 05, 2023 1:38 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 9 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

โคบัสวิ่งไปถึงริมตลิ่งแม่น้ำและวิ่งต่อไปตามพุ่มไม้ริมน้ำเพราะคิดว่าช้างคงจะไม่ตามลงมา
ในตลิ่งที่ชัน แต่ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าช้างตัวนี้ไม่ยอมลดละ เมื่อเท้าโคบัสสัมผัสพื้นทราย
นุ่มยวบ เขารู้เลยว่าไม่มีทางวิ่งหนีได้เร็วกว่าช้าง

เขาจำต้องหันหลังกลับ ยิงปืนขู่ลงพื้นนัดหนึ่งใกล้ขาหน้าช้าง กรวดทรายกระจายขึ้นพร้อม
เสียงปืนดังสนั่น แต่เจ้าช้างไม่ชะงักเลยแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้มันอยู่ห่างจากโคบัสไม่ถึง 15 เมตร
โคบัสไม่มีทางเลือก เขายกปืนยิงออกไปนัดหนึ่งตามสัญชาตญาณป้องกันตัว ช้างยังคงมุ่งตรงเข้ามา

โคบัสยิงออกไปอีก 2 นัด เพราะตอนนี้ช้างอยู่ห่างจากเขาไม่ถึง 10 เมตร และเมื่อเกือบจะถึงตัว
เขาอยู่แล้ว มันก็หยุดนิ่ง ขาหลังพับลงและล้มลงช้า ๆ ร่างยักษ์กระแทกพื้นเสียงดังก้อง

โคบัสยืนแน่นิ่งก่อนจะเดินไปที่ตัวช้างซึ่งอยู่ห่างไป 9 ก้าว หรือเท่ากับ 2 ก้าวครึ่งสำหรับช้าง

เฮ็ตตี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนเมื่อได้ยินเสียงปืนนัดแรก เธอลุกวิ่งไปที่รั้วทันที เห็นพ่อยืน
อยู่ที่ริมธาร มีช้างกำลังวิ่งไล่ เธอเห็นพ่อยิงปืนทั้งสามนัด ตอนที่เธอเห็นช้างล้มห่างจากที่พ่อยืนไม่กี่ก้าว
เธอก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้าน

ฉันกำลังยุ่งอยู่ในบ้านตอนที่ได้ยินเสียงปืน 3 นัด ฉันวิ่งออกไปดูและสวนกับเฮ็ตตี้ที่กำลังวิ่งเข้าบ้าน
ฉันจับตัวลูกไว้แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกตกใจกลัวจนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปทางรั้วของสวน

เมื่อฉันไปถึงที่เกิดเหตุ เห็นช้างนอนตายบนทรายริมน้ำเลตาบาน้อย ส่วนโคบัสยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ
ตัวช้าง ฉันรู้ว่าเขาเสียใจมากที่ต้องยิงเจ้ายักษ์ใหญ่วัยชรา สัญชาตญาณป้องกันตัวทำให้เขาต้อง
สังหารสัตว์ป่าที่เขารักยิ่ง และเป็นครั้งเดียวในช่วง 11 ปีที่โคบัสฆ่าสัตว์เพื่อป้องกันตัว

โปรดติดตามตอนที่ ( 10 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 06, 2023 9:43 am

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 10 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)โมสาร์ทมาเยือนมาห์ลันเกนี

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่า 22 คนของอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ โคบัสต้อง
ดูแลเขตห้ามล่าสัตว์ให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งจากมนุษย์และธรรมชาติ จัดการกับปัญหาภัยแล้ง
โรคภัยไข้เจ็บ ไฟป่า น้ำท่วมและการบุกรุกป่า เขาต้องจากบ้านไปครั้งละหลายวันหรือหลายสัปดาห์
อยู่บ่อย ๆ ส่วนลูก ๆ อยู่โรงเรียนประจำในช่วงวันธรรมดา ฉันจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ดูแลบ้านตามลำพัง

การดูแลบ้านในป่าเป็นงานที่ต้องอาศัยความคิดริเริ่มและความอดทน ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องพรรค์นี้
แต่ภรรยาเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าคนอื่นเก่งกว่ามาก บางคนสามารถจัดสวนได้สวยจนดูเหมือนฉาก
ในเทพนิยาย บางคนทำผลไม้ดอง แช่อิ่ม แยมหรือเยลลี่จากผลไม้ป่าและเก็บอาหารหลากหลายที่ทำเอง
เหล่านี้ไว้เต็มบ้าน

ฉันเองก็ทำสวน อบขนม เย็บปักได้เหมือนกันแต่ฝีมือแค่พอทน เมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่า การเก็บ
รักษาดูแลแหล่งอาหารในครัวเรือนต้องทุ่มเททั้งเวลาและพลังงานมาก เช่น ต้องร้องตะโกนไล่ฝูงลิงที่มา
รังควานสวนผัก เฝ้าจับตาดูไก่ของเราไม่ให้ถูกนกอินทรี แมวป่า ชะมดหรืองูหลามมาคาบไป นอกจากนี้
เจ้าไก่ยังวางไข่ไว้เรี่ยราดทั่วสวน ฉันก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยตามล่าหาไข่ไก่

ฉันเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองเวลาที่โคบัสไม่อยู่เหมือนกับภรรยาเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนอื่น ๆ เช่น
ปัญหาจากเครื่องปั่นไฟที่เชื่อใจไม่ได้ เป็นต้น ฉันจึงแทบไม่มีเวลาว่างพอที่จะรู้สึกเหงาเท่าไรนัก ฉันมีสุนัข
2 ตัวอยู่เป็นเพื่อน ต่อมาก็มีม้าและฝูงไก่ และยังครอบครัวกระรอกรวมทั้งนกป่าสารพัดที่อยู่ในสวนของเรา

โดยทั่วไปฉันชอบอ่านหนังสือและฟังเพลง นอกจากนี้ยังจดบันทึกประจำวันและคุยกับตัวเองเหมือน
คนรักสันโดษทั่วไป และบางครั้งการมีคนมาเยี่ยมก็เปลี่ยนบรรยากาศได้ดี

วันหนึ่ง ฉันอยู่บ้านคนเดียว ตอนเช้าทำสวนและฟังเพลง ฉันเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงในบ้านให้ดังที่สุด
เพื่อให้เสียงเพลงของโมสาร์ทกระหึ่มไปทั่วทั้งสวน ขณะทำงานอยู่ รถคันหนึ่งแล่นผ่านประตูหลังเข้ามา
อย่างไม่คาดฝัน หนุ่มน้อยนายหนึ่งลงจากรถเพราะหลงทาง

โปรดติดตามตอนที่ ( 11 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 07, 2023 9:41 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 11 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หนุ่มแปลกหน้าท่าทางประหม่า ในมือมีแผนที่แสดงอาณาบริเวณแถวเขื่อน เขาแนะนำตัวเองและ
อธิบายว่ากำลังทำวิจัยวิทยานิพนธ์เรื่องวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปที่เขื่อนกั้น
แม่น้ำเลตาบา และพูดต่อไปว่า “สงสัยผมจะหลงทาง”

ฉันบอกเขาว่า “คุณมาผิดทางจริง ๆ เชิญเข้ามาในสำนักงานสามีฉันก่อนสิ
ฉันจะชี้ให้ดูว่าจะไปที่เขื่อนได้ยังไง”

แต่หนุ่มน้อยกลับยืนนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังต้องมนต์สะกดจากเสียงเพลง
และพูดขึ้นด้วยท่าทางงง ๆ ว่า “ซิมโฟนีหมายเลข 40 ของโมสาร์ท”

ตอนนั้นเรามีเพลงโมสาร์ทอยู่ไม่กี่เพลง ฉันเชิญให้เขาเข้ามาดูแผ่นเสียงของเราในบ้าน
เขาเพลินกับแผ่นเสียงของเรา ฉันเลยปล่อยเขาไว้คนเดียวและไปชงกาแฟ เขาเลือกแผ่น
“Coronation Concerto” ของโมสาร์ทวางบนที่เล่นแผ่นเสียงและเดินใจลอยหายเข้าไป
ในสวนหน้าบ้าน

พอฉันยกกาแฟออกมาก็เห็นเขานั่งบนชิงช้าที่ดัดแปลงจากยางรถยนต์ผ่าซีก ผูกบนคาน
ที่พาดระหว่างต้นโมปานี 2 ต้น เรานั่งจิบกาแฟและดื่มด่ำกับเสียงเพลงที่ฟังอบอุ่นและดังกระหึ่ม
ทั่วสวนลอยไปถึงแม่น้ำที่แม้ตัวฮิปโปยังดูเหมือนต้องมนต์สะกดไปด้วย เมื่อเสียงเสนาะสุดท้าย
แผ่วลง ชายหนุ่มก้มลงมองถ้วยกาแฟเปล่าในมือและพูดขึ้นเบา ๆ ว่า ที่บ้านเขาในกรุงพริทอเรีย
เพลงนี้ไม่เพราะเหมือนฟังที่นี่

เขาลุกขึ้นและช่วยฉันยกถาดกลับเข้าบ้าน จากนั้นฉันเอาแผนที่ชี้ให้เขาดูเส้นทางไปเขื่อน ก่อน
จากไปเขาถามว่า “อยู่แบบนี้เหงาบ้างไหมครับ” ฉันบอกว่าไม่เลย ความเหงาไม่เคยเป็นปัญหาของฉัน

หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน มีเทปเพลงของโมสาร์ทส่งมาทางไปรษณีย์ประมาณทุกเดือนเว้นเดือน
ตราประทับไปรษณีย์แสดงว่าส่งมาจากกรุงพริทอเรีย เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นผู้ส่งมา

โปรดติดตามตอนที่ ( 12 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:42 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 12 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)เดือนแห่งความวิตก

หน้าร้อนปี 2527 โคบัสติดเชื้อมาลาเรียชนิดรุนแรง เขารู้สึกไม่ค่อยสบายมา 2 วันแล้ว
ตอนที่ฉันตื่นขึ้นคืนหนึ่งเห็นเขากำลังรื้อตู้หาผ้าห่มทั้งที่คืนนั้นอากาศค่อนข้างร้อน พอเขากลับมา
นอนห่มผ้าทั้งตัวก็ยังสั่นจนฟันกระทบกัน ฉันจึงไปหยิบผ้านวมมาให้อีกผืน ตอนนี้เองที่เราเพิ่งคิด
ได้ว่า เขาอาจจะเป็นมาลาเรีย และจะพาเขาไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น

พอเช้า โคบัสรู้สึกดีขึ้นและบอกปัดว่าสงสัยจะเป็นหวัด จากนั้นก็ไปทำงานตามปกติ บ่ายแก่วันนั้น
เขาเป็นไข้กลับมาบ้าน บอกว่ารู้สึกเหนื่อยและเวียนหัว อยากนอน สักพักต่อมาเขาก็มีอาการหนาวสั่น
จนน่ากลัว หน้าเขียวและปากสั่นบ่นว่าไม่รู้สึกอุ่นเลยทั้งที่ฉันถมผ้าห่มใส่เขาไม่รู้กี่ผืน

เขาป่วยหนักเกินกว่าจะพาไปโรงพยาบาลที่พาลาบอร์วาได้ ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากรอจนกว่า
อาการระลอกนี้จะทุเลาลง

อาการหนาวสะท้านผ่านไป ตามมาด้วยไข้สูงและอีกหลายชั่วโมงต่อมาเป็นอาการเหงื่อแตกพลั่ก
หลังเหงื่อออกมากเขารู้สึกดีขึ้น เราเลยเสี่ยงพายเรือข้ามแม่น้ำไปโรงพยาบาลที่พาลาบอร์วา

หลังเจาะเลือดตรวจ พบว่าเขาได้รับเชื้อ”พลาสโมเดียม ฟาลซิพารัม” (plasmodium falciparum)
ซึ่งเป็นมาลาเรียชนิดร้ายแรงถึงชีวิตที่เกิดจากพยาธิเซลล์เดียวและมียุงก้นปล่องเป็นพาหะ ถ้าไม่ได้รับ
การรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเสียชีวิต

อาการป่วยของโคบัสตอนนี้อยู่ในขั้นวิกฤต ต้องรักษาทันที

โปรดติดตามตอนที่ ( 13 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:46 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 13 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

โคบัสมีไข้สูงและจับไข้รุนแรงตลอดเวลา หลังเข้ารับการรักษาแล้ว 24 ชั่วโมง ฉันเริ่มใจไม่ดี
เพราะอาการยังไม่กระเตื้องขึ้น หมอเริ่มให้ยา”คลอโรควิน” (Chloroquine) เข้าเส้นเลือด เนื่องจาก
ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ แม่ชีประจำตึกจึงยอมให้ฉันอยู่พยาบาลสามี ฉันรู้สึกขอบคุณมากเพราะได้อยู่
ข้างเตียงเขาทั้งวันทั้งคืน

ช่วงระยะหนาวของการจับไข้ ฉันถมผ้าห่มให้เขานับผืนไม่ถ้วน บางทีต้องวิ่งไปตึกอื่น
“ขโมย”ผ้าห่มจากเตียงว่าง แต่เขาก็ยังหนาวสั่นหนักจนฉันต้องจับตัวเขาไว้ไม่ให้ตกเตียง

พอระยะหนาวซาลง เขาเริ่มสลัดผ้าห่มทิ้ง มีอาการปวดหัวและเพ้อ อุณหภูมิขึ้นสูงกว่า 40 องศา
ช่วงระยะร้อนนั้นเลวร้ายที่สุด เพราะทรมานยาวนาน (4-6 ชั่วโมง) จนบางครั้งคนไข้รู้สึกกลัวว่าจะสู้
ไม่ไหวเพราะเหนื่อยล้ามาก

ระยะที่สาม เขามีอาการเหงื่อแตกมากจนผ้าคลุมเตียงเปียกโชก แต่เขากลับรู้สึกดีขึ้น ช่วงสั้น ๆ นี้
ฉันเอากระโจมออกซิเจนออกและให้เขาจิบน้ำบ้าง จากนั้นอีก 2 นาที วงจรของอาการไข้จับสั่นที่เ
หน็ดเหนื่อยและน่ากลัวก็วนกลับมาใหม่

หลังจากเข้ารับการรักษาแล้ว 48 ชั่วโมง ยาคลอโรควินยังไม่ช่วยให้อาการทุเลา ฉันเริ่มวิตกและ
โทรศัพท์ไปที่สถาบันโรคเขตร้อนในเมือง”ทซานีน”(Tzaneen) แจ้งว่าคนไข้ใช้ยาคลอโรควินแล้วแต่ไม่ได้ผล
ผู้อำนวยการบอกว่า ขั้นต่อไปควรให้ยาควินิน (Quinine) เข้าเส้นเลือด

ฉันบอกเรื่องนี้กับแม่ชีประจำตึก แต่ปรากฏว่าที่โรงพยาบาลไม่มียาควีนิน เธอรับปากว่าจะสั่งยามา
เพิ่มทันที โชคดีที่เย็นวันที่สามก่อนที่ยาจะมาถึง โคบัสดูอาการดีขึ้น ส่วนฉันตอนนี้โทรมจนหมดแรง และขอ
ให้แม่ชีที่อยู่เวรช่วยเฝ้าไข้แทน ฉันจึงได้นอนพัก 2-3 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกหลังจากอดนอนมา 3 วันเต็ม

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันบอกให้ลูก ๆ ทราบว่าพ่อป่วยแต่ใกล้จะหายป่วยแล้วเพราะไม่อยากให้เด็ก ๆ เป็นกังวล
ไปด้วย สองวันต่อมาฉันจึงพาเด็ก ๆ กลับบ้านเพราะโรงเรียนปิดภาคฤดูใบไม้ร่วงพอดีและโคบัสก็ดูค่อย
ยังชั่วขึ้น ตลอดสัปดาห์ต่อมา ฉันขับรถไปอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งวันและกลับบ้านตอนเย็นโดยขอให้ยามของ
หน่วยพิทักษ์สัตว์ป่าช่วยดูเด็ก ๆ ให้ช่วงที่ฉันไม่อยู่บ้านจนถึงปลายสัปดาห์หมอจึงอนุญาตให้โคบัสกลับบ้านได้

โคบัสน้ำหนักลดลงไปมาก ซูบซีดผ่ายผอมไม่บึกบึนเหมือนเดิม แต่พอได้กลับบ้านมายังมาห์ลันเกนี
ที่เขารัก ก็เริ่มแข็งแรงขึ้น และหลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต ชีวิตก็กลับคืนสู่ปกติในที่สุด

โปรดติดตามตอนที่ ( 14 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:50 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 14 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)ไฟป่า

เดือนกันยายน 2528 เป็นช่วงหน้าแล้งอากาศร้อน และมีวัสดุติดไฟง่ายมากมายในป่าพอที่
จะก่อให้เกิดอัคคีภัยร้ายแรง เช้าวันเสาร์วันหนึ่ง โคบัสเดินไปที่สวนและเห็นท้องฟ้าทิศตะวันออก
เป็นสีส้มอมแดง ไม่กี่นาทีต่อมาโคบัสและเจ้าหน้าที่ภาคสนามพร้อมไม้ตีไฟ
(แผ่นยางสี่เหลี่ยมแบนเป็นรูติดปลายไม้ยาว) มุ่งหน้าไปที่เกิดเหตุ

ไฟป่าอยู่ห่างไปราว 40 กิโลเมตรกำลังเผาผลาญเป็นแนวกว้างไปทางใต้ ทีมเจ้าหน้าที่ขับรถไปดัก
หน้าไฟและจุดไฟเผาพื้นหญ้าเป็นแนวเล็ก ๆ เพื่อสกัดไม่ให้ไฟใหญ่ลุกลาม แต่ไม่ทัน พวกเขาจึงขับต่อ
ไปอีก 20 กิโลเมตรใต้ลมไปยังถนนที่เป็นแนวกันไฟ แต่ลมหอบเอาไฟป่าข้ามแนวสกัดไฟหลายแห่ง
โคบัสกับผู้ร่วมงานพยายามควบคุมเพลิงสุดความสามารถ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารับมือไม่ไหว

บ่ายต้น ๆ ลมเปลี่ยนทิศและเริ่มพัดเปลวเพลิงไปทางบ้านเรา มวลหมู่นกในสวนของเราเงียบกริบ
ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดทำลายความเงียบอันน่าสะพรึงกลัว ลูก ๆ ของพี่สาวฉันมาเยี่ยมช่วงโรงเรียนหยุด
เด็ก ๆ อยู่ในบ้านกำลังเล่นและฟังเพลงกัน เลยไม่รู้ว่าไฟกำลังมุ่งหน้ามาทางบ้านเรา

ราว 21.00 น. เปลวไฟปะทุพุ่งขึ้นฟ้าและเริ่มมีเถ้าถ่านร่วงหล่นลงมาในสวนของเรา เฮ็ตตี้และเฮ็นนี่
(ลูกชายคนโตของพี่สาวฉัน) ตกใจเมื่อออกมาข้างนอกและเห็นแสงไฟสูงของพระเพลิงที่มุ่งหน้ามาทาง
บ้านเรา ฉันบอกทั้งคู่ว่า ‘ถ้าไฟเข้ามาใกล้ เราจะลงเรือพายไปกลางแม่น้ำกันซึ่งจะปลอดภัยไม่ต้องห่วง’
เด็กทั้งสองจึงกลับเข้าบ้านไปเล่นต่อกับน้อง ๆ

ฉันคิดไว้ว่า ถ้าไฟเข้าใกล้ถึงฝั่งตรงข้ามห้วยที่อยู่ใกล้บ้าน เราก็จะเริ่มอพยพกัน ดูเหมือนไฟจะอยู่
ห่างอีกราว 3 กิโลเมตร เสียงพระเพลิงที่รุกคืบเข้ามาน่ากลัวทีเดียว ตอนแรกเสียงต่ำดังสม่ำเสมอ
จากนั้นเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันเริ่มกลัว กลับเข้าไปในบ้านและบอกเด็ก ๆ ให้เตรียมตัวอพยพ

ซานดร้าไม่พอใจกับการอพยพ เธออยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสุนัข ม้าและไก่ของเรา ฉันปลอบเธอว่า
เราจะเอาสุนัขไปด้วย และจะปล่อยม้ากับไก่ให้ทันเวลาที่พวกมันจะหนีไปได้

เราดูเปลวไฟสีส้มลามเลียไปทั่วฟ้า แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าไฟจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่งแล้ว มันรออะไร
อยู่นะ... และแล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ลมเปลี่ยนทิศนั่นเอง โล่งอกไปทีไฟจะไม่ลุกมาถึงลำห้วยใกล้บ้านเราแล้ว
แต่ฉันยังเป็นห่วงโคบัสและเพื่อนร่วมงานซึ่งออกไปต่อกรกับพระเพลิงนานกว่า 16 ชั่วโมงแล้ว

ฉันส่งเด็ก ๆ เข้านอนแต่ตัวเองข่มตาหลับไม่ลงจึงลุกขึ้นต้มไข่ไว้โหลหนึ่ง หั่นขนมปัง 2 แถวทำแซนด์วิช
และต้มกาแฟแก่ ๆ ไว้ 2 กระติกเผื่อโคบัสกับเพื่อนจะแวะกลับมา

ราวเที่ยงคืนโคบัสจึงกลับถึงบ้าน ฉันจำแทบไม่ได้ เนื้อตัวเขาดำปี๋จากเขม่าควันตั้งแต่หัวจดเท้า
เขาบอกว่าต้องการคนไปช่วยสกัดไฟเพิ่มเป็นการด่วน ให้ฉันขับรถไปหาเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าหน่วย
ที่อยู่ใกล้พาลาบอร์วา

ฉันปลุกเฮ็ตตี้และบอกให้ช่วยดูน้อง ๆ ฉันสั่งไว้ว่าถ้าลมเกิดเปลี่ยนทิศอีก ให้พายเรือไปกลางน้ำ
เฮ็ตตี้รับปากว่าจะดูแลน้อง ๆ อย่างดี

โปรดติดตามตอนที่ ( 15 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:55 pm

(+)ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 15 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ฉันบึ่งรถไปที่หน่วยงานถัดไปใช้เวลาชั่วโมงเศษ ภรรยาเจ้าหน้าที่ที่นั่นเปิดประตูรับและปลุกสามี
เขารับปากจะไปช่วยโคบัสทันที ฉันจึงขับรถกลับ

ราว 20 กิโลเมตรก่อนถึงบ้าน รถจิ๊ปวิ่งปะทะลมหมุนแรงจนรถสั่นไปทั้งคัน ฝุ่นผงและใบไม้ปลิว
ว่อนเป็นกรวยบนถนนตรงหน้ารถ ลมกำลังเปลี่ยนทิศอีก

ฉันเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นเพราะรู้ดีว่าถ้าไฟลุกไปทางฝั่งลำห้วย ลมจะพัดเอาเปลวไฟไปติดยอดไม้สูง
ในรั้วของสวน ฉันรู้ว่ากำลังขับรถเร็วเกินไป แต่ความกลัวเข้าครอบงำใจฉันตอนนี้ด้วยวิตกว่าเฮ็ตตี้อาจ
นอนหลับและไม่รู้ถึงอันตราย ฉันเหยียบเบรกเป็นช่วง ๆ เพื่อไม่ให้ชนละมั่งและสัตว์ป่าอื่น ๆ

ยังอีกราว 10 กิโลเมตรก่อนจะถึงบ้าน ฉันคิดว่าคงไปไม่ทันไฟแน่ เพราะตอนนี้เพลิงแถวหน้าลุกลาม
ไปถึงขอบฟ้าทางเหนือแล้ว บ้านดูเหมือนจะอยู่กลางเส้นทางเพลิงผ่านพอดี พอเข้าโค้งสุดท้ายก่อนถึง
แม่น้ำ ฉันจึงเห็นว่าไฟผ่านเลยไปทางหลังบ้านแล้ว ฉันน้ำตาไหลด้วยความโล่งอก... เด็ก ๆ ปลอดภัย

กว่าจะควบคุมไฟไว้ได้ก็เช้าวันรุ่งขึ้น โคบัสถึงบ้านพร้อมเพื่อน ๆ ก่อนรุ่งสางเล็กน้อย ทุกคนเหนื่อย
จนเดินแทบไม่ไหว หลังจากพักได้ 2-3 ชั่วโมงก็ออกไปกันอีกเพื่อดับไฟที่คุตามตอไม้และเก็บกวาดลูกไฟ
ที่ยังหลงเหลืออยู่ หลังไฟประลัยแบบนี้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าต้องออกหาสัตว์ที่บาดเจ็บและถ้าจำเป็น
อาจต้องยิงบางตัวทิ้ง

หลายสัปดาห์หลังไฟป่า ต้นไม้ไหม้เกรียมและแห้งกรังเป็นแนวจากบ้านเราไปทางเหนือและตะวันออก
วันหนึ่งขณะขับรถไปข้างนอก ฉันเห็นตัวแบดเจอร์ (badger) ได้รับบาดเจ็บเดินกะเผลกอยู่ริมถนน ฉันหยุดรถ
ใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเปลวไฟทำให้มันตาบอด มันเดินโขยกเขยกอย่างยากลำบากชนตอไม้และสะดุดก้อนหินไป
ตลอด ฉันหยิบปืนเล็งเป้าอย่างระวังและช่วยให้มันพ้นจากความทุกข์ทรมาน

ฉันนั่งลงข้างร่างเจ้าสัตว์ที่ตายแล้วและลูบขนของมันไปมาอย่างสะเทือนใจยิ่ง บอกมันเบา ๆ ว่า
“ฉันรักแบดเจอร์และเคยเลี้ยงไว้ตัวหนึ่งที่บ้านด้วย”

โปรดติดตามตอนที่ ( 16 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 12, 2023 1:59 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 16 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ลูกหลานของพงไพร

ตอนที่เราเพิ่งมาอยู่ในเขตอุทยานฯ ดารินลูกสาวคนเล็กเพิ่ง 2 ขวบ ตอนอายุ 5 ขวบ
เธอรู้จักชื่อสัตว์ป่าเกือบทุกประเภทในอุทยานฯ เราภูมิใจในความฉลาดเฉลียวของลูกมากแต่ลืมนึก
ไปว่าการศึกษาชนิดไหนกันที่เธอได้เรียนรู้มา

วันหนึ่งขณะขับรถไปโยฮันเนสเบิร์กเพื่อเยี่ยมพ่อแม่ฉัน เราเห็นวัวกำลังเล็มหญ้าริมถนน ดาริน
ตะโกนเรียกให้พ่อหยุดรถ เมื่อเธอเห็นชัดแล้วก็ถามขึ้นว่า “นั่นตัวอะไรคะ ลาหรืออะไร?” เนื่องจาก
เธอไม่เคยเห็นสัตว์เลี้ยงตามบ้านคนทั่วไปมาก่อน

ต่อมาเราเห็นแมวดำธรรมดาตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ใกล้โรงรถ ดารินตื่นเต้นประหลาดใจและพูดว่า
“โอ้โห ดูสัตว์ประหลาดนั่นสิ”

ฉันรู้สึกผิดมาก ต้องรีบไปหาซื้อสมุดภาพสัตว์เลี้ยงในบ้านเพื่อที่เธอจะได้ไม่กลายเป็นเด็กไม่
รู้เรื่องราวเกินไปเมื่อเข้าเรียน

ครูของเด็ก ๆ บอกฉันว่า ลูก ๆ ของฉันมักจะแต่งเรียงความประหลาด ๆ เช่นเมื่อครูให้เขียนเรื่อง
ความสงบและผาสุกของธรรมชาติ เฮ็ตตี้เขียนบรรยายถึงวันสุดสัปดาห์ที่เราไปตั้งค่ายพักแรมริมน้ำ ...
ตอนกลางคืนมีไฮยีนา (hyena) ขโมยผ้าห่มไปผืนหนึ่ง และตอนเช้ามีลิงบาบูนเข้ามารื้อค้นข้าวของ
ในเต็นท์ จากนั้นเธอก็สรุปว่า ธรรมชาตินั้นสวยงามและอาจมีความผาสุกอยู่บ้าง แต่หาความสงบ
ไม่ค่อยได้เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน

ลูกสาวฉันเชี่ยวชาญเรื่องในป่าจริง ๆ และเข้าใจพฤติกรรมสัตว์ป่า แกะรอยเท้าสัตว์ ดมกลิ่น
แยกแยะเสียงในป่า และรู้ถึงสัญญาณอันตรายต่าง ๆ ในป่า แต่ถึงกระนั้น ฉันยังหวั่นใจว่าลูก ๆ แทบ
ไม่กลัวภัยในป่าเลย ฉันคงจะสบายใจขึ้นถ้าพวกเด็ก ๆ เห็นสัตว์ป่าเป็นอันตรายกว่านี้

โปรดติดตามตอนที่ ( 17 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 3:06 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 17 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540
โดย Kobie Krüger และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

หน้าหนาวช่วงปิดเทอมวันหนึ่ง โคบัสชวนเด็ก ๆ และฉันไปตรวจพื้นที่ที่ห้วยหนึ่ง
เราไปถึงตอน บ่ายแก่และลงมือตั้งเต็นท์กันที่ริมตลิ่ง

ขณะเตรียมอาหารค่ำตรงกองไฟ จันทร์เต็มดวงขึ้นเหนือแมกไม้ในป่า เสียงโหยหวนของตัว
ไฮยีนาดังแหวกความมืดของราตรี กับเสียงสิงโตคำรามก้องมาจากทางด้านหนึ่ง ในไม่ช้าก็มีเสียง
สิงโตดังมาจากอีกด้านหนึ่ง และไม่ช้าก็กลายเป็นการประชันหลอดเสียงว่าใครจะดังกว่ากัน

การแข่งขันยังขับเคี่ยวกันอยู่ตอนเราเข้านอน ฉันกับโคบัสนอนในเต็นท์ ส่วนเด็ก ๆ นอนในรถ
ดารินนอนตรงเบาะรถ ส่วนลูกอีก 2 คนนอนที่ท้ายกระบะ เราเปิดทางเข้าเต็นท์ไว้ ปืนยาวของโคบัส
พิงอยู่ข้างที่นอน สุนัขของเรานอนเป็นยามกลางแจ้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน

ช่วงระหว่างตีสามตีสี่ เด็ก ๆ รู้สึกอึดอัดคับแคบกับที่นอนตรงกระบะ ซานดร้าทนไม่ไหวจึงตัด
สินใจ ฉวยที่นอนและถุงนอนไปนอนกลางแจ้งข้างกองไฟ ฉันเรียกให้ลูกเข้ามาในเต็นท์แต่เธอ
ไม่ยอม ฉันรู้สึกเครียดจนนอนไม่หลับ เสียงสิงโตอยู่ใกล้ที่พักเกินกว่าจะวางใจได้

สักพัก เสียงคำรามของสิงโตดังใกล้มากจนเราได้ยินเสียงหายใจก่อนเสียงคำราม ฉันลุกพรวด
จากที่นอน แต่เห็นสามีตื่นก่อนแล้วและคว้าปืนยาวในมือ บอกฉันว่าไม่ต้องห่วง เขาจะนั่งข้างกองไฟ
และคอยระวังภัยให้ซานดร้า

หลังพระอาทิตย์ขึ้นสักครู่ โคบัสเข้ามาในเต็นท์และปลุกฉันตื่นพร้อมถ้วยกาแฟ พลางยิ้มแย้มแจ่มใส
เล่าว่า เมื่อคืนสุนัขตัวหนึ่งของเราค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปขอแบ่งที่นอนกับซานดร้า ตอนแรกมันแทรกหัว
เข้าไปก่อน จากนั้นอุ้งเท้า และท้ายสุดทั้งตัว ซานดร้ากลิ้งตัวขยับให้มันทีละนิดทุกครั้งที่มันกระทุ้งถูก
ตัวเธอ ลงเอยซานดร้าก็ลงไปนอนบนพื้นแข็ง ๆ เสียเอง

ฉันสะดุดใจตรงที่ซานดร้าเต็มใจแบ่งที่นอนให้สุนัข แต่ไม่ยอมให้พี่สาว แต่ยังไงก็เอาเถอะ ฉันรู้ว่า
พี่น้องก็เป็นอย่างนี้ บางครั้งก็ไม่ลงรอยกัน แต่ในยามคับขัน พี่น้องจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อกันที่สุด...
แล้วฉันก็ได้ประจักษ์กับตนเองตอนไปปิกนิกที่ประทับใจยิ่งหนหนึ่ง

โปรดติดตามตอนที่ ( 18 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 3:11 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 18 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(+)ประสบการณ์บนเนินเขา

ราว 10 กิโลเมตรจากบ้าน มีเนินเขาหินสูงที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นแมกไม้บนที่ราบอยู่รายรอบ
และหุบเขาใหญ่ไกลออกไปทางใต้ ครอบครัวเราชอบมาพักผ่อนในตอนบ่ายวันอาทิตย์บนยอดเนินนี้
เมื่อสองปีก่อน หลุยส์และโจน เพื่อนสนิทของเราจากในเมืองกับลูก ๆ อีก 3 คนมาเยี่ยมเราช่วงสุดสัปดาห์
และบ่ายวันอาทิตย์นั้น เราพาพวกเขาไปเที่ยวที่โปรดปรานของพวกเรา

เราขับรถไปถึงตีนเนิน เฮ็ตตี้ตอนนั้นอายุ 15 ปี ซานดร้า 13 ดารินและเดลม่าลูกสาวของเพื่อนอายุ 6 ขวบ
กระโดดลงจากท้ายรถกระบะแข่งกันปีนขึ้นเนิน ส่วนฉันกับสามีและครอบครัวของเพื่อนค่อย ๆ เดินตามไป

วันนั้นโคบัสไม่ได้เอาปืนยาวติดตัวไปด้วย ฉันเองก็ไม่ได้นึกวิตกอะไรเพราะเคยมาปีนเนินนี้นับครั้ง
ไม่ถ้วนและเคยเจอแต่สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พิษสง

ตอนที่เด็ก ๆ ไปถึงยอด เรายังอยู่ห่างลงมาอีกไกล ฉันกับโจนคุยกันเพลินตอนที่โคบัสยกมือขึ้น
เป็นสัญญาณให้เงียบและตั้งใจฟัง

ฉันได้ยินเสียงคำรามต่ำ ๆ ลึก ๆ มาจากเนินเขาสูงขึ้นไป พอเสียงนั้นหยุดไป เสียงซานดร้า
ก็ดังก้องลงมาจากยอดเขาว่า “เสือดาว”

โคบัสรีบวิ่งขึ้นเนินตรงไปที่เด็ก ๆ ทันทีพร้อมกับตะโกนเรียกให้พวกเด็ก ๆ รีบลงจากเนิน

ฉันวิ่งตามโคบัสไปติด ๆ ใจคิดอยู่อย่างเดียวขอให้ถึงตัวเด็ก ๆ ก่อนเสือเถอะ เสียงคำราม
ลึก ๆ ดังขึ้นมาอีก ฉันจำได้ว่าไม่ใช่เสียงเสือดาวแต่เป็นเสียงคำรามของสิงโตที่กำลังโมโห

และแล้วเราก็เห็นร่างของนางสิงโตโผล่ออกจากที่ซ่อนตรงก้อนหินใหญ่และพุ่มไม้ มันหยุดตรง
หน้าเด็ก ๆ และย่อตัวลง งอขาหลังพับลงใต้ร่าง มันคำรามเตือนด้วยเสียงลึก ๆ และดังขึ้น

เด็ก ๆ วิ่งหนีลงเนินฝ่าดงพุ่มไม้และหิน ยกเว้นหนูน้อยเดลม่า นางสิงโตหมอบอยู่ห่างไปไม่ถึง
10 เมตร เดลม่าตกใจสุดขีด ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากยืนจ้องหน้าเจ้าสัตว์ร้าย

เฮ็ตตี้เหลียวหลังกลับและเห็นเหตุการณ์จึงตัดสินใจวิ่งย้อนกลับขึ้นไปหาน้อง นางสิงโตเห็น
เฮ็ตตี้วิ่งเข้ามาก็คำรามขู่เตือนไม่ให้เข้าใกล้กว่านั้น แต่เฮ็ตตี้ไม่รีรอ เธอวิ่งขึ้นไปคว้าข้อมือเด็กน้อย
ที่ตกใจกลัวจนขยับเขยื้อนไม่ได้และดึงตัวให้วิ่งหนีลงจากเนินอย่างรวดเร็ว

จังหวะเดียวกันนั้น ซานดร้าก็เหลียวกลับไปดู เห็นพี่สาวถูลู่ถูกังลากเดลม่าวิ่งหนีสิงโตลงมา
เธอหันหลังและวิ่งกลับขึ้นไปช่วยพี่สาวทันที เจ้าสิงโตคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่ซานดร้าวิ่ง
กลับขึ้นไปช่วยคว้าแขนอีกข้างของเดลม่า จากนั้นทั้งสามก็วิ่งลงเขากันอย่างอลหม่าน

โคบัสและฉันยังวิ่งห้อขึ้นไปและสวนทางกับดารินซึ่งวิ่งหนีลงมา ขาแข้งเธอถูกขีดข่วนและ
เลือดไหล จากนั้นเฮ็ตตี้และซานดร้าก็วิ่งสวนตามลงมา มีเดลม่าหน้าซีดอยู่ระหว่างกลาง
และ 2-3 อึดใจจากนั้น โคบัสก็ยืนเผชิญหน้ากับนางสิงโตด้วยมือเปล่า

นางสิงโตคำรามเสียงดังเป็นสัญญาณว่าโกรธจัด พร้อมกับย่อตัวลงในท่าเตรียมกระโจนใส่
ฉันคว้าก้อนหินขนาดเท่าลูกรักบี้วิ่งเข้าไปใกล้ ยืนปักหลักอยู่หลังโคบัสราว 2-3 เมตร
ฉันตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ใจเต้นตูมตาม ส่วนโคบัสพยายามทำใจดีสู้สิงห์ ค่อย ๆ พูดจากับนางสิงโต
“ใจเย็น ๆ ไว้ แม่สิงห์ เย็นไว้”

โปรดติดตามตอนที่ ( 19 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 3:14 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 19 )
เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540 โดย Kobie Krüger
และจากวิกิปิเดีย 2565 รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

แปลกนะ ฉันมักลืมไปว่า สิงโตนั้นตัวใหญ่ขนาดไหน จนเจอกันใกล้ ๆ แบบนี้ ขณะยืนเผชิญหน้า
ฉันพยายามไม่ใส่ใจกับขนาดของมันและเพ่งดูรายละเอียดบนหน้าของมันแทน ตาสีเหลืองลุกโชนคู่นั้น
ดูไม่ค่อยน่าสนเท่าไร แต่รอยย่นบนจมูกเหี่ยว ๆ ก็ดูตลกดี

นางสิงห์คำรามฟอดขึ้นมาอีกคำรบ ทำเอาฉันตกใจ และพื้นดินเหมือนสั่นสะเทือนไปด้วย แต่โคบัสยัง
ยืนพูดกับมันอย่างใจเย็น น้ำเสียงนุ่มนวล “เย็นไว้ นางสิงห์ เย็นไว้ อย่าห่วง เราไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

โคบัสหันหลังส่งสัญญาณเงียบให้ฉันถอยออกไป ฉันเพิ่งเริ่มเข้าใจว่า ความปลอดภัยของเราทั้งคู่
ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะหว่านล้อมนางสิงห์ได้หรือไม่ ถ้าฉันไปเสีย นางอาจจะเครียดน้อยลง ฉันรู้สึกเขิน ๆ
ค่อย ๆ วางก้อนหินลงและหันหลังเดินไปเงียบ ๆ

ขณะเดินลงเนิน ฉันกลั้นหายใจเงี่ยหูฟัง สิงโตยังคำรามแต่ไม่ดุดันเหมือนเดิม โคบัสยังพูดกับ
มันอย่างใจเย็นต่อไป จนเสียงคำรามค่อยเบาลงเป็นลำดับ

เมื่อฉันรอดปลอดภัยแล้ว โคบัสจึงตามลงมา วิกฤตการณ์เป็นอันจบแค่นี้

เมื่อกลับถึงตีนเนิน เราเหลียวหลังไปดูและเห็นภาพอันยิ่งใหญ่ของนางสิงโตที่ยืนสง่าอยู่บนก้อนหิน
ตัดกับฉากท้องฟ้าสีฟ้าอมเทา ขนของนางเป็นประกายสีทองระยิบกลางแดดยามบ่าย มันคำรามอีกรอบ
เป็นสัญญาณเตือนว่า ทีหลังอย่าเพ่นพ่านเข้าไปในถิ่นของนางอีก

โคบัสบอกเราว่า เขาสังเกตว่านางสิงห์อยู่ในระยะคัดหลั่งน้ำนม และเชื่อว่ามันคงเลือกเนินแห่งนี้
เป็นที่เลี้ยงลูก ด้วยเหตุนี้จึงมีท่าทีดุดันก้าวร้าวมาก มันเป็นแม่ที่พยายามปกป้องลูกน้อยนั่นเอง

ต่อมาซานดร้าอธิบายว่าที่เธอร้องตะโกนออกไปด้วยความตกใจก่อนเห็นตัวสัตว์ที่ส่งเสียงร้อง
เพราะเธอคิดว่าเสือดาวน่าจะอยู่บนเนินนี้มากกว่าสิงโต

ดารินยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด หนูน้อยบอกว่าเจ็บขา เมื่อดูใกล้ ๆ เราก็โล่งใจที่เห็นแค่รอยถลอก
ไม่หนักหนาอะไร น้ำตาของลูกมาจากความกลัวมากกว่าความเจ็บ

ฉันกอดดารินเพื่อปลอบขวัญ และกอดลูกสาวคนโตทั้งสอง ส่วนหลุยส์และโจนก็ปลอบขวัญเดลม่า
ฉันไม่รู้จะบรรยายให้เฮ็ตตี้และซานดร้ารู้ว่าฉันภูมิใจที่ลูกทั้งสองมากเพียงใดที่เห็นทั้งสองหันหลังกลับไป
ช่วยเพื่อนตัวน้อย ๆ และช่วยซึ่งกันและกัน

โปรดติดตามตอนที่ ( 20 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:30 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 20.)เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540
โดย Kobie Krüger และจากวิกิปิเดีย 2565
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)ฤดูกาลแห่งความหวัง

จากปี 2528 ถึง 2532 ปริมาณน้ำฝนในหน้าร้อนน้อยกว่าปกติ เรากำลังเผชิญภาวะแห้งแล้ง
มากขึ้นทุกที ถึงเดือนสิงหาคม 2532 ลมร้อนพัดผืนป่าแห้งแล้ง และที่ราบแร้นแค้น ผืนดินแห้งแตกระแหง
แม้หญ้าหย่อมสุดท้ายก็กำลังลาจาก

เย็นวันหนึ่ง มีละมั่ง 2 ตัวยืนนอกรั้วบ้านกำลังเล็มหญ้าเขียวขจีของเราอย่างหิวโหย (การที่หญ้า
ในสวนเราเขียวตลอดปีเพราะเราสูบน้ำจากแม่น้ำมาใช้) เจ้าละมั่งดูท่าทางหิวจัด เราเปิดประตู
ให้มันเข้ามาข้างใน มันยืนกินหญ้าในสวนตลอดทั้งคืน

ตั้งแต่วันนั้นมา เราเปิดประตูไว้ทุกเย็นให้พวกมันเข้ามาข้างใน ตอนแรกมีละมั่ง 2 ตัว ต่อมา
เพิ่มเป็นสาม และท้ายสุดมี 6 ตัวยืนกินหญ้าในสวนเราทุกคืน

เราเริ่มวิตกมากขึ้นเพราะความแล้งเริ่มมีผลกระทบกับสัตว์ต่าง ๆ บ่ายวันหนึ่งเราเห็นครอบครัว
หมูป่าอดอยากยืนอยู่นอกรั้วมองสวนเราอย่างหิวโหย แต่ไม่กล้าเข้ามาข้างใน ฉันเลยต้องเก็บผักกาด
ผักขม หัวผักกาดแดง มะเขือและผักอื่น ๆ อีก 2-3 ตะกร้าไปโยนไว้นอกรั้วให้หมู่ป่าและละมั่ง ตอนเช้า
ผักหายหมดเกลี้ยงทุกครั้ง

โชคดีที่สวนเรามีขนาดใหญ่ และเรามักจะปลูกผักไว้เหลือเก็บแช่แข็งสำหรับหน้าหนาวและหน้าร้อน
ฉันรู้ดีว่าเรากำลังปันส่วนอาหารที่มีค่าของเราไปให้สัตว์ที่หิวโหย แต่ช่างเถอะ เพราะสถานการณ์
ตอนนี้เข้าขั้นคับขัน

หน้าแล้งยังยืดเยื้อต่อไป สุขภาพตัวฮิปโปของเราทรุดโทรมลงทุกวัน เช้าวันหนึ่ง ฉันไปที่สวนผัก
เก็บกะหล่ำกองสุมไว้บนรถเข็น ฉันขนผักที่เก็บไปที่แม่น้ำและเททั้งหมดลงริมน้ำ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ทำเพื่อ
ช่วยฮิปโปไม่ให้อดตายแทบไม่มีประโยชน์ แต่ฉันก็ทนดูพวกมันทรมานโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้

โปรดติดตามตอนที่ ( 21 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:32 pm

👨‍👩‍👧‍👦ครอบครัวในพงไพร ตอนที่ ( 21 )เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระฉบับเดือนตุลาคม 2540
โดย Kobie Krüger และจากวิกิปิเดีย 2565
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เย็นวันหนึ่งโคบัสกับฉันนั่งนอกบ้านขณะอาทิตย์ตกดิน เห็นวัวป่าเดินโซเซข้ามชายฝั่งแม่น้ำ
ไปที่ริมตลิ่ง อยู่ดี ๆ มันก็หยุดเดินและล้มพับไป เราทั้งคู่นั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรกันสักคำ ฉันรู้ดีว่าโคบัส
รู้สึกหดหู่พอ ๆ กับฉันที่เห็นภาพตรงหน้า สวนผักของเราก็เกือบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เราคงช่วยฝูง
ละมั่งและหมูป่าได้อีกไม่กี่มื้อ

โคบัสนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ ตาจ้องอยู่ตรงขอบฟ้า ฉันกำลังจะเอ่ยความคิดในใจออกมาเมื่อเขา
ยกแขนขึ้นและชี้ไปทางทิศใต้ “ดูนั่น ฟ้าแลบ”

ฉันหันมองตาม สักครู่สายฟ้าแลบปรากฏเป็นรูปหยักเหนือขอบฟ้า สายลมแผ่วพัดผ่านสวน
และสักครู่ ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สว่างขึ้นเป็นระยะจากสายฟ้าแลบไกลลิบ :
ฝนกำลังมา

วันที่ 22 ตุลาคม 2532 เรากำลังขับรถกลับจากโยฮันเนสเบิร์กหลังแวะเยี่ยมพ่อแม่ของฉัน
ขณะกำลังจะถึงหน้าผา เห็นทุ่งที่อยู่ต่ำลงไปข้างหน้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกดำครึ้ม เราดีใจกันสุดขีด
เพราะความแห้งแล้งกำลังจะหมดไป

หลังฝนแรกโปรยปราย เมล็ดพันธุ์นับล้านเพาะตัวใต้ดินชุ่มชื้นและแตกหน่อขึ้นมาเหมือนผืนพรม
สีเขียวนุ่มปูลาดทั่วแผ่นดิน ใบอ่อนเริ่มผลิตามกิ่งก้านของต้นที่เคยแห้งกรัง ดอกไม้ป่าหลากสีหลายพันธุ์
บานเบ่งไปทั่วทุกหนแห่ง ป่าเริ่มฟื้นคืนชีพ เต็มไปด้วยชีวิตใหม่และการเติบโต ภายใน 2 สัปดาห์ ผืนดิน
รกร้างพลิกผันเป็นสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

ทุกปี ครอบครัวของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าจะพบปะกันที่สำนักงานใหญ่ “ซกูกูซา” (Skukuza)
เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์พิเศษประจำปี ขณะที่สามีพวกเรากำลังสัมมนาและลูก ๆ กำลังเล่นกันเพื่อน
บรรดาผู้เป็นภรรยาจะนั่งจับกลุ่มกันในมุมสงบใต้ต้นไม้ ดื่มชาและแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน พูดถึงความยาก
ลำบาก การผจญภัย ความสุขในชีวิตที่ไม่เหมือนใครและเต็มไปด้วยสีสัน ฉันจะไม่ยอมแลกชีวิตแบบนี้กับ
สิ่งใดในโลก

หมายเหตุ :

อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1926 มีพื้นที่ 19,623 ก.ม.2 หรือประมาณ 12,500,000 ไร่
ยาวจากเหนือจรดใต้ 360 กม. และกว้าง 65 กม. การสำรวจในปี 2548 พบว่าอุทยานฯ มี
อิมพาลา 101,000 ตัว, ควายป่า 31,060 ตัว, ม้าลาย 21,100 ตัว, ช้างแอฟริกา 12,470 ตัว, แรด 6,940 ตัว
, ยีราฟ 6,700 ตัว, หมาป่าไฮยีน่า 2,500 ตัว, สิงโต 2,000 ตัว, เสือดาว 1,000 ตัว

อุทยานฯ ให้สัมปทานแก่เอกชนบริหารจัดการพื้นที่บางส่วนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง
แห่งหนึ่งของทวีปแอฟริกา

นอกจากนี้ ยังเป็นที่อาศัยถิ่นเดียวและถิ่นสุดท้ายของสิงโตขาว ซึ่งไม่ใช่สิงโตเผือก
แต่เป็นสิงโตที่มีสีผิวและขนขาวทั้งตัวจากพันธุกรรม

**************************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส