“วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่20” (ตอนที่ 61-78)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 3:37 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (61 )👈
🌼--- ผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวถึงแอนตี้ไคร้สต์ ---🌼
          ผมได้วิเคราะห์ พระธรรมวิวรณ์ ในบทที่ 13 ที่พูดถึงแอนตี้ไคร้สต์ว่าเป็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งที่ออกมา
จากแผ่นดินโลก สัตว์ตัวนี้มีเขาเล็กๆ สองเขาดูคล้ายลูกแกะ แต่มีเสียงร้องน่ากลัวประดุจเสียงของมังกร
มันสำแดงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของสัตว์ร้ายตัวแรกอย่างครบถ้วนทุกประการ มันยังบังคับขู่เข็ญให้ทุกคน
ประทับเครื่องหมายไว้ที่มือขวา หรือบนหน้าผาก และกีดกันมิให้ผู้ใดทำการซื้อขาย เว้นแต่ว่าผู้นั้นจะมี
รอยชื่อ หรือเครื่องหมายเลขแทนชื่อของมันประทับไว้ หมายเลขของมันคือ 666
ต่อไปนี้ผมใคร่ขอหยิบยกข้อความต่างๆ ที่กล่าวถึงแอนตี้ไคร้สต์จากบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปฏิบัติธรรม
ขั้นสูง ผู้ได้รับพรพิเศษโดยการเผยแสดงเป็นการส่วนตัว (private revelation) จากพระผู้เป็นเจ้า จากพระเยซู
จากแม่พระ หรือเทวดา จะด้วยการเห็นในนิมิต หรือ ได้ยินเสียงพูดภายใน หรือ บันทึกข้อความตามที่ได้ยิน
ทีละประโยค (dictation) จนบันทึกได้หนังสือหลายเล่ม ทั้งๆ ที่ผู้บันทึกนั้น ลำพังความรู้ที่มี ไม่อาจเขียนข้อ
คำสอน หรือธรรมะที่ลึกซึ้งขนาดนั้นได้ ข้อความที่ผมจะนำมานี้ ได้มาจากหนังสือภาษาอิตาเลียน
"il grande libro delle profezie, il futuro dell' umanita e del mondo secondo la rivelazione privata"
"หนังสือเล่มใหญ่เกี่ยวกับคำทำนายต่างๆ อนาคตของมนุษยชาติ และของโลกตามการเผยแสดงเป็นการส่วนตัว"
เรียบเรียงโดย Piero Mantero
จะขอยกตัวอย่างเรื่องการเผยแสดงเป็นการส่วนตัว (private revelation) ในสมัยของเรานี้ เช่น ท่าน
บาทหลวง Stefano Gobbi พระสงฆ์คาทอลิกชาวอิตาลีรูปหนึ่ง ได้รับสารจากแม่พระโดยการพูดภายในใจ
ของท่าน ตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปัจจุบัน ข้อความที่ท่านบันทึกไว้นั้นได้ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือหลายเล่ม สาระสำคัญ
ส่วนใหญ่เป็นการเตือนใจพระสงฆ์ ให้มุ่งปฏิบัติศาสนกิจอย่างเข้มแข็ง อย่าชวนเซไปตามกระแสโลก และให้
เชื่อฟังพระสันตะปาปา หรืออีกท่านหนึ่งที่ได้รับการเผยแสดงจากพระเยซูให้บันทึกข้อความมากมาย รวบรวม
เป็นเล่มได้ 8 เล่ม ขณะนี้ยังได้รับการเผยแสดงเป็นประจำ ท่านผู้นี้คือ วัสสุลา ไรเดน (Vassula Ryden)
เกิดเมื่อปี 1942 ณ ประเทศอียิปต์จากพ่อแม่ชาวกรีก นับถือศาสนาคริสต์ออร์ธอด็อกซ์ เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 1942
แต่งงานกับชาวสวีเดน นับถือศาสนาโปรเตสแตนท์ วันหนึ่งในปี 1985 ขณะกำลังหยิบดินสอจะเขียนรายการ
สิ่งของ ที่ตั้งใจจะออกไปซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ต ก็เกิดรู้สึกมีอะไรไหวในตัวเอง และมือก็รู้สึกหนักเหมือนถูกแม่เหล็ก
ดูดลงไปในกระดาษ และมีข้อความออกมาว่า "ฉันเป็นเทวดาประจำตัวเธอ ฉันชื่อดาเนียล" แล้วแจ้งความประสงค์
ว่าพระเยซูต้องการให้เธอเป็นเครื่องมือ ในการบันทึกสาส์นเพื่อแจ้งแก่ชาวโลก แล้วเทวดาก็ชำระล้างจิตใจของ
เธอเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้นพระเยซูและแม่พระก็ฟื้นฟูจิตใจของเธอเป็นเวลาสามปี เธอเห็นพระเยซูใน
อิริยาบทต่างๆ ในนิมิตของเธอ หากเป็นเสียงของแม่พระ หรือเทวดาก็มีเสียงแตกต่างกันออกไป เธอบันทึกข้อ
ความต่างๆ รวมได้ 8 เล่มแล้วด้วยลายมือของเธอ เธอมีความรู้ทางศาสนาน้อยมาก แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
แต่ข้อความที่บันทึกล้วนเป็นธรรมะ และคำสอนขั้นสูงส่งลึกซึ้ง และสอดคล้องกับพระคัมภีร์ทุกถ้อยกระทงความ
อย่างเหลือเชื่อ ทั้งนี้ได้มีการตรวจสอบจากนักเทวศาสตร์ หรือจากสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่มาแล้ว สรุปผลออกมาแล้วว่า
น่าจะเป็นการเผยแสดงจากพระเยซูอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม เรามีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ เพราะถือเป็น
การเผยแสดงเป็นการส่วนตัว หรือเฉพาะบุคคล หากเป็นหลักธรรมที่ต้องเชื่อ (dogma) เพราะพระสันตะปาปา
ได้พิจารณาตามกระบวนการ และได้ประกาศเป็นทางการแล้ว ก็ต้องเชื่อและทำตามหลักธรรมนั้น มิฉะนั้นก็
ถือว่าเป็นบาป
ต่อไปนี้จะคัดข้อความต่างๆ จากผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่ได้รับการเผยแสดงจากพระเยซู แม่พระ หรือ
เทวดาที่พูดถึง แอนตี้ไคร้สต์ ซึ่งได้รวบรวมโดย Piero Mantero โดยจะขอหยิบยกมาเป็นข้อๆ แต่จะไม่มี
การกำกับด้วยดอกจันว่าเป็นคำพูดของใคร พูดกับใคร และเมื่อไหร่ หากผู้ใดต้องการตรวจสอบ ก็ยินดีชี้แจง
ให้ทราบเป็นรายๆ ไป
- ก่อนที่แอนตี้ไคร้สต์จะปรากฏโฉม โลกจะวุ่นวายด้วยสงครามระหว่างนานาชาติ บ้างจะแยกกับ
ประเทศนั้น บ้างจะรวมกันกับชาตินี้ ความมืดแห่งซาตานจะครอบคลุมไปทั่วแผ่นดิน แล้วสมุนของมันจะพา
กันต้อนมวลสัตบุรุษให้เข้าบ่วงแร้วของมัน
- สงครามที่นี่ สงครามที่โน่น จะเกิดไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนสงครามสุดท้าย ซึ่งจะได้รับการบงการจาก
10 กษัตริย์ ของแอนตี้ไคร้สต์ ซึ่งจะรวมผนึกเป็นหนึ่งเดียวที่จะยึดครองโลก
- ขณะนี้เรากำลังอยู่ในยุคของผู้กรุยทางของแอนตี้ไคร้สต์ แล้วก็ถึงยุคของแอนตี้ไคร้สต์ ซึ่งเป็นผู้กรุย
ทางของซาตานอีกทีหนึ่ง แอนตี้ไคร้สต์จะได้รับการช่วยเหลือจากซาตาน นั่นก็คือ สัตว์ร้าย 2 ตัว ที่มีกล่าว
ในพระธรรมวิวรณ์ จะเป็นยุคที่สาหัสสากรรจ์กว่ายุคปัจจุบัน
- อีกไม่นานก็จะถึงยุคของ Antichrist อย่าปล่อยให้บุตรแห่งซาตานหลอกให้หลงเป็นอันขาด ถ้าเธอ
อ่านพระคัมภีร์เธอก็จะรู้ยุคปัจจุบัน และยุคที่กำลังจะมา ว่ามันสอดคล้องกับพระคัมภีร์อย่างไร
- อานุภาพต่างๆ ของแอนตี้ไคร้สต์จะผนึกกันเป็นหนึ่ง เพื่อจะก่อสงครามให้ปะทุขึ้นมา
- สงครามเหนือธรรมชาติได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเธอเองนั้นแหละกำลังต่อสู้กับร่างกายของเธอ ทว่าจริงๆ แล้ว
เป็นจิตวิญญาณที่กำลังต่อสู้กัน ซาตานเป็นผู้ชักใยในการสู้รบ สงครามนี้จะเป็นสงครามหนึ่งในหลายๆ
สงครามขั้นเริ่มต้น อาณาจักรของ Antichrist ต้องการปูนซีเมนต์ที่ทำด้วยเลือดและความเกลียดชัง เพื่อ
ผนึกเป็นหนึ่งเดียว
- เมื่อเวลาของแอนตี้ไคร้สต์มาถึง ช่วงเวลาของมันจะกินเวลานานกี่ปี? พระเป็นเจ้าผู้มีพระปรีชาญาณ
เลิศล้ำ จะมิให้มนุษย์ล่วงรู้ช่วงเวลาของแอนตี้ไคร้สต์ ก็จะเป็นเวลาเดียวกันที่พลังจิตจากเบื้องบนจะเริ่ม
ปฏิบัติการ แต่ว่าผู้ที่อยู่เหนือพลังจิตแห่งเบื้องบนอยู่ที่ สตรี (มีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์) ในวิวรณ์
(ก็คือ แม่พระนั้นเอง)
-ลูซีเฟอร์ (เป็นชื่อของหัวหน้าใหญ่สุดของบรรดาปีศาจ) พยายามสุดตัวที่จะเลียนแบบพระเจ้า
ปีศาจก็พยายามเลียนแบบพระเยซูคริสต์ และโดยที่พระเยซูมีบรรดาอัครสาวกและสาวก มันก็พยายามเฟ้น
ในระหว่างพวกมันที่คิดว่ายอดที่สุด ให้เป็นแอนตี้ไคร้สต์ สำหรับปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาเตรียมตัว
ของผู้กรุยทางของแอนตี้ไคร้สต์
- พวกเธอจะรู้จักมันได้ทันที เพราะมันจะไม่แขวนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการไถ่บาปของ
พระเยซู มันจะมีสาวก 12 คน มันจะใช้สิ่งประหลาดอัศจรรย์ทุกชนิดเพื่อจะหลอกเธอให้หลง ในศาสนจักร
ของมันมีแต่ความยุ่งเหยิง
- ซาตานดลใจและให้อำนาจแก่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงๆ มันกำลังกลายเป็นจ้าวโลก ผู้คนจะไม่รู้หรอกว่า
มันใช้ชีวิตของมันอย่างไร พวกมันประกอบกรรมชั่ว สะสมอาวุธ และฆ่าฟันกัน
- ปล่อยให้ผู้คนพูดอะไรไปตามใจชอบ ไม่ใช่มันดอกที่เป็นจ้าวโลก แต่ซาตานต่างหากที่เป็นจ้าวโลก
- ปัจจุบันในโลกเรามีมารกลุ่มหนึ่ง วางแผนชั่วที่จะตั้งสาธารณรัฐแห่งสากลจักรวาล แผนของมันก็คือ
พยายามกำจัดพระศาสนจักรของพระให้เสื่อมสลายไปทีละน้อย
- ผู้หลงผิดและผู้ทรยศเหล่านี้ พูดและเขียนถึงพระศาสนจักรใหม่เป็นศาสนจักรหนึ่ง ซึ่งจะไม่เป็นศาสนา
ที่นับถือพระเจ้า แต่จะเป็นศาสนจักรหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ เราขอเรียกว่า ศาสนจักรของแอนตี้ไคร้สต์!
ใช่แล้ว ศาสนจักรนี้ คือ Antichrist ที่มีชีวิต
- ความระยำของคนพวกชั่วช้าในขณะนี้ พูดได้คำเดียวว่า "ร้ายกาจ" เป้าหมายแรกของพวกมันก็คือ
หลอกล่อพวกนักบวชนักพรตที่ถวายตัวรับใช้พระเจ้า ให้หย่อนยานในธรรมปฏิบัติ พวกมันต้องการให้คนเสีย
วิญญาณ ให้จมปลักแห่งความชั่วให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พวกมันต้องการข่มขู่และเข่นฆ่าศัตรูที่ช่ำชองยุทธ
(คนดีมีคุณธรรม) ของมัน
- คนเหล่านี้ ซึ่งเป็นเครื่องมือโดยตรงของซาตาน จะถูกกวาดไปประดุจเมล็ดฝุ่นต้องลม ในช่วงเวลา
ที่กำลังเข้าใกล้อย่างน่าหวาดหวั่นที่สุด
- การปะทะครั้งสุดท้ายกำลังเข้ามาแล้ว แต่แม่จะไล่เจ้ามารจอมหลอกลวง จอมปลิ้นปล้อน ขอให้ลูกๆ
ระวังพวกมารเหล่านี้ให้ดี เพราะพวกมันจะใช้เครื่องมือพิเศษ จะแฝงตัวมาในรูปมิตรของลูกแกะแสนซื่อ
หรือมาในมาดของผู้คุ้มครองป้องกัน
- เวลาแห่งหายนะใกล้เข้ามาทุกที เพราะว่ามารกำลังเร่งมือในการทำตามแผนให้เข้มข้นขึ้น ความวุ่นวาย
ในสมอง และในใจกำลังทวีดีกรีขึ้นอย่างน่าวิตก โดยถอดถอนความสามารถที่จะกระทำ และที่จะเข้าใจให้ลด
น้อยถอยลงไป จนไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว
- ขอให้พวกเธอศึกษาให้ดี ถึงพวกที่จะมาก่อน การเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซู เพราะเหตุว่าพลังต่างๆ
ของแอนตี้ไคร้สต์กำลังเดินหน้าเต็มตัว จะมีคนเป็นจำนวนมากหลงเชื่อไปว่า กำลังมีชัยชนะเหนือ Antichrist
นึกว่าสันติภาพใกล้เข้ามาแล้ว แต่ที่แท้เป็นการหยุดพักเอาแรงของศัตรูพระคริสต์ ซึ่งกำลังให้หยูกให้ยากับ
บาดแผลที่ได้รับ และผนึกกำลังกับกองทัพของมัน เพื่อจะได้ปะทะให้เหี้ยมหาญแบบสุดสุดต่อไป
- จะมีสันติภาพจอมปลอมในโลกอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งผู้คนไม่คิดอะไรนอกจากจะเสพสุข คนชั่วจะ
ปล่อยตัวกระทำความชั่วในทุกรูปแบบ ระหว่างเวลานี้ แอนตี้ไคร้สต์จะเกิดจากนักบวชหญิงชาวยิว จาก
พรหมจารีย์จอมปลอม ซึ่งไปมีสัมพันธ์กับงูตัวเก่า เจ้าแห่งความโสโครก พ่อของมันก็คือพระชั้นผู้ใหญ่
พอเกิดมาได้ไม่เท่าไร ก็สำรากแต่คำชั่วๆ ออกมา และมีฟันขึ้นเต็มปาก (ผิดเด็กทั่วไป) พูดให้ชัดลงไปก็คือ
เป็นผีมาผุดมาเกิดนั่นเอง มันจะแผดเสียงดังผิดมนุษย์ ทำให้ผู้ได้ยินขนหัวลุก จะแสดงอภินิหารแปลก
ประหลาด จะไม่กินอะไรนอกจากสิ่งปฏิกูล มันจะมีน้องๆ หลายคน ถึงแม้จะมิใช่เป็นผีมาผุดมาเกิด
เหมือนมัน แต่ก็ชั่วช้าพอกัน เมื่อ Antichrist อายุได้ 12 ปี พรรคพวกของมันจะแสดงฝีมือปราบศัตรู
ได้อย่างเหี้ยมหาญ ชั่วเวลาไม่นานก็สามารถออกนำทัพร่วมกับแสนยานุภาพนรก

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ พุธ มิ.ย. 28, 2023 6:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 4:16 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิธรรม 👉 ตอนที่ ( 62 )👈
🌼--- นโปเลียน ปรปักษ์พระคริสต์ คนที่ 1 ---🌼
         
การที่ นอสตราดามุส มองเห็นเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคต ได้ยินเสียงกรีดร้องสรรพสำเนียงโหยหวน
ภาพการรบราฆ่าฟัน จิตใจของเขาหดหู่ เศร้าหมอง เวทนาผู้ที่ถูกรังแก ในขณะเดียวกันเขาก็ชิงชังใน
ความอำมหิตโหดเหี้ยมของมนุษย์ เขาจึงประณามคนประเภทนี้ว่า แอนตี้ไคร้สต์ หรือ ปรปักษ์พระคริสต์
หมายถึงคนสารเลว ไม่มีศีลธรรม ไม่มีศาสนา ไม่มีความดีงามใดๆ ในใจ โหดร้ายทารุณ
ร้อยเล่ห์เพทุบาย ทรราช
          นอสตราดามุสกล่าวถึงปรปักษ์พระคริสต์ไว้ 3 คน คนแรก คือ นโปเลียน คนที่สอง คือ ฮิตเลอร์
ส่วนคนที่สาม คือ แอนตี้ไคร้สต์ ที่มีกล่าวไว้ในที่พระคัมภีร์ว่าจะเกิด ตอนก่อนสิ้นยุค จะเป็นผู้ทำลายล้าง
พระศาสนจักรเป็นอันดับแรก แล้วสร้างอิทธิพลทางการเมืองพร้อมกับสมุนของมัน จนสามารถเป็นผู้นำ
ผู้ทรงอิทธิพลของ กลุ่มประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แล้วกระเถิบมาเป็นผู้นำโลก ทั้งทางการเมือง ทางทหาร
และ ทางเศรษฐกิจ ใครจะทำมาค้าขายกับมัน จะต้องมีเครื่องหมาย หรือ หมายเลข 666 มันจึงจะยอม
เสวนาด้วย นอกจากนี้มันยังสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ โดยอาศัยอิทธิฤทธิ์ของซาตาน เหาะเหินเดิน
อากาศได้ คือ สามารถปรากฏตัวในเวลาเดียวกันในที่หลายแห่ง ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ และสวามิภักดิ์แก่
มันโดยดุษฎี
          ปรปักษ์พระคริสต์คนแรก คือ นโปเลียน เขาเขียนไว้ในบทโคลงที่ 60 เซนจูรี่ที่ 1 ดังนี้
Un Empereur naistra pres d'ltalie
Qui a' l'Empire sera vendu bien cher,
Diront avec quels gens il se ralie,
Quon trouvera moins prince que boucher
จักรพรรดิองค์หนึ่งประสูติใกล้อิตาลี
พระองค์จะถูกขายให้จักรภพด้วยราคาแพง
ผู้รอบข้างจะกล่าวแก่คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ร่วมเป็นพันธมิตรด้วย
ว่าพระองค์ทรงเป็นคนฆ่าสัตว์มากกว่าจะเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
          นโปเลียน โบนาปาร์ต เกิดที่เกาะคอร์ซิกา ใกล้ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1769 เป็น
นักเรียนนายร้อยทหาร เมื่อเรียนชั้นมัธยมสอบได้อันดับที่ 412 ในจำนวนนักเรียน 518 คน แต่เขามี
ความทะเยอทะยานสูง มานะ และ อดทน
          ในปี 1789 เกิดปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส นโปเลียน เข้าเป็นสมัครพรรคพวกของคณะปฏิวัติ
ปี 1795 เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปี 1797 เขาได้ปราบกำลังทหารออสเตรีย
ในอิตาลี ปีต่อไปเขานำกองทัพฝรั่งเศสบุกซีเรีย และอียิปต์ เขารบชนะกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่
อังกฤษ รัสเซีย ออสเตรีย และ ปรัสเซีย เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ติดต่อกัน ทำให้เขาก้าวไปสู่บุรุษผู้ทรงอำนาจ
สูงสุดในยุโรป
          กลอนบทที่ 57 เซนจูรี่ที่ 8 กล่าวถึงการเข้าสู่อำนาจของนโปเลียน
De soldat simple parviendra en empire,
De robe courte parviendra a'la longue
Vaillant aux armes en eglise ou plus pyre
Vexer les prestres comme l'eau fait l'esponge
จากทหารธรรมดาสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ
จากเสื้อคลุมสั้นสู่เสื้อคลุมยาว
กล้าหาญในสงคราม บ้าบิ่นกับศาสนจักร
เขาจะบีบพระสงฆ์เหมือนคั้นน้ำจากฟองน้ำ
          นโปเลียน ยาตราทัพเข้ายึดกรุงโรม จับพระสันตะปาปาปีโอที่ 6 ในปี 1779 นำไปขังไว้ที่เ
มืองวาลองซ์พร้อมกับพระสงฆ์อีก 32 รูป ทำให้พระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์วันที่ 29 สิงหาคม 1779
          พระสันตะปาปาองค์ต่อมา ปีโอที่ 7 เสด็จเป็นแขกรับเชิญในพระราชพิธีสวมมงกุฎให้กับตนเอง
ของ นโปเลียน ในปี 1804 พอปี 1808 นโปเลียนก็จับพระสันตะปาปาขังคุกอีก
          ดังคำกลอนในบทที่ 1/8
Pau, Nay Loron plus feu qu'a sang sera.
Laude nager, fuir grand au surrez.
Les agassas entree refusera.
Pampon, Durance les tiendra enferrez,
          Pau, Nay Loron จะมีชื่อเสียงขึ้นมา มิใช่ทางสายเลือด แต่ในทางอาวุธยุทธภัณฑ์ได้รับการยกย่อง
ในการว่ายน้ำ ผู้ยิ่งใหญ่ จะหนีไปยังบริเวณที่แม่น้ำมาบรรจบกัน พระองค์มิยอมให้ ไพอัส เข้าไป ณ ที่นั้น
และจะกักขัง พระองค์ทั้งสองไว้ที่ Durance,
          วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 Pau, Nay Loron เป็นชื่อเมืองต่างๆ ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส เมือง Pau ผม
ต้องผ่านเป็นประจำ เพื่อจะเข้า Lourdes เมืองสำคัญของชาวคาทอลิก หากเอาชื่อเมืองเหล่านี้มาเขียนสลับ
กันจะได้ NAPAULON ROY คือ นโปเลียน กษัตริย์ NAPAULON เป็นการเขียนแบบภาษาท้องถิ่นของ
ชาวเกาะ คอร์ซิกา นโปเลียน เกิดวันที่ 15 สิงหาคม 1769 เกิดในราศีสิงห์ มีธาตุไฟ กล้าหาญ ในการ
รณรงค์สงคราม แต่ไม่มีเลือดกษัตริย์ Roy = กษัตริย์ เขียนแบบโบราณ
          บรรทัดที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ หมายถึง โป๊ป Pius ที่ 6 บริเวณที่ แม่น้ำ Rhon และ แม่น้ำ Isere ไหลมา
บรรจบกันที่เมือง Valence, โป๊ป ไพอัส (หรือ ปีโอ) ที่ 6 ถูกนโปเลียนจับมาขังคุก และ สิ้นพระชนม์ที่เมืองนี้
          บรรทัดที่ 3 นโปเลียนปฏิเสธ agassa หมายถึง นกชนิดหนึ่ง ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำ magpies
คนฝรั่งเศสเรียกสั้นๆ ว่า pies ซึ่งเป็นชื่อของโป๊ป Pius ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง สรุป นโปเลียน ไม่ยอม
ให้โป๊ปไพอัสเข้าเมือง Valence ซึ่งมีแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน
          บรรทัดที่ 4 สมุนของนโปเลียนได้กักขังโป๊ปทั้งสอง (คือ ไพอัสที่ 6 และ ไพอัสที่ 7)
ไว้ที่เมือง Durance ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเมือง Avignon.
          นโปเลียน เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นทหารชั้นผู้น้อย ขณะที่เขาเป็นนักเรียนนายร้อยที่ปารีส เขาคลั่งไคล้
ลัทธิฟรีเมซอนมาก ลัทธินี้ต่อต้านศาสนา และ พระเป็นเจ้า บูชาซาตาน และความชั่วร้าย หนังสือบางเล่มยัง
บอกว่า นโปเลียนขายวิญญาณของตัวเองให้กับซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจและความยิ่งใหญ่ และ ก็เป็น
เช่นนั้นจริงๆ เขาได้เลื่อนเป็นนายทหารปืนใหญ่ ในกองทัพปฏิวัติ ได้เลื่อนเป็นนายพล เขารบอย่างบ้าบิ่น
เป็นที่เลื่องลือ ราวกับซาตานอยู่ข้างหลังเขา เขารบที่ไหนก็ชนะที่นั่น จนเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ชาวฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นกำลังเหนื่อยหน่ายต่อการสู้รบภายใน หลังการปฏิวัติใหญ่ หลังจากที่รอบสเปียร์
ถูกตัดคอด้วยกิโยตินไปได้ 5 ปี นโปเลียนก็สถาปนาตัวเองเป็นกงสุลของฝรั่งเศสในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1799
และได้สวมมงกุฎให้ตนเองในปี 1804
          นโปเลียนเป็นสาวกที่ดีของลัทธิฟรีเมซอน เมื่อก้าวสู่อำนาจเขาก็ย่ำยีพระศาสนา ทำลายวัดวาอาราม
ปล้นทรัพย์สินมีค่าของวัด ที่มีผู้มีจิตศรัทธาถวาย นำกลับฝรั่งเศส พระสันตะปาปาถูกดูหมิ่นเหยียบย่ำ ถูกจับ
ขังราวกับนักโทษอุกฉกรรจ์ พระสงฆ์ นักบวช ถูกฆ่าตาย กองทัพนโปเลียนไปถึงที่ไหน ประชาชนถูกฆ่าตาย
ราวกับผักปลาจำนวนถึง 2 ล้านคน ทำลายบ้านเมืองย่อยยับ ทรัพย์สินถูกปล้น พระองค์จึงถูกประณามจาก
นอสตราดามุสว่า เป็นคนฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ พระเจ้าแผ่นดิน
ในการรบครั้งแรกๆ นโปเลียนประสบชัยชนะโดยตลอด ทรงฮึกเหิม เพราะมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของ
ซาตานที่ผลักดันนายทหารจนๆ ก้าวไปสู่ตำแหน่งจักรพรรดิ มีอำนาจครั่นคร้ามสะเทือนยุโรป แต่ในที่สุด
ธรรมะก็ชนะอธรรม นโปเลียนประสบชัยชนะกับมนุษย์ แต่ต้องมาพ่ายแพ้แก่ธรรมชาติ อากาศหนาวเหน็บ
ของรัสเซียในปี 1812
ชาวเมืองมอสโก ถอยหนีไปจากมอสโก พร้อมด้วยเสบียง กองทัพเกรียงไกรของนโปเลียนจำต้อง
ถอยทัพกลับ กองทัพใหญ่พลรบถึง 60,000 คน กลับถึงปารีสไม่ถึง 20,000 คน ลางแพ้ของนโปเลียนครั้งแรก
และ ตามด้วยการแพ้ครั้งต่อๆ มา ในที่สุด จักรพรรดิผู้เกริกเกียรติ ก็พ่ายแพ้แก่กองทัพอังกฤษ นำโดยดยุค
แห่งเวลลิงตัน ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเซนต์เฮเลนา หมดสิ้นซึ่งราชอำนาจ ข้าราชบริพาร มีเพียงพระสงฆ์รูป
หนึ่งอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ ในวาระสุดท้าย พระองค์สำนึกบาป ทรงตระหนักว่า ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่
เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าเลย

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 4:21 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (63)👈
🌼--- ฮิตเลอร์ ปรปักษ์พระคริสต์คนที่ 2 [A] ---🌼
         
นอสตราดามุส ผู้มีพรสวรรค์ หรือ ญาณพิเศษที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต เขามองเห็น
ผู้นำชั่วร้าย โหดเหี้ยม ไม่มีมโนธรรม ซึ่งเขาเรียกตามสำนวนพระคัมภีร์ว่าแอนตี้ไคร้สต์ (Antichrist)
แอนตี้ไคร้สต์คนแรกคือ นโปเลียน ซึ่งผมได้หยิบยกมาพูดแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ แอนตี้ไคร้สต์คนที่ 2 คือ
ฮิตเลอร์ และคนที่ 3 ก็คือแอนตี้ไคร้สต์ (ปรปักษ์พระคริสต์) ตัวจริงตามที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ลองมา
เปิดกลอนนอสตราดามุสในบทที่ 35/3
Du plus profond de L'occident d'Europe,
De pauvres gens un jeune enfant naistra,
Oui par sa langue seduira grande troupe,
Son bruit au regne d'Orient plus croistra.
จากประเทศตะวันตกที่อยู่ลึกที่สุดแห่งยุโรป
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะเกิดมาจากคนยากจน
โดยอาศัยโวหารของเขาจะสามารถดึงดูดผู้ติดตามจำนวนมาก
กิตติศัพท์ของเขาจะระบือไปกระทั่งอาณาจักรแห่งอาทิตย์อุทัย
วิจารณ์ ฮิตเลอร์เกิดเมื่อปี 1889 ในประเทศออสเตรีย บิดาชื่อ Hitler เป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร เขาอยาก
จะเรียนทางศิลปะ แต่ต้องไปทำงานเป็นกรรมกร ในปี 1913 ได้เดินทางไปอยู่ในเยอรมัน เป็นทหารยศนายสิบ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วเข้าในวงการการเมืองในปี 1919 เป็นต้นมา เขาเป็นคนมีเสน่ห์ในการพูด
ดึงดูดใจคนจนถึงคลั่งไคล้ในตัวเขา กลายมาเป็นผู้นำระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิตาลีและญี่ปุ่นเป็น
พันธมิตรตรงตามที่ นอสตราดามุส ทำนายในบรรทัดที่ 4
มาดูบทที่ 24/2
Bestes farouches de faim fleuves tranner,
Plus part du champ encontre Hister sera.
En caige de fer le grand fera treisner.
Quand rien enfant de germain obsevera.
สัตว์ป่าที่หิวโหยจะข้ามแม่น้ำ
ทว่าส่วนใหญ่ในสนามรบจะคัดค้านฮิตเลอร์
ผู้นำจะลากรถถังหุ้มเกราะออกมา
ไม่มีเด็กเยอรมันคนใดสนใจใยดี
วิจารณ์ นอสตราดามุส รู้สึกสลดใจ ที่เห็นการฆ่าฟันอย่างไร้มนุษยธรรมของพวกนาซี เปรียบเทียบ
เสมือนสัตว์ป่า เขามองเห็นกองทัพขบวนยาวกำลังข้ามแม่น้ำเชี่ยวกราก กำลังพลมากมายจากไปอย่าง
ไม่มีวันกลับ นอสตราดามุส จงใจเขียนชื่อจอมเผด็จการฮิตเลอร์ว่า Hister ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้ำดานู้บ
ที่เขียนเป็นภาษาลาติน
ในกลอนบทที่ 11/5 นอสตราดามุส กล่าวถึงพันธมิตรของพวกอักษะ ซึ่งมีญี่ปุ่นและอิตาลีดังนี้
Mer par solaires seure ne passera.
Ceux de Venus tiendront tout I'Affrigue.
Leur regne plus saturne n'occupera.
Et changera la part Asiatique.
ชาวอาทิตย์อุทัยจะไม่สามารถข้ามทะเลได้อย่างปลอดภัย
ชาวแคว้น เวเนโต (อันมีเวนิสเป็นเมืองหลวง) จะยึดแอฟริกาได้ทั้งหมด
ดาวเสาร์ไม่สามารถยึดครองอาณาจักรของเขาได้อีกต่อไป
ส่วนหนึ่งของเอเชียก็จะเปลี่ยนไป
วิจารณ์ บรรทัดที่ 1 เส้นทางลำเลียงทางทะเลของญี่ปุ่นถูกตัดขาด เพราะถูกกองเรือพิฆาตเรือดำน้ำ
และกำลังทางอากาศของสหรัฐในย่านแปซิฟิกถล่มทลายเสียหายย่อยยับ บรรทัดที่ 2 ที่ว่า ชาวแคว้นเวเนโต
ก็หมายถึงมุสโสลินี เพราะเขาเกิดที่ตำบล เปรดาปีโอ (Predapio) ซึ่งอยู่ในแคว้นเวเนโต นอสตราดามุส
ชอบแผลงคำ VENUS เป็น Venice ถึงแม้เขาสามารถร่วมยึดแอฟริกาเหนือกับรอมเมล (Rommel) มาได้
แต่เขาก็แปรพักตร์ไปในที่สุดในปี 1944 บรรทัดที่ 3 ดาวเสาร์หมายถึง ฮิตเลอร์ ก็ไม่สามารถครองอาณา
จักรต่างๆ ที่ยึดมาได้ บรรทัดที่ 4 คำ Asiatique นี้ต้องหมายถึง จีนอย่างแน่นอน สำหรับจีนนี้ หลังจาก
สงครามฝิ่น บ้านเมืองก็ระส่ำระสายแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า พวกฝรั่งนักล่าอาณานิคมต่างก็ฉกฉวย หรือรีด
นาทาเร้นจีนอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น พวกอังกฤษก็ครองเมืองนั้น พวกฝรั่งเศสก็ครองเมืองนี้ ทั้งนี้ยังรวม
ถึงพวกดัทซ์และพวกโปรตุเกสด้วย มีวลีหนึ่งที่ยังฝังใจชาวจีนเลือดรักชาติอย่างไม่รู้เลือน ก็คือ ในบริเวณ
ยึดครองของฝรั่งชาติหนึ่งจะมีป้ายปักไว้ว่า "ห้ามคนจีนและสุนัขเข้าในบริเวณนี้" เมื่อจีนขาดเอกภาพจึง
เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นฉวยโอกาสเข้ามาพันตูอยู่ราว 8 ปี  จีนจึงประกาศเข้าร่วมกับพันธมิตร ในปี 1941 ตามคำ
ทำนายของ นอสตราดามุส ทุกประการ
บทที่ 16/5
A son hault pris plus la lerme sabee.
D'humaine chair par mort en cendres meltre.
A I'isle Pharos par croisars pertubee.
Alors qu'a Rodes paroistra du espectre.
"น้ำตาซาบีนา" อันสูงค่า
เนื้อมนุษย์ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ณ เกาะฟาโรสถูกก่อกรรมทำเข็ญจากพวกมีเครื่องหมายกางเขน
ที่เกาะโรดส์ ก็ปรากฏเหตุการณ์หนักนักหนา
วิจารณ์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ผู้มีอคติต่อชาวยิวอย่างผิดมนุษย์ ได้สั่งกำจัดชาวยิวให้
สิ้นซากโดยการเผา "น้ำตาซาบีนา" คงเป็นเตาเผา ซึ่งอาจเป็นหินแกะสลักโบราณแบบกรีกโรมัน คำ
ซาบีนา เป็นชื่อพระมเหสีของจักรพรรดิฮาเดรียน (Hadrian) เกาะฟาโรสสมัย นอสตราดามุส ก็คือโทบรุค
(Tobruch) ในแอฟริกาเหนือ ซึ่งถูกก่อกวนหลายครั้งหลายหนจากพวกนาซี ก็คือพวกที่มีเครื่องหมาย
กางเขนคดงอ (สวัสดิกะนั่นเอง) โดยการนำของรอมเมล และเหตุการณ์อันหนักหนาสาหัสที่เกาะโรดส์
ก็คือการบุกของอิตาลี โดยการนำของมุสโสลินีในปี 1940 แล้วตามกระหน่ำโดยเยอรมนีในปี 1941
ชาวกรีกเสียเลือดเนื้อราว 70,000 คน และถูกจับเป็นเชลยถึง 270,000 คน

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 4:27 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรร 👉 ตอนที่ (64)👈
🌼--- ฮิตเลอร์ ปรปักษ์พระคริสต์คนที่ 2 ---🌼
         
บทที่ 46/6
De la partie de Mammer grand Pontife,
Subjugera les confins du Danube:
Chasser les croix Par fer raffe ne ritfe,
Captits or, bagues plus de cent mille rubes
โป๊ปองค์สำคัญแห่งพันธมิตรแห่งสงคราม (อิตาลี)
จะให้ที่พึ่งแก่คนชายแดน (ชาวยิวเยอรมันที่ถูกกักบริเวณใน ghetto) แห่งลุ่มน้ำดานู้บ
(ชาวยิว) ที่ถูกขับไล่จากพวกกางเขนคดงอ (พวกนาซี)
เชลย ทอง แหวน และทับทิมเป็นแสนๆ เม็ด
วิเคราะห์ โป๊ปองค์สำคัญระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับพวกกางเขนคดงอ (พวกนาซี)
ของฮิตเลอร์ ก็คือโป๊ปปีโอที่ 12 ครองอาสน์ตั้งแต่ปี 1939 - 1958 ชื่อเดิมคือ Eugenio Pacelli พระองค์
ได้รับเลือกตั้งเป็นโป๊ป ในวันคล้ายประสูติของพระองค์ คือวันที่ 2 มีนาคม 1939 ใช้เวลาในการคัดเลือก
โดยคณะพระคาร์ดินัลเพียงไม่กี่นาที พระองค์ได้รับเลือกโดยเอกฉันท์ พระองค์ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
โดยแท้ พระองค์ทรงอุทิศชีวิตของพระองค์แก่ทุกๆ คน โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ทางการเมือง ว่าจะซ้าย
หรือขวา เช่นเคยให้ที่พักพิงแก่นักการเมืองคนสำคัญ Pietro Nenni (อดีตประธานาธิบดีอิตาลี) ซึ่งเป็น
หน่วยใต้ดินพรรคสังคมนิยม ซึ่งระยะนั้นอิตาลีอยู่ในยุคเผด็จการมุสโสลินี ท่าน Nenni ผู้นี้ ได้มาอาศัย
ในโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงโรม ปลอมเป็นบาทหลวงชื่อ Emiliani หรือครั้งหนึ่งพระองค์ทรงช่วยเป็นสื่อกลาง
ให้พวกนาซีโดยมี Kappler เป็นหัวโจกเรียกค่าไถ่จากชาวยิวที่ถูกจับเป็นเชลย หากนำทอง แหวน ของมีค่า
มาไถ่จะยอมปล่อยตัวไป แต่พอได้ของมีค่าจากพวกเชลยยิวแล้ว Kappler กลับ "เบี้ยว" ไม่ยอมปล่อยยิวตาม
สัญญา ในส่วนที่เป็นความดีของโป๊ปที่พยายามจะช่วยเหลือพวกยิวนี้ ชาวยิวต่างตื้นตันในความใจดีของ
พระองค์ ถึงแม้จะไม่สัมฤทธิ์ผลถูกนาซีเบี้ยวไปก็ตาม ขนาดพระรับไบผู้หนึ่งชื่อ Zollner ยอมเปลี่ยนศาสนา
มาเป็นคาทอลิก และในพิธีล้างบาปขอใช้ชื่อเดียวกับโป๊ปคือ Eugenio ส่วนนาซีจอมเบี้ยว Kappler ถูกทหาร
อิตาลีจับได้ในภายหลัง และถูกขังคุกอยู่ในอิตาลีจนถึงปัจจุบัน แต่ในราว 5 - 6 ปีมานี้ ภรรยาของ Kappler
ได้ "วิ่งเต้น" เพื่อขอรับตัวสามีซึ่งป่วยให้กลับไปรักษาตัวที่เยอรมนี ขณะที่ Kappler ป่วยที่โรงพยาบาลอยู่นั้น
ก็มีการล่องหนหายตัวไปอย่างลึกลับ ไปโผล่ที่เยอรมนีสบายเฉิบ หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวครึกโครมสมัยนั้นว่า
รัฐมนตรีที่อนุมัติให้ Kappler กลับไปรักษาตัวได้ คงได้ "ลายแทง" ขุมทรัพย์มหาศาลที่ไถมาจากพวกยิวอย่าง
มิต้องสงสัย!!
การที่โป๊ปปีโอที่ 12 แสดงความใจบุญสุนทานไม่เลือกหน้าเช่นนี้ ย่อมทำให้ไม่สบอารมณ์แก่ฮิตเลอร์
เป็นอย่างยิ่ง ฮิตเลอร์คงเห็นว่าโป๊ปเป็นชาวอิตาลี ก็น่าจะเป็นแนวร่วมกับมุสโสลินีพันธมิตรของตน แต่โป๊ป
กลับไปเป็นมิตรกับทุกชาติโดยเฉพาะอเมริกา และอังกฤษ ฮิตเลอร์จึงมีแผน "เก็บ" โป๊ปปีโอที่ 12 และสังหาร
นักบวชแห่งวาติกันให้สิ้นซาก นี่เป็นแผนอุบาทว์ที่ฮิตเลอร์วางแผนละเอียดยิบ ใกล้จะลงมือปฏิบัติการแล้ว
แต่ต้องถูกระงับไปกะทันหัน แผนลับนี้เพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อปี 1993 หลังจากถูกเก็บไว้เป็นความลับถึง 50 ปี
เรื่องมีอยู่ว่า เปาโล ปอร์ตา ผู้บังคับบัญชาแห่งกองพลน้อยดำที่ 9 แห่ง โคโม ซึ่งมีชื่อรหัสว่า "Rodini"
อดีตทนายความที่ไม่ค่อยได้รับผลสำเร็จนัก ได้กลายมาเป็น "ผู้รับใช้ใกล้ชิด" ของ มุสโสลินี และได้ถูก
สังหารพร้อมกับมุสโสลินีที่ดองโก ใกล้ทะเลสาบโคโม เมื่อวันที่ 27 เมษายน 1945 ได้มีจดหมาย "ลับมาก"
ลงวันที่ 26 กันยายน 1944 ไปยัง นายพันตรี วินเชนโซ คอสตา ผู้บัญชาการกองพลน้อยดำที่ 8 ชื่อรหัสว่า
" A. Resega" ในที่สุด "จดหมายลับสุดยอด" ตกมาถึงมือ จาชินโต ลัสซารีนี หน่วยกู้ชาติใต้ดิน อดีต
นายแพทย์ ผู้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างเป็นชีวิตจิตใจ จึงสมัครเข้าเป็นหน่วยใต้ดินรักชาติ ถูกส่ง
ไปแคนาดา ฝรั่งเศส แล้วถูกส่งมาปฏิบัติการที่เมืองวาเรเซ ที่สุดได้รับมอบ "จดหมายลับสุดยอด" จาก
รัฐบาลทหารแห่งพันธมิตร ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาอิตาเลียนและอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1945 ณ กอง
บัญชาการเมืองวาเรเซ จาก พันตรี C.A Warren หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ใจความย่อๆ ใน
จดหมายลับสุดยอดก็คือ แผนสังหารโป๊ปปีโอที่ 12 เพราะพระองค์ใช้วาติกันเป็นที่ "ลี้ภัย" แก่ศัตรูของ
ฮิตเลอร์ นอกจากนั้นยังต้องการ "ฆ่าหมู่" บรรดานักบวชคาทอลิก เพราะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อพวก
นาซีอย่างโจ่งแจ้ง จะปฏิบัติการโดยเหล่าทหารม้าหน่วยที่ 8 "Florian Geyer" แห่งหน่วย SS โดยจะสวม
ชุดทหารอิตาลีที่ยึดมาได้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน ทำทีเป็นหน่วยกู้ชาติใต้ดินออกปฏิบัติการเพื่อช่วยโป๊ป
หลังจากสังหารหมู่พวกนักบวชในวาติกันแล้ว หน่วยปฏิบัติการของนายพล Hermann Goering พร้อม
พลร่มก็จะจัดการ "เก็บ" หน่วย SS ของทหารอิตาลีที่พรางตัวเข้ามาช่วยตามแผน ทั้งนี้เพื่อทำลายหลักฐาน
แผนขั้นสุดท้าย หากโป๊ปเกิดรอดตายโดยปาฏิหาริย์ใดๆ ก็แล้วแต่ ให้จัดการ "ลักพาตัว" ไปเยอรมนี
หรือลิคเคนสไตน์ ใช้เป็นตัวประกันต่อไป ขอบคุณพระ ที่แผนนี้ถูกระงับเสียก่อน
นี่แหละครับ แอนตี้ไคร้สต์คนที่ 2 แล้ว แอนตี้ไคร้สต์ (คนที่ 3) ตัวจริงจะขนาดไหน?

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 4:30 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (65)👈
🌼--- ดวงดาวในมุมมองของนอสตราดามุส [A] ---🌼
         
นอนสตราดามุสได้พยากรณ์ไว้ บัดนี้เป็นอดีตของพวกเราไปแล้ว เหตุการณ์สำคัญของโลกก็คง
ไม่มีอะไร น่าเร้าใจ ตกใจ และเศร้าใจ เท่ากับสงครามโลก
สงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ. 1914 - 1918
ลองมาเปิดกลอนของนอสตราดามุส บทที่ 55/9
L'horrible guerre qu'en I'Occident s'appreste,
L'an ensuivant viendra la pestilence,
Si fort horribles que jeune, vieux, ne beste,
Sang, feu, Mercure, Mars, Jupiter en France.
สงครามอันน่ากลัวกำลังคืบคลานเข้ามายัง (โลก) ตะวันตก
ปีถัดมาโรคติดต่อจะระบาด มันช่างรุนแรง
และสยดสยองไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่แม้สัตว์ก็ไม่พ้น
เลือด ไฟ ดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ในฝรั่งเศส
วิเคราะห์ สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดระหว่างปี 1914 - 1918 พอปีถัดไป 1919 ก็เกิดโรคระบาด
ครั้งประวัติศาสตร์ มีชื่อเรียกกันว่า "ไข้หวัดใหญ่สเปน" ได้คร่าชีวิตชาวยุโรปถึง 15 ล้านคน นอสตราดามุส
ระบุการโคจรของดาวพุธ ดาวอังคาร และ ดาวพฤหัสมาเกาะกุมกัน เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 1915
ขณะนั้น ฝรั่งเศสอยู่ในช่วงสาธารณรัฐที่ 3 ดาว 3 ดวงมาประชิดกันอยู่ในราศีมีน มีดวงอาทิตย์โคจร
อยู่ในระยะ 9 องศา ในราศีกันย์ นับว่าอาทิตย์อยู่ตรงข้ามกับดาว 3 ดวงในราศีมีน ในระยะ 180 องศา
และอาทิตย์ในราศีกันย์หมายถึงฝรั่งเศสยุคสาธารณรัฐที่ 3 พอดี จึงเป็นเรื่องของคำพยากรณ์เกี่ยวกับ
สงครามจากศัตรูที่เปิดเผย ซ้ำเมื่อเกิดเดือนดับแรม 15 ค่ำในวันที่ 15 มีนาคมปีเดียวกันนั้น การปะทะ
ครั้งสำคัญๆ ก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ
สงครามโลกครั้งที่ 2
ให้เราเปิดกลอนของ นอสตราดามุส บทที่ 51 ในเซ็นจูรี่ที่ 5
La gent de Dace, d'Angleterre & Polonne
Et de Boesme, feront nouvelle ligue:
Pour passer outre ol'Hercules la colonne
Barcins, Tyrrens dresser curelle brique.
ประชาชนชาวบอลข่าน (Dacia) ชาวอังกฤษ ชาวโปแลนด์และชาวโบฮีเมีย (เชคโกลโลวาเกีย)
จะตั้งพันธมิตรใหม่ เพื่อที่จะข้ามช่องแคบยิบรอลต้า ของสเปน และชาวอิตาลีกำลังวางแผนร้าย
วิเคราะห์ ในเดือนมีนาคมปี 1939 อังกฤษได้ผูกมิตรกับประเทศในแหลมบอลข่าน รวมไปถึง
โปแลนด์ด้วย แล้วโปแลนด์ก็ถูกฮิตเลอร์บุกแบบสายฟ้าแลบในเดือนกันยายน 1939 เป็นการประเดิม
สงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีเมื่อเห็นแววว่าเยอรมนีจะชนะจึงได้ร่วมหัวจมท้ายด้วย
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1940 ส่วนสเปนเพิ่งบอบช้ำกับการทำสงครามกลางเมือง
ระหว่างปี 1936 - 1939 จึงขอวางตัวเป็นกลาง
บทที่ 39/2
Un an devant le confict Italique,
Germains, Gaulois, Hespagnols pour le fort:
Cherra L'escolle maison de republique
Ou,hors mis peu, seront suffoquez mors.
หนึ่งปีก่อนอิตาลีจะประกาศสงคราม
เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน จะผนึกกำลังดุจป้อมปราการ
โรงเรียนแห่งสาธารณรัฐจะล่มสลาย
ซึ่งส่วนใหญ่จะตายเพราะหายใจไม่ออก มีน้อยรัฐที่คงอยู่รอด
วิเคราะห์ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มเมื่อ วันที่ 1 กันยายน 1939 อิตาลี ประกาศสงครามเข้าร่วม
กับเยอรมันเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 1940 เยอรมนีกับรัฐบาลฝรั่งเศสแห่งระบบ Vichy และสเปนทีแรกดู
เหมือนจะร่วมหอลงโรงด้วย แต่จอมพลฟรังโกได้ขอปลีกตัว อ้างว่าเพิ่งเหนื่อยจากสงครามกลางเมือง
ระหว่าง 1936 - 1939 ประเทศในยุโรปกำลังเปลี่ยนแปลงจากระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ
บางรัฐก็ไปไม่รอด อย่างที่รู้ๆ กันอยู่
สงครามโลกครั้งที่ 2 ลงเอยอย่างไร พวกเราคงทราบดี แต่ที่นอสตราดามุสทำนายก่อนเกิด
เหตุการณ์ถึง 390 ปี ลองมาดูบทที่ 6/2
Aupres des portes & dedans deux citez
Seront deux fleaux & onques n'apperceu un tel:
Faim, deldans peste, de fer hors gens 'boutez
Crier secours au grand Dieu immortel
ใกล้ท่าเรือและสองเมือง
จะโดนกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ความอดอยาก ผู้คนจะถูกกระหน่ำด้วยโรคร้ายภายในตัว และ ภายนอกก็ถูกอัดด้วยท่อนเหล็ก
ต่างจะร้องหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และมิรู้ตาย

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 15, 2023 4:36 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 66 )👈
🌼--- ดวงดาวในมุมมองของนอสตราดามุส ---🌼
         
วิเคราะห์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมา
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 และลูกที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 พิษสงของระเบิด
ปรมาณูก็เป็นที่ทราบๆ กันว่าจะมีผลต่อร่างกายทั้งภายในและภายนอก
มนุษย์ทุกคนตอนจะตายถึงจะยอมเชื่อว่าพระเจ้านั้นไม่รู้ตาย
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร และฝ่ายอักษะ ฝ่ายอักษะก็มี
เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ลองมาดูกลอนของ นอสตราดามุส ว่าพูดอะไรเกี่ยวกับผู้นำของอิตาลีบ้าง

ในบทที่ 41/5
Nay sous les ombres & lournee nocturne,
Sera en regne & boute souverain:
Fera renalstre son sang de l'antique ume,
Renouveliant siecle d'or pour I'alrain.
เขาเกิดใต้ร่มเงาแห่งกลางวันที่มืดมิด
เขาจะปกครองด้วยคุณธรรมแห่งกษัตริย์
เขาจะปลุกใจเพื่อนร่วมชาติของเขาให้แข็งแกร่งเยี่ยงบรรพบุรุษ
เขาจะฟื้นฟูจากยุคทองแดงให้เป็นยุคทอง
และในบทที่ 33/8
Le grand naistrade Veronne & Vincence,
qui portera un surnom bien indigne:
Qui a Venise vouldra faire vengeance
Luy Mesme prins homme du guet & signe.
ผู้ยิ่งใหญ่จะเกิดระหว่างเมืองเวโรนาและวิเชนซา
ผู้ซึ่งจะมีนามสกุลค่อนข้างต่ำต้อย
ผู้ซึ่งประสงค์จะมีปฏิบัติการล้างแค้น
ผู้ซึ่งถูกคนรอบข้างทรยศ
จอมเผด็จการ เบนิโต มุสโสลินี เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1883 เวลา 14.00 น.
ณ ตำบลเปรดาปีโอ (Predapio) ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองใหญ่สองเมืองคือ เวโรนา (Verona)
และวิเชนซา (vicenza) และนามสกุลมุสโลลินี ก็แปลว่าผู้ทอผ้ามัสลิน ในสมัยนั้นถือว่าเป็นอาชีพ
ที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เวลาตกฟากของมุสโสลินีก็คือเวลา 14.00 น. ซึ่งถือเป็นเวลากลางคืน
สำหรับนักโหราศาสตร์ เวลากลางวันเขานับกันตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน ฉะนั้น นอสตราดามุส
จึงพรรณนาการตกฟากของเขาแปลก อาจทำให้พวกเราซึ่งไม่รู้วิชาโหราศาสตร์ว่าเขานับวันคืนกัน
อย่างไร คำพรรณนาของเขาดูเหมือนจะแย้งกันในตัว เช่นอย่างที่เขาว่า เกิดใต้ร่มเงาของกลางวันที่
มืดมิด iournee nocturne
มุสโสลินีถีบตัวขึ้นมาจากเป็นครูชั้นประถมศึกษา จนได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี มีอิทธิพลเหนือ
กษัตริย์วิตตอริโอ เอมมานูเอเล ที่ 3 นอสตราดามุสจึงพรรณนาในคำกลอนว่า เขาจะเถลิงอำนาจด้วย
คุณธรรมเยี่ยงกษัตริย์ อาศัยที่เคยเป็นครูมาก่อน เขาย่อมมีพรสวรรค์ในการพูด เช่นเดียวกับจอมเผด็จ
การ เยอรมัน "ฮิตเลอร์" คำพูดปลุกใจประโยคหนึ่งของเขาก้องในหูของชาวอิตาเลียนอยู่เสมอก็คือ
"Vinceremo!" "เราจะชนะแน่ๆ" ทำให้ชาวอิตาเลียนตอนนั้นเคลิบเคลิ้มไป เขามีความปรารถนาอัน
แรงกล้าที่จะพัฒนาชาติให้รุ่งเรือง เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนชาวยุโรปทั่วไปให้ได้ เขาจึงมักพูดปลุกใจ
ให้เยาวชน ได้มีความขยันขันแข็งเช่นเดียวกับบรรพบุรุษที่ทรหดอดทนมาตลอด เขามีความปรารถนา
อันแรงกล้าที่จะฟื้นฟูอิตาลี ให้กลับมาเป็นยุคทองอีกให้ได้ เพราะเขาถือว่ายุคของเขาตกต่ำลงมาเป็น
แค่ยุคทองแดงเท่านั้น ตามความเชื่อในสมัยกลาง แบ่งยุคต่างๆ เป็น 4 ยุค คือ
1. ยุคทอง คือ ยุคที่แผ่นดินมีผลิตผลที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
2. ยุคเงิน คือ ยุคที่มนุษย์เริ่มทำงานบนแผ่นดิน หรือยุคเกษตรกรรม
3. ยุคทองแดง คือ ยุคต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่โลกยังมีความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และผู้คนมี
ความเชื่อมั่นในศาสนา
4. ยุคเหล็ก คือ ยุคแห่งความชั่วร้าย ซึ่งแผ่นดินจะไม่ให้ผลผลิต ความชั่วช้า ความอยุติธรรม
และอาชญากรรมจะครอง
มุสโสลินีได้มาถึงจุดจบพร้อมกับชู้รักชื่อ คลาเรตตา เปตัชชี (Claretta Petacci) ที่ตำบลดองโก
(Dongo) ใกลัทะเลสาบ โคโม เขาถูกจู่โจมจากหัวหน้าขบวนการสังคมนิยมอิตาลีใช้ชื่อรหัสว่า วาเลรีโอ
(Valerio) ขณะที่นายวาเลริโอจ้องจะยิงนางเปตัชชีอยู่ ก็มีกระสุนผ่านหลังเขาไปโดนนางเปตัชชีเสียชีวิต
ในทันที โดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร
มุสโสลินีรู้ว่าจุดจบของตนมาถึงแล้ว จึงแหกอกเสื้อท้าให้นายวาเลริโอยิงอย่างไม่สะทกสะท้าน
แล้วศพของเขาทั้งสองก็ถูกนำไปประจานที่กลางเมืองมิลาน
50 ปีผ่านไป รัฐบาลใหม่ของอิตาลีเป็นรัฐบาลผสมขวาจัด รวมทั้งพรรคนิวฟาสซิสต์ ซึ่ง ส.ส. ผู้หนึ่งก็
คือ หลานปู่ของมุสโสลินี ชื่ออาเล็กซานดรา มุสโสลินี

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:02 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (67)👈
🌼--- โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 บุรุษแห่งปี 1994 [A] ---🌼
         
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ได้รับการยกย่องจากวารสาร TIME ให้เป็น "บุคคลแห่งปี 1994"
สืบเนื่องจากพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ ที่ทรงมุ่งมั่นเผยแผ่ หลักความเชื่อของพระองค์อย่าง
เสมอต้นเสมอปลาย โดยมิย่นระย่อต่ออุปสรรคทั้งปวง ท่ามกลางความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม
ที่แพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วในยุคโลกโลกาภิวัตน์ บทบาทอันโดดเด่นของโป๊ปจอห์น พอลที่ 2
เมื่อเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านไปนี้ ในการประชุมครั้งสำคัญที่ไคโร ด้วยเรื่องปัญหาประชากรโลก
แห่งสหประชาชาติจาก 185 ประเทศ โดยเฉพาะในข้อ 8.25 ที่รัฐบาลของคลินตันมีมติออกมาว่า
"สหรัฐยอมรับว่าการทำแท้งที่ปลอดภัย ที่ถูกกฎหมายและด้วยใจสมัคร ย่อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ของสตรีทุกคน" ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยถึง 90% แต่ได้รับการตอบโต้จากโป๊ปอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยการ
หาแนวร่วมจากประเทศลาตินอเมริกา และจากประเทศอิสลาม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงประสบชัยชนะ
การประชุมที่ไคไรต้องออกแถลงการณ์ว่า "จะไม่มีการส่งเสริมการวางแผนครอบครัวด้วยการทำแท้งเด็ดขาด"
TIME นิตยสาร อันทรงอิทธิพลของสหรัฐ ได้กล่าวยกย่องพระองค์ตอนหนึ่งว่า "มีอดีตพระสันตะปาปา
เพียงไม่กี่พระองค์ ในรอบ 2000 ปีที่ผ่านมา ที่มุ่งมั่นเผยแผ่หลักธรรม และคำสอนอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
เช่นพระองค์ นิตยสาร TIME ได้ยกตัวอย่างถึงโป๊ปจอห์นที่ 23 ที่เคยได้รับเลือกให้เป็นบุรุษแห่งปี 1962
TIME ให้สมญาว่า "โป๊ปในครัว" และให้สมญาจอห์น พอล ที่ 2 ว่า "โป๊ปนักรบ"
นิตยสาร TIME ได้เริ่มเลือกสรรบุคคลแห่งปีตั้งแต่ ปี 1927 คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ คือ ชาร์ลส์ เอ.ลินเบิร์ก
เมื่อปีที่แล้ว มีบุคคล 4 คน คือประธานธิบดี เดอ เคลิร์ก, เนลสัน มานเดลา, ยัสเซอร์อาราฟัต และ ยิตชัค ราบิน
โป๊ปทรงถามคณะผู้ทำข่าวของนิตยสาร TIME ทั้ง 5 คนว่า
"อาตมภาพเห็นว่า ในอดีตพวกคุณได้ให้เกียรตินี้แก่ เล็ก วาเวนซา และ โป๊ปจอห์น ที่ 23 แต่ก็ให้กับ สตาลิน
และ ฮิตเลอร์ ด้วย" นาย Sancton อธิบายว่า "พระคุณเจ้าต้องเข้าใจว่าเรามีรายชื่อของคนดี และรายชื่อ
ของคนเลว พระคุณเจ้าอยู่ในรายชื่อของคนดี ครับผม" โป๊ปทรงดำรัสตอบด้วยความโสมนัสและทรงหยอกว่า
"อาตมภาพหวังว่าอาตมภาพจะคงอยู่ในรายชื่อของพวกคนดีเสมอไปนะ"
เกล็ดชีวิตของโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2
ในปี 1938 หนุ่ม Karol Wojtyla ยังอยู่ในวัยทีนเอจ เรียนในโรงเรียนมัธยม และเป็นนักแสดงละครที่มี
ทีท่าว่าจะ ดัง ครั้งหนึ่งมีบุคคลสำคัญคนหนึ่งมาเยี่ยมโรงเรียน เป็นคนมีเชื้อสายผู้ดีเก่า ชื่อ Adam Sopieha
และยิ่งกว่านั้นท่านยังเป็นถึง พระอัครสังฆราช ใกล้เมือง คราโคฟ หนุ่ม Karol Wojtyla ในฐานะที่เป็นนักพูด
ที่เคยได้รับรางวัลมาแล้ว ได้รับมอบหมายให้เป็นคนกล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรตินี้ ท่านอัคร
สังฆราช Sapieha รู้สึกประทับใจในตัวเด็กหนุ่ม Karol นี้มาก และได้ถามว่า เขาจะเอาดีทางไหนในอนาคต
เด็กหนุ่ม Karol ตอบว่า "เป็นนักแสดงครับผม" น่าเสียดาย" พระอัครสังฆราชอุทาน แต่ท่านได้จับตามมอง
เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้ด้วยความสนใจ หวังจะให้เขาทำประโยชน์ให้พระศาสนจักรให้มากที่สุด
แต่ครั้นเขาเกิดมีกระแสเรียกจากพระผู้เป็นเจ้าให้เข้าเป็นนักบวช ก็ไม่ตรงเป้าอย่างที่พระอัครสังฆราช
หมายตาเอาไว้ เขาอยากจะเป็นนักบวชแบบฤๅษีที่ถือกฎเคร่งครัด ใช้ชีวิตอยู่แต่ในอาศรม บำเพ็ญภาวนา
และเพ่งฌานเพื่อจะได้บรรลุถึงญาณขั้นสูง นั่นคือการสัมผัสพระเจ้า แต่พระอัครสังฆราช Sapieha ปรารถนา
ให้เขาเรียนเป็นพระสงฆ์ เป็นบาทหลวง ที่ใช้ชีวิตอยู่กับสัตบุรุษ อยู่กับสังคม หลังจากที่หนุ่ม Karol ถูกปฏิเสธ
ในการเข้าเป็นฤๅษี (Contemplative Friar) ถึง 3 ครั้ง จากพระอัครสังฆราช Sapieha หนุ่ม Karol ก็ได้หันเห
มาทางที่จะเป็นพระสงฆ์ธรรมดา ๆ ที่จะต้องใช้ชีวิตในสังคม (Diocesan priest) และแล้วหนุ่ม Karol ก็ได้รับ
ศีลบรรพชาเป็นพระสงฆ์ จากพระอัครสังฆราช Sapieha ในปี 1946
และบัดนี้หนุ่ม Karol Wojtyla ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นนักแสดง ได้มาเป็นพระสงฆ์ พระสังฆราช พระคาร์ดินัล
และพระสันตะปาปามาได้ 16 ปีแล้ว ถือได้ว่าพระองค์เป็นผู้นำประชากรคาทอลิกเกือบหนึ่งพันล้านคน
ส่วนในประเทศโปแลนด์บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ โป๊ปจอห์น พอล ก็ยังได้รับเกียรติ ประหนึ่งกษัตริย์
ที่ไม่ได้รับมงกุฎเป็นทางการ และที่บ้านเกิดของพระองค์ Wadowice ขณะนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปเสียแล้ว
มีนักท่องเที่ยวเข้าชมประมาณปีละ 180,000 คน และที่ขาดเสียมิได้ก็คือ มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้วย ซึ่งจะต้อง
มีหนังสือที่พระองค์ประพันธ์ไว้ล่าสุด คือ Crossing the threshold of Hope ข้ามธรณีประตูแห่งความหวัง
ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่ขณะนี้
ด้วยวัย 74 พรรษา สังขารก็ย่อมร่วงโรยไปเป็นธรรมดา พระองค์มักจะหาวิธีเพิ่มความมีชีวิตชีวาจากเพื่อนๆ
ในวัยหนุ่ม ในปีหนึ่งๆ พระองค์จะทรงหาโอกาสเสวยพระกระยาหารค่ำกับ Jerzy Kinger ชาวยิวซึ่งเป็นเพื่อน
นักเรียนชั้นเดียวกันตั้งแต่ตำบลบ้านเกิด Wadowice ขณะนี้ทำธุรกิจอยู่ในกรุงโรม ต่างก็เอาเรื่องเก่าๆ มา
สนทนากันทำให้ระลึกถึงวันเก่าๆ Kinger ทรงเรียกโป๊ปด้วยชื่อเล่นสมัยเด็กๆ ว่า Lolek พระองค์ทรงชอบพักผ่อน
ด้วยการเดินทางไกล หรือขึ้นเขากับเพื่อนสนิท สมัยเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน และขณะนี้ก็เป็นตัวจักรสำคัญ
ในการออกพระสมณสาสน์ คือ ท่านบาทหลวง Thadeus Styczen อายุ 62 พรรษา ท่านเป็นนักปรัชญาศาสตร์
แห่งมหาวิทยาลัย Lublin ท่านกล่าวว่า โป๊ปมักมีอะไรที่ทำให้ท่านทึ่ง ในความลึกลับของพระองค์อยู่บ่อยๆ เช่น
พอพระองค์เริ่มอธิษฐานไปได้ 5 นาที แล้วพระองค์จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้าน ท่านกล่าวว่าท่านรู้สึกสงสาร
พระองค์มาก พระองค์ต้องแบกภาระหนักเหลือเกิน ท่านกล่าวว่า "ตอนที่พระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นโป๊ปใหม่ๆ
มีเพื่อนคนหนึ่งโทรมาและบอกว่า "Wojtyla เป็นโป๊ปองค์ใหม่นะ" "อาตมารู้สึกช็อกและไม่ได้ตอบอะไรไป
" เพื่อนของอาตมาก็วางหู แล้วอาตมาก็ได้แต่ร้องโฮออกมา เพราะอาตมาจำพระพักตร์อมทุกข์ของ
โป๊ป พอล ที่ 6 ได้อย่างมิรู้ลืม"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:08 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (68)👈
🌼--- โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 บุรุษแห่งปี 1994 ---🌼
         
โป๊ป จอห์น พอล ยังมีเพื่อนในวัยรุ่นอีกคนหนึ่งชื่อ Danuta Michalowska เธอเป็นนักแสดงหญิง
เคยแสดงละครกับหนุ่ม Wojtyla ในคณะละครใต้ดิน ระหว่างถูกพวกนาซียึดครอง หลังจากที่พระองค์
ได้รับเลือกเป็นโป๊ป เธอได้เขียนจดหมายไปแสดงความยินดี โดยรำพันไปด้วยว่า เขาทั้งสองคงไม่มี
โอกาสพบกันแน่ เนื่องเพราะตำแหน่งใหม่อันสูงส่งของพระองค์ แล้วเธอก็ได้รับโน้ตเป็นลายพระหัตถ์
ของโป๊ปจอห์น พอล โดยทรงตำหนิเธออย่างสุภาพว่า พระองค์จะไม่ทำหูทวนลมอย่างที่เธอคิดแน่นอน
ฉะนั้นหลังจากนั้นเธอได้เขียนไปอีกสิบๆ ฉบับและทุกฉบับจะได้การตอบรับ "มันน่ากลัวจริงๆ" Michalouska
กล่าว ปัจจุบันเธอยังคงเป็นนักแสดงอยู่ กล่าวว่า "คุณคงจะไม่เขียนเรื่องไร้สาระกับองค์พระสันตะปาปา
เมื่อคุณรู้จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ว่า พระองค์จะทรงเสียเวลามาตอบคุณ จดหมายตอบของพระองค์จะไม่สู้
ยาวนัก แต่ทุกครั้งพระองค์ทรงอักษรตอบด้วยลายพระหัตถ์หวัดๆ ที่ขอบบทสุนทรพจน์ หรือเอกสารบางชิ้น"
โป๊ปจอห์น พอล ทรงรู้สึกปวดร้าวพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นการฆ่าฟันกันในรวันดาและในบอสเนีย
แต่ความผิดหวังอันยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกินไปกว่า การต้องยกเลิกการไปเยือน ซาราเยโว ในเดือน
กันยายนที่แล้ว พระองค์ทรงหวังจะพบกับผู้นำฝ่ายศาสนา ของชาวบอสเนียที่นับถืออิสลาม ชาวเซิร์ฟที่นับถือ
คริสต์ออร์ธอด๊อกซ์ และชาวโครเอเชียที่นับถือคริสต์คาทอลิก เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในที่สุด
ความผิดหวังที่มาจากส่วนลึกที่สุดของโป๊ป ได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดคราวที่พระองค์เสด็จไปเยือนโครเอเชีย
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พระองค์ไม่สามารถดำเนินอย่างปกติ และทรงมีพระอาการหอบ ซึ่งนำไปสู่การเล่าลือกัน
ต่างๆ นานาว่า วาระสุดท้ายของพระองค์ใกล้มาถึงแล้ว แต่สิ่งที่นำความกังวลใจอย่างยิ่งมิใช่ด้วยเรื่องสังขาร
แต่ด้วยเรื่องภารกิจแห่งสงฆ์และประกาศก จะจบก่อนจะถึงเวลาของมัน 5 วันหลังจากนั้น โป๊ป จอห์น พอลได้
ทรงเรียกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่แห่งวาติกันเข้าพบ ณ วังพักร้อน Castel Gandolfo เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งกล่าวว่า
"พระองค์ทรงเหนื่อยและทรงปวดที่ตะโพก และแล้วโป๊ปก็ทรงทำเซอร์ไพรส์ ให้ผู้ใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง"
"อาตมภาพต้องไป ซาราเยโว เราจะต้องพบวิธีที่จะทำให้คนเหล่านี้หยุดฆ่ากันเสียที มีงานมากเหลือหลาย
แต่มีเวลาเพียงน้อยนิด"
ใครจะเป็นโป๊ปองค์ต่อไป?
วันหนึ่ง ขณะโป๊ปจอห์น พอล กำลังเสวยพระกระยาหารกลางวันกับพระสังฆราชองค์หนึ่งจาก เชเนกัล
ซึ่งได้กล่าวกับพระองค์ว่า "ในอาฟริกา ผู้คนกำลังพูดกันอย่างกว้างขวางถึงผู้ที่จะสืบตำแหน่งจากพระองค์
พวกเขากล่าวกันว่า หลังจากพระองค์จะมีโป๊ปผิวดำ" โป๊ปจอห์น พอล ตรัสตอบว่า "ดูเหมือนท่านจะได้ข้อมูล
มาดีนะ" แล้วพระสังฆราชก็กล่าวตอบว่า "ขอรับ กระผม กระผมอ่านพบใน นอสตราดามุส ขอรับกระผม
" แล้วโป๊ปก็ทรงพระสรวล ขณะที่ โป๊ปจอห์น พอล ทรงเข้าใกล้ยามสนธยาแห่งพระสมณสมัยของพระองค์
ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า "ใครจะเป็นโป๊ปองค์ต่อไป?" เพราะเหตุว่าก่อนที่โป๊ป Wojtya มารับตำแหน่งก็มี
สันตะปาปาที่เป็นชาวอิตาเลียนติดต่อกันมาถึง 450 ปี เมื่อโป๊ปชาวโปแลนด์สิ้นสุดวาระ ก็คงจะได้โป๊ป
ชาวอิตาเลียนอีกตามประเพณี ลองมาวิเคราะห์ตามตัวเลขที่มีอยู่ คือมีพระคาร์ดินัลชาวอิตาเลียน 19 องค์
ในจำนวนพระคาร์ดินัลทั้งหมด 120 องค์ที่มีสิทธิ์เลือกโป๊ป มีพระคาร์ดินัลชาวอเมริกา 10 องค์ ฝรั่งเศส 5 องค์
สเปน 5 องค์ ซึ่งแต่ละประเทศไม่สามารถรวมคะแนน ได้เป็น กลุ่มเป็นก้อน โป๊ป จอห์น พอล ได้ทรงแสดง
ความเป็นสากลของพระศาสนจักรคาทอลิกโดยแต่งตั้งพระคาร์ดินัล เกือบทุกๆ ประเทศกระจายกันไป
รวมไปถึงอัฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกาเกิน 40% ของจำนวนพระคาร์ดินัลทั้งหมด ฉะนั้นโป๊ปจาก
ประเทศโลกที่ 3 มิใช่เป็นเรื่องเหลือวิสัยอีกแล้ว
พระคาร์ดินัลชาวยุโรปนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ยังมีพระคาร์ดินัลอีกองค์หนึ่ง
ที่นิตยสาร TIME หยิบยกขึ้นมากล่าวคือ พระคาร์ดินัล Jean - Marie Lustiger อายุ 68 พรรษา อัครสังฆราช
แห่งปารีส ท่าน Lustiger เกิดมาในศาสนายิว เป็นบุตรชาวโปแลนด์อพยพมาอยู่ฝรั่งเศส (มารดาของท่าน
คงถูกเผาตายในค่ายมรณะออชวิทช์) ท่านได้เปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิก โดยทิ้งชื่อเดิมของท่านคือ อารอน
เรื่องนี้ทำให้บิดามารดาของท่านรู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก Lustiger เป็นบุคคลที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ
จากโป๊ป จอห์น พอล เป็นอย่างมาก เมื่อท่านเข้าเฝ้าโป๊ปเป็นครั้งแรก เลขาส่วนพระองค์ของจอห์น พอล
ท่านมองซินญอร์ Stanislaw Dziwsz คว้าแขนของพระคาร์ดินัล แล้วกล่าวว่า "โป๊ปทรงอธิษฐานภาวนา
เป็นเวลานานและอย่างยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะเลือกท่าน"
เมื่อถูกนิตยสาร TIME ถามถึงโอกาสที่จะได้สืบตำแหน่งจากโป๊ป จอห์น พอล พระคาร์ดินัล Lustiger
ตอบว่า "อาตมารึ? ตัดออกไปได้เลย อยู่นอกข่าย" แล้วท่านก็งึมงำไปเงียบๆ กับหนังสือภาวนาประจำตัว
ของพระสงฆ์ซึ่งหุ้มอยู่ในปกหนังสีน้ำตาล แล้วก็โพล่งออกมาว่า "อาตมาได้ฝันไปว่า ประธานาธิบดีของ
สหรัฐจะเป็นคนผิวดำ ประธานาธิบดีของอดีตสหภาพโซเวียต จะเป็นชาวมุสลิม และพระสันตะปาปาจะ
เป็นชาวจีน และในฝันนั้น อาตมาได้ขอพระเจ้าให้อาตมาตายก่อนที่วันนั้นจะมาถึง" เห็นจะต้องพึ่งเกจิทาง
ทำนายฝันเสียแล้ว แต่ขณะที่รอเกจิทางทำนายฝัน ลองมาเปิดตำรา นอสตราดามุส กันพลางๆ ก่อน
เอาบทที่ 4 ในเซ็นจูรี่ที่ 1 นี่แหละ
Par I'univers sera faict un Monarque
Qu'en Paix & vie ne sera longuement:
Lors se perdra la piscature barque,
Sera regie on plus grand detriment.
ผู้หนึ่งจะถูกตั้งให้เป็นจ้าวจักรวาล
ซึ่งจะไม่อยู่สันติภาพและไม่มีชีวิตอยู่นานนัก
เมื่อเรือประมงสูญหาย
จะถูกปกครองในความหายนะยิ่งใหญ่
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 จ้าวจักรวาล หรือ จ้าวโลก ถ้าหากหมายถึง แอนตี้ไคร้สต์ จะมีอำนาจเพียง
สามปีครึ่งตามหนังสือวิวรณ์ บรรทัดที่ 3 เซนต์ปีเตอร์ เคยเป็นชาวประมง ก่อนที่จะมาเป็นศิษย์เอกของ
พระเยซู ท่านได้รับมอบหมายจากพระเยซูให้เป็นหัวหน้าพระศาสนจักร ถือเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก
ฉะนั้นคำ "เรือประมง" จึงมีความหมายเชิงเปรียบเทียบเป็น "ตำแหน่งพระสันตะปาปา" หรือ "พระศาสนจักร"
ก่อนจบขอยกคำกลอนของแม่ชีเทเรซา สดุดี "มหาบุรุษแห่งปี 1994" ว่า
ทรงยึดมั่นอยู่ในความเชื่อที่หยั่งรากลึก
ทรงหล่อเลี้ยงชีวิตจิตด้วยการอธิษฐานภาวนามิหยุดหย่อน
ทรงปราศจากความกลัวเพราะมีความหวังที่ไม่คลอนแคลน
ทรงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:15 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ (69)👈
🌼--- นอสตราดามุสพยากรณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 [A] ---🌼
       
   ชัยชนะของประธานาธิบดี Boris Yeltsin ต่อคู่ต่อสู้สำคัญแห่งพรรคคอมมิวนิสต์โดยนายเกนาดี
ซูกานอฟ คงทำให้โลกตะวันตกโล่งอกไปได้ชั่วครู่ แล้วคงจะต้องเครียดกับข่าวคราวที่ตามมา หลังจาก
ที่ เยลต์ซิน ได้เชิญนายพล เลเบด ให้เข้ามาเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญของรัฐบาลของ
เยลต์ซิน ทันทีที่เข้ามา เลเบด ก็เริ่มเดินแผนสูง เสนอชื่อลูกทีมขึ้นนั่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม เคจีบี หวัง
ขยายฐานอำนาจ แต่ก็ถูกขวางสุดตัวจากนายกรัฐมนตรีเชอร์โนมิดีน ผู้ประกาศกร้าวว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อ
และยกอำนาจบริหารใดๆ แก่นายพล เลเบด อย่างเด็ดขาด
ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ชาวโลกต้องเครียดหนักขึ้น ที่อิสราเอลมีนายกรัฐมนตรีชื่อ เบนจามิน เนทันยาฮู
ซึ่งกว่าจะได้รายชื่อรัฐมนตรีครบต้องใช้เวลามากพอสมควร โดยเฉพาะคนสุดท้ายนับว่าคลอดยากเ
ป็นพิเศษ คือ นายอารีเอล ชารอน ซูเปอร์รัฐมนตรี ทำให้นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ต้องออกเดินทางไปสหรัฐ
ล่าช้าไปหลายชั่วโมง คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณของซูเปอร์รัฐมนตรีชารอน แค่ได้ยินวาทะสั้นๆ ที่ท่าน
เรียกประธานาธิบดี ยัสเซอร์ อาราฟัต ว่าเป็น "อาชญากรสงคราม" ก็หนาวเสียแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อิสราเอล และชนชาติอาหรับ ต่างก็เป็นละครตัวเอก ในคำพยากรณ์ของ
นอสตราดามุสในสงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งสิ้น
ต่อไปนี้เป็นนานาทัศนะของนักวิเคราะห์งานของนอสตราดามุส ในสงครามโลกครั้งที่ 3 รวบรวม
โดย Carlo Patrian นักเขียนชื่อดังชาวอิตาลี ทั้งยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันโยคะแห่งมิลาน ตั้งขึ้นตั้งแต่
ปี 1950 เป็นผู้สนใจวิชาเร้นลับ การสะกดจิต หนังสือคำทำนาย Nostradamus ของเขาที่ออกปี 1978
ประสบผลสำเร็จยิ่งยวด พิมพ์ถึง 13 ครั้ง ฉบับล่าสุดพิมพ์เมื่อปี 1995 ซึ่งจะได้นำเสนอผู้อ่าน ณ บัดนี้
เพื่อความกระจ่างสำหรับบางท่านที่ยังไม่รู้จักนอสตราดามุส จะขอขยายเบื้องหลังสักเล็กน้อย
ถึงแม้นอสตราดามุสจะมีพรสวรรค์ในการทำนาย แต่ก็ถูกค้ำด้วยกรมการศาสนา ซึ่งเข้มงวดกวดขัน
ในเรื่องทำนายทายทัก ถือว่าเป็นเรื่องพ่อมดหมอผี เขาจึงต้องเขียนคำทำนายเป็นกลอน และใช้ภาษา
โบราณปะปนกันหลายภาษา บางครั้งก็เป็นกลบทอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ จึงไม่มีใครจับผิดได้ ส่วนใหญ่จะ
ไม่ระบุวันเดือนปีที่แน่นอน แค่บอกใบ้กรณีแวดล้อม นานๆ ครั้งจะกำหนดด้วยดวงดาว แต่ค่อนข้างยอก
ย้อนซ่อนเงื่อน เป็นการยากที่จะรู้คำทำนายว่าจะเกิดเมื่อไรในอนาคต แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้วจึง
จะรู้ว่าเขาทำนายได้ถูกต้องจริง จะมีนักวิเคราะห์ไม่กี่คนที่พอจะตีความเรื่องราวในอนาคตได้ถูกต้อง
เพราะมีความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์และภาษาเป็นเลิศเท่านั้น
สำหรับตัวผมเอง ผมเชื่อว่านอสตราดามุสทำนายเหตุการณ์ในอนาคตของเขาได้ถูกต้องทั้งหมด
เพียงแต่ผู้ตีความต่างหากที่ตีความผิด เช่น ดวงดาวที่เขากำหนด อาจเกิดขึ้นทุกๆ รอบ 5 ปีหรือ 10 ปี
แต่ผู้ตีความมักตีความเอาวันเวลาที่ค่อนข้างจะใกล้ตัว เพื่อความตื่นเต้นจะได้ขายหนังสือมากๆ ก็อาจจะเป็นได้
🔹E.M.Ruir สำหรับ Ruir ชี้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 เปิดฉากด้วยการจู่โจมตะวันตกจากโซเวียต
พุ่งเป้าไปที่เยอรมันเป็นอันดับแรก เอเชียถูกครอบครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ จะถูกหนุนหลังจากอาหรับ
ในการปะทะกับอิสราเอล แล้วผสมโรงทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับชาวคริสต์ ชาวอาหรับจะขยับขึ้นมามีอำนาจ
ในยุโรป ด้วยการบุกทะลวงเข้าในหลายช่องทาง ระหว่างปี 1995 - 1999 กรุงโรมและวาติกันจะถูกทำลาย
- การถล่มกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ - สหรัฐจะเป็นฝ่ายกำชัย หลังจากรบพุ่งทั้งทางบก ทางอากาศและทางน้ำ
ทั้งในยุโรปและมหาสมุทรแปซิฟิก ราวปี 1998 หรือหลังปี 2000 เล็กน้อย
🔹J.C. De Fontbrune ตีความถึงแผนยุทธศาสตร์เหมือนคนอื่น แต่ตีความเรื่องวันเวลาที่จะเกิด
สงครามโลกครั้งที่ 3 ผิดไป (ในทศวรรษที่แล้ว) หรือหลังจากปี 2000 เล็กน้อย De Fontbrune ไม่ค่อยมีความรู้
เรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญมากในการตีความคำทำนายของนอสตราดามุส เพราะนอสตราดามุสมิใช่
มีพรสวรรค์ในการเห็นนิมิตในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นโหรอีกด้วย
De Fontbrune มองเห็นการเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจกับสงครามโลกครั้งที่ 3 การใช้
ขีปนาวุธนิวเคลียร์ การปฏิวัติในอิตาลี การบุกอิตาลีและยุโรปจากรัสเซีย มรสุมร้ายของโป๊ปจอห์น พอล ที่ 2
และของพระศาสนจักรประจวบกับเวลาที่มีดาวหางดวงหนึ่งผ่านมา การล่มสลายของสาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศส
และการยึดครองจากพวกรัสเซียอิสลาม - สงครามในปาเตสไตน์ - การปะทะกันระหว่างผิว - อาหรับ แล้วขยาย
วงกว้างไปถึงยุโรป - กองเรือแห่งลิเบียจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งสงครามโลกครั้งที่ 3 การฆาตกรรมบุคคลสำคัญ
ในอังกฤษและการแตกแยกทางศาสนา - การฟื้นฟูระบบกษัตริย์ในฝรั่งเศส - ระบอบคอมมิวนิสต์ และช่วงเวลา
สงครามโลกครั้งที่ 3 จะกินเวลานานถึง 3 ปีกับอีก 70 วัน - จุดจบของฝ่ายรัสเซีย อิสลาม และชัยชนะของ
ตะวันตก - อเมริกายกพลขึ้นบกที่ Bordeaux (ฝรั่งเศส)
อวสานแห่งวัฒนธรรมตะวันตก - การบุกอิตาลีและยุโรปจากคนผิวเหลือง - สงคราม 27 ปีของแอนตี้ไคร้สต์
ผิวเหลือง พันธมิตรระหว่างจีนกับชาวอิสลาม - อวสานแห่งกษัตริย์ฝรั่งเศสและพระศาสนจักรคาทอลิก
ในหนังสือที่เขาพิมพ์ ปี 1995 "Nostradamus nouvelles Propheties"
เขามองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตว่า เป็นอนาคตที่ค่อนข้างมืดมน เป็นการฟื้นฟูทางจิตวิญญาณ แบบหน้ามือ
เป็นหลังมือในโลกของเรา โดยผ่านทางการใช้วิจารณญาณอันรอบคอบและอิสระเสรี หรือไม่ก็ต้องผ่านภัยพิบัติ
สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจจะระเบิดขึ้นราวปี 1998 รัสเซียและชาวอิสลามจะขยายสงครามอันดุเดือด
ด้วยการผูกมิตรและติดอาวุธให้อิหร่าน จะบุกโจมตีอดีตยูโกสลาเวีย โดยใช้ Bosnia เป็นฐานกำลังในการ
จู่โจมยุโรป ทุกประเทศอิสลามจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน โดยมีรัสเซียเป็นผู้นำขนาบอยู่เคียงข้างกับจีน ซึ่งจะ
พร้อมใจกันในสงครามโลกครั้งที่ 3 นี้ ยุโรปพร้อมกับการล่มสลายของระบบทุนนิยม จะถูกบุกและถูก
ครอบครองอย่างง่ายดาย

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:22 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 70 )👈
🌼--- นอสตราดามุสพยากรณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 ---🌼
         
สงครามจะกินเวลาถึง 27 ปี ดูเหมือนค่อนข้างจะนานไปสักหน่อย แต่ก็มีผู้ตีความอีกหลายๆ คน
ตีความไปในทำนองนี้
ทุกประเทศในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะจ้องเข้ามาพัวพัน ในสงครามครั้งนี้...
สงครามจะเริ่มจากตะวันออกกลาง ผ่านมาจากอดีตยูโกสลาเวียแล้วขยายวงไปทั่วยุโรป...ท่าเรือทุกแห่ง
แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะได้รับการกระทบกระเทือนในช่วงต้นๆ ของปีสองพัน De Fonibrune เห็น
อิตาลีตั้งแต่เหนือจรดใต้ จะอยู่ภายใต้กาวควบคุมของรัสเซีย อาหรับและจีน และจะถูกกระทบกระเทือน
ด้วยการทำลายล้างและโรคระบาด...หัวเมืองส่วนใหญ่ของอิตาลีจะกลายเป็นอิสลาม รวมทั้งกรุงโรมด้วย...
ฝรั่งเศสและอังกฤษถูกยึดจากชาวเอเชียอัฟริกัน
ในยุคของประธานาธิบดี Chirac บางทีอาจจะมีการฟื้นฟูระบบกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ ฝรั่งเศสจะย้าย
เมืองหลวงไปที่ Avignon เนื่องจากปารีสจะถูกทำลายย่อยยับจากระเบิดนิวเคลียร์...Marseille ก็จะ
กลายเป็นเมืองอิสลาม...ปารีสจะถูกทำลายล้าง และถูกปล่อยทิ้งเป็นเวลาหลายสิบปี เพราะน้ำเป็นพิษ
จากเคมีหรือนิวเคลียร์
โป๊ปจะหนีไปจากกรุงโรม และจะตั้งหลักปักฐานใหม่ที่ Lyon ซึ่งพระองค์จะจบชีวิตลงที่เมืองนี้...
สหรัฐจะเข้ามากอบกู้แสนยานุกาพทางอากาศและทางทะเล จะยกพลขึ้นบกที่โปรตุเกส อีกทั้งสเปนก็
ยังเข้ามาสมทบโดยการทรงนำของกษัตริย์ ฮวน การ์โลส ซึ่งจะทำให้แสนยานุภาพ อิสลาม - รัสเซีย ถูก
พิชิตอย่างราบคาบ ด้วยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ค่อนข้างแน่ ซึ่งจะสามารถปลดปล่อยยุโรปเป็นผลสำเร็จ
แล้วมนุษยชาติก็จะเข้าไปสู่ยุคแห่งสันติสุข และอยู่ดีกินดี ซึ่งจะกินเวลาสองพันปี อาจจะมองโลก
ในแง่ดีไปสักหน่อย เริ่มจากปี 2025 เป็นการเตรียมยุคราศีกุมภ์ (เป็นยุคที่สังคมมนุษย์จะดำเนินชีวิต
ตามแนวจิตนิยม จะฝักใฝ่ในการยกระดับจิตวิญญาณ จะแผ่ความรักความเมตตาต่อมนุษย์ทุกคนโลก
ในยุคนี้ก็คือ สวรรค์บนดินนั่นเอง - สนธิ)
🔹V.IONESCU ชาวโรมาเนียให้ความเห็นว่า ต้นเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็คือ การล่มสลาย
แห่งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ การพลิกผันของมวลชนคอมมิวนิสต์ เนื่องจากถูกดึงดูดจากประชาธิปไตย
ซึ่งจะตามมาด้วยสงครามนิวเคลียร์ ประมาณปี 2000
เขาเป็นผู้ตีความกลอนบทที่ 16/1 โดยอาศัยวิชาโหราศาสตร์ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะล่มสลายหลัง
จากปล่อยพิษนาน 73 ปี 7 เดือน ซึ่งหลังจากนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะตามมา ซึ่งนาโต้จะเป็นฝ่ายกำชัยในที่สุด
ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งของเขาชื่อ Les dernieres victoire de Nostradamus ได้เน้นถึง อนาคตอัน
ใกล้ค่อนข้างจะมืดมนว่า เราจะเห็นผู้สืบตำแหน่งของโป๊ปจอห์น พอล ที่ 2 จะต้องเผชิญหน้ากับแอนตี้โป๊ป
(คือ ผู้ที่จะเสนอตัวมาเป็นโป๊ปแข่งกับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโป๊ปอย่างถูกต้องแล้ว) จะมีการบุกครั้ง
มโหฬารของชาวอิสลามเอเชีย ซึ่งจะทำให้ยุโรปสะท้านสะเทือน - จะทำลายนครเยรูซาเล็ม - จะมีการฟื้นฟู
ระบบกษัตริย์ในฝรั่งเศส - อเมริกาเริ่มจะเสื่อม จะมาช่วยยุโรป - ฝรั่งเศสจะได้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
- อิตาลีจะถูกทำลายล้างครั้งใหญ่ด้วยการปฏิวัติ - จะมีระบบเผด็จการใหม่มุสโสลินีคนใหม่ - ยุโรปจะถูก
บุกจากพวกไม่มีศาสนา และในบั้นปลายชัยชนะของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ต่อพวกป่าเถื่อนจะนำมาซึ่งสันติภาพ
🔹Cioffi ในหนังสือของเขา ได้อุทิศคำทำนายของนอสตราดามุสหลายบท กล่าวถึงสงครามในอนาคต
ระหว่างอาหรับกับนาโต้ ไม่ได้บ่งวันเดือนปี แต่แบ่งรับแบ่งสู้ว่าปี 1999 จะเป็นปีที่เริ่มการปะทะกันขึ้น กองเรือ
อาหรับจะโจมตี DALMATIA คืออดีตยูโกสลาเวีย แถบทะเลอาเดรียติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการ
ล่วงล้ำน่านฟ้าโดยใช้ขีปนาวุธ ผู้นำตะวันตกหลายคนซึ่งก็มีกษัตริย์ฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง กษัตริย์โรมัน -
เบลเยี่ยมพระองค์หนึ่ง ผู้นำเยอรมันผู้หนึ่ง จะพิชิตกองกำลังรบอาหรับ และจะปลดปล่อยแผ่นดินที่ถูกยึดครอง
จะนำมาซึ่งเสรีภาพทางศาสนา และจะทำให้คริสต์ศาสนา พลิกกลับสู่ความยิ่งใหญ่แห่งอดีตกาลอีกครั้งหนึ่ง
🔹D.RUZO สำหรับเขาแล้วสงครามโลกครั้งที่ 3 ยังอยู่อีกไกลในปี 2137 จะเป็นหายนะแบบคำทำนาย
ในหนังสือวิวรณ์ จะเป็นสงครามจากดวงดาว โรคระบาดร้ายแรงเกี่ยวกับโลหิตเป็นพิษคล้ายโรคเอดส์ ภัยพิบัติ
ตามธรรมชาติและน้ำมหาวินาศ
🔹Geoffrey Cadres ยืนยันว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเริ่มต้นที่การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
คอมมิวนิสต์ในอิตาลีก้าวขึ้นสู่อำนาจ การบุกของรัสเซียไปทางเปอร์เซีย ประเทศในแหลมบอลข่าน และ
Switzerland ด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ การใช้ขีปนาวุธใต้ท้องทะเลอย่างกว้างขวาง และขีปนาวุธจาก
สถานีดาวเทียม
🔹Erika Cheetham บัณฑิตหญิงชาวอังกฤษ ผู้สันทัดภาษาโปรว้องซ์โบราณ
(แคว้นบ้านเกิดของนอสตราดามุส) และภาษาโบราณอื่นๆ กล่าวว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะมาพร้อมๆ
กับดาวหาง สงครามนิวเคลียร์จะระเบิดที่ตะวันออกกลาง เปอร์เซีย อิสราเอล ลิเบีย อาจจะเป็นปี 1995 หรือ
1999 ด้วยการบุกของจีน โดยมีชาวมองโกลเป็นผู้นำ ต่อประเทศตะวันตก ซึ่งมีรัสเซียกับพันธมิตรอเมริกา
จุดเด่นของสงครามครั้งนี้ ที่นำเรือดำน้ำติดขีปนาวุธในการทำลายนครใหญ่ๆ อย่างเช่น กรุงนิวยอร์ก
สงครามจะจบลงหลังปี 2002 ซึ่งตะวันตกจะเป็นฝ่ายมีชัยชนะ และสันติภาพอันยืนยาวจะตามมา
🔹A. Centauro เป็นชาวเยอรมัน เขามองเห็นวิกฤตการณ์น้ำมันปิโตรเลียม อิสราเอลจะถูกขยี้เป็นจุณ
จากชาวอาหรับ จีนจะโจมตีสหรัฐอเมริกา และอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน จีนกับอาหรับ
จะบุกยุโรป แต่จะได้รับการทัดทานจากกองกำลังร่วม ซึ่งจะนำโดยกษัตริย์เฮนรี่แห่งฝรั่งเศส จากประธานาธิบดี
แห่งสหรัฐแห่งยุโรป (United state of Europe) จากเยอรมันที่รวมกันแล้ว ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญสำหรับ
สันติภาพ และการสิ้นสุดการสงครามประมาณปี 2030
🔹P. Guerin มองภาพเหตุการณ์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 3 คล้ายๆ กับ Centauro จะเริ่มที่อิตาลีและ
ตะวันออกกลาง ด้วยการโจมตีจากสหภาพโซเวียตต่อโลกอิสลาม ด้วยวิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงกับคำทำนาย
ของเซนต์จอห์นในหนังสือวิวรณ์ (Apocalypse) การสิ้นสุดของสงคราม และสันติภาพเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัย
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ (ส่งมาจากพระเจ้า) โดยการฟื้นฟูระบบกษัตริย์ในฝรั่งเศสและจักรภพยุโรป

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 21, 2023 4:26 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 71)👈
🌼--- วิสัยทัศน์นอสตราดามุส [A] ---🌼
          เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังไปโลด ต้องหยุดชะงักลงก็เพราะสงครามอ่าวเปอร์เซีย
พอครบ 6 ปี เศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วตามกระแสโลก หรือตามกระแสการเมืองของไทย ก็มีอันต้องสะดุด
และถอยกรูด ก็เพราะสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบสอง ขณะนี้นักเล่นหุ้นกำลังหายใจไม่ทั่วท้องคอยจ้องดูว่า
"เจ้าอินทรีผีสิง Stealth" ที่กำลังฉวัดเฉวียนแถวตะวันออกกลางนั้น จะมีโอกาสถล่มอิรักเป็นคำรบ 3 หรือไม่
ลองมาดูจดหมายของนอสตราดามุสกราบทูลกษัตริย์อังรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส ที่ได้ทำนายถึงสงคราม
อ่าวเปอร์เซียเมื่อคราวที่แล้วอย่างไรบ้าง
Et icelle cite' d'Achem sera environnée et assaillie de toutes
parts en très grande puissance de gens dûarmes...ET ne seront du
tout leurs assaillements vains et au lieu que jadis fu I'habitation
dûAbraham, sera assaillie par personnes qui auront en vénération
les Jovialistes.
แผ่นดินแห่งซาอุดิอะราเบีย จะแวดล้อมไปด้วยแสนยานุภาพทางทะเลในอ่าวเปอร์เซีย มหาสมุทรอินเดีย
และทะเลแดง เป็นการระดมพลครั้งใหญ่จากหลายกองทัพ การวางกำลังรายล้อมมิใช่ทำไปโดยปราศจากผล
อิรัก ถูกโจมตีจากผู้ที่นับถือวันพฤหัสบดี
วิเคราะห์ Achem เป็นคำที่นอสตราดามุสซ่อนเงื่อนเอาไว้ ถ้าเอามาสลับกันเสียใหม่ก็จะได้ Mecha
ก็เมกกะ นั่นเอง ส่วน I'habitation d'Abraham = ที่อาศัยของอับราฮัมก็คือ เมือง UR ใน Mesopotamia
ในอดีต ปัจจุบันก็คือ อิรัก
ในกลอนของนอสตราดามุสบทอื่นๆ ก็มีการบอกใบ้ว่า ผู้นับถือวันอาทิตย์ก็หมายถึงชาวคริสต์ ผู้นับถือ
วันศุกร์ก็หมายถึงชาวมุสลิม และผู้นับถือวันพฤหัสบดีก็คือชาวอเมริกัน เราคงทราบกันดีแล้วว่า ชาวอเมริกัน
ซึ่งอพยพมาจากยุโรป หลังจากได้ดิบได้ดีจากแผ่นดินใหม่ ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าที่ได้อวยพรให้ตน
อยู่ดีกินดี ได้ตกลงเลือกวันพฤหัสบดี ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี เป็นวันขอบคุณพระเจ้า กลาย
เป็นวัฒนธรรมประจำชาติตราบทุกวันนี้
นับว่าวิสัยทัศน์ของนอสตราดามุสช่างกว้างและไกลจริงๆ ถ้านับวันที่นอสตราดามุสเขียนจดหมาย
กราบทูลพระเจ้าอังรีที่ 2 เมื่อ 27 มิถุนายน 1558 จนถึงสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อ 1991 ก็เป็นเวลา
433 ปีมาแล้ว เขาทำนายได้เฉียบจริงๆ ลองมาดูซัดดัมถูกถล่มยก 2 ในบทที่ 96/1
นอสตราดามุสอาจบอกใบ้ถึงปี ค.ศ.1996 ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้โดยระบุไว้ในบทที่ 96 ก็อาจจะเป็นได้
Celui qu'aura la charge de destruire,
Temples et sectes, changes par fantaisie:
Plus aux rochers qu'aux vivans viendra nuire,
Par langue orne'e d'oreilles ressasie.
บุคคลซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปทำลาย
การติดตั้งทางทหารและพรรคพวก (ของซัดดัม) ซึ่งกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับอำนาจของตนเอง
แต่เขา (คลินตัน) จะทำลายเฉพาะสิ่งสร้าง (ที่เป็นหินเป็นทราย) เท่านั้น จะไม่รวมไปถึงสิ่งมีชีวิต
(สงครามจะเปิดฉากได้ก็ต่อ) เมื่อหูทั้งสองข้างต่างเคลิบเคลิ้มจากภาษาดอกไม้ที่ไพเราะเพราะพริ้ง
วิเคราะห์ นอสตราดามุสใช้ศัพท์ Temples = วิหารหรือสักการสถาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์
ประดุจวิหาร นั่นก็คือเครื่องจับเรดาร์ของซัดดัม ซึ่งเพิ่งโดนถล่มไปไม่กี่วันมานี้ ขณะนี้กำลังซ่อมแซมกัน
เป็นการด่วน แต่คลินตันขู่ว่าอย่าได้ไปแตะต้องเครื่องจับเรดาร์ มิฉะนั้นจะโดนถล่มเป็นคำรบ 3 ในบรรทัด
สุดท้าย "ด้วยภาษาไพเราะรื่นหู" นั้น คงหมายถึง การเจรจาระหว่างสหรัฐกับสหประชาชาติ
กลอนที่ขอหยิบยกต่อไปนี้น่าจะหมายถึง สหรัฐถล่มอิรักเมื่อต้นเดือนกันยายนนี้เช่นกันในบทที่ 7/7
Sur le combat des grands chevaux legers,
On criera le grand croissant confond
De nuit tuer monts, habits de bergers,
Abismes rouges dans le fosse' profond.
ในการถล่มกันครั้งนี้จะใช้ม้าตัวใหญ่แต่เบา
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพระจันทร์เสี้ยวถูกถล่มจึงร้องเสียงขรม
ต่างหลบภัยในภูเขากันจ้าละหวั่นเป็นชาวบ้านผู้เลี้ยงแกะ
เหมือนจมในนรกหมกไหม้ไฟแดงๆ
วิเคราะห์ "ม้าตัวใหญ่แต่เบา" คงจะหมายถึง จรวดโทมาฮอร์ก "ผู้ยิ่งใหญ่พระจันทร์เสี้ยว" จะเป็น
ใครไปไม่ได้ นอกจากซัดดัม ฮุสเซ็น "ผู้เลี้ยงแกะ" อาศัยตามภูเขาก็น่าจะเป็นชาวเคิร์ด
โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐแถลงเมื่อวันเสาร์ที่ 14 ก.ย. ว่า กำลังทหาร 5,000 นาย จากฐานทัพ
ฟอร์ดฮูด ในเท็กซัส ซึ่งได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อม เพื่อการแปรขบวนทัพมุ่งสู่คูเวต ซึ่งมีกำลังทหารอเมริกัน
อยู่แล้ว 1,200 นาย
ลองเปิดกลอนนอสตราดามุส เกี่ยวกับประเทศอิรักหลายบท ยังมองไม่ออกว่าจะมีการถล่มครั้งที่ 3
หรือไม่ ก็ปรากฏว่ามีแน่แต่คงไม่ใช่โดนถล่มแต่จะไปถล่มประเทศอื่น ต้องเปิดกลอน บทที่ 25/5
Le Prince Arabe Mars, Sol, Venus, Lyon
Regne d'Eglise par mer succombera:
Devers la Perse bien pres d' un million,
Bisance, Egypte, ver, serp, invadera.
เมื่อดาวอังคาร ดาวอาทิตย์ ดาวศุกร์โคจรมาอยู่ในราศีสิงห์
และขณะเดียวกันที่พระศาสนจักร (คาทอลิก) จะยอมจำนนทางทะเล
เจ้าชายอาหรับ, อสรพิษแท้จะบุกโดยใช้กำลังพลเกือบหนึ่งล้านคนสู่เปอร์เซีย ตุรกี และอียิปต์

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 26, 2023 5:13 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 72 )👈
🌼--- วิสัยทัศน์นอสตราดามุส ---🌼
         
วิเคราะห์ การโคจรของดวงดาวที่ว่านี้ จะตกในวันที่ 21 - 22 สิงหาคม 1998 ทั้งนี้ได้จากการ
คำนวณของนายพลท่านหนึ่งผู้เชี่ยวชาญทาง Astrology จากอเมริกา ส่วนบรรทัดที่ 2 ศาสนจักรจะถูก
สัตว์ร้ายจากทะเลรังควานหนัก ตามพระธรรมวิวรณ์ สัตว์ร้ายจากทะเล คือ ลัทธิฟรีเมซอน ซึ่งขณะนี้
กำลังแฝงตัวเข้ามาในพระศาสนจักร เพื่อบ่อนทำลาย บรรทัดที่ 4 ver, serp. เป็นคำปริศนาซึ่งนอสตรา
ดามุสซ่อนเงื่อนเอาไว้ เป็นคำภาษาละติน ver. มาจากคำ verus แปลว่า แท้ serp. มาจากคำ serpens
แปลว่า งู หรือ อสรพิษ และคำเจ้าชายอาหรับที่โดดเด่นมีกำลังพลนับล้าน คงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้
นอกจากซัดดัม อสรพิษแท้ นอกจากนี้ยังเป็นกลบทเพราะคำ Ver. ยังอาจมาจากคำภาษาละติน vermis
ก็ได้ ซึ่งแปลว่า หนอน หรือ แบคทีเรีย นั่นก็หมายความได้อีกว่า หนอน จะบุกเปอร์เซีย ตุรกี และอียิปต์
หรืออีกนัยหนึ่ง ซัดดัมจะใช้สงครามเชื้อโรค ซึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ประธานาธิบดีคลินตัน ก็แสดงความกังวลใจ
เรื่องสงครามเชื้อโรค ถึงกับกระตุ้นคณะวุฒิสมาชิกให้สัตยาบันสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธเคมีทั่วโลก เพื่อจะ
ได้ป้องกันแก๊สพิษให้พ้นไปจากเงื้อมมือจากชาติเจ้าเล่ห์บางชาติ เช่น อิรัก เป็นต้น (ข่าว AP 9 ก.ย.) ว่ากันว่า
ซัดดัมมีทั้งอาวุธเคมี และอาวุธชีวภาพจำนวนมากในครอบครอง เจ้าหน้าที่ U.N. เห็นวีดีโอในปี 1995
อิรักใช้อาวุธเคมีชีวภาพทดลองกับสุนัข จนสุนัขเคราะห์ร้ายต้องบิดเนื้อตัวไปมา ด้วยความทรมานแสนสาหัส
นอกจากนั้นยังมีภาพชายคนหนึ่ง ซึ่งแขนเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ อันเป็นผลจากอาวุธเคมีด้วย
ชาติที่จะโดนอาวุธชีวภาพถล่มเป็นรายแรกก็คือ อิสราเอล ซึ่งคราวสงครามอ่าวเปอร์เซียก็โดน
สคัด ซัดเอาถึง 39 ลูก แต่ก็ไม่ทำให้อิสราเอลระคายผิว มีคนหัวใจวายไปแค่ 1 คน คราวหน้าคงไม่รอดแน่
เพราะอาวุธชีวภาพจะฟุ้งกระจายไปทั่ว ต่อให้แพทย์เป็นร้อยก็ยังน้อยไป ที่จะรับมืออาวุธเคมีชีวภาพ
ชาวอิสราเอลทุกคนตอนนี้มีหน้ากากกันแก๊สพิษกันทุกคน นับว่าน่าเห็นใจชาวอิสราเอลเสียจริงๆ มักจะ
ถูกชาวอาหรับคอยรังควานอยู่ร่ำไป ไม่เว้นแม้กระทั่งในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ซึ่งควรจะต้องปลอดจาก
การเมืองโดยสิ้นเชิง ที่เมืองมิวนิค เยอรมนี ราว 20 ปีที่แล้ว ในกลอนนอสตราดามุส บทที่ 41/4 กลอน
บทนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของนอสตราดามุสอีกบทหนึ่ง
Gymnique sexe captive par hostage,
Viendra de nuict custodes decevoir,
Le chef du camp deceu par son langage,
Lairra a'la gente fera piteux a'voir.
นักกีฬาชายถูกจับเป็นตัวประกันที่เมืองมิวนิก เยอรมนี
การจู่โจมจะเกิดขึ้นตอนกลางคืนโดยลวงคนเฝ้ายาม
หัวหน้าค่ายนักกีฬาหลงกลจากภาษาที่พวกเขาพูด
จึงได้ปล่อยให้พรรคพวกของตัวยอมเปิดทางให้
(หายนะ) เป็นที่น่าปริเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
วิเคราะห์ บรรทัดที่ 1 ศัพท์ Gymnique เป็นตัวปริศนาที่ซ่อนเงื่อน Gymnique sexe แปลตรงๆ
ได้ความว่า เพศ ที่ฝึกยิมนาสติกมาแล้ว คือแข็งแรง ฉะนั้นนัยที่ 1 หมายถึง นักกีฬาชาย แต่ในขณะเดียวกัน
เขาซ่อนเงื่อนงำอยู่ในศัพท์ตัวนี้ด้วย หากเราเอาศัพท์ Gymnique มาสลับอักษรกันก็จะเป็นดังนี้
Gymnique = MyniqueG. เนื่องจากอักษร y ในภาษากรีกออกเสียงเป็น u ในภาษาฝรั่งเศส หรือ ü
ในภาษา เยอรมัน
ตัวสะกด ก CH ในภาษากรีก เท่ากับ QUE ในภาษาฝรั่งเศส
ฉะนั้นจึงเขียนใหม่ได้ดังนี้ MyniqueG = Munich G. (ermanie) นั่นก็คือ นัยที่ 2 ยังบอกถึงเมือง
Munich สถานที่เกิดเหตุด้วย
บรรทัดที่ 3 เพราะผู้ก่อการร้ายอาหรับพูดภาษายิวได้ หัวหน้าค่ายกีฬาจึงตายใจ
เราคงต้องยอมรับในอัจฉริยภาพของนอสตราดามุสว่า เขาสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์นี้มา
4 ศตวรรษแล้ว ลองมาเปิด Encyclopaedia Britanica ว่า เขามีตาทิพย์แค่ไหน
"วันอันน่าสะพรึงกลัวได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 4.30 น. ของเช้าวันที่ 5 กันยายน 1972 เมื่อหน่วยคอมมานโด
ปาเลสไตน์ อันเป็นหน่วยเล็กๆ หน่วยหนึ่งมีชื่อว่า "กันยาทมิฬ" ได้เล็ดลอดเข้าในค่ายนักกีฬาโอลิมปิก
ชาวอิสราเอล ณ เมืองมิวนิก นาย Moshe Weinberg ครูผู้ฝึกมวยปล้ำ และ Joseph Romans นักกีฬา
ยกน้ำหนักได้โผล่หน้าจึงถูกฆ่าในทันที ส่วนอีก 9 คนเป็นชาวอิสราเอลทั้งหมดถูกจับไปเป็นตัวประกัน
ขณะที่เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันกำลังล้อมตึกไว้
ผู้ก่อการร้ายได้ตั้งข้อเสนอ ให้ปล่อยตัวนักโทษอาหรับที่ถูกขังในอิสราเอล 200 คน และขอเครื่องบิน
1 ลำ สำหรับหลบหนีออกไปให้ปลอดภัยที่สุด
วันที่ 5 กันยายน เวลา 22.00 น. เมื่อบรรลุข้อประนีประนอมกันได้จุดหนึ่ง พวกอาหรับได้ย้ายตัวประกัน
จากค่ายนักกีฬาไปยังรถบัสคันหนึ่ง ซึ่งได้พาไปยังเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ซึ่งจอดรออยู่แล้ว ได้มาถึง
Firsten feldbruck (ชื่อสนามบินอยู่ห่างจากมิวนิก 30 กม.) ณ ที่นั้น หน่วยกล้าตายได้กระจายกำลัง
พรางตัวในบริเวณนั้นอยู่แล้ว ขณะที่ผู้ก่อการร้าย 2 คน ลงจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปตรวจตราโบอิ้ง 727
ซึ่งตามคำเรียกร้องต้องไปส่งพวกเขาแถวตะวันออกใกล้ ในทันทีนั้นเอง หน่วยกล้าตายก็สาดกระสุนเข้า
ใส่อย่างหูดับตับไหม้ ผู้ก่อการร้ายอาหรับคนหนึ่ง ได้เหวี่ยงระเบิดมือไปยังเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น ได้สังหาร
ตัวประกันทั้งหมดในเฮลิคอปเตอร์ หลังจากเสียงปืนสงบ ก็พบว่า ตัวประกันทั้ง 9 ถูกสังหารเรียบ
ในช่วงเวลา 20 ชม. แห่งความกลัว ได้พบว่าชาวอิสราเอลเสียชีวิตไป 11 คน หน่วยกล้าตายชาวเยอรมัน 1 คน
ชาวอาหรับ 5 คน ส่วนผู้ก่อการร้ายอีก 3 คนถูกรวบตัวไว้ได้
ก็ได้แต่ภาวนาให้การแข่งขันโอลิมปิกที่ออสเตรเลียในปี 2000 อย่าได้มีเหตุการณ์เหมือนที่มิวนิกเลย

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 26, 2023 5:21 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 73 )👈
🌼--- เหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนปี 2000 [A] ---🌼
         
ไปอิตาลีคราวที่แล้วได้หนังสือมาเล่มหนึ่งขนาด 250 หน้า "L'avvenire prima dell'anno 2000"
"เหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนปี 2000" โดย Jean Stiegler" หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาอิตาเลียน การออก
เสียงหรือเรียกชื่อก็เป็นไปตามภาษาอิตาเลียน ถึงแม้เรื่องราวเกิดขึ้นในฝรั่งเศส เป็นเรื่องราวการปรากฏ
ของพระเยซูมาพบหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งชื่อมัดดาเลนา (Maddalena) ที่เมือง Dozule ใกล้เมืองลิซิเออร์
เมืองของนักบุญเทเรชา
มัดดาเลนา เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1924 แต่งงานเมื่อปี 1948 มีบุตรทั้งหมด 5 คน สามีอาชีพ
กรรมกร นางมัดดาเลนาก็เป็นแม่บ้านพื้นๆ ทั่วไป ปฏิบัติศาสนกิจแบบกลางๆ ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเลวนัก
เมื่อปี 1970 ถูกรบเร้าจากแม่ผู้ชราให้ไปวัดไปวาในโอกาสฉลองอีสเตอร์ ซึ่งคริสตชนที่ดีควรจะไปสารภาพ
บาปและรับศีมหาสนิท มัดดาเลนาเพื่อเห็นแก่แม่ผู้ขรา จึงได้ไปโบสถ์เพื่อปฏิบัติตามที่แม่เตือน เธอไม่ได้
รับศีลมหาสนิทมา 4 ปีแล้ว (ศีลมหาสนิท คือแป้งสาลีที่พระสงฆ์เสกในมิสซา ตามที่พระเยซู ทรงเคยกระทำ
ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ทรงหยิบขนมปังขึ้นมาเสก แล้วตรัสว่า นี่คือกายของเรา
ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า คริสตชนก็เชื่อว่าขนมปังนั้นได้กลายเป็นพระกายของพระเยซู เพื่อหล่อ
เลี้ยงจิตวิญญาณ โดยทางปฏิบัติ คริสตชนจะรับศีลมหาสนิทได้ ก็ต่อเมื่อได้ชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์แล้ว
โดยการสารภาพบาปกับพระสงฆ์) เมื่อสารภาพบาปแล้ว เธอรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกไปจากอก รู้สึกโล่งอก
สบายอกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวันอีสเตอร์มาถึง เธอก็ได้รับศีลมหาสนิท รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
กับเธอ เธอเล่าว่า มีบางอย่างที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ ฉันรู้สึกว่าภายในตัวของฉันมันเปลี่ยนไป รู้สึกคล้ายๆ
จะเป็นลม เหมือนกับมีบางอย่างในตัวฉันเปลี่ยนแปลงไป อะไรบางอย่างซึ่งในชีวิตของฉันไม่เคยประสบมาก่อน
ฉันรู้สึกมึนเมา แต่เป็นความเมาในความยินดี เมาในความปลาบปลื้ม ฉันมีประสบการณ์บางอย่างที่
เยี่ยมยอดมาก ไม่สามารถจะอธิบายได้ เหมือนกับว่าฉันได้ค้นพบโลกอีกโลกหนึ่ง
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน รู้สึกว่าฉันเป็นเจ้าของอะไรบางอย่างที่แสนหวานอย่างสุดบรรยาย
สิ่งเหล่านี้มันยังคงอยู่ จนกระทั่งฉันกลับเข้าบ้าน แล้วฉันก็รู้สึกเป็นปกติเหมือนเดิม
ทุกวันในสัปดาห์นั้น ฉันได้แต่ครุ่นคิดสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน อะไรมันเกิดขึ้นกันฉันน้อ? ฉันไม่สามารถ
เข้าใจมันแม้แต่นิด ใจฉันจดจ่ออยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆ แล้ววันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 1970 ก็มาถึง
ฉันไปโบสถ์กับลูกๆ ใจฉันเร่าร้อนอยากจะให้ถึงเวลารับศีลมหาสนิทเร็วๆ แต่ก็ไม่วายที่จะหวั่นๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์บางอย่าง ได้เกิดขึ้นกับตัวฉันเมื่อ 8 วันที่แล้วกระมัง?
เป็นเพราะชั่วนาทีนั้นเอง ที่ชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้นในตัวฉัน ศีลมหาสนิท และในทันที ความปิติภายในได้
แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย เช่นเดียวกับวันอาทิตย์ก่อน แต่ทว่าในครั้งนี้ฉันรู้สึกถึงการประทับอยู่ เป็นการ
ประทับอยู่ ที่มิใช่ของบนโลกนี้ แต่เป็นการประทับอยู่ทางจิตวิญญาณ
ฉันไม่สงสัยอะไรทั้งสิ้น ว่าฉันกำลังพบการประทับอยู่ของพระเยซู การประทับอยู่ของพระจิตเจ้า
จิตของฉันและจิตของพระเยซูสบกัน พระจิตเจ้าประทับอยู่กับฉัน ในตัวฉัน ฉันกำลังครอบครองพลัง
เหนือธรรมชาติ ฉันรู้สึกตัวว่าถูกครอบครองจากพระจิตเจ้า
มันช่างหวานซาบซึ้งเหลือเกิน ในการที่พระเยซูประทับในจิตวิญญาณของฉัน!
เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นครั้งแรก แน่นอนที่สุด นั่นคือสัญญาณของ
พระเยซู พระองค์มิได้ประทับอยู่ในตอนนั้น ฉันมิได้รู้ตัวถึงการประทับอยู่ของพระองค์ ฉันคิดว่านั่นเป็นแค่
สัญญาณเตือน
และในครั้งนี้ ครั้งเดียวเท่านั้น ฉันได้พบว่าพระองค์ประทับอยู่กับฉัน ฉันได้พบว่าพระเยซูประทับ
อยู่ในนั้น ในแผ่นสาลีขาวนั้น
ฉันรู้สึกว่า ในขณะนั้นไม่มีโลกอยู่แล้ว ตัวฉันก็ไม่มีอยู่แล้ว
มีแต่พระผู้เป็นเจ้าในตัวฉัน และฉันอยู่ในพระผู้เป็นเจ้า
มันช่างเป็นความหวานชื่นสุดพรรณนา ช่างเป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ ที่จิตวิญญาณของฉันกำลัง
ค้นพบ และจิตวิญญาณของฉันได้แปรเปลี่ยนไป
ฉันมีความรู้สึกว่า เพิ่งรับศีลมหาสนิทเป็นครั้งแรก เหมือนสมัยยังเป็นเด็กเล็กๆ ใจยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
รู้สึกว่าหัวใจของฉัน จิตวิญญาณของฉัน ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด
มันเป็นการกลับใจที่รวดเร็วในชั่วพริบตา ฉันไมกล้ากล่าวว่ามันเป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ มันเป็นถ้อยคำ
ที่ยิ่งใหญ่ สำหรับสัตว์โลกผู้น่าสงสารอย่างฉัน แต่ว่าคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ก็คือ ปาฏิหาริย์ นั่นแหละ ทว่ามัน
เป็นไปได้หรือ? กับผู้หญิงอายุ 45 ปี ที่พระจิตพระผู้เป็นเจ้า ทรงกระทำต่อผู้ที่แปดเปื้อนด้วยบาปเช่นฉัน?
มีหญิงสาวมากมายที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งพระองค์ควรที่จะมอบพระคุณของพระองค์ให้พวกเขาเหล่านั้น แทนที่
จะมอบให้ฉัน!
เมื่อฉันกลับเข้าบ้าน ทุกอย่างเปลี่ยนไป เป็นความสุขความยินดีไปหมด ฉันรู้สึกว่าผูกพันกับพระเยซู
จิตวิญญาณของฉัน และของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่ชั่วโมงนั้น และขณะนั้นที่ฉันได้กลับใจ
ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่พระองค์จะทอดทิ้งฉัน ฉันครอบครองความปีติภายในใจอยู่ตลอดเวลา
ฉันรู้สึกว่าพระเยซูประทับในตัวฉัน อยู่กับฉัน ฉันปล่อยให้ชีวิตของฉันเป็นเหมือนเด็กอ่อน ซึ่งจะไม่
กังวลอะไรในชีวิตเลย เพราะอยู่ในอ้อมอกของแม่
ฉันรู้สึกว่าถูกนำพาและปกป้องจากพระจิตเจ้า
พระเยซูแห่งความรักพระองค์นี้ มีหรือที่ฉันจะไม่ให้ความสนใจ มีหรือที่จะไม่ทิ้งตัวลงสู่อ้อมกอด
ของพระองค์ และแล้วฉันก็ดำเนินชีวิตอันเต็มเปี่ยมด้วยปีติสุข
ฉันช่างไม่เคยคิดที่จะขอบคุณพระองค์ ที่ได้รับพระคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ ฉันดำเนินชีวิตอย่างเรียบๆ
เต็มตื้นไปด้วยความยินดี และอยู่ไปด้วยความเคลิบเคลิ้มในความสุข
ความปีติยินดีของฉันนั้นใหญ่ยิ่งเพียงใด ที่รู้ว่าพระเยซูผู้ทรงชีวิตประทับใกล้ๆ ฉันในขณะนั้นฉัน
ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ฉันพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ร้องไห้
ฉันถามตัวฉันเองว่า ฉันร้องไห้ด้วยความยินดี หรือร้องเพราะอายพระเยซู ที่ได้เคยมีความสงสัย
ในการประทับอยู่จริงๆ ของพระองค์
อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่าฉันได้ร้องไห้ด้วยความยินดี เป็นน้ำตาแห่งความปีติ ฉันเป็นสุขอย่างที่สุด
ฉันไม่สามารถบอกถึงสิ่งซึ่งได้ประสบมาว่า จริงๆ นั้นมันเป็นอย่างไร
มันเป็นความคิดลุ่มลึกที่นึกอยู่ในใจ ซึ่งมิอาจถ่ายทอดหรืออธิบายด้วยคำพูด ฉันเชื่อว่าความหมาย
อันลึกซึ้งจะเหือดหายไปอย่างแน่นอน ความปีติในจิตวิญญาณ มิอาจจะอธิบายเป็นรูปธรรมได้
ฉันมีชีวิตเปี่ยมด้วยความปีติยินดีเพื่อพระเยซู โดยไม่ถามอะไรเลยจากพระองค์ และพระองค์ก็ไม่เคย
ถามฉันเช่นเดียวกัน
มัดดาเลนาปรารถนาทำความพึงพอใจ แต่พระผู้เป็นเจ้ากลับกลายเป็นผู้ไร้เดียงสาเช่นเด็กๆ
ความวิตกกังวลทั้งหลายมลายไปสิ้น ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอเหี่ยวแห้ง
ไม่มีใครสนใจ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เธอถวายตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูผู้ทรงชีวิตได้ฟื้นขึ้นมา
ในชีวิตประจำวันของเธอ

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 26, 2023 5:29 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรร 👉 ตอนที่ (74)👈
🌼--- เหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนปี 2000 ---🌼
         
การกลับใจมิใช่เป็นกิจการของมนุษย์ แต่เป็นกิจกรรมโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า หากปราศจาก
พระจิดเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์ก็ไม่เป็นอะไรเลย และไม่สามารถทำอะไรได้เลย จำเป็นที่มนุษย์เราจะ
ต้องสวดภาวนา "เพื่อความรัก" เหตุว่าปราศจากพระจิตของพระเจ้า เราไม่เป็นอะไรเลย
องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น สามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจมนุษย์ แต่เพื่อที่จะได้รับพระพรจาก
พระองค์ จำเป็นที่เราจะต้องสวด ด้วยความวางใจ ด้วยความเชื่อศรัทธาจริงๆ
มัดดาเลนามีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี ในพระคุณ พระพร ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า
จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ใบลาน ในปี 1972
การกลับใจของมัดดาเลนา มีลักษณะเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้ เพราะมิได้เกิดจากคำเทศน์ของ
พระสงฆ์รูปหนึ่งรูปใด หรือจากการอ่าน หรือจากความทุกข์ยากอันเป็นเหตุปัจจัยแต่ประการใด
หากเกิดจาก "ปาฏิหาริย์" แท้ๆ จากการรับศีลมหาสนิท ที่ก่อให้เกิดความซาบซึ้งในความสุข
สุดจะพรรณนาได้
และในพิธีมิสซาทุกครั้ง ได้ทำให้เธอรู้สึกว่า พระเยซูทรงประทับอยู่ใกล้ๆ เธอจริงๆ ซึ่งก่อให้เกิด
ความปีติทางจิตใจเหลือที่บรรยาย ทั้งนี้ เพื่อเตรียมใจเธอสำหรับภารกิจในอนาคต ซึ่งในระยะนั้นเธอ
ไร้เดียงสาแบบสุดๆ
วันที่ 28 มีนาคม 1972 การพบปะครั้งสำคัญกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้เริ่มขึ้น
การปรากฏมาครั้งแรก
กางเขนของพระเยซู
วันที่ 28 มีนาคม 1972 เวลา 4.35 น.
สามีของฉันไปทำงานตอน 4.30 น.
ฉันตื่นขึ้นจากที่นอน ลงไปปิดประตู ฉันกลับขึ้นมาใหม่ แล้วฉันก็เปิดหน้าต่างห้อง ท้องฟ้ายังปกคลุม
ด้วยเมฆก้อนใหญ่ ลอยไปอย่างรวดเร็วจากตะวันตกเฉียงเหนือ สู่ตะวันออกเฉียงใต้ มีลมแรงแต่ฝนไม่ตก
ท้องฟ้าค่อนข้างใส น่าจะเห็นพระจันทร์ในวันนั้น ฉันมองไปในท้องฟ้า เห็นเมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนตัว
อย่างรวดเร็ว
ฉันเตรียมที่จะสวดภาวนาเช้า ยังไม่ทันจะเริ่มสวด ในทันทีทันใดนั้น ณ ขอบฟ้าไกลโพ้น ไปทาง
ด้านขวามือของฉัน มีลำแสงจ้าปรากฏมา ขอบฟ้าก็เริ่มสว่างไสว เหมือนกับตอนเกิดพายุฝน แต่ลำแสงจ้านี้
ยังอยู่นาน ไม่เหมือนฟ้าแลบตอนฝนตก มักจะหายไปในทันที ฉันกลัว รีบปิดหน้าต่าง แล้วขึ้นไปนอนแบบ
คลุมโปง เพื่อจะได้ไม่เห็นอะไร
หลังจาก 8 - 10 นาที ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียง ไม่มีลำแสงจ้าที่หน้าต่างอีกแล้ว มันจ้าจนฉันไม่จำเป็นต้อง
ชะเง้อมองก็เห็นได้ชัด ฉันลุกขึ้นและกลับไปที่หน้าที่ต่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่กี่วินาที ฉันเริ่มเห็นบางสิ่ง
บางอย่าง กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในท้องฟ้า ตรงที่ฉันได้เห็นลำแสงจ้านั่นเอง นั่นไงกำลังเป็นรูปเป็นร่าง
จากฐาน แล้วด้านแขนทั้งสองข้าง ส่วนบน เริ่มมองเห็นลาง ทีละน้อย จนไปถึงส่วนกลางของกางเขน เมื่อเกิด
เป็นรูปกางเขนชัดเจนแล้ว เป็นกางเขนอันใหญ่ สว่างไสว แต่ก็เรียบๆ ตรงๆ ทว่าใหญ่กว่ากางเขนของเมือง
Dozule นิดหน่อย
เป็นกางเขนที่งามจับใจ รู้สึกชื่นใจเมื่อเห็น เป็นกางเขนที่สว่างไสวคล้ายติดเปลวไฟ ช่างงามเฉิดฉาย
บนเนินหน้าบ้านของฉัน มันเป็นวันอังคารที่ 28 มีนาคม ระหว่างเวลา 4.30 - 4.50 น. เป็นรูปกางเขนเท่านั้น
ไม่มีองค์พระเยซูติดอยู่ด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ฉันได้ยินคำพูดต่อไปนี้
"Ecce Crucem Domini"
"นี่คือกางเขนแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า"
การปรากฏมาของกางเขนในครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1972 เวลา 4.35 น.
มัดดาเลนาก็ได้ยินอีกว่า "audivi vocem de caelo dicentem mihi"
"ฉันได้ยินเสียงจากสวรรค์ที่ร้องเรียกฉัน"
โปรดสังเกตว่ามัดดาเลนาเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่รู้ภาษาลาติน เธอใช้จำและจดคำที่ได้ยิน และเขียน
สะกดตามภาษาฝรั่งเศส เช่น "Etche crucem Domini" "Odivi vocem de chelo dicentem mihi" แล้วไปแจ้ง
ให้เจ้าอาวาส ซึ่งรู้ภาษาลาตินอย่างดี ก็พอเข้าใจได้ว่า ประโยคที่ถูกต้องเป็นเช่นไร และก็รู้ว่าผู้พูดนั้นรู้ภาษา
ลาตินดีแค่ไหน
ต่อไปนี้ผมจะขอหยิบยก สาส์นบางตอนที่หญิงผู้นี้ได้รับจากพระเซู ในการปรากฏมา 50 ครั้ง ระหว่าง
ปี 1972 - 1982
สาส์นของพระเยซูนี้ มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ในทุกศาสนา เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ที่จะเกี่ยวข้อง
กับมนุษย์แต่ละคน เป็นสาส์นที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้เอาตัวรอด นอกจากนี้
ยังมีสาส์นไปถึงพระสันตะปาปา บรรดาพระสงฆ์และนักบวชชายหญิง มวลสัตบุรุษทั่วโลกว่า
1. มหาภัยพิบัติที่มีกล่าวในพระวรสาร (พระธรรมใหม่) จะเกิดกับผู้คนในยุคของเรา "ก่อนสิ้นศตวรรษ"
2. การปรากฏมาแห่งเครื่องหมายกางเขน ในท้องฟ้าอย่างอัศจรรย์ ในอีกไม่ช้านั้น มนุษย์ทุกคนไม่ว่า
เผ่าพันธุ์ใด จะมองเห็นได้ ซึ่งจะหยุดความบ้าคลั่งของมนุษย์ได้อย่างปาฏิหาริย์
มัดดาเลนา โอมองต์ (Maddalena Aumont) แม่บ้านธรรมดาผู้หนึ่ง ซึ่งพระเยซูได้มอบสาส์นที่ Dozule
ได้เห็นกางเขนปรากฏมาในปี 1972 เจ็ดครั้ง กางเขนนี้เป็นสัญญาณ ที่จะประกาศถึงมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น
เซนต์มัทธิว ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในพระวรสารบทที่ 24 "และแล้วเครื่องหมายแห่งบุตรมนุษย์คือ
(พระเยซู ผู้เป็นทั้งพระเจ้า และอวตารมาเป็นมนุษย์) จะปรากฏบนท้องฟ้า มนุษย์ทุกคนบนโลกจะพากัน
เศร้าโศกเสียใจ"
3. พระเยซูประกาศข่าวดีใหม่ไปทั่วโลก หลังจากผ่านวันเวลาอันแสนวิปโยค และการรวมเข้าด้วยกันใหม่
ในอุระของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งจะถูกชำระล้าง และตั้งขึ้นใหม่หลังมหาภัยพิบัติ
4. ความแห้งแล้งจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก และภาวะข้าวยากหมากแพง ตามที่กล่าวทำนายไว้ ในหนังสือวิวรณ์
ของนักบุญจอห์นในบทที่ 11 ว่าจะมีขึ้น 42 เดือนก่อนการเสด็จกลับมาของพระเยซู
5. พระเยซูประกาศการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองของพระองค์ และสถานที่ทางภูมิศาสตร์ ในการเสด็จ
กลับมาครั้งนี้จะมีขึ้นที่ตรงนี้ ณ เนินเขาสูงแห่ง Dozule ซึ่งกางเขนมหัศจรรย์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งบุตรมนุษย์
ได้ปรากฏมาหลายครั้ง
การเสด็จกลับมาของพระเมสสิอาห์ จะมีขึ้นหลังจากแพร่ข่าวดีไปทั่วโลก และหลังจากความแห้งแล้งทั่วโลก
เป็นเวลาสามปีครึ่งตามที่พระเยซูได้ทำนายไว้
พระเยซูประกาศในตอนท้ายของสาส์น ด้วยถ้อยคำแสนจะธรรมดา แต่ด้วยท่าทีมีสง่าราศี ถึงความหวัง
ของบรรดาผู้พยากรณ์หลายๆ ท่าน หลังยุคอับราฮัมได้กลับกลายมาเป็นความจริงว่า จะมีโลกใหม่มาแทนที่
โลกเก่าของพวกเรา จะมีแผ่นดินใหม่และฟ้าใหม่ ซึ่งจะมีแต่สันติสุข และปีติสุข จุดมุ่งหมายของชนชาติยิว -
คริสต์ หลังจาก 6,000 ปี ก็จะบรรลุความบริบูรณ์แห่งการเปิดเผยของท่านจอห์น ในหนังสือวิวรณ์ ที่เขียนว่า
ชัยชนะแห่งความรัก ซาตานจะถูกทำลาย จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากสันติภาพและความปีติยินดีเท่านั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 26, 2023 5:37 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 75 )👈
🌼--- สาส์นสำคัญของพระเยซูมอบให้มนุษยชาติที่ Dozule [A] ---🌼
         
ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1978 กางเขนได้ปรากฏมาในท้องฟ้าที่โดซูเล่ ถึง 6 ครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณอันหนึ่ง
ในหลายๆ สัญญาณแห่งยุคสุดท้าย มัดดาเลนาได้รับสาส์นหลายข้อจากพระเยซูในระหว่างการปรากฏมา
หลายครั้งของพระองค์ สาส์นนี้บ่งบอกถึงอนาคตอันใกล้ของโลก
"จงบอกแก่ประชาชาติว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านปากของผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้เผยแก่
หญิงผู้รับใช้ผู้นี้ว่า มหาภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว เพราะเหตุว่านางได้เห็นเครื่องหมายแห่งบุตรมนุษย์ ซึ่ง
ออกจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก เครื่องหมายนี้ก็คือ กางเขนของพระเยซู เราขอบอกความจริงแก่พวกเธอว่า
ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องเป็นทุกข์ถึงบาปแห่งตน เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลใกล้เข้ามาแล้ว
จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ชนิดที่ว่าตั้งแต่มีโลกมายังไม่มีครั้งใดเท่าครั้งนี้ และจะไม่มีเช่นนี้อีกเลย
(1 พฤศจิกายน 1974) จะเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าใด ความอสัตย์อธรรม
คือต้นเหตุแห่งทุกขเวทนาทั้งปวง ปรากฏการณ์ต่างๆ รวมทั้งสัญญาณบนพื้นดินและในท้องฟ้า ล้วนทำให้ผู้คน
สับสนอลหม่านละล้าละลังยิ่งนัก พวกเธอจงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่ามหาภัยพิบัติเข้ามาใกล้แล้ว ภัยพิบัติ
ที่ร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ตั้งแต่เริ่มมีโลกจนกระทั่งปัจจุบัน และในอนาคตก็จะไม่มีอีกเลย เราขอบอก
ความจริงแก่พวกเธอว่า คนรุ่นเยาว์ในยุคนี้ จะไม่ล่วงไปก่อนที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น (4 กรกฎาคม 1975)"
"พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่มนุษย์ว่า เพราะเหตุแห่งการขาดความเชื่อ โลกทั้งโลกจะประสบความหายนะ
อันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะก่อความสับสนอลหม่านไปทั่ว 4 มุมโลก สิ่งที่พวกเธอกำลังสัมผัสอยู่ในปัจจุบันนั้น เป็นแค่
การเริ่มต้นแห่งทุกขเวทนา มนุษยชาติจะไม่พบสันติสุข จนกว่าจะรู้จักสาส์นของเรา และนำเอาไปปฏิบัติเท่านั้น"
(25 ธันวาคม 1975)
"จงบอกพระศาสนจักรของเราให้รื้อฟื้นสาส์นแห่งสันติภาพแห่งโลกทั้งมวล เพราะขณะนี้ถึงจุดวิกฤติแล้ว
ซาตานบงการโลกทั้งโลก มันชักนำจิตวิญญาณไปในทางชั่ว มันสามารถปั่นหัวให้คนสามารถทำลายมนุษยชาติ
ได้ภายในไม่กี่นาที (เป็นคำพูดของแม่พระในความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา ตัดตอนมาจากสารที่แพร่ไปในวงการทูต
ซึ่งโป๊ป พอลที่ 6 นำไปกล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติ Jean Stiegler)
"ถ้ามนุษยชาติไม่ร่วมใจกันคัดค้าน เราจะปล่อยให้เกิดขึ้น (สงครามปรมาณูจะเกิดจากความบ้าคลั่งของ
มนุษย์ - ก่อนสิ้นศตวรรษ - Jean Stiegler) จะเป็นความพินาศอันยิ่งใหญ่ ขนาดน้ำมหาวินาศก็ยังไม่อาจเทียบเท่า
ทั้งนี้ก่อนที่จะสิ้นศตวรรษ ทุกคนที่เป็นทุกข์ถึงบาปต่อหน้าไม้กางเขน จะได้รับความรอดพ้น ซาตานจะถูกทำลาย
และไม่มีอะไรเหลือนอกจากสันติภาพและความปีติยินดี" แล้วพระเยซูก็อันตรธานไป (1 มีนาคม 1974)
ครั้งหนึ่งที่มีการตั้งศีลมหาสนิทที่วัดน้อยของโรงเรียน ซานจูเซปเป ที่โดซูเล่ พระองค์ทรงมอบสาส์นแก่
มัดดาเลนา ดังนี้ :
มหาภัยพิบัติประกอบด้วย 2 ภาค
ภาคแรก - สงคราม และภัยพิบัติทั่วไป แต่จะถูกระงับอย่างปาฏิหาริย์ จากเครื่องหมายกางเขน
มหัศจรรย์ ซึ่งจะปรากฏมาบนท้องฟ้า
พระเยซูจะประกาศช่วงเวลาแห่งสันติภาพคั่นกลาง เป็นระยะสั้นๆ ซึ่งในระหว่างนั้นจะมีการประกาศ
ข่าวดีครั้งใหม่ พระวรสาร (Gospel) จะถูกประกาศไปยังทุกศาสนจักรของทุกชาติ ในท้ายที่สุด ศาสนจักรต่างๆ
จะรวมเข้ากับศาสนจักรโรมันคาทอลิก "ลูกแกะเพียงฝูงเดียวและผู้เลี้ยงแกะแต่ผู้เดียว" ที่ท่านจอห์นกล่าวไว้
ในบทที่ 10
ควบคู่กันไปกับการประกาศข่าวดีครั้งใหม่ พระเยซูประกาศว่า จะเกิดความแห้งแล้งครั้งใหญ่อันเป็น
ภัยพิบัติ ซึ่งบอกถึงมหาวิปโยค
ภาคสอง ซึ่งจะนำทุกขเวทนามาสู่มนุษยชาติ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ตามที่มีกล่าวไว้ในหนังสือ
วิวรณ์ บทที่ 11 ความแห้งแล้งจะคงอยู่นานถึง 42 เดือน ซึ่งจะก่อความวิปโยคไปทั่วทั้งโลก ช่วงเวลานี้ก็จะ
เป็นเวลาเดียวกันกับการครองอำนาจช่วงสั้นๆ ของ แอนตี้ไคร้สต์ และของรัฐบาลโลก และจะสิ้นสุดลงก่อน
สิ้นศตวรรษ ตามการเปิดเผยของสาส์นของพระเยซู
หลังจากวันเวลาแห่งมหาวิปโยค ก็จะถึงเวลาที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรือง จะเป็นที่ประจักษ์
แก่สายตาของมนุษย์ทุกคน
การพิพากษาโลก "วันนั้นจะมาถึง เป็นวันซึ่งพระเจ้าจะพิพากษาโลก (หรือ พิพากษาประชาชาติ
แต่ไม่ใช่พิพากษาประมวลพร้อมครั้งสุดท้าย)
การสับสนอลหม่านทางภูมิศาสตร์ของโลก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ จะมีฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่
เยรูซาเล็มใหม่ นครศักดิ์สิทธิ์ พระนิเวศน์ของพระเจ้าจะปรากฏในโลกใหม่ ท่ามกลางมนุษย์ที่เกิดใหม่
อาณาจักรของพระเยซู สันติสุข และปีติสุขประทานจากพระจิตเจ้าแก่มวลมนุษย์
การปรากฏมาครั้งที่ 14 "ขอให้พวกท่านจงอยู่ในความปีติยินดี อย่าได้คร่ำครวญถึงภัยพิบัติต่างๆ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้น"
ในการมอบสาส์นแรกๆ พระเยซูพยายามย้ำอยู่เสมอเกี่ยวกับท่าทีภายในใจ ที่เราจะต้องฟันฝ่า
เหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความสงบใจ หน้าชื่นตาบาน เป็นเรื่องที่จะต้องรักษาไว้ในจิตใจให้ได้ ถึงแม้ภัยพิบัติ
จะร้ายแรงสักเพียงใดก็ตาม
จุดหมายสำคัญของพระคัมภีร์ก็คือ โลกนี้กำลังสิ้นไปเพื่อจะให้โลกใหม่เข้ามาแทน ซึ่งทุกสิ่งจะถูก
ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า จุดมุ่งหมายหนึ่งเดียวของคริสตชน ก็คือที่จะเป็นส่วนหนึ่ง
ของเอเดน (สวรรค์ ณ แผ่นดิน) ใหม่นี้ และที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าไปร่วมเสวยสุข ณ ที่นั้นด้วย
การเสด็จกลับมาของพระเยซูใกล้เข้ามาแล้ว ตามที่พระสันตะปาปาหลายพระองค์ได้ประกาศ เช่น
โป๊ปปีโอที่ 12 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทรงประกาศว่า "อาณาจักรอันรุ่งเรืองของพระสวามีเจ้ากำลังจะ
แสดงตนให้ปรากฏ ซึ่งจะทำให้ทุกคนตกตะลึง มนุษย์เรากำลังจะพบความรักฉันพี่ฉันน้อง ความมีสุขภาพดี
ความสุข ในทางที่ไม่มีวันจะเข้าใจได้ในยุคของเรา ซึ่งยังมีสติปัญญาเพียงน้อยนิด แต่จงมีความวางใจเถอะ
พระเยซูอยู่เคียงเธอถึงแม้เธอมองไม่เห็น แต่พระองค์มีพระประสงค์ให้เราร่าเริงยินดี โดยผ่านการทดสอบ
เสียก่อน อันจะเป็นการตระเตรียมจิตใจของเรา"
การปรากฏมาครั้งที่ 33 วันที่ 4 กรกฎาคม 1975
"ขอให้พวกเธอพยายามเข้าใจในสิ่งนี้ให้ดี ก่อนที่จะเกิดน้ำมหาวินาศนั้น ผู้คนมิได้สงสัยแม้แต่น้อยเลย
ไม่สนใจใยดีในการเตรียมตัว กระทั่งน้ำท่วมเข้าจริงๆ แต่ว่าทุกวันนี้พวกเธอถูกเตือนให้รู้ตัวก่อน พวกเธอมีชีวิต
ในช่วงเวลาที่เราบอกไว้ล่วงหน้าว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลก จะมีความอสัตย์อธรรม ที่เป็นต้นเหตุ
แห่งทุกขเวทนา ชาติต่างๆ จะจมอยู่ในความทุกข์ระทม จะมีปรากฏการณ์ต่างๆ และสัญญาณทั้งบนแผ่นดินและ
บนท้องฟ้า ดังนี้พวกเธอก็จะเตรียมตัวให้พร้อมไว้ เพราะมหาภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว
ภัยพิบัติที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีในอนาคต"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 28, 2023 6:55 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 76 )👈
🌼--- สาส์นสำคัญของพระเยซูมอบให้มนุษยชาติที่ Dozule ---🌼
         
การเตือนนี้แจ่มแจ้งมาก พระเยซูได้ประกาศถึงมหาภัยพิบัติแก่พระสังฆราช
ก่อนที่จะแจ้งแก่พระสันตะปาปา
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 1974 เวลา 20.00 น. ในขณะที่พระสงฆ์กำลังจะยกรัศมี
(คือภาชนะบรรจุศีลมหาสนิท มีลักษณะเป็นแฉกๆ คล้ายรัศมี) ขึ้นอวยพร (โดยยกขึ้นเหนือศีรษะ
แล้วเอียงไปทางซ้ายและทางขวา เป็นรูปกางเขน - สนธิ) ในทันใดนั้นก็ได้เกิด รัศมีจ้าพวยพุ่ง
มาจากศีลมหาสนิท (แผ่นสาลีสีขาวกลม - สนธิ) แผ่นศีลมหาสนิทเกิดประกายระยิบระยับ แล้ว
ดิฉันได้ยินว่า "จงไปบอกทุกชาติทุกภาษาว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านปากของผู้รับใช้หญิงของ
พระองค์ว่า มหาภัยพิบัติขยับเข้าใกล้มาแล้ว เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ได้เห็นเครื่องหมายแห่ง
บุตรมนุษย์ ซึ่งออกมาจากตะวันออกสู่ตะวันตก เครื่องหมายนี้คือ กางเขนของพระเยซู ดิฉันขอบอก
ความจริงแก่พวกท่านว่า ถึงเวลาที่จะเป็นทุกข์ถึงบาปที่ได้กระทำ เพราะเหตุว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีในอนาคตอีกด้วย"
พระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2 ได้กล่าวเตือนสัตบุรุษชาวลูร์ดว่าให้คิดถึงการทดสอบซึ่งจะ
ต้องเกิดขึ้น "พวกท่านพร้อมที่จะตายเพื่อพระศาสนาไหม?"
พระสันตะปาปาคงจะบอกใบ้ถึงมหาภัยพิบัติ?
ในปี 1981 ณ เมือง Fulda ในประเทศเยอรมนี โป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 ได้ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แก่เยาวชนว่า "เราจะต้องเตรียมพร้อมในช่วงเวลาที่ไม่ไกลนัก ที่จะเผชิญหน้ากับการทดสอบครั้งใหญ่
ซึ่งจะเรียกร้องเราไม่ว่าในรูปแบบใด แม้กระทั่งจะต้องสูญเสียชีวิต เป็นการมอบตัวเราทั้งหมดแก่พระเยซู
โดยอาศัยการสวดภาวนาของพวกเธอ ก็เป็นไปได้ว่า อาจจะช่วยทำให้ภัยพิบัตินี้บรรเทาเบาบางลง แต่ทว่า
ไม่อาจจะหนีไปพ้น เพราะเหตุว่า โดยอาศัยวิธีนี้แหละที่พระศาสนจักรจะสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้" แล้วพระองค์
ยังเสริมอีกว่า "กี่ครั้งมาแล้วที่พระศาสนจักรผลิดอกออกช่อมาจากกองเลือด และในครั้งนี้ก็จะไม่ต่างอะไร
ไปจากนั้น เราต้องเป็นคนเข้มแข็ง ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ให้วางใจในพระเยซู และในพระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์
ของพระองค์ และจะต้องหมั่นสวดลูกประคำ" โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 เหมือนกับโป๊ป จอห์น ที่ 23 และ พอลที่ 6
ได้อ่านความลับที่ 3 แห่งฟาติมา และพระองค์ทรงทราบว่ามีเนื้อหาเป็นอย่างไร
อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก จะเป็นหายนะบนแผ่นดิน บนฟ้าอากาศ การประกาศข่าวดีครั้งสุดท้าย
การถูกเบียดเบียนครั้งสุดท้ายของชาวคริสต์ ซึ่งมีทำนายไว้ในพระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่
ให้เราระลึกถึงคำเทศนาของพระเยซู แก่บรรดาอัครสาวก ที่กล่าวถึงการสิ้นยุค ในบทที่ 24 ของเซนต์มัทธิวว่า
"ครั้นเมื่อ พระเยซูประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศ สาวกของพระองค์ได้มาทูลถามพระองค์ว่า "จะมีสิ่งใด
เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ และวาระสุดท้ายของโลกบ้าง?" พระองค์ตรัสตอบ
พวกเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครชักนำไปทางที่ผิด เพราะจะมีหลายคนอ้างตนว่าเป็น
พระคริสต์ (คือตัวเรา) และจะชักนำคนเป็นอันมากให้หลงผิด ท่านทั้งหลายจะได้ยินข่าวการสงคราม และ
ข่าวลือเกี่ยวกับการทำสงครามอยู่เสมอ จงอย่าตื่นตระหนกไปเลย เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
แต่หาใช่เครื่องหมายบ่งบอกถึงวาระสุดท้ายของโลกอย่างใดไม่ ประเทศต่างๆ จะทำสงครามซึ่งกันและกัน
และอาณาจักรต่างๆ จะรบราฆ่าฟันกัน จะเกิดการกันดารอาหาร และแผ่นดินไหวในหลายประเทศ แต่
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงขั้นแรกของความทุกข์ยาก และความสยดสยองนานาประการซึ่งจะมีมาภายหน้า
ท่านทั้งหลายจะถูกจับไปทรมาน ให้ได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสทุกแห่งในโลก เพราะเหตุ
ที่ท่านทั้งหลายเป็นศิษย์ของเรา เวลานั้นหลายคนจะเสื่อมถอยไปจากความเชื่อ จะเกลียดชังและทรยศหักหลัง
ซึ่งกันและกัน จะมีศาสดาเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคนและทำให้คนเป็นอันมากหลงผิดไป ความผิดบาปจะแพร่เชื้อ
ไปทุกหนทุกแห่ง และทำให้หลายคนคลายความรัก แต่ถ้าผู้ใดอดทนจนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์
แห่งความผิดบาป และข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินพระเจ้า จะได้รับการประกาศเผยแผ่แก่นานาชาติไปทั่วทุก
มุมโลก แล้วต่อจากนั้นก็จะถึงวาระสุดท้าย
เมื่อพระเยซูตรัสกับมัดดาเลนาในปี 1975 ว่า คนรุ่นเยาว์ในยุคนี้จะไม่ล่วงไปก่อนที่สิ่งทั้งหลาย ที่ได้กล่าว
มาแล้วจะเกิดขึ้นนั้น หมายความว่า คนรุ่นทศวรรษที่ 70 จะได้เห็นมหาภัยพิบัติก่อนสิ้นศตวรรษ ทั้งนี้ เพราะ
พระองค์เน้นว่าปี 1975 จะเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย (พระศาสนจักรคาทอลิกในสมัยปัจจุบันจะทำฉลองปี
ศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ 25 ปี ครั้งต่อไปก็ควรจะเป็นปี 2000 หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียก่อน - สนธิ)
เป็นความจริงที่ โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 ได้ประกาศว่าภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า
ที่พระองค์ประกาศถึงภัยพิบัติ ที่ระบุในพระวรสารเซนต์มัทธิว เฉพาะเจาะจงว่าภัยพิบัติก่อนสิ้นยุค? คำพูด
ของพระองค์จะเข้าใจเป็นอื่นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะในปี 1981 พระองค์พยายามกรองบางส่วน บางแง่มุมจาก
ความลับ แล้วเผยให้ไว้ที่เมือง Fulda เยอรมนี ทั้งนี้ เพราะเยาวชนชาวเยอรมันพยายามไต่ถามพระองค์ว่า
ทำไมความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมาจึงมิได้เปิดเผยให้สาธารณชน พระองค์ตรัสตอบว่า "เนื่องจากความฉกาจ
ฉกรรจ์แห่งความลับฟาติมา อาจจะไปเพิ่มความกดดันให้มหาอำนาจของโลกคอมมิวนิสต์ กระทำบางสิ่ง
บางอย่างไปก็ได้ ผู้ครองตำแหน่งก่อนอาตมภาพเห็นสมควรที่จะสงวนไว้เป็นความลับต่อไป ที่จริงสำหรับ
คริสตชน เป็นการเพียงพอที่จะรู้ว่าในสาส์นมีเขียนไว้ว่า ไฟกับควันจะตกลงจากฟ้า น้ำในมหาสมุทรระเหย
เป็นไอ และคลื่นซัดฟองกระจายถาโถมกลืนกินทุกสิ่งราบเรียบ คนจำนวนล้านๆ จะสูญเสียชีวิตไปในไม่กี่
ชั่วโมงนั้นก็เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นจะไปประกาศอะไรเกี่ยวกับความลับนี้อีก"
และที่จริงไม่เคยปรากฏว่าหายนะใดๆ ที่ผ่านมาในอดีตจะมาเทียบเท่า ลองมาฟังคำสัมภาษณ์ของ
พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ สมณมนตรีกระทรวงพระธรรมความเชื่อในนิตยสาร " Jesus" เดือนพฤศจิกายน 1984
Vittorio Messori ถาม ฯพณฯ ท่านว่า "ท่านได้อ่านความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา ที่ซิสเตอร์ลูเซียได้ส่ง
ไปให้โป๊ป จอห์น ที่ 23 ซึ่งพระองค์ไม่ยอมเปิดเผย และได้สั่งให้เก็บไว้ ในแฟ้มเอกสารของวาติกันแล้ว
หรือยังครับ?"
ท่านพระคาร์ดินัลตอบ "อาตมภาพอ่านแล้ว" พระคาร์ดินัลกล่าวต่อ "ถ้าไม่ได้ประกาศ อย่างน้อย
สำหรับขณะนี้ ก็เป็นการหลีกเลี่ยงที่จะเห็นคำทำนาย จะไปปนเปกับความอยากรู้อยากเห็น เพื่อสนองความ
ตื่นเต้นเท่านั้น จริงๆ แล้ว การประกาศว่าจะมีการลงโทษทัณฑ์ และในที่สุดก็สงครามนิวเคลียร์"
(ความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา ระบุการประกาศถึงสงครามนิวเคลียร์ - Jean Stiegler) และการสับสนอลหม่าน
ของจักรวาล (ภัยพิบัติในจักรวาลระบุไว้ในพระวรสารของเซนต์มาร์คว่า พลังในท้องฟ้าจะสับสนอลหม่าน
สะท้านสะเทือน - Jean Stiegler) ถ้าหากสิ่งนี้ประกาศไปโดยไม่มีการเตรียมการ อาจจะก่อให้เกิดผลในทาง
ตรงข้าม แทนที่จะได้ผลในการกลับใจ ซึ่งจะก่อให้เกิดความสงบสุข อาจจะก่อให้เกิดความโกลาหล ตื่นตระหนก
อกสั่นและสิ้นหวังไปก็ได้"
พระศาสนจักรไม่ควรให้ข้อมูลไปในทางหวาดเสียว หรือหนักหนาสาหัสสากรรจ์ พระคาร์ดินัลได้สรุป
โดยทำให้เข้าใจว่า ความลับฟาติมานั้นเป็นการประกาศถึงมหาภัยพิบัติดังนี้
"เรื่องราวที่มีบรรจุไว้ในความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา ก็สอดคล้องสิ่งที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และยัง
ได้รับการยืนยันหลายครั้งจากการปรากฏมาของแม่พระ ตั้งแต่เริ่มปรากฏมาที่ฟาติมานั้นแหละ
แล้วก็เรื่อยๆ มา ที่เป็นที่รู้จักกันดี สาระสำคัญของสาส์นก็คือ กลับใจใช้โทษบาป ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญ
แห่งความรอด และเพื่อหลีกเลี่ยงมหาวิปโยค"


💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 28, 2023 6:59 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรม 👉 ตอนที่ ( 77 ))👈
🌼--- เมื่อไรพระเยซูจึงจะเสด็จกลับมาอีก [A] ---🌼
         
เก็บความจากหนังสือ "L'avvenire prima dell' anno 2000" "เหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนปี 2000"
โดย Jean Stiegler
พระคัมภีร์มิได้ระบุไว้ว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรือง ในวันใด ชั่วโมงใด
ในการปรากฏมาพบมัดดาเลนาที่โดซูเล่ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1975 พระองค์ตรัสว่า "พระบิดา
ผู้ทรงความดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีพระประสงค์จะช่วยมนุษยชาติที่กำลังอยู่บนปากเหว ให้เอาตัวรอด
โดยอาศัยสาส์นสุดท้ายนี้ พวกเธอจะต้องเตรียมตัว พวกเธอจงรู้ไว้ว่า ในเวลาที่พวกเธอจะไม่เชื่อว่าสาส์นนี้
ใครเป็นผู้มอบ เนื่องจากว่าพวกเธอจะไม่รู้วันใด และเวลาใดที่เราจะกลับมาในสง่าราศี"
คำพูดของพระเยซูนี้ จะต้องทำให้เราไม่สบายใจอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพระเยซูเปรยไว้ว่า
ในวาระสุดท้ายนั้น ผู้คนจะไม่เชื่อในสาส์นของพระองค์อีกแล้ว
ท่านลูกาได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า "เมื่อบุตรมนุษย์ (พระเยซูผู้อวตารมาเกิดเป็นมนุษย์) จะเสด็จกลับมา
ผู้คนจะยังมีความเชื่อศรัทธา (ในพระเจ้า) กันดีอยู่หรือ?
พระสันตะปาปาในศตวรรษนี้ต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว เช่น
โป๊ปปีโอ ที่ 12 ตรัสเมื่อฉลองอีสเตอร์ปี 1957 ว่า "เชิญเสด็จมาเถิดพระเยซูเจ้าข้า! มีสัญญาณมากมาย
ที่บ่งบอกถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ว่า อยู่ไม่ไกลแล้ว"
โป๊ป จอห์น ที่ 23 ตรัสในวันคริสต์มาสปี 1959 ว่า "การเสด็จกลับมาของพระเยซูอยู่ใกล้แค่เอื้อม"
โป๊ป พอล ที่ 6 ตรัสเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1970 ว่า "การเสด็จกลับมาของพระเยซูเกือบจะถึงอยู่แล้ว"
โป๊ป จอห์น พอลที่ 2 ทรงประกาศเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1984 ว่า "การคุกคามแห่งหายนะนิวเคลียร์
และภัยพิบัติแห่งทุพภิกขภัยอันน่าสยองปรากฏมาบนขอบฟ้าแล้ว ประดุจคนขี่ม้า ผู้นำภัยพิบัติมาสู่โลก
ในหนังสือวิวรณ์"
"ถ้าหากมีความแห้งแล้งยืนนานถึง 1,260 วันหรือ 42 เดือน ในเวลาเดียวกันที่ แอนตี้ไคร้สต์
กำลังครองอำนาจ เราก็จะสามารถรู้ได้ว่า การเสด็จกลับมาของพระเยซูใกล้เข้ามาแล้ว"
ที่โดซูเล่ พระเยซูมิได้บอกวันและเวลาแก่มัดดาเลนา ถึงการเสด็จมาของพระองค์ เพียงแต่บอก
ขั้นตอนว่า จะเกิดขึ้นหลังความแห้งแล้งของโลก
"หลังจากวันเวลาแห่งความทุกข์ระทม บุตรมนุษย์จะปรากฏมาด้วยสง่าราศี และมหิทธิเดชานุภาพ
เพื่อจะรวบรวมผู้ได้รับเลือกสรรจากทั้ง 4 ทิศของแผ่นดินโลก
เป็นบุญของผู้ที่เป็นทุกข์กลับใจ เหตุว่าพวกเขาจะได้ชีวิตนิรันดร
ช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งของโลกจะกินเวลาถึง 1,260 วันตามหนังสือวิวรณ์
ปัญหาน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า การเสด็จกลับมาของพระเยซูจะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดความแห้งแล้ง
สักเท่าไร
ท่านบาทหลวง Canonico (ที่ปรึกษาอาวุโสประจำสังฆมณฑลใหญ่ๆ) Chabauty ได้ให้คำตอบ
ในหนังสือ 3 ฉบับของท่านเรื่อง "การศึกษาจากพระคัมภีร์ จากบรรดาปิตาจารย์ จากบรรดานักเทวศาสตร์
และปรัชญาศาสตร์ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในพระศาสนจักร ตามแแผนการณ์ของเบื้องบน"
ได้รับการรับรองจากพระสันตะปาปาปีโอที่ 10
ท่านคำนวณการเสด็จกลับมาของพระเยซู แค่ช่วงที่เกี่ยวข้องกับการมาของแอนตี้ไคร้สต์ มิได้
ละเอียดละออระบุถึงวันและเวลาใด พื้นฐานการคำนวณเวลาของท่าน เอามาจากคำทำนายของท่าน
ประกาศก (Prophet) ดาเนียล ซึ่งท่านได้ทำนายปีที่พระเมสสิอาห์ (พระเยซู) มาเกิดในอิสราเอล และ
ได้ทำนายการสิ้นยุคด้วยถ้อยคำเหล่านี้
"พระองค์ตรัสว่า ดาเนียลเอ๋ย ไปเถอะ เพราะถ้อยคำเหล่านั้นก็ถูกปิดไว้แล้ว และถูกประทับตราไว้
จนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะชำระตนเอง และกระทำให้ตนเองขาวสะอาดและถูกถลุง แต่คนอธรรม
จะยังกระทำการอธรรม และไม่มีคนอธรรมสักคนหนึ่งจะเข้าใจ แต่บรรดาคนฉลาดจะเข้าใจ และตั้งแต่เวลา
ที่ให้เลิกเครื่องบูชาเนืองนิตย์นั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติขึ้น จะเป็นเวลา
1,290 วัน ความสุขจะมีแก่ผู้คอยอยู่ และมาถึงได้ 1,335 วัน" (ดาเนียล 12:9 - 11)
ช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้ง 1,260 วัน เป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่ Antichrist กำลังครองอำนาจ
มันจะแสดงตัวต่อสาธารณชน ตอนช่วงท้ายของ 1,260 วันนั่นเอง
อิทธิพลอันทรงพลังของแอนตี้ไคร้สต์ในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนจะรู้ๆ กันอยู่แล้ว จริงๆ แล้วแม่พระ
ได้บอกเป็นนัยๆ แก่ท่านบาทหลวงกอบบี้แล้วว่าแอนตี้ไคร์สต์จะเผยตัวในปี 1998
ท่านประกาศกดาเนียลบอกเราถึงวาระสุดท้ายว่า
"ตั้งแต่เวลาที่ให้ยกเลิกเครื่องบูชาเนืองนิตย์นั้น และได้เอาการกราบไหว้บูชาแอนตี้ไคร้สต์เข้ามาแทน
ณ กรุงโรม ซึ่งมันจะปฏิเสธเรื่องเหนือธรรมชาติ และทุกคนหันมาสนับสนุนแต่เพียงลัทธิเหตุผลนิยม ความรู้
ทางปัญญา นี่ก็คือ หันมากราบไหว้วัวทองคำ อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง ช่วงเวลาเหล่านี้จะกินเวลา 1,260 วัน"
(ความแห้งแล้ง การเทศน์ของท่านมหาบุรุษเอน๊อก และเอลียาห์ ก็อยู่ในช่วงเดียวกับแอนตี้ไคร้สต์
ครองอำนาจเป็นเวลา 1,260 วัน)
ในขณะนั้นผู้ได้รับเลือกสรรจะถูกจัด และถูกเฝ้าดูแลไว้ต่างหาก
รวบรวมกันไว้ในสถานที่เดียวกัน ณ วันที่ 1,290

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ มิ.ย. 28, 2023 7:04 pm

🧐~ วิเคราะห์ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ผ่านพระคัมภีร์และนอสตราดามุส ~🧐
โดย สนธิ สารธรรมท 👉 ตอนที่ (78)(ตอนจบ)👈
🌼--- เมื่อไรพระเยซูจึงจะเสด็จกลับมาอีก ---🌼
        
  แล้วไฟประลัยกัลป์ก็เริ่มจะโหมไปทั่วทั้งโลก ตามคำทำนายที่ได้รับ แสงสว่างจากเบื้องบนของบางท่าน
เป็นการเผาไหม้ของไฮโดรเจนในบรรยากาศชั้นบน ในวงจรที่ร้อนเกินควร ของช่องโอโซนของทั้งสองซีกโลก
หายนะสุดท้ายก็คือ ไฮโดรเจนไหม้ลุกล้ำไปสู่ แม่น้ำ และทะเลซึ่งเหือดแห้งไม่มีน้ำเหลือแม้แต่สักหยด ไฟ
ประลัยกัลป์ซึ่งลงมาจากฟากฟ้า เพราะไฮโดรเจนพาลงมา จะกินเวลา ตามความเห็นของท่าน Chabauty
ตั้งแต่วันที่ 1,290 จนถึงวันที่ 1,335 ตามคำทำนายของท่านดาเนียลจะกินเวลา 45 วัน
"เป็นบุญของผู้ที่คอยจนถึงวันที่ 1,335"
"แต่เจ้าจงไปจนวาระที่สุดเถิด และเจ้าจะได้หยุดพักสงบ และจะยืนขึ้นในส่วนที่กำหนดให้เจ้า
เมื่อสิ้นสุดวันทั้งหลายนั้น" (ดาเนียล 12:12 - 13)
การเสด็จกลับมาของพระเยซู ตามความเห็นของท่าน Chabauty ก่อนเกิดไฟประลัยกัลป์
ณ ช่วงท้ายๆ ของ 1,290 วัน เมื่อผู้ถูกเลือกสรรจะถูกจัดไว้ต่างหาก
พระเยซูโดยการเป้าลมจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ก็จะทำให้แอนตี้ไคร้สต์ตายไปพร้อมกับสมุน
ของมัน แล้วไฟประลัยกัลป์ก็ลุกไหม้ไปทั่วทั้งโลก
การเสด็จกลับมาของพระเยซู
นี่คือภาพกว้างๆ แห่งวาระสุดท้ายของโลก ซึ่งได้รับรองจากโป๊ปปีโอที่ 10 ตามความเห็นของ
ท่านบาทหลวง Chabauty (1890 - 1893)
เหตุการณ์ที่ 1 มนุษย์ทุกคนที่ยังมีชีวิต ทั้งคนชอบธรรมและคนบาป จะเห็น (ด้วยตาที่เป็นเนื้อนี่แหละ)
บุตรมนุษย์จะปรากฏมาในสง่าราศี ภาพนิมิตนี้จะคงอยู่เป็นเวลานานพอสมควร พอจะจัดการกับเหตุการณ์
ต่อไปนี้
เหตุการณ์ที่ 2 บรรดาเทวดาที่ส่งมาจากพระเยซู ทันทีหลังที่พระองค์ปรากฏมา จะมารับผู้ชายและ
ผู้หญิงองค์ละคน
สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกสรร นั่นก็คือผู้ชอบธรรม ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และได้ถูกจัดเอาไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง
เหตุการณ์นี้มีขึ้นก็เพื่อแยกแยะ หรือคัดคนที่ได้รับการเลือกไว้ต่างหาก เพราะจะเกิดการตายด้วยภัยพิบัติ
ต่างๆ ทางร่างกาย เปรียบเสมือนคราวเกิดน้ำมหาวินาศ  สมัยโนอาห์ หรือไฟจากฟ้ามาเผาเมืองโซดม
ญาติของโลทถูกแยกไปต่างหาก ก็ปลอดภัย เว้นภรรยา
บทสดุดี (36:34) ก็ได้ทำนายเหตุการณ์นี้ "จงไว้ใจในพระสวามีเจ้า และเดินไปตามเส้นทางของ
พระองค์ พระองค์จะปลดปล่อยเจ้าจากคนอธรรม พระองค์จะเชิดชูเจ้า (ในภาษาฮีบรู เขียนไว้ว่า พระองค์
จะแบกเจ้าไว้ในที่สูงๆ และไว้ในที่ปลอดภัย) เพื่อว่าเจ้าจะได้แผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ และเจ้าจะเห็นพวก
อธรรมจะถูกถอนทิ้ง
เหตุการณ์ที่ 3 ในขณะที่ผู้ชอบธรรมที่ถูกเลือกสรร ผู้ได้ใช้ชีวิตทางร่างกายตามธรรมชาติของโลกนี้
ก็จะถูกคัดไว้ในสถานที่ปลอดภัย แล้วพระเยซูโดยอาศัยการเป่าลม จากพระโอษฐ์ของพระองค์ ก็จะทำ
ให้แอนตี้ไคร้สต์ และสมุนของมันพินาศไป และจะก่อให้เกิดไฟไหม้ไปทั้งโลก
เหตุการณ์ที่ 4 ไฟประลัยกัลป์ จะทำให้ทุกสิ่ง ทั้งมนุษย์และสิ่งของบนโลกพินาศวอดวายไปสิ้น
ตามความเห็นของเซนต์ออกัสติน จากนั้น จะไม่มีอะไรโผล่ขึ้นมาบนบรรยากาศ ที่มีอากาศหายใจนี้อีก
แต่ตามคำสอนของบรรดา Church Fathers (ปิตาจารย์) ท้องฟ้าและโลกของเราจะไม่ถูกทำลาย
สิ่งของที่มีรูปร่างต่างๆ ในปัจจุบัน ที่มีองค์ประกอบสำคัญคือธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะไม่มีอีก
"ฟ้าและแผ่นดินจะหนีหายไป จะไม่มีใครพบที่เดิมของมันอีก" (วิวรณ์ 20:11) ไฟประลัยกัลป์นี้คงจะต้อง
กินเวลานานพอสมควร ถึงแม้ปฐมเหตุจะต้องเกิดขึ้นแบบเหนือธรรมชาติ นั่นก็คือ โดยอาศัยอำนาจของ
พระผู้เป็นเจ้า จะโดยตรงหรือทางอ้อม เช่น ใช้เทวดาให้จัดการแทน พลังที่ให้ความร้อนนี้ ก็จะมีผลตามมา
ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เช่น โลกคงจะไม่ถูกทำลายภายในพริบตาเดียว อาจสามารถรู้ได้โดยอำนาจ
คำทำนายของดาเนียลว่า ระยะเวลาแห่งไฟประลัยกัลป์จะคงอยู่นานเท่าไรในบทที่ 12 ข้อ 11 คือ  นับตั้งแต่
Antichrist เริ่มให้ผู้คนกราบไหว้รูปของมันว่า เป็นพระเจ้าในอิสราเอล ไปจนสิ้นยุคจะกินเวลา 1,290 วัน
แล้วไฟประลัยกัลป์ก็จะจัดการไปจนสิ้นยุค ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1,291 แล้วจะไปตามดาเนียลข้อที่ 12 ที่ว่า
"เป็นบุญของผู้ที่คอยจนถึงวันที่ 1,335 ตามคำทำนายข้อนี้ก็หมายความว่า จะมีคนที่ยังรอดชีวิตมาถึง
วันที่ 1,336 พวกเขาก็จะมีความสุขที่ได้รอคอยจนครบ 45 วัน ไฟประลัยกัลป์นี้จะไหม้เป็นเวลา 45 วัน
รวมระยะเวลาพอสมควรที่จะทำให้แผ่นดินเย็นตัวลง
ดูเหมือนว่าในคำทำนายของดาเนียลได้บอกใบ้เอาไว้ว่า ชาวยิวจะเอาตัวรอดพร้อมกับคนเหล่านั้น
ที่เป็นคนชอบธรรม และถูกคัดไว้ต่างหากจากพระเจ้า และพร้อมที่จะปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระตุลาการ
คนชอบธรรมเหล่านี้จะยินดีปรีดาที่ได้ถูกไว้ชีวิต และจะตั้งตาคอยให้ไฟนั้นค่อยๆ มอดไปภายใน 45 วัน
อาจจะเป็นได้ที่จะมีผู้ชอบธรรมบางคนตายไปในระหว่างไฟกำลังไหม้ คงจะเป็นการชำระล้างให้วิญญาณ
บริสุทธิ์ บรรดาปิตาจารย์ต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่า คนบาปนั้นไม่เว้นใครเลย จะต้องพินาศไป
ในเปลวไฟอย่างแน่นอน แต่พระเมตตาของพระองค์ คงจะช่วยให้บางคนได้รอดฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือน
ในยุคของโนอาห์ที่มีบางคนได้รอด การต้องทนทุกข์ในการถูกเผาไหม้ ก็จะเป็นเสมือนไฟชำระวิญญาณของ
พวกเขา จะได้รับการอภัยโทษ และถูกชำระล้าง แล้วก็จะเข้าร่วมกับขบวนของบรรดานักบุญ ซึ่งจะรวมเฝ้า
แหนองค์พระผู้เป็นเจ้า
เหตุการณ์ที่ 5 การฟื้นคืนชีพพร้อมๆ กันของผู้ตายภายในพริบตาเดียว
ในพิธีกรรมบางตอนก็มีกล่าวไว้ว่า การฟื้นคืนชีพของร่างกายนี้ จะพื้นมาจากขี้เถ้าที่ยังอุ่นๆ (ex favila)
แต่ไม่ถึงกับร้อนจัด คือหลังจากไฟประลัยกัลป์แล้ว จะมีช่วงเวลาพอสมควรที่ทำให้โลกเย็นลง คงจะเป็นเวลา
ที่มีการกลับเป็นขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทั้งผู้ชอบธรรมและผู้ถูกสาป ณ ต้นศตวรรษที่กำลังมาถึง ซึ่งมีกล่าว
ในพระคัมภีร์และในบทสัญลักษณ์
เหตุการณ์ที่ 6 ทันทีหลังจากการฟื้นคืนชีพผู้ชอบธรรม จะกลับมีชีวิตในร่างกายตามปกติ แล้วจะถูก
ยกขึ้น เหมือนกับผู้ชอบธรรม (ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว) ที่กลับฟื้นคืนชีพ และถูกนำสู่สวรรค์ต่อพระพักตร์
พระเยซู ซึ่งจะเสด็จลงมาจากเบื้องบนสู่บรรยากาศบนโลก เพื่อพิพากษาผู้เป็น (ผู้ชอบธรรม)
และผู้ตาย (ผู้ถูกสาป)
ปฏิบัติการอันนี้จะรวดเร็ว แบบไม่มีอะไรขั้นกลางระหว่างการฟื้นคืนชีพของผู้ตายและการพิพากษา
เหตุการณ์ที่ 7 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทสัญลักษณ์ "ดังนั้นพระองค์จะเสด็จมาด้วยพระสิริ
เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย และอาณาจักรของพระองค์จะไม่มีสิ้นสุด"
เหตุการณ์ที่ 8 การฟื้นฟูท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นความเชื่อของชาวคริสต์ที่ว่า โลกเราหลังจากถูก
ทำลายด้วยไฟประลัยกัลป์แล้ว ท้องฟ้า และแผ่นดินโลกของเรา โดยอาศัยพลังของพระเจ้า
ก็จะได้รับรูปโฉมใหม่ และดีกว่าเก่า ซึ่งเรียกว่า "โลกใหม่"
หวังว่าเราจะพบกันในโลกใหม่ ที่มีฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่

---🔹--- จบบริบูรณ์ ---🔹---
ตอบกลับโพส