(2)”ชนวนสงครามล้างโลกนอสตราดามุส พยากรณ์” (16-30)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 7:56 pm

(ตอนที่ 16-30 )


🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (1 6 )👈

🔥--- การทำลายป่ามีผลภัยตามมาถึง 4 ประการ ---🔥

          ผลเสียประการที่หนึ่ง ทำให้เกิดน้ำท่วม กรณีน้ำท่วมในบังกลาเทศ น้ำจากหิมะละลายไหลบ่าลงมา
ดินไม่อาจดูดซับน้ำได้หมด แต่รากของต้นไม้จะดูดซับน้ำได้เป็นจำนวนมาก ส่งต่อมายังลำต้น กิ่งก้านและ
ใบ และระเหยเป็นไอน้ำ ก่อให้เกิดเมฆฝนวนเวียนกันเช่นนี้ ต้นไม้ยังช่วยยึดดิน รักษาความอุดมสมบูรณ์
ของหน้าดินไว้ได้อีกด้วย
ผลเสียหายประการที่สอง คือภาวะการณ์เรือนกระจก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาป่า
กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศ ครอบคลุมกั้นมิให้ความร้อนระเหยออกไปจากผิวโลก ทำให้อุณหภูมิของโลก
สูงขึ้น 0.5 °C หากอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงถึง 60 เมตร
เมืองใหญ่ ๆ จะจมอยู่ใต้ทะเล รวมทั้งลอนดอน นิวยอร์ค และกรุงเทพฯ
ผลเสียหายประการที่สาม คือสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป พืชสัตว์จะสูญพันธุ์ ประมาณว่าสิ่งมีชีวิตอีก
ประมาณ 5-10 ล้านชนิดจะสูญพันธุ์อีก 10 ปีข้างหน้า ป่าเขตร้อนแหล่งกำเนิดของสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยา
เมื่อป่าถูกทำลาย สมุนไพรมีค่าก็พลอยสูญพันธุ์ไปด้วย
พืชและสัตว์ถูกทำลายโดยคนป่าไร้วัฒนธรรม การย้ายถิ่นที่อยู่ของชนเผ่านอแมต (NOMAD) ในอเมริกาใต้
คือแหล่งสลัมในเมืองริโอเดอจาเนโรของบราซิลในปัจจุบัน แต่คนที่เจริญแล้วสามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้
เร็วกว่า กว้างกว่าคนป่าเถื่อน ป่าดงดิบในลุ่มแม่น้ำอเมซอนกว้างใหญ่กว่าประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษรวมกัน
ถูกทำลายเพราะการทำเหมืองแร่เหล็กมูลค่าเพียง 600 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นเอง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโลกที่กำลังย่างเข้าศตวรรษที่ 21 นี้ นักวิทยาศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์กันอย่าง
มากว่า วิถีชีวิตและความเจริญอย่างไร้ขอบเขตทางวัตถุของมนุษย์ กำลังก่อผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของ
โลกอย่างรุนแรงและน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศที่เพิ่มความร้อนระอุให้แก่
โลก และการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาคที่ทำให้เกิดการเสียสมดุลของมวลชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้อุบัติขึ้นและขยายตัว
ออกไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
ระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม 2533 นี้มีการสัมมนาเรื่อง "ผลกระทบของระบบนิเวศวิทยาเขตร้อนเมื่อ
โลกเปลี่ยนแปลง" ซึ่งจัดโดยสาขาชีววิทยาแห่งสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่โรงแรมรอยัลออร์คิด
เชอราตัน กรุงเทพฯ สรุปว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลกที่กำลังกลายเป็นปัญหามลภาวะในชั้น
บรรยากาศของโลกนี้ มีสาเหตุมาจากสารเคมีที่มนุษย์ผลิต และนำมาใช้ในกิจกรรมประจำวันของมนุษย์ และ
เป็นตัวการที่เข้าไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน หรือที่เรียก
ย่อ ๆ ว่าสารซี.เอฟ.ซี. ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ ใช้ทำโฟม และเป็นสารขับละออง หรือสเปรย์ สารนี้
จะไปทำลายชั้นโอโซนที่ทำหน้าที่กลั่นกรองรังสีอุลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ได้ถึง 95 % รังสีนี้หากมีมาก
เกินไปจะมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลก
ผลเสียหายประการที่สี่ ที่มีผลต่อมลภาวะของโลกก็คือเกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน ทำให้รังสีจากแสงอาทิตย์
ส่องผ่านเข้ามาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้น ซึ่งคาดกันว่าอีก 100 ปีข้างหน้า อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น 1.5 - 4 องศา
เซลเซียส หรือ 3 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ย ผลของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้วัฏจักรของน้ำเปลี่ยนไป
คือเมื่อ อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีการขยายตัวของน้ำมากขึ้น ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น หรืออาจเกิดจากภูเขาน้ำแข็งจาก
ขั้วโลกละลาย โดยคาดว่าอีก 100 ปีข้างหน้า น้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 1.5 เมตร จะมีผลให้แผ่นดินที่อยู่ชายฝั่งทะเล
ต้องจมน้ำหมด สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ก็ต้องเสียหาย นอกจากนั้นตลิ่งจะถูกเซาะมากขึ้น ภูเขาจะจมหายเนื่องจาก
น้ำทะเลจะท่วม เข้ามาในแผ่นดินถึง 20 กิโลเมตร นั่นหมายความว่า ก.ท.ม.เองก็ต้องจมใต้น้ำ
นอกจากนั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังวิตกว่า ในกรณีที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น จะทำให้เกิดพายุบนโลก
มากขึ้น กล่าวคือ อุณหภูมิของโลกหากสูงขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสก็จะผลให้เกิดพายุบนโลกมากขึ้น เนื่องจาก
ความร้อนจะเป็นตัวเร่งให้มีการม้วนตัวของอากาศมากขึ้น ซึ่งจากสถิติอุณหภูมิตั้งแต่ปี 1980 - 1989 อุณหภูมิ
ในมหาสมุทรแปซิฟิกสูงขึ้นปีละ 0.1 องศาเซลเซียสก็ทำให้เกิดพายุมากขึ้นกว่าปกติแล้วในบริเวณนี้ และจาก
ข้อสังเกตสำหรับเมืองไทยพบว่าในช่วงเดือนตุลาคม พายุที่พัดผ่านประเทศไทยน่าจะลดลงเนื่องจากมีลมหนาว
พัดผ่าน แต่ปรากฏว่าในช่วงนี้กลับมีพายุมาก และจากผลของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น จะทำให้ฝนตกชุกในบางบริเวณ 
และเกิดความแห้งแล้งในบางบริเวณ เนื่องจากฝนไม่ตก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ผลผลิตตามบริเวณต่าง ๆ ของโลก
เปลี่ยนแปลงไป คือ บางบริเวณจะมีผลผลิตสูงขึ้น แต่ในบางแห่งจะมีผลผลิตลดลง ส่วนสิ่งมีชีวิตบนโลกนั้นที่ไม่
สามารถทนต่อความร้อนที่สูงขึ้นได้ ก็จะตายและสูญพันธุ์ไป
ส่วนวิธีการที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดังกล่าวข้างต้นที่รู้จักกันในชื่อ "ภาวะเรือนกระจก" นั้นจะต้องลด
การใช้เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล คือน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะไปห่อ
หุ้มชั้นบรรยากาศของโลก ไทยควรหันมาใช้พลังงานแสงแดด ลม แทน เป็นต้น และที่สำคัญคือต้องลดการใช้
สารซี.เอฟ.ซี. ซึ่งจากสถิติปรากฏว่าสารนี้เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศของโลกปีละ 5% แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้
ได้มีการประชุมกันในระดับโลกหลายครั้งแล้ว และสำหรับประเทศไทยได้กำหนดให้ปี 1999 เป็นการเริ่มต้น
ปลอดสาร ซี.เอฟ.ซี. นั่นหมายความว่านับแต่นั้นจะต้องไม่มีการใช้สาร ซี.เอฟ.ซี. ในการผลิต
แต่อย่างไรก็ตาม ดร.วอร์เรน วาย บรอกเคลแมน จากมหาวิทยาลัยมหิดลให้ทัศนะว่า การเปลี่ยนแปลง
ของอุณหภูมิของโลกนั้นน่าจะมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาค เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
ของอุณหภูมิของโลกนั้นจะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ และสลับสับเปลี่ยนกันไป เช่น โลกเคยผ่านยุคน้ำแข็งมาแล้ว
และก็สามารถปรับตัวเองได้ในที่สุด แต่ปัญหาด้านชีวภาคนั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่เมื่อสูญเสียไปแล้ว ไม่สามารถ
ทำกลับคืนมาได้ เช่น ชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ๆ พัฒนาจากสปีชีส์ใช้เวลาเป็นล้านปีต่อหนึ่งสปีชีส์ ซึ่งถือว่า
การพัฒนาของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นใช้เวลาน้อยกว่าการเกิดสปีชีส์หนึ่ง ๆ เป็นพันเท่า หากมีการสูญญเสียไป
ดังนั้นจำเป็นต้องอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า คือต้องมีการอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ของโลก ซึ่งสภาวการณ์เรื่องพื้นที่
ป่าไม้ของประเทศไทยในขณะนี้ลดลงไปอย่างมาก และได้ส่งผลถึงระบบชีวภาคของไทยและของโลกเป็นอย่างมาก
เช่น สัตว์ป่าที่หายากเริ่มสูญพันธุ์ไปแล้วหลายชนิด นอกจากการทำลายป่าไม้จะมีผลต่อระบบชีวภาคของไทยแล้ว
พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยซึ่งมีลักษณะเป็นหย่อมเล็ก ๆ และแต่ละแห่งไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้เมื่อป่าบริเวณนั้นเสื่อม
โทรมลง สัตว์ป่าไม่สามารถอพยพหนีจากป่าบริเวณนั้นไปบริเวณอื่นได้ทัน เพราะเป็นป่าผืนเล็กเมื่อเสื่อมโทรม
ก็จะหมดไปได้โดยเร็ว
ส่วนดร.เอ มาร์คแฮม ได้กล่าวถึงการอนุรักษ์ป่าเขตร้อน ซึ่งจะมีผลต่ออุณหภูมิของโลกว่า การเปลี่ยนแปลง
ของสภาพอากาศแม้นเพียงระยะสั้น ก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพป่าอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบ
อย่างรุนแรง เช่น เกิดสภาพแห้งแล้ง และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสัตว์ป่าที่จะไม่มีอาหารกิน นอกจากนั้นป่า
ในเขตร้อนยังเป็นตัวเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกถึง 50% หากป่าในเขตร้อนนี้ถูกทำลายไป ก็เท่ากับเป็น
การทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในโลกเพิ่มสูงขึ้น มีผลทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นด้วย วิธีแก้ไขปัญหานี้คือ
ต้องพยายามเก็บรักษาป่าไม้ดั้งเดิมที่โลกมีอยู่แล้วไม่ให้ลดน้อยลงไปอีก และต้องปลูกป่าเพิ่มขึ้นอีก 129 ล้าน
เฮกตาร์ เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ทั้งนี้ต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็น 2 เท่าคือ อีก 100 ล้าน เฮกตาร์
ในรอบ 10 ปีข้างหน้า และต้องมีการจัดการเรื่องป่าไม้ให้ดีไม่ใช่ใช้ครั้งเดียวแล้วหมดไป แต่ควรจะสามารถ
ใช้ได้เรื่อย ๆ
จะเห็นว่ามนุษย์ขาดสำนึกของความรับผิดชอบ ไม่รู้คุณค่าของธรรมชาติ มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งต้องการกอบโกยแสวงหาความมั่งคั่งใส่ตนและพวกพ้องโดยไม่คำนึงว่าโลกทั้งโลกได้สูญเสียอะไรไปบ้าง
สิบปีที่เหลือช่างสั้นนัก นานาชาติจะต้องร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์ธรรมชาติ หันหน้าเข้าประนีประนอมผ่อนปรน
โดยสันติวิธี เพื่อแก้ไขปัญหาขัดแยังด้วยใจที่เปิดกว้างและเป็นธรรม หาไม่วาระสุดท้ายของโลกก็จะมาถึงในไม่ช้า
ตามคำทำนายของนอสตราดามุส

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อาทิตย์ ก.ย. 03, 2023 9:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 8:29 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (17 )👈

🔥--- หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปัจจุบัน ---🔥
          พรพิเศษที่นอสตราดามุสได้รับจากพระเจ้านั้นสูงส่ง และล้ำลึก เพราะนอกจากที่เขาสามารถมองเห็น
ภาพของเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นการปะทะกันของกองทหาร การลุยข้ามแม่น้ำ เหล่านี้ล้วนเป็นรูปธรรมทั้งสิ้น
แต่สิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่มีองค์ประกอบที่ไม่เป็นรูปธรรม เขาก็ยังหยั่งรู้ได้ เช่น วิทยุ ซึ่งมาร์โคนี่ ชาวอิตาลี
ได้คิดประดิษฐ์ในปี 1895 ก็ไม่เกินความสามารถของนอสตราดามุสไปได้ ดังจะเห็นได้ในโคลงต่อไปนี้
บทที่ 63/1
Les fleurs passez diminue le monde,
Long temps la paix terres inhabitees,
Seur marchera par Ciel, terre, mer & onde,
Puis de nouveau les guerres suscitees
หลังสงคราม, โลกดูเล็กลง
สันติภาพจะคงอยู่นาน แต่แผ่นดินไร้ผู้คน
"เมืองน้อง" จะเดินไปมาทั้งทางท้องฟ้า, ทางบก,
ทางทะเลและทางคลื่น
และแล้วสงครามก็จะปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
          และในโคลงบทที่ 4/ 4 นอสตราดามุสต้องการเน้นคำว่า "เมืองน้อง" นั้นเขาหมายถึงประเทศอิตาลี
ให้เราดูในบรรทัดที่ 4 ที่ว่า Seure Italie sera chassant Celtiques. เมืองน้องอิตาลีจะไล่ตามเมือง
พี่ฝรั่งเศสมาติด ๆ
🔥--- วิทยุ ---🔥
          โคลงบทที่ 44/3 มีดังนี้
Quand I'animal à I' homme domestique,
Apres grands peines & sauts viendra parler,
De foudre à vierge sera si malefique,
De terre prinse & suspendue en l'air.
เมื่อสัตว์ถูกเลี้ยงให้เชื่องจนอยู่กับคนได้แล้ว
หลังจากใช้ความพยายามและผ่านความยากลำบาก
มันก็เริ่มพูดได้
เวลาฟ้าแลบจะทำอันตรายให้เสาอากาศที่ส่วนหนึ่งแขวนอยู่บนอากาศ
อีกส่วนหนึ่งปักลงดิน
          หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว โลกเราเริ่มพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีขึ้นมาเรื่อย ๆ มีการประดิษฐ์
รถจักรไอน้ำ (1825), รถยนต์ (1896), เครื่องบิน (1903) และเรือสมุทรกันอย่างกว้างขวาง การคมนาคม
ก็สะดวกขึ้นเรื่อย ๆ  การไปมาหาสู่ก็มีมากขึ้นเป็นลำดับจึงทำให้ดูเหมือนว่าโลกเราเล็กลงไป โลกเราก็มี
สันติภาพอยู่ไปนานพอสมควรคือประมาณ 20 ปีถึงแม้ประชากรของโลกต้องลดไปบ้าง เพราะสงครามเพิ่ง
ผ่านไปหยก ๆ นอสตราดามุสเป็นชาวฝรั่งเศสแต่บรรพบุรุษมาจากอิตาลี จึงมีความผูกพันอยู่กับอิตาลีเสมอมา
เปรียบเป็นบ้านพี่เมืองน้องนั่นเอง ดังคำโคลงในบทที่ 4/4 ว่า Seure Italie "เมืองน้อง อิตาลี" ซึ่งเจริญขึ้น
ในการคมนาคมทั้งทางอากาศ ทางบก ทางทะเล และโดยเฉพาะทางคลื่น (วิทยุ) ซึ่งนอสตราดามุสต้องการ
เน้นเป็นพิเศษ สิ่งนั้นก็คือ การประดิษฐ์วิทยุ โดย กูลีเอมโม มาร์โคนี (GUGLIEMMO MARCONI 1874 - 1937
) ในปี 1895 ในนิมิตของนอสตราดามุสที่เห็นเครื่องรับวิทยุพูดได้เหมือนคนทั้ง ๆ ที่หน้าตาของมันก็เป็นแค่
วัตถุชิ้นหนึ่งเท่านั้น ก็เลยเรียกสิ่งนี้ว่า "สัตว์" ส่วนในบรรทัดที่ 3, บรรทัดที่ 4 ก็พรรณาถึงเสาอากาศ เพราะวิทยุ
รุ่นแรกต้องใช้เสาอากาศ ยังไม่มีระบบทรานซิสเตอร์ ก็ต้องยอมรับในอัจฉริยภาพของนอสตราดามุสที่
"มองเห็น" ประดิษฐกรรมใหม่ล่วงหน้าถึง 300 ปี!
🔥--- ภาพยนตร์ ---🔥
          ตอนนี้เรามาดูประดิษฐกรรมอีกชิ้นหนึ่งคือ ภาพยนตร์ ทั้งเสียงในฟิล์มและภาพยนตร์ ใบ้ว่า
เขาสามารถพรรณาได้อย่างไร ตามคำโคลงบทที่ 10/1
Serpens transmis en la cage de fer.
Où le enfans septains du Roy sont prins,
Les vieux & peres sortiront bas de l'enfer,
Ains mourir voir de fruict mort & cris.
งูขดอยู่ในกรงเหล็ก
ที่มีลูกกษัตริย์ 7 พระองค์ขังอยู่
ผู้เฒ่าผู้แก่และพ่อแม่จะออกมาจากอเวจี
ก่อนที่จะตายจะได้เห็นผลงานที่ไม่มีชีวิต (ใบ้) ของเขาร้องเสียงขรม
ในวรรคที่ 1 ก็คือฟิล์มภาพยนตร์ที่ม้วนเหมือนงูอยู่ในม้วนภาพยนตร์ (รีล) โดยมากทำด้วยเหล็ก
ในวรรคที่ 2 ในฟิล์มนั้นก็มีภาพที่เราบันทึกเอาไว้ซึ่งเป็นสีสันต่าง ๆ ซึ่งสีนั้นก็ต้องเป็นสีรุ้งซึ่งมี
อยู่ 7 สีจากแสงอาทิตย์ (กษัตริย์) นั่นเอง
ในวรรคที่ 3 ในฟิล์มนั้นก็เป็นภาพบันทึกบรรพบุรุษ พ่อแม่ของเรา ซึ่งถึงแม้ท่านได้สิ้นชีวิตไปแล้ว
แต่ก็จะเห็นภาพท่านตอน (ที่ท่านไปไหนมาไหน) ยังมีชีวิตอยู่
ในวรรคที่ 4 ท่อนที่พี่น้องตระกูลลือเมียร์ (LUMIERE) ผู้ประดิษฐ์หนังใบ้จะตายไป ก็จะได้ชมหนังใบ้
ของตน พูดและร้องได้ (เพราะคงพัฒนาให้เป็นภาพยนตร์มีเสียงพูดได้แล้วในตอนก่อนตายนั้น)
🔥--- ฆ้อน - เคียว ---🔥
          นอสตราดามุส ศาสนิกผู้ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า ต้องสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ที่มองเห็น
ลัทธิอุบาทว์ที่ได้อุบัติขึ้น นั่นก็คือลัทธิคอมมิวนิสต์ ดังคำโคลงบทที่ 52/1 ดังนี้
Les deux malins de Scorpion conioincts,
Le grand seigneur meurdry de dans la salle:
Peste à L'Eglise par le nouveau Roy ioinct,
L'Europe basse et Septentrionale.
สองสิ่งชั่วร้ายถูกมัดรวมกันเป็นแมลงป่อง
เมื่อพระมหากษัตริย์ถูกลอบปลงพระชนม์ภายในท้องพระโรง
กษัตริย์ใหม่นำเชื้อโรคระบาดมาสู่พระศาสนจักรทั้งมวล
ทั่วทั้งยุโรปจากเหนือจรดใต้
ในประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้สละราชสมบัติเมื่อ
วันที่ 15 มีนาคม 1917 แล้วต่อมาก็ถูกจับ และถูกเนรเทศพร้อมกับครอบครัวไปยังเมือง เอคคาเทอรินเนนเบอร์ก (Ekaterinenburg) ในไซบีเรีย (Siberia) แล้วก็ถูกสำเร็จโทษพร้อมครอบครัวในวันที่ 16 ก.ค. 1918
ในคำโคลงของบรรทัดที่ 1 นั้นกล่าวถึงสองสิ่งชั่วร้ายก็คือ ฆ้อนและเคียวมัดเข้าด้วยกันดูเหมือนรูป
แมลงป่องที่มีพิษร้าย นั่นก็คือลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีอุดมการชั่วร้ายที่ปฏิเสธศาสนาทุกศาสนา เพราะถือว่า
ศาสนาเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง พวกเราคนไทยเมื่อราว 30 - 40 ปีก่อนคงเคยได้ยินสโลแกนของรัฐบาล
ในสมัยนั้นจนชินหูคือ "คอมมิวนิสต์มาศาสนาหมด" เป็นบุญของชาวไทยที่ไม่ได้พ้องพานกับลัทธิอุบาทว์
เหมือนพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงได้ประสบมาด้วยความขมขื่นจนถึงทุกวันนี้
โคลงบทนี้ก็สะท้อนถึงความสะเทือนใจของนอสตราดามุส อีกรูปแบบหนึ่งที่มีต่อพระศาสนา
บ่งถึงศรัทธาอันมั่นคงที่มีต่อพระเจ้าของนอสตราดามุส

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 8:37 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (18 )👈

🔥--- ฟรังโก ---🔥
          ภาพอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองของสเปนซึ่งนานถึง 3 ปี ไม่พ้นญาณทัศน์ของ
นอสตราดามุสไปได้ ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังยุคของนอสตราดามุสถึง 380 ปีก็ตาม เขารู้แม้กระทั่ง
ชื่อของ ฟรังโก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของสงครามกลางเมืองครั้งนี้ ดังคำโคลงบทที่ 54/3
L'un des plus grands fuyera aux Espaignes,
Qu'en longue playe apres viendra saigner,
Passant copies par les hautes montaignes,
Devastant tour, & puis en paix regner.
หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจะหนีเข้าสเปน
สเปนจะต้องหลั่งเลือดทาแผ่นดินจนทั่วหน้า
เขาจะยาตราทัพเข้ามาผ่านเทือกเขาสูง
ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า แล้วเขาจะปกครองประเทศให้ร่มเย็น
และโคลงบทที่ 16/9 ที่ระบุชื่อเขาอย่างชัดแจ้ง De castel Franco sortira I'assemblee.
ฟรังโกชาวแคว้นคาสติญ ถูกเนรเทศไปจากสเปนในปี 1936 เขาถูกส่งไปยังเกาะคานารี เป็นผู้บัญชาการ
ทหารหน่วยเล็ก ๆ เขาไปยังโมรอคโคเพื่อซ่องสุมกำลัง แล้วย้อนกลับเข้าสเปนโดยมีกำลังจากเยอรมัน
10,000 คน จากอิตาลี 50,000 คนข้ามเทือกเขาปีเรเนส์ (Pyrénées) (นี่เป็นการมองเห็นของนอสตราดามุส
เพราะจริง ๆ แล้วน่านำทัพเข้าทางเมดิเตอเรเนียน) แล้วเข้าทางชายแดนทางเหนือของสเปนเพื่อมาขับจอม
เผด็จการรีเวรา (Primo de Rivera) การปะทะกันครั้งนี้ใช้เวลา 3 ปี คือตั้งแต่ปี 1936 ถึง 1939 ฟรังโกจึงจะ
ปราบรีเวราได้สำเร็จ ประชาชนและทหารสูญเสียชีวิตไป 611,000 คน บาดเจ็บและพิการอีกต่างหาก และ
แล้วฟรังซิสโก ฟรังโก (Francisco Franco) ก็ครองสเปนในฐานะ เกาดิโย (Caudillo) ผู้เผด็จการแต่ผู้เดียว
อย่างสงบสุขเป็นเวลาถึง 40 ปีโดยไม่ยอมร่วมเข้าเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน ตามที่นอสตราดามุสได้ระบุไว้
ในโคลงบรรทัดสุดท้ายทุกประการ
🔥--- มุสโสลินี ---🔥
          นอสตราดามุสได้พาเราไปพบจอมเผด็จการมา 3 คนแล้ว คือ นโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ฮิตเลอร์แห่ง
เยอรมัน ฟรังโกแห่งสเปน และต่อไปนี้นอสตราดามุสจะพาเราพบจอมเผด็จการแห่งอิตาลี ผู้นั้นก็คือ
เบนิโต มุสโสลินี (BENITO MUSSOLINI)
ชีวิตในวัยเด็กจะเหมือน ๆ กันทั้ง 4 คน ดังในโคลงบทที่ 41/5
Nay sous les ombres & iournee nocturne,
Sera en regne & bonté souveraine :
Fera renaistre son sang de l'antique urne,
Renouvellant siecle d'or pour l'airain.
เขาเกิดใต้ร่มเงาแห่งกลางวันที่มืดแล้ว
เขาจะปกครองด้วยคุณธรรมแห่งกษัตริย์
เขาจะปลุกเพื่อนร่วมชาติของเขาให้แข็งแกร่งเยี่ยงบรรพบุรุษ
เขาจะฟื้นฟูจากยุคทองแดงให้เป็นยุคทอง
และในโคลงบทที่ 33/8
Le grand naistra de Veronne & Vincence,
Qui portera un surnom bien indigne:
ผู้ยิ่งใหญ่จะเกิดระหว่างเมืองเวโรนาและวิเซนซ่า
ผู้ซึ่งจะมีนามสกุลค่อนข้างต่ำต้อย
จอมเผด็จการ เบนิโต มุสโสลินี เกิดเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 1883 เวลา 14:00 น. ณ ตำบลเปรดาปีโอ
(Predapio) ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองใหญ่สองเมืองคือ เวโรนา (Verona) และ วิเซนซ่า (Vicenza) และนามสกุล
มุสโสลินี ก็แปลว่า ผู้ทอผ้ามัสลิน ในสมัยนั้นถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เวลาตกฟากของ
มุสโสลินีก็คือเวลา 14:00 น. ซึ่งถือเป็นเวลากลางคืนสำหรับนักโหราศาสตร์ เวลากลางวันเขานับตั้งแต่
เที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน ฉะนั้น นอสตราดามุสจึงพรรณาการตกฟากของเขาแปลก อาจจะทำให้พวกเราที่ไม่รู้วิชา
โหราศาสตร์ว่าเขานับวัน - คืนกันอย่างไร คำพรรณาของเขาดูเหมือนจะแย้งกันในตัว คือ ที่เขาว่าเกิดใต้ร่ม
เงาของกลางวันที่มืดแล้ว iournee nocturne.
มุสโสลินีถีบตัวขึ้นมาจากเป็นครูชั้นประถมศึกษา จนได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี มีอิทธิพลเหนือกษัตริย์
วิคเตอร์ เอมมานูแอลที่ 3 นอสตราดามุสจึงพรรณาในคำโคลงว่าเขาจะเถลิงอำนาด้วยคุณธรรมเยี่ยงกษัตริย์
อาศัยที่เคยเป็นครูมาก่อน เชาย่อมมีพรสวรรค์ในการพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชนิดคล้ายกับจอมเผด็จการเยอรมัน
ฮิตเลอร์ เสียจริง ๆ คำพูดปลุกใจประโยคหนึ่งของเขาก้องอยู่ในหูของชาวอิตาเลียนอยู่เสมอ ก็คือ VINCEREMO
"เราจะชนะแน่ ๆ" ทำให้ชาวอิตาเลียนตอนนั้นเคลิบเคลิ้มไป อย่างไรก็ตามเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่
จะพัฒนาชาติให้รุ่งเรือง เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนชาวยุโรปทั่วไปให้ได้ เขาจึงมักจะพูดปลุกใจให้เยาวชนได้มี
ความขยันขันแข็งเช่นเดียวกับบรรพบุรุษที่ทรหดอดทนมาตลอด เขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะฟื้นฟูอิตาลี
ให้กลับมาเป็นยุคทองอีกให้ได้ เพราะเขาถือว่ายุคของเขาตกต่ำมาเป็นแค่ยุคทองแดงเท่านั้น ตามความเชื่อ
ในสมัยนอสตราดามุส แบ่งยุคต่าง ๆ เป็น 4 ยุค คือ
1. ยุคทอง คือยุคที่แผ่นดินมีผลิตผลที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
2. ยุคเงิน คือยุคที่มนุษย์เริ่มทำงานบนแผ่นดิน นั่นก็คือทำการเกษตร
3. ยุคทองแคง คือยุคต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่โลกยังมีความยุติธรรม, ความซื่อสัตย์
และผู้คนมีความเชื่อมั่นในศาสนา
4. ยุคเหล็ก คือยุคแห่งความชั่วร้ายซึ่งแผ่นดินจะไม่ให้ผลผลิต (เป็นหมัน) ความชั่วช้า ,
อยุติธรรมและอาชญากรรมจะครอง
ก็คงจะเป็นความใฝ่ฝันของมุสโสลินีที่ค่อนข้างจะเหลือวิสัย
มุสโสลินีได้มาถึงจุดจบพร้อมกับชู้รักชื่อ เปตัชชี (Petacci) ที่ตำบลดองโก (Dongo) ใกล้ทะเลสาบ
โคโม เขาถูกจู่โจมจากหัวหน้าขบวนการสังคมนิยมอิตาลี ใช้ชื่อรหัสว่า วาเลรีโอ (Valerio) ขณะนายวาเลรีโอ
จะยิงนางเปตัชชีอยู่ ก็มีกระสุนผ่านหลังเขาไปโดนนางเปตัชชีดับในบัดดล โดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร
มุสโสลินีก็รู้ว่าจุดจบของตนมาถึงแล้ว จึงแหกอกเสื้อท้าให้นายวาเลรีโอ ยิงอย่างไม่สะทกสะท้าน
แล้วศพของทั้งสองก็ถูกใส่รถบรรทุกนำไปประจานที่กลางเมืองมิลาน
🔥--- ตระกูลเคนเนดี้ ---🔥
          ตอนนี้นอสตราดามุสจะพาไปพบเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นทางดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งช่วงที่
นอสตราดามุสบันทึกเหตุการณ์นั้น ดินแดนนี้ยังเป็นที่รกร้างว่างเปล่า แล้วจึงจะมีผู้คนอพยพไปอยู่ และมี
การปกครองที่ผิดแผกแตกต่างไปจากยุโรปยุคนั้น เขาเรียกว่าดินแดนแห่งดุลยภาพ เขาคงยังไม่รู้จักคำ
ประชาธิไตย เป็นแน่ แค่นี้เราก็ถือว่านอสตราดามุสมองเห็นอนาคตไกลโพ้นทีเดียว
ตั้งแต่สหรัฐอเมริกามีกำเนิดเกิดมาได้ 200 ปีเศษแล้ว ก็ยังไม่มีประธานาธิบดีคนใดที่มีประวัติ
โดดเด่นเช่นจอห์น เอ็ฟ.เคนเนดี้ ซึ่งนอสตราดามุสได้บันทึกไว้ในโคลงบทที่ 26/1
Le grand du fouldre tombe d'heure diurne,
Mal & predict par porteur postulaire:
Suivant presage tombe d'heure nocturne,
Conflict Reims, Londres; Etrusque pestifere.
สายฟ้ามหาภัยกระหน่ำบุรุษหนึ่งตอนกลางวันแสก ๆ
การกระทำชั่วนั้นได้มีการทำนายไว้ก่อนแล้ว จากผู้หนึ่งซึ่งวิงวอน
ให้เขาเชื่อตามคำทำนาย อีกคนหนึ่งจะถูกกำจัดในตอนกลางคืน
ขณะที่เกิดความขัดแย้งกันที่รีมส์, ลอนดอน และโรคระบาดในบริเวณของชาวเอตรุสกัน
และในโคลงบทที่ 14/4
La mort subite du premier pesonnage,
Aura changé & mis un autre au regne:
Tost, tard venu à si haut & bas aage,
Que terre & mer faudra que on le craigne.
การตายกระทันหันของผู้นำคนสำคัญ
จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและทำให้อีกผู้หนึ่งขึ้นมาปกครองแทน
เขาก้าวขึ้นมาในตำแหน่งสูงอันรวดเร็วตั้งแต่ยังหนุ่ม
แต่ก็ช้าเกินไป ผู้คนจะเกรงกลัวเขา ไม่ว่าจะมาจาก
ทางบกหรือทางทะเล
ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ เป็นประธานาธิบดีที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา 
เขามีอายุแค่ 46 ปี ขณะที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานธิบดีเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 1961
ในตอนเที่ยงวันของวันที่ 22 พ.ย. 1963 เขาถูกฆาตกรสาดกระสุนปืนทะลุท้ายทอยจนถึงแก่ความตาย
ขณะนั่งในรถเปิดประทุน ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวดัลลัส ทั้ง ๆ ที่นางจีน ดิกสัน ได้ทำนาย
การถูกฆาตกรรมของเขาเอาไว้ตั้งแต่ปี 1956 ตั้งแต่ที่เขายังไม่ได้รับตำแหน่ง เธอได้พยายามเตือนคนใน
ตระกูลนี้เพราะเป็นเพื่อนกันหลายครั้งหลายหนแล้ว  และเขาทั้งสองไม่ยอมปลงใจเชื่อ นอสตราดามุสได้
ทำนายว่าจะมีผู้พยากรณ์คือนางจีน ดิกสัน ทำนายเหตุการณ์ไว้แล้วอย่างน่าทึ่งที่สุด นอสตราดามุสได้
บรรยาย ในโคลงบรรทัดที่ 2 ต่อไปว่า อีกคนหนึ่งจะโดนลอบฆ่าในตอนกลางคืน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
นายโรเบิร์ต เคนเนดี้ ผู้น้องชาย ได้ถูกนายเซอร์ฮาน เซอร์ฮาน (Sirhan Sirhan) ลั่นกระสุนปืนยิงที่โรงแรม
แห่งหนึ่งในระยะเผาขน หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ ในการมีชัยในการหยั่งเสียงภายในพรรค เพื่อส่ง
เขาชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และในบรรทัดที่ 4 เป็นเหตุการณ์ขัดแย้ง ระหว่าง
นักศึกษาในฝรั่งเศสและอังกฤษ และเกิดน้ำท่วมใหญ่ในแคว้นทัศกานี หรือแคว้นของชาวเอตรุสกันโบราณ
ซึ่งต่างเกรงกันว่าจะเกิดโรคระบาดตามมาอย่างแน่นอน
ในโคลงบทที่ 14/4 นอสตราดามุสก็สาธยายต่อไปว่าเป็นการตายที่กระทันหันของผู้นำคนสำคัญ
แล้วนอสตราดามุสคงเห็นภาพเหตุการณ์นายจอห์นสัน ขึ้นสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในทันทีตามรัฐธรรมนูญ
อเมริกัน นอสตราดามุสคงเห็นเป็นสิ่งแปลก เพราะสมัยของเขาคงจะต้องมีขั้นตอนมากกว่านั้น เขาขึ้นมาใน
ตำแหน่งรวดเร็วตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่กระนั้นก็ดี มันช้าเกินไปแล้ว ที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่สมดังที่ตั้งใจไว้
ในบรรทัดสุดท้ายก็มีใจความว่า ขนาดทำงานยังไม่เต็มที่ก็ยังให้คนคร้ามไปทั้งโลกแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์
แก้ไขปัญหาด้วยความเด็ดขาด กรณีจรวดนำวิถีที่สหภาพโซเวียตที่จะนำมาติดตั้งในคิวบาเมื่อปี 1962
เป็นผลให้ นิกิต้า ครุชช้อฟ ของสหภาพโซเวียตต้องหมดอำนาจไปในที่สุด

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:06 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 19 )👈

🔥--- เหมาเจ๋อตุง ---🔥

          นอสตราดามุสได้พรรณาผู้นำคนสำคัญของยุโรป และตะวันตกไกลโพ้นด้วย "ญาน" อันชัดแจ๋ว
ของเขาแล้ว ตอนนี้ให้มาดูซิว่า "ญาน" ของเขามองได้กว้างไกลไปถึงตะวันออกได้อย่างไร
จากโคลงบทที่ 92/8
Loing hors du regne mis en hazard voyage,
Grand ost duyra pour soy l'occupera,
Le Roy tiendra les siens captif ostage,
A son retour tout pays pillera.
เขาถูกส่งไปในดินแดนไกลด้วยการเดินเท้าที่เสี่ยงภัย
เขาจะนำทัพที่ยิ่งใหญ่และยึดกองทัพเอาไว้สำหรับตนเอง
กษัตริย์จะยึดประชาชนของเขาเป็นเชลย
เขาจะปล้นทั้งประเทศตอนที่เขาจะกลับมา
นอสตราดามุสเพ่งญานมองเหตุการณ์ข้างหน้าเกือบ 400 ปี สามารถพรรณาประวัติชีวิตของผู้นำจีน
ที่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือ เหมา เจ๋อ ตุง ผู้ซึ่งเกิดแตกคอกับจอมพลเจียงไคเช็ค ผู้นำกองทัพฝ่ายจีนคณะชาติก๊กมินตั๋ง
ด้วยกำลังรบที่เหนือกว่า กองทัพของจีนคณะชาติได้พยายามที่ปิดล้อม และทำลายล้างกองทัพแดงของฝ่าย
เหมาเจ๋อตุงทุกวิถีทาง กองทัพแดงฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต อาศัยยุทธวิธีแบบกองโจร (guerrilla)
อย่างถึงพริกถึงขิง เมื่อจวนตัวกองทัพแดงก็พากันล่าถอยด้วยการเดินทางที่ยาวไกลถึง 9,700 กิโลเมตร
จึงกลายเป็นการเดินทัพประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกขนานนามกันว่า "การเดินทางที่แสนไกล"
เขาได้สู้รบกับฝ่ายก๊กมินตั๋งถึง 4 ปี ที่สุดก็สามารถขับไล่พวกเจียงไคเช็คให้ระเห็ดไปอยู่เกาะไต้หวันได้
ในปี 1949 นี่ก็ตรงกับกับโคลงบรรทัดที่ 2 ส่วนบรรทัดที่ 3 นั้นในทางการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุง
มิใช่เป็นแค่กษัตริย์ปกครองแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนศาสดาอีกด้วย เพราะประชาชนคลั่งไคล้ในตัวเขา
และโดยเฉพาะคำสอนในหนังสือเล่มแดงของเขา ประชาชนยอมสยบให้เขาโดยดุษณีย์ พูดอีกนัยหนึ่ง ประชาชน
ก็เหมือนตกเป็นเชลยหรือตัวประกันของตัวผู้เผด็จการนั่นเอง และในบรรทัดสุดท้ายนั้นก็แจ่มแจ้งดี เพราะในลัทธิ
คอมมิวนิสต์นั้น ประชาชนไม่สามารถมีอะไรเป็นของตัวเอง ทุกอย่างเป็นของกลางของรัฐทั้งหมด ไม่มีกรรมสิทธิ์
ในสิ่งของอันใดเลย นี่ก็เหมือนถูกปล้นจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นับเป็นการทำนายที่จะแจ้งชิ้นหนึ่ง
ของนอสตราดามุส
🔥--- เดอโกล ---🔥
          นอสตราดามุสได้ใช้ "ญาน" ของเขาพรรณาผู้นำคนสำคัญ ๆ ของหลายประเทศ ตอนนี้ให้เรามาดูซิว่า
เขาสามารถบรรยายผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสได้แค่ไหน ให้เรามาดูโคลงสั้น ๆ บรรทัดหนึ่งของเซ็นจูรี่ เล่มที่ 9
โครงบทที่ 33 ว่า
De gaule trois Guion surnommé
ผู้มีนามสกุลว่าเดอโกลจะเป็นผู้นำถึง 3 ครั้ง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในปี 1939 ฝรั่งเศสเตรียมตัวยังไม่พร้อมจึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
ฝรั่งเศสเซ็นสัญญายอมแพ้แก่เยอรมันในวันที่ 22 กรกฎาคม 1940 กองทัพเยอรมันปกครองฝรั่งเศสตอนเหนือ
ในขณะที่ยอมอนุญาตให้จอมพลเปแตง - จัดตั้งรัฐบาลขึ้นปกครองฝรั่งเศสตอนเหนือ รัฐบาลจอมพลเปแตง
มีเมืองหลวงอยู่ที่วิชี (VICHY) ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงได้สมญานามว่ารัฐบาลวิชี อย่างไรก็ตาม นายพลเดอโกล
ไม่ยอมรับการยอมแพ้ของฝรั่งเศส เขาไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ลอนดอน (ครั้งที่ 1) และรณรงค์คนฝรั่งเศสให้
ต่อสู้กับเยอรมันต่อไป
ในเดือนมิถุนายน 1944 กองทัพสัมพันธมิตรเริ่มปลดปล่อยยุโรป ด้วยการยกพลขึ้นบกที่หาดแคว้น
นอร์มังดีทางตอนเหนือของฝรั่งเศส (ครั้งที่ 2) ปีต่อมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยุติลง ฝรั่งเศสถึงแม้จะชนะ
แต่ก็สะบักสะบอม
ในช่วงปี 1946 - 1958 ฝรั่งเศสต้องพื้นฟูเศรษฐกิจตามโครงการมาร์แชลของสหรัฐ ช่วงนี้เดอโกลถอนตัว
ออกจากการเมืองไปใช้ชีวิตในชนบท แต่ได้เกิดวิฤติการณ์แอลจีเรียขึ้นในปี 1958 ทำให้บ้านเมืองอยู่
ในสถานการณ์เลวร้าย ประธานาธิบดีโคตี้จึงเชิญให้นายพลเดอโกลเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล และบริหารประเทศ
ต่อไป (ครั้งที่ 3) รัฐบาลเดอโกลได้มอบเอกราชให้แก่อัลจีเรียในปี 1962 นอกจากนั้นยังได้นำฝรั่งเศสให้ถอนตัว
ออกจากองค์การนาโต้ในปี 1966 อีกด้วย เขาลาออกเมื่อแพ้การลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครอง
ภูมิภาคในปี 1969
🔥--- โคไมนี ---🔥
          นอสตราดามุสได้ทำนายจอมเผด็จการชาวยุโรปไปหลายคนแล้ว ไปดูการทำนายจอมเผด็จการ
แถวตะวันออกกลางบ้าง นั่นก็คือการล่มสลายของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่มาแต่โบราณอย่างเหลือเชื่อ
ในโคลงบทที่ 70/1 ดังนี้
Pluye, Faim guerre en Perse non cessee,
La foy trop grande trahira le monarque,
Par la finie en Gaule commencee,
ฝน ความอดอยาก และสงครามจะไม่มีสิ้นสุดในเปอร์เซีย
ความไว้วางใจจนเกินควรจะทำให้กษัตริย์พินาศ
จุคจบของพระองค์ได้เริ่มต้นที่ฝรั่งเศส
เรื่องราวของอายาโตลลาห์ โคไมนี (AYATOLLAH KHOMEINI) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พ้นสายตา
ของนอสตราดามุส เขาเริ่มพรรณาถึงประชาชนชาวเปอร์เซียซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
เพราะแบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย นั่นก็คือ ฝ่ายหนึ่งของพระเจ้าชาร์ซึ่งมีหัวก้าวหน้าและอิงอเมริกา อีกฝ่ายหนึ่ง
นำโดยโคไมนี ซึ่งมีอุดมการณ์สูงส่ง ที่นำประชาชนกลับเข้ามาถือประเพณีเดิมที่เคร่งครัดในการปฏิบัติ
ศาสนกิจ โดยนำเอากฏของศาสนาอิสลามมาใช้เป็นกฎหมายของประเทศ เพราะความขัดแย้งทางความคิด
อันนี้ จึงทำให้โคไมนีถูกเนรเทศไปอยู่อิรักถึง 15 ปี แล้วที่สุดก็หลบไปลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส โดยมีความมุ่งมั่น
ที่จะปฏิวัติเปอร์เซียให้เป็นรัฐอิสลามให้จงได้
มาถึงตรงนี้เราก็จะเห็นว่านอสตราดามุสได้ทำนายไว้ล่วงหน้าถึง 400 ปี ก็เป็นจริงตามนั้น เขาใช้
คำว่า "ฝน" ทุกครั้งที่มีการปะทะกันจนถึงเลือดตกยางออก
แต่ในบรรทัดต่อไปเราจะทึ่งมากไปกว่าอีก คือพระเจ้าชาร์จะต้องถูกโค่น เพราะขณะนั้นพระเจ้าชาร์
ซึ่งมีกองทัพอันแข็งแกร่ง เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับอเมริกา อย่าว่าแต่พลพรรคของพวกโคไมนีเลย
แม้ประเทศอาหรับทั้งภาคตะวันออกกลางก็ไม่มีใครกล้าหือ แต่เพราะความเชื่อมั่นในพระองค์เองเกินไปนั่นเอง
จึงเพลี่ยงพล้ำต่อกลุ่มคนเพียงหยิบมือ แต่เร่าร้อนไปด้วยพลังในศาสนา ก็สามารถพลิกสถานการณ์ไปได้อย่าง
ไม่น่าเชื่อ ถ้าเราอ่านคำโคลงบทนี้ของนอสตราดามุสก่อนจะเกิดเหตุการณ์ เราคงจะหัวเราะเยาะนอสตราดามุส
🔥--- อ.ต.ร. แห่งศตวรรษที่ 20 ---🔥
          นอสตราดามุสได้พรรณาถึงผู้นำที่สำคัญ ๆ มามากแล้ว ตอนนี้ให้เรามาดูเขาพรรณนาถึงอ้ายตัวร้ายแห่ง
ศตวรรษที่ 20 โดยที่นอสตราดามุสเป็นนายแพทย์ และเคยผจญกับกาฬโรคมาแล้ว แม้แต่ลูกและเมียก็โดน
โรคร้ายคร่าชีวิตอย่างช่วยไม่ได้ด้วยการเพ่งญาณ เขาสามารถมองเห็นโรคระบาดที่คุกคามสังคมมนุษย์
ก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 และโรคระบาดแห่งศตวรรษที่ 20 จะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากโรคเอดส์ ซึ่งเขาระบุว่ามัน
จะระบาดในประเทศตะวันตก โดยใช้ตำแหน่งที่ตั้งดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ โคจรมาอยู่ในราศีพิจิก มา
เป็นเครื่องชี้เวลาตามวิชาดาราศาสตร์ ซึ่งก็จะตกในเดือนกันยายน 1993 ที่โรคนี้จะระบาดอย่างสุดขีด
ตอนนี้ให้เรามาวิเคราะห์สิ่งที่นอสตราดามุสได้บรรยายไว้ ในโคลงบทที่ 75/3
Pau, Verone, Vicence, Sarragousse,
De glavies loings, terroirs de sang humides,
Peste si grande viendra a la grand gousse,
Proche secours, & bien loing les remedes.
โป (ฝรั่งเศส), เวโรนา (อิตาลี), วิเชนซ่า (อิตาลี), ซาราโกซา (สเปน)
ดาบที่เปียกชุ่มจะมาจากดินแดนไกล
โรคระบาดมหาภัยจะมาในรูปของสัตว์ปีกแข็ง
การบรรเทาอยู่ใกล้ การรักษาให้หายขาดยังอยู่ไกล
ในบรรทัดแรก นอสตราดามุส เพียงระบุชื่อเมืองในยุโรปเพื่อให้สัมผัสในเชิงกวีเท่านั้น ส่วนบรรทัดที่ 2
นั้นที่ว่าดาบที่เปียกชุ่ม จะหมายถึง อวัยวะเพศชายที่ชุ่มไปด้วยเลือด หรือปลายเข็มที่ติดเชื้อของพวกติดยาเ
สพติดก็ได้ และเชื้อที่ติดมาที่ปลายเข็ม หรือปลายอวัยวะเพศคือเชื้อโรคเอดส์มีต้นกำเนิดมาจากอัฟริกา
จากการค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็พบแหล่งที่มาของโรคเอดส์ จนได้ทราบว่าเชื้อไวรัสร้ายนี้
เกิดขึ้นจากสัตว์ประเภทลิงเขียว (green monkeys) ในอัฟริกา ต่อมาลิงที่มีเชื้อได้กัดคน โรคจึงเริ่มแพร่
เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ และในบรรทัดสุดท้ายของนอสตราดามุสบอกว่า พอจะมียาบรรเทาอาการ HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือผู้มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์แต่ยังไม่เป็นเอดส์เต็มตัว คงจะพอบรรเทาอาการ
ไปได้ แต่ถ้าถึงขั้นเอดส์เต็มตัวแล้วตอนนี้ตายลูกเดียว นอสตราดามุสได้พูดเป็นนัยไว้ในโคลงอีกบทหนึ่งว่า
การเยียวยาโรคนี้ให้หายได้แน่นอนต้องกินเวลานาน ด้วยวิธีการพิลึกกึกกือ ดังในโคลงบทที่ 5/6 ดังนี้
Si grand famine par unde pestifere,
Par pluye longue le long du polle artique,
Samarobryn cent lieux de I'hemisphere,
Vivront sans loy exempt de pollitique.
จะเกิดความอดอยากอย่างสาหัส อันสืบเนื่องมาจากคลื่นที่ก่อให้
เกิดโรคระบาด มันจะมาพร้อมกับสายฝนอันยืนยาวจากขั้วโลกเหนือ
ซามารอบริน จะโคจรห่างจากพื้นโลก 100 ลีค
ณ ที่นั้นผู้คนจะใช้ชีวิตโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเว้นจากการเมือง
โคลงบทนี้มีคำที่เป็นปริศนาอยู่บรรทัดที่ 3 คำว่า 100 ลีค (lieux) ซึ่งเป็นมาตราวัดในสมัยนอสตราดามุส
เราสามารถเทียบเคียงได้จากโคลงบทอื่นที่นอสตราดามุสบอกว่า บ้านของเขาอยู่ห่างจากแม่น้ำโรน (RHON)
เป็นระยะทาง 3 ลีค ถ้าสมัยของเราก็คือ 8.1 ไมล์ ฉะนั้น 1 ลีคก็เท่ากับ 2.7 ไมล์ 100 ลีคก็เป็นระยะทาง 270 ไมล์
ระยะทาง 270 ไมล์เหนือโลกนั้นก็คืออวกาศนั่นเอง ตอนนี้ให้เรามาดูคำ ซามารอบริน (Samarobryn) มาจาก
ภาษาละติน เป็นคำสนธิระหว่างคำ ซามารา แปลว่าเมล็ดพันธ์ุพืช ซึ่งจะมีส่วนใบอ่อนงอกออกมาทางหัว มองดู
คล้ายปีก และคำโอบีเร (Obire) เป็นคำกริยา แปลว่า เดินรอบ ๆ หรือโคจร ฉะนั้นคำซามารอบรินก็คือเมล็ดพืช
ที่มีใบอ่อนงอกออกมาคล้ายปีกโคจรไปในอวกาศ ฉะนั้นคำซามารอบรินนัยที่หนึ่งก็คือ ยานอวกาศ และอีกนัยหนึ่ง
อาจหมายถึงตัวยา 2 ตัวที่อาจจะสามารถรักษาโรคเอดส์ได้ คือ ซูรามิน (Suramin) กับรีบาวิริน (Ribavirin)
โดยกรรมวิธีดึงส่วนสัมพันธ์ของสภาพไร้น้ำหนักที่ปราศจากแรงดึงดูดของโลกในห้องทดลองในอวกาศมาผสมเ
ข้าด้วยกัน งานค้นคว้าดังกล่าวนี้ได้เริ่มทำกันอย่างขมีขมัน เราหวังว่าคงจะได้ผลในเร็ววัน
ก่อนที่โรคเอดส์มหาประลัยนี้จะคร่าชีวิตมนุษย์ไป 2 ใน 3 ของพลเมืองโลกที่นอสตราดามุสได้กล่าวไว้

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:15 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (20 )👈

🔥--- พระศาสนจักรคาทอลิก ---🔥

          นอสตราดามุสได้เขียนทำนายเกี่ยวกับพระศาสนจักรคาทอลิกไว้หลายตอน ซึ่งไปตรงกับคำทำนาย
ของเซ็นต์มาลาคีแห่งไอร์แลนด์ซึ่งเกิดก่อนนอสตราดามุสถึง 400 ปี อย่างประหลาด
เซ็นต์มาลาคีเป็นสังฆราชแห่งเมืองคอนเนอร์ (Connor) ในไอร์แลนด์ ตายในปี 1148 ในวัยเด็กท่าน
ศึกษาเล่าเรียนกับฤาษีองค์หนึ่ง ซึ่งมีความศรัทธาต่อพระเจ้ามาก ท่านบวชเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุได้ 25 ปี
เมื่อได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช ท่านได้เดินทางจากไอร์แลนด์มาแสวงบุญที่กรุงโรม ระหว่างทางท่าน
แวะอารามฤาษีเบเนดิกตินที่เมืองเคียราวัลเล (chiaravalle) ได้พบกับเซ็นต์เบอร์นาร์ด นักปราชญ์ที่นั่น
ท่านทั้งสองสนิทสนมชอบพอกันมาก จนกระทั่งนักบุญมาลาคีทูลขออนุญาตต่อพระสันตะปาปา ขอลาออกจาก
ตำแหน่งสังฆราชมาเป็นฤาษีที่อารามนั้นแต่โป๊ปไม่ทรงอนุญาต ท่านจึงหันมาทำงานแพร่ธรรมและได้รับ
ความสนใจอย่างสูง ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และได้รับพระพรจากพระเจ้าถึง 2 อย่าง อย่างแรกคือสามารถทำ
อัศจรรย์หรือแสดงปาฏิหาริย์ เช่น รักษาคนเป็นโรคร้ายให้หายเป็นปกติ อย่างที่ 2 คือท่านสามารถทำนาย
อนาคตได้
ท่านนักบุญได้บันทึกไว้ในปี 1139 ว่าหลังจากที่ท่านได้ไปเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 2
(1130 - 1143) ท่านได้แวะเยี่ยมเพื่อนของที่เคียราวัลเล ท่านผู้นี้ก็คือเซนต์เบอร์นาร์ด
โดยที่กิตติศัพท์ล่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ท่านเซนต์เบอร์นาร์ดก็ขอให้ท่านทำนายถึงพระสันตะปาปา
ในอนาคต ซึ่งท่านก็ได้บอกพระราชสมัญญาถึง 111 พระองค์เป็นภาษาละตินสั้น ๆ เพียง 2 - 3 คำเท่านั้น
ต่อไปนี้ก็จะเป็นเอกลักษณ์หรือพระราชสมญา ของพระสันตะปาปาบางพระองค์ดังนี้
"ROSA UMBRIAE" -กุหลาบแห่งอุมเบรีย- ซึ่งเซ็นต์มาลาคีได้ให้พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 13
พระองค์ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 1758 ถึง 1769 ก่อนที่ท่านจะได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา พระองค์เป็น
เจ้าเมืองในแคว้นอุมเบรีย อยู่ที่เมืองรีเอตี (Rieti) และสัญลักษณ์ของเมืองนี้ก็คือดอกกุหลาบ
"BALNEIS ETRURIAE" -บ่อน้ำแร่แห่งทัสคานี- เป็นพระราชสมญานามที่ท่านให้กับ
พระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 16 ตั้งแต่ปี 1831 ถึง 1846 ก่อนที่พระองค์จะรับตำแหน่งพระสันตะปาปา
พระองค์เป็นนักบวชคณะคามาลโดเลซี (Camaldolesi) ซึ่งมีสำนักตั้งอยู่ที่บ่อน้ำแร่ใกล้เมืองฟลอเร็นซ์
แคว้นทัศกานี หรือเอตรุสกัน
"LUMEN CAELI" -แสงสว่างแห่งสวรรค์- เป็นพระราชสมญานามของโป๊ปเลโอที่ 13 ตั้งแต่ปี 1878
ถึง 1903 ระหว่างที่พระองค์ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา พระวิหารเซ็นต์ปีเตอร์มีการติดตั้งไฟฟ้าเป็นครั้งแรก
ต่อไปนี้จะเป็นพระราชสมญานามของสันตปาปา 3 พระองค์ ระหว่างปี 1903 - 1939 ซึ่งถือกันว่า
อยู่ในยุคทุกข์เข็ญ
ยุคของพระสันตะปาปาปีโอที่ 10 มีพระราชสมญานามว่า "IGNIS ARDENS" -ไฟอันร้อนแรง- พระองค์
เผาไฟอันร้อนแรงแห่งความรักต่อบรรดาลูก ๆ ของพระองค์ที่ต้องกระโจนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
พระสันตะปาปาเบเนดิกที่ 15 มีพระราชสมญานามว่า "RELIGIO DE POPULATA" -ศาสนาแล้งผู้คน
- เพราะอยู่ระหว่างปี 1914 - 1922 อยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนถูกกระทบกระเทือนจากสงคราม
และลัทธิวัตถุนิยมกำลังคืบคลานมาใกล้
"FIDES INTREPIDA" -ความเชื่อเด็ดเดี่ยว- เป็นพระราชสมญานามที่ให้กับพระสันตะปาปาปีโอที่ 11
ระหว่าง 1922 - 1939 เพราะมีปัญหามากมาย ต้องใช้ความเชื่อเด็ดเดี่ยวจริง ๆ จึงจะสามารถฟันฝ่าปัญหาต่าง ๆ
ที่รุมเร้าเข้ามา เช่น จากออสเตรีย เม็กซิโก และสเปน เป็นต้น
"PASTOR ANGELICUS" -ชุมพาบาลเทวดา- เป็นพระราชสมญานามให้กับพระสันตะปาปาปีโอที่ 12
ดำรงตำแหน่งระหว่าง 1939 - 1958 ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์มีภารกิจอันหนักอึ้งและเป็น
เวลาอันยาวนาน พระองค์ยังได้ประกาศ "ข้อความเชื่อ" หรือสัจธรรม (DOGMA) หลายฉบับด้วย
พระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 มีพระราชสมญานามว่า "PASTOR ET NAUTA" -ชุมพาบาลและกะลาสี- พระองค์
ครองตำแหน่งตั้งแต่ปี 1958 - 1963 ก่อนหน้าที่พระองค์จะมารับตำแหน่งพระสันตะปาปา พระองค์มีตำแหน่ง
เป็นพระอัยกา (PATRIARCH) ประจำเมืองเวนิส, เมืองท่าชายทะเลของอิตาลี เซ็นต์มาลาคีให้พระราชสมญานาม
ผู้นำฝูงแกะ และกะลาสี และยังมีความหมายว่าพระองค์จะเป็นคนนำนาวาของพระศาสนจักรผ่านมรสุมมากมายด้วย
พระสันตะปาปาพอลที่ 6 ระหว่างปี 1963 - 1978 มีพระราชสมญานามว่า "FLOS FLORUM" -หนึ่งแห่งมวลบุปผา-
โดยทั่วไปดอกไม้ในพระศาสนจักรมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของมรณสักขี (Martyr) คือผู้ยอมพลีชีวิตเพื่อยืนยันความเชื่อ
ต่อพระศาสนจักร แสดงว่าท่านนักบุญมาลาคีเห็นพระองค์สู้ทนความยากลำบากประดุจมรณสักขีฉะนั้น
"DE MEDIETATE LUNAE" -พระจันทร์ครึ่งดวง- เป็นพระราชสมญานามของโป๊ปจอห์นพอลที่ 1 ชื่อเดิมของ
ท่านคือ ALBINO LUCIANI นามสกุล LUCIANI แปลว่าแสงสว่าง ALBINO แปลว่า ขาวหรือเผือก ก็แปลว่า
แสงนวลขาวของดวงจันทร์นั่นเอง นักบุญมาลาคีคงเห็นพระองค์ฉายแสงนวลอยู่ไม่นาน ก็เลยให้สมญานามว่า
พระจันทร์ครึ่งดวงดังกล่าว เพราะพระองค์ครองอาสน์แค่ 33 วันเท่านั้นเอง คือตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 1978
ถึงวันที่ 28 กันยายน 1978
"DE LABORE SOLIS" -พลังแสงอาทิตย์- เป็นพระราชสมญานามของโป๊ปจอห์น พอลที่ 2 พระสันตะปาปา
องค์ปัจจุบัน พลังแสงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์เดียวกันกับที่กล่าวไว้ในพระธรรมวิวรณ์ (Apocalypsis) 12:1-5
พูดถึงสตรีนุ่งแสงอาทิตย์เพื่อคลอดลูกซึ่งต่อมาจะครองแผ่นดินด้วยแส้เหล็ก หมายความว่าในรัชสมัยของ
พระองค์จะเกิดสงคราม และมีความทุกข์เข็ญนานาประการ
"DE GLORIA OLIVAE" -ราศรีของต้นมะกอก- หมายถึง ยุครุ่งโรจน์แห่งสันติภาพ ในรัชสมัยของ
มหาราช ชาวคณะนักบวชเบเนดิกติน มีความเชื่อถือมากันตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่า โป๊ปองค์ต่อไปจะมาจาก
พระคาร์ดินัลที่เป็นนักบวชคณะเบนดิกติน ซึ่งนักบุญเบเนดิกเป็นผู้ก่อตั้งราว ค.ศ. 500  ท่านรวบรวมผู้คนที่
ศรัทธาในพระเจ้า ใช้ชีวิตในการบำเพ็ญภาวนาและทำงานในไร่องุ่นและไร่มะกอก ชาวคณะได้ชื่ออีกอย่าง
หนึ่งว่า "ชาวไร่มะกอก" Olivetan และภายหลังยัง "ดัง" ในเรื่องทำเหล้าลิเคียวที่พวกเรารู้จักกันดีคือ เหล้า
"เบเนดิกติน" ขณะนี้ยังมีอารามขนาดใหญ่บนยอดเขา "มอนเต กัสซีโน" ห่างจากโรมไปทางใต้ 70 ก.ม.
การที่คณะนักบวช (ฤาษี) เบเนดิกตินปักใจเชื่อว่า โป๊ปองค์ต่อไปจะต้องมาจากฤาษีเบเนดิกติน ก็เพราะ
คำทำนายของนักบุญมาลาคี ที่ได้บอกสมญานามของโป๊ปองค์ต่อไปว่า De Gloriae Olivae ชัยชนะของต้นมะกอก
"PETRUS ROMANUS" -เปโตรชาวโรมัน- พระสันตะปาปาองค์สุดท้ายซึ่งควรเรียก เปโตรที่ 2 (เปโตรที่ 1
คือพระสันตะปาปาองค์แรก) นักบุญมาลาคีได้สาธยายถึงพระสันตะปาปาองค์สุดท้ายค่อนข้างยืดยาวว่า
"In persecutione extrema Santae Romanae Ecclesiae sedebit Petrus Romanus qui pascet oves
in multis tribulationibus quibus transactis, civitas septicollis diruetur et iudex tremendus indicabit
populum suum. Amen." "ระหว่างการเบียดเบียนแสนเข็ญของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก Petrus Romanus
จะเลี้ยงฝูงแกะของเขาในความทุกข์เข็ญนานาประการ หลังจากนั้นนครแห่ง 7 คีรี (โรม)
จะถูกทำลายอย่างราบคาบ และมหาตุลาการผู้เที่ยงธรรมจะพิพากษาประชากรของพระองค์ อาเมน!

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:23 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 21 )👈

🔥--- โป๊ปปีโอที่ 12 ---🔥

          นอสตราดามุสก็มี "ญาณ" ในการมองเห็นไม่แพ้ท่านนักบุญมาลาคีเหมือนกัน เพียงแต่อยู่คนละ
ยุคเท่านั้น ดังเช่นในคำโคลงบทที่ 56/5
Par le trespas du tref vieillard Pontife,
Sera esleu Romain de bon aage,
Qui sera dict que le siege debiffe,
Et long tiendra & de picquant ouvrage.
หลังจากที่พระสันตะปาปาผู้สูงอายุสิ้นพระชนม์
ชาวโรมันแห่งอายุกลางคนจะถูกเลือกขึ้นมา
กล่าวกันว่าพระองค์จะทำให้ธรรมาสน์ของพระองค์อ่อนแอลง
แต่จะครองอาสน์ได้นานพร้อมกับกิจการที่วิพากษ์วิจารณ์กันเผ็ดร้อน
         วิเคราะห์ : โป๊ปปีโอ ที่ 12 มีพระราชสมภพที่กรุงโรม และพระองค์ได้รับเลือกเป็นโป๊ปในวันราชสมภพ
พอดี คือวันที่ 2 มีนาคม 1939 โป๊ปก่อนพระองค์ คือ โป๊ปปีโอที่ 11 สิ้นนพระชนม์ขณะมีพระชนมายุ 82 พรรษา
และครองอาสน์ถึง 17 ปี นี่ก็เป็นไปตามคำทำนายของนอสตราดามุสในบรรทัดที่ 1 และบรรทัดที่ 2 พระองค์
ขึ้นครองอาสน์ตอนเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 พระภารกิจของพระองค์จึงหนักหน่วงเหลือประมาณ ไหนจะต้อง
เผชิญหน้ากับลัทธิอุบาทว์มาร์กซิสม์ ซึ่งกำลังพ่นพิษอย่างน่าหวาดหวั่น พระองค์ทรงยืนหยัดในการรักษา
ธรรมมาสน์เกือบ 20 ปี ด้วยพระปรีชาสามารถเยี่ยมยอด เซ็นต์มาลาคีจึงเรียกพระองค์ว่า Pastor angelicus
ชุมพาบาลเทวดา เป็นการเทิดพระเกียรติอย่างสูง ที่พระองค์ทรงสามารถนำฝูงแกะฟันฝ่าอุปสรรคสุดโหด
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงหลังสงครามอย่างน่าชื่นชม พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1958
🔥--- นิมิตเกี่ยวกับสังคายนาสากลของนางจีน ดิกสัน ---🔥
          สำหรับพระสังคายนาสากลที่โป๊ปจอห์นที่ 23 ได้ดำริขึ้นนั้น นางจีน ดิกสัน ได้รู้ล่วงหน้าก่อนที่
โป๊ปจอห์น ที่ 23 จะขึ้นอาสน์หนึ่งปี
นางจีน ดิกสัน เป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงในการพยากรณ์โดยการเพ่งมองภาพที่เกิดขึ้น
ในลูกแก้ว วันหนึ่งที่ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ในปี 1958 เธอเข้าไปในอาสนวิหารเซ็นต์มัทธิว เพื่อสวดภาวนาและ
วิปัสนาต่อหน้าพระแท่นแม่พระ สักครู่หนึ่งเธอก็เห็นหน้าแม่พระมีชีวิตชีวาเหมือนหน้าคนจริง ๆ แล้วมีแสงสุกใส
ทอดลงมาจากยอดโดมของพระวิหาร เธอเล่าว่าวันนั้นเป็นวันค่อนข้างมืดครึ้ม และเป็นเช้าหนึ่งที่ลมพัดแรง
ภายในโบสถ์วันนั้นเธอแทบจะไม่เห็นใครเลย และแล้วในทันใดเธอก็เห็นภาพนิมิต ภายในโบสถ์ที่ว่าว่างนั้น
บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนเป็นทั้งชาวนาชาวไร่ บรรดากษัตริย์และราชินีหลายพระองค์ หลายชาติ หลายภาษา และ
หลายศาสนา นั่งในโบสถ์เต็มไปหมด จนไม่มีม้านั่งว่างเลย ทุกคนได้รับแสงสุกใส และดูเหมือนกำลังยืนอยู่บน
กองหิมะที่เพิ่งตกลงมาใหม่ ๆ แล้วจิตใจของเธอก็รู้สึกมีความสงบสุขอย่างประหลาด และเธอก็บอกว่าคงจะมี
สังคายนาสำหรับพระศาสนจักรในไม่ช้า ณ สันตะสำนักในกรุงโรม จะเป็นที่ชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่จากนานาชาติ
🔥--- โป๊ปจอห์นที่ 23 ---🔥
          บทที่ 20/6
L'union faincte sera peu de duree,
Des uns changez reformez la pluspart,
Dans les vaisseaux sera gent enduree,
Lors aura Rome un nouveau liepart.
การประชุมจะคงอยู่ได้ไม่นาน (พระองค์ก็จะมรณภาพเสียก่อน)
จะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง บางอย่างก็จะปฏิรูปให้ดีขึ้น
ศาสนิกในพระศาสนจักรจะต้องเดือดร้อน
สมัยของพระองค์นั้นกรุงโรมจะมี "เสือดาว" เกิดขึ้น
วิเคราะห์ โป๊ปจอห์น ที่ 23 มีชื่อว่าอันเจโล จูเซปเป รองกัลลี Angelo Giuseppe Roncalli  เกิดที่ตำบล
ซอตโต อิน มอนเต (Sotto in Monte) เมืองแบร์กาโม (Bergamo) อิตาลี ตำแหน่งสุดท้ายก่อนได้รับเลือก
เป็นพระสันตะปาปาคือ พระอัยกา เมืองเวนิส (Patriarch of Venice) พระอัยกา เป็นตำแหน่งโบราณซึ่งยัง
ใช้กันอยู่ในศาสนจักรตะวันออก ตำแหน่งนี้เทียบเท่าพระอัครสังฆราช (Archbishop) พระองค์ได้รับเลือก
เป็นพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1958 พระองค์ได้จัดให้มีการประชุมสังคายนาสากลครั้งที่ 21
(Ecumenical Council) หรือ วาติกันที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1962 แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่
3 มิถุนายน 1963 ฉะนั้น คำ L'union ในบรรทัดแรกต้องหมายถึงการประชุมสังคายนาครั้งนี้ ที่ว่าการ
ประชุม อยู่ได้ไม่นานก็เพราะพระองค์มาสิ้นพระชนม์เสียก่อน การประชุมนี้มาสิ้นสุดในสมัยโป๊ปองค์ต่อไป
คือ โป๊ป พอลที่ 6 ในบรรทัดที่ 2 ก็ชัดเจนดี จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปให้ดีขึ้น ส่วนในบรรทัดที่ 3 นั้น
ก็เป็นธรรมดาที่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ย่อมมีความยากลำบากบ้าง ในบรรทัดสุดท้ายกล่าวว่าในสมัยของ
พระองค์นั้นจะมี "เสือดาว" เกิดมา นั่นก็คือระหว่างปี 1959 - 1963 "เสือดาว" จะเกิด คำเสือดาวนี้นอสตราดามุส
หมายถึงแอนตี้ไคร้สต์ เพราะในหนังสือธรรมวิวรณ์พรรณาถึงแอนตี้ไคร้สต์ว่าเหมือน "เสือดาว" ดังจะหยิบยก
มาให้เห็นดังนี้ บทที่ 13 "และข้าพเจ้าได้เห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบ
นั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวของมัน สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้น
ตัวเหมือนเสือดาวและตีนเหมือนตีนหมี และปากเหมือนปากสิงห์และพญานาคได้ให้อำนาจอันยิ่งใหญ่และ
ที่นั่งของมันแก่สัตว์ร้ายนั้น
🔥--- โป๊ปพอลที่ 6 ---🔥
บทที่ 46/8
Pol mensolee mourra trois lieües du rosne,
Fuis les deux prochains tarasc destois :
Car Mars fera le plus horrible trosne,
De coq & d'aigle de France freres trois.
พอล คนโสดจะสิ้นชีวิตห่างจากโรมสามไมล์
คนใกล้ชิด 2 ใน 3 คนจะหนี
เพราะดาวอังคารจะทำให้บัลลังก์สะท้าน
ทั้งของไก่ ของอินทรีย์ ของฝรั่งเศส สามพี่น้อง
วิเคราะห์ : โป๊ปพอลที่ 6 เป็นชาวเบรสเซีย ครองอาสน์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1963 พระองค์ทรงทำพิธี
ปิดพระสังคายนาวาติกันที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1965 เนื้อหาสาระของพระสังคายนาครั้งนี้พูดสั้น ๆ ก็คือ
ถึงยุคเปิดกว้างของพระศาสนจักร ยุคเปลี่ยนแปลงจารีตประเพณี เช่น พิธีมิสซาซึ่งครั้งหนึ่งใช้ภาษาละติน
ก็เปลี่ยนมาเป็นภาษาพื้นเมือง หรือพระสงฆ์อาจใช้ชุดฆราวาสได้เพื่อความเหมาะสมบางกรณี หรือหาก
พระสงฆ์ต้องการลาเพศมาเป็นฆราวาสก็อนุมัติง่ายขึ้น เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
อย่างเผ็ดร้อนจากพวกอนุรักษ์นิยมเป็นธรรมดา พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1978 ณ วิลลา
พักร้อนนอกกรุงโรม เซ็นต์มาลาคีเรียกพระองค์ว่า Flos florum หนึ่งแห่งมวลบุปผา โดยทั่วไปในพระศาสนจักร
คาทอลิก ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของมรณสักขี (Martyr) คือผู้ที่ยอมตายเพื่อพระศาสนา แสดงว่าเซ็นต์มาลาคี
"มองเห็น" พระราชกรณียกิจที่หนักอึ้งของพระองค์ ทำให้พระองค์ต้องเป็น "มาร์ตีร์ทั้งเป็น"
🔥--- โป๊ปจอห์น พอล ที่ 1 ---🔥
          บทที่ 12/10
Esleu en Pape, d'esleu sera mocqué,
Subit soudain esmeu promt & timide,
Par trop bon doux à mourir provoqué,
Crainte estainte la nuict de sa mort guide.
พระองค์ถูกเลือกให้เป็นโป๊ปในขณะลงคะแนนพระองค์จะถูกล้อเลียน (พระองค์ผู้สภาพถ่อมตน)
พระองค์รู้สึกประหวั่นพรั่นใจที่ได้รับเลือกกระทันหัน
เนื่องเพราะความดีและความอ่อนหวานมากจนเกินไป เป็นต้นเหตุสู่ความตาย
ความหวาดหวั่น (ในภาระหนัก) นำพระองค์ไปสู่ความตายในยามดึกสงัด
วิเคราะห์ - ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นโป๊ป พระองค์ก็คือพระคาร์ดินัลอัลบีโน ลูชานี (Albino Luciani)
เกิดที่ตำบลฟอร์โนดี คานาเล (Formodi Canale) จังหวัดเบลลูโน (Belluno) อิตาลี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น
พระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1978 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 กันยายน 1979 ครองอาสน์เพียง 33 วัน
เซ็นต์มาลาคีได้ให้พระราชสมญานามว่า DE MEDIETATE LUNAE - พระจันทร์ครึ่งดวง ในโคลงบรรทัดแรก
ที่ว่าพระองค์ถูกล้อเลียนขณะลงคะแนนเลือกตั้ง เข้าใจว่าต่างก็ไม่รู้จะเลือกใครดี เพราะมีคนดัง ๆ หลายท่าน
ก็คงจะมีการบุ้ยใบ้เชิงหยอกล้อให้เลือก - ท่าน ซึ่งเป็นคนซื่อ ๆ เรียบ ๆ ไม่เด่นไม่ดังเช่นผู้อื่นก็เป็นได้ ลักษณะ
เด่นของท่านก็คือ ซื่อ เรียบง่าย ยิ้มแย้ม และศรัทธาแก่กล้า ฉะนั้นเมื่อท่านถูกเลือกให้เป็นโป๊ป จึงถือเป็นการ
พลิกล็อคอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะเจ้าตัวที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน และเนื่องเพราะความสุภาพถ่อมตน พระองค์
จึงปฏิเสธพิธีสวมมงกฎ (coronation) อย่างสง่าตามประเพณี แต่ได้มีบัญชาให้จัดพิธีง่าย ๆ ธรรมดา ๆ
แต่ยังไม่ทันจะทำพิธีเข้ารับตำแหน่ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน
ท่ามกลางความโศกสลดของชาวคาทอลิกทั้งมวล

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:32 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 22 )👈

🔥--- โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 ---🔥

          พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันคือ พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 พระองค์ได้รับแต่งตั้งเมื่อ
วันที่ 16 ตุลาคม 1978 นับเป็นองค์ที่ 264 สืบต่อจากนักบุญเปโตร พระสันตะปาปาองค์แรก
พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เป็นชาวโปแลนด์ ขณะที่มีการคัดเลือกผู้ที่จะดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปานั้น
ก็มีตัวเต็งคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง คือ พระคาร์ดินัลคามารา (CAMARA) ชาวบราซิลเชื้อสายสเปน นี่ก็ตรงกับ
ที่นอสตราดามุสได้ทำนายไว้คือจะมีชาวสเปนเป็นตัวเก็ง ดังในคำโคลงบทที่ 49/5
Nul de l'Espaigne, mais de l'antique France
Ne sera esleu pour le tremblant nacelle,
A l'ennemy sera faicte fiance,
Qui dans son regne sera peste cruelle.
ไม่ใช่จากสเปนแต่จากฝรั่งเศสโบราณ
พระองค์จะได้รับเลือกให้เป็นกัปตันเรือซึ่งกำลังโคลงเคลง
พระองค์จะเป็นมิตรกับศัตรูของพระองค์
ในขณะที่พระองค์ครองตำแหน่งอยู่จะมีโรคระบาดมหันตภัยเกิดขึ้น
พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 1920 ณ เมืองวาโดวิชเซอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้
ของประเทศโปแลนด์ เป็นกรรมกร จนถึงอายุ 20ปี ได้บวชเป็นพระสงฆ์เมื่อ ปี 1946 ได้รับแต่งตั้งเป็น
พระสังฆราช (BISHOP) ในปี 1958 ขณะมีอายุเพียง 38 ปี เป็นพระอัครสังฆราชแห่งดราโคฟในปี 1963
ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลในปี 1967 และในที่สุดได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาในวันที่ 16 ต.ค. 1978
นับเป็นเวลา 12 ปีจนถึงปัจจุบัน นอสตราดามุสได้เขียนไว้ในคำโคลงว่าพระองค์จะมาจากฝรั่งเศสโบราณ
ก็เป็นความจริง เพราะในสมัยเมืองวาโดวีเซอร์เป็นส่วนหนึ่งของจักรรรรดิ์ของพระเจ้าชาลเลอมาญของฝรั่งเศส
และในวันที่ 13 พ.ค. 1981 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์โดยชาวตุรกีชื่อนาย เมห์เหม็ด อาลี อัคคา ซึ่งเวลานี้
กำลังรับกรรมในคุกอยู่ในประเทศอิตาลี พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 ได้ยกโทษให้นายอัคคาผู้นี้ และยังได้
ไปเยี่ยมเขาถึงในคุกด้วย นี่ก็เป็นตามคำทำนายของนอสตราดามุสในโคลงบรรทัดที่ 3 และในบรรทัดสุดท้ายนั้น
โรคเอดส์เป็นมหันตภัยแห่งศตวรรษที่ 20 อย่างแท้จริง ปรากฏมาให้โลกรู้จักก็ประมาณ 10 ปีมานี่เอง และจะ
คร่าชีวิตมนุษย์ถึงประมาณ 2 ใน 3 ของพลเมืองโลกในปี 1993 ตามที่นอสตราดามุสได้บอกไว้ในโคลง
บทที่ 75/3 ว่า "การทุเลาเบาบางอยู่ใกล้ แต่การเยียวยาให้หายขาคยังอยู่ไกล"
ในบรรทัดสองที่ว่าเรือโคลงเคลงนั้น ก็หมายความว่า กฎบัญญัติพระศาสนจักรคาทอลิกซึ่งมีไว้เพื่อ
จรรโลงศีลธรรมของประชากรโลกกำลังถูกต่อต้าน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการคุมกำเนิดและทำแท้ง
🔥--- โป๊ปจอห์น พอล ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ ---🔥
     ในโคลงบทที่ 97/2
Romain Pontife garde de t'approcher,
De la cité que deux fleuves arrouse,
Ton sang viendra aupres de là cracher,
Toy & les tiens guand fleurira la rose.
โป๊ปโรมันเอ๋ย! จงระวังคนที่จะเข้าใกล้เจ้า
ณ เมืองที่มีแม่น้ำสองสายไหลผ่าน
เลือดของเจ้าจะหลั่งและทางโน้นก็จะกระอัก
ทั้งตัวเจ้า และญาติพี่น้องของเจ้าด้วย ในขณะที่ต้นกุหลาบกำลังผลิดอก
โคลงบทนี้นอสตราดามุสต้องการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อพระสันตะปาปา เขาจึงใช้สรรพนามบุรุษ
ที่สอง อันเป็นการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนพี่เหมือนน้อง ในบรรทัดแรกนอสตราดามุสเตือนพระองค์
ให้ระวังเวลามีคนเข้าใกล้ เพราะภารกิจอันเป็นกิจวัตรทุก ๆ สายวันพุธ พระองค์จะออกมาที่พระลานหน้า
พระวิหารนักบุญเปโตรเพื่อให้พสกนิกรเข้าเฝ้า ก็แน่นอนเหลือเกินที่คนจะถือโอกาสนี้ลอบสังหารพระองค์
กล่าวคือในวันที่ 13 พ.ค.1981 ฆาตกรผู้นี้คือ นายเมห์เหม็ด อาลีอัคคา ตอนนี้กำลังรับกรรมอยู่ในคุกอิตาลี
ในบรรทัดที่ 2 เมืองที่มีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่านก็คือ กรุงโรมซึ่งมีแม่น้ำเตเวเร (Tevere) และอานีเอเน (Aniene)
คำเตเวเรออกเสียงแบบอิตาลี นักศึกษาไทยมักจะรู้จักศัพท์ภาษาอังกฤษไทเบอร์ (Tiber)
คำโคลงสองบรรทัดสุดท้ายนี้น่าสนใจมาก คือคำ la rose ดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพรรคสังคม
นิยม ในยุโรป และในภาษาสลาฟก็ตรงกับคำ Orja ซึ่งแปลว่าทาส นอสตราดามุสต้องการสื่อเป็น 3 นัย คือ
นัยที่ 1 พรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส (rose) จะได้รับชัยชนะ กล่าวคือ นายฟรังซัวส์ มิตเตอร์รอง
ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปี 1981
นัยที่ 2 ความเป็นทาส (orja) ในโปแลนด์ซึ่งเป็นมาตุภูมิของโป๊ปก็กำลังผลิดอกออกช่อเช่นกัน กล่าวคือ
ในเดือนธันวาคม รัฐบาลโปแลนด์ประกาศใช้กฎอัยการศึก หลังจากมีการเสียเลือดเนื้อระหว่างการปะทะกัน
ระหว่างทหารรัฐบาลและสหภาพแรงงานโซลิดาริตี้ของนายวาเวนซา อันเป็นเหตุให้นายวาเวนซาต้องระเห็ด
เข้าไปในคุก จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 1982 ในคำโคลงนั้นนอสตราดามุสจึงเตือนว่า "ทั้งตัวเจ้า
(ซึ่งตอนนั้นประทับที่กรุงโรม) และญาติพี่น้องของเจ้าทางข้างโน้น aupres de là (ซึ่งอยู่ในโปแลนด์โน้น)
ให้ระวังให้จงหนัก จะต้องหลั่งเลือดเช่นกัน"
นัยที่ 3 วันที่ 13 พฤษภาคมที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้นก็เป็นเดือนที่ดอกกุหลาบผลิดอกจริง ๆ ด้วย
นับเป็นการทำนายทายทักที่เฉียบขาดอีกชิ้นหนึ่ง
🔥--- ปิดพระโอษฐ์เงียบ ---🔥
แล้วนอสตราดามุสก็ทำนายต่อไปถึงพระสันตะปาปาองค์นี้ตามคำโคลงบทที่ 75/5 ว่า
Montera hout sur le bien plus à dextre,
Demourra assis sur la pierre quarree,
Vers le Midy posé à la fenestre,
Baston tortu en main, bouche ferree.
พระองค์จะขึ้นมามีอำนาจราชศักดิ์ด้วยแนวคิดทางการเมืองทุนนิยม
และจะอยู่ในอำนาจ ณ จัตุรัสใหญ่ที่เป็นหิน
พระองค์มักจะปรากฏองค์หันพระพักตร์ไปยังทิศใต้
ถือไม้เท้าที่คดงอ (สำหรับประกอบพิธี) ในพระหัตถ์ ปิดพระโอษฐ์เงียบ
พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เป็นพระคาร์ดินัลจากประเทศคอมมิวนิสต์ โปแลนด์ ก่อนที่จะได้รับ
เลือกให้เป็นพระสันตะปาปา เมื่อพระองค์ได้รับตำแหน่งพระสันตะปาปาแล้ว ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะ
ให้ประชาชนโปแลนด์มีเสรีภาพ และในที่สุดก็เป็นผลสำเร็จ นับเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก
ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีการนองเลือดเป็นประเทศแรก
เป็นธรรมเนียมของนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาที่อิตาลี จะต้องมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่จัตุรัสพระวิหารเซนต์ปีเตอร์
ทุก ๆ เที่ยงวันอาทิตย์ มิฉะนั้นจะถือว่ามิได้มากรุงโรม พระองค์จะเสด็จมาที่หน้าต่างจากห้องส่วนพระองค์
เพื่อสวดพรหมถือสาร (เป็นบทสวดที่ชาวคาทอลิกมักจะสวดตอนวัดย่ำระฆังตอน 6:00 น. 12:00 น. และ 18:00 น.)
พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่พากันมาเต็มพระลานวิหารเซนต์ปีเตอร์ แล้วพระองค์จะอวยพรเป็นภาษาละติน โดย
ยกพระหัตถ์ทำเครื่องหมายกางเขน ที่ว่าปิดพระโอษฐ์เงียบ นอสตราดามุสคงหมายถึง ฐานะการเงินที่ย่ำแย่
ของวาติกันอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ปิดพระโอษฐ์เงียบ
พระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 เป็นโป๊ปสัญชาติโปแลนด์องค์แรก และเป็นต่างชาติองค์แรกด้วย
ที่ครองอาสน์ของเซนต์ปีเตอร์ซึ่งถูกทิ้งห่างมาเป็นเวลา 455 ปี เพราะระยะนั้นไปตกอยู่แก่ชาวอิตาเลียนมาตลอด
ต่างชาติองค์สุดท้ายได้ครองในปี 1522 - 1523 เป็นชาวฮอลันดา ทรงพระนามว่าอาเดรียนที่ 6
ในระยะ 1,000 ปีนี้มีโป๊ป 125 องค์ เป็นฝรั่งเศส 12 องค์ เยอรมัน 4 องค์ สเปน 2 องค์ อังกฤษ 1 องค์
โปรตุเกส 1 องค์ ฮอลันดา 1 องค์ นอกนั้นเป็นชาวอิตาเลียนทั้งหมด
ใน 1,000 ปีแรก ไม่สู้จะทราบ "สัญชาติ" ของโป๊ปแน่นอนเท่าไรนัก รู้กันแต่ว่าเป็นชาวอัฟริกัน 3 องค์
ซีเรียน 6 องค์ และกรีก 11 องค์
สรุปแล้วในจำนวน 264 องค์ โป๊ปที่ไม่ใช่อิตาเลียนมีเพียง 52 องค์เท่านั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:37 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 23 )👈

🔥--- ความฝันของนักบุญจอห์น บอสโก 1862 ---🔥

          ท่านเล่าว่า  :  เรือมากจนนับไม่ถ้วน ติดปืนใหญ่และอาวุธครบ กำลังเคลื่อนขบวนดาหน้าโจมตีเรือ
ทั้งใหญ่ทั้งสูง ซึ่งขนาบข้างด้วยเรือเล็กน้อยมากมายกลางทะเล เห็นเสาสองต้น สูงลิ่วปักตระหง่านไม่ห่าง
กันมากนัก บนยอดเสาต้นหนึ่งเป็นรูปแม่พระมีคำเขียนไว้ว่า ที่พึ่งของคริสตชน (Auxilium Christianorum)
ส่วนเสาสูงลิบอีกด้านหนึ่ง ศีลมหาสนิทแผ่นใหญ่สถิตอยู่บนนั้น เขียนคำว่า ความรอดของคนที่เชื่อ
(Salus Credentium) การรบดำเนินไปอย่างใจหายใจคว่ำ คนบนเรือศัตรูทุกลำพยายามปีนขึ้นเรือใหญ่
นาวาเซนต์ปีเตอร์ล้ำลึกลำนั้น และยิงให้มันจม คราวใดที่ถูกยิงทะลุ คราวนั้นก็มีพายุพัดมาจากสองเสา
สมานรอยรั่วรอยช้ำอันตรธานไป สงครามพันตูดุเดือดเรื่อย ๆ พระสันตะปาปา ผู้บังคับการเรือถูกกระสุนปืน
ล้มอาการปางตาย แต่แล้ว กลับลุกขึ้นสู้ใหม่ ครั้งที่สองถูกอีก คราวนี้สิ้นพระชนม์ พระสันตะปาปาอีกองค์มา
รับหน้าที่แทน สามารถชนะอุปสรรคทั้งมวลนำนาวาเข้าหว่างเสา เอาโซ่ผูกโยงไว้ข้างละสาย ทันทีกองทัพ
ศัตรูเสียขบวนแตกพ่ายสลายตัวสิ้น ชนะได้เยี่ยมยอด
          วิจารณ์  :  ศีลมหาสนิท คือแป้งสาลีทำเป็นรูปกลมขนาดเหรียญ 5 บาท ในพิธีมิสซาพระสงฆ์จะทำ
พิธีเสก เป็นการกระทำเช่นเดียวกันกับที่พระเยซูก่อนจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ต้องการให้ของที่ระลึก
แก่สานุศิษย์โดยการเสกขนมปังที่กำลังจะรับประทานกันอยู่นั้นโดยกล่าวว่า "นี่เป็นกายของเรา" แล้วแจก
ขนมปังนั้นให้สานุศิษย์ทุกคนพลางกล่าวเสริมว่า "จงกระทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด" ชาวคาทอลิกเชื่อว่า
เมื่อพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าเสกขนมปังให้กลายเป็นพระกายของพระองค์ ชาวคาทอลิกก็เชื่อว่า แป้งสาลีหรือ
ขนมปังนั้นกลายเป็นพระกายของพระองค์จริง ซึ่งชาวคาทอลิกถือเป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ
🔥--- พระธรรมวิวรณ์บทที่ 12 ---🔥
          มหานิมิตปรากฏขึ้นในสวรรค์ ข้าพเจ้าเห็นสตรีคนหนึ่งห่อหุ้มร่างกายด้วยแสงอาทิตย์* บนศีรษะ
สวมมงกุฎประดับด้วยดวงดาวสิบสองดวง และมีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า สตรีผู้นั้นมีครรภ์ นางร้องคร่ำครวญ
ด้วยความเจ็บปวดเพราะจวนจะคลอด
ครั้นแล้วก็มีนิมิตอีกอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสวรรค์ ข้าพเจ้าเห็นพญามังกรสีแดงมีเจ็ดหัวมีเขาสิบเขา
แต่ละหัวมีมงกุฎอยู่ มันตวัดหางกวาดเอาดวงดาวบนท้องฟ้า ร่วงหล่นลงสู่พื้นโลกเสียหนึ่งในสามของดวงดาว
ทั้งหมด พญามังกรตัวนี้ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสตรีดังกล่าว คอยจ้องเพื่อจะกินบุตรของสตรีผู้นั้นในทันที
ที่นางคลอดออกมา ครั้นแล้วนางก็คลอดบุตรเป็นชาย ผู้ซึ่งจะปกครองประชาชาติทั้วปวงด้วยคทาเหล็ก และ
มีผู้รับเอาทารกน้อยผู้นั้นไปเฝ้าพระเจ้า ณ พระที่นั่งของพระองค์ ส่วนหญิงผู้นั้นได้หลบหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร
อันเป็นที่พำนักที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว และคอยดูแลปกป้องคุ้มครองนางถึงหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน
(บทที่ 12:1-6)
วิเคราะห์ 1. สตรีห่อหุ้มร่างกายด้วยแสงอาทิตย์ หมายถึง แม่พระ หรือ พระศาสนจักร
หรือ โป๊ป ดวงจันทร์ 12 ดวง คือ อัครสาวกทั้งสิบสอง
2. พญามังกร หมายถึง ซาตาน หางของพญามังกร หมายถึง เล่ห์กะเท่ห์ของซาตานที่จะล่อลวงสัตบรุษ
และพระสงฆ์องค์เจ้า (ดวงดาว)
3. บุตรชาย หมายถึง โป๊ปองค์ใหม่ที่กำลังจะได้รับเลือก ซึ่งจะปกครองมวลสัตบุรุษด้วยความเคร่งครัด
ในการถือพระบัญญัติ (คทาเหล็ก)
* เซนต์มาลาคีได้ให้พระราชสมญานามแก่โป๊ปจอห์น พอล ที่ 2 ว่า De labore solissl พลังแสงอาทิตย์
🔥--- สละสำนัก ---🔥
          บทที่ 3/10
En apres cinq troupeau ne mettra hors,
Un fuytif pour Penelon laschera,
Faux murmurer, secours venir par lors,
Le chef le siege lors abondonnera.
หลังจากที่ได้ปล่อยให้ 5 คณะ (ฝูง) ออกไปแล้ว
ผู้ที่จะหนีจะทิ้ง (สำนัก) เพื่อไปสู่เปเนโลน
มีข่าวเท็จลือกันว่าพวกเขาจะมาช่วยพระองค์
องค์พระประมุขจะสละสำนัก
วิเคราะห์ - คำ Penelon เป็นคำปริศนา ซึ่งนอสตราดามุสมักนิยมสลับกันเป็น Polenne
เป็นภาษาโปล แปลว่า ประเทศโปแลนด์
🔥--- Pol MANSOL ถูกจับตัว ---🔥
          บทที่ 29/10
De Pol MANSOL dans caverne coprine
Caché & prins extrait hors par la barbe,
Captif mené comme beste mastine
Par Begourdans amenee pres de Tarbe.
Pol MANSOL ถูกจับตัวและถูกขังไว้ในถ้ำของแพะ
ถูกลากตัวออกมาข้างนอกด้วยการดึงหนวดเครา
เหยื่อสังหารถูกลากถูลู่ถูกังเหมือนสัตว์เลี้ยง
ถูกนำไปโดยชาวเมืองบีกอร์, จนกระทั่งถึงเมืองตาร์บ
วิเคราะห์ - ตัวปริศนา คือ pol MANSOL Pol = Pole = ชาวโปล เป็นภาษาอังกฤษ
MAN = คนผู้ชาย เป็นภาษาอังกฤษ SOL = พระอาทิตย์ เป็นภาษาละติน
ส่วนเมืองบีกอร์ Bigorre อยู่ห่างจากเมืองตาร์บ Tarbes ประมาณ 40 ก.ม. และห่างจากเมืองลูร์ด
Lourdes ประมาณ 30 ก.ม. เมืองลูร์ดเป็นเมืองเล็ก ๆ แถวเทือกเขาปีเรเนส์ ทางใต้ของฝรั่งเศสใกล้สเปน
ผู้เขียนนำผู้แสวงบุญชาวคาทอลิกไปเมืองนี้เป็นประจำ เพราะเป็นเมืองที่แม่พระได้ปรากฏมาพบเด็กชื่อ
แบร์นาแดต ในปี 1858 ณ ที่นี้แม่พระได้ให้เด็กเอามือขุดที่พื้นดิน ก็มีน้ำพุเกิดขึ้น ยังไหลไม่หยุดจน
กระทั่งบัดนี้ มีผู้รักษาโรคร้ายที่หมอไม่รับ หายได้อย่างอัศจรรย์ด้วยน้ำนี้ เป็นหมื่น ๆ รายแล้ว
🔥--- ระวัง! วันที่ 13 ธันวาคม ---🔥
          บทที่ 68/9
Du monte Aymar sera noble obscurcie,
Le mal viendra au ioinct de Saone & Rosne,
Dans bois cachez soldats iour de Lucie,
Qui ne fut onc un si horrible throsne.
ความเลอเลิศของภูเขาเอมาร์จะกลับดำมืด
ความชั่วจะมา ณ บริเวณที่แม่น้ำซาโอนและแม่น้ำโรนไหลมาบรรจบกัน
ในวันฉลองนักบุญลูเซีย (13 ธันวาคม) ทหารจะหลบซ่อนตัวในบริเวณป่า
ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยว่าบัลลังก์จะสะเทือนถึงเพียงนี้
วันที่ 13 ธันวาคม เป็นวันฉลองนักบุญลูซีอา เมื่อปี ค.ศ. 304 มีหนุ่มเศรษฐีคนหนึ่งมาขอแต่งงานกับ
ลูซีอา เธอปฏิเสธเพราะได้ถวายตัวแด่พระเจ้าแล้ว เขาจึงไปแจ้งต่อทางการว่าเธอเป็นคริสตชน เจ้าหน้าที่
ถามเธอว่า "พระจิตอยู่ในตัวเธอหรือ?" เธอตอบว่า "ผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ก็เป็นที่สถิตของพระจิตเจ้า
" แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทรมานเธอสารพัดวิธี จนเธอตาย เป็นนักบุญ "มรณสักขี" เป็นองค์อุปถัมภ์ของผู้ป่วยโรคตา

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 01, 2023 9:40 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (24)👈

🔥--- ชาวกรุงโรมจะไม่ยอมรับ ---🔥

          บทที่ 92/5
Apres le siege tenu dix sept ans,
Cinq changeront en tel revolu terme;
Puis sera esleu de mesme temps,
Qui des Romains ne sera trop conforme.
องค์หนึ่งจะครองอาสน์อยู่ 17 ปี
ห้าพระองค์จะเปลี่ยนไปเมื่อครบวาระ
ครั้นแล้วขณะเดียวกันนั้นเองผู้หนึ่งจะได้รับเลือกตั้งขึ้นมา
ซึ่งชาวกรุงโรมจะไม่เห็นพ้องด้วย
วิเคราะห์ - โป๊ปปีเอที่ 11 ครองอาสน์ได้ 17 ปีพอดี คือตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1922 ถึง
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1939 นี่ก็เป็นไปตามคำทำนายของนอสตราดามุสในบรรทัดที่ 1
ส่วนในบรรทัดที่ 2 นั้นว่าจะมี 5 พระองค์ เปลี่ยนไปเมื่อครบวาระ ก็มี
1. โป๊ปปีโอที่ 12 ระหว่างปี 1939 - 1958
2. โป๊ปจอห์นที่ 23 ระหว่างปี 1958 - 1963
3. โป๊ปพอลที่ 6 ระหว่างปี 1963 - 1978
4. โป๊ปจอห์นพอลที่ 1 ระหว่างปี 1978 - 1978 (33 วัน)
5. โป๊ปจอห์นพอลที่ 2 องค์ปัจจุบันทตั้งแต่ 1978
ในบรรทัดที่ 3 ที่ว่า ขณะเดียวกันนั้นเอง คือขณะที่จอห์น พอลที่ 2 กำลังครองอาสน์อยู่จะมีผู้หนึ่ง
ถูกหนุนขึ้นมา ในบรรทัดที่ 4 แล้วชาวกรุงโรมจะไม่ยอมรับ นี่ก็แสดงว่าจะมีผู้หนึ่งตั้งตัวเป็นโป๊ป
โดยการเบียดองค์ปัจจุบัน นี่เป็นคำทำนายของนอสตราดามุส ผู้เขียนก็ขออธิษฐานให้คำทำนายนี้
ผิดอีกสักครั้งหนึ่งเถิด
🔥--- ความพินาศกำลังคืบคลานเข้าใกล้ ---🔥
          โคลงบทที่ 65/10
O vaste Rome ta ruyne s'approche,
Non de tes murs, de ton sang & substance:
L'aspre par lettre fera si horrible coche,
Fer poinctu mis à tous iusques au manche.
โอโรมอันกว้างใหญ่ไพศาล ความพินาศกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เจ้า
ไม่ใช่เพราะกำแพงของเจ้าแต่เพราะเลือดและสาระแห่งชีวิตของเจ้า
ผู้นำที่เหี้ยมโหด จะออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งก่อให้เกิดสิ่งที่น่ากลัวแก่เจ้า แล้วพวกเจ้าจะ
ถูกทำลายล้างจนสิ้นซาก
กรุงโรมซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีตกาล แล้วก็เสื่อมลง พลิกผันพัฒนาจนถึงระดับแนวหน้าในปัจจุบัน
จะมีอันเป็นต้องพินาศอีกครั้ง?
🔥--- พระอาสน์ว่าง ---🔥
          บทที่ 93/8
Sept mois sans plus obtiendra prelature
Par son decez grand scisme fera naistre:
Sept mois tiendra un autre la preture,
Pres de Venise paix union renaistre.
เป็นเวลา 7 เดือนที่ไม่มีพระชั้นผู้ใหญ่ได้รับการแต่งตั้ง
หลังโป๊ปสิ้นพระชนม์จะเกิดการแยกนิกายครั้งใหญ่
อีกผู้หนึ่งจะรั้งอาสน์ในตำแหน่งตุลาการนาน 7 เดือน
สันติภาพและการปรองดองจะเกิดขึ้นใกล้เมืองเวนิส
สันติภาพจะเกิดใกล้เมืองเวนิส กรุงเทพของเราก็ได้ชื่อว่า "เวนิสตะวันออก"
🔥--- ถูกบังคับให้อยู่อีกสำนักหนึ่ง ---🔥
          บทที่ 90/9
Un capitaine de la grand Germanie
Se viendra rendre par simule' secours
Au Roy des Roys ayde de Pannonie,
Que sa révolte fera de sang grand cours.
ผู้นำผู้หนึ่งแห่งประเทศเยอรมนีที่ยิ่งใหญ่
เขาทำทียอมแพ้เพื่อให้ความช่วยเหลือจอมปลอม
แก่กษัตริย์แห่งกษัตริย์โดยให้ความอนุเคราะห์แก่ฮังการี
การสัปยุทธ์ก่อให้เกิดการนองเลือด
บทที่ 19/8
A soustenir la grand cappe troublee,
Pour l'esclaircir les rouges marcheront,
De mort famille sera presque accablee,
Les rouges rouges le rouge assommeront.
เพื่อสนับสนุนโป๊ปผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งตกในฐานะลำบาก
พวกแดงจะดาหน้ามาแก้ปัญหา
ครอบครัวถูกบีบคั้นเจียนตาย
พวกแดงเองนั่นแหละจะฆ่าแดงคนหนึ่ง
บทที่ 20/8
Le faux message par election fainte
Courir par urben rompue pache arreste,
Voix acheptees, de sang chapelle tainte,
Et a un autre l'empire contraicte.
ข่าวสารเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กุขึ้นมา
ต่างหมดหวัง จึงวิ่งไปยังเมืองที่แตกแยก
เสียงถูกซื้อ โบสถ์น้อยนองไปด้วยเลือด
ถูกบังคับให้อยู่อีกจักรวรรดิหนึ่ง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 8:20 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 25 )👈

🔥--- นางจีน ดิกสัน ไขความลับของฟาติมา ---🔥

          นางจีน ดิกสัน ในปี ค.ศ. 1965 เธอได้เห็นภาพนิมิตในอาสนวิหารเซนต์มัทธิว ขณะที่ถือลูกแก้ว
อยู่ในมือ เธอรู้สึกทันทีว่ามีอากาศประหลาด ๆ เกิดขึ้น แล้วก็มีแสงสุกใสจากยอดโดมวิหารเกิดขึ้นทอด
มายังพระรูปแม่พระ พระแม่สวมชุดสีฟ้าอมม่วงและมีสีทองและสีขาวรอบตัวแม่พระ แล้วมีตัวหนังสือ
"ฟาติมา" ปรากฏบนก้อนเมฆทางเบื้องขวาของแม่พระ เธอรู้สึกว่า นั่นก็คือคำทำนายที่ถูกปกปิดจาก
ฟาติมานั้นจะถูกเปิดเผยแก่เธอ นางจีน ดิกสันกล่าวว่า "ฉันเห็นอาสน์ของโป๊ป แต่มันว่าง และข้าง ๆ
อาสน์นั้น ฉันเห็นโป๊ปองค์หนึ่งมีพระโลหิตไหลกลบพระพักตร์ แล้วย้อยลงมาที่ไหล่ซ้ายของพระองค์
ใบไม้เขียวแห่งความรู้พรั่งพรูจากข้างบนลงมา มันปลิวไสวขยายวงกว้างออกไปขณะที่ตก ฉันเห็นมือ
มากมายยื่นออกไปเพื่อไขว่คว้าอาสน์ แต่ไม่มีใครนั่งบนอาสน์นั้นเลย แล้วฉันก็ตระหนักในใจว่า ภายใน
ศตวรรษนี้จะมีโป๊ปองค์หนึ่งจะได้รับอันตรายทางร่างกาย เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น หัวหน้าของพระศาสนจักรจะมี
ตราประจำพระองค์แตกต่างอกไปจากของโป๊ปองค์นั้น เพราะแสงสุกใสที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ ยังส่องไป
ยังอาสน์ของพระสันตะปาปาอยู่ตลอดเวลา
"ฉันก็เข้าใจว่าอำนาจยังอยู่ที่นั่น แต่จะไม่คงอยู่ในตัวของโป๊ปองค์นั้น" ความลับของฟาติมาข้อนี้
ซิสเตอร์ ลูเซีย หนึ่งในเด็ก 3 คนที่ได้เห็นแม่พระปรากฏมาที่เมืองฟาติมาเป็นผู้ได้รับจากแม่พระ แต่ให้
เก็บไว้เป็นความลับ จนกว่าจะถึงปี 1960 พระสันตะปาปาจึงจะเปิดเผย แต่แล้วปี 1960 ผ่านไปก็ยังไม่เป็น
ที่เปิดเผย
เกี่ยวกับความลับของแม่พระฟาติมา มีบทความจาก "อุดมสาร" สัปดาห์สารของชาวคาทอลิก
ลงไว้เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 1985 ดังนี้
🔥--- วาติกันเก็บความลับของฟาติมาไว้นานถึง 68 ปี  ---🔥
          เมห์เหม็ด อาลี อัคคา ชาวตุรกีผู้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเนื่องจากยิงพระสันตะปาปา จอห์น พอลที่ 2
บาดเจ็บสาหัส กล่าวอ้างต่อศาลว่า พระสันตะปาปาเป็นผู้หนึ่งที่เก็บความลับข้อที่สาม ในการประจักษ์มาที่
ฟาติมาไว้นานถึงเจ็ดสิบปี อัคคากล่าวว่า ที่เขายิงพระสันตะปาปานั้น ก็เกี่ยวข้องกับความลับของแม่พระ
ประจักษ์มาที่ฟาติมา เขาท้าให้วาติกันเปิดเผยเรื่องนี้
อัคคาอ้างเช่นนี้หลายครั้งในขณะที่ศาลพิจารณาคดีบุคคลทั้งเจ็ด สี่คนเป็นชาวตุรกี และสามคนเป็น
ชาวบัลกาเรีย ได้คบคิดกันปลงพระชนม์พระสันตะปาปาชาวโปแลนด์ ในลานนักบุญเปโตรเมื่อวันที่ 13
พฤษภาคม 1981
ความลับของฟาติมานั้นลือกันว่า เป็นคำทำนายว่าโลกจะต้องถูกทำลาย และวาติกันได้เก็บไว้เป็น
ความลับ ตั้งแต่ปี 1917 กล่าวกันว่า แม่พระได้เปิดเผยเรื่องนี้ที่หมู่บ้านฟาติมา ประเทศโปรตุเกส
พระสันตะปาปา จอห์นที่ 23 เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่ได้อ่านบันทึกความลับนี้ พระองค์สิ้นพระชนม์
โดยไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ ตามที่นิโน โลแบลโล นักหนังสือพิมพ์ชาวอิตาเลียน ผู้เชี่ยวชาญด้านภารกิจของวาติกัน
กล่าวว่า พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงเป็นลมไป หลังจากที่ได้อ่านเรื่องนี้
คำอ้างของอัคคา ได้ทำให้เกิดความสนใจในความลับที่ปิดไว้ถึง 68 ปีนี้ขึ้น "ผมขอให้วาติกันเปิดเผย
ความลับของแม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา" อัคคาบอกแก่ศาล ในวันที่สองของการพิจารณาคดี
จำเลยชาวตุรกีที่ถูกพิจารณาคดีเพราะมีปืนผิดกฎหมาย ได้อ้างซ้ำ ๆ กันว่า เป็นพระเยซูคริสตเจ้าที่
ได้ทรงแจ้งถึงวาระสุดท้ายของโลก
วาติกันไม่ได้วิจารณ์ถึงคำแถลงในเรื่องเกี่ยวกับกรณีศาสนาของอัคคา แต่สมเด็จพระสันตะปาปา
จอห์น พอล ได้ทรงยอมรับมาครั้งหนึ่งแล้วว่า "เป็นการตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ที่วันที่พระสันตะปาปาถูกยิง
มาตรงกันกับ วันแรกแห่งการประจักษ์ของแม่พระ"
วันที่ 13 พฤษภาคม 1917 เด็กเลี้ยงแกะชาวโปรตุเกสสามคน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองลิสบอน
กล่าวว่าเขาเห็นภาพหญิงคนหนึ่งมีราศีเรืองรองยืนอยู่บนเมฆ
ลูเซีย โคส ซานโตส อายุ 10 ปี กับลูกพี่ลูกน้องของเธอชื่อ ยาชินทา และฟรันซิสโก เห็นสตรีผู้นั้น
หลายครั้ง มีหลายคนเห็นเป็นพยานว่า เด็กสามคนนี้ได้สนทนากับบุคคลที่เขามองไม่เห็นนั้น
ต่อมาสตรีผู้นั้นได้แจ้งว่าเธอคือพระนางพรหมจารีมารีย์ นำสารสามฉบับมาให้เด็ก ๆ
ในสารฉบับแรก เด็ก ๆ เห็นภาพนรกน่ากลัวยิ่งนัก และได้ยินคำพยากรณ์ถึงสงครามโลกครั้งแรก
สิ้นสุด และเริ่มสงครามโลกครั้งที่สอง
การเปิดเผยครั้งที่สอง เรียกร้องให้ประชากรชาวรัสเซียกลับใจมาเป็นคริสตชน โดยให้มาศรัทธา
ต่อพระนางพรหมจารีมารีย์
เด็ก ๆ เล่าถึงคำพยากรณ์ที่สามให้เจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรฟัง และเจ้าหน้าที่คณะนี้ได้ปิดผนึก
ส่งไปให้วาติกัน และไม่ได้มีการจัดพิมพ์ออกมาเลย
ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพระศาสนจักรได้โจมตีในเรื่องการประจักษ์นี้ แล้วขังเด็กเลี้ยงแกะพวกนี้
ไว้สองวัน ด้วยข้อหาว่าหลอกลวง แต่มาปี 1930 ทางวาติกันได้ประกาศว่า การประจักษ์มาของแม่พระ
ครั้งนี้เชื่อถือได้ และอนุญาตให้แสดงความศรัทธาแต่แม่พระฟาติมาได้
ได้มีการสร้างวัดน้อยไว้ ณ สถานที่แห่งนั้น มีคนหลายพันคนจาริกแสวงบุญไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แห่งนั้นทุกปี ฟาติมายังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ "บลูอาร์มี" องค์กรแพร่ธรรมที่ดำเนินงานโดยชาวอเมริกัน
เนื่องจากได้รับแรงดลใจจากแม่พระประจักษ์ครั้งที่สองนั้น จึงอุทิศตนทำการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย
การสวดภาวนา และรำพึง
ส่วนความลับประการที่สาม พระศาสนจักรคาทอลิกกล่าวอยู่เสมอว่า ยังไม่เป็นที่เปิดผยเพราะไม่ได้
มีอะไรที่แสดงให้เห็นความศรัทธา
ในหนังสือที่พระคาร์ดินัล โจเซฟ รัทซิงเกอร์ สมณมนตรีสมณกระทรวงวาติกันฝ่ายความศรัทธาเขียน
ไว้ว่า ท่านได้อ่านความลับนั้นแล้ว และขอสงวนไว้เป็นความลับ เพราะทำนายถึงความหายนะของโลก
"ถ้ามาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ยังไม่มีการตัดสินใจพิมพ์ความลับนี้ ก็ไม่ใช่เพราะพระสันตะปาปาอยากจะ
ปิดบังสิ่งที่น่ากลัวไว้" ท่านกล่าว
พระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ กล่าวเสริมว่า "การจัดพิมพ์ความลับประการที่สาม หมายความถึงเปิดเผย
ข้อความอันตราย ถ้ามีผู้นำไปทำให้เกิดความตื่นเต้นตกใจกันขึ้น"
เมื่อพระสันตะปาปา จอห์น พอล เสด็จเยือนวัดฟาติมาในปี 1982 หนึ่งปีหลังจากที่ทรงถูกยิง พระองค์
ระมัดระวังเมื่อทรงเน้นถึงความสำคัญของข้อความทั้งหมดในสารนั้น ในเชิงเรียกร้องคนบาปให้เลิกทำบาป
และกลับใจ
พระองค์ทรงกล่าวถึงความเกี่ยวโยงระหว่างการถูกลอบปลงพระชนม์ และแม่พระประจักษ์ที่ฟาติมานั้นว่า
"ดูเหมือนข้าพเจ้าจะนึกถึงวันที่แม่พระทรงเรียกเป็นพิเศษให้มายังสถานที่แห่งนั้นที่เกิดมาตรงกัน และดังนั้นวันนี้
ข้าพเจ้าก็ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว" พระองค์ตรัส
พระองค์ตรัสเสริมว่า ที่เกิดมาตรงกันก็เป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งให้เห็นความสำคัญของแม่พระ
ในแผนการของพระเป็นเจ้า พระสันตะปาปาทรงขอบคุณแม่พระที่ช่วยรักษาให้พระองค์หายเป็นปรกติดี
ระหว่างที่พระสันตะปาปาเสด็จไปเยือนนี้ พระสงฆ์ชาวสเปนองค์หนึ่งได้ใช้ดาบปลายปืนพยายาม
ปลงพระชนม์พระสันตะปาปาเป็นครั้งที่สอง
ในท่ามกลางผู้ที่เข้าเฝ้าระหว่างที่พระสันตะปาปาเสด็จเยือนโบสถ์แม่พระประจักษ์ที่ฟาติมาครั้งนี้มี
ลูเซีย โดส ซานโตส นักบวชหญิงคณะคาร์แมล ซึ่งปัจจุบันมีอายุได้ 78 ปี หนึ่งในบรรดาเด็กเลี้ยงแกะสามคน
ที่แม่พระฟาติมาประจักษ์ให้เห็นนั้น เธอเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของเธอได้
เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ภายในสามปีหลังจากที่ได้เห็นแม่พระประจักษ์ครั้งนั้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 8:33 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 26 )👈

🔥--- นอสตราดามุสก็เห็นแม่พระปรากฏมา ---🔥

          คำโคลงต่อไปนี้ค่อนข้างยากและซับซ้อน จำเป็นต้องวางพื้นให้ดี เพื่อผู้ที่มิใช่ชาวคาทอลิกจะได้
เข้าใจเบื้องหลังบางอย่าง
พระนางพรหมจารีย์ มารีอา เป็นแม่ของพระเยซู โดยทั่วไปเราเรียกว่า "แม่พระ" หลายยุคหลายสมัย
มาแล้วที่มีคนอ้างว่าได้เห็นแม่พระปรากฏมา แต่มีไม่กี่ครั้งที่พระศาสนจักรรับรองว่าเป็นแม่พระจริง ๆ ที่
ปรากฏมาให้บางคนห็น จะมีอยู่สองเมืองที่แม่พระได้ปรากฏมา เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกคาทอลิกก็คือ
เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส แม่พระได้ปรากฏมาพบเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อแบร์นาแดตต์ ในปี ค.ศ . 1858 และอีก
เมืองหนึ่งคือ เมืองฟาติมา ประเทศโปรตุเกส ที่แม่พระปรากฏมาพบเด็ก 3 คนชื่อ ฟรังซิส ยาชินทา และ ลูเซีย
ในปี ค.ศ. 1917 แล้วทิ้งช่วงไป จนถึงปี 1981 แม่พระจึงปรากฏ (ชาวคาทอลิกติดศัพท์ประจักษ์ คงได้มาจาก
มิสชันนารีสมัยแรก ๆ ) มาพบเด็ก 6 คนชื่อ จาโคป มีร์จานา อีวันกา วิกกา มีรีจา และ อีวาน ณ ตำบลเมดจูกอเรีย
ประเทศยูโกสลาเวีย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1981 และยังคงปรากฏมาทุก ๆ เย็น เพื่อมาพบเด็กคนใดคนหนึ่ง
เพื่อจะได้มอบสาส์นสำคัญ ๆ แก่ชาวโลก ข้อใหญ่ใจความของสาส์นของแม่พระก็คือ ให้มนุษย์ทุกคนกลับเนื้อ
กลับตัวประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม และเน้นให้จำศีล อดอาหาร และอดทนอดกลั้น เพราะการทำเช่นนี้
อาจเลี่ยงสงครามได้ แล้วแม่พระก็มอบความลับ 10 ข้อ ซึ่งก็หมายถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ใหญ่ ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
เช่น เรื่องแผ่นดินไหว เกิดโรคเอดส์ ซึ่งได้เปิดเผยหรือเป็นที่ล่วงรู้ไปแล้ว 8 ข้อ ยังเหลืออีก 2 ข้อที่ยังไม่ถึงเวลา
จะเปิดเผยซึ่งเด็ก ๆ เหล่านั้นเผยว่าเป็นเรื่องหนักหนาสากรรจ์ยิ่งยวด เพียงที่ว่าพอเปิดเผยปุ๊บ เหตุการณ์ก็จะ
เกิดปั๊บ แทบจะไม่มีเวลากลับเนื้อกลับตัวเอาทีเดียว ความลับข้อ 9 และ 10 นี้เป็นเรื่องร้ายแรกมากสำหรับโลก
เป็นเสมือนการลงโทษของพระเจ้า เพราะบาปที่มนุษย์ได้กระทำ การลงโทษของพระเจ้าอาจจะทำให้เบาบางลง
ได้ด้วยการสวดอธิษฐาน และการจำศีล แต่ที่จะยกเลิกไม่ให้มีนั้นไม่ได้ เพราะยังมีคนที่ยังไม่ยอมกลับเนื้อกลับตัว
อยู่อีกมาก ผู้เขียนเดาว่าความลับนี้คงจะหมายถึงสงครามโลกครั้งที่สามเป็นแน่ นอกจากนั้น แม่พระยังบอกอีกว่า
ซาตานที่ล่อลวงมนุษย์ให้ทำชั่วนั้นมีอยู่จริง และเรื่องนรกสวรรค์ก็มีจริงเช่นเดียวกัน
ในวันที่ 13 พฤษภาคม 1981 โป๊ปจอห์น พอลที่ 2 ถูกคนร้ายที่ชื่อ อาลี อัคคา ชาวตุรกีลอบปลงพระชนม์
พระองค์ยืนยันว่าแม่พระได้ "คุ้มครอง" พระองค์มิให้มีอันตรายถึงชีวิต โปรดสังเกตหลังจากเหตุการณ์นี้ประมาณ
1 เดือน แม่พระก็ได้ปรากฏมาพบเด็กที่เมดจูกอเรียในวันที่ 24 มิถุนายน 1981 ดังกล่าวแล้ว ย้อนมาพูดถึงตัว
ฆาตกร นายเมห์เหม็ด อาลี อัคคา เป็นหนึ่งในพวก "หมาป่าสีเทา" แห่งองค์การก่อการร้ายขวาสุดขั้วแห่งตุรกี
ถูกว่าจ้างจากประกาศิตแห่งมาเฟียตุรกี อาบูเซอร์ อูกูร์ลู (Abuzer Ugurlu) และ เบกกี้ เซเลงค์ (Bekir Celenk)
และได้มีการติดต่อกับ โอมาร์ เมอร์ซาน (Omar Mersan) ผู้เป็นนกต่อของบรรดา "พ่อค้า" ระดับมหากาฬของ
แก๊งค้าอาวุธ ยาเสพติด หากว่าแม่พระได้ "คุ้มครอง" โป๊ปมิให้ถึงแก่ชีวิต พระนางก็จะต้อง "รังเกียจ" บรรดา
"พ่อค้า" หรือ "แก๊งขุมเครือข่าย" หรือ "หมาป่า" เหล่านี้เป็นแน่
ต่อไปนี้ให้เรามาอ่านโคลงของนอสตราดามุสบทที่ 98/10
La splendeur claire à pucelle ioyeuse,
Ne luyra plus, long temps, sera sans sel,
Avec marchans, ruffiens, loups odieuse,
Tous pesle mesle monstre universel.
แสงสกาววาววับจับอยู่ที่สาวพรหมจารีย์ผู้ยิ้มแย้มแจ่มใส
ไม่ได้สองแสงชั่วระยะเวลาหนึ่งและผู้คนก็จะไม่ล่วงรู้ความเป็นไป
พระนาง "รังเกียจ" บรรดา "พ่อค้า" "แก๊งขุมเครือช่าย" และ "หมาป่า"
แล้วจะเกิดสับสนอลหม่านในมหันตภัยสงครามโลก
วิเคราะห์
ในบรรทัดที่ 1 เด็ก 6 คนที่ตำบลเมดจูกอเรีย (Medjugorje) ได้เห็นภาพนิมิตของแม่พระ สวมเสื้อสีทอง
ส่องแสงประกายระยับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มร่าเริง
บรรทัดที่ 2 ไม่ได้ส่องแสงมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง หมายความว่า แม่พระได้ปรากฏมาในภาพนิมิตของเด็กสามคน
ที่เมืองฟาติมาในปี 1917 แล้วไม่ได้ประจักษ์หรือปรากฏมาอีกเลย จนกระทั่งปี 1981 ที่เมดจูกอเรีย นับเป็น
เวลาถึง 64 ปี คราวที่แม่พระปรากฏมาพบเด็กหญิงแบร์นาแดตต์ที่ลูร์ด (Lourdes) ในปี 1858 แล้วแม่พระยัง
ปรากฏมาที่ปงต์แมงในปี 1871 และที่เปลเลอวัวแซงในปี 1876 ฉะนั้นแม่พระได้ทิ้งช่วงการปรากฏมาถึง 64 ปี
ทำให้ผู้คนขาดเกลือ หมายความว่า ขาดความรอบรู้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกตามความในบรรทัดที่ 2
ในบรรทัดที่ 3 ค่อนข้างชัดเจน จะให้แม่พระชอบ "พ่อค้าอาวุธ" "แก๊งขุมเครือข่าย" "ยาเสพติด" และ
"มนุษย์หมาป่า" ที่คอยเช่นฆ่าชีวิตเหมือนผักปลาได้อย่างไร
ในบรรทัดที่ 4 คงจะเป็นความลับข้อที่ 10 ที่ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม นอสตราดามุสดูเหมือน
จงใจบรรจุไว้ในเซ็นจูรี่ที่ 10 และบรรจุในโคลงบทที่98 คงจะต้องการบุ้ยใบ้ในปี ค.ศ. 1998 ก็เป็น
สาส์นของแม่พระแห่งเมดจูกอเรีย ยูโกสลาเวีย มีย่อ ๆ ดังนี้
1. แม่พระขอร้องให้มนุษย์เลิกทำความชั่ว หันหน้าเข้าหาพระ โลกจะมีสันติภาพโดยอาศัยการภาวนาและ
จำศีลอดอาหาร
2. แม่พระบอกว่าซาตานมีจริง และกำลังรังควานมนุษย์ขนานใหญ่
3. แม่พระบอกความลับ 10 ข้อแก่เด็ก สาระสำคัญ ๆ ของความลับนั้นก็คือ ทุกข์เข็ญต่าง ๆ ที่มนุษย์จะต้อง
ประสบ ความลับข้อหนึ่งเป็นที่เปิดเผยแล้วคือ เมื่อแม่พระจะหยุดการปรากฏมา แม่พระสัญญาจะให้มีเครื่อง
หมายอันถาวรสำหรับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ก่อนจะมีเครื่องหมายอันถาวรนั้น จะมีสัญญาณเตือน 3 ครั้งจาก
พระเจ้า 3 วันก่อนสัญญาณเตือนครั้งแรก จะต้องไปบอกพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งจะต้องแจ้งเรื่องนี้ไปยังผู้ใหญ่
และแก่โลกทั้งมวล สัญญาณเตือนครั้งต่อ ๆ ไปจะตามมาในระยะเวลาอันสั้น แล้วจะมีการพักชั่วเวลาหนึ่ง
ระยะสั้น ๆ เพื่อให้คนกลับใจเข้าหาพระ หลังจากมีเครื่องหมายที่แลเห็นได้ปรากฏมา คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีเวลา
เหลืออีกเล็กน้อยที่จะกลับใจเข้าหาพระ
4. ความลับข้อที่ 9 และข้อที่ 10 จะเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับโลก เป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะบาปของโลก
สามารถทำให้เบาบางลงได้โดยการสวดภาวนาและการถือศีลอดอาหาร แต่จะให้ลบล้างไม่ได้ เพราะยังมี
มนุษย์อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ยอมกลับตัวเป็นคนดี
5. แม่พระอีกว่า "นี่เป็นการสิ้นยุค แต่ไม่ใช่สิ้นโลก" หลังจากการลงโทษครั้งนี้ ซาตานจะถูกริดรอนอำนาจ
แล้วมนุษย์โลกจะมีชีวิตอย่างยุคโบราณ และดำรงในสันติสุขเป็นเวลานาน แม่พระย้ำเตือนว่า "อย่าห่วงเรื่อง
สงคราม หรือการลงโทษเลย เราจะต้องเผชิญ และต้องผ่านพ้นมันไปเอง ขณะนี้ เป็นเวลาแห่งพระพร
แห่งพระหรรษทาน ที่พระประทานให้เรากลับใจไปหาพระองค์ แม่พระเน้นว่า "มนุษยชาติทั้งหมดเท่าเทียมกัน
ต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้า"

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 8:40 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (27)👈

🔥--- เหตุที่แม่พระร้องไห้ ---🔥

          ที่เมืองอากิตา ญี่ปุ่น พระรูปของแม่พระได้หลั่งน้ำตามากกว่า 101 ครั้ง และมีโลหิตด้วยที่ไหลออกมา
จากฝ่าพระหัตถ์ขวา และยังมีอะไรมากกว่านั้นอีก ที่ซิสเตอร์อักแนส ซาซากาวา ได้รู้เห็นประจักษ์แก่ตาของ
ท่านเอง ซึ่งน้ำตาและเลือดที่ไหลออกมาดังกล่าว เพราะที่ฝ่ามือทั้งคู่ของซิสเตอร์เองก็มีเลือดไหลออกด้วย
เหตุที่แม่พระร้องไห้ เพราะว่ามัจจุราชแห่งธรณีกำลังแผลงฤทธิ์ไหวตัวตามทางของมันในที่หลายแห่ง
หรือเพราะว่ามีผู้คนมากมายพบกับความตายโดยที่ตนเองมิได้เตรียมตัว แล้วก็ไม่มีวันที่จะได้ลิ้มรสความสุข
นิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่นั้น
ข้าพเจ้าได้รับสิทธิพิเศษให้สัมภาษณ์ซิสเตอร์อักแนส ท่านบอกข้าพเจ้าว่า แม่พระร้องไห้เพราะ
การสนองตอบอันเนรคุณของมนุษยชาติต่อพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระนาง
เพื่อพิสูจน์ยืนยันความจริงแห่งสาส์นของพระนาง พระนางมารีย์ก็ได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือ
มนุษย์เราตามเวลาที่เหมาะสมเสมอ โดยเฉพาะกับอาการหูหนวกของซิสเตอร์อักแนส "หูของเธอทั้งสองข้าง
ที่พิการนี้จะหายเป็นปกติในเดือนที่ถวายแก่ดวงพระทัยนิรมลของพระนางมารีย์" พระนางกล่าวแก่ซิสเตอร์
แล้วก็เสริมต่อไปว่า "พวกเขาด้วยจะถูกรักษาให้หายในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จากพระเจ้าผู้ประทับอยู่
ในศีลมหาสนิท บรรดาคนเหล่านั้นที่เชื่อในเครื่องหมายนี้ จะได้รับพระคุณมากมาย จะมีผู้ที่คัดค้านขัดขวาง
แต่เธอไม่ต้องกลัวอะไร"
พระมารดาได้ทรงแสดงเครื่องหมายอีกอย่างหนึ่ง เมื่อรูปปั้นนั้นหลังจากที่ได้หยุดร้องไห้ไปหลายเดือน
พวกนักถ่ายทำข่าวและภาพทางโทรทัศน์ได้รับอนุญาตให้มายังสถานที่อากิตา เพื่อจะได้ถ่ายรูปปั้นแม่พระนั้น
อัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา นั่นคือพระรูปกลับมีชีวิตและได้ร้องไห้ติดต่อกันนานนับเป็นชั่วโมง ๆ
ไม่เพียงแต่เป็นภาพที่เห็นกันทางทีวีในญี่ปุ่น แต่ยังได้มีการทำวิดีทัศน์แพร่หลายเรื่องนี้ไปทั่วโลกอีกด้วย
แม่พระตรัสว่า "ถ้ามนุษย์เราไม่หยุดทำบาปหนักต่าง ๆ พระบิดาเจ้าสวรรค์จะทรงใช้พระยุติธรรมป้องกัน
พระคริสตเจ้า"
วันที่ 13 เดือนตุลาคม 1973 พระเจ้าได้ทรงประทานสาส์นทางแม่พระ โดยพระรูปแม่พระแห่งอากิตา
ทรงชีวิตได้มอบสาส์นนี้แก่ซิสเตอร์อักแนส ผู้ซึ่งหูพิการทั้ง 2 ข้างในครั้งนั้น แล้วท่านได้หายเป็นปกติ แม่พระ
ตรัสแก่ท่านว่า "ลูกที่รัก ฟังให้ดีในสิ่งที่แม่จะพูดแก่เธอ แล้วเธอจะต้องแจ้งแก่ผู้ใหญ่ของเธอ
(หมายถึงสังฆราช ยอห์น อีโต แห่งอากิตา) อย่างที่แม่บอกกับเธอแล้ว ถ้ามนุษย์ไม่เป็นทุกข์กลับใจ และแก้ไข
ความประพฤติของเขาให้ดีขึ้น พระบิดาเจ้าจะทรงลงโทษให้พบกับความทุกข์ยากที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งจะเป็น
พระยุติธรรมที่หนักหน่วงกว่าน้ำวินาศที่ท่วมโลก ไฟจะตกจากท้องฟ้า และจะทำลายส่วนใหญ่ของมนุษย์โลก
ทั้งคนดีและคนชั่ว จะไม่ละเว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไม่ซื่อสัตย์ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตจะพากันตกใน
ความอ้างว้างโดดเดี่ยว และจะอิจฉาคนที่ตายไปแล้ว"
"อาวุธแต่อย่างเดียวสำหรับเธอคือสายประคำ เครื่องหมายที่ช่วยให้พบความรอดที่บุตรของเรามอบไว้
ทุกวันให้สวดสายประคำ สวดสำหรับพระสันตะปาปา สังฆราช และพระสงฆ์ งานของปีศาจจะแทรกซึมเข้าไป
ทั่วแม้ในพระศาสนจักร คาร์ดินัลจะโต้แย้งคาร์ดินัล สังฆราชจะปะทะสังฆราช และพระสงฆ์ผู้ภักดีต่อเราจะถูก
เย้ยหยันและขัดขวางจากเพื่อนสมาชิกของเขาเอง วัดและพระแท่นจะถูกเหยียบย่ำ พระศาสนจักรจะเต็มด้วย
พวกอ่อนข้อสมคบเปิดทางให้แก่ความชั่ว และแก่พวกมารปีศาจที่จะกดขี่ทำร้ายพระสงฆ์และบรรดาวิญญาณ
ที่ถวายตัว ให้ละทิ้งงานและการปรนนิบัติของพระเจ้า ปีศาจจะไม่มีวันลดละผ่อนปรนให้แก่วิญญาณของผู้
ถวายตัวแด่พระเจ้า การคิดถึงความสูญเสียไปของวิญญาณมากหลายจะก่อให้เกิดความโศกเศร้าอย่าง
ใหญ่หลวง ซึ่งหากบาปยังขืนทวีขึ้นเรื่อย ๆ ในจำนวนและในความหนักร้ายแรงของมันแล้วไซร้ ก็จะไม่มีการ
ให้อภัยแก่พวกเขาอีกต่อไป จงกล้าหาญที่จะบอกแก่ผู้ใหญ่ของเธอ แล้วเขาจะช่วยกระตุ้นเตือนแต่ละคนให้
สวดภาวนาและทำการชดเชยบาป จงสวดสายประคำมาก ๆ ลำพังเราเองก็จะช่วยให้เธอพ้นภัยจาก
ความทุกข์เข็ญต่าง ๆ ที่กำลังใกล้เข้ามา แต่บรรดาผู้ไว้วางใจเราจะรอด"
(ตัดตอนจาก "เหตุที่แม่พระร้องไห้" โดย Fr. Edgardo Arellans นิตยสาร "ดอนบอสโก" สิงหาคม 1991
ปีที่ 33 ถอดความโดย ท.เทียน)
หมายเหตุ ผู้เขียนได้รับข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่พระร้องไห้ที่อากิตะ จากนิตยสาร "แม่พระยุคใหม่"
ฉบับที่ 53 ดังนี้
1. คุณพ่อยาซูดา จิตตาธิการของภคินีอักแนส ท่านได้นำสำลีที่เช็ดโลหิต เหงื่อ และน้ำตาจากพระรูปแม่พระ
ไปให้คณะแพทย์มหาวิทยาลัยอากิตะและจีฟูตรวจอย่างเป็นทางการ ได้ผลสรุปว่า เหงื่อและน้ำตาเป็นของ
มนุษย์อย่างแท้จริง ส่วนโลหิตนั้นอยู่ในกรุ๊ปเลือด O
2. พระสังฆราชแห่งอากิตะ พระคุณเจ้าอิโตได้รับรองลักษณะเหนือธรรมชาติของเหตุการณ์ต่าง ๆ
3. เมื่อเดือนมิถุนายน 1988 พระคาร์ดินัลรัดซิงเกอร์ สมณมนตรีกระทรวงพระธรรมความเชื่อ ได้รับรองกับ
พระสังฆราชว่า สาส์นอภิบาลของท่านถูกกาลเทศะ และประกาศว่าเหตุการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ
ที่อากิตะเป็นเรื่องจริง และสมควรที่จะเชื่อได้
🔥---  เหตุการณ์ปัจจุบัน  ลัทธิคอมมิวนิสต์ถึงจุดเสื่อม ---🔥
          ในคำโคลงบทก่อน ๆ นี้นอสตราดามุสได้เกริ่นถึงการเกิดของลัทธิคอมมิวนิสต์โดยนัยมาหลายตอน
เช่น ตอนที่เขามองเห็นสัญลักษณ์รูปแมลงป่อง ซึ่งได้มาจากการมัดติดกันของสิ่งชั่วร้ายสองสิ่งคือ ฆ้อนและ
เคียว หรือ "แล้วกษัตริย์ใหม่ก็นำเชื้อโรคระบาดมาสู่พระศาสนจักรทั้งมวล" และอีกตอนหนึ่ง เขาพรรณาผลเสีย
ของลัทธิอุบาทว์ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม คือ ตอนที่เหมาเจ๋อตุงมีชัยต่อกองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คเป็น
ผลสำเร็จ ฉะนั้นเหมาจึงกลายเป็นกษัตริย์ที่ทรงอิทธิพลยิ่ง สยบประชาชนของเขาเยี่ยงเชลย เพราะอำนาจการ
ปกครองของผู้นำคอมมิวนิสต์นั้นมีล้นฟ้า ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ในการค้า ฯลฯ จึงเสมือนถูกปล้นจน
ตัวเองไม่มีอะไรติดตัว นี่คือความชั่วร้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่สมัยนอสตราดามุสเขาเรียกลัทธินี้ว่า กฎของ
มอร์ เพราะนอสตราดามุสเป็นคนรุ่นเดียวกับมอร์ ดังเราจะได้ยกคำโคลงบทหนึ่งที่เขาพรรณาถึงจุดเสื่อมของ
กฎของโทมัส มอร์ ดังนี้
บทที่ 95/3
La loy Moricque on verra deffaillir,
Apres une autre beaucoup plus seductive:
Boristhennes premier viendra faillir,
Par °dons & langue une plus attractive.
กฎของมอร์จะถึงจุดเสื่อม
เพราะกฎอื่นมันล่อใจมากกว่า
จะเริ่มเสื่อมแถบแม่น้ำโบริสเทนเนส
ทั้งนี้ (ในโลกเสรี) สินค้าก็มีให้เลือกมากมายและภาษาที่ใช้
ก็ไพเราะเสนาะโสต (เพราะเป็นเรื่องของการแข่งขันขายบริการ)

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 8:46 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (28)👈

🔥--- กฎของโทมัส มอร์ ---🔥

          ก่อนอื่นให้เรามารู้จักเซอร์โทมัส มอร์ ว่าเป็นใครเสียก่อน เขาเกิดที่กรุงลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1478
เป็นบุตรของผู้พิพากษาเซอร์จอห์น มอร์ มอร์เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นเพื่อนกับอีแรสมัส
เป็นเหตุให้สนใจลัทธิมนุษย์นิยมแบบคริสต์ไปด้วย มอร์เป็นผู้คัดค้านพฤติกรรมที่เรียกว่าลัทธิมาเกียเวลลี่
ลัทธินี้ตามที่เข้าใจกันทั่วไปนั้น หมายถึงความคิดในหนังสือของเจ้าเหนือหัว (The Prince) คือ หมายถึงมี
สิทธิใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างเพื่อสร้างอำนาจทางการเมืองให้กับตนเอง ฝ่ายที่ชนะทางการเมืองเป็นฝ่ายถูก
เสมอ และจะทำอะไรเพื่อรักษาและเสริมอำนาจของตนก็นับว่าถูกต้องทั้งสิ้น เมื่อคำมีความหมายไม่น่าสรรเสริญ
เช่นนี้ มาเกียเวลลี ก็พลอยมีชื่อเสียงไปในทางลบไปด้วย เพราะผู้มีอำนาจเอาเฉพาะ ลัทธิมาเกียเวลลี่ ไปใช้
โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายที่ว่า เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องในที่สุด ท่านเซอร์โทมัส มอร์ ต่อต้าน
ลัทธิ มาเกียเวลลี่ โดยไม่รู้จักตัวและผลงานของ มาเกียเวลลี่ ท่านต่อต้านหลักการโดยไม่ได้ใช้คำ มาเกียเวลลี่
ซึ่งท่านไม่รู้จัก แสดงว่าการปฏิบัติตามแบบลัทธิ มาเกียเวลลี่ มีอยู่แพร่หลาย เพียงแต่ไม่มีใครกล้าประมวลขึ้น
เป็นหลักการและทฤษฎีเพื่อสอนกัน เพราะถือว่าเป็นเรื่องอับอาย ทำได้แต่ไม่กล้าเปิดเผย จนกว่า มาเกียเวลลี่
จะยกขึ้นมากล่าวอย่างตรงไปตรงมา จึงได้มีผู้กล้าสารภาพมากขึ้น เซอร์โทมัส มอร์ จึงวิจารณ์ในฐานะผู้แฉ
ความลับของนักการเมืองที่เลว เพื่อตักเตือนมิให้ถือเป็นหลักการ แต่ให้เล่นการเมืองกันอย่างชื่อสัตย์สุจริต
เพื่อนำชาติไปสู่สภาพสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งท่านประดิษฐ์นามสมมุติให้ว่าเกาะอูโตเปีย (UTOPIA) หรือ ยูโทเปีย
คำนี้หมายถึงรัฐในอุดมคติ หรืออุตมรัฐ คำนี้เป็นภาษากรีก แปลว่า ไม่มีสถานที่ใดเลย (U = ไม่ + topia = สถานที่)
เป็นนามสมมุติของเกาะหนึ่ง ซึ่งพลเมืองปกครองกันเอง และแบ่งงานกันทำด้วยความอารีอารอบต่อกัน ทุกคน
ใช้เสรีภาพในขอบเขตที่ถูกต้อง และทุกคนมีความสุข ไม่มีใครเบียดเบียนใคร และไม่มีใครหวาดระแวงใคร
ทุกคนรักและดูแลทรัพย์สินซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันอย่างเอาใจใส่ ราวกับเป็นของของตนเอง ทุกคนอยู่กัน
อย่างพี่อย่างน้อง
นอสตราดามุสเป็นคนรุ่นเดียวกันกับโทมัส มอร์ คงจะต้องเคยอ่านยูโทเปียซึ่งถือเป็นแม่บทสังคมนิยม
อย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงบรรยายในโคลงบรรทัดแรกว่า กฎของมอร์จะถึงจุดเสื่อม เพราะเขาก็รู้ว่ามันจะ
ถูกนำมาใช้สมัยหนึ่งยาวนานถึง 73 ปีกับ 7 เดือน คอมมิวนิสต์อันได้แก่ประเทศยุโรปตะวันออกก็ได้เลิก
เป็นคอมมิวนิสต์กันถ้วนหน้าแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่ประเทศโปแลนด์เป็นหัวหอกแล้วฮังการี ยูโกสลาเวีย
เช็คโกสลาเวีย บัลแกเรีย โรมาเนีย และอัลบาเนีย ตอนนี้ก็ถึงเวรของสหภาพโซเวียตบ้าง ก็คงจะเหมือนช้างล้ม
คงจะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้ง 10 ทิศ
ในบรรทัดที่สองและสี่นั้นทประชาธิปไตยย่อมหอมหวลกว่าคอมมิวนิสต์เป็นแน่นอน
ส่วนในบรรทัดที่ 3 นั้น นอสตราดามุสระบุว่า บริเวณที่เห็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของลัทธิคอมมิวนิสต์
ว่าอยู่ตรง "บริเวณโบริสเทเนส (Boristhenes) หรือแม่น้ำดนีเปอร์ในปัจจุบัน นับเป็นแม่น้ำสายสำคัญของ
รัฐยูเครนของสหภาพโซเวียต ในสมัยของนอสตราดามุส พื้นที่บริเวณแถวนี้ถือว่าล้าหลังที่สุด จะเป็นจุดแรก
ที่เริ่มแข็งข้อ และได้เกิดขึ้นจริง ประเทศลิทัวเนียได้ประกาศอิสรภาพ ไม่ขึ้นต่อสหภาพโซเวียตซึ่งได้แต่ทำ
ตาปริบ ๆ แล้วส่งให้รถถังมาขับป้วนเปี้ยนอยู่ 2 - 3 วัน แล้วก็กลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การทำนายของ
นอสตราดามุสตอนนี้ ผู้เขียนได้คอยมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว คอยจ้องฟังข่าวคราวอยู่เสมอว่าจะมีรัฐไหนของ
สหภาพโซเวียต บังอาจแข็งข้อกับรัฐบาลกลางตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้บ้าง ที่สุดก็มีรัฐกะจิ๊ดริดที่
ชื่อรัฐลิทัวเนีย ก็ได้ประกาศอิสรภาพไปแล้วในวันที่ 11 มี.ค. 1990 ก็ต้องยอมสยบให้นอสตราดามุสอีกครั้ง
ด้วยความนับถือยิ่ง
🔥--- สหรัฐอเมริกาจะกลับเป็นมิตรกับสหภาพโซเวียต  ---🔥
          นับตั้งแต่โลกแบ่งเป็นค่ายคอมมิวนิสต์และค่ายประชาธิปไตยแล้ว ต่างก็ถือหางพันธมิตรของตนเอง
โลกเราก็เร่าร้อนด้วยสงครามเย็นอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งถึง 1989 นายจอร์จ บุช แห่งสหรัฐอเมริกา กับ
นายคอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ก็ได้พบปะกันบนเรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกฝั่งทะเลของ
เกาะมอลตา เมื่อต้นเดือนธันวาคม ทั้งสองได้ประกาศเลิกสงครามเย็นระหว่างกัน ไปไปตามนิมิตของ
นอสตราดามุสเมื่อ 432 ปีที่แล้ว ดังในคำโคลงบทที่ 89/2
Un jour seront d'amis les deux grand maitres,
Leur grand pouvoir se verra augmenté :
La terre neuve sera en ses hauts estres,
Au sanguinaire le nombre raconté.
วันหนึ่งเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจะเป็นมิตรกัน
อำนาจที่ยิ่งใหญ่จะเพิ่มยิ่งขึ้น
โลกใหม่จะพัฒนาถึงสุดยอดแห่งความใฝ่ฝัน
และแล้วมนุษย์กระหายเลือดก็จะค่อย ๆ ปรากฏโฉมหน้า
สำหรับบรรทัดที่ 1 และบรรทัดที่ 2 คงจะไม่มีอะไรมาก จะต้องวิเคราะห์แต่บรรทัดที่ 3 แสดงว่าน
อสตราดามุสสามารถมองทะลุเหตุการณ์ไปได้ไกลมาก เพราะตอนที่นอสตราดามุสเขียนหนังสือเซ็นจูรี่นี้
ทวีปอเมริกายังไม่มีใครไปอยู่ เขาสามารถมองเห็นไกลถึง 400 ปี เขาต้องได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของ
อเมริกาถึงขั้นสูงสุด ซึ่งเขาได้ให้สมญาว่าเป็นหนึ่งใน 2 เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนในบรรทัดที่ 4 หลังจาก
เจ้านายที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองเป็นมิตรกันได้ไม่ถึงขวบปี ก็ต้องมาเผชิญหน้ามนุษย์ผู้กระหายเลือด! เขาจะเป็น
ใครไปไม่ได้นอกจากนาย ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่า ทั้งสองมหาอำนาจนี้จะเป็นมิตรกันไม่ได้นาน นอสตราดามุสบอกอย่าง
ไม่อ้อมค้อมว่า แค่ 3 ปี 7 เดือนเท่านั้นเอง แล้วต่างคนต่างต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งต่าง
ก็ต้องดูแลรักษาบ้านเมืองของตัวเองให้ดีที่สุด คงจะไม่มีเวลาอี่อ๋อกันมากนัก ดังในโคลงบทที่ 95/4 ดังนี้
Le regne à deux laissé bien peu tiendront,
Trois ans sept mois passez feront la guerre.
โลกเราถูกปล่อยให้สองมหาอำนาจดูแลได้ชั่วระยะเวลาไม่นาน
3 ปี 7 เดือนผ่านไป แล้วทั้งสองต่างก็ต้องเผชิญมหันตภัยแห่งสงคราม
ฉะนั้นให้เราเฝ้ามองอย่างตาไม่ต้องกระพริบว่าเดือนมิถุนายน 1992 จะมีอะไรเกิดขึ้น

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 8:55 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ ( 29)👈

🔥--- ประธานาธิบดีใหม่เอี่ยมล่าสุด ---🔥

          นอสตราดามุสได้ทำนายผู้นำในอดีตของโลกมาหลายคนแล้ว ตอนนี้ให้เรามาดูซิว่า เขาทำนายบุคคล
สำคัญในสมัยของเราได้แม่นยำเพียงไร ให้เรามาดูคำโคลงในบทที่ 58/3
Aupres du Rhin des montaignes Noriques
Naistra un grand de gens trop tard venu,
Qui defendra Saurome & Pannoniques,
Qu'on ne scaura qu'il sera devenu.
ใกล้แม่น้ำไรน์จากเทือกเขานอริกัน บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของประชาชนจะเกิดมา ดูเหมือนเกือบจะสายไป
เขาจะปกป้องโปแลนด์และฮังการี ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะกลับเป็นอะไร

เมื่ออ่านคำโคลงจบจะเดาได้ว่า นอสตราดามุสทำนายถึงบุรุษที่มีชื่อกระฉ่อนโลกชาวโปแลนด์
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายเลค วาเวนซา (Leck Walesa) ผู้นำสหภาพแรงงานเสรีโซริดาริตี้
เขาผู้เกิดใกล้แม่น้ำไรน์ บนเทือกเรานอริกัน ในประเทศโปแลนด์ เขาเป็นผู้นำกรรมกรต่อเรือที่เมือง
กดังสค์ ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะถูกจับขังคุก เขาก็ไม่เคยหมดกำลังใจที่จะ
เผชิญหน้ากับรัฐบาลคอมมิวนิสต์อย่างไม่สะทกสะท้าน เขาเป็นหัวหอกสำคัญที่จะต่อกรกับประธานาธิบดี
เยรูเชลสกี้ ซึ่งได้ค่อย ๆ ผ่อนปรนให้นายทาเดอุสมาโซวิคกี้ (Tadeusz Mazowieki) นักหนังสือผู้มีแนวคิด
ทางขวาขึ้นเป็นนายกนี้ ก็นับเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง และในวันที่ 25 พ.ย.1990 นายเล็ก วาเวนซา ก็จะ
ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนชาวโปแลนด์เป็นครั้งแรกให้เป็นประธานาธิบดี ใครหรือจะกล้าฝันว่า กรรมกร
ต่อเรือจะสามารถชูกำปั้นสู้อิทธิพลเผด็จการคอมมิวนิสต์ จนที่สุดได้เป็นประธานาธิบดี นอสตราดามุสเข้าใจ
ถึงจิตใจของประชาชนชาวโปแลนด์เป็นอย่างดีว่า ไม่กล้าใฝ่ฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตัวนอสตราดามุสนั้น
รู้อยู่เต็มอกว่า เขาจะกลับเป็นอะไร แต่ในบรรทัดที่ 2 ที่ว่า "จะเกิดผู้ยิ่งใหญ่ของประชาชน แต่ค่อนข้างจะ
สายไป" ก็คงต้องวิเคราะห์กันต่อไป พอเขาขึ้นสู่อำนาจได้ไม่เท่าไร ก็คงจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่
คาดฝันขึ้น เช่น ถูกพวกอาหรับโจมตีก็ได้ตามคำโคลงบทต่อ ๆ ไป
📍~ ประวัติของเลค วาเวนซา ~📍
ประธานาธิบดีเลค วาเวนซา เป็นลูกชาวไร่มันฝรั่ง เกิดในปี 1943 ณ ทางภาคตะวันตกของกรุงวอซอ
เขาเกิดในกระต๊อบเล็ก ๆ ที่มีแค่ 3 ห้อง สมัยนั้นยังไม่มีถนนเข้าถึงบ้านเช่นปัจจุบัน
พ่อของเขาเสียชีวิตในปี 1945 เพราะถูกบังคับให้ทำงานหนัก ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน และแม่
ของเขาก็แต่งงานใหม่กับน้องชายของพ่อเขาในปีถัดมา โดยที่เป็นครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่ของเขาจึงต้องให้
ลูก ๆ ไปรับจ้างทำงานในไร่ของคนอื่น ส่วนเลคก็ไปฝึกเป็นช่างซ่อมแทรกเตอร์ในโรงเรียนอาชีวะใกล้บ้
พออายุได้ 24 ปี ก็ออกจากราชการทหาร กอรปทั้งถูกคนรักหักอก จึงออกจากบ้านมุ่งสู่เมืองกดังค์ (Gdansk)
เขาเข้าทำงานในอู่ต่อเรือเลนิน ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงเมื่อคริสต์มาสปี 1970 ด้วยการหยุดงานประท้วง
เรื่องอาหาร และมีกรรมกร 10 กว่าคนถูกฆ่าโดยหน่วยรักษาความปลอดภัย เขาไม่พอใจสภาพการทำงานเป็น
ทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้จัดให้มีการประท้วงคณะกรรมการ วาเวนซาถูกปลดออกจากงานในปี 1976 เพราะ
ไปวิจารณ์สหภาพแรงงานคอมมิวนิสต์ แล้วเขาก็เริ่มก่อตั้งขบวนการสหภาพแรงงานใต้ดินขึ้น
ในเดือนสิงหาคม 1980 เขาสามารถก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่จะนำการประท้วง ซึ่งได้ก่อกำเนิด
สหภาพการค้าเสรีแห่งค่ายประเทศตะวันออกเป็นครั้งแรก
กฎอัยการศึกได้นำขบวนการโซลิดาริตี้มาพบจุดหยุดการเคลื่อนไหวถึง 15 เดือน และทำให้เลคเข้า
คุกจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 1982
เขาได้รับรางวัลโนเบลในปีถัดมา แต่เพราะเขากลัวที่จะออกจากประเทศ จึงได้ให้ภรรยา
นางดาตูนา (Datuna) ไปรับรางวัลแทน
วาเวนซ่าให้คำมั่นว่าโซลิดาริตี้จะคงอยู่ต่อไปให้ได้ แม้จะเป็นแบบใต้ดินก็ตาม และหลังจากการ
ประท้วงในปี 1988 สหภาพฯ ก็ปรากฏโฉมเป็นพลังทางการเมืองอันสำคัญของโปแลนด์
วาเวนซ่าบังคับให้พรรคคอมมิวนิสต์มานั่งเจรจากันบนโต๊ะ และในที่สุด ขจัดพันธมิตรที่น่าสงสัย
ให้วางอำนาจ เขาหนุนให้ทัดเดอุส มาโซวิคกี้ ให้เป็นผู้นำของประเทศค่ายตะวันออกเป็นคนแรกที่ไม่เป็น
คอมมิวนิสต์ และเขาก็เฝ้ามองจาก กดังค์ ขณะคลื่นแห่งการปฏิวัติแผ่ไปในประเทศยุโรปตะวันออก
เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว วาเวนซ่าก็ได้เริ่มปลุกปั่นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อถอดถอนร่องรอยการปกครอง
แบบคอมมิวนิสต์ออกไป คือ ประธานาธิบดีดับเบิลยู จารูเซสกี้ แล้วเร่งปฏิรูปอย่างรีบด่วนเพื่อไม่ให้
เกิดความปั่นป่วนตามมา
ภายในไม่กี่เดือน จารูเซสกี้ก็ประกาศขอจบวาระของเขาก่อนกำหนด และแล้วการเลือกตั้งแบบ
ประชาธิปไตยเต็มขั้นก็ถูกกำหนดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากรอมานานถึง 5 ทศวรรษ เพื่อจะหาผู้นำใหม่
สู่พระราชวังเบลเวเดร์
แล้วเลค วาเวนซ่าก็นำ 40% ในเลือกตั้งครั้งแรก ในวันที่ 25 พ.ย. 1990 โดยมีม้ามืดสตานิสลอ
ตีมินสกี้ (Stamislaw Tyminski) มาเป็นที่ 2 (23%) และนายกรัฐมนตรีทัดเดอุส มาโซวิกกี้มาเป็นที่ 3
(18%) โดยที่การเลือกตั้งนี้ไม่มีผู้ใดได้เกิน 50% จึงต้องเลือกระหว่างผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 คน คือ วาเวนซ่า
กับ ตีมินสกี้ ในวันที่ 9 ธ.ค. 1990 ผลปรากฏว่า เลค วาเวนซาได้คะแนนนำลิ่วไป 73.25%
และม้ามืดสตานิสลอ ตีมินสกี้ ได้ 26.75%
🔥---  วิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย 5 เดือนครึ่งก่อนเส้นตาย ---🔥
          เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ยังไม่พ้นสายตาทิพย์ของนอสตราดามุสไปได้ หาอะไรกับเหตุการณ์อันน่า
ตื่นตระหนกของการระดมพลครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กับชาติพันธมิตร เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น
อิยิปต์ ซีเรีย ตุรกี และซาอุดิอาราเบีย ฝ่ายหนึ่ง เผชิญหน้ากับอิรักซึ่งมีพลรบ 1 ล้านคน ในเหตุการณ์ที่อิรัก
เข้ายึดคูเวตและผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 19 ของอิรักในวันที่ 2 ส.ค. 1990

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 02, 2023 9:00 pm

🥸~ ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส และบรรดานักบุญ พยากรณ์ตอนสิ้นพิภพ ~🥸
โดย สนธิ สารธรรม
👉 ตอนที่ (30)👈

🔥--- อเมริกาคุกคามตะวันออก ---🔥

          เราจะต้องพึ่งในสายตาทิพย์ของนอสตราดามุสอย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด เพราะเขาทำนาย
เหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเราต่างก็เป็นสักขีพยานอย่างสิ้นสงสัย ดังในคำโคลงต่อไปนี้
คำโคลงบทที่ 50/1
De l'aquarique triplicité naistra,
D'un qui fera le leudi pour sa feste:
Son bruit, loz, regne, sa puissance croistra,
Par terre, & mer aux Oriens tempeste.
จะมีประเทศหนึ่งเกิดจาก 3 แหล่งน้ำ
เป็นประเทศที่ใช้วันพฤหัสบดีเป็นวันฉลอง
ประเทศนี้จะเจริญรุ่งเรืองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี การปกครองและ
อำนาจ จะคุกคามชาวตะวันออกทั้งทางบกและทางทะเล
ถ้าเราอ่านโคลงบรรทัดแรกเพียงบรรทัดเดียว คงจะหาข้อสรุปได้ยาก เพราะประเทศที่มีแหล่งน้ำ
3 สายล้อมรอบ คงจะมีอยู่ด้วยกันหลายประเทศ แต่เมื่อเราอ่านบรรทัดสองที่ว่า ทำฉลองในวันพฤหัสนั้น
มีชาติเดียวในโลกคือสหรัฐอเมริกา คือเป็นวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) จะกระทำ
ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และในวันขอบคุณพระเจ้าครั้งนี้ (22 พ.ย. 90) บุช
ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมกองทหารที่อ่าวเปอร์เซีย เพื่อตัดสินใจครั้งสำคัญในช่วงวิกฤตินั้นด้วย
ให้เราหันมาดูโคลงบรรทัดแรก ก็จะเห็นว่าสหรัฐอเมริกามีน้ำล้อมรอบทั้งสามด้านคือ มหาสมุทร
แปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก และอ่าวเม็กซิโก ภายในเวลา 200 ปี สหรัฐอเมริกาก็เจริญรุ่งเรืองในด้าน
การปกครอง เกียรติยศ เกียรติศักดิ์ และแสนยานุภาพ จนผงาดขึ้นมาอยู่แนวหน้ากลายเป็นมหาอำนาจ
(บรรทัดสาม) บรรทัดสุดท้ายนั้นก็บ่งบอกถึงเหตุการณ์สำคัญคราวที่อิรักยึคคูเวต เป็นการแสดงแสนยานุภาพ
ของสหรัฐอเมริกาโดยการระดมพลถึง 600,000 คน มาทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศเพื่อเผชิญหน้ากับ
อิรักซึ่งมีกำลังพลถึง 700,000 คน ภาพเหตุการณ์อันระทึกใจครั้งนี้ ไฉนเลยจะรอดพ้นสายตา
ของนอสตราดามุสไปได้
🔥--- พันธมิตรยุโรปขอร่วมลงแขกด้วย  ---🔥
          โคลงบทที่ 22/2
Le camp Ascop d'Europe partira,
S'adioignant proche de I'Isle submergee
D'Arton classe phalange pliera,
Nombril du mond plus grand voix subrogée
กองทัพที่ไม่น่าเชื่อได้ออกเดินทางจากยุโรป
เพื่อรวมพลกันใกล้ ๆ เกาะที่จมไปแล้ว (อ่าวเปอร์เซีย)
กองทัพของพันธมิตรยุโรปนำกำลังมาสมทบกองกำลังที่รออยู่แล้ว
เพื่ออวดแสนยานุภาพให้ก้องปฐพี
โคลงบทนี้คงวิเคราะห์ได้ไม่ยากนัก คือกองทัพของพันธมิตรยุโรปอันมีอังกฤษและฝรั่งเศส
เป็นหัวหอก เพื่อแสดงสปิริตกับมหามิตรอเมริกา จึงส่งกองทัพเรือ และกองทัพอากาศไปสมทบที่
อ่าวเปอร์เซียบ้าง แต่จำนวนไม่มากนัก เพื่อให้อิรักคร้ามในความพร้อมเพรียงของฝ่ายอเมริกา
🔥--- U.N. ปิดล้อมอิรัก  ---🔥
          บทที่ 61/3
La grande bande & secte crucigere,
Se dressera en Mesopotamie :
Du proche fleuve compagnie legere,
Que telle loy tiendra pour ennemie.
ชาติยิ่งโหญ่ที่นับถือกางเขน (อเมริกา ยุโรป)
จะปรากฏโฉมที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย (อิรัก)
ฝ่ายชาติที่ด้อยกำลังตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ (ไทกรีส)
ถือว่ามาตรการปิดล้อมนี้ประหนึ่งความเป็นอริ
🔥--- อิรักระดมพลรับมือพันธมิตร  ---🔥
          โคลงบทที่ 64/5
Les assemblez par repos du grand nombre,
Par terre & mer conseil contre mandé :
Pres de l'Autonne Gennes, Nice de l'ombre,
par champs & villes le chef contrebandé.
มีการระดมพลครั้งใหญ่เหมือนมาพักผ่อน
มีการแพร่ข่าวสารและให้คำปรึกษากันทางบกและทางทะเล
ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงที่เจนัวและที่นิซที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก
ในขณะที่ตัวหัวหน้าเที่ยวหลบซ่อนในทุ่งหญ้าและในเมือง
โคลงบทนี้กล่าวถึงฝ่ายอิรักบ้าง ซึ่งก็ระดมพลเกือบหนึ่งล้านในปลายฤดูร้อนและช่วงต้นของฤดู
ใบไม้ร่วง (หลัง 2 ส.ค. 90) ส่วนตัวผู้นำอิรัก หมายถึง ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ก็เที่ยวหลบ ๆ ซ่อน ๆ
อยู่ตามทุ่งหญ้าบ้าง ในเมืองบ้าง เพราะไม่ใช่กลัว CIA เด็ดหัวเท่านั้น แต่กลัวคนใกล้ชิดกำจัดเสียก็ได้
ที่ผ่านมาก็มีคนคิดจะกำจัดซัดดัมเหมือนกัน แต่ซัดดัมก็จมูกไวเลยสั่งเก็บไปเสียหลายคน
🔥--- เหตุการณ์หลังเส้นตาย ครึ่งคนครึ่งหมู  ---🔥
          โคลงบทที่ 64/1
De nuict Soleil pensaront avoir veu
Quand le pourceau demy homme on verra
Bruit, chant, bataille au Ciel batttre aperceu,
Et bestes brutes à parler l'on orra.
ในตอนกลางคืนพวกเขาจะคิดว่าได้เห็นพระอาทิตย์
เมื่อต่างก็จะเห็นครึ่งคนครึ่งหมู
จะได้ยินเสียงอึกทึก เสียงร้องเพลงและก็จะเห็นสงครามในท้องฟ้า
และจะได้ยินสัตว์ร้ายพูดได้ด้วย
วิเคราะห์ : นอสตราดามุสคงจะเห็นการสู้รบด้วยอาวุธแปลก ๆ แล้วเขาบรรยายไปเท่าที่จะสามารถ
พระอาทิตย์ตอนกลางคืนก็คงจะเห็นลูกระเบิดลูกใหญ่ ๆ ส่องแสงเจิดจ้า ครึ่งคนครึ่งหมูก็คงจะเป็นคนที่
สวมชุดป้องกันอาวุธเคมี ทำให้ดูเทอะทะรูปร่างคล้ายหมู นอกจากมีตาทิพย์แล้ว นอสตราดามุสยังมี
หูทิพย์ด้วย ว่ามีเสียงอึกทึก เสียงกรีดร้อง เสียงสวดทำนองเสนาะของชาวมุสลิม และได้ยินสัตว์ร้ายพูดได้
ก็คือการบัญชาการรบโดยวิทยุ ในบทก่อน ๆ นอสตราดามุสก็ใช้ศัพท์สัตว์ร้ายพูดได้ก็คือวิทยุนั่นเอง

💞🌟💞 โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ 💞🌟💞


ติดตามตอนต่อไป (31-45) 3)” ชนวนสงครามล้างโลก นอสตราดามุส”
ตอบกลับโพส