น่าสนใจ
Halloween ในคำอธิบายของบาทหลวงคาทอลิก
ขอบคุณ FB Nuphan Thasmalee
#วันฮาโลวีน (Halloween) คือ เทศกาลเฉลิมฉลองประจำปีในวัฒนธรรมของตะวันตก โดยจะจัดให้มีขึ้น
ในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ปัจจุบันฮาโลวีนกลายเป็นเทศกาลที่นิยมจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
#ฮาโลวีนไม่ใช่เทศกาลในคริสตศาสนา แต่ก็มีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับความหมายของวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
(1 พฤศจิกายน) และวันภาวนาอุทิศให้ผู้ล่วงลับ (2 พฤศจิกายน) ดังนั้น คริสตชนจึงควรเข้าใจความหมายและ
ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เมื่อไปร่วมกิจกรรมดังกล่าว หรือสามารถอธิบายให้กับบุคคลอื่นได้
คำว่า “Halloween” ในภาษาอังกฤษ มาจากคำ "All Hallows Eves" หมายถึง "วันก่อนวันสมโภชนักบุญ
ทั้งหลาย" (Hallow แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์, วงกลมล้อมรอบศีรษะของบรรดานักบุญ)
เชื่อว่าประวัติวันฮาโลวีน เริ่มต้นมาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์หรือเซลติก (Celt or Celtic) ชนพื้นเมือง
ในไอร์แลนด์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน อีกประการหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูหนาว สิ้นสุด
ของช่วงแห่งความสว่างเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความมืด
โดยก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน ซึ่งตรงกับ วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ชาวเซลท์เชื่อว่าเป็นวันที่วิญญาณของคนตาย
ได้กลับมายังโลกมนุษย์ และวิญญาณภูตผีเหล่านี้จะพยายามสิงร่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นวันที่โลกนี้และ
โลกหน้าโคจรเข้ามาใกล้กันมากที่สุด วันที่ 31 ตุลาคม จึงเป็นวันเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งความตายหรือ
เทศกาลซัมเฮน (Samhain) หรือเรียกว่า “เทศกาลแห่งความตาย” (Festival of the Dead)
วิญญาณของบรรพบุรุษก็จะได้รับการต้อนรับ (จึงต้องทำพิธีต้อนรับหรือพิธีระลึกถึง) ขณะเดียวกัน วิญญาณ
ที่ชั่วร้ายก็จะถูกขับไล่ ซึ่งการขับไล่ปีศาจสามารถทำได้ด้วยการสวมชุดและหน้ากากผี
ชาวเซลท์จึงพยายามทำทุกทางเพื่อป้องกันผีร้าย ไม่ว่าจะเป็นการดับไฟ (ที่เป็นแสงสว่าง) ไม่ก่อกองเพลิง
ทำให้บ้านมืดสนิท เพื่อให้อากาศหนาวเย็น รวมถึงไอเดียในการแต่งตัว และแต่งหน้าปลอมเป็นผีเดินตาม
ท้องถนน สังสรรค์เสียงดัง เพื่อไม่ให้ผีเข้าใกล้ และตกใจกลัวจนหนีไป ทำให้ทุกคืนวันที่ 31 ตุลาคม กลาย
เป็นธรรมเนียมที่ชาวเซลท์จะแต่งตัวออกมาหลอกผี เพื่อไม่ให้ภูตผีและปิศาจมาทำร้าย ซึ่งต่อมาได้เผยแพร่
ไปยังประเทศอื่นๆ และกลายเป็นวันฮาโลวีนเช่นในปัจจุบัน
เทศกาลซัมเฮน (Samhain) ยังเป็นวันแห่งการตุนอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว และมีการเล่นรอบกองไฟใน
หลายที่ ไฟและแสงสว่างประเภทอื่นจะถูกดับลง และบ้านแต่ละหลังจะจุดไฟในเตา ส่วนกระดูกของสัตว์ที่
ใช้เป็นอาหาร จะถูกโยนเข้าไปในเปลวเพลิงนี้ บางครั้งกองไฟ 2 กองจะถูกจุดไว้ข้าง ๆ กัน ผู้คนกับสัตว์
ที่เลี้ยงไว้จะเดินวนระหว่างสองกองไฟ ถือเป็นพิธีการชะล้าง
บางบ้านหรือบางคนจะเอาโครงกระดูกที่เหลือจากการแล่เนื้อมาแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อแสดงออกถึง
ความตาย เอาหัวผักกาดมาทำเป็นโคมไฟแขวนไว้ มีลักษณะเหมือนกับศีรษะหรือหัวของคน (คนตาย)
ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการขับไล่ปีศาจร้าย
ฟักทองที่แกะสลักให้เป็นหน้าผี คือสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีนที่หลายคนคุ้นเคย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก
ตำนานพื้นบ้านไอร์แลนด์ เรื่องของ "แจ็ค โอแลนเทิร์น" (Jack O'Lanterns) ชายขี้เมาที่ใช้เล่ห์กลหลอก
ให้ปิศาจอยู่บนต้นไม้ แล้วเขาทำเครื่องหมายกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ปิศาจจึงลงมาไม่ได้
แจ็ค โอแลนเทิร์น ได้โอกาสจึงทำข้อตกลงห้ามไม่ให้ปิศาจมาหลอก หรือนำสิ่งไม่ดีมาสู่ตัวเขา ปิศาจตอบ
ตกลง โดยหลังจากที่แจ็คเสียชีวิต เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์และลงนรก ปิศาจจึงมอบถ่านร้อนๆ ที่กำลัง
คุไฟให้ เพื่อให้เขาใช้เป็นแสงสว่างและสร้างความอบอุ่นในค่ำคืนที่หนาวเย็น แจ็คได้เจาะหัวผักกาด
ให้กลวง และนำถ่านไปใส่ไว้ ต่อมาชาวอเมริกันได้ใช้ฟักทองที่หาได้ง่ายกว่ามาแทนหัวผักกาด
ส่วนเด็ก ๆ จะนิยมเล่น “ทริคออร์ทรีต” (Trick-or-Treating) ซึ่งหมายถึงการแต่งกายด้วยชุดแฟนตาซี
แบบผี ๆ เดินออกไปตามท้องถนนเพื่อเคาะประตูบ้านต่าง ๆ พร้อมถามว่า "Trick-or-Treating" เพื่อให้
เลือกว่าจะให้เล่นหลอกผี หรือจะให้ขนมและลูกกวาดที่ทำจากเม็ดข้าวโพด (Corn Candy) นั่นเอง
#วันฮาโลวีนกับคริสตชน (Halloween with Christianity)
ปกติแล้วคริสตชนคาทอลิกจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทศกาลฮาโลวีน ถือว่าเป็นเทศกาลทางโลก มีไว้
เพื่อส่งเสริมธุรกิจการค้า การขายสินค้าและของตกแต่ง ความสนุกสานในการแต่งกายหรือตกแต่งสถานที่
คริสตชนที่ร่วมกิจกรรมวันฮาโลวีนนี้ จึงควรเข้าใจความหมายที่ถูกต้อง ระหว่างเทศกาลทางโลกกับ
เทศกาลทางศาสนา
แต่เตือนให้บรรดาคริสตชนระลึกถึง #วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day) ที่ใกล้จะมาถึง
คือวันที่ 1 พฤศจิกายน และ #วันภาวนาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ (All Souls Day) คือวันที่ 2 พฤศจิกายน
และตลอดเดือนพฤศจิกายนที่จะต้องอธิษฐานภาวนาและทำความดีเป็นพิเศษเพื่ออุทิศให้กับผู้ล่วงลับ
#วันวาเลนไทน์ (Valentine Day)
เช่นเดียวกับวันวาเวลไทน์ ที่แม้ว่าพระศาสนจักรคาทอลิกเคยทำการระลึกถึงนักบุญวาเลนติโนหรือ
วาเลนไทน์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ในอดีต แต่ตามปฏิทินพิธีกรรมปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว
(นักบุญวาเลนไทน์ยังคงมีความสำคัญ และเป็นนักบุญอยู่ แต่ไม่ได้ระลึกถึงหรือฉลองอย่างเป็นทางการ
อาจจะเป็นเพราะป้องกันไม่ให้หลายคนเข้าใจความหมายของความรักแท้ผิดเพี้ยนไป) โดยได้กำหนด
ระลึกถึงนักบุญซีริล นักพรต และนักบุญเมโธดิอุส บิชอป (SS. Cyri, Monk, & Methodius, Bishop)
ซึ่งทั้งสองท่านเป็นองค์อุปถัมภ์ของทวีปยุโรปแทน
#เทศกาลคริสต์มาส (Christmastide)
แม้กระทั่งเทศกาลคริสตมาสที่กลายเป็นเทศกาลของชาวโลก บรรดาคริสตชนไม่ให้ความหมายเพียงแค่
การตกแต่งสถานที่ภายนอก ด้วยต้นคริสต์มาส ซานตาครอส และของตกแต่งอื่น ๆ แต่เน้นเป็นการเตรียม
จิตใจภายในเพื่อระลึกถึงการที่พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้าได้มาบังเกิดเป็นบุตรของมนุษย์ และรอคอย
การเสด็จกลับมาของพระองค์อีกเป็นครั้งที่สอง โดยมีองค์พระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางผู้เลือกประสูติมาอย่าง
ยากจนในคอกเลี้ยงสัตว์ มีนักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์เป็นผู้ดูแล ล้อมรอบไปด้วยคนเลี้ยงแกะที่มาชื่นชม
และบรรดานักปราชญ์ทั้งสามที่เดินทางมานมัสการพระองค์
#ศิษย์พระคริสต์ #ศิษย์ธรรมทูต
#คำสอนจันท์ #kamsonchan
#chanthaburidiocese
