รวมเรื่องสั้น คติสอนใจ (ชุดที่4 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:03 pm

( 1 )

(@)เรื่องสั้น -----> กินอาหารเย็นกับพ่อ

Moral stories จาก Google เรื่อง Evening Dinner with a Father --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ลูกชายคนหนึ่งพาคุณพ่อวัยชราไปกินข้าวมื้อเย็นที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เนื่องจากผู้เป็นพ่อชรามาก
และแทบไม่มีแรงเดิน ขณะกินข้าว ท่านจึงทำอาหารหกเลอะเทอะทั้งที่เสื้อและกางเกง จึงไม่แปลกที่ผู้คน
โดยรอบชำเลืองมองไปที่ชายชราผู้นี้ด้วยความรังเกียจ อย่างไรก็ตาม ลูกชายของชายชรายังคงนั่งกิน
อาหารกับพ่อต่อไปอย่างเงียบๆ โดยไม่สนใจกับสายตาของแขกคนอื่นที่นั่น
หลังจากทั้งสองกินอาหารเสร็จ ลูกชายก็ยังคงทำตัวเป็นปรกติและไม่ได้แสดงอาการเคอะเขินอายแม้แต่น้อย
เขาจูงคุณพ่อไปที่ห้องน้ำอย่างเงียบๆ จัดการเช็ดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามใบหน้าและเสื้อผ้าของพ่อ หวีผม
และจัดแว่นตาให้กระชับก่อนจะจูงท่านออกจากห้องน้ำ ผู้คนทั้งร้านอาหารต่างนิ่งเงียบเฝ้าดูทั้งสอง พวกเขา
คิดไม่ถึงว่ายังมีหนุ่มฉกรรจ์หน้าตาดีกล้าทำสิ่งที่น่าอายในที่สาธารณะเช่นนั้นได้ ลูกชายพาพ่อเดินต่อไป
เพื่อชำระค่าอาหารและเริ่มจูงพ่อเดินออกไปจากภัตตาคาร แต่ก่อนที่ทั้งสองจะออกไปพ้นทางออก ทันใดนั้น
ชายชราอีกคนหนึ่งที่กำลังกินอาหารอยู่ที่นั่นเช่นกันส่งเสียงเรียกชายหนุ่มคนนั้นและถามเขาว่า

“คุณไม่คิดว่าคุณได้ให้อะไรกับทุกคนที่นี่บ้างหรือ ?”

ชายหนุ่มตอบเรียบๆ ว่า “เปล่าครับ ผมไม่ได้ให้อะไรกับใครเลย”

ชายชราจึงพูดต่อไปว่า “คุณคิดผิดแล้วรู้ไหม! คุณได้ให้บทเรียนสุดยอดกับผู้ที่เป็นลูกชายทุกคนและทำให้
ผู้เป็นพ่อทุกคนมีความหวังที่ดีกับอนาคตของท่าน”

คติพจน์ : การได้ดูแลผู้ที่เคยเลี้ยงดูเรามาก่อน ถือเป็นเกียรติสูงสุดอย่างหนึ่ง เราทุกคนรู้ดีว่าพ่อแม่ของเรา
เคยเลี้ยงดูเอาใจใส่เราด้วยความรักไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กใหญ่เพียงใดมาก่อน

ฉะนั้นเมื่อเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องรัก เคารพและดูแลท่านเป็นอย่างดี
ตอบแทนท่านบ้าง มิใช่หรือ?

*******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:07 pm

( 2 )


(at)เรื่องสั้น -----> กากระหายน้ำ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Thirsty Crow --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันที่มีอากาศร้อนจัดวันหนึ่ง กาตัวหนึ่งกระหายน้ำมากหลังจากตระเวนบินไปทั่วท้องทุ่งอยู่นาน
เพื่อหาน้ำดื่มดับกระหายแต่ไม่พบน้ำเลย ขณะที่มันรู้สึกอ่อนเพลียจนแทบจะหมดหวังอยู่นั้น พลัน
สายตาก็เหลือบไปเห็นเหยือกน้ำใบหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันรีบบินตรงไปสำรวจว่ามีน้ำอยู่ใน
เหยือกน้ำหรือไม่ และโชคก็เข้าข้างเมื่อมันเห็นน้ำอยู่ครึ่งเหยือก!
การีบดันหัวเข้าไปในเหยือกทันทีเพื่อดื่มน้ำ แต่อนิจจา คอของเหยือกน้ำแคบเกินไป มันพยายามใช้
ลำตัวประคองเหยือกและดันให้เหยือกเอียงเพื่อให้น้ำไหลออกมา แต่เหยือกที่มีน้ำก็หนักเกินกำลังของมัน
เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว มันจึงหยุดและเริ่มมองออกไปรอบๆ มันสังเกตเห็นก้อนกรวดมีอยู่ทั่วบริเวณ
จากนั้นมันก็คิดหาวิธีดับกระหายน้ำได้อย่างรวดเร็วและรีบทำตามความคิดทันที มันเริ่มคาบก้อนกรวด
ทีละก้อนใส่ลงในเหยือกน้ำ ยังผลให้ระดับน้ำในเหยือกสูงขึ้นเป็นลำดับ และครู่ต่อมาน้ำในเหยือก
ก็สูงมากพอที่มันจะใช้จะงอยปากดื่มน้ำได้

คติพจน์ : จงมีสติ ใช้ความคิด และทำงานหนักในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน

**********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:10 pm

( 3 )


(@)เรื่องสั้น ---> กบในน้ำร้อน

Moral stories จาก Google เรื่อง The Frog in Hot Water --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

มีกบตัวหนึ่งกระโดดพลาดตกลงไปในหม้อต้มน้ำร้อน ขณะนั้นน้ำในหม้อต้มยังอุ่นอยู่
เพราะผู้ต้มน้ำเพิ่งเปิดเตาแก๊ส กบตัวนั้นจึงไม่สนใจที่จะกระโดดออกจากหม้อต้มน้ำ ยิ่งกว่านั้น
เมื่ออุณหภูมิของน้ำเริ่มสูงขึ้น กบก็สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม
ไม่นานต่อมาเมื่อน้ำร้อนขึ้นต่อจนเกือบถึงจุดเดือด กบก็ไม่สามารถปรับอุณหภูมิของร่างกายให้สูง
ตามได้อีกต่อไป มันตกใจและเริ่มออกแรงกระโดดออกจากหม้อต้มน้ำอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดาย
ที่ร่างกายของมันไม่สามารถทนความร้อนของน้ำได้อีกต่อไป
ผลสุดท้ายก็เป็นอย่างที่คาดกัน คือมันกลายเป็นกบที่ถูกต้มจนสุกและกลายเป็นอาหารของ
แม่ครัวเย็นวันนั้น

คำถามคือทำไมกบตัวนั้นจึงกระโดดออกจากหม้อน้ำไม่ได้?

ท่านคิดว่าเป็นความผิดของน้ำที่ร้อนเกินไปหรือ?

คติพจน์ : กบกระโดดออกจากหม้อต้มน้ำไม่ได้ก็เพราะมันตัดสินใจช้าเกินไปนั่นเอง
เราทุกคนควรต้องรู้จักปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสมอก่อนที่จะสายเกินไป

**********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:15 pm

( 4 )


เรื่องสั้น
(at)ความต้องการและความอยากได้
Moral stories จาก Google เรื่อง The Needs and Desires --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งซึ่งแม้จะทรงดำเนินชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
แต่ก็หามีความสุขและพอพระทัยไม่ วันหนึ่ง พระองค์เสด็จมาพบมหาดเล็กคนหนึ่งซึ่งกำลังร้อง
เพลงพร้อมกับทำงานอย่างมีความสุข พระองค์ทรงประหลาดใจมากเนื่องจากพระองค์เป็นพระราชา
ผู้ปกครองสูงสุดของแผ่นดินแต่กลับทรงเศร้าพระทัยแทบจะตลอดเวลา ในขณะที่มหาดเล็กข้ารับใช้
ที่ต่ำต้อยกลับมีความสุขมาก พระองค์จึงตรัสถามว่า “ทำไมเจ้าจึงมีความสุขนัก”

มหาดเล็กทูลตอบว่า “ข้าพระองค์เป็นเพียงข้ารับใช้ที่ต้องการเพียงหลังคาคุ้มกันแดดกันฝน
และอาหารอุ่นๆ พออิ่มท้องก็เพียงพอแล้วพระเจ้าข้า”

พระราชาไม่ทรงพอพระทัยกับคำตอบ ดังนั้นในวันต่อมา พระองค์จึงขอคำแนะนำจากที่ปรึกษา
ที่พระองค์ทรงวางพระทัยที่สุด เมื่อที่ปรึกษาทราบถึงความโศกเศร้าของพระองค์และคำตอบของ
มหาดเล็ก ที่ปรึกษาจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์เชื่อว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะมหาดเล็กผู้นั้นไม่ได้เป็น
สมาชิกของ “ชมรม 99” (The 99 Club) พะยะค่ะ”

พระตรัสถามว่า “ ‘ชมรม 99’ คืออะไรหรือ?”

ที่ปรึกษาทูลตอบว่า “หากพระองค์ประสงค์จะทราบความหมายของชมรมนี้ ก็ขอให้พระองค์ทรง
ใส่เหรียญทองคำจำนวน 99 เหรียญไว้ในถุงผ้าและวางถุงนั้นไว้ที่หน้าประตูบ้านของมหาดเล็ก
ผู้นั้น พะยะค่ะ”

พระราชาจึงมีรับสั่งให้ที่ปรึกษาทำตามนั้น ... เมื่อกลับถึงบ้าน มหาดเล็กเหลือบเห็นถุงผ้าวางอยู่ที่
ประตูเข้าบ้าน จึงก้มลงเก็บและนำเข้าไปในบ้านของตน และเมื่อเปิดดูของในถุงก็ร้องอุทานด้วย
ความดีใจ “โชคดีจังเลย อยู่ๆ ก็มีผู้ใจดีนำเหรียญทองคำมากมายมาส่งให้ถึงบ้าน!” หลังจากนั้น
เขาก็เริ่มนับเหรียญ และนับซ้ำอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่ามีทั้งหมด 99 เหรียญ

การที่เขานับซ้ำอยู่หลายครั้งก็เพราะเขารู้สึกแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญทองคำอีก 1 เหรียญ
เพราะปกติผู้คนทั่วไปจะต้องนับจำนวนเงินจนครบ10 หรือครบ100 ไม่มีใครนับค้างไว้แค่ 99 หรอก!”

มหาดเล็กผู้นั้นเริ่มมองหาเหรียญทองคำอีก 1 เหรียญรอบบ้านอยู่นานแต่ก็ไม่พบ หลังจากนั้นก็ตัด
สินใจว่า จะต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะได้มีเงินไปแลกเหรียญทองคำอีก 1 เหรียญและก็จะมี
ครบ 100 เหรียญให้จงได้

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของมหาดเล็กก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาโหมทำงานอย่างหนัก กลาย
เป็นคนหงุดหงิดง่าย เลิกร้องเพลงขณะทำงาน แถมยังไม่พอใจกับคนที่บ้านที่ไม่ช่วยเขาทำงานเพื่อ
จะได้มีเงินพอแลกซื้อเหรียญทองคำเพิ่มอีก 1 เหรียญ

พระราชาทรงสังเกตเห็นวิถีชีวิตของมหาดเล็กที่เปลี่ยนไปมากจนคิดไม่ถึงเช่นนี้ พระองค์ทรงแปลก
พระทัยเป็นอย่างยิ่งและตรัสถามถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้กับที่ปรึกษาคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง

ที่ปรึกษาจึงทูลตอบว่า “ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมหาดเล็กผู้นั้นได้เข้า ‘ชมรม 99’ อย่างเป็นทางการแล้ว
พะยะค่ะ เพราะสมาชิกของชมรมนี้คือ ผู้ที่มีความสุขอยู่กับตัวอยู่แล้ว แต่ไม่พอใจกับความสุขที่ตน
มีอยู่ จึงโหยหาและพยายามอย่างหนักที่จะมีความสุขมากขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยโดยพูดกับตัวเองว่า
ฉันจะมีความสุขมากไปตลอดชีวิตหากฉันจะมีสมบัติเพิ่มอีกเล็กน้อยจนครบจำนวนที่ต้องการ”

คติพจน์ : ปกติคนเราสามารถมีความสุขได้แม้จะมีสมบัติเพียงเล็กน้อยในชีวิต แต่ทันทีที่เราได้รับ
สมบัติที่ยิ่งใหญ่และดีกว่าเดิม เรากลับมีความอยากได้มากยิ่งขึ้น! เราเริ่มนอนไม่หลับ ทำร้ายคน
รอบข้าง ดังนั้นผู้ที่มีความสุข จึงเป็นผู้ที่รู้จักรักษาสมดุลของความต้องการและความอยากได้

***********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:17 pm

( 5 )

เรื่องสั้น
(@)หมูกับแกะ (The Pig and the Sheep)
Moral stories จาก Google เรื่อง The Pig and the Sheep --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งคนเลี้ยงแกะพบหมูอ้วนตัวหนึ่งในทุ่งหญ้าที่เขาเลี้ยงฝูงแกะอยู่ เขารีบไล่จับหมูตัวนั้น
อย่างรวดเร็วขณะที่หมูส่งเสียงร้องจนสุดเสียงเมื่อถูกจับได้และพยายามดิ้นหนี แต่มันก็ไปไม่รอด
จากนั้นคนเลี้ยงแกะก็จับมันมัดและเตรียมนำไปขายให้กับพ่อค้าขายหมูที่ตลาด

แกะที่เล็มหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าประหลาดใจและรู้สึกขบขันกับพฤติกรรมของหมูมาก พวกมัน
พากันเดินตามคนเลี้ยงแกะที่กำลังแบกหมูที่ถูกมัดและเดินไปที่ประตูคอก

แกะตัวหนึ่งจึงถามหมูที่ถูกมัดอยู่ว่า “ทำไมแกถึงต้องส่งเสียงร้องดังขนาดนั้นด้วยล่ะ ที่จริงบางครั้ง
คนเลี้ยงแกะก็จับมัดพวกเราและแบกออกจากคอกไปเหมือนแก แต่พวกเราไม่เห็นจะต้องส่งเสียงร้อง
โวยวายอย่างน่าอายอย่างที่แกทำนี่”

หมูจึงส่งเสียงแหลมร้องตอบพร้อมกับดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่งว่า “ก็ตอนที่เขาจับพวกแก เขาก็
แค่จะเอาขนของพวกแกเท่านั้น แต่เหตุที่เขาจับฉันน่ะมันคนละเรื่องกับของแก ...

เขาเห็นฉันเป็น ‘เ บ ค อ น’ ...โชคร้ายจริงๆ เลย”

คติพจน์ : เป็นเรื่องง่ายที่จะเป็นผู้กล้าเมื่อไม่มีภัยใกล้ตัว

*********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:19 pm

( 6 )


เรื่องสั้น
(@)คนตัดไม้กับขวาน
Moral stories จาก Google เรื่อง The Woodcutter and the Axe --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นานมาแล้ว มีชายตัดไม้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาเป็นคนซื่อสัตย์และรักงาน
ที่ทำมาก ทุกวันเขาเข้าไปในป่าใกล้ๆ เพื่อตัดต้นไม้และขนไม้ที่ตัดแล้วไปขายให้กับพ่อค้าไม้ใน
หมู่บ้าน เขามีความสุขและพอใจกับการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายและมีรายได้พอเพียงเช่นนี้
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังตัดต้นไม้อยู่ใกล้แม่น้ำ ขวานเหล็กเล่มเดียวที่เขามีเกิดหลุดมือตกลงไปในแม่น้ำ
ซึ่งลึกมาก เขารู้สึกเป็นทุกข์มากเพราะไม่สามารถจะงมขวานขึ้นมาได้ และไม่รู้ว่าจะหาเลี้ยงชีพต่อ
ไปได้อย่างไร ที่สุดเขาก็ได้อธิษฐานขอความช่วยเหลือต่อเทพธิดาอย่างจริงใจ ทันใดนั้นเทพธิดาก็
ปรากฏต่อหน้าเขาและถามว่า

“ลูกเอ๋ย มีปัญหาอะไรหรือ?”

คนตัดไม้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและขอให้เทพธิดาช่วยนำขวานที่จมอยู่ในแม่น้ำขึ้นมาให้ด้วย

เทพธิดาจุ่มมือลงไปในแม่น้ำและหยิบขวานเงินขึ้นมาพร้อมกับถามว่า “นี่ใช่ขวานของท่านหรือไม่”
คนตัดไม้มองไปที่ขวานตอบว่า "ไม่ใช่ครับ"

เทพธิดาจึงจุ่มมือกลับลงไปในน้ำลึกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ชูขวานทองคำให้ดูและถามว่า
"นี่คือขวานของท่านหรือไม่" คนตัดฟืนมองไปที่ขวานตอบเหมือนเดิมว่า "ไม่ใช่ครับ"

เทพธิดาถามซ้ำว่า “คิดดูให้ดีนะลูก นี่เป็นขวานทองคำที่มีค่ามากทีเดียว ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ใช่
ของท่าน” คนตัดฟืนตอบยืนยันอย่างสุภาพว่า “ไม่ใช่จริงๆ ครับ ผมใช้ขวานทองคำตัดต้นไม้ไม่ได้
หรอกครับ มันเป็นขวานที่ใช้ทำอะไรไม่ได้เลยสำหรับผม”

เทพธิดายิ้มพลางจุ่มมือลงไปในน้ำอีก จากนั้นก็ชูขวานเหล็กให้เห็นและถามว่า
“นี่ใช่ขวานของท่านหรือไม่” คนตัดฟืนผงกศีรษะรับพร้อมกับพูดตอบว่า “ใช่แล้วครับ เป็นขวานของผม!
ขอบพระคุณมากครับ!"

เทพธิดาประทับใจในความซื่อสัตย์ของเขามาก จึงมอบขวานเหล็กคืนให้พร้อมกับมอบขวานเงินและ
ขวานทองคำเป็นรางวัลสำหรับความซื่อสัตย์ของเขาอีกด้วย

คติพจน์ : ความซื่อสัตย์ย่อมได้รับการตอบแทนเสมอ

***********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:24 pm

( 7 )


เรื่องสั้น
(@)ผู้มองเห็นอนาคต
Moral stories จาก Google เรื่อง One who read the future --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งเชื่อว่าตนสามารถมองเห็นอนาคตจากการมองสังเกตดูหมู่ดาวได้
เขาเรียกตัวเองว่าโหราจารย์และใช้เวลาค่ำคืนจ้องมองดูท้องฟ้า ชีวิตเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคต
และก็มีชาวบ้านพากันมาให้เขาดูอนาคตของตนอยู่บ่อยๆ
ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนนนอกหมู่บ้าน สายตาของเขาจับจ้องจดจ่ออยู่กับดวงดาวต่างๆ
และคิดว่าโลกมนุษย์กำลังจะถึงจุดจบแล้ว เขาก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจกับสภาพของถนนหนทางที่
เดินอยู่ และทันใดนั้นเขาก็ตกลงไปในคูน้ำที่มีแต่โคลนเลน เขาพยายามอย่างหนักที่จะปีนขึ้นจากคูน้ำ
ที่มีลักษณะเป็นหลุมและลื่นมาก แต่ก็ไม่สำเร็จและเริ่มคิดถึงจุดจบของตัวเอง จากนั้นเขาก็ส่งเสียงร้อง
ขอความช่วยเหลือ เสียงร้องดังมากจนพวกชาวบ้านได้ยินและวิ่งไปให้ความช่วยเหลือ

เมื่อพวกเขาช่วยเขาขึ้นมาจากบ่อโคลนได้แล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “แปลกนะที่คุณสามารถอ่าน
อนาคตของพวกเราจากการดูดวงดาวได้ แต่ตัวคุณเองกลับมองไม่เห็นอันตรายใหญ่หลวงที่อยู่ใกล้
แค่ขาของคุณ! การเดินตกบ่อของคุณน่าจะช่วยให้คุณใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณมากขึ้น และเรื่อง
ของอนาคตก็ปล่อยให้อนาคตดูแลตัวมันเองดีกว่านะครับ”

จากนั้นก็มีชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดเสริมว่า “จะมีประโยชน์อะไรที่จะอ่านอนาคตจากดวงดาวที่อยู่
ไกลโพ้นได้ ทั้งที่ผู้นั้นยังมองไม่เห็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกเลย?”

คติพจน์ : เราทุกคนต้องการมีอนาคตที่สดใสและมีความสุข แต่เวลาไม่เคยหยุดรอผู้ใด วันพรุ่งนี้
จะกลายเป็นวันนี้ ฉะนั้นเวลาในปัจจุบันของเราก็คืออนาคตส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน เราจึงมีวันพรุ่งนี้
ให้รอคอยและปรับปรุงตัวอยู่เสมอ แต่เราไม่อาจย้อนกลับไปยังวันวานได้ ดังนั้น จงรักษาสมดุลของชีวิต
ในปัจจุบันของเราพร้อมกับออกแรงทำงานเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 16, 2024 11:29 pm

( 8 )



(@)เรื่องสั้น ------> คำถามสามข้อ

Moral stories จาก Google เรื่อง The Three Questions --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กษัตริย์อัคบาร์ทรงรักหัวหน้ามหาดเล็ก“เบอร์บัล”มากจนมหาดเล็กบางคนอิจฉา นอกจากนั้น
หนึ่งในผู้อิจฉายังอยากได้ตำแหน่งหัวหน้าที่เบอร์บัลเป็นเจ้าของตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์อัคบาร์ตรัสชื่นชมผลงานของเบอร์บัลต่อหน้าฝมหาดเล็กทุกคนในห้องโถงใหญ่
มหาดเล็กผู้อิจฉาถึงกับหมดความอดทนอีกต่อไปและกราบทูลว่า พระองค์ทรงยกย่องเบอร์บัลมาก
เกินไป และกราบทูลต่อไปด้วยว่า หากเบอร์บัลสามารถตอบคำถาม 3 ข้อของเขาได้ เขาก็จะยอมรับว่า
เบอร์บัลเป็นคนฉลาดจริง

หลังจากทราบเรื่อง กษัตริย์ทรงอนุญาตให้เขาทดสอบภูมิปัญญาของเบอร์บัลได้ และหากเบอร์บัล
ตอบไม่ได้ เขาจะต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ามหาดเล็กทันที

คำถาม 3 ข้อ ได้แก่
1. บนท้องฟ้ามีดาวกี่ดวง
2. จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ที่ไหน และ
3. โลกนี้มีผู้ชายกี่คนและผู้หญิงกี่คน

ในการตอบคำถามแรก เบอร์บัลขออนุญาตออกไปด้านนอกและพาแกะตัวหนึ่งที่มีขนดกเต็มตัว
เข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับตอบว่า “มีดาวมากเท่ากับขนทุกเส้นของแกะตัวนี้ และขอให้สหาย
มหาดเล็กผู้ตั้งคำถามเริ่มนับจำนวนของขนแกะได้เลย”

สำหรับคำถามที่สอง เบอร์บัลลากเส้นตรง 2 เส้นตัดกันบนพื้นห้องโถง จากนั้นก็ใช้แท่งเหล็กแหลมจิ้ม
ชี้ลงไปที่จุดตัดตามแนวเส้นทั้งสองบนพื้นพร้อมกับพูดว่า “จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ที่นั่น หากผู้ตั้งคำถาม
สงสัยก็ขอให้เขาขุดลงไปดูเองให้เห็นกับตา”

ส่วนคำถามข้อที่สามนั้น เบอร์บัลตอบโดยไม่รอช้าว่า “การนับจำนวนผู้ชายและผู้หญิงในโลกให้ครบ
มีปัญหานิดหน่อย เพราะมีบางคนอย่างเช่นมหาดเล็กผู้ตั้งคำถามของเรานี้แยกไม่ได้ว่าเป็นผู้ชายหรือ
ผู้หญิง แต่ถ้าทุกท่านต้องการจะทราบจำนวนที่ถูกต้องจริงๆ จำเป็นที่เราต้องกำจัดคนประเภทนี้ให้หมด
ไปจากโลกนี้เสียก่อน”

คติพจน์ : ทุกปัญหามีคำตอบเสมอ

********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 24, 2024 1:46 pm

( 9 )


(@)เรื่องสั้น -----> ชามไม้
Moral stories จาก Google เรื่อง The Wooden Bowl -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชายชราร่างผอมบางอ่อนแอคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานชายวัยสี่ขวบ
มือของท่านสั่นเทา สายตาพร่ามัวและเดินสะดุดหกล้มอยู่บ่อยๆ ทุกมื้อขณะกินอาหารร่วมกันที่โต๊ะ
มือที่สั่นเทาและสายตาที่พร่ามัวทำให้การกินอาหารของท่านเป็นเรื่องลำบากทีเดียว เม็ดถั่วในช้อน
กลิ้งตกลงพื้นบ้าง ขณะดื่มน้ำก็ทำน้ำในแก้วหกบนผ้าปูโต๊ะอยู่เป็นประจำ ฯลฯ

ไม่นานต่อมา ลูกชายและลูกสะใภ้เริ่มออกอาการหงุดหงิดกับการกินอาหารของท่าน ทั้งสอง
จึงปรึกษากันและได้ข้อสรุปว่า “เราต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้นะ”

ลูกชายพูดเปรยๆ ว่า “ฉันพอแล้วกับการทำนมหกและการทำอาหารตกเรี่ยราดไปทั่ว”

ที่สุดทั้งสองก็แก้ปัญหาด้วยการจัดโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งไว้ที่มุมห้อง และให้พ่อผู้ชรานั่งกินอาหารคนเดียว
ที่โต๊ะเล็กตัวนี้ ในขณะที่คนอื่นๆ กินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่โต๊ะใหญ่ตามเดิม

แต่ก็เกิดเรื่องอีกจนได้เมื่อพ่อทำจานข้าวใบที่สองแตก ทั้งสองจึงให้ท่านกินอาหารในชามไม้!
หลังจากนั้น ขณะกินข้าวเมื่อพวกเขามองมาทางโต๊ะอาหารของพ่อ บางครั้งก็สังเกตเห็นท่านมี
น้ำตาไหลแต่ท่านก็ยังคงกินอาหารต่อไปโดยไม่ปริปากแต่อย่างใด คำพูดเดียวที่ทั้งสองมีต่อ
ท่านคือคำเตือนที่เฉียบขาดทุกครั้งที่ท่านทำส้อมตกหรืออาหารหก

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้หาได้รอดสายตาผู้เป็นหลานวัยสี่ขวบไม่ หนูน้อยเฝ้าสังเกตเห็นทุกสิ่ง
ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

บ่ายวันหนึ่งก่อนอาหารเย็น พ่อแม่ของเด็กเห็นลูกชายเล่นกับเศษไม้บนพื้น ผู้เป็นพ่อจึงถามลูก
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า

“ลูกรักกำลังเล่นอะไรอยู่หรือ”

ลูกชายตอบอย่างร่าเริงน่ารักน่าเอ็นดูว่า “อ๋อ ลูกกำลังทำชามเล็กๆ สองใบไว้ให้แม่กับพ่อไว้ใส่
ข้าวกินอาหารตอนที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่ครับ”

เด็กสี่ขวบยิ้มและหันกลับไปทำชามไม้ต่ออย่างสนุกสนาน
คำตอบของลูกแทงใจดำของทั้งสองจนผู้เป็นพ่อถึงกับอึ้งพูดไม่ออก แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้ม
แม้จะไม่มีคำพูดใดออกจากปาก แต่ทั้งสองก็รู้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรกับชีวิตที่เหลือของพ่อผู้ชราภาพ

ค่ำวันนั้น เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในครอบครัว เมื่อพ่อบ้านจูง “คุณปู่” อย่างเบามือพาท่านกลับไป
นั่งที่โต๊ะอาหารของครอบครัว นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกคนในบ้านนั่งกินข้าวที่โต๊ะร่วมกันทุกมื้อ
และดูเหมือนทั้งสามีและภรรยาทำเป็นมองไม่เห็นเมื่อพ่อทำส้อมตก นมหก หรือผ้าปูโต๊ะเปื้อน

คติพจน์ : ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านหว่าน ไม่ว่าความสัมพันธ์ของท่านกับพ่อแม่จะเป็นอย่างไร แต่ท่าน
จะคิดถึงพ่อแม่เมื่อท่านไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไป ขอให้ทุกท่านเคารพ ห่วงใย และรักพ่อแม่ของท่านเสมอ

*******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 24, 2024 1:49 pm

( 10 )

(@)เรื่องสั้น-----> ความหวาดกลัว และ ความเคารพ

Moral stories จาก Google เรื่อง Fear vs Respect -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

นานมาแล้ว กษัตริย์วิรัช ซิงห์ (Virat Singh) ทรงปกครองวิเจย์นคร (Vijay Nagar)
อย่างโหดร้าย ชาวเมืองทุกคนต่างพากันหวาดกลัวพระองค์

พระองค์ทรงเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่งชื่อแจ็คซึ่งพระองค์ทรงรักเหนือสิ่งอื่นใด เช้าวันหนึ่งแจ็คเสียชีวิต
พระองค์ทรงเศร้าพระทัยมากและโปรดให้จัดพิธีเผาศพให้กับแจ็ค ผู้คนทั้งเมืองมาร่วมพิธี
ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมากและทรงเข้าพระทัยว่าชาวเมืองทุกคนจงรักภักดีต่อพระองค์
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่กี่วัน พระองค์ทรงพระประชวรกะทันหันและเสด็จสวรรคต สิ่งที่แปลกคือไ
ม่มีผู้ใดมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์เลย

คติพจน์ : ความเคารพนับถือหรือบารมีเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องสร้างสมขึ้นเอง ไม่สามารถบังคับให้ผู้คน
เคารพนับถือเราได้ เราจึงควรทำความเข้าใจและปรับปรุงบุคลิกภาพของเราให้ดีขึ้นหากเรารู้จักแต่
ใช้อำนาจมากเกินไป

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ม.ค. 24, 2024 1:51 pm

( 10 )


(at)เรื่องสั้น ----> มนุษย์กับราชสีห์

Moral stories จาก Google เรื่อง The Man and the Lion -- แปลและเรียบเรียง
โดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่ง ราชสีห์กับมนุษย์ออกเดินทางผ่านป่าใหญ่ไปด้วยกัน ไม่นานต่อมาทั้งสองก็เริ่มพูดจา
ไม่เข้าหูกัน เพราะต่างคนก็ต่างโอ้อวดว่าเผ่าพันธุ์ของตนเหนือกว่าทั้งในด้านพละกำลังและจิตใจ
ขณะที่ทั้งสองเดินมาถึงที่โล่งในป่าและเห็นอนุสาวรีย์รูปปั้นของเฮอร์คิวลีสอยู่ในท่ากำลังฉีกฟันกราม
ของสิงห์โต (Nemean Lion)
ชายคนนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แกเห็นหรือยังว่ามนุษย์ทรงพลังขนาดไหน ! แม้แต่จ้าวแห่งสัตว์ร้ายยังถูกสยบ
เหมือนขี้ผึ้งอยู่ในกำมือเลย !”

ราชสีห์คำรามหัวเราะลั่น “โธ่เอ๋ย! ก็คนปั้นรูปนั้นมันเป็นมนุษย์นี่หว่า หากคนปั้นเป็นราชสีห์ละก็
รูปปั้นคงจะเป็นหนังคนม้วนเลย แกรู้หรือเปล่า?!”

คติพจน์ : ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน จงเชื่อมั่นในไหวพริบและสติปัญญาของตนเอง

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 05, 2024 8:58 pm

( 11 )


(at)เรื่องสั้น ----> มื้อเย็นนี้ทำอะไรกินหรือ?

Moral stories จาก Goog
le เรื่อง What’s for Dinner Moral stories จาก Google --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ชายคนหนึ่งกลัวว่าภรรยาของเขาอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเสียงของเธอ และคิดว่าเธอ
อาจจะต้องใช้เครื่องช่วยฟัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับเธออย่างไรดี ที่สุดเขาตัดสินใจโทรศัพท์
ไปปรึกษาปัญหาการได้ยินของภรรยากับหมอประจำครอบครัว หมอจึงแนะนำวิธีทดสอบ
ความสามารถในการได้ยินเสียงที่เขาสามารถทำเองได้ง่ายมาก

นี่คือสิ่งที่คุณทำได้คือ “เริ่มจากให้คุณยืนอยู่ห่างจากเธอสัก 40 ฟุตก่อน แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงปกติ
เพื่อดูว่าเธอได้ยินคุณหรือไม่ ถ้าเธอไม่พูดตอบ ก็ขยับไปที่ 30 ฟุต แล้วก็ 20 ฟุตจนกว่าคุณจะได้ยิน
เสียงตอบรับของเธอ”

เย็นวันนั้น ขณะที่ภรรยาอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็น ตัวเขาก็เดินออกไปอยู่นอกบ้านที่ไม่ไกล
จากครัวนักและใช้สายตากะดูระยะห่างอยู่สักครู่ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “ตอนนี้ ฉันน่าจะอยู่ห่างจาก
เธอราว 40 ฟุตแล้ว ลองดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น” จากนั้นเขาก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“ที่รัก มื้อเย็นนี้ทำอะไรกินหรือครับ” -- เงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบ

สามีจึงขยับเข้าไปใกล้ในครัว จนอยู่ห่างจากภรรยาราว 30 ฟุต แล้วพูดซ้ำว่า
“ที่รัก มื้อเย็นนี้ทำอะไรกินหรือครับ” -- เงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม

ต่อจากนั้น เขาเดินเข้าไปจนถึงประตูหน้าห้องครัวซึ่งอยู่ห่างจากภรรยาราว 20 ฟุต และถามซ้ำเช่นเดิม
สามีแปลกใจยิ่งขึ้นเพราะยังคงไม่ได้ยินเสียงตอบของภรรยา

สามีจึงเดินเข้าไปในห้องครัว และเมื่ออยู่ห่างจากภรรยาราว 10 ฟุต เขาก็ถามซ้ำอีกโดยหวังว่าครั้งนี้
คงได้ยินเสียงตอบของเธออย่างแน่นอน แต่ก็ผิดหวังและเห็นเธอยังคงก้มหน้าก้มตาทำกับข้าวต่อไป

ที่สุด สามีก็เดินไปจนถึงหลังของเธอและถามซ้ำว่า “ที่รัก มื้อเย็นนี้ทำอะไรกินหรือครับ”

ครั้งนี้ ภรรยาหันมาจ้องหน้าเขาพร้อมกับพูดด้วยเสียงดังกว่าปกติว่า “เจมส์ ฉันพูดเป็นครั้งที่ห้าแล้วนะ
ว่า “ไก่ทอด’!”

คติพจน์ : ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเสมอไป แต่อาจอยู่ที่ตัวเราเองก็ได้!

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 05, 2024 9:08 pm

( 12 )

เรื่องปาฏิหารย์ในคืนตรุษจีน

เพราะความเกลียดชังพ่อ , ทุกๆปีเขาไม่เคยกลับบ้านในคืนวันตรุษจีนเลย ,
ไม่คิดว่าปฏิหารย์ได้เกิดขึ้นในคืนวันตรุษจีนปีนี้ ,

"คนจีน" ถือว่าการรวมญาติในวันตรุษจีนเป็นเรื่องสำคัญมาก , เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขที่สุด ,
คนที่ทำงานหรือเรียนหนังสืออยู่ที่อื่นไม่ว่าใกล้หรือไกลแค่ไหนก็จะกลับบ้าน , "แต่สำหรับผม"
คืนวันตรุษจีน... เป็นวันที่ผมมีความทรงจำที่เจ็บปวดจนยากจะลืมเลือนได้ ,... เพราะครอบครัว
ผมยากจนมาก , "แม่"ต้องทำงานหนัก เพื่อสะสมเงินใว้ใช้จ่ายในวันตรุษจีน , "แต่" พ่อ..กลับเอา
เงินก้อนนี้ไปเล่นไพ่จนหมด , สุดท้าย"แม่กับพ่อ"ก็ต้องทะเลาะตบตีกัน , คืนนั้นเป็นคืนวันตรุษจีน
"除夕ตื่อเส็ก" (แปลว่าแสงสุดท้ายที่ลับหายของวันสิ้นปี) "แม่"เสียใจและโกรธมากจน
โรคหัวใจกำเริบ ! .... และ"แม่" เสียชีวิตในคืนวันตรุษจีนนั้นเอง ! ........

"พ่อ"สำนึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป , จากนั้นมา"พ่อ"เลิกเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด , และกลับมา
ขยันทำงานเพื่อครอบครัวอีกครั้ง , "พ่อ"เลี้ยงดูผมด้วยตัวเองคนเดียว แต่ในใจผมยังคงโกรธ ,
เกลียด , และเคียดแค้น"พ่อ"มาก , นิสัยผมก็เปลี่ยนเป็นคน "สันโดษและเย็นชา" บางครั้ง"พ่อ"
ต้องการคุยอะไรกับผม ผมก็ไม่ตอบและไม่คุยด้วย , ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวนับวันดีขึ้นมาก
, ด้วยความสำนึกผิด"พ่อ"พยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความผิดนั้นให้ผมอย่างเต็มที่ , สิ่งของที่
ใช้ในวันตรุษจีน "พ่อ"จะจัดเตรียมใว้อย่างเต็มที่ , "แต่" ภาพสุดท้ายก่อน"แม่"ตาย , คืนวันตรุษจีน
ที่"แม่กับพ่อ"ทะเลาะกันอย่างรุนแรง มันผุดขึ้นมาหลอกหลอนผมตลอดเวลา , "ฉะนั้น" คืนวันตรุษจีน
ผมจึงไม่เคยกลับบ้านเลย , ได้แต่เดินคิดฟุ้งซ่านไปตามถนน , ในใจมีแต่ความว้าเหว่และเดียวดาย......

แม้ว่าผมจะรู้ว่า"พ่อ"ทุกข์ใจ และเป็นห่วงผมทุกครั้งที่ถึงคืนวันตรุษจีน , หลายๆครั้งที่ผมเห็นพ่อ
"เมาเหล้า"แล้วหยิบรูป"แม่"ขึ้นมาดูแล้วร้องไห้ ! .... และผมก็แอบหลั่งน้ำตาเช่นกัน , แต่ผมก็ไม่คิด
ที่จะอภัยให้กับความผิดของ"พ่อ"เลย ...

ปีนั้นผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี3 คืนวันตรุษจีนผมดื่มเหล้าเมาทั้งคืนจนถึงสว่างแล้วค่อยกลับบ้าน
เสื้อผ้าเลอะเทอะมอมแมมเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า "พ่อ"เห็นความหมดสภาพของผม , จึงทั้งด่าและ
ทุบตีผมยกใหญ่ , ผมกลับตะโกนออกไปสุดเสียงว่า : "เอาเลย พ่อตีเลย ตีให้ผมตายไปเลย ผมจะ
ได้ไปอยู่กับ"แม่"ให้สมใจ"พ่อ"เลย , ...... "พ่อ" หยุดตีผม ทรุดนั่งลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา ....
และตรุษจีนปีนั้น ก็ผ่านไปอีกปีหนึ่งอย่างขมขื่น....

"คืนวันตรุษจีนปีนี้" ผมเดินอยู่บนท้องถนนร่วมกับคนทั่วๆไป เพื่อฆ่าเวลาให้พ้นๆไปถึงพรุ่งนี้เช้า , ...
"ระหว่างนั้น"ผมเห็นมีผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าขาดๆวิ่นๆเต็มไปด้วยรอยปะชุน เดินตามผมมาติดๆ
ผมรู้สึกว่าเธอเดินอย่างอ่อนล้าเต็มที เลยถามไปว่า "คุณเดินตามผมมาทำไม" ? เธอพูดว่า"ขอโทษค่ะ"
คุณช่วยฉันหน่อยได้ไม๊คะ ? ลูกฉันไข้ขึ้นสูง เพ้อเรียกหาแต่พ่อเขา , พ่อเขาก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ,
ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะทำไงดี , พูดแล้วเธอก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วพูดต่อว่า ฉันออกมาขอความ
ช่วยเหลือจากคนเดินถนนแถวนี้ , ให้ช่วยแกล้งแสดงตัวว่าเป็นพ่อของลูกฉัน , แต่ก็ไม่มีคนยอมช่วย
อยากขอร้องให้คุณช่วย แค่แกล้งไปแสดงตัวเป็นพ่อสักครั้ง อาการของลูกอาจดีขึ้นก็ได้....

ผมฟังเธอเล่าแล้วเกิดอาการสงสารและเห็นใจอย่างมาก เลยรีบตามเธอกลับบ้านไปทันที , ...
พอเข้าไปในบ้านผมก็ได้ยินเสียงเด็กร้องเรียก "ป่าป๊า , ป่าป๊า" ไม่ขาดปาก , ผมจับมือเด็กแน่นแล้ว
อุ้มเข้ามากอดพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูว่า ลูกรัก พ่อกลับมาแล้ว , ....... "ฉับพลัน"ผมก็นึกถึง"พ่อ
"ขึ้นมาทันที "พ่อ"อยู่บ้านคงรอผมกลับไปรวมครอบครัววันตรุษจีนเช่นกัน ,

ผมถือโอกาส พาผู้หญิงคนนั้นพร้อมด้วยลูกของเธอ เดินทางกลับไปหา"พ่อ" เพื่อจะได้เติมเต็มชีวิต
ในคืนวันตรุษจีน(วันครอบครัว) ระหว่างทาง , "ผมร้องไห้" ผมมี"พ่อ"แต่ผมไม่เคยรักและทนุถนอม
คำว่า"พ่อ"เลย...... "มาถึงบ้าน"ผมตะโกนเสียงดัง: "พ่อครับ" ผมกลับมาแล้ว ! ....เสียง"พ่อ"ถามอย่าง
รีบร้อนว่า "ใครน่ะ"ลูกของพ่อหรือ ? .... พ่อจับมือผมแน่น พร้อมกับถามว่า "ลูกพาใครมาด้วยหรือ ?
.......พ่อจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นครู่ใหญ่ พร้อมๆกับมองลูกของเธออย่างตั้งใจ แล้วเม้มปากแน่น ก่อนจะ
ถามว่า ? ฮวย ...ฮวยยี้ใช่หรือไม่ ? "พ่อ"ถามพลางร้องไห้พลาง , มือ2ข้างจับบนไหล่หญิงสาวแน่น , .....
ทั้งผมและหญิงสาวต่างตกใจมาก คิดว่า"พ่อ"คงจะเพี้ยนไปแล้ว , นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ , หลังจากนั้น
ทุกคนนั่งลง ฟังเรื่องเล่าจากความหลังของพ่ออย่างละเอียด.......

"พ่อ"เล่าว่า ผมเคยมีพี่สาวคนหนึ่ง อายุแก่กว่าผม3ปี เธอชื่อ"อาฮวย" มีอยู่ครั้งหนึ่ง "แม่"พาเธอไป
ซื้อของที่ตลาด แล้วเกิดพลัดหลงหายไป , "พ่อ"โกรธแม่มาก ที่ทำให้ลูกสาวที่"พ่อ" รักปานดวงใจหายไป
พ่อเสียใจจนกลายเป็นคนติดเหล้าและการพนัน , สิ่งที่"พ่อ"จำได้แม่นยำคือ ลูกสาวใส่ห่วงเงินที่คอ
, เป็นห่วงเงินที่พ่อทำกับมือตัวเอง และห่วงเงินนี้ ใส่อยู่บนคอของหญิงสาวตรงหน้านี้เอง....
ผม, พี่สาวและ"พ่อ"ต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกัน , ......

*****************************

มันเหมือนโลกกลม หมุนไปไกลแค่ไหนก็ยังกลับมาที่เดิมได้ แม้จะผ่านไปกี่ปีก็ตาม มันเป็นปฏิหารย์ที่ทำ
ให้สายเลือดเดียวกันได้กลับมาพบกันอีกครั้ง..... ในโลกมนุษย์ใบนี้ การได้พบกันอีกครั้ง ถือว่าเป็นบุญ
วาสนาที่ได้ทำร่วมกันมา ในชั่วชีวิตหนึ่งที่มีโอกาศได้เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ,
สถาบันครอบครัวเป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน มีโอกาสได้อยู่กันครบหน้ามีน้อย , ต้องทนุถนอมใว้ให้ดี.....
"คืนวันสิ้นแสงสุดท้ายของปีเก่าที่จากไป" ยามแสงอาทิตย์อุทัยที่อบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ(ชุงเทียง)
ทุกครอบครัวต่างอยู่กันอย่างพร้อมหน้า , ขอให้มีความสุขกับวันขึ้นปีใหม่ .......

แปล และเรียบเรียง โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 05, 2024 9:40 pm

( 13 )


อย่ารีบหาคำตอบ

คนเดินทางคนหนึ่ง พบแม่เฒ่านั่งอยู่ริมลำธารหลังฝนตก เป็นทุกข์กับ
การลุยข้ามไป เขาถามแม่เฒ่าอย่างใจดีว่า
"ให้ผมแบกยายข้ามไปดีไหม❓"

แม่เฒ่ามองเขาอย่างแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
คนเดินทางออกแรงเต็มที่..
ในที่สุดก็แบกแม่เฒ่าข้ามลำธารไปได้

ทว่า แม่เฒ่าไม่แม้แต่จะพูดสักคำว่า "ขอบคุณ" ก็รีบเดินจากไป

คนเดินทางซึ่งเหนื่อยแทบขาดใจ รู้สึกเคือง เสียใจ เขารู้สึกว่า แม้การ
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือกัน ระหว่างคนกับคนนั้นไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทน

แต่ก็ควรมีประกายไฟแห่งความประทับใจให้บ้างสิ แต่เขาไม่ได้แม้คำว่า "ขอบคุณ"

ทว่า..หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ขณะกำลังวุ่นวายกับการถูกมดกัดบนทางขึ้นภูเขา
ที่เดินยากเย็นนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งตามเขามา

"ขอบคุณที่ช่วยย่าของผมครับ ย่าให้ผมเอาของมาให้ บอกว่าคุณจะได้ใช้มัน"
ว่าแล้วก็หยิบอาหารกับยาออกจากย่าม รวมทั้งลาที่ขี่มาก็ยกให้เขาด้วย

ขณะที่คนเดินทาง กล่าวขอบใจเขาใหญ่นั้น ชายหนุ่มก็พูดขึ้นว่า "ยังมีอีกเรื่อง
ย่าของผมเป็นใบ้ แกฝากผมมา "ขอบคุณ" คุณด้วย❗"

👉อย่าได้รีบร้อนเอาทุกคำตอบจากพระเจ้า บางครั้งคุณต้องใจเย็นรอ
แม้เมื่อคุณตะโกนใส่หุบเวิ้งว้าง ก็ยังต้องรอครู่ใหญ่ กว่าเสียงสะท้อนจะกลับมาถึงหู

#เรื่องเล่าเยิ่นเอินฮุ่ย任恩慧
#MADMANBOOKS
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 06, 2024 5:42 pm

( 14 )


(@)เรื่องสั้น -----> นักเดินทางและต้นไม้ที่ให้ร่มเงา

Moral stories จาก Google เรื่อง The Travelers and the Plane Tree --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งกลางฤดูร้อน มีชายสองคนกำลังเดินทางไกลไปตามเส้นทางที่แห้งแล้ง
หลังจากเดินไปได้พักใหญ่ อากาศร้อนจนแทบจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหว ทั้งสองดีใจมาก
เมื่อเห็นต้นไม้สูงใหญ่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก จึงรีบเดินไปที่ต้นไม้และล้มตัวลงนอนพักบน
พื้นดินใต้ร่มเงาของไม้ต้นนั้น

ขณะที่นอนพักเอาแรงอยู่นั้น ชายคนหนึ่งก็จ้องมองไปที่กิ่งก้านของต้นไม้ก่อนจะพูดกับอีก
คนหนึ่งว่า “ไม้ต้นไม้นี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง เพราะเป็นต้นไม้ที่ไม่มีผลให้เรากินได้
แถมยัง เป็นไม้เนื้ออ่อนจะนำไปสร้างบ้านเรือนก็ไม่ได้อีกด้วย”

เพื่อนที่ไปด้วยกันจึงพูดตอบว่า “อย่าเป็นคนเนรคุณนะเพื่อน เพราะอย่างน้อยตอนนี้มันก็
ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีกับเราอยู่มิใช่หรือ คิดดูสิ มันกำลังช่วยปกป้องเราจากแสงแดดที่
ร้อนระอุ แล้วจะบอกว่ามันไร้ประโยชน์ได้อย่างไร!”

คติพจน์ : สิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงของพระเจ้ามีล้วนมีจุดประสงค์ที่ดี
เราจึงไม่ควรดูแคลนสิ่งสร้างของพระองค์

******************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 06, 2024 5:46 pm

( 15 )


(@)เรื่องสั้น -----> ลูกหนูน้อย

Moral stories จาก Google เรื่อง The Little Mouse --
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกหนูน้อยและแม่หนูอาศัยอยู่ในโพรงไม้กระดาน
ในบ้านหลังใหญ่ที่อบอุ่น ทั้งสองมีเนยแข็งกินอย่างสุขสบายทุกวันโดยไม่ต้องออกแรง
ไปหากินที่อื่น จนอยู่มาวันหนึ่งแม่หนูได้ตัดสินใจพาลูกน้อยของมันออกไปเดินเล่น
นอกโพรง ทั้งสองเหลือบเห็นแมวใหญ่ตัวผู้ตัวหนึ่งกำลังใช้ลิ้นเลียปากทำท่าเตรียม
จะเขมือบทั้งแม่และลูกลูกหนูร้องไห้เกาะหางแม่ด้วยความกลัวพร้อมกับถามแม่ว่า

“แม่ครับ แม่! เราจะทำอย่างไรดี?” แม่หนูตั้งสติทันทีและจ้องมองตรงไปที่ดวงตาของแมว
ผู้หิวโหย แม่หนูไม่กลัวแมวเพราะมันเคยเรียนรู้วิธีจัดการแมวมาก่อน จากนั้นมันก็ทำท่า
อ้าปากกว้างจนสุดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะดัดเสียงร้องดังลั่นเหมือนกับ
เสียงเห่าของสุนัข

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” และทันทีที่แมวได้ยินเสียงเห่าของสุนัข มันก็รีบกระโจนวิ่งแจ้นหนีไป

“ว้าวคุณแม่! สุดยอดเลย!” ลูกน้อยพูดกับแม่พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

“นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมต่อไปนี้ลูกจะต้องหัดเรียนรู้จักภาษานี้นะ เพราะผู้ที่รู้สองภาษาย่อม
เอาตัวรอดได้ดีกว่าผู้ที่รู้เพียงภาษาเดียวเสมอ”

*************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 06, 2024 6:11 pm

( 16 )


#เรื่องเล่าเบาๆเช้าวันหยุด(๖)

#อาหารการกิน

เรื่องที่ ๑ กล้วย

มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งชอบกินกล้วยมาก มาเมืองไทยเมื่อประมาณ 70 ปีก่อน
เพื่อนๆ รุ่นพี่ที่มาก่อนบอกว่า ให้รีบกินนะ เดี๋ยวก็จะหมดฤดูแล้ว ท่านก็กินๆๆ ก็ไม่หมด
ฤดูสักที มารู้ต่อมาว่าถูกหลอก

ท่านเป็นครูคณิตศาสตร์ของพวกเราที่ “ฟาติมา” วันหนึ่งท่านเล่าว่า ตอนยังเด็ก ทุกวันอาทิตย์
แม่จะซื้อกล้วยมาที่บ้าน แล้วให้ท่านกับน้องชายลูกเดียว เอาไปแบ่งกัน ท่านถามพวกเรา
นักเรียนว่า ทำอย่างไรพี่น้องจึงจะไม่ทะเลาะกัน

ถ้าถามท่านผู้อ่านตอนนี้ตอบได้ไหมครับ เป็นคำถามที่อาจจะมีใน PISA ก็ได้

คุณพ่อฝรั่งเศสเฉลยว่า ก็ให้คนหนึ่งแบ่ง อีกคนหนึ่งเลือก ผลัดกันทุกอาทิตย์

เรื่องที่ ๒ ซุบกับซุปเป้

ครั้งหนึ่งตอนเรียนที่โรม ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของพี่ชายของพระคุณเจ้าแบร์ทอลด์
ที่เมืองปอร์รองทรุย ในแคว้นยูรา สวิตเซอร์แลนด์ ใกล้ชายแดนฝรั่งเศส

พระคุณเจ้าแบร์ทอลด์ คืออาจารย์ที่เคยสอนภาษาอังกฤษให้ที่ “ฟาติมา” ท่านแนะนำให้
ไปพักที่บ้านพี่ชายสักระยะตอนปิดเทอม พี่ชายท่านเป็นเกษตรกร เลี้ยงวัว ปลูกผักผลไม้
มีลูกหลายคน

ไปถึงวันแรกตอนบ่ายๆ เขาให้ไปพักอยู่ที่ห้อง ตกเย็น แม่บ้านมาเคาะประตูร้องถามว่า
“ทานอาหารค่ำไหม” ผมได้ยินเป็นว่า “เอาซุบไหม” สองคำที่ออกเสียงใกล้กัน หรือว่า
ภาษาถิ่นเป็นคำเดียวกัน ได้ตอบไปว่า “ไม่ครับ”

ฝรั่งเขาไม่ถามสองครั้งนะครับ วันนั้นผมอดทานข้าวเย็น ท้องกิ่วไปจนรุ่งเช้า ขำตัวเองว่า
เรียนภาษาฝรั่งเศสมา 5 ปีที่เมืองไทย แต่ไปอดข้าวเพราะไม่เข้าใจความแตกต่างของสองคำ

เรื่องที่ ๓ ร้อยมาลัยไปเยอรมัน

เมื่อปี 2534 ผมได้รับเชิญจากองค์กรศาสนาเพื่อการพัฒนาที่เยอรมัน ให้นำนักดนตรี นักรำ
ไปแสดงที่เยอรมันระหว่าง 40 วันก่อนวันปาสกา (อีสเตอร์) ไปร่วมรณรงค์ “ศักดิ์ศรีหญิงไทย”
ผมก็ไปคัดเอานักดนตรีอีสานระดับแชมป์ มีหมอแคน โปงลาง พิณ ซอ กลอง ส่วนขลุ่ยได้ชวน
พี่เนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ไปด้วย เพราะนอกจากเป่าขลุ่ยได้ดีแล้วยังจะ “เขียนแผ่นดินเยอรมัน”
รายงานการเดินทางของเรามาลงหนังสือพิมพ์ในไทยด้วย

นอกจากนักดนตรี ผมได้ขอให้วิทยาลยครูสกลนครนำนักศึกษาหญิงไปรำด้วยจำนวน 4-5 คน

ผมตั้งชื่อคณะนี้ว่า “ร้อยมาลัย” ส่วนใหญ่ไม่เคยไปต่างประเทศ ผมก็แนะนำให้พกพริกเผาไป
เยอะหน่อย เพราะจะไม่ได้ทานอาหารไทยอาหารจีนทุกวัน ซึ่งก็จริง เพราะไม่กี่วัน พริกเผาหมด
ต้องกินเนยกินแยมแบบฝรั่ง

“จรวย” หมอแคนจากขอนแก่น แชมป์อีสาน 5-6 สมัยจนกรรมการขอให้เลิกไปแข่งขัน เป่าแคน
เก่งมาก เป่ามือเดียวก็ได้ หวีผมไปด้วยก็ได้ จรวยดูมีปัญหาการทานอาหารฝรั่ง ผมเห็นแก
ใช้มีดทาเนยกับแยม แล้วเอามีดกับซ่อมตัดขนมปัง เลยบอกว่า ใช้มือจับได้ ไม่ผิดกติกามารยาท
ฝรั่งแต่ประการใด เช่นเดียวกับการกินไก่ ถ้าขาไก่ ปีกไก่ ก็ใช้มือได้ เพราะใช้มีดกับซ่อม
ไก่คงกระโดดลงจากโต๊ะวิ่งหนีไปได้

เรื่องที่ 4 กินเสียงดัง

ตอนสอนที่ธรรมศาสตร์ มีนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นคนหนึ่งชอบมาคุยด้วย เขาต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ
ชนบทไทย เขามักมาตอนเที่ยง ไปทานข้าวด้วยกันที่ห้องอาหารชั้นสองริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนใหญ่
เป็นอาจารย์ไปทานกัน เพื่อนญี่ปุ่นทานก๋วยเตี๋ยวแบบดูดเส้นไม่กัดและยกชามซดน้ำเสียงดังแบบ
“ญี่ปุน” โดยไม่สนใจสายตาของใคร ที่หันมามองแบบขำๆ บ้าง ประหลาดใจแบบรับไม่ได้บ้าง

เพื่อนอีกคนเป็นคุณพ่อชาวอเมริกัน อยู่ญี่ปุ่นนาน เป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยนาโงยา
แกเล่าว่า เวลากลับไปอเมริกามักมีปัญหาเวลาทานสปาแก็ตตี้ เพราะแกจะดูดจนสุดเส้นด้วยเสียงดัง
นึกว่ากินราเม็ง เล่นเอาคนร่วมโต๊ะมอง “ตาเขียว”

วัฒนธรรมเป็นมรดกที่สืบทอดกันมา แต่ละที่แต่ละแห่งก็มีของตนเอง ไม่ควรว่ากัน เพียงแต่
“เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม” “ไปกรุงโรมจงทำเหมือนคนโรมัน”

เสรี พพ 20 ม.ค. 24
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.พ. 12, 2024 2:16 pm

(. 17 )


ฮาว ทู ทิ้ง - ก่อนออกเดินทางครั้งต่อไป...
. . . . .
.
หลังจากที่คุณพ่ออดอล์ฟ โอโมกาคา โพล ทำงานรับใช้พระเจ้าที่เคนยานานถึง 53 ปี
(1968-2021) ก็ถึงเวลาเกษียณขณะอายุ 81 ในปีที่ผ่านมา...
.
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนั้น ท่านไม่ได้มีอะไรเพิ่มมากขึ้นกว่าวันแรกที่ไปถึง - - วันที่
ท่านเดินทางกลับบ้านที่อิตาลี ท่านเก็บข้าวของส่วนตัวที่จำเป็นลงในกระเป๋าเล็ก ๆ
เพียงสองใบเท่านั้น!
.
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคุณพ่อไมเคิล ที่ Good Shepherd Parish โบสถ์ที่ผมไปประจำ
หลังเลิกงาน ขณะยังอยู่ที่แซน ดิเอโก, อเมริกา- -
.
ท่านเคยเปรยเมื่อหลายปีก่อนว่า “เดี๋ยวนี้ คนตัวหนักขึ้น” ตอนแรกผมนึกว่าท่านหมายถึง
คนบริโภคเยอะ จนน้ำหนักตัวมากขึ้น แต่ความจริงแล้วท่านหมายถึงคนเรายึดติดกับวัตถุ
สิ่งของและสะสมจนกลายเป็นภาระพะรุงพะรัง ไปไหนมาไหนก็ไม่เบาสบายตัว
.
ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนบาดหลวงมีกระเป๋าเล็ก ๆ เท่านั้นเอง พอมีคำสั่งให้ย้ายไปประจำที่
โบสถ์ไหน ก็ไปได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาเก็บของ แต่ยุคสมัยนี้ ผู้คนสะสมกันมากขึ้น
โยกย้ายทีต้องจ้างรถขนของเลยทีเดียว บางคนถึงกับต้องเช่าที่ไว้เก็บของ...
.
จริงอย่างที่คุณพ่อไมเคิลพูด - - ที่อเมริกาจึงมีธุรกิจ Self Storage ที่ทำเงินมหาศาล ธุรกิจนี้
บริการสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เราไม่ได้ใช้ แต่ไม่อยากโยนทิ้ง โดยแบ่ง
เป็นห้อง ๆ คิดค่าเช่าเป็นรายเดือนในอัตราต่าง ๆ กันตามขนาดพื้นที่ที่ต้องการ ว่ากันว่า
จากการสำรวจเมื่อสิ้นปีที่แล้ว(รายงานนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน) พื้นที่ทั้งหมดของธุรกิจ Self Storage
รวมกันแล้วมีมากถึง 2.35 พันล้านตารางฟุต! มีคนอเมริกันใช้บริการ Self Storage นับล้าน ๆ คน
ปัจจุบันน่าจะมีตัวเลขมากกว่านั้น!
.
ผมเคยอ่านคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่แซน ดิเอโก ผู้เขียนเล่าว่าเห็นป้ายโฆษณา
ใหญ่ยักษ์ริมฟรีเวย์ เขียนตัวโต ๆ ว่า “ภรรยามีรองเท้ามากเกินไปหรือ?”, “โยนทิ้งทำไม ในเมื่อ
คุณจ่ายแค่เพียง $50 ก็ได้ที่เก็บของเหล่านั้นแล้ว...”
.
ไม่อยากเชื่อ ก็ต้องเชื่อ! คนบางคนยอมเสียเงินเพื่อเช่าสถานที่เก็บของที่ไม่ใช้แล้ว แทนที่จะ
ทิ้งไปเสีย หรืออย่างน้อยแจกจ่ายให้คนอื่น (ถ้าสภาพยังดีพอ)
.
เพื่อนอเมริกันของผมคนหนึ่ง เคยมาที่ออฟฟิศเล็ก ๆ ของผม(ที่แซน ดิเอโก) ซึ่งเช่าไว้ทำธุรกิจ
ส่วนตัว ขนาดห้องไม่ใหญ่โตนัก แต่เป็นเพราะนั่งคนเดียว จึงทำให้ดูเหมือนมีที่ทางเหลือเฟือ
เขามองไปรอบ ๆ ห้องแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้ารู้ว่านายมีที่เหลืออย่างนี้นะ ฉันไม่เช่าStorageให้เปลืองสตังค์หรอก เอามาฝากกับนายดีกว่า” 😄
. . . . .
.
ในพระคัมภีร์ไบเบิล (ลูกา 9:3-4) พระเยซูตรัสถึงเรื่อง 'ฮาว ทู ทิ้ง' กับอัครสาวกตั้งแต่
เมื่อสองพันกว่าปีก่อนว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดติดตัวไป อย่านำไม้เท้า ย่าม
อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย...”
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม คุณพ่อไมเคิลอธิบายให้เข้ายุคสมัยว่า
.
“เมื่อเราสะสม เราก็ไม่นึกถึงผู้อื่นแล้ว ลองคิดดูสิ หากในมือของเราเองเต็มไปด้วยข้าวของ
ที่ต้องหอบหิ้ว แล้วเราจะเอามือที่ไหนไปช่วยเหลือผู้อื่นล่ะ?”
.
แล้วท่านก็วกเข้าประเด็นแบบทีเล่นทีจริงว่า
.
“พวกเราควรต้องทำตัวเบา ๆ เข้าไว้ จะได้ขึ้นสวรรค์ง่ายหน่อย ความดีจะช่วยทำให้เราเบา
สบายตัว ลอยขึ้นไปง่าย ในขณะที่กิเลสความชั่วทั้งหลายมีแต่จะคอยถ่วงดึง กดเราให้ต่ำลง...”
ผมยิ้มกับการเปรียบเปรยของท่าน ฟังดูง่าย ๆ แต่ก็เห็นภาพเข้าใจทันที!
.
Cr :. เพื่อนในไลน์กลุ่มส่งมา
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.พ. 20, 2024 7:58 pm

( 18 )


ขณะที่ไดอาน่ากับลูกสาวกำลังเลือกซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
ถามถึงวิธีทำแซนด์วิชชีส เขาบอกว่าเขาไม่รู้วิธีทำอาหารเลย ควรทาเนยหรือมายองเนสดี?
.
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่กินเวลานานถึง 45 นาที- - หลังจากที่ไดอาน่าแนะนำ
เรื่องปรุงอาหารแล้ว พวกเขายังคุยต่อไปถึงเรื่องโน่นเรื่องนี่อย่างออกรสชาติ คุณพ่อของ
ไดอาน่าเคยอยู่ที่เกาหลี และบังเอิญชายคนนั้นซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่า มาร์ค ก็เคยไป
สงครามเกาหลีเหมือนกัน เรื่องราวจากต่างแดนครั้งนั้นจึงพรั่งพรูออกมาอย่างสนุกสนาน
.
แล้วช่วงหนึ่งของการสนทนา มาร์คบอกว่า เขาอยู่คนเดียว เหตุผลที่เขาทำอาหารไม่เป็น
เพราะมักจะออกไปกินข้างนอก แต่ตอนนี้ ร้านอาหารโปรดของเขาปิด เขาเลยต้องซื้อพวก
ขนมปัง ชีส และเบอร์เกอร์ที่เข้าไมโครเวฟได้มาทำกินเองที่บ้าน...
.
วูบหนึ่งของความรู้สึก ไดอาน่านึกได้ทันทีว่า ที่มาร์คเข้ามาทักทาย ไม่ใช่เพราะอยากรู้วิธีทำ
แซนด์วิช แต่เป็นเพราะเขาเหงา... เขาเหงาที่ไม่ได้ไปทานรสชาติอาหารในร้านโปรด, ไม่ได้นั่ง
ที่ประจำกับบรรยากาศคุ้นเคย, ไม่ได้คุยกับพนักงานเสิร์ฟที่คุ้นหน้า... วันทั้งวันของเขาในบ้าน
จึงผ่านไปอย่างเชื่องช้า, ว้าเหว่ และเงียบเหงา...
. . . . . .
.
ทุกเช้า-เย็น อัลดอนมักจะเห็นสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งเดินออกกำลังกายรอบหมู่บ้าน ทั้งคู่ใส่ชุดเสื้อ
กันลม รองเท้าผ้าใบสีขาว และถือไม้เท้าในมือ- - ทุก ๆ วัน พวกเขาจะโบกมือทักทายอัลดอน
ส่งจูบให้สุนัขของเขา และพูดว่า ‘ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ’ แม้จะเดินอยู่กลางสายฝนโดยไม่มีร่ม
พวกเขาไม่เคยพูดคุยจริงจังหรือแลกเปลี่ยนชื่อที่อยู่กัน แต่ต่างก็รู้ว่าใครอยู่บ้านหลังไหน
.
วันหนึ่ง อัลดอนขับรถจี๊ปกลับจากชายหาด ขณะเลี้ยวเข้าถนนที่ตรงไปยังบ้านของเขา อัลดอนกำลัง
เปิดเพลง "The Way You Look Tonight" เสียงดังลั่น - -
.
เขาเห็นสามีภรรยาสูงวัยคู่นั้นกำลังเดินมาพอดี ตอนที่ขับผ่านพวกเขาเพื่อเลี้ยวเข้าบ้าน อัลดอนเห็น
ทั้งคู่ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า เมื่อจอดรถเสร็จ เขาเอื้อมมือจะไปลดเสียงเพลงให้เบาลง ผู้เป็นสามีกลับ
ทำมือส่งสัญญาณว่าให้เปิดดังอีกนิด แล้วบอกว่า “เยี่ยมไปเลย ที่เห็นคนหนุ่มเปิดเพลงนี้...” ว่าแล้ว
ผู้เป็นสามีก็เหวี่ยงแขนของภรรยาขึ้นเหนือศีรษะ แล้วหมุนตัว เต้นรำไปตามจังหวะเพลงริมถนน
หน้าบ้านอย่างมีความสุข...
.
(เพลง “The Way You Look Tonight" เป็นเพลงเก่าโด่งดังจากการร้องของแฟรงก์ ซินาตรา
ส่วนที่อัลดอนเปิดเป็นเวอร์ชั่นที่ Maroon 5 นำมาร้องใหม่)
.
หลายปีผ่านไป... ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่ว่าอัลดอนกำลังทำอะไรอยู่ แต่งรถหรือ
จัดสวน และไม่ว่าเพลงที่เขาเปิดดังลั่นจากโรงรถ จะเป็นป้อป, คันทรี, เฮฟวี่ หรือแร็พ ทั้งคู่มักจะ
โบกมือ, ยิ้มกว้าง และเต้นรำเสมอ...
.
เช้าวันหนึ่ง, ขณะที่อัลดอนกำลังยืนรดน้ำสนามหญ้าหน้าบ้าน เขาเหมือนเห็นชุดเสื้อกันลม รองเท้า
ผ้าใบสีขาวกำลังเคลื่อนตัวผ่านมาอย่างช้า ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นผู้เป็นภรรยาเดินมาคนเดียว
อัลดอนโบกมือให้ เธอโบกมือตอบ เขาตะโกนถามติดตลก “อีกคนหายไปไหนครับ?”
.
เธอก้าวช้าลง และเริ่มสั่นศีรษะ มองมาที่อัลดอนผ่านแว่นกันแดดกรอบใหญ่ที่ปกปิดดวงตาของเธอ
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า 'ฉันไม่มีเขาเดินด้วยอีกต่อไปแล้ว...'
.
แค่ไม่กี่ถ้อยคำนั้น ทำเอาอัลดอนหัวใจสลาย... เขาเล่าว่า
.
“ผมรีบวิ่งตามไปที่ถนน รู้สึกแน่นหนักอยู่ในอก ผมเรียกเธอ ขณะเดินเข้าไปใกล้... เธอหันกลับมา
น้ำตาไหลพรากจากหลังแว่นกันแดดนั้น ไม่มีคำพูดอื่นใดเล็ดลอดออกมาจากปากของเราได้เลย...
ผมกอดเธอ กอดแน่นเหมือนเธอเป็นคุณแม่หรือคุณยายของผมเอง เธอสะอื้นไห้อยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า
"ฉันแค่พยายามทำในสิ่งที่เราเคยทำ เพื่อจะได้รู้สึกเหมือนเขายังอยู่ใกล้ ๆ ... ขอบคุณสำหรับอ้อมกอด
ฉันต้องการอ้อมกอดนี้มากกว่าที่คุณคิด และขอบคุณสำหรับเพลงทั้งหมดที่คุณเปิดนะคะ..."
.
. . . . .
.
ครั้งต่อไป... ในซูเปอร์มาร์เก็ต- หากมีใครขอให้คุณช่วยอ่านฉลากข้างกระป๋อง เพราะสายตาไม่ดี
เต็มใจอ่านให้เขา, ตรงป้ายรถประจำทาง- หากมีใครถามถึงเส้นทางของรถเมล์ ช่วยบอกอย่างยินดี - -
ในโลกนี้ ยังมีคนเปลี่ยวเหงาอย่างมาร์ค อยู่รอบตัวเรา ที่บางครั้งเพียงแค่รอยยิ้ม, คำทักทาย และ
บทสนทนาไม่ถึง 5 นาที ก็เป็นเหมือนแสงอ่อนอุ่นที่อาบใจเขาไปทั้งวัน!
.
ในโลกนี้ , ยังมีคนโดดเดี่ยวที่เพิ่งสูญเสีย'อีกครึ่งที่ดี'ของชีวิตไป เขาหรือเธออาจเดินลำพังบนทางเท้า
ผ่านถนนชีวิตของคุณ- - จงเป็นบทเพลงให้พวกเขาได้เต้นรำ และกอดเขาไว้ให้แน่นนาน...
.
ปะการัง
.
[ ขอพระเจ้าอวยพรให้โลกนี้ ไม่มีใครแปลกหน้าต่อกัน ]
.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ขอแนะนำหนังสือสำหรับความสุขแห่งชีวิต :

“อย่ากลัว ที่จะยืนโดดเดี่ยว กลางแดดร้อนลมแรง” โดย ปะการัง
.
"เพราะโลกกลม สักวันหนึ่ง ความรักนั้นจะวนกลับมาหาเรา" โดย ปะการัง
.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 21, 2024 11:51 pm

( 19 )


บางที ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนแปลกหน้าที่จิตใจงดงาม แต่ไม่ปรากฏตัวนั้น
เป็นใคร มีตัวตนจริงหรือไม่?
. . . . .
.
ถึงแม้ฟอลลอนจะเป็นโรควิลเลียมส์ ซิลโดรม (โรคทางพันธุกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด) แต่เขาก็มี
ความรู้และความรักในเสียงดนตรีอย่างเป็นเลิศ! โดยเฉพาะฝีมือการเล่นกีตาร์ของเขานั้นน่าทึ่งมาก
ทุกครั้งที่ฟอลลอนไปร้านขายเครื่องดนตรีแห่งนี้ เขาจะขอเล่นกีตาร์แบบ 'แพนเทอร่า'
(ชื่อวงดนตรีเฮฟวี่เมทัล) ซึ่งเป็นตัวโปรดของเขาที่ฝันอยากเป็นเจ้าของ เขาจะเล่นอยู่อย่างนั้น
เป็นเวลานานอย่างคลั่งไคล้...
.
เมื่อหลายเดือนก่อน ขณะที่ฟอลลอนลองเล่นกีตาร์ตัวโปรดอยู่นั้น เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ลูกค้าคนหนึ่ง
ในร้านแอบมองเห็นความสามารถและความหลงใหลในกีตาร์ของเขา ลูกค้าคนนั้นประทับใจมาก
จนต้องกลับมาที่ร้านอีกครั้งในวันต่อมา - - ซื้อกีตาร์ตัวนั้น และฝากให้ผู้จัดการร้านช่วยมอบให้กับ
ฟอลลอนด้วยเมื่อเขามาที่ร้านในครั้งต่อไป โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนผู้ซื้อ!
.
แต่ผู้จัดการก็ไม่เห็นฟอลลอนอีกเลยเป็นเวลาหลายเดือน... แล้วในที่สุด เขากับคุณแม่ก็แวะมาที่ร้าน
ในวันหนึ่ง จึงรู้ว่าพวกเขาได้ย้ายไปอยู่ต่างเมืองแล้ว และกลับมาเยี่ยมที่นี่แค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น - -
.
โชคดีจริง ๆ ที่แวะมา! ผู้จัดการรีบมอบกีตาร์ให้เขา กีตาร์ในฝันที่เป็นของขวัญจากคนแปลกหน้า...
ฟอลลอนยิ้มกว้างตื่นเต้นสุดขีด ขณะที่คุณแม่ถึงกับน้ำตาไหล - -
.
พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ยังมีคนใจดีในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มาจากไหน?
. . . . .
.
คาร่าต้องการซื้อเครื่องปั่น(น้ำผัก/ผลไม้)พลังสูง เพื่อใช้ปั่นอาหารเสริมให้คุณแม่ซึ่งป่วยเป็น
โรคมะเร็ง และต้องการใช้ด่วน แต่เนื่องจากเครื่องใหม่ราคาแพงเกินกำลัง เธอเคยเห็นชาย
คนหนึ่งประกาศขายเครื่องปั่นมือสอง จึงส่งข้อความไปถามว่ายังมีสินค้าอยู่หรือไม่?
.
ชายคนนั้นตอบกลับมาว่า “ผมเสียใจด้วยที่ทราบว่าคุณแม่ของคุณป่วยเป็นมะเร็ง ส่งที่อยู่ของ
คุณมาเลยครับ เดี๋ยวผมส่งไปให้ คุณไม่ต้องจ่ายเงิน ผมจะสวดภาวนาให้คุณแม่ของคุณด้วยครับ
และถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ กรุณาบอกผมนะครับ”
.
คาร่าให้ที่อยู่ไป พร้อมทั้งบอกซาบซึ้งใจมากสำหรับคำสวดภาวนา ถึงแม้คุณแม่จะป่วยหนักแล้ว
ก็ตาม แต่เธอก็ยังคิดในแง่ดีมีความหวัง... และย้ำถามเรื่องเงิน ที่เธอจะโอนให้...
.
ชายคนนั้นตอบกลับมาว่า จ่ายเงินให้เรียบร้อยแล้ว “...แค่เอาหมายเลขคำสั่งซื้อ ไปรับของที่
ห้างได้เลย ไปรับวันนี้เลยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณแม่คุณต้องรอนาน... ถ้ามีปัญหาในการ
รับของ ติดต่อผมได้ทันทีนะครับ”
.
“อะไรนะ? คุณสั่งซื้อเครื่องใหม่ให้หรือคะ?”
.
“ใช่ครับ จ่ายเงินเรียบร้อย คุณแค่ไปรับของ” ชายคนนั้นยืนยัน
.
คาร่าช็อก ทำไมคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่มีผลประโยชน์ใดต่อกัน กลับมีน้ำใจงดงามเช่นนี้
เธอขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น...
.
ชายแปลกหน้ายังตอบกลับมาด้วยใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนว่า
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ จริง ๆ แล้ว เป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสนี้กับผม”
.
ต้องเป็นคนแบบไหน ถึงมีใจสูงส่งขนาดนั้น ที่รู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาส - โอกาสแห่งการทำ
ความดี โอกาสแห่งความรัก โอกาสที่จะส่งต่อความหวัง พลังใจให้ผู้อื่น!
. . . . .
.
บางที ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนแปลกหน้าที่จิตใจงดงาม แต่ไม่ปรากฏตัวนั้น เป็นใคร มีตัวตน
จริงหรือไม่? ...ความดีเหนือใครที่เต็มไปด้วยความรัก ความกรุณาแบบไม่มีเงื่อนไข และไม่
ต้องการสิ่งตอบแทนนั้น ต้องมีหัวใจยิ่งใหญ่ขนาดไหน?
.
บางครั้ง ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาต้องเป็นเทวดา นางฟ้า หรือทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมา
อย่างแน่นอน! เพื่อแสดงตัวอย่างให้เราเห็นว่าเป็นเทวดา, นางฟ้านั้นมันไม่ได้ยากอะไรเลย...
แค่ลงมือทำเท่านั้น!
.
ปะการัง
.
[ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเทวดานางฟ้าและโอกาสแห่งความรัก ]
.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 28, 2024 8:58 pm

( 20 )


*เรื่องสั้น*

ชีวิตของทหารนายหนึ่ง (A Soldier’s Story)

Moral stories จาก Go
ogle เรื่อง A Soldier’s Story -- แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับทหารอเมริกันคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากสมรภูมิรบ
ในเวียดนาม เมื่อเครื่องบินนำเขากลับมาถึงสนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโกและรอเปลี่ยน
ขึ้นเครื่องบินภายในประเทศเพื่อจะบินต่อไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง เขาโทรศัพท์ไปถึง
พ่อแม่และพูดสายกับคุณพ่อผู้รับโทรศัพท์ว่า “พ่อครับ ผมมาถึงสนามบินที่ซานฟรานซิสโกแล้วครับ
ตอนนี้ผมมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าก่อนจะเปลี่ยนขึ้นเครื่องบินไปลงสนามบินซานโฮเซ่ที่บ้านเรา
แต่ผมมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องคุณพ่อคุณแม่ก่อนครับ คือผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผมอยากพามา
ที่บ้านเราด้วย

“ได้แน่นอน” พ่อตอบหลังจากหันไปแจ้งข่าวดีกับภรรยาที่ฟังการสนทนาอยู่ใกล้ๆ

“พ่อแม่ก็อยากรู้จักเขาเหมือนกัน ลูกรัก”

“แต่พ่อครับ ผมยังมีอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรับทราบก่อนนะครับ คือว่าเพื่อนสนิทคนนี้
เขาบาดเจ็บค่อนข้างสาหัสในการสู้รบ คือเขาเกิดไปเหยียบกับระเบิดจนเหลือแขนและขาอย่าง
ละข้างเดียว และตอนนี้เขาก็ไม่รู้จะไปที่ไหนและก็ไม่มีที่จะไปด้วย ผมจึงอยากให้เขามาพัก
ด้วยกันกับเราครับ”

“พ่อเสียใจจริงๆ กับเรื่องของเขา แต่บางทีลูกอาจช่วยแนะนำให้เขาไปอยู่ที่อื่นก็ได้นะ”

“ไม่ได้หรอกครับพ่อ ผมอยากให้เขาอยู่กับเราจริงๆ ครับ”

หลังจากผู้เป็นพ่อขอเวลาสั้นๆ หันไปปรึกษากับภรรยาแล้วก็พูดต่อกับลูกว่า “ลูกรัก ลูกไม่รู้ว่า
ลูกกำลังขออะไรนะ คนที่พิการเช่นนี้จะเป็นภาระหนักทีเดียวสำหรับเราทุกคนทั้งบ้าน พวกเรา
เองก็ต้องมีชีวิตอยู่ตามสถานะสภาพของเรานะ เราจะมานั่งแบกภาระที่หนักอึ้งของคนอื่นได้
อย่างไรกัน พ่อกับแม่คิดว่าลูกควรจะลืมเพื่อนคนนี้เสีย เพราะยังไงเขาก็คงหาทางช่วยตัวเอง
จนได้แหละลูก อีก 3 ชั่วโมงพ่อจะขับรถพาแม่ไปรอรับลูกที่สนามบินซานโฮเซ่นะ”

เมื่อลูกฟังพ่อพูดถึงคำสุดท้ายก็วางสายไปเฉยๆ หลังจากนั้นทั้งพ่อและแม่ก็รอรับลูกที่สนามบิน
ซานโฮเซ่อยู่เป็นเวลานานแต่ไม่พบลูก และเมื่อไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ฯ ก็พบว่าลูกไม่ได้อยู่
บนเครื่องบินลำที่เพิ่งบินมาถึงจากซานฟรานซิสโก ทั้งสองรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
ขณะขับรถกลับบ้านด้วยความผิดหวังเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ทั้งสองก็ได้รับ
โทรศัพท์จากตำรวจซานฟรานซิสโกแจ้งว่า ลูกชายของพวกเขาเสียชีวิตเพราะตกจากอาคารสูง
ใกล้สนามบินฯ
ตำรวจเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
พ่อแม่ผู้เศร้าโศกรีบออกเดินทางทันที ... ที่สุดทั้งสองก็มาถึงสนามบินซานฟรานซิสโกและสอบถาม
เรื่องของลูกชายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่นจนทราบว่ามีการนำศพของลูกชายไปเก็บไว้ที่โรงเก็บศพ
ในเมืองแล้วเพื่อให้พ่อแม่ไปยืนยันตัวตนของเขา และเมื่อทั้งสองเห็นศพก็จำได้ทันทีว่าเป็นลูกชาย
ของพวกเขาจริงๆ แต่ความจริงที่ทั้งสองไม่ทราบมาก่อนคือ เป็นลูกชายของพวกเขาเองที่เป็น
คนพิการที่มีแขนข้างเดียวและขาข้างเดียว!

*********************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5975
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มี.ค. 05, 2024 3:18 pm

( 21 )


(@) นิทาน เรื่อง ปลาจาระเม็ด

เด็กชายอายุ -10 ขวบ คนหนึ่ง เดินเข้ามาในร้านขายปลาในตลาด
เถ้าแก่สังเกตสีหน้าของเด็กน้อย ท่าทางจะมีความกังวลอะไรอยู่ บางอย่าง

“เถ้าแก่ครับ
ขอปลาจาระเม็ดให้ผม 2 ตัว และปลาสลิด 2 ตัว ครับ”

เถ้าแก่มองหน้าเด็กชายครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหยิบปลาใส่ถุงขึ้นชั่ง

เด็กชายเอามือล้วงกระเป๋า เป็นเวลานานสองนาน จากนั้นจึงหยิบแบงค์ 500
ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

“เงินอั่งเปาละสิท่า เสียดายใช่ไหมละอาตี๋”

เถ้าแก่ถามแบบหยอกๆ เด็กชายได้แต่ยิ้มหน้าเหยๆ

“180 บาท” เถ้าแก่บอก พร้อมกับหยิบเงินจากมือของเขาไป
จากนั้น ก็หยิบเงินทอน ให้แก่เขา 320 บาท

เมื่อเด็กน้อยรับเงินเสร็จ ก็กล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไป
ด้วยอาการเหมือนร้อนรน

2 วันให้หลัง เด็กชายคนเดิม เดินเข้ามาที่ร้านของเถ้าแก่อีกครั้ง
“วันนี้แม่ของผมต้องไปโรงพยาบาล”
เด็กน้อยเอ่ยขึ้น เถ้าแก่รู้สึกตกใจไปกับเด็กน้อยด้วย

“แม่ของผมป่วยหนัก วันนี้ต้องรีบผ่าตัด เมื่อวานซืน ผมมาซื้อปลาจาระเม็ด
กับปลาสลิด ที่แม่ชอบกิน จากนี้ไป แม่ของผมคงไม่ได้กินอีกแล้ว”
เด็กน้อยพูดออกไปด้วยเสียงสะอื้น

“แต่หลังจากแม่กินปลาเสร็จ แม่ก็พูดกับผมประโยคหนึ่งว่า
◇ อย่าโลภในกำไรเพียงเล็กน้อย จนสูญเสียมโนธรรมสำนึก มันไม่คุ้มค่า !”

จากนั้น เด็กน้อยก็ล้วงมือ เข้าไปในกระเป๋ากางเกง และหยิบธนบัตรแบงค์ 500
ออกมา 1 ใบ แล้วก็ยื่นให้เถ้าแก่ เจ้าของร้านขายปลา

“เถ้าแก่ครับ ผมขอโทษครับ เมื่อวานซืน ผมเอาแบงค์ปลอม
ให้เถ้าแก่ ใบนี้ต่างหาก ที่เป็นของจริงครับ !”

เถ้าแก่ต้องตกใจเป็นครั้งที่ 2 ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้เขาคิดถึงสีหน้าของ
เด็กน้อย เมื่อวันก่อน ไม่น่าเชื่อว่า เด็กน้อยหน้าตาซื่อๆ จะกล้าเอาแบงค์ปลอมมา
ซื้อของได้ มันเป็นไปได้ยังไง?

เด็กน้อยมองเถ้าแก่ด้วยสายตาละอาย “ขอบคุณครับเถ้าแก่ แบงค์ปลอมใบนี้
มีลูกค้าเอามาซื้อของที่ร้านผมครับ แม่เก็บมันไว้ตั้งนานไม่ยอมใช้ เพราะกลัวว่า
คนอื่นได้ไป จะเสียใจเหมือนแม่ แต่ช่วงนี้แม่ของผมไม่สบาย เงินทองที่มีอยู่ก็ใช้ไป
เกือบหมด ไม่ได้เปิดร้านมาหลายเดือนแล้ว ผมก็เลยแอบเอามาซื้อปลา
ที่ร้านเถ้าแก่ จนแม่ผมจับได้ ขอบคุณเถ้าแก่มากครับ ที่ไม่เอาเรื่องผม”

เถ้าแก่ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เดินไปที่เก๊ะเงิน จากนั้นก็หยิบเอาแบงค์ 500
ใบที่เด็กน้อยนำมาซื้อของ เมื่อวันก่อนออกมาคืนให้กับเด็กน้อย
ความรู้สึกของเขามันบรรยายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเสียใจหรือดีใจดี

เด็กน้อยเมื่อรับแบงค์ปลอมคืนมา ก็ยกมือไหว้และก็เดินจากไป

เถ้าแก่มองตามหลังของเด็กน้อย เป็นนานสองนาน บ่ายของวันนั้น ตอนที่เก็บร้าน
เถ้าแก่ก็ได้นำเอาปลาจาระเม็ด ที่แช่ฟอร์มาลินมาอาทิตย์กว่าๆ พร้อมทั้งปลาสลิด
แดดเดียวที่ พ่นยาฆ่าแมลงกันเสียไว้อย่างแรง ในแผงทิ้งลงถุงขยะสีดำ ไม่กล้าที่จะขาย
ให้ใครอีกต่อไป

จากนั้นมาไม่นาน เถ้าแก่ก็ได้ข่าวว่า แม่ของเด็กชายคนนั้น ได้เสียชีวิตลง
ส่วนเด็กชายก็กลับไปอยู่ ต่างจังหวัดพร้อมกับตายาย
แต่คำพูดของแม่เด็กชายคนนั้น และการกระทำของเด็กชายในวันนั้น
เมื่อเขาคิดขึ้นมาเมื่อใด ก็รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า

เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ เด็กชายคนนั้น !

“หิริโอตตัปปะ” ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ความละอายใจตัวเอง
ต่อการทำความชั่วความผิด ความละอายต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลาย
ถือว่าเป็นธรรมะสำคัญ ต่อการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ของคนในสังคม

ไม่เบียดเบียนกัน...ถือเป็นสุขอย่างยิ่ง

เมื่อเจอความเลวร้าย อย่าส่งต่อไปให้คนอื่น ...ให้มันหยุดลงที่เรา

ขอคารวะแม่ผู้ยิ่งใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เธอกลับไม่เคยจนในปัญญา
คำที่เธอสอนลูกชาย ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกชายรู้สึกละอาย แต่กลับยังสะเทือน
ให้ใจของเถ้าแก่ รู้สึกละอาย มากยิ่งกว่า !!

Cr : มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวรฯ

〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️

ถึงวันที่จะตาย ถ้าได้สั่งสอนลูกหลานให้มี
"ความละอาย เกรงกลัวต่อบาป" ได้แล้ว ก็ย่อมตายตาหลับ หมดห่วง !

ดังนั้น ในวันที่ยังมีลมหายใจ จงประพฤติตัวเป็นแบบอย่าง ในเรื่อง...
"ความละอาย เกรงกลัวต่อบาป" เพราะแบบอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน

เมื่อเป็นแบบอย่างที่ดีได้แล้ว จะสอนอย่างไร ลูกหลานก็ฟัง
(อย่าสอนแต่ปาก แต่ตัวเองทำไม่ได้ เพราะมันจะไม่มีผลใดๆ เลย)

เริ่มกันเลยนะ

(@) Cr : มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
ตอบกลับโพส