หน้า 1 จากทั้งหมด 1
รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:13 pm
โดย rosa-lee
( 1 )
"บทเรียนจากคนโง่"
ในชั้นเรียนมีเด็กคนหนึ่ง ถูกเพื่อนแกล้งเอากระดาษ
ที่เขียนว่า ‘คนโง่’ แปะไว้ที่หลัง และเพื่อนคนนั้นก็ห้ามไม่ให้ใครบอกเขา
ทุกคนในห้องต่างหัวเราะเยาะกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
คุณครูเขียนโจทย์ที่ยากบนกระดาน และถามหาให้นักเรียนมาตอบ ซึ่งทุกคนก็เงียบ
เว้นแต่เด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งคนนั้น เดินไปหน้าชั้น
ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคัก และได้แก้โจทย์ปัญหาจนเสร็จ อย่างถูกต้อง
คุณครูจึงให้เพื่อนๆ ปรบมือ พลางดึงกระดาษออกจากหลังให้ และจึงบอกกับเขาว่า :
“ดูเหมือนว่าเธอไม่รู้ว่าถูกเพื่อนแกล้ง และทั้งห้องที่เหลือ ก็ไม่มีใครบอกเธอเลยสินะ.”
จากนั้นคุณครูก็พูดกับนักเรียนทั้งหมด :“ก่อนที่จะทำโทษพวกเธอ มีสองสิ่งที่ครูอยากจะฝากไว้.
“อย่างแรก..ในชีวิตของมนุษย์ มักจะมีคนคอยติดป้าย ที่เขียนถึงเราในด้านลบ ลับหลังเสมอ
เพื่อหยุดหรือชะลอความก้าวหน้า ซึ่งบางครั้งถ้าเรารู้ตัว ก็อาจจะเสียกำลังใจ
แต่ถ้าไม่ เราก็จะไม่ใส่ใจในสิ่งนั้นเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเธอควรทำคือ ไม่ว่าคนอื่นจะติดยี่ห้อ
ติดป้าย ติดฉลากให้ยังไงก็ตาม จงอย่าใส่ใจ ก้าวต่อ, เรียนรู้ และใช้ทุกโอกาสที่ได้รับ
ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพัฒนาตนเอง.
“อย่างที่สอง ดูเหมือนว่าในชั้นเรียนนี้ เธอไม่มีเพื่อนที่ซื่อสัตย์เอาเสียเลย จึงไม่มีใครกล้าบอกเธอ
ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้น จำนวนเพื่อนเท่าไหร่ จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่มันอยู่ที่ความจริงใจต่อกัน
ระหว่างเพื่อนมนุษย์ นั่นคือ สาระสำคัญมากกว่า.”
ถ้าหากในชีวิต ไม่มีเพื่อนที่จะปกป้อง ดูแล ใส่ใจ และช่วยเหลือคุณในยามลับหลัง
การอยู่ลำพังถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ในส่วนผู้ที่มักใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่น ติดยี่ห้อ รายละเอียด
เสียหาย ทั้งที่จริงและไม่จริง ใส่ลงไป และยังหาใช่หน้าที่ไม่ ขอจงหยุดพฤติกรรม
ที่ทำร้ายผู้อื่นลับหลังแบบนี้ เพราะนอกจากจะเสียเวลา เป็นบาปกรรมต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว
มันจะไม่มีวันทำให้ชีวิตคุณ สูงส่งและสงบสุขได้เลย
• ขอบคุณเจ้าของบทความ
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:16 pm
โดย rosa-lee
( 2 )
10 สิ่งที่คุณต้อง (โคตร) 'ขอบคุณ' !
.
1. เวลาใครบางคน 'ไม่สนใจคุณ'เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้ 'อยู่ได้' โดยไม่มีเขา !
.
2. เวลาใครบางคน 'เบื่อคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้คุณ 'ให้เวลา' ตัวเองมากกว่าที่ 'ให้เวลา' เขา !
.
3. เวลาใครบางคน 'มองคุณในแง่ลบ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่ามนุษย์ไม่ได้มองกันที่ 'ตัวตน' จริงๆ
แต่ 'ตัดสิน' มั่วๆ แค่มองกันผิวเผิน !
.
4. เวลาใครบางคน 'ทำให้คุณผิดหวัง'เขากำลัง 'สอน' คุณว่าอย่า 'คาดหวัง' อะไรจากใครทั้งนั้น !
.
5. เวลาใครบางคน 'ทำร้ายคุณลับหลัง เขากำลัง 'สอน' คุณว่าอย่า 'ไว้ใจ' ใครไม่เลือกหน้า
ต้องใช้เวลา 'ดู' ให้นานพอ !
.
6. เวลาใครบางคน 'ลืมบุญคุณคุณ' เขากำลัง 'สอน' คุณ ว่าอย่า 'ให้' มากเกินไปกับคนที่ 'ไม่คู่ควร' !
.
7. เวลาใครบางคน 'วิจารณ์คุณเละเทะ'เขากำลัง 'สอน' คุณว่าคน 'ไม่มีดี ไม่มีค่า ไม่มีผลงาน'
จะ 'ทำลาย' คนอื่นได้มากแค่ไหน !
.
8. เวลาใครบางคน 'หาเรื่องคุณ'เขากำลัง 'สอน' คุณให้ 'ใจเย็น' กับคนจิตใจต่ำและ 'ให้อภัย' คนนิสัยต่ำ !
.
9. เวลาใครบางคน 'เปลี่ยนไป'เขากำลัง 'สอน' คุณให้เริ่มทำตัว 'มีค่า'โดยไม่ต้อง 'แคร์' เขาเลย !
.
10. เวลาใครบางคน 'ไม่รักคุณ'เขากำลัง 'สอน' คุณ ให้รู้จัก 'รักตัวเอง' !
ที่มา : Facebook
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:19 pm
โดย rosa-lee
( 3 )
คุณโชคดีแค่ไหน....? โชคดีอย่างไร... ?
คุณโชคดี...ที่มีบ้านอยู่
คุณโชคดี...ที่มีเงินใช้
คุณโชคดี...ที่คุณมีลมหายใจ
คุณโชคดี...ที่คุณสามารถพูดได้
คุณโชคดี...ที่คุณเดินได้ปรกติ
คุณโชคดี...ที่คุณมองเห็นได้ปรกติ
คุณโชคดี...ที่คุณมีคอมพิวเตอร์ใช้
คุณโชคดี...ที่มีมืออยู่ทั้งสองข้าง.
คุณโชคดี...ที่มีข้าวกินทุกวัน วันละสามมื้อ หรือจะมากน้อยกว่านั้นก็ตาม
คุณโชคดี...ที่มีเพื่อน...ถึงแม้บางคนจะไม่แยแสคุณเลยก็ตาม ก็ยังเป็นเพื่อน"ร่วมโลก"ของคุณ
คุณโชคดี...ที่คุณยังหัวเราะได้...แม้จะหัวเราะทั้งน้ำตาในบางที
คุณโชคดี...ที่โลกใบนี้ยังคงมีที่ให้คุณยืน
คุณโชคดี...ที่มีเตียงนอนให้นอนอย่างอุ่นใจในยามค่ำคืน
คุณโชคดี...ที่มีผ้าห่มและอ้อมกอดอันอบอุ่นของใครบางคนคอยห่มกายและใจให้คุณในยามหนาวเหน็บ
คุณโชคดี...ที่ยังมีคนให้คุณรัก..และรักคุณ
คุณโชคดี...ที่ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ...ในวันที่บ้านเมืองมีแต่ความตึงเครียด
คุณโชคดี...ที่คุณมีพ่อหลวงที่ดีที่สุดในโลก..
คุณโชคดี...ที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินแห่งรอยยิ้ม...
คุณโชคดี...ที่คุณ...ได้เข้ามาอ่านบทความนี้
และคุณจะโชคดีมากขึ้นไปอีกหลายร้อยล้านเท่า.. หากคุณ...เข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการจะบอกคุณ...
#ขอให้"โชคดี" นะครับ..ทุกท่าน
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:20 pm
โดย rosa-lee
( 4 )
"๑๘ ข้อดีของความทุกข์"
ความทุกข์แม้จะเป็นข้อเสีย แต่ก็มีข้อดีมิใช่น้อย?
๑. ทำให้เรา?เข้มแข็งขึ้น
๒. ทำให้เรา?รู้ถึงค่าของความสุข
๓. ทำให้เรา?มีความสามารถมากขึ้น
๔. ทำให้เรา?มีสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้หายทุกข์
๕. ทำให้เรา?มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
๖. ทำให้เรา?มีความอดทนมากขึ้น
๗. ทำให้เรา?มองโลกกว้างมากขึ้น
๘. ทำให้เรา?เห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
๙. ทำให้เรา?ได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
๑๐. ทำให้เรา?ได้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
๑๑. ทำให้เรา?ได้รู้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
๑๒. ทำให้เรา?ได้รู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
๑๓. ทำให้เรา?ได้รู้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
๑๔. ทำให้เรา?ได้รู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
๑๕. ทำให้เรา?พยายามที่จะมองโลกในแง่ที่ดีมากขึ้น
๑๖. ทำให้เรา?ค้นหาข้อดีของความทุกข์
๑๗. ทำให้เรา?รู้ว่าความสุขจะมีค่ามากเพียงใด
๑๘. ทำให้เรา?มีความระมัดระวังมากขึ้น
Cr:forward LINE
#ขอบคุณผู้เขียนครับ
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:22 pm
โดย rosa-lee
( 5 )
10:30 Saints เรื่องน่ารู้และควรทำหากวันนี้มีคนมาปรึกษาว่า ถ้าตายกระทันหัน เงินที่เราเก็บ
เราลงทุนไว้ ธนาคารจะแจ้งครอบครัวไหม?
เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะธนาคารไม่แจ้งครับ เพราะธนาคารไม่รู้ ยกเว้นว่าเราเป็นหนี้ ธนาคาร
จะไปตามหนี้กับครอบครัว
ถ้าคนข้างหลังเราไม่รู้ว่าเรามีทรัพย์สินพวกนี้ที่ไหน เงินพวกนี้มันก็ล่องลอยอยู่ในอากาศหรือ
อยู่กับธนาคารไปตลอดกาล
ฉะนั้นแนะนำใครที่มีเงินเก็บ เงินลงทุนไว้หลายที่ ทำรายการบัญชีทรัพย์สินที่ตัวเองมีเลยวันนี้
และบอกคนในครอบครัวด้วยว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาให้ไปหยิบดูตรงไหน คนข้างหลัง
จะได้เอาลายแทงขุมทรัพย์ไปตามทรัพย์สินกลับมาได้ถูกต้องครบถ้วน
มันมีหลายคนที่ตายกระทันหัน แล้วคนข้างหลังไม่รู้เลยว่ามีทรัพย์สินที่ไหนบ้าง คนข้างหลังก็อด
ได้มรดกพวกนี้ไป
ไม่ว่าจะเงินในธนาคาร เงินที่ซ้อนไว้ บัญชีลงทุน กระเป๋าดิจิตอล ที่ดิน อสังหา ของมีค่าต่างๆ หรือ
แม้แต่ประกันชีวิต ใครมีอะไรลิสต์ลงรายการบัญชีทรัพย์สินให้หมด และคอยอัพเดทมันอยู่เสมอ
เพราะยังไงวันนึงเราก็ต้องตาย แต่คนข้างหลังต้องไม่ลำบาก ทรัพย์สมบัติควรเป็นของครอบครัว
มิใช่ของหลวงหรือคนอื่น
10:30 Saints มีคนส่งมาให้อ่าน
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:33 pm
โดย rosa-lee
( 6 )
ครั้งหนึ่งนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก พอล แอร์ดิช (Paul Erdős) ได้ยินว่าลูกศิษย์
คนหนึ่งไม่สามารถเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดได้ เพราะขาดเงิน เขาจึงมอบเงินให้ลูกศิษย์เรียนต่อจนจบ
หลายปีต่อมาลูกศิษย์คนนั้นกลับมาหาอาจารย์และคืนเงินที่อาจารย์ให้ยืม อาจารย์ตอบว่า“คุณเอา
เงินนี้ไปให้นักศึกษาคนอื่นที่ต้องการใช้เงิน ให้เขาใช้เรียนต่อ”
เคยไหมที่เรายื่นหนังสือที่อ่านแล้วให้คนแปลกหน้า เขาบอกว่า “แล้วผมจะคืนคุณยังไง?”
“ก็ส่งต่อให้คนอื่นอ่านก็แล้วกัน”
เคยไหมที่เมื่อการจราจรติดขัด รถคันหนึ่งยอมเปิดทางรถให้เรา เรารู้สึกดีจนเมื่อมีรถคันอื่น
ขอทางบ้าง เราก็เปิดทางให้รถอีกคันหนึ่ง
เหล่านี้ดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ เหมือนหยดน้ำใสหยดเล็กที่ไม่มีพลังอำนาจใด แต่เมื่อรวมกัน ด้วยจำนวน
คนที่ส่งต่อหยดน้ำใสมากพอและนานพอ หยดน้ำใสก็สามารถเปลี่ยนบ่อน้ำครำทั้งบ่อเป็นน้ำใสได้
สังคมเราโอบรับความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที มากจนสำลัก คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะทำดีเพื่อคนอื่นหาก
ไม่ได้รับสิ่งตอบแทน และมองว่าการให้คนอื่นเป็น ‘ความโง่’
นี่คือแนวคิดที่เรียกว่า pay it forward
pay it forward เป็นสำนวน หมายถึงการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับจากใครคนหนึ่งให้คนอื่นแทน
นี่มิใช่แนวคิดใหม่ เชื่อว่ามันเริ่มมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และมีนักคิดนักเขียนไม่น้อยเขียนแนว
คิดนี้ มันเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้ดีขึ้น
นักเขียนผู้เริ่มใช้วลี Pay It Forward คนแรกคือ Lily Hardy Hammond ในหนังสือเรื่อง
In the Garden of Delight ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1916 ท่อนหนึ่งในหนังสือเขียนว่า
“You don’t pay love back; you pay it forward.”
คุณไม่รักตอบ คุณรักต่อ
pay it forward ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน อุดมคติโง่ ๆ ไม่มีประโยชน์ แต่หากทุกคนตอบแทน
ความดีที่ได้รับต่อให้คนอื่น โลกจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เราไม่ควรปล่อยการทำดีเป็นหน้าที่ของมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคน
มันเป็นงานที่ยาก แต่มันเป็นไปได้
เพราะในโลกที่คนไม่แยแสสังคมส่วนรวม การเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นไม่อาจกระทำได้ง่าย ๆ
ความดีเป็นสิ่งแปลกอย่างหนึ่ง ยิ่งให้ยิ่งงอกเงย ยิ่งส่งต่อยิ่งสวยงาม
บุญคุณได้รับแล้วสมควรตอบแทน แต่การตอบแทนสามารถไปได้กว้างกว่าคืนเจ้าของเดิม
และนี่คือความรักโดยไม่มีข้อแม้ที่แท้จริง
ไม่ต้องตอบแทนความรัก ส่งมันต่อออกไป
.……………….
จากหนังสือ 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้
วินทร์ เลียววาริณ
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:38 pm
โดย rosa-lee
( 7 )
(quote)ชีวิตที่เชื่อมโยงกระทบถึงกัน(quote)
หนูตัวหนึ่ง แอบมอง ลอดรอยแตกของกำแพง เพื่อดูว่า ... ชาวนา กับ ภรรยา แกะห่ออะไร
"จะเป็นอาหารอะไรหนอเจ้าหนูสงสัย!!" มันแทบล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่า สิ่งนั้นคือ ... กับดักหนู ...
มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน
" มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ! "
" มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ! "
แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และ คุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้ว พูดว่า ... " นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ
แต่มันไม่มี ผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ามากวนใจกันเลย "..
เจ้าหนูรีบวิ่งไปหาหมูแล้วบอกมันว่า ...
" มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ! "
หมูเห็นอกเห็นใจแต่ ก็พูดว่า .
.."ฉันขออภัยนะเจ้าหนู แต่ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะสวดมนต์ให้เธอ"
เจ้าหนูรีบวิ่งไปหาวัว และพูดว่า ... "มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน ! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน !"
วัวตอบว่า ... "โธ่ ! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ "
ดังนั้น ... เจ้าหนูจึงวิ่งกลับบ้าน นอนลงอย่างเศร้าใจเหลือเกินที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนู
เพียงลำพัง
กลางดึกคืนนั้น เสียงหนึ่งดังกึกก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันได้แล้ว
ภรรยาของชาวนา รีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับ ?
ในความมืดนั้น เธอมองไม่เห็นว่ามีงูพิษ ถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้
งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอ ไปส่งโรงพยาบาล ตอนกลับบ้านพิษไข้ยังสูงอยู่
ใครๆก็รู้ว่า เราต้องพยาบาลคนป่วย ด้วย ... ซุปไก่ ดังนั้น ชาวนาจึงหยิบขวาน เดินไปที่ทุ่ง
เพื่อหาวัตถุดิบ ของซุป ทานซุปไก่แล้ว แต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้น
เพื่อนฝูง และ เพื่อนบ้าน ต่างมาเยี่ยมดูใจ เมื่อแขกเหรื่อมาบ้าน จึงต้องหาอาหารมาเลี้ยงพวกเขา
ชาวนา จึงฆ่า ... หมูซะ
ภรรยาก็ยังไม่หายป่วย และ ในที่สุดได้ ... ตายลง ผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอ
ชาวนาจึงต้อง ฆ่าวัว เพื่อเอาเนื้อมาเลี้ยงแขก
เจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพง ด้วยความเสียใจสุดแสน
……………
คราวหน้าหากคุณรู้ว่า ... ใครสักคนกำลังเผชิญกับปัญหา และคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย
เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม เราทุกคนล้วนตกอยู่ในอันตราย เพราะทุกคนล้วนเกี่ยวพัน
กันอยู่ ในหนทางการเดินทาง ที่เรียกว่า "ชีวิต"
เราควรต้องคอยดูแลกันและกัน และพยายามให้กำลังใจอีกคนเข้าไว้ เราแต่ละคน ก็คือด้าย
เส้นสำคัญ บนผืนพรมของผู้อื่น
นั่นเป็นเหตุผล ที่ชีวิตของเราถูกถักทอเข้าไว้ด้วยกัน
ที่มา : FB
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 18, 2024 11:39 pm
โดย rosa-lee
( 8 )
#สุขสันต์วันพุธ #วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ
#บางมุมของชีวิต
#เจ็บ - รอสักหน่อยก็หาย
เหนื่อย - พักสักนิดก็มีแรง
โกรธ - เดินหนีไปสักหน่อยก็คลาย
ล้า - นอนสักตื่นก็ดีขึ้น
หนัก - วางลงได้ก็เบา
#คิดมาก - ออกแรงเยอะๆ ให้เหงื่อออก
เหงา - เคาะหาใครสักคน
เมา - ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปเยอะๆ
เมาชีวิต - เติมช่วงเงียบๆ เข้าไปบ้าง
เมื่อร้อนถึงระดับหนึ่ง - อีกไม่นาน
ฝนจะตก
เมื่อฝนตกหนักนานแล้ว - อีกไม่นาน
จะหยุด
#รักใคร - ดูแล
แคร์ใคร - ระวังคำพูด
ความสุข - ลดลงได้ด้วยเรื่องแย่
แค่เรื่องเดียว
ความทุกข์ - ลดลงได้ด้วยเรื่องดี
หนึ่งเรื่อง
จดจำ - เรื่องดี
ลบเลือน - เรื่องร้าย
#ขอโทษ - เมื่อรู้ตัวว่าผิด
เชิด - จะไม่ได้รับอะไรเพิ่ม
ถ่อม - จะได้รับสิ่งใหม่
วุ่น - เติมความว่าง
ว่าง - เติมความวุ่น
คนเยอะ - บางทีก็คึกคัก
คนเยอะ - บางทีก็วุ่นวาย
คนน้อย - บางทีก็เหงา
คนน้อย - บางคราวก็ใกล้ชิด
#ห่างเหิน - เขยิบเข้าหา
อึดอัด - ถอยออกมา
ไม่ชอบ - แก้ไข
แก้ไม่ได้ - ยอมรับ
ยอมรับไม่ได้ - ออกมา
#แก่ - บางทีก็เก๋า
แก่ - บางคราวก็เชย
หนุ่มสาว - บางทีก็ทันโลก
หนุ่มสาว - บางคราวไม่ทันคน
สมบูรณ์ - ไม่มี
สมดุล - ต้องขยับหา
สมหวัง - ได้ดีใจ
ผิดหวัง - ได้บทเรียน
#เกิด - เป็นข่าวดี
เกิด - บางทีเป็นข่าวร้าย
ตาย - บางทีเป็นข่าวร้าย
ตาย - บางทีเป็นข่าวดี
ความแน่นอน - ไม่มี
ความไม่แน่นอน - ทุกวินาที
ความคาดหวัง - สีขาว
ชีวิตจริง - สีเทา
#เริ่ม - ตื่นเต้น
กลาง - หลากอารมณ์
จบ - ก็คือจบ
จำ - แล้วแต่ใครจำ
คนหนึ่งคน - ดีสำหรับบางคน
คนหนึ่งคน - ไม่ดีสำหรับบางคน
ทุกคนจะถูกลืม - ผู้อาวุโสกล่าว
ชีวิต - บางทีก็มีค่า
ชีวิต - บางคราก็แค่นี้
#เครดิต : "นิ้วกลมบันทึก"
#ขอบคุณ : เจ้าของบทความและภาพประกอบ
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 20, 2024 8:59 pm
โดย rosa-lee
( 9 )
"เมื่อเขาเรียกฉันว่า...แม่"
.....................................
ฉันแต่งงานตอนอายุ 22 ปี และมีลูกสาวติดต่อกัน 3 คน ทั้งๆที่สามีอยากได้ลูกชายมาก
จากที่ฉันไม่สามารถมีลูกชาย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อแม่สามีไม่ค่อยสู้จะดีนัก ความสำคัญ
ของตัวฉันในครอบครัวสามีก็มีแค่น้อยนิด สามีก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฉันมากนัก ในขณะที่ฉันทำกับ
ข้าวสามีจะกินก่อนแทบทุกครั้ง พอฉันทำกับข้าวเสร็จ สามีก็กินเสร็จพร้อมกับไม่เหลือกับข้าวให้ฉันสักเท่าไหร่
จำได้ว่าประมาณ 20 ปีก่อน ช่วงหน้าหนาวของเย็นวันหนึ่งใกล้เทศกาลตรุษจีน ในขณะที่หิมะตกหนักมีเด็ก
ผู้ชายขอทานอายุประมาณ 6 - 7 ปี ยืนหนาวสั่นอยู่หน้าบ้าน สวมใส่เสื้อผ้าทั้งบางเก่าขาดและสกปรก ที่ขา
ใส่รองเท้ากีฬาขาดๆ ที่มือและเท้าถูกหิมะกัดจนเป็นแผลซีดๆ
ตอนนั้นฉันกำลังล้างถ้วยชามเก็บเข้าที่อยู่ เด็กขอทานร้องครางเสียงสั่นขอให้ช่วยชีวิต ฉันเห็นเป็น
เด็กขอทาน ก็ไม่สนใจและจะปิดประตูบ้านแล้ว
เด็กขอทานพูดด้วยเสียงสั่นและอ่อนล้าว่า “หากไม่ให้ผมกินข้าวตอนนี้ผมคงจะหิวตายแน่”
ฉันได้เพ่งพิจารณาดูอีกที เห็นแล้วก็ให้นึกสงสารระคนเวทนาจนทำใจไม่ได้ เพราะยังไงก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
วันนั้นบังเอิญพ่อแม่สามีไม่อยู่ ลูกสาวก็เข้าไปเรียนอยู่ในเมืองทั้ง 3 คนจะกลับบ้านเฉพาะวันหยุดและสามี
ก็ออกไปเล่นไพ่ ฉันตัดสินใจนำเด็กชายขอทานคนนั้นเข้ามาในบ้าน หลบหลีกลมหนาวและหิมะที่หนาวเหน็บ
ฉันตักข้าวสวยก้นหม้อที่ยังเหลืออยู่สัก1ชามได้ กับข้าวก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วนอกจากขิงดองเล็กน้อยกับ
มีน้ำผักที่กำลังจะเททิ้ง ฉันเทคลุกรวมกันให้เด็กขอทานกินทั้งหมด
เด็กขอทานรับข้าวที่ราดน้ำผักด้วยมือสั่นเทา นั่งลงตรงมุมห้องตักกินอย่างหิวโหย อึดใจเดียวก็เหลือ
แต่ชามเปล่าๆ
เด็กน้อยคุกเข่าต่อหน้าฉันและเรียกฉันคำหนึ่งว่า “แม่…แม่ขอให้ผมอยู่กับแม่ด้วยนะครับ”
เวลานั้นสถานภาพในบ้าน ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้เลย หากรับเด็กคนนี้ไว้พ่อแม่สามีคงเอาเรื่องฉันแน่
อีกอย่างฉันเองก็มีลูกสาวที่เป็นภาระส่งเสียเลี้ยงดูอีกตั้ง3คน เป็นภาระที่หนักอยู่แล้ว จึงปฏิเสธไป
แต่นี่ก็กำลังจะตรุษจีนแล้ว จะไล่ให้ไปไหนละ? ฉันตัดสินใจให้เด็กไปพักอยู่ที่ห้องเก็บฟืน ช่วงหลายวันนี้
ฉันแอบแบ่งอาหารและเสื้อนวมเก่าๆให้เด็กขอทานใส่
ถึงวันตรุษจีน สามีเกิดรู้เรื่องเข้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จับเด็กขอทานมาทุบตีขนานใหญ่
ฉันตกใจมากรีบเข้าไปห้ามปราม สามีโกรธมากเลยพาลทุบตีฉันอีกคน ด่าว่าฉันพาเด็กขี้ขโมยเข้าบ้าน
แถมยังด่าว่าสงสัยเด็กคนนี้จะเป็นลูกชู้ของฉันที่เกิดก่อนที่ฉันจะแต่งเข้าบ้านนี้ พ่อแม่สามี แทนที่จะ
ช่วยห้ามกลับยุยงให้สามีตีฉันเพิ่มอีกหลายที
หลังจากเด็กขอทานถูกสามีฉันไล่ไปแล้ว ฉันมานึกเสียใจว่าความใจดีของฉันกลับทำให้เด็กคนนี้
ต้องออกไปหิวตายหรือหนาวตายอีกครั้ง ฉันโทษตัวเองที่ไม่เอาไหนและอ่อนแอ แม้แต่เรี่ยวแรงปกป้อง
เด็กคนหนึ่งยังทำไม่ได้
ยี่สิบปีให้หลังลูกสาวทั้ง 3 คนแต่งงานหมดแล้ว คนโตแต่งกับผู้ชายต่างหมู่บ้านอาชีพทำฟาร์มปศุสัตว์
ความเป็นอยู่นับว่าพอใช้ได้ คนที่ 2 แต่งให้กับลูกเศรษฐีในเมืองใหญ่ มีฐานะดีสมบูรณ์แบบ
และลูกสาวคนเล็กแต่งไปอยู่ไกลถึงฮ่องกง
ในช่วง 20 ปีมานี้ พ่อสามีเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว 2 ปีก่อนสามีก็มาเสียชีวิตไปอีกคน ปีที่แล้วแม่สามี
ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
ส่วนฉันก็ตรวจพบว่าเป็นโรค 3 สูง คือ ความดันสูง น้ำตาลสูงยูริกสูง แถมยังมีโรคหัวใจอีกด้วย
เวลากระทบอากาศหนาวมากๆมักจะหายใจไม่ค่อยออก แม้ฉันจะไม่ค่อยแข็งแรงแต่ก็ยังมีภาระต้อง
ดูแลแม่สามีที่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย มาคิดๆดูอีกทีก็แปลกแม่สามีทำไม่ดีกับฉันมาตลอด แต่เวลานี้
ที่นางล้มหมอนนอนเสื่อ ฉันกลับต้องเป็นคนดูแลช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ช่วงที่แม่สามีป่วยหนักฉัน
ส่งข่าวเรียกให้ลูกๆทั้ง 3 คน หมั่นกลับมาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาจนแม่
สามีเสียชีวิต ในงานศพคงมีแต่ลูกสาวคนโตที่อยู่ใกล้ที่สุดมาคนเดียว คนที่ 2 และ คนเล็กต่างบอก
ว่างานยุ่งมาไม่ได้
ฉันได้แต่บอกว่า “อนิจจา...นี่คุณย่าของลูกแท้ๆนะ มโนธรรมไม่มีกันเลยหรือ ”
หลังจากแม่สามีเสียชีวิตแล้ว ฉันต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว กับอายุที่มากขึ้นพร้อมกับโรคภัย
ที่รุมเร้า หากได้ไปอยู่กับลูกๆ อย่างน้อยก็มีคนดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง
ฉันจึงคิดว่าจะลองไปอาศัยอยู่กับลูกๆดูสักคนละหลายเดือน ผลัดเปลี่ยนกันไปเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับ
คนใดคนหนึ่งมากเกินไป ฉันทดลองไปอยู่กับลูกสาวคนโต 1 เดือน ผลที่ออกมาพ่อแม่สามีของ
ลูกสาวคนโตมีอาการไม่ค่อยพอใจนัก
ฉันไปขออยู่กับลูกสาวคนที่ 2 ซึ่งมีฐานะขั้นเศรษฐี และ 1 เดือนผ่านไปฉันมีสถานะไม่แตกต่างจาก
แม่บ้านคนหนึ่ง แม้แต่น้ำร้อนแช่เท้าของลูกเขยเอง ลูกสาวยังใช้ให้ฉันเป็นคนไปจัดการมาให้
นับว่าลูกสาวคนนี้เปลี่ยนเป็นคุณนายแล้วจริงๆ
ฉันทำหนังสือเดินทางเสร็จ เตรียมจะไปอยู่กับลูกสาวคนเล็กที่ฮ่องกง พอแจ้งว่าจะไปวันที่นั้นๆ
ลูกสาวคนเล็กกลับตอบมาว่า “โอ้...แม่ หนูไม่สะดวกนะ หนูกับสามีจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยว
พักผ่อนที่เวียตนามคงกลับมาไม่ทัน แม่อย่าเพิ่งมานะ”
ฉันทราบดีว่า...นี่เป็นการปฏิเสธที่ง่ายที่สุด
ฉันเสียใจ...หมดกำลังใจ นี่คงเป็นเวรกรรมของฉันที่มีลูกสาวถึง 3 คน แต่ไม่เคยมีใครส่งเสียเงินทอง
ให้ฉันได้ใช้ดำรงชีวิตยามแก่เช่นวันนี้เลย
ทุกวันนี้...ฉันต้องปลูกผักขายเพื่อยังชีพไปวันๆ ต่อให้ประหยัดแค่ไหนก็ยังต้องมีค่าหมอในยามเจ็บป่วย
คิดๆอีกที ฉันนี้ก็น่าจะตายให้พ้นเวรพ้นกรรมไปจะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่นอีก
ในชั่วชีวิตฉัน...มีแต่จะหาสิ่งที่ดีๆให้กับสามีและลูกๆ แต่สุดท้ายแล้ววันนี้ "ฉันพึ่งใครไม่ได้เลยสักคน…."
ความน้อยเนื้อต่ำใจบวกกับอายุที่มากขึ้นร่างกายที่เสื่อมถอยลง กลางปีที่ผ่านมาฉันล้มป่วยลงด้วย
ไข้หวัดใหญ่ ทำให้ฉันต้องล้มหมอนนอนเสื่อหลายวันไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร
ในขณะที่ฉันมีแต่ความสิ้นหวัง....ก็ปรากฎมีชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างสูงเพรียวหน้าตาดีผิวขาวบ่งบอกถึง
ความมีฐานะและความรู้ ได้ยืนจ้องมองเข้ามาทางหน้าต่าง จนฉันต้องฝืนใจเอ่ยถามไปว่า “มาหาใครหรือ?”
ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า " ผมชื่อ “ก๋วยก้วย”
"ฉันตกใจ...จำได้ว่า 20 กว่าปีก่อน เคยมีเด็กขอทานมาขอข้าวกินตอนตรุษจีนและบอกว่าชื่อ “ก๋วยก้วย”
ฉันนึกไม่ถึงว่าเด็กขอทานอายุ 6 - 7ขวบ คนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักอากาศที่หนาวเหน็บ
ขนาดนั้นถ้าไม่หนาวตายก็น่าจะหิวตายไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเติบโตจนทั้งสูงใหญ่และหล่อเหลาถึงเพียงนี้
วันนั้น...“ก๋วยก้วย” ส่งฉันไปที่โรงพยาบาลในเมืองหมอรักษาจนฉันหายป่วย และฉันบอกกับเขาว่าจะ
กลับไปที่หมู่บ้าน แต่...“ก๋วยก้วย” ได้จ้างรถแทรคเตอร์คันหนึ่งไปไถบ้านของฉันจนพังราบไปหมด
แล้วคุกเข่าต่อหน้าฉันพร้อมกับพูดว่า “ แม่...ไปอยู่กับผมเถิด ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่งั้น
”แม่” ก็ไม่ยอมไปกับผม ”
“ วันนั้น...วันที่แม่ให้ข้าวผมกิน แม้ว่า “แม่” จะเป็นแม่ผมแค่วันเดียว แต่ผมก็จะขอให้”แม่” เป็น”แม่”
ผมตลอดชีวิตครับ แม่อยู่กับผม ผมจะไม่ให้แม่ต้องโดดเดี่ยวอีก”
ฉันกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ตอนที่...“ก๋วยก้วย” ถูกสามีฉันทุบตีพร้อมๆกับฉันแล้วไล่ออกจากบ้านไป ระหว่างที่เร่ร่อนขอทานไปนั้น
ถูกนักข่าวคนหนึ่งช่วยไว้ และได้ช่วยสืบจนตามหาพ่อแม่ที่พลัดหลงระหว่างทางจนพบ
หลังจากต้องเร่ร่อนขอทานอยู่นานหลายเดือน
ครอบครัว“ก๋วยก้วย” คุณพ่อเปิดบริษัทกิจการค่อนข้างดีมีฐานะมั่นคง “ก๋วยก้วย”เรียนจบมหาวิทยาลัย
ก็มารับช่วงช่วยกิจการของครอบครัวจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เด็กน้อยอายุไม่ถึง 10 ขวบ จำฝังใจคือ" ฉันเป็นแม่ผู้ให้ชีวิตด้วยข้าวราดน้ำผัก 1 ชาม"
"ใช่.....บุญคุณ ของข้าวแค่1 ชาม"
น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม ชั่วชีวิตของฉัน.....” ฉัน”ยังไม่เคยได้ยินคำพูดไหนที่ลึกซึ้งกินใจเท่ากับคำพูด
ของ”ก๋วยก้วย”
คำนี้ "แม่ ไป.....เรากลับบ้านด้วยกัน”
Cr : Zeng too .com
แปลและเรียบเรียง : โดยเจงเอี่ยม แซ่อึ้ง
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 20, 2024 9:08 pm
โดย rosa-lee
( 10 )
แม่พิมพ์ชำรุด ? หรือใส่เสื้อติดกระดุมผิด ? หรือศึกษาพาณิชย์ ? คือต้นเหตุของการฝังรากลึก
ของการคอรัปชั่นในทุกหย่อมหญ้า
1.ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกครับ ที่คนจบมหาวิทยาลัยตกงานมากกว่าคนไม่จบมหาวิทยาลัย
แต่สถิตินี้สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันได้ดีครับ
2.ขอวกเข้าเรื่องสาเหตุข้อสังเกตุมั้ยครับ อยู่ๆเมืองไทยก็มี “โรงเรียนอินเตอร์” เกิดขึ้นมากมาย
แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเด็กต่างชาติแต่อีกส่วนมาก ที่เอามารวมๆกันเป็นจำนวนหลายพันคน
ในวันนี้คือ “เด็กเยาวชนไทย” ครับ
3.คำถามคือคนรวยในไทยที่สามารถจ่ายค่าเทอมลูกอย่างต่ำปีละ 600,000-1,000,000 บาท
มันมีมากขนาดนั้นจริงๆเหรอ?คำตอบคือ “ไม่ครับ”ประเทศเราไม่มีคนรวยมากมายขนาดนั้น
4.แล้วปัญหาคืออะไร?ปัญหาคือ เรากำลังเกิดวิกฤติหนีตายทางการศึกษาติดกระดุมผิดครับ
5.ในอดีต คุณภาพโรงเรียนในไทยไม่ต่างจากเมืองนอกเท่านี้เอาง่ายๆ ไม่ต้องสาธิต มาแตร์
เซ็นโยเชฟ สตรีวิทยา หรือพวกเซ็นต่างๆก็ได้ เอาลงมาอีกหน่อย เช่นโรงเรียนวัดดังๆ ผมว่า
คุณภาพก็ยังสู้ประเทศอื่นๆในอาเซียน หรือบางประเทศในเอเชียสบาย
6.แต่วันนี้ไม่ใช่ Ranking โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาตกหนักมากโรงเรียนจำนวนมากมี
มาตรฐานต่ำกว่าสปป.ลาวแล้ว ชนะแค่เมียนม่าร์ และกัมพูชา เห็นข้อสอบที่สอบแทบอ้วก
ยิ่งสอนเด็กยิ่งโง่น่าสงสารเด็กและครูมาก
7.พ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูกๆเข้าสาธิต มาแตร์ สตรีวิทยา เซ็นต์ต่างๆไม่ได้ จึงต้องหนีตายเข้า
อินเตอร์อีกพวก ขี้เกียจลุ้นโรงเรียนไทยดีๆ ก็เอาเข้าอินเตอร์ไปเลยขายบ้านขายที่ดินส่งลูก
8.ซึ่งวนกลับมาคำถามที่ว่า คนรวยในไทยเยอะขนาดนี้จริงหรือ?
คำตอบคือเปล่าครับเพราะเกิน 60% นั้น ใช้การ “ขายทรัพย์สิน” เพื่อให้ลูกเรียนครับ
9.อย่างคนรู้จักผมหลายคน ทำงานรัฐวิสาหกิจดีๆ เงินเดือน 80,000-160,000 บาทรวม
สามี-ภรรยา หักค่าใช้จ่ายรายเดือน ให้ตายก็ส่งลูก 2-3 คนเรียนอินเตอร์ไม่ไหวผมพูดถึง
700,000 X 2 คน X 12 ปี = 16.8 ล้าน กลมๆก็ 17 ล้านหละครับหมด 17 ล้าน ยังไม่ได้เข้า
มหาวิทยาลัย เลยแล้วเอาเงินที่ไหน?คำตอบคือขายที่ดินของปู่ย่าตายายครับ
10.เพื่อสร้าง “ทุน” เพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดี เพื่อไม่ให้ตกงาน เช่นหมอ สถาปัตย์ วิศวะ ไบโอเคมี
จีโนม เอไอในจุฬาฯ, มหิดล, มอ.หาดใหญ่, มข., มช., บางมด, ลาดกระบังนะ ที่มีโอกาสได้งานสูง
11.ดีขึ้นไปอีก คือส่งเรียนมหาวิทยาลัยดีเมืองนอกเน้นนะครับ ส่งไปมหาวิทยาลัยดีเมืองนอก
ไม่ใช่แค่ส่งไปเมืองนอก แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยอะไรก็ไม่รู้เป็นห้องแถวขายปริญญา
12.ถ้าสำเร็จตามนี้หมด 17 ล้านแรก ก็จะได้ลูก 2 คน ที่เข้าจุฬาฯ หรือ มช. ได้ “แน่ๆ” หรือไปถึง
มหาวิทยาลัยดีๆในอังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกาได้เพื่อจบแล้ว “ไม่ตกงาน”ส่วนค่าเทอม
มหาวิทยาลัย ก็ว่ากันอีกรอบ ขายที่ดินกันอีกผืนหรือหลายผืน
13.นี่แหละครับความเป็นจริงของปัญหาการ “ขายที่เพื่อหาทางหนีตายให้ลูก” จากระบบการศึกษา
ที่ล้มเหลว"ศึกษาพาณิชย์"เพื่อการถอนทุนคอรัปชั่นจึงฝังรากลึกด้วยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
"มือใครยาวสาวได้สาวเอา"
14.นักการเมืองถึงกับพลั้งปากว่าเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง "รักชาติจนน้ำลายไหล"
15.เพื่อไม่ให้ลูกตัวเองตกอยู่ใน 60% ของการจบมหาวิทยาลัยแล้วตกงานเพราะตัวเลขนี้เกิดจาก
16. เรียนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาที่ห่วย วิชาการเรียนห่วย เอาแต่ท่องจำ ไม่สอน
critical thinking ไม่สร้าง growth mindset ยังเรียนแบบเดิมไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอยู่เลย
17.แล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ห่วยต่อเรียนเพื่อให้ได้วุฒิปริญญาตรี ทำการเรีนวิชาที่ล้าสมัย
ไม่ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน "ไม่มีหลักสูตรรองรับอนาคต" ที่เป็นยุทธศาสตร์ของพื้นที่
และชุมชน เช่นยุทธศาสตร์ 5เชียงกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ 4 เหลี่ยมเศรษฐกิจ
(ไทย เมียนม่าร์ จีน สปป.ลาว)เอาแต่ ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เน้นแต่แต่งตัวสวย พิธีการเยอะ
ชอบงานสบายขายของเก่า
18.ข้อสอบเน้นปรนัยเลือกคำตอบครูตรวจง่ายเรียนมาทั้งปีมาวัดผลการเรียนกันไม่กี่วันไม่กี่ชั่วโมง
ถ้าเป็นแบบอัตนัยครูตรวจยากให้คะแนนยาก ต้องคิด เขียน ตอบต่างกันแต่ตรงเป้าหมาย
ต่างวิธีคิด มีวิธีทำแต่เป้าหมายเดียวกัน
19.ครูเองก็ต้องทำผลงานเพื่อปรับวุฒิให้ตัวเองเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางวิชนการ งานสูงขึ้นเงินเดือน
มากขึ้นไม่สนใจพัฒนาระบบสารสนเทศการศึกษาต่อนักเรียนของครูเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด
20.บุคคลากรทางการศึกษา ทั้งระบบเน้นปรับวุฒิ/เรียนจบง่าย/รายได้สูง/ไม่รับผิดชอบต่อ
สังคมศาสตร์ที่จะเกิดและที่เป็นไปในอนาคต
21.ครูจัดระเบียบตัวเองด้านเศรษฐกิจและสังคมยังไม่ได้ไม่มีวุฒิภาวะเป็นหนี้สินมาก กว่าที่จะมี
ความตั้งใจที่จะไปสอนเด็กทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำลงในอัตราเร่งขึ้น
22.การเรียนป.โท /ป.เอก วิทยานิพนธ์ ไม่ได้เอาไปใช้จริงให้ขับเคลื่อนสังคมได้ เรียนทำเพื่อให้จบ
พาอาจารย์ไปดูงานต่างประเทศช่วยกันจ่ายดูแลอาจารย์ก็จบเกม ได้ปรับชั้นยศตำแหน่งเงินเดือน
23.ห่วย 2 เด้ง เด็กมันถึงตกงาน พ่อแม่คนไหนไม่มีที่ดินให้ขายแพงๆ โอกาสการศึกษาลูกก็ต่ำเตี้ย
แพ้เด็กสปป.ลาว ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาเกิดขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นปัญหานี้สร้าง
โดยผู้ใหญ่ครับ
24.รัฐบาลใหม่ต้องแก้ด่วน ชุมชนร้าง ภูมิปัญญาสูญหาย ไม่มีคนสืบสานต่อ มีแต่คนชรา ปราชญ์
ชาวบ้านหาย สูญพันธุ์ โรงเรียนร้าง วัดร้าง หลักสูตรที่ผูกกับท้องถิ่นไม่มี ต้องทำงานหากินในเมืองใหญ่
แล้วส่งเงินให้พ่อแม่เลี้ยงลูกตัวเอง ถ้าพ่อแม่เสียชีวิต ลูกกับหลานเกิดช่องว่างทางสังคม เกิดปัญหา
ยาเสพติด เด็กติดเกมพนัน ท้องก่อนแต่ง ปัญหาหย่าร้างสูง
25.ไม่รู้จักหน้าที่ตนเองและความรับผิดชอบต่อครอบครัว และสังคมเพราะว่า"เลิกเรียนวิชาหน้าที่
พลเมืองและศีลธรรม" การหย่าร้างสูง ภาคภูมิใจที่เอาความรู้ที่เรียนมาไปเอาเปรียบสังคมทุกมิติ
(แก๊งคอลเซ็นเตอร์) แล้วยังภูมิใจ
26.หาเงินโดยเอาสุขภาพตนเองไปแลกเงินในทุกมิติ สุดท้ายเงินที่หามาได้ก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่พอ
จ่ายเพาะว่าเลิกเรียนวิขาสุขศึกษา แม้พุทธวจน ได้กล่าวไว้ว่า" คนไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"
27.ประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชา และสอนพิเศษมากที่สุดในโลกในทุกระดับชั้น และทุกสาขาวิชา
อาชีพ นี่แหละ คือต้นตอของการตกต่ำด้านการศึกษา คิดไม่เป็น เก็งข้อสอบ ต้องท่องจำ เพราะว่าเจ้า
ของโรงเรียนพิเศษ กวดวิชาและต้องการให้นักเรียนสอบได้ " เป็นการศึกษาพาณิชย์ " และเป็นต้นทาง
สาเหตุ และปัจจัย ที่ต้องคอร์รัปชั่นถอนเงินทุนคืน ที่ต้องเสียเงินไปเพื่อการศึกษาเรียนพิเศษ กวดวิขา
เพิ่มคนจนๆไม่มีสิทธิ์นะครับ
28.มีการขายปริญญาดร.กิติมศักดิ์โดยต้อวจ่ายเงินมีคนมาเสนอให้ผมผ่านไปอีก1ปีจะให้ตำแหน่ง
ศาสตราจารย์ โดยต้องจ่ายเงินเดือนผมไม่ตอบรับปริญญา กระดาษ แต่ผมขอเป็นปราชญ์ชาวบ้าน
ในปริญญาชีวิต เป็น นักคิด นักพัฒนา ด้านสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ มีความสุข ภูมิใจที่มี
คนเรียกว่าครูอาจารย์ ได้รับเขิญบรรยายพิเศษในหลายเรื่อง
ในปัญหาของสังคม และความมั่นคงของมนุษยชาติอยู่อย่างมีความสุข มีคุณค่าและมีคุณภาพ
Facebook: Pongprom Yamarat
CD.ชูศักดิ์ ไตรศรี ศิลป์
นักวิชาการอิสระ ด้านการศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน นักคิด นักพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:00 pm
โดย rosa-lee
( 11 )
เจมส์ เออร์วิน หนึ่งในนักบินอวกาศของอพอลโล 15 ปฏิบัติภารกิจไปดวงจันทร์ในปี 1971 - -
ตั้งแต่วัยเด็ก เขาฝันอยากเป็นมนุษย์คนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์ แต่ในความเป็นจริง เขา
เป็นมนุษย์คนที่แปดที่ได้ไปเดินบนดวงจันทร์สำเร็จ
.
เออร์วินเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เขาประสบปัญหาในการติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างสำหรับการทดลองบน
ดวงจันทร์ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ สวดภาวนาต่อพระเจ้า
“ลูกขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ณ ตอนนี้ ด้วยเถิด”
.
เออร์วินเติบโตมาจากครอบครัวที่ไปโบสถ์ แต่เขาก็ห่างหายไปเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น โดยเฉพาะช่วงที่
มุ่งมั่นอยากเป็นนักบินอวกาศ - - แต่เมื่อพบอุปสรรคหนักหน่วงนอกโลก ท่ามกลางความเวิ้งว้างบน
ดวงจันทร์ เขากลับนึกถึงพระเจ้า - -
.
เราทุกคนเคยเป็นเช่นนั้น จะเชื่อ ก็ต่อเมื่อหมดทนทางและสิ้นหวัง!
.
ตามคำบอกเล่าของเออร์วิน พระเจ้าได้ทรงแสดงให้เขาเห็นวิธีแก้ปัญหาและการทดลองที่เกิดขึ้นตรงหน้า
สำเร็จ เขารู้สึกตื้นตันใจมากที่ได้เห็นและรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด… ระหว่างทำการ
ทดลอง มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาถึงกับหันไปมองข้ามไหล่ตัวเอง เพราะรู้สึกราวกับว่าพระองค์ทรงยืนอยู่ตรงนั้น
จริง ๆ - - เออร์วินบันทึกไว้ว่า “ผมสัมผัสได้ถึงการมีอยู่จริงและพระพลานุภาพของพระเจ้า
อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!”
.
หลังจากเผชิญหน้าทางจิตวิญญาณกับพระเจ้าขณะอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เปลี่ยน
วิถีชีวิตของเขา - - เมื่อกลับลงมายังพื้นโลกไม่นาน เขาก็ลาออกจาก NASA และตั้งมลูนิธิเพื่อปฏิบัติภารกิจ
เป็นทูตของพระเยซู นำพาผู้คนให้รู้จักพระองค์!
.
“พระเจ้าตัดสินใจส่งพระบุตรของพระองค์มายังดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี้ เราจึงสามารถเชื่อมโยงกับ
พระเจ้าได้ โดยผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ …” เจมส์ เออร์วิน เขียนเล่าเรื่องราวศรัทธาของเขา
ในหนังสือ To Rule the Night เขามักจะบอกย้ำกับใครต่อใครเสมอว่า
.
“พระเยซูเดินบนแผ่นดินโลก สำคัญยิ่งกว่ามนุษย์เดินบนดวงจันทร์!”
. . . . .
.
บทอ่านประจำวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2024 มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก
(มก 4:35-41) เล่าถึงเหตุการณ์ในเย็นวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า "เราจงข้ามไปทะเลสาบ
ฝั่งโน้นกันเถิด" บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่น ๆ
ติดตามไปด้วย
ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นชัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระเยซูกลับบรรทมหลับหนุน
หมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ว่า "พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลัง
จะตายอยู่แล้วหรือ" พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า "เงียบซิ จงสงบลงเถิด" ลมก็หยุด
ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า "ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ"
เขาเหล่านั้นกลัวมากพูดกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้"
. . . . .
.
เคยรู้สึกอย่างนี้บ้างไหม? ทำไมพายุร้าย ถึงเจาะจงโถมกระหน่ำเข้าหาชีวิตเราอยู่นั่นแล้ว...
.
ครั้งหนึ่ง ขณะทำงานที่อเมริกา ผมได้รับข้อเสนอจากบริษัทที่ดูเหมือนมั่นคงและเงินเดือนดีมาก ซึ่งผม
ตอบรับทันที ระหว่างที่ทางทนายกำลังเดินเรื่องวีซ่าทำงานของผม บริษัทนั้นกลับล้มครืนไปต่อหน้าต่อตา
และมันไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งเดียว เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ เกิดกับผมถึงสองครั้ง ในช่วงเวลาใกล้กัน!
.
ตอนนั้น ผมรู้สึกหดหู่ใจมาก คุณพ่อบิลล์ บาทหลวงประจำโบสถ์ที่ผมไปทุกวันอาทิตย์ ปลอบใจว่า สิ่งที่
เกิดขึ้น พระเจ้าอาจมีเหตุผลและมีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่ ถ้าเธอเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็ไม่ต้องกลัวคลื่นลม
อื่นใดที่ทยอยถาโถมเข้ามา - - แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่เมื่อเรือชีวิตโคลงเคลง เราก็อดหวั่นไหวไม่ได้...
.
ผมนึกถึงสำนวน “ลงเรือลำเดียวกัน” ที่เรารู้จักกันดี ความหมายคือการร่วมแรงใจในการกระทำสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง ซึ่งต้องร่วมรับชะตากรรมของการกระทำนั้นด้วยกัน ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น
การจะหาเพื่อนร่วมทางมาลงเรือลำเดียวกันนั้น จึงสำคัญและยากยิ่ง!
.
แต่จากประสบการณ์ชีวิตของเจมส์ เออร์วิน เขากำลังบอกเราว่า ไม่ว่าจะอยู่บนเรือข้ามทะเลสาบเมื่อเกือบ
สองพันปีก่อน หรือบนเรืออวกาศ (Spaceship) ของยุคปัจจุบัน - - เพื่อนเดินทางเพียงหนึ่งเดียวที่เราควร
เลือกเพื่อลง ‘เรือชีวิต’ลำเดียวกับเรานั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพระเยซูเจ้า เออร์วินพิสูจน์ให้เรา
เห็นแล้วว่า แม้จะอยู่ไกลถึงดวงจันทร์ พระองค์ก็ทรงอยู่ใกล้เราตลอดเวลา...
.
จำไว้และอย่าสิ้นหวัง! เราไม่เคยอยู่ตามลำพังในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แม้ขณะเผชิญพายุร้าย จะดูเหมือน
พระเยซูกำลังบรรทมหลับ และเราต้องต่อสู้อยู่เดียวดาย แต่เชื่อเถอะ, หากพระเยซูทรงไปช่วยเจมส์ เออร์วิน
ซ่อมอุปกรณ์ได้ถึงดวงจันทร์ แค่คลื่นลมทะเลบนโลกนี้ ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระองค์...
.
จงเชื่อ อย่าตกใจกลัว สงบคลื่นลมในใจเราลงเถิด... แล้วเรือชีวิตจะมั่นคง พระเยซูเจ้ามาทันเวลาเสมอ!
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:06 pm
โดย rosa-lee
( 12 )
==หนี้ ที่ใช้ไม่หมด==
.
ดูเหมือน "เราจะมีเงิน"
แต่…
กลับเลี้ยงดูพ่อแม่ตัวเองไม่ได้ ควักออกมาซื้อของให้พ่อแม่ไม่ได้ หมดเงินไปกับสิ่งที่
พ่อแม่ไม่เคยได้ใช้ ไม่เคยหล่อเลี้ยงหัวใจของพ่อแม่ ดูเหมือน "เราจะเก่ง"
แต่…
เก่งกับการตะคอกใส่พ่อแม่ ลงกับคนอื่นไม่ได้ ก็หาเรื่องทะเลาะกับพ่อแม่ อดทนกับคนอื่นได้
แต่
กับพ่อแม่อดทนไม่ได้ จ้างคนอื่นทำได้ แต่กับพ่อแม่เป็นดั่งคนรับใช้ แต่กลับไม่ได้ให้เงินเดือน
ดูเหมือน "เราจะสูงส่ง" อยู่นอกบ้านใช้เงินเหมือนพิมพ์แบงก์เองได้
แต่
ไม่เคยหยิบยื่นให้พ่อแม่ ชื่นชมครอบครัวคนอื่นไม่ขาดปาก
แต่
ปรักปรำครอบครัวตนเองว่าไม่ดี พ่อแม่ทนทุกข์เพื่อลูกได้
แต่
พอเราเจอความลำบากเพียงนิดหน่อยก็ละทิ้ง ยกมือไหว้คนอื่นไปทั่ว
แต่
ไม่ไหว้พ่อแม่ของตนเอง “พ่อแม่ให้กำเนิดชีวิตอันล้ำค่า ทนทุกข์เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่
ยินยอมประหยัดกินประหยัดใช้ มีอะไรดี ๆ จะนึกถึงลูกเป็นอันดับแรก ยินยอม อดสูใจตนเอง
แต่
ไม่ยอมให้ลูกได้อับอาย รักโดยปราศจากเงื่อนไข ปราศจากความเห็นแก่ตัว
พระคุณบุพการี ตราบชั่วชีวิตนี้ก็ชดใช้ไม่หมด”

Re: รวมเรื่องสั้นคติเตือนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:23 pm
โดย rosa-lee
( 13 )
บาทหลวงพอล โจนส์ นึกถึงคำเตือนของผู้คุมว่าอย่าเข้าใกล้ช่องส่งอาหารสำหรับนักโทษรายนี้
เพราะเขาสามารถยื่นมือออกมาบีบคอฆ่าคุณได้ด้วยมือเดียว!
.
เคลย์ตัน ฟาวน์เทน เป็นนักโทษอันตรายที่สุดที่บันทึกไว้ในระบบของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา!
เมื่ออายุ 19 ปี เขาเข้าร่วมกับนาวิกโยธินและประจำการอยู่ที่ฟิลิปปินส์ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถูก
ตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาสังหารจ่าสิบเอกในสงครามเวียดนาม หลังจากการสู้รบที่รุนแรง
ในปี 1970 เขาถูกส่งไปจำคุกตลอดชีวิตที่เรือนจำลีเวนเวิร์ธ/แมเรียนของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็น
เรือนจำ ที่มีความปลอดภัยสูงสุดของประเทศในขณะนั้น
.
ขณะอยู่ในคุก เขายังฆ่านักโทษสามคนและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อีกหนึ่งคนด้วยมือเปล่า เขากลายเป็น
“นักโทษที่อันตรายที่สุด” และถูกลงโทษให้อยู่ใน“สถานะไม่มีการติดต่อกับมนุษย์” เขาถูกย้ายไปที่
ศูนย์การแพทย์สหรัฐสำหรับนักโทษรัฐบาลกลางในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐมิสซูรี และอยู่ในห้องกักขังที่
สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หนึ่งในนั้นคือ คุณพ่อพอล โจนส์ เพราะเขาต้องการศึกษาเรื่องศาสนาและเทววิทยา ซึ่งต่อมาคุณพ่อพอล
ได้เขียนถึงประสบการณ์ของท่านเองที่ได้ร่วมรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของนักโทษเคลย์ตัน
คนนี้ ในหนังสือ A Different Kind of Cell: The Story of a Murderer Who Became a Monk
.
คุณพ่อพอล โจนส์ เคยสอนที่มหาวิทยาลัยเยล, พรินซ์ตัน ปัจจุบันเป็นบาทหลวงคาทอลิก ท่านเล่าว่า ทุกคน
ต่างคิดว่า นักโทษเคลย์ตันเป็นคนที่แก้ไขไม่ได้แล้ว แม้จะอยู่ในเรือนจำที่รักษาความปลอดภัยสูงสุดยังฆ่า
คนได้อีกสี่คน ผู้คุมและเจ้าหน้าที่เรือนจำต่างไม่ทนอีกต่อไป ประกาศว่าเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมโดย
สิ้นเชิง พวกเขาจึงสร้างห้องขังใต้ดินที่ทำด้วยเหล็กและคอนกรีตสำหรับเขาโดยเฉพาะ ให้เขาอยู่แยกจาก
คนอื่นและโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต
.
เดิมที มีคนอื่นมาทำหน้าที่พูดคุยกับนักโทษเคลย์ตัน แต่มีบางคำถามด้านจิตวิญญาณที่ตอบไม่ได้ จึงติดต่อ
ให้คุณพ่อพอลไปแทน โดยเริ่มพูดคุยทางโทรศัพท์ ซึ่งต่อมาเมื่อเขาศึกษาอย่างจริงจัง ก็มีคำถามมากขึ้นจน
กลายเป็นคุยกันทุกสัปดาห์ แล้วในที่สุด เขาก็ได้รับปริญญาเกียรตินิยมสูงสุดจากมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น
คุณพ่อพอลได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมเขาเป็นครั้งคราว โดยต้องผ่านประตูที่มีการเฝ้าระวังถึงเก้าประตู เพื่อ
สนทนาผ่านช่องอาหารในประตูเหล็กของห้องขัง ต่อมานักโทษเคลย์ตันสำนึกผิดได้รับศีลล้างบาปขณะอยู่
ในโซ่ตรวน ซึ่งถือเป็นพิธีที่ค่อนข้างแปลกประหลาด และในไม่ช้าเขาก็ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก
ผลการเรียนได้ A ทุกวิชา!
.
เมื่อมีคนถามคุณพ่อพอลว่า วางใจนักโทษอันตรายคนนี้ได้อย่างไร ท่านตอบว่า หลายคนมองว่าการกระทำ
ของเขาเป็นการหลอกลวง - - ตอนแรกท่านก็พยายามไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว และแคลงใจบ้าง
เหมือนกัน แต่เมื่อได้ทำความรู้จักและอ่านงานที่เขาเขียนส่งในคลาสเรียน พบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าเขากำลัง
หลอกให้หลงเชื่อ นักโทษอันตรายอย่างเขาจะอ่านหนังสืออย่างเข้มข้นและจะจริงจังกับการเขียนรายงาน
ขนาดนั้นได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่ติดต่อกัน จะพูดคุยผ่านประตูเหล็กกั้นเสมอ
.
คุณพ่อพอลยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้น ท่านเริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำสิ่งเลว
ร้ายลงไป ซึ่งดูเหมือนเขาจะสำนึกผิดอย่างยิ่ง และเขายังได้มอบเงินแก่ภรรยาม่ายของชายคนหนึ่งที่เขาฆ่า - -
ถึงกระนั้น... “พ่อได้รับคำเตือนเสมอว่าอย่าเข้าใกล้ช่องอาหารเพราะเขาสามารถเอื้อมมือบีบคอพ่อด้วยมือ
ข้างเดียวได้...” คุณพ่อพอลเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ - -
.
แต่แล้ววันหนึ่ง ท่านตัดสินใจเสี่ยงด้วยการยื่นมือลอดผ่านช่องเข้าไปเพื่อจับมือกับเขา เมื่อได้สัมผัสมือกั
นและกัน คุณพ่อพอลกล่าวว่า “พ่อรู้สึกและวางใจได้ว่าการกลับใจใหม่ของเขานั้นเป็นจริง และเขาก็เชื่อใจพ่อ”
ปี 2004 นักโทษเคลย์ตัน ฟาวน์เทนเสียชีวิตอย่างกะทันหันภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาด แต่ทาง
การบันทึกว่า ‘หัวใจวาย’
. . . . .
.
บาทอ่านประจำวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2024 มาจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก
(มก 3:20-35) กล่าวถึง เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจน
พระองค์ไม่อาจเสวย และบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ 21เมื่อพระประยูรญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้
ก็ออกไปควบคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ
.
นอกจากนั้น บรรดาธรรมาจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มกล่าวหาพระองค์ว่า “มีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่” และ
“ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระเยซูจึงทรงเรียกเขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า
“ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่ง
แตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้กันเองและแตกแยก มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องถึง
จุดจบ ไม่มีใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน
เมื่อนั้นแหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้”
.
พระเยซูยังตรัสอีกว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้พูดออกไป แต่ใครที่
พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้า จะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้
พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่”
.
ขณะเดียวกัน พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยู่ข้างนอก ส่งคนเข้าไปทูลพระองค์
ประชาชนกำลังนั่งล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องชายหญิงของท่านกำลังตามหาท่าน
คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็น
วงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิง
และเป็นมารดาของเรา”
.
บทอ่านวันนี้ เป็นบทหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิลที่เข้าใจยาก แต่ก่อนที่จะอธิบาย ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพไ
ด้ชัดเจนง่ายขึ้น หลายคนคงคุ้นเคยกับภาพยนตร์ประเภทโลกกำลังหายนะเพราะประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าน้ำท่วม
แผ่นดินไหว อุกกาบาตพุ่งชน พล็อตหนังประเภทนี้ ส่วนใหญ่ตัวเอกจะเป็นผู้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก่อน
คนอื่น และคอยเตือนภัยให้ทุกคนระวัง แต่ก็ไม่มีใครฟัง แม้ครอบครัวตัวเองก็จะไม่เชื่อ ตัวเอกเลยต้องวิ่งหา
วิธีปกป้องด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุภัยต่อโลก แต่ก็มิวายโดนผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบคอยขัดขวาง
ไม่ต้องการให้ทำสำเร็จ เพราะกลัวตัวเองเสียหน้าหรือเสียผลประโยชน์ - - คุ้นกับพล็อตหนังแบบนี้ใช่ไหม?
.
พระเยซูเจ้าก็ไม่ต่างจากบทบาทของตัวเอกในหนังประเภทนั้น พระองค์คือผู้รู้ความจริงว่าโลกกำลังตกอยู่ใน
อันตรายร้ายแรง มนุษย์ถูกควบคุมด้วยบาปและซาตาน พระองค์เป็นผู้เดียวที่จะรับมือไหวและช่วยโลกให้
รอดพ้นปลอดภัย แต่เมื่อพยายามบอกกล่าวเตือนให้ทุกคนกลับใจ รีบสำนึกในบาป กลับไม่มีใครเชื่อ
แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังคิดว่าพระองค์ทรงเสียพระสติ มิหนำซ้ำ พวกที่มีอำนาจก็บิดเบือนกล่าวหาว่า
พระองค์มีปีศาจสิงอยู่ จึงหาทางกีดกันและกำจัดให้พ้นทาง
.
ความจริงคือ มิเพียงพระเยซูเจ้าไม่ใช่ปีศาจ หากยังได้มัดปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดไว้แล้ว- - เช่นเดียวกับชีวิต
ของนักโทษเคลย์ตัน ฟาวน์เทน ที่โดนปีศาจแห่งความเกรี้ยวกราดชั่วร้ายเข้าสิงตั้งแต่ตอนอายุ 19 จนหมด
อิสรภาพ แต่พระเยซูเจ้าก็ได้ชัยชนะด้วยการจับปีศาจตนนั้นมัดไว้ เพื่อให้เคลย์ตันสำนึกผิดบาป และได้ปลด
จิตวิญญาณเป็นอิสระ แม้กายยังถูกจองจำในห้องใต้ดินที่กั้นด้วยประตูเหล็ก - - ยังมีอีกหลายปีศาจในโลกนี้
ที่ยังคงวนเวียนหลอกล่อมนุษย์อย่างเราให้เกิดกิเลส โทสะ โลภ หลง ฆ่าฟัน เบียดเบียนกัน
หากเชื่อในคำสอนของพระเยซู ทุกครั้งที่สำนึกผิด กลับใจ ทำความดี สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสมือนเชือกของ
พระองค์ที่จะจับมัดปีศาจให้หมดสิ้นอิสรภาพที่จะควบคุมหัวใจเรา และเราก็จะปลอดภัยได้เป็นครอบครัว
เดียวกับพระองค์อย่างที่ตรัสว่า
“ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”
.
ความหมายที่ซ่อนเร้นในประโยคนี้ ก็คือ ครอบครัวที่แท้จริงของพระเยซู ไม่ใช่ต้องเป็นไปโดยความสัมพันธ์
ทางสายเลือดหรือเครือญาติเท่านั้น แต่เราทุกคน หรือแม้แต่คนที่ทำผิดบาปมหันต์อย่างเคลย์ตันก็มีสิทธิ์
เป็นได้ หากสำนึกจริงและทำตามพระประสงค์และคำสอนของพระเยซู
.
ฉะนั้น เราจะยังลังเลยืนรอคอยอยู่ข้างนอกเรียกหาพระเจ้า หรือจะเดินเข้ามาภายใน-เป็นหนึ่งเดียว
กับครอบครัวของพระองค์?
.
ปะการัง
.
[ สุขสันต์วันพระเจ้า ]
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2024 7:14 pm
โดย rosa-lee
( 14 )
“ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น แล้วก็พลาดในสิ่งที่เชื่อ”
ฉันเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือ ที่ตั้งของร้านอยู่บนซอยที่ยาวมากๆ มีผู้คนทั้งที่อาศัยและทำการค้า
เป็นร้อยครัวเรือน และก็มักจะมีผู้คนนำสิ่งของสารพัดชนิดมาเดินเร่ขายในซอย
บ่ายวันนี้ ฝนตกหนักมาก พอฝนหยุด ฉันก็รีบออกจากร้านไปทำธุระแถวๆนั้น พอเดินมาถึงปากซอย
ก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุคงราวๆสักสิบสองสิบสามขวบ เนื้อตัวเปียกปอน บนหลังเขาแบกเข่ง
ค่อนข้างใหญ่ไว้ใบหนึ่ง
พอเห็นฉันมองดูเขา เขาก็พูดกับฉันแบบกล้าๆกลัวๆว่า “คุณน้าสนใจจะอุดหนุนลูกแพร์ไหมครับ
เพิ่งเด็ดจากต้นมาสดๆ อร่อยนะครับ” ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบทานลูกแพร์นัก กำลังคิดจะปฏิเสธ แต่พอ
เห็นแววตาที่คาดหวังของเด็กน้อย พร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกปอน ผมเผ้าก็เปียกแฉะ เกิดใจอ่อนขึ้นมา
เลยถามไปว่า “ลูกแพร์พวกนี้แบกมาขายเองเหรอ”
เด็กน้อยรีบผงกหัวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ ผมเดินทางมาจากหมู่บ้านเชิงเขาด้านตะวันตก ระยะทาง
สามสิบกว่าลี้ พอดีเจอฝนตกหนักระหว่างทาง เนื้อตัวเลยเปียกหมด”
ฉันมองดูลูกแพร์ที่อยู่ในเข่ง กะเคร่าๆว่าคงประมาณเกินยี่สิบชั่ง มองดูเด็กน้อยที่อุตส่าห์เดินทาง
มาไกลพอควร พร้อมแบกเข่งใบเขื่องที่ใหญ่กว่าตัว คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เลยถามไปว่า “ขายยังไง”
พอเห็นฉันถามราคา เด็กน้อยยิ่งดีใจใหญ่ “คุณน้า ผมขายแค่สองหยวนต่อชั่ง เพิ่งเด็ดจากต้นใน
บ้านผมเอง ทั้งอร่อยทั้งถูก”
ฉันยิ้มก่อนพูดว่า “พูดเก่งนี่เรา ถ้าน้าจะเหมาหมด คิดเท่าไหร่”
เด็กน้อยมีแววตาตื่นเต้น “คุณน้าคงไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมชั่งมาจากบ้านแล้ว ทั้งหมดยี่สิบสองชั่ง
ถ้าคุณน้าเหมาหมด ผมคิดแค่ยี่สิบชั่งก็พอ รวมเป็นเงินสี่สิบหยวนครับ คุณน้า”
เด็กน้อยพูดจาดี คำก็คุณน้า สองคำก็คุณน้า ฟังแล้วสบายใจจริงๆ เงินสี่สิบหยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
สำหรับฐานะอย่างฉัน จึงควักเงินสี่สิบหยวนออกมาจ่ายไปทันที เด็กน้อยรีบหยิบย่ามจักสานออกมา
สองใบใหญ่ เทลูกแพร์ทั้งหมดออกมาได้สองถุงใหญ่แล้วยื่นให้ฉัน
ฉันรับลูกแพร์ถือไว้ในมือพร้อมถามว่า “ทำไมขายแต่ลูกแพร์ แล้วไม่ขายผลไม้อย่างอื่นเหรอ”
เด็กน้อยตอบด้วยความสบายใจ “บ้านผมมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว ปีนี้ออกลูกมาไม่มากนัก พ่อแม่
ผมก็ออกไปทำงานต่างถิ่นกันหมด เหลือผมอยู่กับปู่และย่าเท่านั้นเอง ปู่บอกว่าต้นลูกแพร์นี้ให้ผมดูแล
ผมก็เลยเด็ดมาขาย เข่งนึง ขายได้เงินเท่าไหร่ปู่ยกให้ผม ผมเหลือลูกแพร์ไว้บนต้นหน่อยนึงให้ปู่กับย่า”
เด็กน้อยพูดด้วยหน้าตาที่สดใส แบกเข่งเปล่าขอตัวเดินจากฉันไปด้วยความปรีดาพร้อมคำขอบคุณอีก
หลายๆ คำ
ฉันมองดูลูกแพร์สองถุงใหญ่ในมือ ตัดสินใจแบกกลับไปเก็บไว้ที่บ้านก่อน ใช้เวลาสิบกว่านาทีกับการ
เดินไปและเดินกลับ พอกลับมาถึงปากซอยอีกครั้ง เอ้า เด็กน้อยคนเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม พร้อมผลไม้
เข่งใหม่บนหลังเขา ผู้ชายวันกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับเขา ท่าทางคงกำลังตัดสินใจจะซื้อ
ฉันรู้ทันที่ว่าฉันถูกหลอกแล้ว เคยได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนเขาเล่าสู่กันฟังบ่อยๆ ว่า มักมีพวกพ่อค้าจากถิ่นอื่น
นำเอาผลไม้มาขายกันเป็นคันรถ แล้วจ้างชาวบ้านท้องถิ่นมาเดินเร่ขาย แต่โกหกว่าผลไม้มาจากสวนของ
ตนเอง ทำให้คนซื้อตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น อาจจะเพราะอยากอุดหนุนคนกันเอง และคิดว่าคงไม่ค่อยมีสาร
กำจัดแมลงที่รุนแรง พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กน้อย แล้วถามด้วยเสียงที่เย็นชาว่า
“คราวนี้ขายผลไม้อะไรอีก”
เด็กน้อยหันมามองหน้าฉันด้วยความตกใจ หน้าซีดทันที ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “อะ…องุ่นครับ…คุณน้า”
“เอ้า ก็เห็นบอกว่าทั้งบ้านมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว แล้วต้นลูกแพร์ที่บ้านยังสามารถออกลูกเป็นองุ่นอีกเหรอ”
เด็กน้อยก้มหน้า ตอบด้วยเสียงบางเบาว่า “องุ่นพวกนี้ ผมช่วยคนอื่นขายครับ” ผู้ชายคนที่กำลังควักเงิน
จะซื้อ พอได้ยินคำสนทนาของเราก็เปลี่ยนใจทันที “เอ้า เมื่อกี้เพิ่งจะบอกว่าองุ่นพวกนี้ปลูกในบ้านตัวเอง
อายุแค่นี้ก็หัดโกหกหน้าตาเฉยเลยเหรอ ไม่ไหว….” แกเดินจากไปด้วยความโกรธ
ฉันถือโอกาสยืนสั่งสอนเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปทำธุระด้วยอารมณ์ที่ไม่โสภานัก เดินไปได้
ไกลพอควร ยังทำใจไม่ค่อยได้ หันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เห็นเด็กน้อยนั่งอยู่บนโขดหินข้างทาง ก้มหน้า
เช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ
ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อครู่นี้คงจะพูดรุนแรงไปหน่อย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะ
ส่งเสริม และคนสมัยนี้ก็ย่ำแย่เต็มแก่ เพื่อเงินไม่กี่มากน้อยก็ใช้เด็กมาเดินขายแบบแหกตา ทำให้เด็กต้อง
มารับตราบาปไปเปล่าๆ คงต้องรณรงค์ให้คนทั้งซอยมาต่อต้านขบวน การแหกตาพวกนี้ให้ได้
กว่าจะเสร็จธุระก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง พอใกล้ถึงบ้านก็ยังเห็นเด็กน้อยยืนขายอยู่ แต่ห่างจากที่เดิมพอ
สมควร สงสัยคงขายไม่ดี มองดูรู้สึกองุ่นยังเต็มเข่งอยู่ สีหน้าเขาหดหู่มาก พอเห็นฉันเดินมา เขารีบยืน
ชิดกำแพง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาฉัน
เห็นสีหน้าที่เศร้าโศกขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าฉันก็รู้สึกย่ำแย่เหมือนกัน ถ้าเป็นวันอื่นๆ ฉันคงควักเงินเหมา
หมดเข่งไปแล้ว แต่วันนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะจะทำให้ได้ใจกันใหญ่ เกรงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะ
ได้แบกเอาส้มเอย แอปเปิ้ลเอย กล้วยเอยมาขายกันไม่หยุดไม่หย่อน กลับถึงบ้านตรงขึ้นชั้นบน เตรียม
อาหารมื้อเย็นเสร็จ เดินออกมากวาดระเบียง มองไปข้างล่าง เอ้า เด็กน้อยคนเมื่อกี้อีกแล้ว กำลังแบกเข่ง
เดินลับๆ ล่อๆ เลี้ยวมาทางหลังบ้านฉัน หลังบ้านฉันเป็นที่ดินที่ยังไม่พัฒนา มีแต่พงหญ้าที่รกรุงรังผืนใหญ่
แล้วนี่เขากำลังจะทำอะไร
ฉันเดินตามดูเด็กน้อยจากบนบ้าน พอเขาเดินมาถึงพงหญ้าก็เหลียวมองดูรอบข้างอีกครั้ง พอรู้ว่าปลอดคน
ก็ปลดเข่งจากข้างหลังแล้วย่อตัวลง ค่อยๆ หยิบเอาพวงองุ่นออกจากเข่งทีละพวง แล้ววางลงบนพงหญ้า
สุดท้ายเหลือองุ่นอยู่ประมาณครึ่งเข่งแล้วค่อยลุกขึ้นยืน เขาหยิบเอาเงินสี่สิบหยวนที่ได้จากการขายลูกแพร์
ออกจากกระเป๋า มองดูเงินในกำมือ ชั่งใจอยู่พักใหญ่ แบ่งออกมายี่สิบหยวน แล้วม้วนกำไว้ในกำมือ หันกลับ
ไปมองดูกององุ่นด้วยความเสียดาย แล้วเขาก็แบกเอาครึ่งเข่งที่เหลือเดินผ่านซอกเล็กๆ ข้างบ้านฉัน
แล้วเดินจากไป
ฉันงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เด็กน้อยคนนี้กำลังทำอะไร ทำไมต้องเอาองุ่นมาซ่อนไว้ในพงหญ้า
น่าสงสัยเหลือเกิน อยากรู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันก็ตัดสินใจวิ่งลงมาชั้นล่างสะกดรอยตามเขาไป
เด็กน้อยเดินตรงมาถึงปากซอย แล้วก็ยังเดินต่อไป ฉันเดินตามเขาอยู่ห่างๆ แล้วเขาก็เดินมาถึง
สวนสาธารณะของท้องถิ่น
ฉันเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่บนม้าหินที่อยู่หน้าสวน อายุคงจะพอๆ กัน ข้างหน้าเขามีเข่งเปล่าวางอยู่
ใบหนึ่ง พอเห็นเด็กผู้ชายกลับมา เธอดีใจรีบลุกขึ้นยืน
พอดีข้างๆ ม้านั่งเป็นกำแพงกั้นอยู่ ฉันเดินเลี้ยวไปหลบตัวอยู่หลังกำแพง ได้ยินเสียงเด็กชายพูดกับ
เด็กหญิงว่า “ขอโทษ องุ่นขายไปได้แค่ครึ่งเดียว สองหยวนต่อชั่ง นี่คือเงินยี่สิบหยวนของเธอ”
น้ำเสียงเธอดีใจ “ขอบคุณพี่มากๆ ถ้าไม่ได้พี่ช่วยขาย สงสัยครึ่งเข่งก็ยังขายไม่ได้ ใครจจะคิดว่าขาฉัน
เกิดแพลงขึ้นมาอย่างกระทันหัน”
เด็กชายพูดกับเธอด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ความจริงพี่น่าจะขายองุ่นได้หมดเข่งตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอดี
มีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น ก็เลยขายไม่ได้ แย่จริงๆ” เด็กหญิงถาม “เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันเหรอ”
เด็กชายเล่าต่ออย่างหมดเรี่ยวแรง “ก็พอดีคุณน้าใจดีท่านที่เหมาลูกแพร์ของพี่ไปจนหมดในตอนแรก
กลับมาพบพี่ขายองุ่นอีก เลยคิดว่าพี่รับจ้างพวกพ่อค้าขายผลไม้มาเดินสายเร่ขายของแหกตาชาวบ้าน
พอคุณน้าโวยวายขึ้นมา ก็เลยไม่มีใครซื้อองุ่นของเราอีกเลย” พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฉันรู้ทันทีว่า
ฉันคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอน จึงเดินออกมาจากหลังกำแพง เด็กขายเห็นฉันอีกครั้งด้วยความตกใจ
พูดอะไรไม่ออก ฉันแกล้งตีหน้าบึ้ง “มันเรื่องอะไรกันแน่ เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถ้ามีอะไรไม่ชอบมา
พากล ฉันจะคืนลูกแพร์ที่ซื้อทั้งหมด”
เด็กชายมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที คราวนี้พูดจาลิ้นพันกันจนฟังไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กหญิงที่มีฝีปาก
ฉะฉานตอบฉันว่า “คุณคือคุณน้าใจดีที่อุดหนุนลูกแพร์จนหมดใช่ไหมคะ เรื่องเป็นอย่างงี้ค่ะ เราสองคน
เป็นเพื่อนบ้านกัน บ้านของพี่เขามีต้นลูกแพร์อยู่ต้นหนึ่ง ส่วนที่บ้านหนูมีแปลงองุ่นอยู่แปลงหนึ่ง พอดี
ผลไม้ของเราสุกไล่ๆกัน เลยนัดกันเอามาขายพร้อมกันในเมือง ตั้งใจกันว่าพอได้เงินแล้ว พี่เขาจะเอาเงิน
ไปซื้อ “พจนานุกรมสำนวนจีน” ส่วนของหนูจะซื้อ “พจนานุกรมภาษาจีน” พวกเราทั้งคู่ใกล้จบมัธยมต้นแล้ว
คุณครูบอกว่า นี่ล้วนเป็นหนังสือคู่มือที่จำเป็นสำหรับพวกเรา….. ระหว่างทางจากบ้านมาที่นี่ พวกเราเจอ
ฝนที่หนักมาก หนูหกล้มขาแพลงระหว่างทาง เพราะเส้นทางลื่นมาก หนูถอดใจคิดว่าจะเดินกลับบ้านทันที
แต่พี่เขาไม่ยอม เลยช่วยประคองหนูจนเดินทางมาถึงที่นี่ พอมาถึงพี่เขาก็ให้หนูนั่งพักอยู่ตรงนี้ แล้วพี่เขา
ก็นำเอาผลไม้ทั้งหมดไปขายแต่เพียงผู้เดียว……”
พอฟังมาถึงตรงนี้ ใจฉันเจ็บจี๊ดเหมือนโดนมีดกรีด เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว มองดูก็
รู้ว่าเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กดีแน่ๆ แต่ฉันกลับเอาเขาไปเปรียบเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ
ฉันยิ้มให้เด็กชาย “แล้วทำไมไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้าฟังตั้งแต่แรก ทำให้เข้าใจผิดไปหมด
องุ่นที่เหลือทั้งหมด น้าเหมาหมดละกัน”
เด็กสองคนดีใจมาก “คุณน้า องุ่นคงเหลือสักสิบกว่าชั่ง หนูคิดเงินคุณน้ายี่สิบหยวนก็พอค่ะ”
ฉันหยิบเงินจากกระเป๋ามาสี่สิบหยวน ยื่นให้ทั้งคู่คนละยี่สิบหยวน เด็กผู้ชายบอกว่า
“คุณน้าให้เกินมายี่สิบหยวนครับ”
ฉันยิ้ม “ให้เกินหรือเปล่า น้ารู้แก่ใจ แต่น้าซื้อองุ่นคราวนี้ มีข้อแม้อยู่นิดนึง ให้ทั้งคู่เดินตามน้า
ไปข้างหน้าก่อน” เด็กหญิงถามว่า “เดินตามไปทำอะไรค่ะ”
ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องให้ทำอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ น้าเป็นคนขายหนังสือ น้าจะมอบหนังสือ
ที่พวกหนูต้องการให้คนละเล่ม ส่วนเรื่องที่สองนั้น น้าจะพาพวกหนูไปดูความสุรุ่ยสุร่ายของเด็กคนหนึ่ง….”
เด็กหญิงงุนงง “เด็กสุรุ่ยสุร่าย…..”
ฉันมองหน้าเด็กชาย “ใช่ เป็นเรื่องของเด็กสุรุ่ยสุร่ายคนหนึ่ง เที่ยวนำเอาองุ่นดีๆ ของชาวบ้านไปเททิ้ง
ไว้ในพงหญ้า ขอถามว่า ถ้าไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่ายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร…….ไป……ไปช่วยกันเก็บองุ่น
พวกนั้นกลับมาดีกว่า”
พอเด็กผู้ชายฟังฉันพูดจนจบ เข้าใจทันทีว่าฉันคงเห็นเหตุการณ์ของการกระทำของเขาทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ด้วยความอายอีกครั้ง ใบหน้าที่สะท้อนแสงยามอาทิตย์อัศดงของเขา แดงน่ารัก
การเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม อย่าเอาความรู้สึกแว่บแรกเป็นแกนในการตัดสิน
เปลือกนอกของพิษภัยมักจะถูกตกแต่งให้สวยหรูชวนหลงไหล
ในขณะที่เปลือกนอกของสิ่งดีงามอาจไม่ได้ปรุงแต่งให้น่าสนใจนัก
พึงระวัง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น สังคมอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราเห็น
แต่บางมุมของสังคมก็อาจจะดีงามกว่าที่เราคิดอย่างคาดไม่ถึง
ควรศึกษาให้ถ่องแท้แล้วค่อยตัดสิน
บางสิ่งบางอย่างที่เห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่เข้าใจก็ได้
ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: Rensgeng5.com
賣水果-王兴菜作品
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2024 8:18 pm
โดย rosa-lee
( 15 )
นิทาน เรื่อง หนูน้อยผู้มีเมตตา
กาลครั้งหนึ่งมีหนูน้อยตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
วันหนึ่ง หนูน้อยสังเกตเห็นนกตัวหนึ่ง เกาะอยู่บนกิ่งไม้
คอยจ้องมองพื้นดินด้านล่าง เมื่อมองใกล้ๆ หนูน้อยก็เห็นว่า นกกำลังจับตาดูแถวมด
ที่กำลังเดินผ่านไปมา นกเริ่มจิกกินมดทีละตัวสองตัว หนูน้อยรู้สึกสงสารมดเหล่านั้น
แม้ว่าจะเข้าใจ ว่านี่คือ วัฏจักรของธรรมชาติ แต่หนูน้อยก็อยากช่วยมด
จึงใช้ขาของมันเขี่ยพื้นดินเบาๆ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางที่มดกำลังเดิน
ทำให้แถวของมดเปลี่ยนทิศทาง จึงรอดพ้น จากการตกเป็นอาหารของนก
ในขณะที่นกก็ยังสามารถ หาอาหารจากที่อื่นได้ต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนเราในหลายเรื่อง:
1. ความเมตตากรุณา หนูแสดงความเมตตา ต่อมดโดยไม่หวังผลตอบแทน
2. การช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่ต้องโอ้อวด หนูช่วยมดโดยที่มดไม่รู้ตัว แสดงถึงการทำ
ความดีโดยไม่หวังคำชม
3. การแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด หนูคิดวิธีช่วยมด โดยไม่ต้องเผชิญหน้า กับนกโดยตรง
4. การรักษาสมดุลในธรรมชาติ หนูช่วยมดโดยไม่ได้ทำร้าย หรือขัดขวางนกจนเกินไป
5. การตระหนักถึงผลกระทบ ของการกระทำเล็กๆ การกระทำเพียงเล็กน้อยของหนู
ส่งผลใหญ่หลวงต่อชีวิตของมด
6. การมีสติและความเอาใจใส่ ต่อสิ่งรอบตัว หนูสังเกตเห็นสถานการณ์ และตัดสินใจช่วยเหลือ
7. ความคิดสร้างสรรค์ ในการแก้ปัญหา หนูคิดวิธีช่วยมด โดยไม่ต้องเสี่ยงอันตราย
8. การเคารพวัฏจักรธรรมชาติ แม้จะช่วยมด แต่หนูก็ไม่ได้พยายาม เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทั้งหมด
นิทานนี้แสดงให้เห็นว่า
เราสามารถสร้าง ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ แม้ด้วยการกระทำเล็กๆ
และการมีเมตตาต่อผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเองค่ะ
Cr : เรื่องเล่าจากอินเตอร์เน็ต
Cr : เพจรู้เท่าทัน ก็ Being Discovery Journey










ความปรารถนาดี โดยไม่หวังผล เป็นความสุข ทั้งผู้ให้และผู้รับ
บางที....
ความช่วยเหลือเล็กๆ ของเรา ในจังหวะที่เหมาะสม
อาจกลายเป็นความช่วยเหลือ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของใครบางคน
โลกนี้สวยงาม มีความสุข จากการช่วยเหลือแบ่งปัน ที่มีให้แก่กันและกันนะคะ
#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2024 8:30 pm
โดย rosa-lee
( 16 )
*เรื่องสั้น*
……ทำไมนักศึกษาจึงโกง ……
โดย “สงวนนาม” จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555
รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ในฐานะนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ปีสุดท้าย ผมเข้าใจความกังวลของนักศึกษาเกี่ยวกับ
“โรคทุจริตระบาด” ซึ่งสะท้อนถึงระบบการศึกษามีส่วนกดดันให้นักศึกษาพยายามดิ้นรนให้ได้คะแนนสูงๆ
ผมรู้จักรสชาติความสำเร็จในชีวิตการศึกษาของผม เพราะผมเป็นเด็กหัวกะทิมาโดยตลอด แต่คะแนนที่
ได้รับมาในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่ผลลัพท์จากความคิดของผมเสมอไป งานส่วนใหญ่ที่ผมทำส่ง
ความจริงแล้วเป็นผลงานของคนอื่น ซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถาบันการศึกษาอื่นด้วย โดยเฉพาะเว็บไซต์ส่วนตัว
ของบรรดาอาจารย์ และบางกรณีก็มาจากนักศึกษาที่เชี่ยวชาญเรื่องเว็บซึ่งนำคำตอบของตัวเองมาโพสต์
ในอินเทอร์เน็ต
“งานลอก” ส่วนใหญ่ของผมอยู่ในรายงานที่อาจารย์ให้ทำ ผมไม่ทราบว่าเป็นความไม่รู้ของอาจารย์
หรือเป็นโชคล้วน ๆ ที่คำถามในรายงานนั้นเหมือนกันเป๊ะทุกข้อกับคำถามของอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง
เวลาที่กระชั้นบวกกับการทำรายงานของวิชาอื่นไปพร้อม ๆ กัน ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำรายงาน
เสร็จสมบูรณ์ภายในกรอบเวลา
รายงานส่วนใหญ่ของผมสำเร็จลงด้วยวิธีนี้และให้ผลตอบแทนด้วยคะแนนที่ยอดเยี่ยม ถามว่าคุ้มไหม
ถึงขณะนี้ผมไม่ทราบ แต่บทความเรื่องนี้ก็สื่อให้รู้ถึงความจำเป็นของนักศึกษาได้เป็นอย่างดี
*********************
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2024 8:35 pm
โดย rosa-lee
( 17 )
ข้อควรระวัง สำหรับผู้ใช้ชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น
1. ข้ามทางม้าลาย ดูรถเสมอ : ห้ามเชื่อสัญญาณไฟ เพราะต่อให้ไฟเขียวคนเดิน ไฟแดงสำหรับรถ
ก็อาจเจอรถชนได้
2. ขึ้นสะพานลอย : อย่าจับราวบันได ยกเว้นคนก่อนหน้าจับไปแล้ว โดยเฉพาะวันฝนตก อาจโดนไฟดูด
3. เดินฟุตบาทระวังรถ : อย่ามัวเล่นมือถือ อาจมีจักรยานยนต์ย้อนศร
4. อย่าสัมผัสโลหะโดยไม่จำเป็น : ตู้โทรศัพท์ เสาไฟ เสาโทรศัพท์ ป้ายรถเมล์ ป้ายไฟโฆษณา หรือ
โลหะทุกชนิดที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแม้แต่ใกล้ทุ่งนา ไฟอาจจะดูดตายได้
5. ถ้าฝนตก ให้อยู่ห่างจากเสาไฟ : ไฟรั่วมีได้ทุกที่
6. เข้ารถต้องล็อคทันที : โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าไม่อยากโดนจี้
7. เดินคนเดียวอย่าใส่ทอง / อย่าถ่ายรูป : ถ้าไม่อยากโดนจี้
8. อย่ามองหน้าใคร และอย่าหลบตาใคร : เพราะบางกรณีถือเป็นการท้าทาย และเป็นข้ออ้างของ
พวกปล้นทรัพย์ ซึ่งถ้าเราตาย อีกฝ่ายจะบอกว่า เราไปหาเรื่องเค้าก่อน
9. นั่งรถคาด Safty Belt เสมอ ไม่ว่าจะนั่งที่จุดไหน เพราะว่าคุณไม่รู้หรอกว่า จะมีใครเมาแล้วขับมาชน
(อุบัติเหตุแบบนี้เจอมากในไทยมากกว่าประเทศอื่น)
10. แต่ต้องพร้อมถอด Safty Belt วิ่งออกนอกรถเสมอ : โดยเฉพาะ เวลามีรถคอนเทนเนอร์วิ่งข้างๆ
แบบไม่มีสลักนิรภัย
11. เวลาขับรถ ควรขับตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด แม้มันจะช้า เพราะว่าคุณไม่รู้หรอกว่า เมื่อไหร่
คุณจะเจอ คนขับย้อนศรมา แบบไม่เปิดไฟ คนขับปาดหน้า ลูกแมวกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้
หรือรถเครนล้มลงมา
12. และอย่าขับช้าไป เพราะอาจจะเจอชนท้าย หรือโดนส่องไฟสูง
13. ขับรถต้องใจเย็น หนักนิดเบาหน่อยปล่อยผ่านไป เพราะเราไม่รู้ว่าใครบ้างที่มีปืน
14. ติดกล้องหน้า (และหลังรถ) เพราะเป็นที่รู้กันดีนานมาแล้วว่า ประเทศไทยไม่มีพยานเท็จและ
ไม่มีแพะ...(555)
15. ถ้ามีเหตุยิงกันตามท้องถนน : ให้ล็อครถ เปิดไฟฉุกเฉิน และหมอบลงต่ำๆ หรือถ้าอยู่นอกรถ
ให้หาที่กำบังและหมอบลงต่ำ ส่วนมากความแม่นยำของพวกนี้ต่ำ มักยิงโดนทุกอย่างยกเว้น
คนที่มันอยากยิง...
16. ทุกช่วงเทศกาล ควรอาศัยในอาคารชั้นล่าง เพราะวันดีคืนดี อาจมีกระสุนตกลงมาจากฟ้า
17. ทุกครั้งที่ยืนใกล้ถนน ให้ระวังคนผลักเสมอ มีทั้งที่ไม่ตั้งใจ และผลักให้รถชนแบบตั้งใจ
18. ทุกครั้งที่ยืนเดินหรือนั่งกินอาหารอยู่ข้างถนน ให้ระวังรถพุ่งขึ้นมาชน ให้มองต้นไม้ขนาดใหญ่
เสาไฟฟ้า หรือตู้โทรศัพท์ที่จะลดแรงปะทะได้ มองหาร้านค้าที่จะกระโดดหลบเข้าไปได้ ทั้งนี้ที่
ผ่านมา ป้ายบอกทาง ป้ายโฆษณา เสาไฟกล้องดำ... น่าจะลดแรงปะทะไม่ได้ โปรดหลีกเลี่ยง
19. ทำประกัน : ทุกสิ่งเกิดได้จริงๆ และหลายครั้งหาคนรับผิดชอบไม่ได้... บางครั้งหาได้ แต่ฝั่งนั้น
ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
20. บอกคนในครอบครัวไว้ด้วย ว่าหากตายไปกระทันหัน เอกสารประกัน/สมุดบัญชีเก็บไว้ที่ใด
"คุณวิกรม กรมดิษฐ์"
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2024 8:43 pm
โดย rosa-lee
( 18 )
Love is…
บทความนี้ พ่อแม่ และครู ชอบมากครับ
เข้าถึง 2ล้านวิว แล้ว เผื่อว่าใครยังไม่ได้อ่าน ครับ
ความผิดพลาดครั้งนึงที่ผมจำมาตลอดชีวิตคือ โกรธที่ลูกไม่ฟัง ไม่ตั้งใจ
เวลาที่ผมสอนคณิตศาสตร์ “เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมลูกไม่ตั้งใจ “
ผมตบโต๊ะ เสียงดัง ผมลืมว่า ลูกยังเด็ก เด็กตัวแค่นี้ จะสนใจคณิตศาสตร์ได้อย่างไร
และคณิตศาสตร์มันอาจไม่ใช่อนาคตของลูก ลูกนำ้ตาคลอ ผมเสียใจมาก
ตั้งแต่นั้นมา ผมเริ่มคิดใหม่ ตั้งใจเป็นพ่อที่สนับสนุนลูก แทนที่จะเป็นพ่อที่ตามใจตัวเอง
จากนั้นมา ลูกชอบอะไร ผมก็จะ สนับสนุน ชอบเล่นอะไร ผมก็เล่นกับลูก
ชอบอ่านแวมไพร์ ผมก็ไม่บังคับให้ไปอ่านหนังสือเรียน ชอบเล่นเกมส์ผมก็เล่นกับลูก
ชอบเที่ยวก็ไปเที่ยวกัน เราไปดูหนังกันบ่อยมาก ผมดูหนังการตูนซำ้ๆ
บางเรื่องดู 6-7 รอบ ลูกชอบโรงหนัง บางทีก็ขอโดดเรียนไปดูหนัง
ผมบอกลูกว่า ไม่ต้องเรียนแข่งกับใคร พ่อไม่สนใจว่าลูกจะสอบได้เกรดเท่าไร
เราเรียนรู้เพราะเราสนใจ การเรียนไม่ใช่ เรื่อง แพ้หรือชนะใคร การเรียนมันคือความสุข
ผมมักถามเขาว่า เรียนสนุกไหม วันนี้ มีเรื่องอะไรสนุกๆในโรงเรียน มาเล่าให้พ่อฟังบ้าง
ดูหนังมากๆ ลูกก็เลย สนใจทำหนัง เขียนบท แล้วเขาก็เริ่มอ่าน ดูยูทุป และเรียนในหลักสูตรต่างๆ
แล้วเขา ก็ทำหนังได้เอง ตั้งแต่เด็ก เพราะเขามีเวลาเต็มที่ กับเรื่องที่เขารัก
..
ทำหนังให้ class ทำคลิป ให้ โรงเรียน แทบทุกงาน ทำหนังให้มูลนิธิ
ทำหนังให้เพื่อนๆ และรับจ้างทำหนัง ทำสื่อสร้างสรรค์ ตั้งแต่เรียนมัธยม
ก่อนจะจบ มอหก เขาสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยทอปเทน ของอังกฤษ
ทางมหาวิทยาลัย บอกว่า เกรดเขาต่ำไป เขาเลยส่งผลงานการทำหนัง
ให้ฝ่ายadmission ดู แล้วถามว่า ถ้าคุณเรียนมอปลายแล้วทำหนังได้ขนาดนี้
คุณจะมีเวลาทำเกรดหรือ ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็รับเข้าเรียน
ตอนนี้ เขามีความสุข ทำงานไป เรียนไป กับสิ่งที่เขารัก ย้ายที่เรียนไปเรื่อยๆ
ในประเทศที่เขาสนใจ ผมเล่าเรื่องนี้ เพราะอยากบอกพ่อแม่และคุณครูทุกคนว่า
ความสุขมันมีค่า สำหรับเด็ก อย่าให้ลูกเรียนด้วยความทุกข์ เพียงเพราะต้องการ
ให้คนยอมรับ อย่าเอาลูกไปเปรียบเทียบกับใคร เขาไม่จำเป็นต้องชนะใคร
หรือพิสูจน์อะไร ทุกคนเก่งได้ในทางของเขา ทางที่เขามีความสุข
สิ่งที่เรา ควรให้เขาคือ
รัก เชื่อมั่น และส่งเสริม ในทางที่เขาเลือก
ผมเชื่อแบบนี้ และทำแบบนี้จริงๆครับ
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 7:59 pm
โดย rosa-lee
( 19 )
เรื่องสั้น
แมวคุณป่วยหรือไม่ จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2545 รวบรวม
โดย กอบกิจ ครุวรรณ
เมื่อเห็นแมวที่บ้านเอาแต่นอน คุณอาจไม่รู้ว่าแมวก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ และมีแมว
จำนวนมากตกอยู่ในอาการเหงาหงอย
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมวคนหนึ่งกล่าวว่า ธรรมชาติของแมวมักใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านเพราะ
ปลอดภัยจากสุนัขและรถยนต์ แต่แมวก็เบื่อหน่ายได้ สัญญาณที่ส่ออาการของโรคซึมเศร้าคือ
1) กินมากเกินไป
2) ไม่ค่อยเลียขน
และ 3) ไม่ค่อยยอมตื่นเมื่อถึงเวลาอาหาร
คุณอาจไม่ต้องพาแมวไปพบจิตแพทย์ เพียงทำตามคำแนะนำดังนี้
1.เล่นกับแมวทุกวันแม้มันจะไม่เล่นด้วยในตอนแรก
2.กระตุ้นสัญชาตญาณการล่าเหยื่อด้วยของเล่นที่กระตุ้นให้มีการตอบสนอง
3.หาที่ให้แมวได้ปีนป่ายและมีเสาไว้ให้แมวลับเล็บแทนการปีนกำแพงหรือตะกุยผ้าม่านเล่น
4.ให้แมวได้ดูสัตว์อื่นบ้าง โดยอาจเปิดวิดีโอประเภทชีวิตสัตว์ให้ดูเล่นบ้างก็ได้
*************************
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 05, 2024 10:35 pm
โดย rosa-lee
. ( 20 )
(#)เรื่องสั้น เดินบนน้ำ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Walking on Water”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ในหมู่บ้านแปลกตาที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเกี่ยวกับ
การเดินบนน้ำได้ของคนในสมัยก่อน
“มายา”เด็กสาวผู้ช่างสงสัยได้ยินเรื่องเล่านี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะเรียนรู้ความลับของการเดิน
บนน้ำได้ เธอจึงไปสอบถามเรื่องนี้กับท่านผู้เฒ่าที่ทุกคนถือว่าเป็นผู้รอบรู้มากที่สุดของชาวบ้าน
เมื่อมายาถามท่านผู้เฒ่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านอมยิ้มและยื่นรองเท้าเก่า ๆ คู่หนึ่งให้เธอ โดย.บอกว่านี่คือ
รองเท้าที่มีเวทย์มนตร์วิเศษ มายารับรองเท้าคู่นั้นมาสวมด้วยความหวังอย่างเต็มที่ระคนกับความตื่นเต้น
จากนั้นเธอก็รีบก้าวเท้าลงไปในทะเลสาบ แต่อนิจจา เธอพบว่าตัวเธอกำลังจมน้ำเพราะรองเท้าที่สวมอยู่นั้น
ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย มายารีบหันตัวกลับก่อนจะจมน้ำจริง ๆ ด้วยความเสียใจ
ท่านผู้เฒ่าซึ่งสังเกตการกระทำของมายาโดยตลอดหัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “ที่จริงความลับไม่ได้อยู่ที่
รองเท้าหรอก แต่อยู่ที่การรู้จักว่า บริเวณใดมีก้อนหินเรียงตัวกันเป็นทางเดินอยู่ใต้น้ำต่างหากล่ะ!”
ข้อคิด : เวทมนตร์ที่แท้จริงมักอยู่ที่ความรู้และความเข้าใจ
: Real magic often lies in knowledge and understanding.
**********************
Re: รวมเรื่องสั้นคติสอนใจดีมาก( ชุดที่ 8)
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 09, 2024 10:58 pm
โดย rosa-lee