
ตอน(8)

~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~

ตอนที่ 2[C]
ฉันเห็นพระเป็นเจ้าเช่นนี้จริงๆ ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเหมือนกับ "ธนาคารที่
คอยแจกจ่ายเงิน" นั่นคือ ฉันสวดสายประคำ แล้วพระองค์ก็จะประทานเงินแก่ฉัน... และถ้าหาก
พระองค์ไม่ประทานให้ ฉันก็จะเป็นกบฏต่อพระองค์ พระเป็นเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นสิ่งเหล่านี้
ทุกประการ เมื่อฉันได้งานทำและมีเงิน ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ไม่มีความรักหรือความกตัญญู
ให้แก่พระองค์แม้แต่น้อย
กตัญญูหรือ? ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่ "ขอบคุณ" ที่ฉันจะมอบแก่พระองค์สำหรับสุขภาพที่ดี หรือ
การมีที่อยู่อาศัย... ไม่มีคำสวดภาวนาเพื่ออุทิศให้แก่คนยากจนที่ไม่มีบ้านหรืออาหารกิน ไม่มีเลย
ฉันช่างอกตัญญูยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นคนอกตัญญูในสายพระเนตรของพระองค์ เมื่อฉันไปเชื่อ
เรื่องโชคชะตาจากเทพีวีนัสและเมอร์คิวรี่ ฉันเชื่อหมอดู เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิตของฉัน ฉัน
เชื่อทุกอย่างที่โลกบอกกับฉัน อย่างเช่น เรื่องการเกิดใหม่ในชาติหน้า... ฉันลืมคุณค่าแห่งพระโลหิต
ของพระเยซูคริสตเจ้าพระเจ้าของเรา
พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า "ทุกสิ่งที่เธอมี ไม่ใช่มาจากการวอนขอของเธอ แต่เป็นพระพรที่เธอ
ได้รับจากสวรรค์ แต่เธอกลับบอกว่าเธอได้รับมาด้วยความสามารถของเธอเอง จากการทำงานและ
การดิ้นรนต่อสู้... เธอได้ทุกอย่างมาด้วยตัวของเธอเอง และด้วยการศึกษาของเธอ ไม่จริงเลย! ดูสิ มี
ผู้เชี่ยวขาญมากมายที่มีคุณสมบัติดีมากกว่าเธอ และทำงานมากกว่าเธอไม่ใช่หรือ?"
พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างบัญญัติสิบประการ เพื่อฉันจะได้รู้ว่าตัวฉันเองเป็นอย่างไร แทนที่ฉัน
จะนมัสการพระเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว ฉันกลับนมัสการซาตาน ในคลินิกส่วนตัวของฉัน มีผู้หญิงที่ทำ
ไสยศาสตร์เข้ามา และบอกฉันว่าเขาสามารถขจัดโชคร้ายออกไปจากที่นี่ได้ เขาบอกว่า ถึงแม้จะไม่เชื่อ
ก็อย่าลบหลู่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเธอก็ทำพิธีของเธอด้วยเกือกม้าและว่านหางจระเข้
และฉันทำอย่างไร? ฉันเปิดประตูให้กับปีศาจ ยอมให้มันเข้ามาได้ตามที่มันพอใจในคลินิกส่วนตัวของฉัน
พวกคุณรู้ไหม มันเป็นสิ่งที่น่าละอายมาก พระเป็นเจ้าทรงวิเคราะห์ชีวิตของฉันด้วยพระบัญญัติสิบประการ
ในส่วนที่เกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ ฉันพูดนินทาทุกคนในทุกเรื่อง ฉันอิจฉาคนอื่น ฉันได้เห็นสิ่งนั้น ฉันพูด
โกหกหลอกลวงคนอื่น เมื่อฉันพูดว่า "ฉันเป็นคาทอลิก" นั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าฉันพูดเท็จและหลอกลวง
ฉันได้ทำสิ่งชั่วร้ายแก่คนหลายคน ฉันไม่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉันด้วย ท่านได้เสียสละเป็นอย่างมาก
เพื่อทำให้ฉันได้รับการศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อฉันได้งานทำแล้ว
ฉันก็ไม่เคยไปหาท่านเลย ท่านไม่อยู่ในสายตาของฉัน โดยเฉพาะแม่ของฉัน เพราะท่านเป็นคนถ่อมตน
และยากจน
พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นถึงการเป็นคนชอบบ่นของฉัน เมื่อฉันตื่นนอน สามีของฉันทักทาย
ว่า "สวัสดีวันใหม่" และฉันตอบว่า "อาจจะเป็นวันดีสำหรับคุณ แต่ดูฝนที่กำลังตกสิ" ฉันชอบบ่นว่าเรื่อง
ต่างๆ เสมอ ทำวันพระเจ้าให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์หรือ? ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ความเศร้าสักเพียงไรที่ฉัน
รู้สึก พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นตัวฉันเอง ฉันใช้เวลาในวันอาทิตย์สี่หรือห้าชั่วโมง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง
ด้วยการเล่นยิมนาสติก ฉันไม่ได้ให้เวลาแก่พระเป็นเจ้าแม้แต่สัก 10 นาที ไม่เคยขอบพระคุณพระองค์
หรือสวดภาวนาอย่างดี... ไม่ ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ตรงกันข้าม ในวันนั้นบางครั้งฉันสวดสายประคำ
ในช่วงพักโฆษณาของละครทีวีอย่างรวดเร็ว ฉันต้องการสวดให้เสร็จในช่วงเวลาโฆษณานั้น ฉันจึงสวด
อย่างเร่งรีบโดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่ฉันสวดอยู่ เพราะกลัวว่าละครอาจจะเริ่มต้นขึ้น ฉันจึงไม่ได้ประโยชน์อะไร
ในการสวดเลย เพราะฉันไม่ได้ยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า
พระเยซูเจ้ายังทรงแสดงให้ฉันเห็นต่อไปว่าฉันอกตัญญูต่อพระองค์อย่างไรบ้าง - ความเกียจคร้าน
ของฉันที่จะไปร่วมพิธีมิสซา... ในตอนที่ฉันยังอยู่กับพ่อแม่นั้น เมื่อคุณแม่บอกให้ฉันไปร่วมพิธีมิสซา ฉัน
ตอบท่านว่า "แม่ ถ้าพระเป็นเจ้าอยู่ทุกหนแห่งแล้ว มีความจำเป็นที่ฉันต้องไปโบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซาด้วย
หรือ?" ฉันพูดไปเช่นนั้นเพื่อที่จะได้อยู่สบายที่บ้าน... และพระเยซูเจ้าทรงแสดงสิ่งนี้แก่ฉัน พระองค์ทรงดูแล
ฉันตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวันและตลอดชีวิตของฉัน แต่ฉันยังเกียจคร้านไม่ยอมอุทิศเวลาเพียงเล็กน้อย
ในวันอาทิตย์ให้แก่พระองค์บ้างเลย อย่างน้อยเพื่อแสดงความกตัญญูและความรักต่อพระองค์... แต่ร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น การไปโบสถ์บ่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้สดชื่น ฉันกลับใช้เวลาทั้งหมด
เพื่อดูแลร่างกายของฉัน ฉันกลายเป็นทาสของเนื้อหนังของตนเองและลืมไปว่าฉันมีสิ่งที่สำคัญที่สุด
นั่นคือฉันมีจิตวิญญาณ และฉันไม่เคยคิดที่จะดูแลวิญญาณของฉันเลย
ในส่วนที่เกี่ยวกับพระวาจาของพระเป็นเจ้า ฉันเคยพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า คนที่อ่านพระคัมภีร์มากๆ
จะกลายเป็นคนโง่ ฉันได้พูดผรุสวาทต่อพระเป็นเจ้า และฉันยังเคยพูดอีกว่า "อะไรล่ะที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด?
พระเป็นเจ้าสถิตที่นั่นจริงหรือ? ในผอบศีลและจอกกาลิกส์นะหรือ? ... พระสงฆ์น่าจะเติมเหล้าบรั่นดีลงไป
ด้วยนะ จะได้ทำให้รสชาติดีขึ้น"
ฉันได้ทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเลวร้ายลงมากยิ่งนัก ฉันละทิ้งจิตวิญญาณของตนเอง
ยังไม่พอ ฉันยังพูดวิจารณ์พระสงฆ์ด้วย พวกคุณรู้ไหม ฉันรู้สึกแย่เพียงไรในเรื่องนี้ขณะที่อยู่เฉพาะพระพักตร์
พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นวิญญาณของฉันที่ตกต่ำลงเพราะการพูดวิจารณ์พระสงฆ์ สิ่งที่เลว
ที่สุดในการพูดวิจารณ์นี้ก็คือ ฉันเคยประกาศว่า พระสงฆ์เป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งคนในชุมชนทั้งหมดได้รับ
รู้สิ่งที่ฉันพูด... คุณคงนึกไม่ถึงหรอกว่ามันเลวร้ายเพียงใดที่ฉันทำต่อพระสงฆ์ ไม่... คุณจินตนาการไม่ออก
หรอก ฉันจะไม่อธิบายเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะต้องใช้เวลานานเกินไป ฉันจะบอกแต่เพียงว่า คำพูดเพียง
คำเดียวมีอำนาจสามารถฆ่าและทำลายวิญญาณได้ ตอนนี้ฉันได้เห็นความชั่วทุกอย่างที่ฉันได้ทำแล้ว ความ
ละอายของฉันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก จนไม่มีคำพูดใดมาอธิบายได้ ฉันจะขอให้พวกคุณอย่าได้ทำเช่นเดียวกับฉัน
เป็นอันขาด จงอย่าพูดวิจารณ์พระสงฆ์ จงสวดภาวนา ฉันได้เห็นว่าความผิดร้ายแรงมากที่สุดที่ทำ
ให้วิญญาณของฉันมีมลทิน และนำคำสาปแช่งมาให้ชีวิตของฉัน นั่นก็คือ การพูดให้ร้ายแก่พระสงฆ์


โปรดติดตามตอนต่อไป

