ประสพการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร.กลอเรีย (1-10 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:29 pm

🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
เนื้อหาทั้งหมด 32 ตอน


👉 ตอน(1)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 1[A]🌳

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
          ดร. กลอเรีย โปโล เป็นทันตแพทย์ เธอถูกฟ้าผ่าและเสียชีวิตในวันที่ 6 พ.ค. 1995 ที่กรุงโบโกต้า
ในประเทศโคลอมเบีย หลังจากเสียชีวิตเธอถูกพิพากษา และกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอได้เล่าประสบการณ์
ของเธอให้ประชาชนจำนวนมากรับรู้
♦️จากการบรรยายของ ดร. กลอเรีย โปโล
วันที่ 5 พ.ค. 2006 กรุงคาราคัส ประเทศเวเนซูเอลา
          สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับดิฉันที่ได้มาอยู่ที่นี่ เพื่อแบ่งปันกับพวกคุณถึง
พระพรอันสวยงามที่พระเยซูเจ้าทรงประทานให้แก่ดิฉัน
          ดิฉันกำลังเล่าเรื่องที่เกิดในวันที่ 5 พ.ค. 1995 ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติที่กรุงโบโกตา มันเริ่มต้น
เมื่อเวลา 16.30 น.
          ดิฉันเป็นทันตแพทย์ ดิฉันและหลานชายอายุ 23 ปี ซึ่งเป็นทันตแพทย์เช่นเดียวกัน เรากำลังศึกษา
เพื่อเป็นทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ในวันนั้นซึ่งเป็นวันศุกร์ เวลาประมาณ 16.30 น. เราทั้งสองกำลัง
เดินไปด้วยกันพร้อมกับสามีของดิฉันไปยังคณะทันตแพทย์ เพื่อไปหาหนังสือที่เราต้องการในห้องสมุด
ของมหาวิทยาลัย ดิฉันกับหลานชายเดินอยู่ใต้ร่มเล็กๆ ส่วนสามีดิฉันสวมชุดกันฝน เขาเดินไปหาที่หลบ
ฝนจึงเดินใกล้กำแพงของห้องสมุดทั่วไป ส่วนดิฉันกับหลานเดินพลางกระโดดพลางเพื่อหลบน้ำที่นองอยู่
ที่พื้น และขณะที่อยู่ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็มีฟ้าผ่าลงมาที่เรา ทำให้เราทั้งสองไหม้เกรียม
        หลานชายของดิฉันเสียชีวิตทันที ฟ้าผ่ามาทางด้านหลัง เผาร่างของเขาจากด้านในร่างกายลงมา
ถึงเท้า เขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาในศาสนามาก เขามีความศรัทธาต่อพระเยซูกุมารเป็นพิเศษและแขวน
เหรียญพระรูปไว้ที่คอเสมอ เจ้าหน้าที่บอกว่าเพราะเหรียญนี้ที่ดึงดูดสายฟ้าให้ผ่าลงมาที่หลานของดิฉัน
ฟ้าผ่าเข้าไปถึงหัวใจและอวัยวะอื่นๆ... หัวใจของเขาหยุดเต้น ไม่ตอบสนองต่อความพยายามปั๊มหัวใจ
ของหมอ เขาเสียชีวิตตรงบริเวณนั้นเอง
        ส่วนดิฉัน ฟ้าผ่าลงมาทางหัวไหล่ และเผาไหม้ทั่วร่างทั้งภายในและภายนอก เนื้อบางส่วนรวมทั้ง
บริเวณทรวงอกหายไปเลย โดยเฉพาะทางด้านซ้าย เหลือเป็นช่องโหว่ เนื้อที่บริเวณท้อง, ขา, ชายโครง
ก็หายไปด้วย ตับ, ไต, ปอด และรังไข่ ไหม้เกรียม... ไฟฟ้าแล่นออกมาทางขาขวา
       เป็นเพราะดิฉันใช่ห่วงคุมกำเนิดซึ่งวัสดุทำด้วยทองแดง มันจึงเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าที่ดี กระแสไฟฟ้า
ได้ทำให้รังไข่ทั้งสองไหม้เกรียม
      ดิฉันได้รับการปั๊มหัวใจ แต่ดิฉันก็เสียชีวิตแล้ว ร่างกายดิฉันกระตุกขณะที่ปั๊มหัวใจด้วยเครื่องปั๊มหัวใจไฟฟ้า
          ร่างกายของดิฉันที่คุณเห็นอยู่ในเวลานี้ เป็นร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นผลจากพระเมตตาของ
พระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:33 pm

👉 ตอน(2)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 1[ B] 🌳

♦️โลกอื่น
          แต่นี่เป็นเพียงส่วนของร่างกายเท่านั้น... ขณะที่ร่างกายของดิฉันถูกเผาและนอนอยู่ที่พื้น
ในชั่วขณะนั้นดิฉันพบว่าตัวเองอยู่ในช่องอุโมงค์แสงสีขาวที่สวยงาม แสงที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งทำให้ดิฉัน
รู้สึกยินดี มีสันติและความสุขซึ่งไม่อาจหาคำใดมาบรรยายความยิ่งใหญ่ในเวลานั้นได้ มันเป็นของจริง
ดิฉันมองดูข้างในและปลายอุโมงค์แล้วดิฉันก็เห็นแสงสีขาว เหมือนดวงอาทิตย์ เป็นแสงที่สวยงาม....
เมื่อดิฉันพูดกับคุณเกี่ยวกับสี เราพูดถึงสีที่ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่บนโลกนี้ มันเป็นแสงที่
วิเศษ ดิฉันรู้สึกถึงสันติสุขและความรักภายในแสงนั้น ของแสงนั้น
        เมื่อดิฉันเข้าไปในอุโมงค์และตรงไปยังแสง ดิฉันพูดกับตัวเองว่า "คาแรมบา ฉันตายแล้ว" และ
ดิฉันก็คิดถึงลูกๆ ดิฉันจึงสะอื้นพูดว่า "แย่จริง พระเจ้าข้า ลูกๆของดิฉันยังเล็ก พวกเขาจะพูดว่าอย่างไร?
แม่คนนี้ช่างเห็นแก่ตัวจริง เธอไม่มีเวลาให้กับพวกเราเลย..." ความจริง ทุกวันดิฉันจะออกจากบ้านตอน
เช้าตรู่ และไม่กลับบ้านก่อนห้าทุ่มตอนกลางคืนเสมอ
      ดิฉันได้มองเห็นความจริงในชีวิตของดิฉันและรู้สึกเศร้าใจมาก ดิฉันออกจากบ้านตั้งใจจะเอาชนะโลก
แต่ได้อะไรเล่า.... ฉันคิดถึงสองสถานที่คือบ้านและลูกๆ... ในเวลานั้นฉันคิดถึงลูกๆ โดยไม่รู้สึกถึงร่างกาย
ตนเอง หรือมิติของเวลาหรือสถานที่ ดิฉันเพ่งมองดู และได้เห็นบางอย่างที่สวยงามมาก ดิฉันเห็นคนทุกคน
ที่รู้จักในเวลาที่มีชีวิตอยู่... อย่างรวดเร็วเพียงชั่วขณะ.... ทุกๆ คนที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ดิฉันสามารถ
โอบกอดคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ (ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว.... ทุกๆ คน... มันเป็นเวลาที่เต็มเปี่ยมด้วยความยินดี
น่ามหัศจรรย์ ดิฉันเริ่มเข้าใจว่าดิฉันได้หลอกตัวเองด้วยความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ - เคยมีคนบอกดิฉันว่า
คุณย่าได้ไปเกิดใหม่แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน เพราะข้อมูลนี้ทำให้ดิฉันเสียเงินไปมากทีเดียว และดิฉันก็
ไม่ได้ทำการค้นหาต่อไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าท่านไปอยู่กับใคร คุณทราบไหม ดิฉันเชื่อในทฤษฎีเรื่องการเกิดใหม่
และเวลานี้... ที่นั่น... ดิฉันให้กอดท่านทั้งสอง...
          ดิฉันโอบกอดท่าน และคนอื่นๆ ที่ดิฉันรู้จักเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว และเป็นเวลา
เพียงชั่วครู่เดียว ลูกสาวซึ่งดิฉันได้โอบกอดไว้ รู้สึกตกใจ เธออายุ 9 ขวบ และเธอรู้สึกถึงการโอบกอดนี้
เพราะดิฉันสามารถโอบกอดคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วย (แต่โดยปกติเราจะไม่รู้สึกถึงการโอบกอดนี้)
          ดิฉันไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปในชั่วขณะนั้นซึ่งงดงามอย่างยิ่ง ดิฉันไม่มีร่างกายอีกแล้ว มันช่างเหลือเชื่อ
ที่ได้เห็นผู้คนด้วยวิธีใหม่ ฉันรู้ว่าแต่ละคนมีลักษณะอย่างไร (อ้วน ผอม น่าเกลียด สวยงาม ฯลฯ)
        เมื่อดิฉันกอดพวกเขา ดิฉันมองเห็นเขาจากภายในด้วย และมันช่างสวยงาม... ดิฉันเห็นความคิดของเขา
อารมณ์ความรู้สึกของเขา
          ดิฉันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อ เต็มไปด้วยสันติและความสุข ยิ่งดิฉันไปไกลเพียงใด ดิฉันยิ่งเห็นสิ่งที่สวยงาม
มากขึ้น ทางด้านล่างดิฉันเห็นสระน้ำที่สวยงาม... ใช่แล้ว สระน้ำที่สวยงามบรรเจิดเพริศแพร้ว ต้นไม้ที่สวยงาม
สวยและมหัศจรรย์จริงๆ... และมีดอกไม้ที่สวยงามยิ่งนัก มีทุกสีและกลิ่นหอม แตกต่างจากดอกไม้บนโลกของเรา...
ทุกอย่างสวยงามเหลือเกินในสวนอันวิเศษน่ามหัศจรรย์นี้... คำพูดไม่สามารถบรรยายได้ ทุกอย่างคือความรัก
          มีต้นไม้สองต้นอยู่ด้านข้าง เป็นลักษณะบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นทางเข้า มันไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เรารู้จัก
คุณไม่สามารถหาสิ่งใดบนโลกที่มีสีแบบนี้ บนนี้ทุกอย่างสวยงามยิ่งนัก... ในเวลานั้นเองหลานชายของดิฉันก็
เข้าไปในสวนอันมหัศจรรย์
          ...แต่ดิฉันรู้สึก ดิฉันรู้ว่า ดิฉันต้องไม่เข้าไปที่นั่น

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 2 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:38 pm

👉 ตอน(3)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 1[C]🌳

♦️การกลับมาครั้งแรก
          ในชั่วขณะนั้นดิฉันได้ยินเสียงสามีของดิฉัน เขาร้องไห้คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า เขาร้องว่า
"กลอเรีย กลอเรีย ได้โปรด อย่าทิ้งผมไป มองดูลูกๆ ของเราสิ ลูกของคุณต้องการคุณ กลอเรีย กลับมา
กลับมา อย่าอยู่เฉย กลับมา"
          ดิฉันได้ยินทุกอย่าง เห็นเขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด... อนิจจา ขณะนั้น พระเป็นเจ้าของเราทรง
อนุญาตให้ดิฉันจากไป... แต่ดิฉันไม่ต้องการกลับมา สันติสุขเช่นนั้น ซึ่งห่อหุ้มดิฉัน ทำให้ดิฉันหลงใหล
แต่อย่างช้าๆ ดิฉันเริ่มเข้าใกล้ร่างกายซึ่งปราศจากชีวิต ดิฉันเห็นร่างที่ปราศจากชีวิตนอนเหยียดยาวอยู่
ในห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย ดิฉันเห็นหมอที่กำลังช็อกด้วยไฟฟ้าที่ร่างของดิฉัน เพื่อทำให้หัวใจเต้น
ดิฉันและหลานชายนอนอยู่บนพื้นนานสองชั่วโมงขณะที่ถูกช็อกด้วยไฟฟ้า พวกเขาพยายามยื้อชีวิตของเรา
          ดิฉันมองดูและยืนด้วยเท้าของวิญญาณ (วิญญาณมีรูปแบบของมนุษย์) ศีรษะของดิฉันมีประกายไฟฟ้า
อย่างรุนแรงและดิฉันก็เข้าไป ดูเหมือนร่างกายจะดูดดิฉันให้เข้าไป มีความเจ็บปวดมากในการเข้าไป ประกาย
ไฟเกิดในทุกส่วน และดิฉันรู้สึกตัวว่าไปประกบกับบางสิ่งที่เล็กมาก (ร่างกายของดิฉัน) เหมือนกับร่างกายเข้า
ไปในเสื้อผ้าของเด็กเล็กๆ ที่ทำด้วยเหล็กอย่างรวดเร็วทันทีทันใดและรุนแรง ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งจาก
เนื้อที่ถูกเผาไหม้ ร่างกายถูกเผาทั้งหมด มีความเจ็บปวดอย่างที่สุด มีควันและไอคุกรุ่นออกมา... ดิฉัน
ได้ยินเสียง หมอร้องออกมาว่า "เธอกลับมาแล้ว เธอกลับมาแล้ว"
          พวกเขาดีใจและมีความสุขมาก แต่ความเจ็บปวดของดิฉันมากจนสุดบรรยาย ขาดำเป็นถ่าน มีเนื้อที่
ยังดีอยู่ที่แขนและร่างกายบางส่วน พวกเขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ดิฉันจะเดินไม่ได้อีก
        แต่สำหรับดิฉันยังมีความเจ็บปวดสาหัสอีกอย่างหนึ่ง ความรู้สึกว่าไร้ความสามารถ สูญเสียความสามารถ
บางอย่าง... ต้องเป็นทาสของร่างกาย ความสวยงาม แฟชั่น ดิฉันเคยใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการเต้นแอโรบิกเพื่อจะ
ได้มีร่างกายที่สวย ไปนวดตัว อดอาหาร ฉีดยา... ทำทุกอย่างที่ทำได้ นี่เป็นชีวิตของดิฉัน เป็นทาสของกิจกรรม
ประจำวันเพื่อที่จะมีร่างกายที่สวย
          ดิฉันเคยพูดกับตัวเองว่า "ถ้าฉันมีทรวงอกที่สวย ทำไมต้องปกปิดไว้ "
          เช่นเดียวกับขาของดิฉัน เพราะดิฉันรู้ว่าดิฉันมีขาที่เรียวงาม มีกล้ามเนื้อท้องที่สวย... แต่ในชั่วขณะนั้น
ดิฉันเห็นว่าชีวิตทั้งหมดของดิฉันช่างไร้ค่า เมื่อไปสนใจกับการดูแลรูปร่าง... เพราะความรักในรูปร่างของตัวเอง
เป็นทุกสิ่งในชีวิตของดิฉัน และตอนนี้ดิฉันไม่มีมันอีกแล้ว ทรวงอกของดิฉันเป็นช่องโหว่ โดยเฉพาะด้านซ้าย
ขาหักและไม่มีเนื้อ... ดำเป็นถ่าน

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:53 pm

👉 ตอน(4)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 1[D]🌳

♦️ที่โรงพยาบาล

        พวกเขานำฉันไปที่ "โซเชียล เซกูโร" (Social Seguro) และทำการผ่าตัดทันที เพื่อเอาเนื้อเยื่อ
ที่ ถูกเผาออก เขาวางยาสลบฉัน ฉันได้ออกจากร่างกายอีกครั้งหนึ่ง มีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับขา
ของฉัน ทุกอย่างเกิดขึ้นทันทีทันใดในเวลาเดียวกัน มันน่ากลัวมาก
       สิ่งแรกที่ฉันต้องบอกกับพวกคุณก็คือ ฉันเป็น "คาทอลิกที่เฉื่อยชา" มาตลอดชีวิต เพราะความ
สัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้ามีเพียง 25 นาทีในมิสซาวันอาทิตย์เท่านั้น มีเพียงเท่านั้น ฉันไปร่วม
พิธีมิสซาที่พระสงฆ์ เทศน์เพียงสั้นๆ เพราะฉันเริ่มเบื่อโบสถ์ที่พระสงฆ์เทศน์นานๆ นี่คือความสัมพันธ์
ของฉันกับพระเป็นเจ้า กระแสของโลกดึงดูดฉันออกมา ฉันไม่มีสิ่งปกป้องชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งได้แก่การ
สวดภาวนาอย่างดีด้วยความเชื่อ แม้แต่เวลาที่ฉันร่วมพิธีมิสซาของวันหนึ่ง ขณะนั้นฉันกำลังศึกษาเพื่อ
เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฉันได้ยินพระสงฆ์ องค์หนึ่งพูดว่าไม่มีนรก หรือแม้แต่ปีศาจก็ไม่มีด้วย นั่นเป็นสิ่ง
ที่ฉันอยากได้ยิน ฉันเริ่มคิดกับตัวเอง ถ้าปีศาจไม่มีและนรกก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเราทุกคนก็ไปสวรรค์
แล้วเราจะต้องกลัวอะไรเล่า?
        สิ่งที่ทำให้ฉันเศร้าใจในเวลานี้ และต้องสารภาพต่อพวกคุณด้วยความอับอายอย่างยิ่ง ก็คือ สิ่งที่
ทำให้ ฉันยังคงยึดติดกับศาสนาคาทอลิกก็คือความกลัวปีศาจ เมื่อฉันได้ยินว่าไม่มีนรก ฉันพูดทันทีว่า
ดีจริงๆ ถ้าเราทุกคนไปสวรรค์ ก็ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นอะไรหรือจะทำอะไร
   เรื่องนี้เป็นเหตุทำให้ฉันยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้า ฉันเริ่มทำตัวห่างจากโบสถ์ และพูดคำหยาบ ฯลฯ
ฉันไม่กลัวบาปอีกต่อไป และเริ่มทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเป็นเจ้า ฉันบอกทุกคนว่าไม่มี
ปีศาจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระสงฆ์สร้างขึ้นมา และทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในคำสอนของพระศาสนจักร
ในที่สุด... ฉันก็มาถึงจุดที่ได้บอกกับเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่จริง และพวกเราเป็น
ผลผลิตของวิวัฒนาการ ฯลฯ ... และหลายคนก็เชื่อตามฉัน
        กลับมาพูดถึงการผ่าตัดต่อ เมื่อฉันเห็นตัวเองในสภาพเช่นนั้น มันช่างน่ากลัวจริงๆ ในที่สุดฉันก็ได้
เห็นว่า ปีศาจมีอยู่จริง พวกมันมาตามหาฉัน พวกมันมาเพื่อให้ฉันดูรายการบาปทั้งหลาย ที่ฉันยอมรับจาก
การนำเสนอของมัน และการเสนอของมันไม่ใช่เป็นของฟรี ต้องมีการจ่าย บาปของฉันก็เป็นเช่นนั้นด้วย
 ในตอนนั้น ฉันเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกำแพงห้องผ่าตัด มันคือ วิญญาณของหลายคนที่ดูคุ้นๆ
พวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง โหดร้าย น่ากลัว ทำให้วิญญาณของฉันสั่นเทา ฉันเริ่มรู้ตัวว่ากำลัง
เผชิญกับ ปีศาจอยู่ ฉันรับรู้อย่างพิเศษ ให้มีความเข้าใจว่า พวกมันแต่ละตัวนั้นเป็นเจ้าหนี้บาปใดบาปหนึ่ง
ของฉัน บาปซึ่ง ไม่ใช่ของฟรี และนั่นเป็นหลักการโกหกของปีศาจที่บอกว่าพวกมันไม่มีอยู่จริง นี่เป็นกลยุทธ
ที่ยอดเยี่ยมในการทำงานของมัน ในการล่อลวงพวกเรา ฉันตระหนักทันที ใช่แล้วมันมีอยู่จริง และมันมา
อยู่รอบตัวฉัน มาหาฉัน คิดดูเถอะ ฉันจะตกใจกลัวมากสักเพียงไร
          ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันหนีไปรอบๆ ห้อง พยายามกลับเข้าไปในร่างของฉัน
แต่เนื้อหนังไม่ยอมรับฉันแล้ว ฉันจึงพยายามหนีให้เร็วที่สุด ฉันผ่านกำแพงห้องผ่าตัดออกไป ไม่รู้ว่าทำได้
อย่างไร หวังว่าจะหลบซ่อนในระเบียงของโรงพยาบาล แต่เมื่อผ่านกำแพงห้อง... ก็ร่วงหล่นลง ฉันกระโดด
ไปยังความว่างเปล่า... ฉันมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์หลายอุโมงค์ซึ่งเป็นทางลงมาเบื้องล่าง ในตอนแรกยังมี
แสงน้อยๆ อยู่บ้าง เหมือนรังผึ้งซึ่งมีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ วัยรุ่น คนชรา ผู้ชาย ผู้หญิง กำลังร้องไห้และ
ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว พวกเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน... ส่วนฉัน ยิ่งตกใจกลัวมากขึ้น และพยายาม
หาทางออกข้างบน ในที่สุดแสงก็เริ่มหายไป... ฉันยังวนเวียนอยู่ในอุโมงค์ ในความมืดที่น่าสะพรึงกลัว
จนในที่สุดมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน และไม่สามารถเปรียบเทียบกับสถานที่ใดๆ ได้... พูดได้
แต่เพียงว่า แม้แต่สถานที่มืดมิดที่สุดในโลกก็ยังเปรียบเหมือนแสงสว่างกระจ่างจ้าในตอนเที่ยงวันสำหรับ
ที่นี่ ข้างล่างนี้เป็นความมืดที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ความหวาดกลัว ความอับอาย และปวดระบมที่สุด
มันเป็นความมืดที่มีชีวิต ใช่ มันมีชีวิต สถานที่นั้นจิตสำนึกจะตายหรือเฉื่อยชาไป ฉันพยายามจนที่สุด
วิ่งหนีไปตามอุโมงค์ทุกแห่ง ฉันมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ด้วยความตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะออกไปจากที่นี่
ให้ได้ เป็นความตั้งใจที่จะมีชีวิต แต่ตอนนี้ฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะฉันติดอยู่ที่นี่และต้องอยู่ที่นี่...
และแล้วถึงจุดหนึ่ง ฉันเห็นพื้นเปิดออกเหมือนปากขนาดใหญ่ ใหญ่มหึมา มันมีชีวิต ฉันรู้สึกตัวเองว่าง
เปล่าไร้ค่า และในตัวฉันเป็นห้วงสมุทรแห่งความหวาดกลัวจนทำให้ตัวเย็นแข็ง ที่ข้างล่างนี้ คุณจะไม่รู้สึก
ถึงความรักของพระเป็นเจ้าเลย ไม่มีสักหยดหนึ่งของความหวัง หุบเหวนั้นดึงดูดฉันให้เข้าไป ฉันร้องกรีด
ออกมาเหมือนคนบ้า เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่สามารถหลีกเลียงจากการร่วงหล่นลงไป... ฉันรู้ว่าถ้าฉัน
หล่นเข้าไปในนั้นแล้ว ฉันจะไม่สามารถกลับขึ้นไปอีกได้เลย ฉันจะต้องอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล มันเป็น
ความตายของวิญญาณของฉัน
          ความตายของวิญญาณของฉัน ฉันจะสูญเสียไปตลอดนิรันดร... แต่ในขณะที่เต็มไปด้วยความกลัว
อันยิ่งใหญ่นี้ พูดให้ถูกก็คือขณะที่ฉันกำลังจะเข้าไปในปากเหว นักบุญอัครเทวดามีคาแอลได้จับขาของ
ฉันไว้... ร่างกายของฉันเข้าไปในห้วงเหวนั้นแล้ว แต่เท้าของฉันยังอยู่ข้างบน มันเป็นช่วงเวลาที่น่าหวาด
หวั่นและ เจ็บปวดอย่างสาหัส ขณะที่ตัวของฉันเข้าไปอยู่ข้างในนั้น แสงสว่างที่ยังคงเหลืออยู่ในวิญญาณ
ของฉันได้รบกวนปีศาจเหล่านั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตแสนสกปรกในนั้นเข้ามาโจมตีฉันทันที พวกมันเหมือนหนอน
ดูดเลือด ซึ่งพยายามจะดับแสงสว่างของฉัน คิดดูเถอะว่ามันน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไร ที่เห็นตัวเองถูก
ปกคลุม ไปด้วยสิ่งมีชีวิตพวกนั้น... ฉันหวีดร้องออกมาเหมือนคนบ้า พวกมันกำลังถูกเผา พวกมันเป็นสิ่ง
มีชีวิตที่ดำมืด เป็นความเกลียดชังที่ถูกเผาไหม้ ทำให้เราสั่นกลัว ทำให้เราอับอาย ไม่มีคำพูดใด
มาบรรยายความน่ากลัวนี้ได้

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 9:56 pm

👉 ตอน(5)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 1[E]🌳

👉วิญญาณในไฟชำระ
          ขอบอกให้ทราบก่อนว่า ฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่นับถือศาสนา แต่ในที่นั้นฉันก็เริ่มร้อง
เสียงดังว่า "วิญญาณในไฟชำระ โปรดช่วยฉันให้ออกไปจากที่นี่ด้วย ฉันขอวิงวอน โปรดช่วยฉันด้วย"
          ขณะที่ร้อง ฉันก็ได้ยินเสียงร้องของคนนับพันพัน... เป็นวัยรุ่น ใช่ทั้งหมดเป็นวัยรุ่น ที่มีความทุกข์
แสนสาหัส ฉันรับรู้ได้ว่า ที่นั่น สถานที่น่ากลัวนั้น ในปลักโคลนแห่งความเกลียดชังและความทุกข์นั้น
พวกเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ส่งเสียงโอดครวญร่ำไห้ซึ่งทำให้ฉันเป็นทุกข์อย่างยิ่งจนฉันไม่อาจลืมได้เลย...
(10 ปีผ่านไปแล้ว ฉันยังคงร้องไห้และเป็นทุกข์เมื่อระลึกถึงความทุกข์ของคนพวกนั้น) .... ฉันกำลังจะ
บอกว่า ในที่ที่นั้น คนพวกนั้นเป็นคนที่ฆ่าตัวตายเพราะความสิ้นหวัง... ตอนนี้พวกเขากำลังถูกทรมาน
ด้วยสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบตัวพวกเขา พวกปีศาจได้ทรมานพวกเขา แต่สิ่งที่ทรมานมากที่สุดคือการที่ขาด
พระเป็นเจ้า เพราะที่นั่นไม่มีใครที่รู้สึกถึงพระเป็นเจ้าเลย คนพวกนั้นจะต้องอยู่ที่นั่น จนกว่าระยะเวลาที่
เขาควรจะใช้ชีวิตบนโลกที่เหลืออยู่จะผ่านพ้นไป เพราะคนที่ปลิดชีวิตตนเอง พวกเขาอยู่นอกพระการุณย์
อันศักดิ์สิทธิ์ คนพวกนั้นที่น่าสงสาร หลาย หลาย หลาย คนเป็นวัยรุ่น... ฉันร้องไห้และเป็นทุกข์มาก...
ถ้ามนุษย์จะรู้สึกถึงความทุกข์นั้นได้ จะไม่มีใครที่จะตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองเลย
          คุณรู้ไหมว่าการทรมานยิ่งใหญ่ที่สุดในนั้นคืออะไร?
          มันคือการที่ได้เห็นพ่อแม่ของเราเอง หรือ ญาติพี่น้อง ซึ่งมีชีวิตอยู่กำลังร้องไห้และเป็นทุกข์ด้วย
ความรู้สึกผิดว่า ถ้าฉันไม่ทำโทษเขา หรือ ถ้าฉันพูดกับเขา หรือ ถ้าฉันไม่พูดกับเขา ถ้าฉันทำอย่างนี้ หรือ
ทำอย่างนั้น... ในที่สุด ความเสียใจนั้นจะเป็นเช่นนี้ มันเป็นนรกสำหรับผู้ที่เขารักซึ่งยังอยู่บนโลก... นี่เป็น
ความทรมานที่ยิ่งใหญที่สุดของพวกเขา และปีศาจก็แสดงภาพเหล่านี้ให้พวกเขาเห็น
          "ดูแม่ของแกร้องไห้สิ เขาเป็นทุกข์สักเพียงไร ดูพ่อของแกสิ พวกเขาคร่ำครวญเพราะแก พวกเขา
ตำหนิตัวเองและกล่าวหากันและกัน ดูความทุกข์ทั้งหมดที่แกเป็นต้นเหตุสิ พวกเขาต่อว่าพระเป็นเจ้า
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแกทั้งสิ้น"
          สิ่งที่คนที่น่าสงสารพวกนั้นต้องการก็คือ ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กลับใจ เปลี่ยนชีวิตของตนเอง
ทำกิจกุศล ไปเยี่ยมคนเจ็บป่วย... และขอมิสซาอุทิศแก่วิญญาณของผู้เสียชีวิตแล้ว วิญญาณเหล่านี้ได้รับ
ประโยชน์มากมายจากกิจการเหล่านี้ วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย แต่พระ
เป็นเจ้าทรงช่วยได้ ใช่แล้ว โดยผ่านทางพิธีมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเราต้องช่วยพวกเขาด้วยวิธีนี้
          ฉันเข้าใจว่าวิญญาณที่น่าสงสารนั้นไม่สามารถช่วยฉันได้ ในความทุกข์ ความเศร้าใจนี้ ฉันเริ่มส่ง
เสียงร้องอีก "ต้องมีความผิดพลาดที่นี่ ดูสิฉันเป็นนักบุญนะ ฉันไม่เคยขโมย ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยทำ
ความชั่วให้ใคร ตรงกันข้าม ก่อนที่ธุรกิจของฉันจะล้มเหลว ฉันนำเข้าสินค้าที่ดีจากสวิสเซอร์แลนด์เพื่อ
ใช้ในการถอนฟันและจัดฟัน หลายครั้งฉันไม่ได้เรียกร้องเงินจากลูกค้า ถ้าเขาไม่สามารถจ่ายได้ ฉันเคย
นำสิ่งของไปให้คนยากจน แล้วทำไมฉันจึงมาอยู่ที่นี่?"
          ฉันร้องเรียกความยุติธรรม ฉันซึ่งเป็นคนดีมาก น่าจะตรงไปสวรรค์ ฉันทำอะไรจึงมาอยู่ที่นี่? ฉันไป
โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ได้สนใจฟังเทศน์ของพระสงฆ์ แต่ฉันก็
ไม่ขาดมิสซา ถ้าหากฉันขาดมิสชาเพียงห้าครั้งตลอดชีวิตของฉันก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แล้วฉันได้ทำ
อะไรจึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า?
          "เอาฉันออกไปจากที่นี่ เอาฉันออกไป" ฉันร้องตะโกนด้วยความกลัว
          "ฉันเป็นคาทอลิก ฉันเป็นคาทอลิก ได้โปรด เอาฉันออกไปจากที่นี่"

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 10:02 pm

👉 ตอน(6)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 2[A]🌳
วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

♦️เห็นพ่อแม่ของฉัน
          เมื่อฉันตะโกนว่าฉันเป็นคาทอลิก ฉันก็เห็นแสงสว่างเล็กๆ ซึ่งเล็กมาก ในความมืด แต่มันเป็น
ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถได้รับ ฉันเห็นขั้นบันไดอยู่บนยอดสุดของหุบเหวนี้ แล้วฉันก็เห็นพ่อ
ของฉัน (ซึ่งตายไปแล้ว) อยู่ตรงทางเข้าของหุบเหวนี้ ท่านมีแสงสว่างที่สว่างไม่มากนัก และขั้นบันได
ที่สี่ขึ้นไป ฉันเห็นแม่ของฉัน มีแสงสว่างที่สว่างกว่ามาก ทันทีที่เห็นพวกท่าน ฉันมีความยินดีเป็นอย่าง
ยิ่งและร้องออกมาว่า "คุณพ่อ คุณแม่ ดีใจจริงๆ มานำฉันออกไปด้วย มานำฉันออกไปจากที่นี่ด้วย
ได้โปรดเถิด คุณพ่อ คุณแม่ ลูกขอวิงวอน โปรดนำลูกออกไปจากที่นี่ด้วย"
        ขณะที่สิ่งที่เล่ามานี้เกิดขึ้น เป็นเวลาที่ร่างกายของฉันกำลังอยู่ในสภาพโคม่า ฉันถูกสวมด้วยสาย
ท่อช่วยหายใจที่ติดอยู่กับเครื่อง แต่อากาศไม่เข้าไปในปอดของฉัน ไตของฉันไม่ทำงาน... ทั้งๆ ที่มี
เครื่องช่วยหายใจ... นั่นเป็นเพราะน้องสาวของฉันซึ่งเป็นหมอและบรรดาเพื่อนๆ ิหมอของเธอ คิดว่า
ไม่สมควรยื้อชีวิตของฉันอีกต่อไป น้องสาวได้พูดกับพี่น้องของฉันว่า ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว เป็น
การดีกว่าที่จะให้ฉันตาย น้องสาวของฉันยืนยันอย่างหนักแน่นต่อญาติพี่น้องคนอื่นๆ ของฉัน
          คุณทราบไหมว่า ฉันก็เคยสนับสนุนการทำ การุณยฆาต
          หมอคนอื่นๆ ไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องยกเว้นน้องสาวของฉันซึ่งเป็นหมอเช่นเดียวกัน เธออยู่
ใกล้ฉันตลอดเวลา
          เมื่อวิญญาณของฉันซึ่งอยู่ในอีกมิติหนึ่งได้เห็นพ่อแม่ ขณะนั้นน้องสาวอยู่ใกล้กับร่างกายของฉันที่
อยู่ในสภาพโคม่า แล้วเธอก็ได้ยินฉันร้องออกมา เธอดีใจมาก และคิดว่าเธอคงช่วยให้ฉันกลับมาได้
          บางทีคุณก็อาจเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ อาจได้ยินบางคนที่หมดสติและร้องออกมา นี่เป็นสิ่งที่เกิด
กับฉัน ฉันร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นพ่อแม่ และขอให้พวกท่านนำฉันออกไป และน้องสาวของฉัน
ก็ได้ยินเสียงของฉัน เธอจึงตะโกนว่า "พี่สาวของฉัน พ่อและแม่ของฉันมาแล้ว พวกแกไปให้พ้น อย่ามายุ่ง
กับเธอ ไปให้พ้น คุณแม่ คุณพ่อ ได้โปรด อย่าเอาเธอไป ไม่เห็นหรือว่าเธอยังมีลูกเล็กๆ อยู่ อย่าเอาเธอไปเลย"
       หมอคนอื่นๆ ต้องดึงตัวน้องสาวของฉันออกไปนอกห้อง เพราะคิดว่าเธอเสียสติด้วยเกิดจากอาการช็อก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจเป็นได้เมื่อคนเราเผชิญกับความเสียใจมากเกินไป เพราะหลานชายของฉันซึ่งเป็นลูก
ของเธอได้เสียชีวิตพร้อมกับฉันด้วย ทำให้เธอนอนไม่หลับถึงสามวัน หมอจึงไม่ประหลาดใจที่เห็นเธอมีสภาพ
เช่นนั้น
        กลับมายังสถานการณ์ของฉัน ฉันดีใจยิ่งนักที่ได้พบกับพ่อแม่ในสถานที่อันน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อพวกท่าน
มองมายังฉัน ท่านรู้สึกเจ็บปวดมากอันแสดงให้เห็นจากใบหน้าของท่าน เพราะในสถานที่นั้นเราสามารถรับรู้
ความรู้สึกของคนอื่นได้ ฉันได้เห็นว่าท่านมีความเจ็บปวดอย่างยิ่ง คุณพ่อถึงกับร้องไห้และพูดว่า "ลูกสาว
ของพ่อ โอ พระเป็นเจ้า ได้โปรด ลูกสาวของผม ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกสาวน้อยๆ ของผม"
          แม่ของฉันสวดวิงวอนทันทีเมื่อท่านเห็นฉัน และเห็นความเศร้าของฉันจากแววตา ถึงแม้ท่านจะร้องไห้
แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบสันติและความอ่อนหวาน ฉันเข้าใจได้ทันทีว่าท่านไม่สามารถดึงฉันออกไปจากที่นี่ได้
สิ่งนี้ทำให้ฉันเป็นทุกข์ทรมานที่เห็นพวกท่านต้องมารับรู้ความทุกข์ของฉันโดยไม่สามารถช่วยเหลือได้ ฉันยัง
เข้าใจด้วยว่า พวกท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้แทนของพระเป็นเจ้าในการทำให้ฉันเรียนรู้ พวกท่านเป็นเหมือน
ติวเตอร์ที่คอยเฝ้าดูแลพระพรต่างๆ ที่พระเป็นเจ้าประทานให้แก่ฉัน โดยเป็นแบบอย่างและพยานยืนยัน พวก
ท่านต้องปกป้องฉันจากการโจมตีของซาตาน และเสริมสร้างชุบชูพระหรรษทานซึ่งพระเป็นเจ้าประทานให้
แก่ฉันในเวลาที่รับศีลล้างบาป พ่อแม่ทุกคนเป็นผู้ปกป้องพระพรของพระเป็นเจ้าที่ประทานแก่ลูกๆ ของเขา
          เมื่อฉันเห็นท่านเป็นทุกข์ โดยเฉพาะพ่อของฉัน ฉันก็ร้องออกมาอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง "โปรดนำลูกออก
จากที่นี่ด้วยเถิด ลูกไม่ได้ทำผิดอะไรที่จะต้องมาอยู่ที่นี่ เพราะลูกเป็นคาทอลิก ลูกเป็นคาทอลิก
โปรดดึงลูกออกไปจากที่นี่"

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 10:09 pm

👉 ตอน(7)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 2 🌳

♦️การพิพากษาของฉัน

        เมื่อฉันร้องออกไปว่าฉันเป็นคาทอลิก ฉันก็ได้ยินเสียงที่อ่อนหวานยิ่งนัก... ช่างอ่อนหวานจนทำ
ให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยสันติและความรัก ทำให้วิญญาณของฉันเริงร่า เจ้าสิ่งมีชีวิตที่แสนน่ากลัวซึ่ง
เกาะกุมฉันอยู่ เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทันทีทันใดก็รีบก้มลงกราบแสดงความเคารพนบนอบ และขออนุญาต
ออกไป เพราะพวกมันไม่สามารถทนทานความอ่อนหวานของเสียงนั้นได้ แล้วก็มีบางอย่างเปิดออก
เหมือนปากที่กำลังเปิดออก พวกมันจึงรีบหนีเข้าไปด้วยความกลัว คิดดูเถิด ฉันได้เห็นปีศาจที่น่ากลัว
ก้มกราบ... เพียงแค่ได้ยินเสียงของพระเป็นเจ้าเท่านั้น แม้แต่ความเย่อหยิ่งของซาตานก็ไม่อาจ
ทนทาน เสียงนี้ได้ เพราะเสียงนั้นเป็นสิ่งที่มันกลัวและไม่ชอบเลย พวกมันรีบคุกเข่าลงทันที
          แล้วฉันก็ได้เห็นภาพพระนางพรหมจารีย์มารีย์ก้มลงกราบนมัสการ ขณะที่พระสงฆ์กำลังยก
ศีลมหาสนิทขึ้น ในระหว่างพิธีมิสซาที่อุทิศแก่วิญญาณของหลานชายของฉัน พระนางพรหมจารีย์มารีย์
ได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือฉัน พระนางก้มลงนมัสการพระเป็นเจ้าของเรา พระนางทรงรวบรวม
บทภาวนาทุกบทที่คนทั้งหลายสวดอุทิศให้ฉันขึ้นถวายแด่พระองค์
          คุณทราบไหม ในขณะที่พระสงฆ์กำลังยกศีลมหาสนิทขึ้น เราจะรู้สึกถึงการปรากฏของพระเยซูเจ้า
ทุกๆ คนจะคุกเข่าลงก้มกราบนมัสการ... แม้แต่ปีศาจ... ส่วนฉัน ซึ่งไปร่วมพิธีมิสซา ไม่ได้แสดงความ
เคารพเลย ไม่สนใจ... แถมยังเคี้ยวหมากฝรั่ง และบางครั้งยังเป่าหมากฝรั่งด้วย ช่างเย่อหยิ่งสิ้นดี
ด้วยเหตุนี้ พระเป็นเจ้าจึงไม่ฟังคำวิงวอนของฉันเมื่อฉันวิงวอนต่อพระองค์
          เชื่อฉันเถอะ มันเป็นที่น่าสะดุดใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดเหล่านั้นรีบก้มลงกราบ
นมัสการแทบพื้นด้วยความหวาดกลัว ขณะที่พระเป็นเจ้าทรงพระดำเนินผ่านพวกมันไป ฉันได้เห็นพระนาง
พรหมจารีย์มารีย์ ทรงนมัสการแทบพระบาทของพระเป็นเจ้าด้วยความกตัญญู ทรงสวดภาวนาเพื่อฉัน
เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์... ส่วนฉัน คนบาป ช่างดื้อดึง ไม่แสดงความเคารพต่อพระองค์ แล้วยัง
พูดอีกว่าฉันเป็นคนดี... สิ้นดีสิไม่ว่า ฉันปฏิเสธพระองค์และยังกล่าวล่วงเกินพระองค์
          คิดดูเถิดว่าฉันเป็นคนบาปหนาสักเพียงไร แม้แต่ปีศาจยังต้องกราบนมัสการพระองค์แทบพื้นดิน
เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงเสด็จผ่านมา...

★★★★★★★★★★★★★

          เสียงนั้น อ่อนหวานยิ่งนัก กล่าวกับดิฉันว่า ดีแล้ว ถ้าเธอเป็นคาทอลิก จงบอกเราสิว่าบทบัญญัติ
ของพระเป็นเจ้ามีอะไรบ้าง?
          ฉันคิดด้วยความหวาดกลัว... คำถามนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อน ฉันรู้แต่เพียงว่ามี 10 ข้อ...
และไม่มากกว่านั้น
          "ฉันจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี?" ฉันคิด ฉันจำได้ว่าแม่เคยบอกว่า บัญญัติข้อแรกคือความรัก ท่าน
พูดถึงเรื่องนี้เสมอ... รักพระเป็นเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ ในที่สุดคำสั่งสอนของแม่ของฉันก็เป็นประโยชน์
ในคราวนี้ ฉันพูดกับตัวเอง ฉันจึงตอบคำถามและหวังว่าจะถูกต้อง... ฉันจึงเริ่มพูด "บัญญัติข้อแรกคือ
จงรักพระเป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"
          "ดีมาก" พระองค์ตรัส "แล้วเธอทำตามหรือไม่? เธอรักเราหรือไม่?
          ด้วยความสับสน ฉันตอบว่า "ดิฉัน... ใช่ ใช่ค่ะ ใช่"
          แต่เสียงที่น่ามหัศจรรย์กล่าวว่า "ไม่"
        ฉันขอยืนยันกับคุณว่าพระองค์ตรัสว่า "ไม่" ฉันรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่ตัวฉันเมื่อได้ยินคำว่า "ไม่"
ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกฟ้าผ่า... ฉันรู้สึกอับอาย หน้ากากของฉันถูกถอดออก ฉันเหมือนตัวเปล่าเปลือย
          เสียงอันอ่อนโยนนั้นตรัสกับฉันต่อว่า "ไม่ เธอไม่ได้รักเราผู้เป็นพระเจ้าของเธอเหนือสิ่งอื่นใด และ
ไม่ได้รักแม้แต่เพื่อนบ้านของเธอเหมือนตัวเองด้วย เธอทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง เธอจะระลึกถึงพระเจ้า
ก็ต่อเมื่อเธอมีความทุกข์ยากลำบากมากเท่านั้น เธอบอกว่า เธอได้คุกเข่าสวดวิงวอน เธอขอมิสซา เธอไป
ร่วมพิธีมิสซา เพื่อสวดภาวนาวอนขอพระหรรษทานหรืออัศจรรย์... เมื่อเธอยากจน ครอบครัวของเธอก็
ถ่อมตน เมื่อเธอปรารถนาที่จะได้งานทำ นั่นแหละเธอจึงจะคุกเข่าสวดภาวนา วิงวอนขอต่อพระเจ้าของเธอ
เธอจะสวดภาวนาเพื่อขอให้เราดึงเธอให้พ้นจากความยากจน และขอให้เธอได้งานทำ เมื่อเธอมีความจก
เป็น เมื่อเธอต้องการเงิน เธอก็จะสัญญาว่า จะสวดสายประคำ... แต่... ข้าแต่พระเจ้าโปรดประทานเงิน
ให้ฉันสักหน่อยเถอะ"
          นี่คือความสัมพันธ์ของเธอต่อพระเจ้าของเธอ แต่เธอไม่เคยรักษาคำสัญญาที่เธอให้ไว้เลยแม้แต่
ข้อเดียว นอกจากไม่รักษาสัญญาแล้ว เธอยังไม่ขอบคุณเราอีกด้วย"
        แล้วพระเป็นเจ้าทรงยืนยันว่า "เธอให้คำสัญญาต่อพระเจ้าของเธอ แต่เธอไม่รักษาคำสัญญานั้นเลย"
          พระเป็นเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นคำภาวนามากมายของฉัน เมื่อฉันขอให้พระองค์ประทานรถคันแรก
แก่ฉัน ฉันสวดภาวนาด้วยความถ่อมตนเป็นอย่างมาก ฉันวิงวอนขอพระองค์ประทานให้ถึงแม้จะเป็นรถเก่า
ก็ได้... และฉันก็ได้รับ แต่เมื่อได้รับตามที่ต้องการแล้ว ฉันไม่เคยกล่าวคำ "ขอบคุณ" พระเป็นเจ้าเลย และ
แปดวันต่อมา นอกจากจะไม่ได้ขอบคุณพระองค์แล้ว ฉันยังปฏิเสธพระองค์และพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์
อีกด้วย พระองค์ทรงแสดงแก่ฉัน พระคุณทุกประการที่ทรงประทานให้ แต่ฉันก็ไม่รู้บุญคุณของพระและ
ไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์เลย

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มิ.ย. 24, 2024 10:17 pm

👉 ตอน(8)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 2[C]🌳

          ฉันเห็นพระเป็นเจ้าเช่นนี้จริงๆ ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเหมือนกับ "ธนาคารที่
คอยแจกจ่ายเงิน" นั่นคือ ฉันสวดสายประคำ แล้วพระองค์ก็จะประทานเงินแก่ฉัน... และถ้าหาก
พระองค์ไม่ประทานให้ ฉันก็จะเป็นกบฏต่อพระองค์ พระเป็นเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นสิ่งเหล่านี้
ทุกประการ เมื่อฉันได้งานทำและมีเงิน ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ไม่มีความรักหรือความกตัญญู
ให้แก่พระองค์แม้แต่น้อย
          กตัญญูหรือ? ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่ "ขอบคุณ" ที่ฉันจะมอบแก่พระองค์สำหรับสุขภาพที่ดี หรือ
การมีที่อยู่อาศัย... ไม่มีคำสวดภาวนาเพื่ออุทิศให้แก่คนยากจนที่ไม่มีบ้านหรืออาหารกิน ไม่มีเลย
ฉันช่างอกตัญญูยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นคนอกตัญญูในสายพระเนตรของพระองค์ เมื่อฉันไปเชื่อ
เรื่องโชคชะตาจากเทพีวีนัสและเมอร์คิวรี่ ฉันเชื่อหมอดู เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิตของฉัน ฉัน
เชื่อทุกอย่างที่โลกบอกกับฉัน อย่างเช่น เรื่องการเกิดใหม่ในชาติหน้า... ฉันลืมคุณค่าแห่งพระโลหิต
ของพระเยซูคริสตเจ้าพระเจ้าของเรา
          พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า "ทุกสิ่งที่เธอมี ไม่ใช่มาจากการวอนขอของเธอ แต่เป็นพระพรที่เธอ
ได้รับจากสวรรค์ แต่เธอกลับบอกว่าเธอได้รับมาด้วยความสามารถของเธอเอง จากการทำงานและ
การดิ้นรนต่อสู้... เธอได้ทุกอย่างมาด้วยตัวของเธอเอง และด้วยการศึกษาของเธอ ไม่จริงเลย! ดูสิ มี
ผู้เชี่ยวขาญมากมายที่มีคุณสมบัติดีมากกว่าเธอ และทำงานมากกว่าเธอไม่ใช่หรือ?"
          พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างบัญญัติสิบประการ เพื่อฉันจะได้รู้ว่าตัวฉันเองเป็นอย่างไร แทนที่ฉัน
จะนมัสการพระเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว ฉันกลับนมัสการซาตาน ในคลินิกส่วนตัวของฉัน มีผู้หญิงที่ทำ
ไสยศาสตร์เข้ามา และบอกฉันว่าเขาสามารถขจัดโชคร้ายออกไปจากที่นี่ได้ เขาบอกว่า ถึงแม้จะไม่เชื่อ
ก็อย่าลบหลู่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเธอก็ทำพิธีของเธอด้วยเกือกม้าและว่านหางจระเข้
และฉันทำอย่างไร? ฉันเปิดประตูให้กับปีศาจ ยอมให้มันเข้ามาได้ตามที่มันพอใจในคลินิกส่วนตัวของฉัน
พวกคุณรู้ไหม มันเป็นสิ่งที่น่าละอายมาก พระเป็นเจ้าทรงวิเคราะห์ชีวิตของฉันด้วยพระบัญญัติสิบประการ
ในส่วนที่เกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ ฉันพูดนินทาทุกคนในทุกเรื่อง ฉันอิจฉาคนอื่น ฉันได้เห็นสิ่งนั้น ฉันพูด
โกหกหลอกลวงคนอื่น เมื่อฉันพูดว่า "ฉันเป็นคาทอลิก" นั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าฉันพูดเท็จและหลอกลวง
ฉันได้ทำสิ่งชั่วร้ายแก่คนหลายคน ฉันไม่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉันด้วย ท่านได้เสียสละเป็นอย่างมาก
เพื่อทำให้ฉันได้รับการศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อฉันได้งานทำแล้ว
ฉันก็ไม่เคยไปหาท่านเลย ท่านไม่อยู่ในสายตาของฉัน โดยเฉพาะแม่ของฉัน เพราะท่านเป็นคนถ่อมตน
และยากจน
          พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นถึงการเป็นคนชอบบ่นของฉัน เมื่อฉันตื่นนอน สามีของฉันทักทาย
ว่า "สวัสดีวันใหม่" และฉันตอบว่า "อาจจะเป็นวันดีสำหรับคุณ แต่ดูฝนที่กำลังตกสิ" ฉันชอบบ่นว่าเรื่อง
ต่างๆ เสมอ  ทำวันพระเจ้าให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์หรือ? ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ความเศร้าสักเพียงไรที่ฉัน
รู้สึก พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นตัวฉันเอง ฉันใช้เวลาในวันอาทิตย์สี่หรือห้าชั่วโมง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง
ด้วยการเล่นยิมนาสติก ฉันไม่ได้ให้เวลาแก่พระเป็นเจ้าแม้แต่สัก 10 นาที ไม่เคยขอบพระคุณพระองค์
หรือสวดภาวนาอย่างดี... ไม่ ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ตรงกันข้าม ในวันนั้นบางครั้งฉันสวดสายประคำ
ในช่วงพักโฆษณาของละครทีวีอย่างรวดเร็ว ฉันต้องการสวดให้เสร็จในช่วงเวลาโฆษณานั้น ฉันจึงสวด
อย่างเร่งรีบโดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่ฉันสวดอยู่ เพราะกลัวว่าละครอาจจะเริ่มต้นขึ้น ฉันจึงไม่ได้ประโยชน์อะไร
ในการสวดเลย เพราะฉันไม่ได้ยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า
          พระเยซูเจ้ายังทรงแสดงให้ฉันเห็นต่อไปว่าฉันอกตัญญูต่อพระองค์อย่างไรบ้าง - ความเกียจคร้าน
ของฉันที่จะไปร่วมพิธีมิสซา... ในตอนที่ฉันยังอยู่กับพ่อแม่นั้น เมื่อคุณแม่บอกให้ฉันไปร่วมพิธีมิสซา ฉัน
ตอบท่านว่า "แม่ ถ้าพระเป็นเจ้าอยู่ทุกหนแห่งแล้ว มีความจำเป็นที่ฉันต้องไปโบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซาด้วย
หรือ?" ฉันพูดไปเช่นนั้นเพื่อที่จะได้อยู่สบายที่บ้าน... และพระเยซูเจ้าทรงแสดงสิ่งนี้แก่ฉัน พระองค์ทรงดูแล
ฉันตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวันและตลอดชีวิตของฉัน แต่ฉันยังเกียจคร้านไม่ยอมอุทิศเวลาเพียงเล็กน้อย
ในวันอาทิตย์ให้แก่พระองค์บ้างเลย อย่างน้อยเพื่อแสดงความกตัญญูและความรักต่อพระองค์... แต่ร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น การไปโบสถ์บ่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้สดชื่น ฉันกลับใช้เวลาทั้งหมด
เพื่อดูแลร่างกายของฉัน ฉันกลายเป็นทาสของเนื้อหนังของตนเองและลืมไปว่าฉันมีสิ่งที่สำคัญที่สุด
นั่นคือฉันมีจิตวิญญาณ และฉันไม่เคยคิดที่จะดูแลวิญญาณของฉันเลย
          ในส่วนที่เกี่ยวกับพระวาจาของพระเป็นเจ้า ฉันเคยพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า คนที่อ่านพระคัมภีร์มากๆ
จะกลายเป็นคนโง่  ฉันได้พูดผรุสวาทต่อพระเป็นเจ้า และฉันยังเคยพูดอีกว่า "อะไรล่ะที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด?
พระเป็นเจ้าสถิตที่นั่นจริงหรือ? ในผอบศีลและจอกกาลิกส์นะหรือ? ... พระสงฆ์น่าจะเติมเหล้าบรั่นดีลงไป
ด้วยนะ จะได้ทำให้รสชาติดีขึ้น"
          ฉันได้ทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเลวร้ายลงมากยิ่งนัก ฉันละทิ้งจิตวิญญาณของตนเอง
ยังไม่พอ ฉันยังพูดวิจารณ์พระสงฆ์ด้วย พวกคุณรู้ไหม ฉันรู้สึกแย่เพียงไรในเรื่องนี้ขณะที่อยู่เฉพาะพระพักตร์
พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นวิญญาณของฉันที่ตกต่ำลงเพราะการพูดวิจารณ์พระสงฆ์ สิ่งที่เลว
ที่สุดในการพูดวิจารณ์นี้ก็คือ ฉันเคยประกาศว่า พระสงฆ์เป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งคนในชุมชนทั้งหมดได้รับ
รู้สิ่งที่ฉันพูด... คุณคงนึกไม่ถึงหรอกว่ามันเลวร้ายเพียงใดที่ฉันทำต่อพระสงฆ์ ไม่... คุณจินตนาการไม่ออก
หรอก ฉันจะไม่อธิบายเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะต้องใช้เวลานานเกินไป ฉันจะบอกแต่เพียงว่า คำพูดเพียง
คำเดียวมีอำนาจสามารถฆ่าและทำลายวิญญาณได้ ตอนนี้ฉันได้เห็นความชั่วทุกอย่างที่ฉันได้ทำแล้ว ความ
ละอายของฉันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก จนไม่มีคำพูดใดมาอธิบายได้ ฉันจะขอให้พวกคุณอย่าได้ทำเช่นเดียวกับฉัน
เป็นอันขาด จงอย่าพูดวิจารณ์พระสงฆ์ จงสวดภาวนา ฉันได้เห็นว่าความผิดร้ายแรงมากที่สุดที่ทำ
ให้วิญญาณของฉันมีมลทิน และนำคำสาปแช่งมาให้ชีวิตของฉัน นั่นก็คือ การพูดให้ร้ายแก่พระสงฆ์

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 25, 2024 7:42 pm

👉 ตอน(9)👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 3[A]🌳
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

♦️สวดภาวนาเพื่อพระสงฆ์

          คนในครอบครัวของฉันมักพูดวิจารณ์พระสงฆ์เสมอ ตอนที่พวกเรายังเป็นเด็ก คุณพ่อของฉัน
และทุกคนในบ้าน เคยพูดวิจารณ์พระสงฆ์ว่า "พระสงฆ์สุขสบายกว่าพวกเรา... พวกเขาเป็นอย่างนั้น
พวกเขาเป็นอย่างนี้... เราเคยพูดอย่างนี้บ่อยๆ
          พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับฉันด้วยเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตะโกนว่า "เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร
จึงทำตัวเป็นพระเจ้าและตัดสินคนของเรา? พระสงฆ์เหล่านั้นเป็นมนุษย์ และเราได้ให้ความศักดิ์สิทธิ์
แก่พวกท่านเพื่อประโยชน์ของชุมนุมชน นี่เป็นสิ่งที่เรามอบให้เป็นพระพร และชุมนุมชนนั้นต้องสวด
ภาวนาเพื่อพระสงฆ์ รักท่านและสนับสนุนท่าน" พวกคุณอาจจะรู้บ้างว่า เมื่อพระสงฆ์หกล้ม บรรดาคน
ในชุมชนนั้นต้องช่วยเหลือท่านในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน  ปีศาจเกลียดชังคริสตชนคาทอลิกยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระสงฆ์ มันเกลียดชังพระศาสนจักรของเรามาก เพราะพระศาสนจักรมีพระสงฆ์ผู้
ยอมอุทิศชีวิตของท่าน
     ฉันขอพูดประโยคนี้ว่า พวกคุณทุกคนรู้ว่า พระสงฆ์ก็คือมนุษย์ผู้อุทิศชีวิตของท่านเพื่อพระเยซูคริสตเจ้า
พระบิดานิรันดรทรงรับรองพวกท่าน เพื่อที่ท่านจะได้ทำอัศจรรย์ในการเสกแผ่นปังให้กลายเป็นพระกาย
ของพระคริสตเจ้า โดยอาศัยมือของพระสงฆ์ จึงได้มีพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้าได้... และ
เพราะมือเหล่านี้เอง ปีศาจจึงเกลียดพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง มันน่ากลัวยิ่งนัก ปีศาจเกลียดชังพวกเราคาทอลิก
ก็เพราะศีลมหาสนิทนี้เอง เพราะศีลมหาสนิทเปิดประตูสวรรค์ และเป็นเพียงประตูเดียวเท่านั้นที่ไปสู่สวรรค์
ปราศจากศีลมหาสนิท ไม่มีใครสามารถไปสวรรค์ได้ เมื่อคนใดโศกเศร้า พระเป็นเจ้าทรงมาอยู่เคียงข้างเขา
ในศีลมหาสนิท ด้วยความเชื่อของเขา พระเยซูเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์และตรัสแก่เขาด้วยความรักและ
พระเมตตาว่า "เราเป็นพระเจ้าของลูก" และเมื่อคนใดวอนขออภัยต่อพระองค์ มีบางสิ่งเกิดขึ้นที่ยากจะ
อธิบายได้ ในทันที พระเยซูเจ้าทรงนำวิญญาณผู้นั้นไปยังโบสถ์ที่กำลังประกอบพิธีมิสซาในเวลานั้น และ
ให้เขาได้รับพระหรรษทานการอภัยบาปและรับศีลมหาสนิท เป็นเวลาแห่งความลึกลับ เพราะผู้ที่รับพระกาย
และพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว จึงจะสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ นี่เป็นเรื่องที่ลึกลับมาก นี่เป็นพระ
หรรษทานที่ยิ่งใหญ่ที่เรามีในพระศาสนจักรคาทอลิก พระหรรษทานที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้แก่พระ
ศาสนจักรของเรา และยังมีหลายคนที่ยังพูดร้ายแก่พระศาสนจักรอีก โดยทางพระศาสนจักรนี่แหละที่พวก
เขาได้รับความรอดและไปสู่ไฟชำระ ที่นั่นพวกเขายังคงได้รับประโยชน์ต่อไปจากพระหรรษทานของศีล
มหาสนิท พวกเขาได้รับความรอดแล้ว เพราะเหตุนี้ ปีศาจจึงเกลียดชังพระสงฆ์เป็นอย่างมาก เพราะที่ไหน
ที่มีพระสงฆ์ ที่นั่นมีมือที่เสกปังและเหล้าองุ่น ทำให้กลายเป็นพระพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า
เพื่อพวกเรา ดังนั้นพวกเราต้องสวดภาวนาเพื่อพระสงฆ์มากๆ เพราะปีศาจมันโจมตีพระสงฆ์ตลอดเวลา
          พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
♦️ศีลศักดิ์สิทธิ์
          โดยอาศัยพระสงฆ์เท่านั้นที่ทำให้พวกเราได้รับศีลแห่งการคืนดี ยกตัวอย่าง โดยทางพระสงฆ์ไม่
เราได้รับการอภัยสำหรับความผิดบาปของเรา พวกคุณหรือไม่ว่าการสารภาพบาปคืออะไร? มันคือ
"การอาบน้ำให้แก่วิญญาณ" ไม่ใช่ด้วยน้ำและสบู่ แต่ด้วยพระโลหิตของพระคริสตเจ้า เมื่อวิญญาณของ
ฉันสกปรก ดำมืดไปด้วยบาป ถ้าฉันไปสารภาพบาป ฉันก็จะถูกชำระล้างในพระโลหิตของพระคริสต์ ยิ่ง
ไปกว่านั้น ฉันยังได้ทำลายเส้นลวดที่มัดฉันกับความชั่วด้วย และนั่นไม่ใช่สาเหตุหรอกหรือที่ปีศาจเกลียด
ชังพระสงฆ์? ผู้ที่มีบาปแม้จะยิ่งใหญ่สักเพียงใด ก็มีผู้ที่มีอำนาจที่ใหญ่กว่าสามารถลบล้างบาปนั้นได้ว
และพระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นว่าทำได้อย่างไร นั่นคือในพระรอยบาดแผลในดวงพระทัยของพระองค์...
ใช่แล้ว พวกคุณรู้ไหม มีบางอย่างที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ เพราะสิ่งนั้นเป็นความจริงฝ่ายจิต
เป็นความจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก... โดยพระรอยแผลของพระเยซู
คริสตเจ้า วิญญาณได้ถูกยกขึ้นสู่ระดับของความศักดิ์สิทธิ์ ระดับของพระเมตตา ระดับของประตูแห่ง
พระเมตตา วิญญาณถูกยกขึ้นสู่ดวงพระทัยของพระเยซูเจ้า สงฆ์นิรันดร และที่นั่น พระเยซูเจ้าทรงวาง
ไม้กางเขนของพระองค์ ทรงหลั่งพระโลหิตในสวรรค์นิรันดร... และวิญญาณกลับขาวสะอาด ฉันเห็น
วิญญาณของฉันกลับขาวสะอาดในการสารภาพบาป และบาปทุกประการที่ฉันสารภาพ พระเยซูเจ้าทรง
ทำลายเหล็กไนที่เชื่อมโยงฉันกับซาตาน (แต่โชคร้ายที่ฉันยังห่างไกลจากการสารภาพบาป)
          ...สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นผ่านทางพระสงฆ์ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสวดภาวนา
เพื่อพวกท่าน เพื่อที่พระเป็นเจ้าจะทรงพิทักษ์รักษาป้องกันพวกท่าน ประทานความสว่างแก่พวกท่าน
และทรงนำทางพวกท่าน
          ด้วยสาเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ ปีศาจจึงเกลียดชังพระศาสนจักรและพระสงฆ์

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6637
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร มิ.ย. 25, 2024 7:49 pm

👉 ตอน( 10 )👈
🎀 ~ ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล ~🎀
🌳ตอนที่ 3 🌳

♦️ศีลแต่งงาน
         ฉันอยากพูดถึงพระหรรษทานยิ่งใหญ่ของศีลแต่งงาน เมื่อเราเข้าไปในโบสถ์ในวันที่เราแต่งงาน
ขณะที่เรากล่าวคำว่า "ค่ะ" สัญญาว่าเราจะซื่อสัตย์ไปจนตลอดชีวิต ไม่ว่าในยามทุกข์หรือยามสุข ไม่ว่า
สุขภาพดีหรือเจ็บป่วย ฯลฯ พวกคุณรู้ไหมว่า คุณกำลังสัญญาอยู่กับใคร? กับองค์พระเป็นเจ้า พระบิดา
พระเจ้านิรันดรของเราทรงเป็นพยานในการแต่งงานของเรา เมื่อเรากล่าวคำเหล่านี้ แต่ละคน เมื่อเสีย
ชีวิตไป จะได้เห็นเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอนในหนังสือแห่งชีวิต เราจะได้เห็นตัวอักษรบันทึกคำสัญญา
ของเราเป็นแสงสว่างอร่ามรุ้งเป็นสีทองพร่างพราวตา พระเป็นเจ้า พระบิดาทรงจารึกคำสัญญาของเรา
ไว้ในหนังสือแห่งชีวิตเป็นอักษรสีทอง งดงามยิ่งนัก
          และในขณะที่เรารับพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า คู่แต่งงานได้ชิดสนิทกับพระเป็นเจ้า
และชิดสนิทกับคู่ของเราที่เราได้เลือกที่จะแบ่งปันชีวิตให้แก่กันและกัน เมื่อเราประกาศคำเหล่านี้
เราได้กล่าวต่อองค์พระตรีเอกภาพพระผู้สูงสุด
          ฉันได้เห็นภาพในวันแต่งงานของฉัน เมื่อฉันและสามีรับศีลมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เราไม่ได้เป็น
สองอีกต่อไป แต่เป็นสาม นั่นคือ เราสองคน และพระเยซูเจ้า ความจริงก็คือ ทันทีที่เราติดต่อกับพระเยซูเจ้า
พระองค์ทรงรวมเราทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงวางเราไว้ในดวงพระทัยของพระองค์ และ
เราก็กลายเป็นหนึ่ง อยู่ในพระเยซูเจ้าและพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์ "มนุษย์อย่าได้แยกสิ่งที่พระเป็นเจ้า
ทรงรวมไว้"
          ฉันขอถามพวกคุณว่า "ใครที่สามารถแยกความเป็นหนึ่งเดียวนี้ได้?" พี่น้องที่รัก ไม่มีใครสามารถ
แยกได้ ไม่มีใครเลย หลังจากศีลแต่งงานได้รวมคู่แต่งงานแล้ว และทั้งคู่มีความบริสุทธิ์ก่อนแต่ง พระพร
ที่พระเป็นเจ้าทรงหลั่งมาให้จากศีลแต่งงานนั้นมากมายมหาศาลซึ่งคุณไม่อาจจินตนาการได้
          ฉันได้เห็นศีลแต่งงานของพ่อแม่ของฉัน เมื่อคุณพ่อสวมแหวนแต่งงานบนนิ้วของคุณแม่ และพระสงฆ์
ประกาศว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน พระเป็นเจ้าทรงรับรองการแต่งงานด้วยแสงสว่างพิเศษ คือพระพรที่
พระองค์ทรงประทานให้แก่ผู้ชาย เป็นพระพรจากพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าพระบิดา เพื่อที่ชายผู้นี้จะ
สามารถนำทางฝูงแกะน้อยๆ นี้ ซึ่งก็คือบรรดาลูกของเขาซึ่งจะเกิดขึ้นจากศีลแต่งงาน และเป็นการปกป้อง
ศีลแต่งงาน และลูกของเขา จากความชั่วร้ายมากมายที่จะมาโจมตีครอบครัว
          สำหรับคุณแม่ พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงวางบางอย่างไว้บนหัวใจของท่าน ซึ่งดูคล้ายกับลูกไฟกลมซึ่ง
สวยงามอย่างยิ่ง มันเป็นความรักของพระเป็นเจ้า คือองค์พระจิตเจ้า ฉันรู้ว่าคุณแม่ของฉันเป็นคนบริสุทธิ์มาก
พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยและชื่นชมยินดี คุณรู้ไหมว่าในขณะนั้นมีจิตสกปรกมากมายพยายามมายึดคุณพ่อ
ของฉัน จิตเหล่านี้เหมือนกับหนอนดูดเลือด คุณรู้ไหมว่าเมื่อมีบางคนที่ไปมีความสัมพันธ์นอกการแต่งงาน
จิตชั่วร้ายจะพยายามโจมตีพวกเขาทันทีในทุกๆ ด้าน มันเริ่มต้นที่อวัยวะเพศ เนื้อหนัง ฮอร์โมน สมอง ต่อม
พิทูอิทารี (ต่อมใต้สมอง) และประสาทสัมผัสทุกส่วนในบุคคลผู้นั้น และมันเริ่มต้นทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน
มากๆ เพื่อทำให้จิตสำนึกตกต่ำลง มันเปลี่ยนแปลงบุตรของพระเจ้าให้กลายเป็นทาสของเนื้อหนังมังสา
เป็นทาสของสัญชาตญาณของเขาเอง ของความต้องการทางเพศ ทำให้บุคคลผู้นั้นใช้ชีวิตอย่างที่พูดกันว่า
หาความสุขให้กับชีวิต
          แต่เมื่อคู่แต่งงานเป็นผู้บริสุทธิ์ นั่นเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระเป็นเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์บังเกิดขึ้นโดย
พระองค์ผู้ทรงทำให้เพศเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงเรื่องทางเพศไม่ได้เป็นบาป พระเป็นเจ้าประทานให้เป็น
พระพรอย่างหนึ่ง เพราะเรื่องเกี่ยวกับเพศนั้นคือพระเป็นเจ้าและคู่แต่งงาน ในที่ซึ่งมีศีลแต่งงานร่วมอยู่ด้วย
ที่นั่นมีพระจิตเจ้า แม้แต่ในขณะที่มีพิธีเลี้ยง พระเป็นเจ้าก็ทรงปรากฏอยู่ ทรงอวยพระพรแก่อาหาร พระเป็นเจ้า
ทรงปีติยินดีก่อนการแต่งงาน พระองค์ทรงพอพระทัยที่มีส่วนร่วมกับคู่แต่งงานในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของ
พวกเขา คู่แต่งงานและพระเยซูเจ้าทรงก่อให้เกิดเป็นตรีเอกภาพขึ้น โชคไม่ดีที่คู่แต่งานหลายคู่ไม่ทราบเรื่องนี้
พวกเขาไม่สังเกตเห็นสิ่งนี้... และพวกเขาอาจไม่คิดถึงพระเป็นเจ้า พวกเขาคิดว่าการแต่งงานเป็นเพียงพิธีอย่าง
หนึ่งเท่านั้น โดยหาได้มีความเชื่อไม่... พวกเขาคิดแต่เพียงว่าจะออกจากโบสถ์และไปงานเลี้ยงกัน เพื่อกินและ
ดื่ม และไปฮันนีมูน... จำไว้ว่าสิ่งนี้ยังไม่ได้เป็นความชั่ว ความชั่วจะเกิดขึ้นเมื่อเราออกห่างจากพระเป็นเจ้า
เช่นเดียวกับที่ฉันได้กระทำ ฉันละทิ้งพระเป็นเจ้าออกไปที่ท้องถนน และไม่คิดจะนำพระองค์มาอยู่ในชีวิต
ใหม่ของฉัน ในบ้านใหม่ของฉัน พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะมีส่วนร่วมกับเราในทุกสถานการณ์ และอยู่กับ
เราตลอดกาลนาน ไม่ว่าในยามทุกข์หรือยามสุข พระองค์ปรารถนาให้เรารู้สึกว่าพระองค์ทรงปรากฏอยู่ที่
นั่นด้วย... แน่นอนว่าในศีลแต่งงาน พระองค์ทรงปรากฏอยู่แม้จะไม่ได้รับเชิญ... แต่จะเป็นสิ่งประเสริฐสัก
เพียงไร ถ้าหากพวกเราจะตระหนักถึงการปรากฏอยู่ของพระองค์ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ สิ่งประเสริฐอีกอย่างหนึ่ง
ในพิธีศีลแต่งงานของพ่อแม่ของฉันก็คือ พระเป็นเจ้าทรงประทานพระพรและพระหรรษทานที่คุณพ่อของฉัน
ได้สูญเสียไปให้กลับคืนมาใหม่ เพราะท่านแต่งงานกับคุณแม่ของฉันซึ่งเป็นผู้ที่บริสุทธิ์มาก ฉันมองดูพ่อของฉัน
เห็นความประพฤติที่เกี่ยวกับทางเพศของท่านซึ่งไม่ดีเลย แต่เพราะท่านถือว่าตัวเองเป็น "ลูกผู้ชาย" และมิตร
สหายของท่านได้วางยาพิษท่าน (แนะนำสิ่งไม่ดีให้) โดยบอกว่าอย่าให้ภรรยาเป็นใหญ่ในครอบครัว ควร
ใช้ชีวิตเหมือนก่อนแต่งงาน ดังนั้นหลังจากแต่งงานสองสัปดาห์ ท่านไปที่ทำงานแห่งหนึ่ง และอวดเพื่อนๆ
ว่าท่านเป็นใหญ่กว่าภรรยา...

🎊🌸โปรดติดตามตอนต่อไป🌸🎊
ตอบกลับโพส