บทความดีๆ ของคุณพ่อ สมชาย อัชลีพรสันต์ (6)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 8:29 pm

( 1 )

“ถอดบทเรียนจากปลาหมอคางดำ”

ปลาหมอคางดำถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของมันอยู่แทบทวีปแอฟริกา ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นปลาสวยงามที่
เลี้ยงอยู่ในตู้ปลามาก่อน ตอนแรกๆเห็นภาพในข่าวสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันสวยตรงไหน จึงนำมา
เลี้ยงเป็นปลาสวยงาม แต่หลังจากไปเปิดหาข้อมูลศึกษาดูปรากฏว่ามันเป็นปลาสวยงามจริงๆ ที่มี
ธรรมชาติเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไปที่ตัวผู้จะสวยกว่าตัวเมีย เป็นต้นฤดูผสมพันธ์ตัวผู้จะไป
แหวกดินเลนทำรังและเกล็ดของมันจะเริ่มมีสีสวยงาม ครีบจะแผ่กว้างหางจะยาวสง่างามเพื่อเรียก
ตัวเมียให้เข้ามาหา ชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งซึ่งไม่มีของเล่นมากนักเหมือนในยุคปัจจุบัน
คงไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าสัตว์เลี้ยงซึ่งพยายามไปสรรหามาเลี้ยง ลูกเป็ด ลูกไก่ กระรอก กระแต
นกนาๆชนิด ปลากัด ปลาสวยงามต่างๆ บรรดาลูกของสัตว์ทุกชนิดเวลาตัวมันเล็กๆมันจะน่ารัก
แต่เมื่อมันโตแล้วมันจะไม่น่ารักเหมือนเดิม ตอนนี้แหละปัญหาจะเกิดเพราะคนเลี้ยงจะนำไปปล่อย
ตามที่ต่างๆตามวัดวาอารามถ้าเป็นปลาก็จะปล่อยลงคลองลงแม่น้ำ จนกลายเป็นปัญหาความจริง
ปลาหมอคางดำไม่ใช่ปัญหาแรกที่สังคมต้องเผชิญ แต่สังคมไทยเผชิญกับปัญหานี้มาหลายครั้ง
หลายคราว สุนัขจรจัด กิ้งก่าอีกัวน่า ปลาเทศบาล เต่าญี่ปุ่น นกพิราบ รวมทั้งเด็กเร่ร่อนตามท้องถนน ฯลฯ
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งมาด้วยความรักและทรงรักทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์
สร้างมาพระองค์ต้องประทานกลไกกับทุกสิ่งในการปรับตัว ดังนั้นเราจึงพบว่าไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ต้องอยู่
ในสภาพแวดล้อมที่ลำบากต้องพยายามเอาตัวรอด เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้คนหรือสัตว์เหล่านี้
จึงไม่ธรรมดา ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือแข็งแรงตัวใหญ่ดุร้ายกว่าคนหรือสัตว์ธรรมดาทั่วๆไป ยกตัวอย่างเต่าญี่ปุ่น
ที่มีคนเอาไปปล่อยมันทำลายเต่าไทยเพราะมันขยายพันธ์เร็วมากและแข็งแรงกว่า กิ้งก่าอีกัวน่าที่พบอยู่ใน
ธรรมชาติตัวมันใหญ่และสะเทินน้ำสะเทินบกเหมือนตัวเงินตัวทองบ้านเรา กินปลากินซากเน่าเหมือนกันเลย
จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า “มันคือตัวเงินตัวทอง (ตัวเห...แอฟริกา)” เคยได้รับเชิญไปอบรมเด็กเร่ร่อนเด็กๆ
ที่ไม่มีพ่อแม่ดูแลที่วัดแม่พระมหาการุญ ปากเกร็ด ในระยะเริ่มต้นที่คณะธรรมทูตแห่งอิตาลี ปีเม (P.I.M.E.)
พยายามเข้าไปดูแลเด็กๆเหล่านี้ ก่อนจะไปคิดว่ามีประมาณ 50-60 คน พอไปถึงเห็นแล้วตกใจเด็กๆที่มา
รวมตัวกันที่วัดแม่พระมหาการุญมีประมาณ 600-700 คน พออบรมเสร็จจึงถามคุณพ่อที่จัดกิจกรรมนี้ว่า
“คิดย่างไรจึงเข้าไปดูแลเด็กๆเหล่านี้ตามชุมชนต่างๆ” คุณพ่อตอบว่า “นี่ยังมากันไม่หมดนะคุณพ่อ ถ้าเรา
ไม่ยื่นมือเข้าไปดูแล เด็กๆเหล่านี้จะโตขึ้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ส่วนใหญ่คงต้องกลายเป็น
พวกมิจฉาชีพ เป็นอันธพาล ติดยาเสพ เป็นโจร ฯลฯ และบ้านที่พวกเขาจะไปปล้นไปเผาหลังแรกๆน่าจะ
เป็นบ้านของคุณพ่อนะ” เพราะบ้านของคุณพ่อเมื่อเทียบกับบ้านที่พวกเขาอยู่บ้านในชุมชนใกล้ๆวัด บ้าน
ของคุณพ่อดูหรูหรากว่ารวยกว่าบ้านของพวกเขาเยอะ นี่เป็นเพราะการขาดความรับผิดชอบทำอะไรเห่อ
เป็นพักๆเป็นต้นการเลี้ยงสัตว์ เมื่อเลิกเห่อแล้วก็ทิ้งขว้างกลายเป็นปัญหาของสังคมเช่นเดียวกับปลาหมอ
คางดำ ขอให้บทความนี้ปลุกความรับผิดชอบให้พวกเราลุกขึ้นมาดูแลกันและกัน สามีภรรยา ลูกๆ ผู้สูงอายุ
สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม พระสันตะปาปาฟรังซิสเขียนสมณสาสน์ เลาดาโตซี (Laudato si) เตือนใจว่า
“โลกเป็นบ้านของพวกเราทุกคน (common Home)” พวกเราต้องช่วยกันดูแลรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ถ้ามนุษยชาติไม่ช่วยกันดูรักษาทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม กลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ
ประเทศกำลังพัฒนา คนยากจน ผู้เปาะบางทั้งหลาย กลุ่มคนส่วนน้อยที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือประเทศ
ที่มหาอำนาจและคนร่ำรวย ก่อนจะทำอะไรถามใจเราเองก่อนว่าเราสามารถรับผิดชอบถึงที่สุดได้หรือไม่

ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คุณพ่อ อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 8:32 pm

( 2 )


การน้อมรับฟังพระวาจาและการติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้า

การน้อมรับฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ กับการติดตามองค์พระเยซุคริสตเจ้าดูเหมือนว่า
เป็นเรื่องสองเรื่องแต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน คนๆหนึ่งที่น้อมรับฟังพระวาจาของพระเจ้าแล้วนำ
ไปปฏิบัติ ก็คือผู้ที่กำลังติดตามองค์พระเยซูคริสเจ้านั่นเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนหนึ่งจะกล่าวว่าเขา
กำลังติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้า แต่เขาไม่เชื่อมั่นและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ “ผู้ใดรักเรา
ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา....ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ปฏิบัติตามวาจาของเรา”(ยน.14:23-24) พระวาจา
ของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญยอห์น ทำให้เราทราบว่า ความเชื่อ ความวางใจ ความรัก การติดตาม
องค์พระเยซูคริสตเจ้า และการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ได้ “ผู้ที่เชื่อในเรา
ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย....ถ้าท่านทั้งหลายรักเราท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา
”(ยน.14:12-15) การเชื่อ รัก วางใจ และติดตามพระเยซูคริสตเจ้า เรียกร้องการติดสินใจที่เด็ดขาด
ตลอดไปไม่ใช่บางเวลา บางส่วน และไม่มีการประนีประนอม “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้น
ก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า”(ลก.9:62)
“ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้”(ยน.6:60) เรากำลังอยู่ในบรรยากาศเรื่องการทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา
2 ตัว (ยน.6:1-64) ในช่วงแรกๆประชาชนติดตามพระเยซูคริสตเจ้าเพราะติดใจขนมปัง “ท่านแสวงหาเรา
มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม”(ยน.6:26) แต่หลังจากพวกเขาได้ฟัง
เรื่องปังทรงชีวิตซึ่งเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า “ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชี
วิตนิรันดร”(ยน.6:54) พวกเขารับไม่ได้คิดว่าพระองค์เป็นบ้ากล่าวถ้อยคำขัดหูพวกเขาจึงเริ่มตีจากพระองค์ไป
พระเยซูคริสตเจ้าจึงถามอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ”(ยน.6:67) เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า
พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร”(ยน.6:68) บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้เรารำพึง
ถึงความเชื่อ การติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้า และการปฏิบัติศาสนกิจของเรา เราติดตามพระองค์และปฏิบัติ
ศาสนกิจเพราะอะไร ในช่วงชีวิตแบบไหน เพราะความเชื่อ การติดตามพระเยซูคริสตเจ้าที่มีเงื่อนไขซ่อนเร้น
แอบแฝงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้การน้อมรับฟังพระวาจาและการติดตามองค์พระเยซุคริสตเจ้า จะทำตามความพึงพอใจของเรา
เป็นบางช่วงบางตอนไม่ได้ เพราะพระวาจาของพระเจ้าที่เราอ่านหรือฟังบางครั้งก็ตรงใจเรา นำความสุขใจ
มาให้ บางครั้งก็เป็นสิ่งเตือนสอนที่ทิ่มแทงใจเราทำให้เราเจ็บ การติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้าเป็นการเดิน
ทางบนหนทางแห่งไม้กางเขน ความเป็นจริงของชีวิตนั้นมีทั้งเวลาสุขเวลาทุกข์ เวลาป่วยเวลาสบาย เวลา
สมหวังเวลาผิดหวัง ความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง และความเจ็บปวดในชีวิตเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย
ความเชื่อความศรัทธาของเราคริสตชนว่า เราจะติดตามพระเยซูคริสตเจ้าจนตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะใน
ช่วงชีวิตเช่นนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตีจากพระองค์ไปแล้ว ท่ามกลางกางเขนแห่งชีวิตพระองค์จะถามเราเหมือน
กันว่า แล้วพวกท่านเล่าจะไปกับเขาด้วยหรือเปล่า ถ้าเรามีประสบการณ์แห่งความเชื่อได้เคยลิ้มรสความดีงาม
ของพระเจ้ามาแล้ว เราคงจะตอบว่า “พระเจ้าข้าเราจะไปไหนเพราะพระองค์เท่านั้นสามารถให้ชีวิตกับพวกเรา”

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 8:39 pm

( 3 )


“มืดแปดด้าน”

บางช่วงจังหวะเวลาแห่งชีวิตหลายๆคนเคยคงพบกับสภาพ “มืดแปดด้าน” คิดไม่ออก
บอกไม่ถูก อับจนปัญญา ไม่รู้จะหาทางออกทางไหน ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ไปไม่เป็น มีความสงสัย
อยู่เหมือนกันว่าสำนานไทยวลีนี้มาจากไหน ทำไมต้องมืดแปดด้าน ที่มืดแปดด้านเพราะทิศของคนไทย
มี 8 ทิศ ความจริงความคิดนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงซอยทิศจากทิศทั้งสี่ อาทิ ตะวันออกเฉียงเหนือ ฯลฯ
เพื่อบอกว่าอบจนปัญญามันมืดจริงๆทางออกมันตีบตันไม่มีช่องหรือรูพอจะลอดออกไปได้เลย ผู้เขียน
เคยประสบกับสภาพอย่างนี้มาแล้วตอนถูกส่งไปอยู่บ้านอับราฮัม ตอนนั้นเปรียบตนเองเหมือนถูกยางลบ
ลบชื่ออกจากทำเนียบของคนดีและคณะสงฆ์ และคิดว่าเรายังทำหน้าที่สงฆ์ได้อยู่หรือเปล่าจึงเขียนบอก
กับผู้อ่านว่า “จะไม่เขียนบทความแบบที่กำลังเขียนอยู่นี้ต่อไปแล้ว เพราะปากกาถูกหักทิ้งชื่อโดนลบจาก
ทำเนียบ” แต่มีผู้อ่านหลายๆท่านให้ความเห็นว่า “อำนาจความยิ่งใหญ่อาจจะลบชื่อพ่อได้ แต่ลบความคิด
อ่านที่ดีงามของพ่อไม่ได้” ความคิดอีกอย่างหนึ่งแวบเข้ามาเราอายุหกสิบกว่าเกษียณอายุแล้ว “จะตั้งต้น
อย่างไรอยู่ที่ไหนทำอะไร” “จะไปขอทานก็อายเขา จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว..” แต่โชคดีที่พระเจ้าดลใจให้
พี่น้องบางคนโทรศัพท์มาเสนอทางออกให้ลางๆพอจะเป็นไปได้ จึงคิดว่าแม้มนุษย์จะอับจนปัญญาอับจน
หนทางแต่สำหรับพระเจ้า “ทุกสิ่งอย่างเป็นไปได้ และมีทางออกเสมอ” เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็นประตู
และเป็นแสงสว่างของเรา สภาพมืดแปดด้านที่เกิดในชีวิตเราคือสภาพแห่งความสิ้นหวัง ปีหน้าปี 2025
ครบ 25 ปีแห่งปีศักดิ์สิทธิ์นับจากปี 2000 เพราะทุกๆ 25 ปีพระศาสนจักรจะประกาศปีศักดิ์สิทธิ์ปีแห่ง
พระหรรษทานซึ่งพระศาสนจักรผู้แทนของพระเยซูเจ้าบนโลกนี้ประกาศ เพื่อให้เคริสตชนมีโอกาสได้รับ
พระหรรษทานจากพระเจ้าเป็นพิเศษ ปีศักดิ์สิทธิ์ในปี 2025 ปีหน้า พระศาสนจักรเน้นในเรื่องพระหรรษทาน
แห่งความหวัง “การจาริกแห่งความหวัง” ความหวังคือความปรารถนาความคาดหวังถึงสิ่งดีๆที่จะเกิด
เป็นมาในอนาคต อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจึงอาจจะทำให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความขัดแย้ง
ความไม่มั่นใจในอนาคต ซึ่งเราต้องฝากไว้กับพระเจ้าด้วยความเชื่อและวางใจ ดังนั้นพระศาสนจักรจึง
นำประโยคที่นักบุญเปาโลเคยให้กำลังใจ กลุ่มคริสตชนที่กรุงโรมในสภาวการณ์การถูกเบียดเบียน
“ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง” (รม. 5:5) มาประกาศให้กำลังใจคริสตชนที่กำลังเผชิญกับปัญหา
ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ การระบาดของ COVID สงครามที่เกิดขึ้นหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งกำลังจะ
ลุกลามเป็นสงครามโลก ปัญหาเศรษฐกิจ ฯลฯ ความทุกข์ยากลำบากต่างๆและปัญหาเหล่านี้คุกคามสั่ง
คลอนความหวังและกำลังใจของมนุษยชาติ ซึ่งเราคริสตชนต้องเป็นพยานแห่งความหวังในพระเจ้าท่าม
กลางปัญหาความทุกข์ลำบากที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ ปีศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นโอกาสที่คริสตชนทั้งหลายต้อง
ฟื้นฟูความหวังขึ้นใหม่ เพื่อเราคริสตชนจะได้สามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการสร้างโลกและ
สังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ตามแนวทางแห่งบทภาวนาของนักบุญฟรังซิส อัสซีซี “ที่ใดมีความเกลียดชัง เรา
ต้องนำความรักและการให้อภัย ที่ใดมีความเศร้าโศก เราต้องนำความบรรเทาความชื่นชมยินดี ที่ใดมี
ความมืดมนเราต้องเป็นแสงเทียน ที่ใดมีความผิดหวังสิ้นหวัง เราต้องนำความหวัง ฯลฯ” ขอปีศักดิ์สิทธิ์
ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งพระหรรษทานสำหรับพวกเราทุกๆคน แม้พวกเราอาจจะไม่สามารถ
เดินทางไปจาริกแสวงบุญที่กรุงโรมดินแดนแห่งอัครสาวกเปโตรและเปาโลได้ แต่เราสามารถจาริกแสวง
บุญในประเทศของเราได้ ซึ่งพระศาสนจักรในประเทศไทยจะกำหนดที่และประกาศต่อไป

ขอให้ทุกๆคนมีความหวังและก้าวหน้าต่อไป
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 8:45 pm

( 4 )

กฎของมนุษย์และกฎของพระเจ้า

“ของประทานทุกอย่างที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบนลงมาจากพระบิดา.....พระองค์ไม่ทรง
เปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใดๆ”(ยก.1:17) นักบุญยากอบทำให้เราสามารถ
แยะแยกได้อย่างชัดเจนระหว่างกฎของมนุษย์และกฎของพระเจ้า เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมนุษย์
จึงมีการกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้น กฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตราขึ้นนี้เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความ
เหมาะสมตามยุคตามสมัย แต่กฎของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้นักบุญยากอบให้เหตุผลว่า “พระเจ้า
เป็นความดีบริบูรณ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ในเมื่อพระเจ้าเป็นเช่นนี้กฎเกณฑ์ที่พระองค์ตราขึ้นต้องมีคุณ
ลักษณะเช่นเดียวกันคือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีข้อบกพร่อง เป็นสากลเหมาะกับชนทุกชาติทุกยุคทุก
สมัย “ท่านจะต้องไม่เพิ่มเติมสิ่งใดลงไปในข้อความที่ข้าพเจ้าสั่ง และต้องไม่ตัดตอนใดออกไป”(ฉธบ.4:2)
ปัญหาของชาวยิวเป็นต้นพวกฟาริสีซึ่งภูมิใจว่าตนเป็นศิษย์ของโมเสส พวกเขาเคร่งครัดในการถือบท
บัญญัติของโมเสส คือความสับสนปนเประหว่างกฎของพระเจ้าและขนบธรรมเนียมที่พวกเขาเขียนขึ้น
ภายหลัง “เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่นๆอีกมากมาย เช่น การล้างถ้วยจานชาม และภาชนะทองเหลือง”
(มก.7:4) นอกนั้นพวกเขายังถือกฎเกณฑ์เหล่านั้นอย่างตาบอด ขาดความเข้าใจในจิตตารมณ์แห่งกฎเ
กณฑ์จนเป็นเหตุทำให้พวกเขาขาดความรักต่อเพื่อนพี่น้อง “ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า
กลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์”(มก.7:8) ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของชาวยิวพวกเดียวเท่านั้น แต่ยัง
เป็นปัญหาของคริสตชนไทยในปัจจุบันด้วย สาเหตุมาจากเรื่องเดียวกันคือเราไม่เข้าใจในสิ่งที่เราปฏิบัติ
และนำเอาขนบธรรมเนียมอื่นๆเข้ามาปะปนกับจารีตของพระศาสนจักร อาทิ การตั้งศพเพื่อสวดภาวนา
อุทิศแก่ผู้ล่วงลับต้องตั้งกี่วัน การกำหนดวันเวลาแต่งงาน ฯลฯ ถ้าไม่ขัดกับพระบัญญัติของพระเจ้า และ
ไม่เป็นภาระอุปสรรค์ในทางปฏิบัติก็คงไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่จะเป็นและมีการเอ่ยอ้างถึงภัยพิบัติโชคลาง
ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เร้นลับเสมอ โดยมีข้อแก้ตัวว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” จนเป็นมูลเหตุทำให้เราทำ
ผิดพระบัญญัติของพระเจ้าประการที่ 1 และมีเรื่องขัดแย้งกับพระสงฆ์
การถือพระบัญญัติกฎเกณฑ์อย่างถูกต้อง ต้องถือด้วยจิตตารมณ์ ซึ่งมาจากจิตใจ + อารมณ์ สิ่งที่ปฏิบัติ
ต้องเป็นสิ่งที่มันคุกรุ่นอยู่ภายในมีการไตร่ตรองจนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และแสดงออกโดยการ
ปฏิบัติด้วยความรัก พระเยซูคริสตเจ้าจึงสอนว่า ความดีและความชั่วนั้นเกิดจากภายในแล้วออกมาภายนอก
“ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา”(มก.7:6) “สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออก
มาจากภายใน และทำให้มนุษย์มีมลทิน”(มก.7:23) ภายในหมายถึงจิตใจ จิตใจนี้มิได้หมายถึงอวัยวะหัวใจ
ซึ่งทำหน้าที่สูบฉีดโลหิต แต่เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมที่เราใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดวงใจ จึงสามารถเป็นที่สะสม
ความดีและความชั่วซึ่งเป็นนามธรรม อาทิ ใจดี ใจร้าย ใจเมตตา ใจดำ ฯลฯ ดังนั้นการปฏิบัติของเราจะเป็น
ที่พอพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้องตามตัวอักษร แต่ต้องมาจากใจที่บริสุทธิ์เต็มไปด้วยความเชื่อ
ความรักความเมตตา พระเยซูคริสตเจ้าจึงสอนให้ชำระจิตใจของเราให้ปราศจากความเลวร้ายเสียก่อน
แล้วเมื่อเราปฏิบัติสิ่งใดสิ่งนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะทุกสิ่งที่เราทำมันออกมาจากจิตใจที่ดีงามของเรา

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ส.ค. 30, 2024 8:50 pm

( 5 )

“ลูกสาวแห่งความหวัง”
ถ้าเราลองไตร่ตรองพิจารณาวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน เราจะพบว่าคุณธรรมความเพียรอดทน
ขาดหายไปจากวิถีชีวิตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่มันสามารถสรรหา
หลายสิ่งหลายอย่างให้กับเราอย่างทันอกทันใจ คำว่า “เดี๋ยวนี้” “รวดเร็ว” “ทันที” จึงเป็นคำพูดที่เป็น
กุญแจสำคัญในการโฆษณา และวิถีชีวิตของคนในยุคอินเทอร์เน็ตแรงๆ เราเคยสังเกตไหมว่า “ลูก
หลานของเราสะกดคำว่ารอคอยไม่เป็นแล้ว” ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้ทันทีทันใจถ้าไม่ได้จะโกรธอารมณ์
เสียและมีปฏิกิริยาต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ ในยุคที่มนุษย์กำลังบ้าคลั่งกับความรีบด่วนรวดทันทีทันใจ
คุณธรรมความเพียรอดทนจะถูกละเลยเห็นเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา เพราะใจของเรามนุษย์ไม่มีที่
ว่างและเวลาพอสำหรับ “การอคอยและความเพียรอดทน” จึงเกิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ “มนุษย์หัวร้อน”
อาทิ ขับรถเร็วไม่ได้อย่างใจ จะกดแตร กระพริบไฟ จนมีเรื่องยิงกันฆ่ากันตาย เคยแวะเข้าไปเยี่ยมพระครู
เจ้าอาวาสวัดใกล้เคียงกับวัดดวงหทัยนิรมลของแม่พระ ปากลัด ท่านพระครูตั้งคำถามขึ้นมาอย่างน่าสนใจ
“โยมบาทหลวงรู้มั้ยใครเป็นคนตีความการกดแตรรถยนต์ 2-3 ครั้งว่าคือ”การด่าแม่”” ท่านเล่าว่าท่านไป
แสดงธรรมมาหลายประเทศๆอื่นๆเขาก็กดแตรกันทั้งนั้น ถ้าไม่ให้กดแตรแล้วเขาจะติดตั้งแตรไว้ในรถยนต์
ทำไม “มนุษย์สายพันธุ์นี้น่ากลัวมาก” นักบุญเปาโลเป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิตอย่างถ่องแท้
“ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์” ท่านมองความทุกข์ว่า “ความทุกข์ก่อให้เกิดความเพียรอดทน ความเพียรอดทน
ก่อให้เกิดคุณธรรมที่แท้จริง คุณธรรมที่แท้จริงก่อให้เกิดความหวัง” (รม.5:3-4) มีหลายๆคนสงสัยทำไม
ผู้เขียนชอบไปเดินออกกำลังกายบนเขื่อนริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยา คำตอบคือ “เดินโคลงเคลงออกกำลัง
อย่างอื่นไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือ การเดิน..เดิน” เมื่อออกไปเดินรู้สึกว่าอาการดังกล่าวมันจะค่อยซาลง
และยังได้เชยชมอัศจรรย์อันงดงามยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงสรรสร้าง สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ต้องการเวลาใน
การพัฒนาเติบโต ปลาตีน ตัวเงินตัวทอง เคยเห็นมันตัวเล็กๆบัดนี้มันเติบใหญ่ออกลูกออกหลานเยอะแยก
ไปหมด ฤดูกาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน คนที่ต้องการชมความงดงามและรับคุณ
ประโยชน์จากธรรมชาติ “ต้องรู้จักรอ รอเวลาที่เหมาะสม” นักบุญฟรังซิล อัสซีซี ชื่มชมธรรมชาติที่พระเจ้า
สรรสร้าง ท่านเขียน “บทเพลงแห่งสิ่งสร้าง” สรรเสริญความยิ่งใหญ่ความรักของพระเจ้า ท่านเรียกดวง
อาทิตย์ว่า “พี่ชาย” เรียกดวงจันทร์ว่า “น้องสาว” คนที่เข้าใจลึกซึ้งและได้ชื่นชมธรรมชาติที่งดงามเช่นนี้ “
ต้องรอคอยและมีความเพียรอดทน” การเดินบนเขื่อนบำบัดอาการต่างๆที่เป็นและชื่นชมธรรมชาติ เป็น
แบบฝึกหัดอย่างดีเยี่ยมในการฝึกฝนและฟื้นฟูคุณค่าความเพียรอดทนให้กลับคืนมาใหม่ในวิถีชีวิต
ความเพียรอดทนเป็นพระหรรษทานของพระจิตเจ้า ที่ค้ำจุนและเสริมสร้างความหวังให้กลายเป็นคุณธรรม
และวิถีชีวิตของเรา ความเพียรอดทนจึงเป็นลูกสาวแห่งความหวัง และผู้เสริมสร้างความหวังให้เต็มเปี่ยม
ในพระเจ้าองค์ความหวังของเรา

ขอพระเจ้าเติมความหวังในใจพี่น้องทุกๆท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 09, 2024 10:48 pm

( 6 )

เอฟฟาธา “จงเปิดเถิด”

พระวาจาที่พระเยซูคริสตเจ้าตรัสในการรักษาคนหูหนวก “เอฟฟาธา แปลว่า “จงเปิดเถิด”(มก.7:34)
เป็นพระวาจาที่สำคัญต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราคริสตชน การเปลี่ยนแปลงพัฒนาจะเกิด
ในชีวิตของมนุษย์ ก็ต่อเมื่อคนๆหนึ่งเปิดตามอง เปิดหูฟัง เปิดใจที่จะรับรู้สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆ
ตัวเขา รับรู้ถึงผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น แล้วตัดสินใจว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร จะเปลี่ยนแปลง
หรือไม่เปลี่ยนแปลง จะพัฒนาหรือไม่พัฒนา จะกลับใจหรือไม่กลับใจ ถ้าเขาไม่ยอมรับรู้ไม่เปิดตา เปิดหู
เปิดใจ ยอมรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เขาก็จะไม่สุขรู้สมกลับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และคิดว่า “ไม่ใช่เรื่องของเขา”
“เป็นเรื่องไกลตัว” เหมือนคนไข้ไปหาหมอแล้วไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย เขาจะไม่มีทางหายป่วยเพราะเขา
จะไม่ได้รับการรักษา คนบ้ามักจะคิดว่าตนเองไม่บ้า ฯลฯ
เอฟฟาธา “จงเปิดเถิด” ในแง่หนึ่งจึงเป็นการปลุกจิตสำนึกตระหนักรู้ (awareness) ให้กับเรา เราจะ
เห็นได้จากกระบวนการในการพัฒนาชีวิตภายในที่มีอยู่มากมายในพระศาสนจักร เมื่อเราเปิดตามองสิ่ง
ต่างๆด้วยสายตาแห่งความเชื่อ เปิดหูรับฟังพระวาจาของพระเจ้า ความต้องการของเพื่อนพี่น้อง ใจเรารับรู้
สัมผัสได้ถึงความรักความเมตตาของพระเจ้า พระประสงค์ของพระองค์ คนที่ตระหนักถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้จะ
เกิดความเชื่อความศรัทธา และแสดงออกโดยแสดงความรักความเมตตาต่อเพื่อนพี่น้อง ยอมเปลี่ยนแปลง
ตนเองถ้าตนเองเป็นสาเหตุของความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้น เพราะนั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ในองค์กร
เยาวชน YCS เขายึดจิตตารมณ์ การพิจารณาไตร่ตรอง ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ (See Judge Act) มีวิธี
การอ่านพระคัมภีร์และรำพึงอย่างหนึ่ง เริ่มด้วย การพิจารณาไตร่ตรองสถานการณ์จริง ฟังเสียงของพระเจ้า
ที่ตรัสในใจเราโดยผ่านทางสถานการณ์นั้น และปฏิบัติด้วยความรักความเมตตาต่อเพื่อนพี่น้อง
( Look Listen Love) เราจะพบว่ากระบวนการเหล่านี้เรียกร้อง การเปิดตา เปิดหู เปิดใจ น้อมรับ
พระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น
ประกาศกอิสยาห์ ได้ทำนายถึงกิจการที่จะปรากฏในวันที่พระเจ้าเสด็จมา (อสย.35:4.7) เมื่อพระเยซูคริสตเจ้า
เสด็จมาพระองค์ได้ทำกิจการเหล่านั้น “ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นก็หลุดออก เขาพูดได้ชัดเจน”
(มก.7:35) แต่ทำไมชาวยิวจำนวนมากมายที่รู้เห็นกิจการเหล่านั้นไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า นักบุญยากอบ
ได้สอนบรรดาคริสตชนว่าอย่าวางการปฏิบัติตามความเชื่อบนพื้นฐานของความลำเอียงการตัดสินจากภายนอก
แต่ต้องไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า เมื่อคนร่ำรวยกับคนยากจนมาบ้านของท่าน ท่าน
จะเชิญพวกเขาไปนั่งที่ไหนบ้าง “คนร่ำรวย “เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด” คนยากจน “จงนั่งข้างที่วางเท้าของฉันซิ”
ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะและตัดสินโดยมาตรการเลวร้าย”(ยก.2:1-4) สิ่งต่างๆที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเกิดขึ้นจาก
การขาดจิตสำนึกตระหนักรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา พระเจ้าทรงปรารถนา
ให้เราร่วมมือกับพระองค์ในการเปลี่ยนแปลงโลก สังคม และชีวิตของเราให้ดีขึ้นอยู่เสมอ เราจึงต้องเปิดตา เปิดหู
เปิดใจที่จะน้อมรับพระประสงค์ของพระองค์ที่ผ่านมาในชีวิตของเราและปฏิบัติตาม เพื่อเราจะได้สามารถเป็น
เครื่องมือของพระเจ้าในการรักและรับใช้เพื่อนพี่น้อง เอฟฟาธา “จงเปิดเถิด”

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 09, 2024 10:55 pm

( 7 )

“อัศจรรย์บนเส้นทางแห่งชีวิตสายนี้”

เคยนั่งรำพึงถึงเรื่องราว “อาดัม-เอวาถูกขับออกจากสวนเอเดน” ความผิดใหญ่หลวงครั้งนั้นส่งผล
ทำให้มนุษย์ไม่สามารถย้อนกลับเข้าไปในสวนเอเดนได้อีก พระคัมภีร์หนังสือปฐมกาลให้สัญลักษณ์ไว้
อย่างชัดเจนในรูปของเครูบ (ทูตสวรรค์) ถือดาบเฝ้าอยู่หน้าประตูสวนเอเดน นักเทววิทยาและนักจิตวิทยา
ในค่ายที่เป็นชาวคริสต์ให้ความเห็นไว้ว่า “แม้มนุษย์ไม่สามารถเดินย้อนกลับเข้าไปในสวนเอเดนได้อีก
แต่มนุษย์ยังสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากความเจ็บซ้ำ” โดยมีพระเยซูเจ้า
“องค์ความหวัง” เป็นเพื่อนร่วมทาง เพราะพระคัมภีร์หนังสือปฐมกาลประกาศความหวังของมนุษยชาติทันที
หลังจากมนุษย์ตกในบาป “วันหนึ่งพงศ์พันธุ์ของหญิงจะมาเหยียบหัวงูร้าย” พงศ์พันธุ์ของหญิงจะมาปราบ
ความชั่วร้ายเอาชนะบาปและความตาย จากพันธสัญญาแรกที่พระเจ้าทำกับมนุษยชาตินี้ พวกเราได้โชค
สองเด้งนอกจากพระเยซูเจ้าผู้เป็นบุตรของหญิงจะเหยียบหัวงูร้ายได้แล้ว หญิงผู้เป็นมารดา(แม่พระ)ก็
สามารถเหยียบหัวงูร้ายได้ด้วยเช่นกัน เราจึงสามารถเดินทางชีวิตต่อไปด้วยความหวังโดยอาศัยพระบารมี
ของพระเยซูเจ้าและแม่พระคอยปกป้องคุ้มครอง คิดถึงการเดินทางอันยาวไกลแห่งชีวิตของผู้เขียน ตั้งแต่
บ้านอับราฮัม วัดซางตาครู้ส จนมาถึงวัดดวงหทัยนริมลของแม่พระ จุดประสงค์แรกคือการออกกำลังกาย
บำบัดอาการเสียศูนย์เดินโคลงเคลง แต่เดินไปเดินมานานๆเข้ารู้สึกว่าได้รับหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย
เกินกว่าที่ตั้งใจไว้ การเดินทางครั้งนี้ทำให้เข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น การพบปะผู้คนระหว่างทาง
การทักทายคนอื่นๆก่อให้เกิดการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การเป็นกำลังใจให้กันและกัน แม้
ตอนแรกๆอาจไม่รู้จักพูดคุยกับใครแต่สภาพการเดินไม่ปกติ ถือไม้เท้า เดินโคลงเคลง ทำให้เพื่อนร่วมเดิน
ทางสายนี้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสภาพที่แปรเปลี่ยนไป การเดินดีขึ้นการกระทำที่สม่ำเสมอทำให้เพื่อนร่วม
เดินทางหลายๆคน คิดถึงความเจ็บป่วยและปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญ เริ่มฮึดสู้ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม
ในใจ “ฉันทำได้” “วันหนึ่งฉันต้องดีขึ้น” เพราะมีคนทำสำเร็จ “เขาไม่ต้องถือไม้เท้าแล้ว” ฉันต้องทำสำเร็จ
เช่นเดียวกัน ดีใจที่เห็นผู้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ปวดเข่าข้อหลายๆคนมีกำลังใจในการรักษาและอาการดีขึ้น
การเดินทางแห่ง ชีวิตครั้งนี้เริ่มต้นจากความอดทนความเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระองค์อาจไม่ได้ช่วย
ให้เราหายทันทีแต่ พระองค์ทำให้เรามีกำลังเพียงพอ ที่จะเผชิญกับความเจ็บไข้ได้ป่วยและปัญหาต่างๆด้วย
ความเชื่อศรัทธา และบรรเทาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยดีขึ้นตามวันเวลาที่เหมาะสม การจาริกแสวงบุญบน
หนทางชีวิตเป็น องค์ประกอบสำคัญของเหตุการณ์ในปีศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้ง ซึ่งเป็นการเดินทางแสวงหาความ
หมายและคุณค่า ของชีวิตที่เรียบง่าย คุณค่าของความเงียบสงบไตร่ตรองรำพึงถึงสิ่งที่พบเห็น คุณค่าแห่ง
ความพยายามความเพียรอดทน ทำให้เรารู้ว่าเราต้องอยู่ด้วยความหวัง “วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้” และทำ
ให้เราเข้าใจว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างมีเวลาของมัน” พระเจ้าทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างงดงามตามวันเวลา ทุกๆเรื่องราว
ในโลกต้องการเวลาการรอคอยเราคงคาดหวังไม่ได้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องสำเร็จได้ดั่งใจ” กรุงโรมเมือง
แห่งอัครสาวกเปโตรและเปาโลไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวฉันใด การปลุกฝังความดี คุณธรรม ความสำเร็จ
การรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย การแก้ไขปัญหา การเรียนรู้ทั้งหลายก็ไม่สามารถทำให้บรรลุผลฉันนั้น เราจึงต้อง
มีความหวังในพระเจ้า ฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยความเชื่อและวางใจ ขอพระเจ้า
องค์ความหวังเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวหน้าต่อไปบนหนทางของพระองค์

คุณพ่อ สมชาย อัชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 13, 2024 8:02 pm

( 8 )

กิจการแห่งความเชื่อ

ท่านนักบุญยากอบได้อธิบายเรื่องความเชื่อและกิจการดีไว้ว่า “จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่า
มีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ.....ความเชื่อหากไม่มีการ
กระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว”(ยก.2:14,17) ความเชื่อต้องมีกิจการและกิจการแห่งความเชื่อต้อง
เป็นกิจการที่นำความรอดพ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตบนหนทางของพระเจ้า
ตามที่พระเยซูคริสตเจ้าสอน “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เลิกคิดถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน
และติดตามเรา”(มก.8:34) ซึ่งต้องเป็นกิจการที่สละน้ำใจของตน เสียสละ อุทิศตน และแสดงความรัก
ความเมตตาต่อผู้อื่น ไม่ใช่กิจการที่กระทำเพื่อประโยชน์ของตน แต่เพื่อผู้อื่นและประโยชน์ส่วนรวม
สำหรับผู้ที่ปิดหูปิดตามืดบอดในเรื่องของพระเจ้า หรือผู้ที่ไม่มีความเชื่อที่แท้จริง เขาจะร่ำรวยความ
พยายามเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ความยากลำบาก และความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นใน
ชีวิตของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วเมื่อมนุษย์ตัดสินใจทำบาป แต่สำหรับผู้ที่มีความเชื่อแสงสว่าง
แห่งธรรมจะทำให้เขาพบหนทางของพระเจ้า ซึ่งคนทั่วไปจะไม่เลือกเดินเพราะเห็นว่าเป็นความโง่เขลาเบา
ปัญญาที่จะเลือกเดินหนทางนั้น และทราบว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าเขาน้อมรับตามพระ
ประสงค์ของพระเจ้า เขาจะสามารถนำมาร่วมส่วนในพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระ
ชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งจะช่วยเขาให้ได้รับความรอดพ้นมีชีวิตนิรันดร “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตน
ให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้”(มก.8:35)
ความพยายามรักษาชีวิตก็คือการเลือกหนทางสบายจะนำมาซึ่งความหายนะ ตรงกันข้ามการสละชีวิตอุทิศตน
เพื่อรักและรับใช้เพื่อนพี่น้องจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับความรอดพ้นมีชีวิตนิรันดร

หนทางของพระเจ้า เป็นหนทางแห่งไม้กางเขน หนทางแห่งความทุกข์ยากลำบาก ต้องการการอุทิศตน
คนทั่วไปจึงมักไม่เลือกเดิน “จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้น กว้างขวาง คนที่เข้า
ทางนั้นมีจำนวนมาก แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย”(มธ.:7:13-14)
แม้นักบุญเปโตรผู้เคยประกาศยืนยันความเชื่อว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต”
(มธ.16:16) (มก.8:29) เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงตรัสถึงพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
ยังไม่เลือกที่จะติดตามพระองค์ในหนทางที่พระองค์กล่าวถึงท่านจึงทูลทัดทานพระองค์ พระองค์จึงตำหนิ
ท่านว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”(มก.8:33)
ความคิดของพระเจ้าและความคิดของมนุษย์มักจะสวนทางกันเสมอ และเรามักจะเลือกปฏิบัติตามวิสัย
มนุษย์ เพราะมันเป็นสิ่งที่ง่ายสะดวกสบายและตอบสนองกิเลสตัณหาความต้องการทางเนื้อหนังของเรา
แต่พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้เตือนใจเรา ถ้าเราปรารถนาที่จะได้รับชีวิตนิรันดรความรอดพ้น เราต้อง
ปฏิบัติกิจการแห่งความเชื่อ คิดอย่างพระเจ้าเลือกดำเนินชีวิตบนหนทางของพระองค์ นั่นก็คือหนทาง
แห่งไม้กางเขน เสียสละ อุทิศตน และติดตามพระองค์ไป

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 13, 2024 8:07 pm

( 9 )

“การจาริกไร้พรมแดน”

ในพระคัมภีร์หนังสือปฐมกาลบทที่ 1 แต่แรกเริ่มพระเจ้าทรงสร้างโลก ท้องฟ้า ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง
และแผ่นดิน พระองค์ไม่ได้ระบุชื่อ น่านฟ้า น่านน้ำ แผ่นดินตรงบริเวณนั้นบริเวณนี้ชื่อว่า อิตาลี เยอรมัน
ฝรั่งเศส ตรงนี้เรียกว่าไทย ลาว พม่า เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฯลฯ แล้วใครเล่าเป็นคนขีดเส้นแบ่งกำหนด
พื้นที่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่น่าจะเป็นใครอื่นนอกจากเป็นผู้ที่มีชื่อเล็กๆว่า “อำนาจ” แต่พอใหญ่ๆเข้าเขาเรียก
ตนเองว่า “มหาอำนาจ” แถวๆประเทศไทยเราก็มี “ฝรั่งเศส” กับ “อังกฤษ” ไงหละ นักจิตวิทยาท่านหนึ่ง
“M. Scott Peck” (เอ็ม สก็อตต์ เป็ก) ท่านเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง “The Unending journey
towards Spiritual Growth” ท่านเขียนเปรียบเทียบเรื่อง “อาณาเขต” เป็นข้อความสั้นๆไว้อย่างน่าสนใจ
ท่านเขียนไว้ว่า “มนุษย์เราไม่ต่างจากน้องหมาที่เราเลี้ยงไว้ เวลามันเดินไปไหนมาไหนมันจะฉี่วางอาณาเขต
ของมันไปเรื่อย แล้วมันคอยเฝ้า ถ้ามีน้องหมาตัวอื่นลุกล้ำเข้ามามันจะกัดกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้
ยอมถอย ไม่เช่นนั้นมันจะกัดกันจนตายทีเดียว มนุษย์ก็มีอาณาเขตของตนเองเหมือนกัน อาณาเขต
“ทางกายภาพที่เราจับจองเป็นเจ้าของ” “ทางจิตวิทยา” “ทางเทววิทยา (ความเชื่อต่างกัน)” ”ทางความคิด”
“ อาณาเขตของมนุษย์มันซับซ้อนกว่าของน้องหมาเยอะ ถ้าใครไปลุกล้ำด้วยวิธีการต่างๆปัญหาจะเกิด อาทิ
ความขัดแย้งทางความคิด ความเห็นต่าง ฯลฯ ชีวิตของมนุษย์จะพบกับความสงบสุขได้ ต่อเมื่อคนๆนั้นจะ
ต้องกล้าเปิดประตูอาณาเขตของตนเองเพื่อออกไป และยอมให้ผู้อื่นเข้ามาเพื่อเสวนาแลกเปลี่ยนคิดเห็นที่
ต่างจากตน โดยเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นต่างเหล่านั้น การเดินทางจาริกแสวงบุญถือว่าเป็นองค์
ประกอบสำคัญในปีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะมีการจาริกทางความเชื่อทั้งภายนอกและภายในประเทศ จากประเทศ
หนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง จากเมืองหนึ่งไม่ยังอีกเมืองหนึ่ง จากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง จากวัดหนึ่ง
ไปยังอีกวัดหนึ่ง เหมือนกับว่าไม่มีพรมแดนขวางกั้นอีกต่อไป เพื่อชื่นชมความงดงามของคุณค่าต่างๆ ทาง
ศิลปะ วัฒนธรรม ประสบการณ์ที่แตกต่าง และได้รับแรงบันดาลในการถวายเกียรติแด่พระจ้า ผู้ทรงสร้าง
สรรค์สิ่งต่างๆที่งดงามแตกต่างกันเหล่านี้ คิดถึงการเดินทางออกกำลังบำบัดอาการของผู้เขียน เป็นต้นที่ไหน
ที่เป็นหมู่บ้านชุมชน “วัดซางตาครู้ส” “วัดดวงหทัยนิรมลของแม่พระ ปากลัด” ช่างแรกของการเดินทางผ่าน
เขตแดนของชาวบ้าน คงมีคำถามมากมาย “คนนี้เป็นใคร” “มาเดินทำไม” หลังมีการเสวนากันเองในหมู่ผู้คน
การทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรี เกิดความรู้จักมักคุ้น ความเห็นอกเห็นใจ การแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูล ในที่สุด
พวกเรากลายเป็นเพื่อนร่วมทางชีวิตของกันและกัน อาณาเขตพรมแดนที่ก่อให้เกิดความระแวงสงสัยถูกทำลาย
ลงด้วยมิตรภาพ การเดินนี้จึงเป็นการเดินทางที่ไร้พรมแดนไร้เชื่อชาติไร้ศาสนา เพราะทุกคนต่างเป็นเพื่อนมี
ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การจาริกในปีศักดิ์สิทธิ์นี้เชิญชวนทุกๆท่านให้มีความกล้าหาญที่จะ เปิดใจ เปิดความคิด
ละอคติ ยอมให้ผู้อื่นเข้าเสวนามากับตน และออกไปเสวนากับผู้อื่น เพื่อเราจะได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดความต้อง
การที่แท้จริงของกันและกัน การจาริกที่ไร้พรมแดนอย่างนี้จะนำมาซึ่งมิตรภาพ ความสัมพันธ์ที่ดี และสันติสุข
ในชีวิตของเรา ขอพระเจ้าองค์แห่งความหวังทำให้ใจของท่านมีสันติสุข

คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ต.ค. 23, 2024 10:51 pm

(10 )

“โอเอซีสแห่งชีวิต”

จากเรื่องราวตำนานให้หนังสือปฐมกาลหลังจากมนุษย์ตกในบาปแล้ว พระเจ้าทรงชี้แจงให้มนุษย์ทราบว่า
จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง “ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก” “ต้องตรากตรำทำงานหนัก” ”แผ่นดินจะให้
ผลิตผลที่มีหนามแก่มนุษย์” ความทุกข์ยากลำบากจึงเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับชีวิตมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้ามีใครสักคนไม่ว่าจะใหญ่โตมาจากไหนจะรวยล้นฟ้าสักปานใด มาบอกว่า “เขาไม่เคยประสบกับความ
ทุกข์ยากลำบากเลย” อย่าไปเชื่อเขานะ เพราะทุกคนจะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่แบบไหนอย่างไรนั้นมันแตกต่างกันไปตามบริบทแห่งชีวิตของแต่ละคน ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ออกจาก
สวนเอเดนมาแล้ว “พ้นจากสภาพความสุขแห่งสวรรค์” และไม่สามารถย้อนกลับเข้าไปได้อีกเหมือนคนหลงทาง
จำทางไม่ได้ การเดินแห่งชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงเริ่มต้นขึ้น เป็นความพยายามหาทางกลับบ้านแท้ (สวรรค์)
เหมือนการเดินทางในทะเลทรายที่เวิ้งว้างไม่รู้อนาคต โดยมีความหวังประการเดียวคือพันธสัญญาของพระเจ้า
“วันหนึ่งพงศ์พันธุ์ของหญิงจะเกิดมาเหยียบหัวงูร้าย” ความหวังแม้เล็กน้อยที่สุดจึงเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตที่
สำคัญในการเดินทางทุรโยธน์สายนี้ โอเอซีสที่กล่าวถึงเป็นเหมือนแหล่งน้ำในทะเลทรายที่มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ซึ่งผู้เดินทางสามารถเติมพลังเพื่อเดินทางต่อไป คิดถึงการเดินทางของผู้เขียนที่เขียนเล่ามาหลายครั้งแล้ว
เป็นการเดินทางบนเส้นทางทุรโยธน์เดียวกันไม่ทราบว่าจะจบลงเมื่อไรอย่างไร เคยถามตนเองหลายครั้ง
หลายหนว่า “อาการเหล่านี้จะหายเมื่อไร” “ทำไมกูต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้” ยิ่งวันใดลืมตาขึ้นและโลกใบน้อยๆ
มันหมุนเหมือนกับโลกใบใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองตลอดเวลา เวลาเดินไปตามถนนหนทางๆตรงหน้าก็ไม่เหมือน
ชาวบ้านมันยกขึ้นต่ำลงเอียงซ้ายเอียงขวา รู้สึกท้อแท้ใจมาหลายพันหลายหมื่นครั้ง แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่
ปล่อยให้เดินตามยถากรรม พระองค์ประทานกำลังใจความช่วยเหลือเกื้อกูลผ่านทางผู้คนที่เป็นเพื่อนร่วมทาง
บางครั้งพระองค์อนุญาตให้พบคนบางคน เพราะรู้ว่าเมื่อพบแล้วจะมีกำลังใจมีความสุขสามารถเดินทางต่อไป
คำแนะนำความคิดเห็นต่างๆที่ส่งเข้ามาตามช่องทางเครื่องมือสื่อสารต่างๆก็ช่วยได้มาก การได้มีโอกาสร่วม
ทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนร่วมทางรับรู้ถึงความทุกข์ยากลำบากของพวกเขา การแบ่งปันแก่กันและกัน การให้อภัย
การคืนดี ล้านเป็นสิ่งที่นำความชุ่มชื่นใจมาให้ เหมือนกับได้พบโอเอซีสในทะเลทรายฉันใด..ฉันนั้น ในโอกาส
ปีศักดิ์สิทธิ์จาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัด สักการสถาน เพื่อสวดภาวนา รับพระคุณการุญครบบริบูรณ์
ถือว่าเป็นเรื่องเด่นสำคัญเรื่องหนึ่ง พระสันตะปาปาฟรังซิส ให้ความคิดเห็นว่าสถานที่เหล่านี้เป็นเหมือนโอเอซีส
แห่งจิตวิญญาณ และเป็นที่พักเติมพลังแห่งความเชื่อศรัทธา ซึ่งเราสามารถดื่มด่ำพระหรรษทานแห่งความหวัง
จากโอเอซีสเหล่านี้ ยิ่งกว่านั้น การรับศีลอภัยบาป การรับศีลมหาสนิท การรับพระคุณการุญ ด้วยความเชื่อศรัทธา
ยังเป็นเครื่องเครื่องหมายที่ชัดเจนแห่งความหวัง เพราะเราได้คืนดีกับพระเจ้า พระศาสนจักร และเพื่อนพี่น้อง
แสดงให้เห็นว่า “พระทรงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา” พระองค์จะทรงชี้ทาง นำทาง พาพวกเรากลับ
บ้านแท้ (สวรรค์) ได้สำเร็จ เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต ใครที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิต
นิรันดร พระองค์นี่แหละเป็นโอเอซีสแห่งชีวิตของเรา ทรงเชิญชวนให้เรามาหาพระองค์ “ใครที่เหน็ดเหนื่อยและ
แบกภาระหนัก จงมาหาเราเถิด เราจะให้ท่านพักผ่อนเป็นสุข เพราะแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่แบกของเรา
ก็เบา

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คพ. สมชาย อัญชลีพรสันต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6698
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ต.ค. 23, 2024 10:55 pm

( 11 )


ปรีชาญาณมาจากเบื้องบน

นักบุญยากอบสอนว่าความปรีชาฉลาดที่แท้จริงมาจากพระเจ้า และมาจากความจริงใจเป็นสิ่งที่ให้คุณแก่
มนุษย์ก่อให้เกิดความรักความเมตตาและสันติสุข “ปรีชาญาณที่มาจากเบื้องบน.... เป็นสิ่งบริสุทธิ์ ก่อให้
เกิดสันติ เห็นอกเห็นใจ อ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บังเกิดผลดีงาม ไม่ลำเอียง ไม่เสแสร้ง
”(ยก.3:17) ท่านสอนเช่นนี้เพื่อให้เราระวังตัวในการดำเนินชีวิตด้วยความปรีชาฉลาดตามวิสัยมนุษย์
เพราะความปรีชาฉลาดตามวิสัยมนุษย์ล้วนๆที่ไม่มีคุณธรรมซึ่งเป็นปรีชาญาณที่มาจากพระเจ้าคอย
ควบคุม จะก่อให้เกิดผลร้ายความเสียหายภัยต่อสังคม “การต่อสู้และการทะเลาะวิวาท.....มาจากที่ใด
.....จากกิเลสตัณหา.....อยากได้แต่ไม่ได้...จึงฆ่ากัน....ท่านโลภ....จึงทะเลาะวิวาทและต่อสู้กัน”(ยก.4:1-2)
พระวาจาของพระเจ้าที่เราได้ฟังในวันนี้สะท้อนให้เราเห็นรากแก้วของปัญหาในสังคมโลก ทำไมจึงเกิด
ความรุนแรง สงคราม การเอาเปรียบเข่นฆ่ากันเอง แก่งแย่งชิงดี ลุแก่อำนาจอยากเป็นใหญ่ กดขี่ผู้อื่น ฯลฯ
เพราะมนุษย์ใช้สติปัญญาอันปรีชาฉลาดในทางที่ผิดเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาตามวิสัยของมนุษย์ พระเจ้า
ทรงสร้างมนุษย์ให้มีศักดิ์ศรีสูงส่ง แต่แทนที่มนุษย์จะดำเนินชีวิตด้วยน้ำใจอิสระอย่างสมศักดิ์ศรี กลับลด
ตนเองลงดำเนินชีวิตเยี่ยงสัตว์โลกทั่วไปโดยอาศัยสัญชาติญาณ พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 บอกกับ
เราว่า “การดำเนินชีวิตแบบนี้เป็นการสร้างวัฒนธรรมแห่งความตาย” ซึ่งเป็นหนทางแห่งบาปการทำลายล้าง
ก่อให้เกิดความเสื่อมทางศีลธรรม และลดคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ที่ใดก็ตามที่มนุษย์ดำเนินชีวิตตามสัญชาติญาณ ปล่อยตัวตามสบายยอมให้กิเลสตัณหาครอบงำ
ไม่บังคับตนเอง ที่นั้นจะมีแต่ความสับสนวุ่นวายความเดือดร้อน “ที่ใดมีความอิจฉาริษยาและความทะเยอทะยาน
ที่นั่นย่อมมีแต่ความวุ่นวายและความชั่วร้ายนานาชนิด”(ยก.3:16) นักบุญมาระโกได้เล่าถึงความอ่อนแอตาม
ประสามนุษย์ของบรรดาอัครสาวกให้เราฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ขนาดอัครสาวกซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าทรง
เลือกสรร ได้มีโอกาสร่วมชีวิตกับพระองค์ ฟังพระวาจาของพระองค์ ในขณะเดินทางพระองค์ทรงทำนายถึงชะตา
กรรมของพระองค์ ว่าจะต้องถูกทรมานและสิ้นพระชนม์ให้พวกท่านฟัง พวกท่านยังไม่ยอมเปิดใจรับฟัง แต่กลับ
ถกเถียงกันแย่งกันเป็นใหญ่ ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือพวกท่านคิดและดำเนินชีวิตตามวิสัยมนุษย์
ไม่ยอมให้กิเลสตัณหาครอบงำใจ “ระหว่างทางเขาถกเถียงกันว่า ผู้ใดจะยิ่งใหญ่กว่ากัน”(มก.9:34) แล้วพวกเรา
เป็นใครกันเล่าจึงละเลยไม่หล่อเลี้ยงชีวิตคริสตชนของเรา ด้วยพระวาจาของพระเจ้า และศีลศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเรา
จะได้มีแนวทางและภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต
ความปรีชาฉลาดตามวิสัยมนุษย์และปรีชาญาณที่มาจากพระเจ้ามักจะตรงข้ามกันเสมอ เพราะสัญชาติญาณ
ความโน้มเอียงตามวิสัยมนุษย์ คือความเห็นแก่ตัว รักสบาย ผลประโยชน์ และอำนาจสั่งการ ส่วนปรีชาญาณ
ที่มาจากพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดความรักเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ ความสุภาพ และสันติสุข “ผู้ใด
อยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน”(มก.9:35) เราจึงต้องพยายาม
ดำเนินชีวิตด้วยปรีชาญาณที่มาจากพระเจ้า เพื่อเราจะได้เป็นผู้ที่สร้างสันติสุขหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดี
และจะเก็บเกี่ยวผลเป็นความชอบธรรม (ยก.3:18)

พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
ตอบกลับโพส