หน้า 1 จากทั้งหมด 1
บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:01 pm
โดย rosa-lee
( 1 )
“การเป็นพยานและเครื่องหมายแห่งความหวัง”
โลกและสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ตกอยู่ภาวะวิกฤต โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกๆวันปัญหาโลกร้อนเป็น
ปัญหาใหญ่ที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและใต้ละลายอย่างรวดเร็วปริมาณน้ำในมหาสมุทร
มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา น้ำแข็งหรือจะพูดให้ถูกภูเขาน้ำแข็งหลุดออกมาจากขั้วโลกใต้ และกำลังเคลื่อนที่
ลอยไปไหนยังไม่มีอะไรที่บ่งชี้แน่ชัด แต่ที่แน่นอนที่สุดคือไปที่ไหนภัยพิบัติใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นแน่ สงคราม
รัสเซียกับยูเครน อิสราเอลกับอาหรับทำท่าจะรุกรามเป็นสงครามโลก สิ่งเหล่านี้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึง
ให้กับมนุษยชาติ จนผู้คนมากมายคิดถึงวันสิ้นโลก นักวิชาการหลายๆคนกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “โลกของเรา
หมดทางเยี่ยวยารักษาแล้ว” แต่เราสังเกตไหมพระสันตะปาปาฟรังซิส ออกสมณสาสน์ เลาดาโตซี (Laudato Si’)
เลาดาเต เดอุม (Laudate Deum) เสวนากับมนุษยชาติให้ช่วยกันดูแลรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นบ้าน
ของมนุษยชาติ (Common home) เป็นเครื่องหมายแห่งความหวังที่ชัดเจนว่า “เรายังสามารถทำบางสิ่งบาง
อย่างได้” อย่าท้อแท้สิ้นหวัง เราต้องตระหนักเสมอว่า “ความดีงามทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกของเราเป็นเครื่อง
หมายแห่งความหวัง” และเราต้องเป็นพยานทำให้เห็นประจักษ์ ทางภาคส่วนต่างๆของประเทศไทยเกิดน้ำท่วม
ฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก เราได้เห็นน้ำใจของบรรดาจิตอาสาที่ออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เด็กๆและ
เยาวชนของวัดดวงหทัยนิรมลของแม่พระ ออมเงินไว้ช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ป่วยในหมู่บ้าน หลังมิสซา
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน (ฉลองแม่พระมหาทุกข์) สัตบุรุษบริจาคทุนทรัพย์ช่วยเหลือคนที่บ้านถูกไฟไหม้
บางคนเอาเสื้อผ้าที่ยังใหม่ๆอยู่เลยมาขายเป็นเสื้อผ้ามือสอง พระสงฆ์ที่กระจอกไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต
อย่างพ่อไม่รู้จะทำอะไร ทำได้เพียงแต่ออกไปอ้าปากพูดเจื้อยแจ้วเชิญชวนผู้มีน้ำใจให้ช่วยเหลือ “ถ้าใครไม่
ต้องการเสื้อผ้า บริจาคเงินอย่างเดียวก็ได้นะครับ” เห็นเด็กๆใส่เงินลงในกล่องธารน้ำใจ 20 บาท สัตบุรุษ
ช่วยกันตามความสามารถ ได้ทุนทรัพย์มาเพียงพอที่จะช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้านถูกไฟไหม้ เหมือน
ขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2-3 ตัวนั้นที่พระเยซูเจ้ารับมาจากเด็กแล้วทำอัศจรรย์ ความดีงามแม้เล็กน้อยที่สุด
ที่เกิดขึ้นทุกแห่งทุกมุมโลก ล้วนเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังที่พวกเราสามารถทำและแสดงออกเพื่อเป็น
พยานแห่งความหวังว่า “พวกเราและโลกของเรายังมีความหวัง” และสักวันความหวังของเราจะเป็นจริง เคย
ได้ยินประโยคนี้ไหม “อย่ามัวบ่นว่าความมืด แต่จงจุดเทียนขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง” และเชิญชวนให้คนอื่นจุดด้วย
การทำความดีตามความสามารถ แล้วแสงสว่างดวงเล็กๆจะส่องแสงในความมืดทั่วทุกมุมโลกทำให้เกิดความ
สว่างไสวขจัดความมืดให้ค่อยๆมลายไป เมื่อมนุษยชาติเห็นแสงสว่างดวงเล็กๆเหล่านี้พวกเขาจะสรรเสริญ
พระบิดาเจ้าสวรรค์ของเรา
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คพ. สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:06 pm
โดย rosa-lee
( 2 )
คุณค่าแห่งชีวิตนิรันดร
ชีวิตนิรันดรหมายความว่าอะไร มนุษย์ประกอบร่างกายและวิญญาณ ร่างกายเป็นส่วนที่ตายได้ต้องเสื่อม
สลายไปตามกาลเวลา ส่วนวิญญาณเป็นอมตะไม่รู้จักตาย ความรอดพ้นตามความเชื่อของเราคือความรอด
พ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ นั่นหมายความว่าวันหนึ่งร่างกายที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจะมารวมกับ
วิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไรขึ้นกับผลการกระทำขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ คนดีจะได้
รับความสุขนิรันดร คนชั่วก็จะได้รับความทุกข์ตลอดนิรันดรเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นความตายที่มนุษย์กลัว
และต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไปพ้น จึงไม่ใช่ความตายที่แท้จริงพระศาสนจักรจึงใช้คำว่า “หลับไป” เพราะ
เชื่อว่าวันหนึ่งมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพ ความตายที่แท้จริงจึงหมายถึงมนุษย์ที่ได้รับโทษทัณฑ์ตลอดนิรันดร
“ที่นั่นหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ”(มก.9:48) ตรงกันข้ามชีวิตนิรันดรหมายถึงการได้รับความสุขตลอดนิรันดร
ในพระอาณาจักรของพระเจ้า “ท่านจะเข้าสู้ชีวิตนิรันดร(พระอาณาจักรของพระเจ้า)”(มก.9:45,47)
พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนว่าชีวิตนิรันดรเป็นสิ่งที่มีค่ามาก พระเจ้ามีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รับชีวิต
นิรันดร “ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาเขาเหล่านั้นไว้ในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ”
(ยน.17:12) ในส่วนของมนุษย์นั้นต้องเห็นคุณค่า และต้องออกแรงพยายามสุดความสามารถที่จะไขว่คว้า
เอามาให้ได้ เหมือนคนที่พบขุมทรัพย์ในนา และคนที่พบไข่มุกเม็ดงาม “ยินดีขายทุกสิ่งที่มี นำไปซื้อนา
แปลงนั้น และไข่มุกเม็ดนั้น”(มธ.13:44-45) อีกทั้งต้องยอมแลกยอมสละทุกสิ่งแม้จะเป็นชีวิตและอวัยวะด้วย
“ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกคิดถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และตามเรามา ผู้ใดใคร่รักษา
ชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดีก็จะรักษา
ชีวิตได้”(มก.8:34-35) “ถ้ามือ..เท้า..ตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดจงควักมันทิ้งเสีย
ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีอวัยวะพิการยังดีกว่า......ถูกโยนลงนรก”(มก.9:43-47) เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร
เราต้องเสียสละขนาดนี้เชียวหรือ ชีวิตนิรันดรความรอดพ้นของมนุษย์มีค่าแค่ไหน ถ้าต้องการทราบเราต้อง
มองและรำพึงถึงเรื่องราวแห่งไม้กางเขน เพื่อความรอดพ้นของมนุษย์พระเจ้าทรงยอมรับทรมานและสิ้น
พระชนม์บนไม้กางเขน ค่าของชีวิตนิรันดรจึงเทียบเท่าค่าที่พระเจ้าทรงยอมตายสละชีวิตเพื่อเราทั้งหลาย
ชีวิตนิรันดรมีค่ายิ่งแต่น่าเสียดายมนุษย์ไม่รู้ค่าไม่เห็นความสำคัญ “อีกประเดี๋ยวพระโลหิตจะไหลลง
แต่คนบาปจำนวนมากจะไม่มาพึ่งพระบารมีของพระองค์” บางคนยึดเอาสิ่งของฝ่ายโลกซึ่งเป็นสิ่งอนิจจัง
เป็นสรณะ นักบุญยากอบจึงเตือนเราว่า “ทรัพย์สมบัติของท่านจะเสื่อมสลาย...เงินทองของท่านก็เป็นสนิม
และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรับปรำท่าน”(ยก.5:3) สาเหตุที่ท่านเตือนเราอย่างนี้ เพราะไม่ใช่เพียงแต่เราไม่
เห็นคุณค่าของชีวิตนิรันดรเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกจนเกิดกิเลสความโลภ
และทำร้ายแย่งชิงจากผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วย “ท่านได้คดโกงค่าจ้างกรรมกร...ค่าจ้างนั้นกำลังร้อง และเสียง...
ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจอมโยธาแล้ว”(ยก.5:4-5) ขอให้พระวาจาของพระเจ้าเตือนใจเรา ให้เราเข้าใจ
คุณค่าแท้แห่งชีวิต และดำเนินชีวิตตามคุณค่านั้นโดยรักและรับใช้กันและกันจนกว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:10 pm
โดย rosa-lee
( 3 )
“ก้าวต่อไปด้วยใจหวัง”
ความหวังเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่ทำให้เราก้าวหน้าต่อไป ขอสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่ามี
พระสงฆ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเห็นบทความที่ผู้เขียนๆผ่านๆตา จึงแนะนำผู้เขียนว่า “ไหนๆก็เขียนแล้ว” ในช่วงนี้
ขอให้เขียนเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระหรรษทานแห่งความหวัง เพื่อเตรียมปีศักดิ์สิทธิ์ที่พระศาสนจักรจะประกาศ
ในเดือนธันวาคม ต้องบอกตามตรงว่าเมื่อประเมินการอ่านของผู้อ่านแล้วท้อๆใจอยู่เหมือนกัน เพราะทราบ
อยู่แล้วว่าเรื่องพระเจ้าเรื่องพระหรรษทานที่จำเป็นสำหรับเรา เรามักจะเห็นเป็นเรื่องน่าเบื่อ ความจริงเป็นแล้ว
เรื่องที่สำคัญ แต่เรามักจะคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ ความรู้สึกนี้มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งแรกๆจะเลิกเขียนแล้ว แต่
ในที่สุดต้องเขียนต่อไปเพราะถ้าสำคัญจริงเราต้องยืนยันและเขียนต่อไป ความรู้สึกนี้คือความรู้สึกท้อแท้สิ้น
หวังซึ่งเกิดได้ขึ้นเสมอในชีวิต ถ้าเราคาดหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ “ทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง” ความรู้สึกต่ออาการ
ที่ยังต้องทนกับมันทุกเมื่อเชื่อวันก็เช่นกัน พยายามทำสารพัด ไปหาหมอในศาสตร์แทบทุกแขนง ออกกำลังกาย
แต่ว่ามันไม่ดีขึ้นเลยคงต้องทนทรมานกับมันต่อไป วันหนึ่งไปหาหมอตามนัดก็ไปอย่างนั้นๆเองแต่วันนั้นพระเจ้า
ผู้ทรงทราบความในใจ คงต้องการทำให้ผู้เขียนมีความหวังก้าวหน้าต่อไปจึงดลใจหมอให้พูดว่า “คุณพ่อวันๆ
หนึ่งได้เดินออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า” จึงบอกหมอไปว่า “เดินบนเขื่อนหัวเขื่อนถึงท้ายเขื่อนประมาณ
1 กิโลเมตร พ่อเดินประมาณวันละ 3-4 รอบ” หมอบอกว่า “เยี่ยมมากเดินต่อไปแล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง”
ตอนอยู่วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้าต้องไปเยี่ยมผู้ต้องขังเดือนละ 2 ครั้ง วันหนึ่งบรรดาจิตอาสาและตัวผู้เขียน
เองอยากจะเลิกเพราะไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย คนที่เคยมารวมกิจกรรมก็ค่อยๆหายไป คืนวันนั้นตัดสินใจ “เลิกเยี่ยม”
คืนนั้นนอนไม่หลับเปิดทีวีไว้ในรายการเจาะใจได้ยินเสียงแขกผู้รับเชิญกล่าวว่า “ผมเป็นคนติดคุก” เพราะเขา
ไปเยี่ยมผู้ต้องขังบ่อยๆไปสอนพิณแก้วจำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ เขามีความรู้สึกคล้ายๆผู้เขียนเพราะคาดหวัง
มากเกินไป ฟังเรื่องที่เขาเล่าแล้วทำให้ผู้เขียนล้มเลิกความตั้งใจที่จะเลิกไปเยี่ยมผู้ต้องขัง จึงหาวิธีการใหม่แล้ว
ไปเยี่ยมต่อไป ไปในครั้งนั้นมีโอกาสได้พูดความใจในที่เกิดขึ้นและเดินไปเยี่ยมผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล หลาย
คนบอกว่า “คุณพ่อรู้มั้ยพวกเรารอฟังคุณพ่อทุกเดือนเลย คำพูดของพ่อทำให้เรามีกำลังใจมีความหวัง ส่วนคน
ที่หายไปเพราะเขาพ้นโทษและบางคนย้ายไปอยู่ที่อื่น พ่อน่าจะดีใจนะไม่ใช่ท้อแท้ใจอย่างที่พ่อพูด” ทำให้ผู้เขียน
รู้และเข้าใจว่า “เราสามารถเติมความหวังให้แก่กันและกันได้” “พระเจ้าทรงเล็งแลกิจการต่างๆเล็กๆน้อยๆที่เรา
ทำและคอยเติมความหวังในใจของเราเสมอ” เพื่อให้เราก้าวหน้าต่อไปบนหนทางที่ดีงาม ขอเป็นคนหนึ่งที่เติม
ความหวังในใจของทุกๆท่านนะครับ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:14 pm
โดย rosa-lee
( 4 )
“ความซื่อสัตย์”
ความซื่อสัตย์เมื่อเราทบทวนเกี่ยวกับพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ เราจะพบว่าพระเจ้าทรง
ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์เสมอ ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นที่เราได้เรียนรู้
จากพระคัมภีร์ เราพบว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ขาดสะบั้นเสียหายไปอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เพราะ
พระเจ้าไม่ซื่อสัตย์แต่เป็นฝ่ายมนุษย์ที่ไม่ซื่อสัตย์ เอาใจออกห่างจากพระองค์ เมื่อไม่มีพระองค์เป็นผู้คอย
ปกป้องดูแลความหายนะความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์จะสำนึกได้และกลับมาขอโทษ
พระเจ้า ขอพึ่งพระเมตตาจากพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงรื้นฟื้นพันธสัญญาที่ทำไว้กับมนุษย์ขึ้นใหม่
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาและ
พระเจ้าจะเป็นผู้เริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ก่อน และหาทางช่วยเหลืออยู่เสมอ แสดงว่าพระองค์ทรงรักและ
ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พระวาจาของพระเจ้ากล่าวถึงความสัมพันธ์ของชายและหญิง ที่ตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา
ในการแต่งงาน การแต่งงานตามคำสอนของพระศาสนจักรมีรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งเราเห็นได้จากการทำพิธี
แต่งงานในวัด และถ้าเป็นคาทอลิกจะถือว่าพิธีการตามธรรมเนียมประเพณีอย่างนี้เท่านั้นเป็นการแต่งงาน
อย่างอื่นไม่ถือว่าเป็นการแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายของพระศาสนจักร พระศาสนจักรสอนว่าการ
แต่งงานเป็นการทำพันธสัญญาต่อกันระหว่างชายและหญิง และต้องเลียนแบบพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับ
มนุษย์ พระเจ้ารักมนุษย์อย่างไร พระคริสตเจ้ารักพระศาสนจักรอย่างไร ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาอย่างไร
บ่าวสาวจะต้องรักและซื่อสัตย์ต่อกันอย่างนั้นจนกว่าชีวิตจะหาไม่ “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง
ดังนั้นชายจะละบิดามารดา และชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน......สิ่งที่พระเจ้ารวมกันไว้มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
(มก10:6-9) เราจึงเห็นอัตลักษณ์ของการแต่งงานแบบคาทอลิกอย่างชัดเจน “ความเป็นเอกภาพ และหย่าล้างไม่ได้”
“โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่ากันได้”(มก.10:4) แสดงว่าในสมัยของโมเสสต้องมีการหย่าล้างในลักษณ์
ที่กล่าวถึงแน่นอน ที่โมเสสต้องอนุญาตให้ทำเช่นนี้เพราะต้องการช่วยฝ่ายหญิงให้เป็นอิสระ เพราะในสมัยนั้น
ผู้หญิงถือว่าเป็นสมบัติของผู้ชาย ถ้ามีปัญหาในครอบครัวฝ่ายชายจะได้เปรียบเสมอ โมเสสจึงจำใจต้องเขียน
กฎนี้ขึ้นเพื่อช่วยฝ่ายหญิงนั้นเอง พระเยซูคริสตเจ้าให้คำตอบกับปัญหานี้ว่า “เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของ
พวกท่าน”(มก.10:5) คำตอบที่พระองค์ให้นี้สามารถประยุกต์กับปัญหาในความสัมพันธ์ทุกระดับ มนุษย์กับ
พระเจ้า มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสิ่งสร้าง ที่ความสัมพันธ์ในทุกๆระดับมันมีปัญหา และปัญหาทวีความรุนแรง
ขึ้นทุกวัน เพราะมนุษย์ไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพกฎของพระเจ้า ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์เพื่อตอบสนองกิเลส
ตัณหาของตน มนุษย์ไม่เคารพยำเกรงพระเจ้า ย่ำยีศักดิ์ศรีของมนุษย์ด้วยกันเอง ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
สังคมจึงมีแต่การแตกแยก ความวุ่นวาย และสงคราม โลกของเราปั่นป่วนไปหมดภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ
ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงเตือนใจเราว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับใจแบบถอนรากถอนโคน
ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตมาอยู่ในหนของพระเจ้า เพื่อสันติสุขจะได้กลับคืนมาสู่โลกของเรา
และมาสู่มนุษย์ทั้งมวล
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:17 pm
โดย rosa-lee
( 5 )
“คนรวยผิดตรงไหน”
“ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้า”(มก.10:23) เมื่ออ่านพระวาจาตอนนี้แล้ว
ดูเหมือนว่าพระเยซูคริสตเจ้าจะตำหนิคนร่ำรวย ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ผิด แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว
เราจะทราบว่า “ความร่ำรวย” “ความยากจน” ในตัวมันเองยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก ความร่ำรวย
และความยากจนจะผิดหรือถูกมันขึ้นอยู่กับที่มาและที่ไปของมัน ทำไมถึงร่ำรวย ทำไมถึงยากจน และ
ใช้เงินทองที่มีอยู่ไปทำอะไร คนที่ร่ำรวย ถ้าเขาเป็นคนที่มีอาชีพสุจริต ขยันขันแข็ง รู้จักประหยัด รู้จัก
ใช้เงิน จนมีทรัพย์สินเงินทองเป็นคนร่ำรวย ที่มาของความร่ำรวยแบบนี้ไม่มีความผิดแต่ประการใด
แต่ถ้าความร่ำรวยของเขามาจากการทุจริต โกงบ้านโกงเมือง กอบโกย เอาเปรียบคนอื่น ร่ำรวยด้วย
วิธีการอย่างนี้ก็ต้องถือว่าเป็นบาปและความผิดแน่นอน “ท่านโกงไม่จ่ายค่าจ้างให้กรรมกรที่เก็บเกี่ยว
ในทุ่งนาของท่าน ค่าจ้างนี้กำลังร้อง....ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจอมโยธาแล้ว”(ยก.5:4) คนยากจน
ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาได้พยายามทำมาหากิน ประหยัด แต่ก็ยังไม่ร่ำรวย เงินทองไม่พอใช้ ทั้งๆที่ยากจน
แต่ก็ไม่เคยทุจริต ไม่ลักขโมยใคร คนยากจนอย่างนี้เราไม่สมควรดูถูกดูแคนเขา ตรงกันข้ามต้องเห็นอก
เห็นใจหาทางช่วยเหลือ
เราใช้ทรัพย์สิ้นเงินทองที่เรามีอย่างไร นี่เป็นที่ไปของความร่ำรวยและความยากจน พระเยซูคริสตเจ้า
ทรงเชื้อเชิญเศรษฐีหนุ่มคนนั้นให้ใช้เงินทองอย่างถูกต้อง ไม่ใช่คิดถึงแต่ตนเองแต่ต้องคิดถึงผู้อื่นด้วย
“ท่านยังขาดสิ่งหนึ่งจงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจนและท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์”(มก.10:21)
พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งมาสำหรับมนุษย์ทุกคน และจงใจสร้างมนุษย์ให้มีความแตกต่างกัน มีคนอ่อนแอ
มีคนเข้มแข็ง มีคนร่ำรวย มีคนยากจน ฯลฯ เพราะทรงมีพระประสงค์ให้เราใช้ความแตกต่างแสดงความรัก
ความเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อทำให้เราทราบว่าเราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราเป็นพี่น้องกัน
มีพระเจ้าเป็นพระบิดา เราจึงต้องช่วยเหลือกัน และเราไม่มีสิทธิ์ครอบครองสิ่งที่เรามีเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ฝ่ายเดียว “ท่านมีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในโลกนี้ และกินเลี้ยงอย่างสนุกสนาน......ไว้รอวันประหาร”
(ยก.5:5) เราอย่าคิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้เป็นเฉพาะคนร่ำรวยเท่านั้น แต่คนยากจนหลายๆคนก็ใช้ชีวิ
ตอย่างนี้ด้วยและนี่อาจจะเป็นสาเหตุของความยากจนของเขาก็เป็นได้
ความร่ำรวยที่เป็นอุปสรรค์ต่อการเข้าพระอาณาจักรสวรรค์ คือความร่ำรวยฝ่ายจิตใจ จิตใจหมกมุ่น
อยู่กับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก จนไม่เห็นคุณค่าของพระอาณาจักรสวรรค์ เขาจะทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก เพื่อบำรุงบำเรอกิเลสตัณหาของตนเพราะคิดว่านั่นเป็นความสุขแท้ ส่วน
คุณค่าของพระอาณาจักรสวรรค์ ความศักดิ์สิทธิ์ ความรัก ความยุติธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี เขา
จะไม่สนใจละเลยไม่ดำเนินชีวิตตามคุณค่าของพระอาณาจักรนั้น พระเยซูคริสตเจ้าจึงตรัสว่า “อูฐจะลอดรูเข็ม
ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า”(มก.10:25) ขอให้พระวาจาของพระเจ้าทำให้เราเข้าใจ
คุณค่าของพระอาณาจักรสวรรค์ ออกแรงสุดความสามารถที่จะดำเนินชีวิตตามคุณค่านั้น ซึ่งจะทำให้เรา
ได้รับความสุขนิรันดรกับพระเจ้าในเมืองสวรรค์ อันเป็นขุมทรัพย์ที่แท้จริงของเรา
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:21 pm
โดย rosa-lee
( 6 )
“ความมั่นใจในความหวัง”
การประกาศสมณโองการปีศักดิ์สิทธิ์ 2025 เปิดฉากด้วยถ้อยคำให้กำลังของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากการถูกเบียดเบียน “ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง” (รม.5:5) เชื่อว่า
ทุกๆคนคงมีความหวังคุกรุ่นอยู่ในหัวใจ ซึ่งเป็นความปรารถนาและความคาดหวังถึงสิ่งดีๆที่จะเป็นมาใ
นอนาคต หลายๆคนคงเคยคิดหรือเคยพูดในลักษณะนี้ ถ้าเรามีเงินเยอะๆมีบ้านหลังใหญ่ๆครอบครัว
ของเราคงเป็นสวรรค์ เรามักจะพูดถึงความสุขที่เราอยากมีอยากเป็นว่าเป็น “สวรรค์” แต่นั่นจะเป็นสวรรค์
จริงอย่างที่เราคิดและคาดหวังหรือเปล่านั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราคิดหรือพูดเช่นนี้แสดงว่าความรอดพ้น
ความสุขนิรันดรให้เมืองสวรรค์เป็นความหวังสูงสุดของเรา ความหวังนี้จะเป็นจริงหรือไม่และเราจะมั่นใจ
ในความหวังนี้ได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ผู้เขียนเคยได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
เป็นที่ๆผู้เขียนทำงานนานที่สุดในชีวิตสงฆ์ทำงานที่นั่นรู้สึกเหนื่อยมากและมีความสุขมากด้วยในเวลาเดียวกัน
การได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้คนในมิติต่างๆแห่งชีวิต ทำให้ผู้คนมากมายสามารถพลิกฟื้นความหวัง หลายคน
มีโอกาสกลับคืนดีกับพระเจ้าและพระศาสนจักร ทำให้สมาชิกในครอบครัวบางครอบครัวให้อภัยและคืนดีกัน
ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจมีความเพียรอดทนในการรับการรักษา หลายๆคนหายป่วยและกลับไปใช้ชีวิตกับ
ครอบครัวและทำงานตามเดิม ผู้ป่วยหลายคนเข้าใจสัจธรรมความจริงแห่งชีวิต โลกและสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
ล้วนอนิจจังเป็นที่อยู่ชั่วคราว วันหนึ่งทุกคนต้องลาจาก กลับไปบ้านแท้มีความสุขนิรันดรกับพระจ้าในเมืองสวรรค์
ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของมนุษย์ทุกๆคน เมื่อยอมรับความจริงได้จึงสามารถหลับตาลงและสิ้นใจในศีลในพร
ของพระเจ้า การได้มีโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คน การช่วยเหลือแสดงความรักความเมตตา การให้อภัย การ
คืนดีกัน เป็นหนทางแห่งความสงบสุขก่อให้เกิดความหวังและกำลังใจ ด้วยความสงบสุขในลักษณะนี้ที่เกิดขึ้น
ได้ในความสัมพันธ์ทุกระดับชั้น อาทิ เพื่อนๆ เพื่อนร่วมงาน นายเจ้ากับพนักงาน ในครอบครัว ในชุมชน ฯลฯ
ทำให้เราสามารถสัมผัสความสุขนิรันดรในเมืองสวรรค์ที่จะเป็นมาในอนาคต ได้ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนโลกอนิจจัง
ใบนี้แล้ว เราจึงมีความมั่นใจในความหวังอย่างเต็มเปี่ยม เพราะอาศัยพระบารมีของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์
จะประทานพระหรรษทานให้พวกเราในโลกนี้ และสันติสุขนิรันดรในโลกหน้า ทั้งนี้เพราะพระองค์รักษาสัญญา
ที่ทรงให้ไว้เสมอ อาแมน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่าน
คพ. สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:25 pm
โดย rosa-lee
( 7 )
“ ผู้ยิ่งใหญ่ทางโลกและทางธรรม”
ผู้ยิ่งใหญ่ทางโลกและทางธรรม เป็นแนวความคิดที่แตกต่างและสวนทางกันโดยสิ้นเชิง จากประสบการณ์
ที่เราสัมผัสได้ในชีวิตจริง ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ใช่การมีอำนาจสั่งการ แต่เป็นความสามารถในการครองใจคน
ด้วยเหตุนี้ “ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงต้องสามารถนั่งในใจของคน ไม่ใช่นั่งบนหัวคนอื่น” พระเยซูคริสตเจ้าทรงชี้ประเด็น
ให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ตามประสาโลก และผู้ยิ่งใหญ่ตามจิตตารมณ์พระวรสารอย่างชัดเจน
“ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้า.....เป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และ....ใช้อำนาจบังคับ
แต่ท่านทั้งหลาย........ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่ง
....ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน”(มก.10:42-44) คำสอนของพระเยซูคริสตเจ้าในเรื่องนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ
ทางธรรมเท่านั้น แม้แต่ทางโลกเองเราจะพบว่าสถานประกอบการที่ให้บริการด้วยความสุภาพอ่อนน้อม หรือผู้ที่
ประกอบอาชีพใดๆไม่ว่าที่ประกอบอาชีพของตนตามแนวทางที่พระเยซูคริสตเจ้าสอนจะประสบความสำเร็จในกิ
จการนั้นๆเสมอ
ผู้รับใช้ตามคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า หมายถึงผู้ที่สละตนเองอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นหรือเพื่อ
ประโยชน์สุขของส่วนรวม และพระองค์เองก็คือผู้รับใช้ตามที่พระองค์สอนเพราะพระองค์มิได้สอนเพียงทฤษฎี
แต่พระองค์ ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างให้เราปฏิบัติตามพระองค์ “บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้
แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่นและมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”(มก.10:45) พระองค์ยอมมอบชีวิตของ
พระองค์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยมนุษยชาติให้พ้นจากบาปโทษทั้งปวง “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบ....จะถูกสบ
ประมาท เยาะเย้ย ถ่มน้ำลายรด โบยตี และฆ่าเสีย”(มก.10:33-34) ในระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้ายตามที่
นักบุญยอห์นบันทึกไว้ พระองค์ทรงให้แบบอย่างที่ชัดเจนในการล้างเท้าอัครสาวกและสั่งให้อัครสาวกปฏิบัติตาม
“ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็น
ทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้
ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนที่เราทำกับท่าน”(ยน.13:14-15)
พระวรสารที่เราได้ฟังได้อ่านในวันนี้สะท้อนให้เห็น ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่อัครสาวกเพราะพวกท่านดำเนินชีวิต
ตามประสาโลก และพระเยซูคริสตเจ้าพยายามสอนให้พวกท่านเข้าใจวิถีทางของพระองค์ แต่เวลานั้นพวกท่าน
ยังไม่เข้าใจเพราะพวกท่านยังคงคิดถึงความยิ่งใหญ่ตามประสาโลกอยู่เหมือนเดิม ทำให้เราทราบถึงรากเง้า
ของปัญหาในสังคมและในครอบครัวของเรา ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตตามประสาโลก มีความมักใหญ่ใฝ่สูง
แกร่งแย่งแข่งขัน จองหอง ผิดไม่ได้ ขอโทษไม่เป็น คิดว่าตนเองเป็นมาตรการตัดสินทุกสิ่ง ครอบครัวและ
สังคมของเราจะไม่มีทางมีความสงบสุข จะมีแต่การชิงดีชิงเด่น ทะเลาะวิวาท และความแตกแยก พระเยซู
คริสตเจ้าทรงทราบถึงปัญหานี้ดี จึงทรงพยายามสอนและให้แบบอย่างที่ชัดเจนแก่เรา และสั่งให้เราปฏิบัติตาม
เพราะถ้าเราปฏิบัติคำสั่งสอนของพระองค์ เราจะสามารถนำความรัก ความอบอุ่น สัมพันธภาพที่ดี
และสันติสุขกลับคืนมาสู่ครอบครัวและสังคมของเรา
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:29 pm
โดย rosa-lee
( 8 )
“จงคิดถึงอนาคตด้วยความหวังไม่ใช่ด้วยความกลัว”
หลายๆคนคงเคยได้ยินคติพจน์แห่งครอบครัว ที่มีคนบางกลุ่มคิดขึ้นมานับศตวรรษเพื่อเป็นแผนการ
ตลาดของธุรกิจบางประเภท “ลูกมากจะยากจน” บางกลุ่มคิดได้อย่างเห็นแก่ตัวและเสียงดังมากๆว่า “สำหรับ
ประเทศกำลังพัฒนาและบรรดาชนชาติพันธ์ทั้งหลาย ต้องพยายามคุมกำเนิดชนพวกนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากที่สุด” เพราะพวกนี้เป็นคนด้อยคุณภาพเกิดมามากๆสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ พวกเขาแย่งออกซิเจน
พวกเราหายใจ คนด้อยคุณภาพพวกนี้หายใจเปลืองอออกซิเจน เราจะวัดคุณค่าของชีวิตและคุณของศักดิ์ศรี
ความเป็นคน “เพียงแค่วัตถุธาตุที่เป็นอนิจจังแค่นี้หรือ” สามสี่ปีที่ผ่านมาพระเจ้าทรงสั่งสอน “การกล่าวหา
เรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับการเพิ่มของจำนวนประชากรโลก” จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติไม่เพียงพอ จะเกิด
การแกร่งแย่งๆชิงกันมากขึ้น ทำให้พวกหัวเสพวกนี้พยายามจะเป็นคนยืนหนึ่งโดยคิดทดลองอาวุธชีวภาพ
เพื่อทำลายชีวิต “พวกฉันเท่านั้นสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป” คนอื่นต้องตายเพื่อลดจำนวนประชากรโลกพวกเขา
ทำสำเร็จจริงๆ “โควิค 19” ทำให้ความตายครอบคลุมทั่วทุกมุมโลก ในโลกนี้มีองค์กรส่งเสริมคุณค่าของชีวิต
ผู้เขียนไปร่วมประชุมกับองค์กรนี้มาหลายครั้ง พวกเขามีข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของโรคเอดส์
ได้สำเร็จของหลายๆประเทศ “โดยไม่ต้องใช้ถุงยางอนามัย” ผลร้ายของการคุมกำเนิดโดยวิธีการทางวิทยา
ศาสตร์ทุกชนิดว่า “ในอนาคตโลกของเราจะเป็นอย่างไร” แต่พูดไปไม่มีใครฟังเพราะเรากำลังคิดวนเวียนอยู่กับ
“ประโยชน์ๆ” “ผลกำไร” คิดถึงครอบครัวของผู้เขียนพ่อแม่มีลูก 9 คนไม่ทราบว่าเขาเลี้ยงกันได้อย่างไร บางคน
อาจกล่าวว่า “บริบททางสังคมเปลี่ยนไปค่าครองชีพสูงขึ้น” แต่ถ้าลองพิจารณาจะพบว่า มันสูงขึ้นทุกอย่างนั่น
แหละค่าครองชีพสูงขึ้นค่าแรงเราสูงขึ้นหรือเปล่า แม้มันอาจจะไม่สมดุลกันแต่มันเป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย
“ใครเคยคิดถึงสาเหตุที่แท้จริงบ้าง” พระศาสนจักรประณามการบริโภคนิยมแบบสุดโต่ง จนกลายเป็นปัจเจก
นิยมความเห็นแก่ตัวการเอารัดเอาเปรียบ อยู่แบบตัวใครตัวมันขาดจิตตารมณ์แห่งการแบ่งปัน ความสำเร็จ
และชีวิตที่รีบเร่งการแข่งขันที่ถูกกำหนดโดยสังคมทุกชนิด ในปีศักดิ์สิทธิ์พระศาสนจักรเชิญชวนคริสตชนทั้ง
หลายให้เป็นพยานถึงคุณค่าของชีวิต จิตตารมณ์แห่งความรัก การแบ่งปัน ผู้ที่เข้มแข็งประเทศมหาอำนาจคน
ร่ำรวยจะต้องสนใจประเทศและผู้ที่ด้อยกว่า คนยากจน กลุ่มคนเปราะบาง ฯลฯ ซึ่งเป็นการสนับสนุนและส่ง
ความหวังเป็นการมอบอนาคตให้ทุกสังคม เป็นการทำเพื่ออนาคตของโลกให้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทารก
และเด็กๆ เสียงหัวเราะนี่แหละทำให้ครอบครัวมีชีวิตชีวา ความปรารถนานี้เป็นเรื่องของความหวัง ขึ้นอยู่กับ
ความหวัง และก่อให้เกิดความหวัง ความหวังนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง
ขอพระเจ้าประทานพระพรเพิ่มพูนความหวังให้กับทุกคน
คพ. สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:33 pm
โดย rosa-lee
( 9 )
“ความมืดบอดฝ่ายจิตวิญญาณ”
เวลาที่เราพบคนตาบอดขึ้นรถประจำทางหรือข้ามถนน เราจะรู้สึกสงสารและรู้สึกทึ่งในเวลาเดียวกัน
เพราะการเดินทางของเขานั้นยากลำบากต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็รู้สึกทึ่งเพราะเขามีประสาท
สัมผัสส่วนอื่นที่ดีกว่าเรามาก อาทิ การสัมผัส การได้กลิ่น และความทรงจำ นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงพระ
เมตตาประทานบางสิ่งมาทดแทนส่วนที่เขาบกพร่องไป คนตาบอดทางกายภาพนับว่าเป็นบุคคลที่น่าเห็นใจ
อยู่แล้ว แต่คนที่มืดบอดฝ่ายจิตวิญญาณก็น่าเวทนามากกว่า เพราะเขาอยู่ในความผิดหลง อยู่ในบาป ไม่ยอม
รับความเป็นจริงของชีวิต ไม่เห็นแสงสว่างแห่งธรรม บุคคลประเภทนี้พระเยซูคริสตเจ้าทรงสอนว่า เป็นบุคคล
ที่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะสูญเสียชีวิตนิรันดร “มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งดูหมิ่นพระเจ้าด้วย
แต่คำดูหมิ่นพระจิตเจ้า.......กล่าวร้ายต่อพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า”
(มธ.12:31-32) ที่พระองค์สอนเช่นนี้เพราะการดูหมิ่นพระจิตเจ้า และการกล่าวร้ายต่อพระจิตเจ้า หมายถึง
การไม่ยอมรับความจริง ไม่สำนึกถึงความผิดของตน เพราะพระจิตเจ้าคือองค์ความจริง
พระเยซูคริสตเจ้ายังสอนด้วยว่าถ้าจะต้องแลกระหว่างตาบอดกับสูญเสียชีวิตนิรันดร เราต้องยอมตาบอด
จะดีกกว่าเสียชีวิตนิรันดร “ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่
พระอาณาจักรของพระเจ้า....ดีกว่า...ถูกโยนลงนรก”(มก.9:47) สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นว่า ความ
มืดบอด ความป่วยไข้ฝ่ายจิตวิญญาณอันตรายยิ่งกว่าทางกายภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเอาใจใส่ดูแล
รักษาสภาพฝ่ายจิตวิญญาณอยู่เสมอ โดยการพิจารณามโนธรรมทุกๆวัน ถ้าเรารู้สึกว่ามีอะไรบกพร่องทางจิตวิ
ญญาณ อาทิ ทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ทำแล้วรู้สึกว่าถูกตำหนิจากภายใน ฯลฯ เราต้องรีบเข้าไปรับการรักษา
จากพระเมตตาของพระเจ้าทางศีลอภัยบาปทันที
ท่าทีของบารทิเมอัสขอทานตาบอดคนนั้น ความรู้สึกทุกข์ทรมานกับการตาบอดของเขา ความพยายามที่จะ
พ้นจากสภาพนั้น เขากระตือรือร้นหาทาง คอยโอกาส และเมื่อมีโอกาสเขาร้องขอพระเมตตาด้วยเสียงอันดัง
“เมื่อได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังผ่านมา เขาเริ่มส่งเสียงร้องตะโกนว่า ข้าแต่พระเยซูโอรสของกษัตริย์
ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด”(มก.10:47) เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมันทำให้เขาได้รับพระเมตตาจาก
พระเจ้า คนจะกลับตัวกลับใจเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ ต่อเมื่อเขารู้สึกได้ถึงความทุกข์ความน่าทุเรศทุรังของวิถีชีวิต
แบบเดิมเช่นเดียวกับขอทานตาบอดคนนั้น เพราะเมื่อสบโอกาสเขาจะรีบไขว่คว้าทันทีโดยไม่หวั่นเกรงอุปสรรค์
ใดๆ และยินดีละทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมๆที่ทำให้เขาเจ็บช้ำ “หลายคนดุเขาให้เงียบแต่เขากลับตะโกนดังยิ่งขึ้น.....
ทำใจดีๆไว้ลุกขึ้น....คนตาบอดสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า”(มก.10:48-50)
ขอให้พระวาจาของพระเจ้าที่เราได้อ่านได้ฟังในวันนี้ ช่วยเราให้มีความกล้าหาญที่จะพิจารณาไตร่ตรองชีวิต
ของเราอย่างจริงจัง ยอมรับความอ่อนแออันเป็นความเป็นจริงแห่งชีวิต เปิดตามองแสงสว่างแห่งธรรม วอนขอ
พระเมตตาจากพระเจ้า และยินดีสละวิถีชีวิตแบบเดิมๆที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย อบายมุข ความผิดหลง
เพื่อเราจะได้มีชีวิตใหม่ในความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า เพื่อนมนุษย์ และธรรมชาติที่งดงาม
เพราะตาแห่งจิตวิญญาณของเรามองเห็นแล้ว
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อ สมชาย อัญชลีพรสันต์
Re: บทความดีๆของคพ.สมชาย อัญชลีพรสันต์ ( ชุดที่ 7)
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 23, 2024 11:36 pm
โดย rosa-lee
( 10 )
“เรื่องจริงอิงนิยาย”
เขียนเรื่องเครียดๆมาเกือบสิบบทความแล้ว จึงขอเล่าเรื่องจริงอิงนิยายบ้างท่าจะดี สมัยเด็กๆตอนเข้า
บ้านเณรเล็กใหม่ๆ เจอเณรคนหนึ่งด้านหนึ่งเขาเป็นคนจริงจังในการเรียนการทำงานมาก ถ้าลองได้รับ
มอบหมายให้ทำอะไรแล้ว เขาจะทำเต็มที่สุดกำลังความสามารถเลยทีเดียว เขาเคยได้รับมอบหมายให้
ดูแลห้องน้ำห้องส้วม เขาและพรรคพวกทำอย่างสะอาดจนชนิดที่ว่าหลังจากที่พวกเขาทำความสะอาดแล้ว
ใครเข้าไปใช้ห้องน้ำห้องส้วมเป็นคนแรกนับว่าโชคดี เพราะจะสะอาดพื้นห้องน้ำห้องส้วมจะแห้งสนิทมีแต่
กลิ่นยาดับกลิ่น อีกด้านหนึ่งเขาอยู่ในแก๊งเณรกวนบ้านเณรจนครูเณรหลายยุคสมัยปวดหัว จนกระทั่งเขา
เรียนจบชั้นสุดของโรงเรียนในขณะนั้น ครูเณรคนหนึ่งคงจะทนไม่ไหวจึงไปเสนออธิการว่า “สามเณรชื่อ..
จุด จุด จุด ถ้าคุณพ่อไม่แนะนำให้เปลี่ยนกระแสเรียก(ไล่ออก) คุณพ่อต้องแต่งตั้งให้เขาเป็นครูเณรไม่เช่นนั้น
บ้านเณรป่วนไม่รู้จบแน่ คุณพ่ออธิการเลือกข้อเสนอที่สองคือแต่งตั้งเขาให้เป็นครูเณร ปรากฏว่าได้ผลดีเพราะ
เขารู้ช่องทางการทำผิดพระวินัยอย่างดี และเขาพยายามศึกษาพระวินัยจนเข้าใจถึงเหตุและผลว่าทำไมต้อง
ถือพระวินัยเช่นนั้น เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจพยานสอดส่องของพระเจ้าที่ทรงเลือกโจรกลับใจมาเป็นตำรวจ
เพราะเขารู้จักช่องทางของโจรดีมากๆ เดิมทีมีนครสี่พี่น้องผู้มีพระภาคเจ้าทรงเลือกผู้ครองนครนามว่า
“จิ๋วแต่แจ๋ว” ให้ครองแคว้นใหญ่สุด คงปรารถนาให้ไปคอยดูแลเมืองหน้าด่านสี่พี่น้อง และทรงเลือกผู้เลิศ
ด้วยกุศลปัญญาไปครองนครแคว้นดอกบัว ให้คอยคุ้มนครแคว้นบนดอนสูง นครสี่พี่น้องนี้น่าจะสามารถอยู่
สงบสุขสืบไป เกิดเรื่องราวคล้ายๆในหนังสือวิวรณ์เมื่อนครแห่งเหล่าทวยเทพวุ่นวาย พระองค์ทรงเขี่ยองค์
รัชทายาทลงจากบัลลังก์แล้วเทวดาก็ตกจากสวรรค์ เทวดาองค์นั้นมีฤทธิ์ร้ายนักจึงส่งผู้ช่ำชองด้วยฤทธานุภาพ
ไปปราบ ผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณสูงล้ำเกินกว่ามนุษย์จักเดา ทรงเลือกผู้เคยอยู่ในแก๊งโจรให้มา
เป็นเจ้าปกครองนครจึงรู้เส้นทางและวิธีการของโจรเป็นอย่างดี ส่วนแคว้นดินแดนงดงามก็ส่งผู้ตรวจโครงการ
และเงินแผ่นดินไปครองคอยคุมเชิง ถ้าจะให้ทึ้งกว่านี้ต้องให้เจ้าครองนครพลอยเพชรขึ้นบัลลังก์ และนครแห่ง
ทวยเทพมีเจ้าครองนครผุดขึ้นดังใจหมาย อะไรๆก็คงจะดีขึ้นเกิดความสงบสุข คิดถึงเรื่องราวที่ผู้มีพระภาค
เจ้าเลือกโจรมาปราบโจร ทำให้เราต้องสรรเสริญสดุดีพระปรีชาญาณของพระเจ้า ตอนเป็นเด็กน้อยครูคำสอน
เคยร้องเพลงให้ฟัง เพื่อสอนเรื่องปรีชาญาณของพระเจ้าว่า “ปรีชาญาณรากฐานแห่งการสร้างสรรค์ ณ ปัจจุบัน
อดีต อนาคตกาล ไม้ใบใหญ่ให้ร่มเงาแก่มนุษย์ ก็ให้ผุดผลเล็กเป็นสัดส่วนไป ลองคิดดูหากเราพักร่มไม้ใหญ่
และมีผลใหญ่ตกลงใส่หัว นี่แหละบทสอนให้เราสังวรพระทรงอาทรรักเราเหลือพรรณนา เราอย่าปากร้ายติบ่น
ด่าว่า ใครเล่าจะบ้ากล้าว่าปรีชาญาณ” เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเล่นๆไม่รู้จะอ่านรู้เรื่องหรือเปล่าถ้าไม่รู้เรื่องขอโทษ
ด้วยนะครับ จงเชื่อมั่นในพระปรีชาญาณของพระเจ้า พระปรีชาญาณนี่แหละคือความหวังอันยิ่งใหญ่ของเรา
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คพ. สมชาย อัญชลีพรสันต์