หน้า 1 จากทั้งหมด 1

การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-14 ) จบ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 25, 2024 5:08 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 1 )👈🏽

🔹การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า🔹

     “เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ” (ลก 12:49)
     ในหนังสือวิวรณ์ อัครสาวกยอห์น อธิบายอย่างชัดเจนถึงการเผชิญหน้ากับพระเยซูคริสตเจ้า
ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งสวมพระสิริรุ่งโรจน์และพระพลานุภาพ ทำให้ท่านตกใจมากที่ในสิ่ง
ที่เห็นจน “ล้มลงแทบเท้าของเขาเหมือนคนตาย” (วว 1:17)
       คำว่า “วิวรณ์” มาจากภาษากรีก “apokalypsis”  แปลว่า “การเปิดเผย” หนังสือเล่มนี้บรรยาย
ถึงทั้งการเปิดเผยแผนการของพระเจ้าและการเผยแสดงของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการ
พระบุตรผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
       “เมื่อข้าพเจ้าหันไปดูว่าผู้ใดกำลังพูดกับข้าพเจ้า เมื่อหันไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นเชิงตะเกียงทองคำ
เจ็ดเชิง ในกลุ่มเชิงตะเกียงเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งคล้ายบุตรแห่งมนุษย์ สวมเสื้อยาวกรอมเท้า
มีผ้าทองคาดที่อก ผมขาวเหมือนกับขนแกะและหิมะ นัยน์ตาลุกโชติช่วงเหมือนเปลวเพลิง เท้าสุกใส
เหมือนทองสัมฤทธิ์ที่หลอมอยู่ในเตาไฟ เสียงของเขาดังเหมือนเสียงน้ำไหลเชี่ยว เขาถือดาวเจ็ดดวง
ในมือขวา มีดาบสองคมออกมาจากปาก ใบหน้าของเขาดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า
(วว 1:12-16; ข้าพเจ้าเน้น)
       ในหนังสือวิวรณ์ นักบุญยอห์นใช้รูปภาพจากประกาศกดาเนียลและเอเสเคียล เพื่อระบุลักษณะ
เฉพาะที่เผยให้เห็นมิติที่ไม่เหมือนใครของพระสิริรุ่งโรจน์ และพระพลานุภาพของพระเยซูเจ้า นักบุญยอห์
นบอกเราถึงสามครั้งว่า พระเนตรของพระเยซูเป็น "เหมือนเปลวเพลิง" (วว.1:14, 2:18, 19:12) ในหนังสือ
เล่มนี้ ข้าพเจ้าต้องการเน้นเรื่องไฟ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นพิจารณาผ่านพระคัมภีร์เสมอ ไฟนี้
เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าแก่เรา”

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 25, 2024 5:11 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 2 )👈🏽

🔹เปลวเพลิง🔹

     สายพระเนตรของพระเยซูเจ้าเผยให้เห็นความสามารถในการมองเห็นทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดรอดพ้น
จากสายพระเนตรของพระองค์ได้ "พระองค์ทอดพระเนตรพฤติกรรมของมนุษย์ ทรงเห็นทุกย่างก้าว
ของเขา" (โยบ 34:21) ไฟสามารถผ่านทะลุเหล็กได้ฉันใด การจ้องมองของพระเยซูเจ้าก็ทะลุทะลวง
ได้ฉันนั้น สายพระเนตรของพระองค์มองทะลุทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระองค์ รวมทั้งเจตนา
อันลึกล้ำของหัวใจมนุษย์ "จึงไม่มีสรรพสิ่งใดๆ ซ่อนเร้นไว้เฉพาะพระพักตร์ แต่ทุกสิ่งเปิดเผยอย่าง
ชัดเจนต่อสายพระเนตรของพระ ผู้ซึ่งเราจะต้องทูลถวายรายงาน" (ฮบ 4:13)
       พระเนตรแห่งไฟของพระเยซูเตือนเราว่าพระองค์ทรงรู้ความจริงในทุกสิ่งและทุกคน การรู้ว่า
พระองค์ทรงเห็นทุกสิ่งเกี่ยวกับเรา รวมทั้งความผิดพลาดของเรา สามารถช่วยให้เราเติบโตในความ
ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง "พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุก
ยุคทุกสมัย" (ลก 1:50)
       สายพระเนตรที่ลุกร้อนของพระเยซูเจ้า ยังเผยให้เห็นหัวใจอันเร่าร้อนแห่งความรักของพระองค์ด้วย
สายพระเนตรนี้เปิดเผยความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตรที่ลุกโชนในหัวใจของพระเยซู และใน
ความเป็นมนุษย์ที่ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สายพระเนตรของพระองค์เผยให้เห็นความปรารถนา
ที่มีต่อเรา ซึ่งพระองค์ต้องการจะมอบให้กับเราทุกคน

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 25, 2024 5:15 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 3 )👈🏽

🔹คุณสมบัติของไฟ🔹

       สัญลักษณ์แห่งไฟเป็นเครื่องหมายแห่งพระจิตเจ้า ผู้เป็นความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตร
ตลอดนิรันดร ทุกสิ่งที่เป็นอยู่เกิดขึ้นจากไฟแห่งความรักในพระตรีเอกภาพ คุณสมบัติของไฟช่วย
ให้เราเข้าใจธรรมชาติแห่งความรักของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ทั้งหมด การมองดูดวง
อาทิตย์ในเชิงเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้เราจินตนาการถึงความรักของพระเจ้าที่เข้มข้นมาก
       อุณหภูมิของแกนกลางดวงอาทิตย์อยู่ที่ประมาณ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ เกิดอะไรขึ้นใน
แกนกลางของดวงอาทิตย์
       นักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่าเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชัน นั่นคือการรวมตัวกันระหว่างนิวเคลียสของ
อะตอมที่อุณหภูมิสูงมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดพลังงานมหาศาล “ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงของดวงอาทิตย์
ไฮโดรเจนประมาณ 657 ล้านตันจะถูกเปลี่ยนเป็นฮีเลียม 653 ล้านตันทุกวินาที”
          ผู้ประพันธ์บทเพลงสดุดีเตือนเราว่า “ท้องฟ้าประกาศพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (สดด 19:1)
พระเจ้าผู้ทรงสร้างดวงอาทิตย์และผู้ทรงบันดาลให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามพระดำรัสของพระองค์ คือผู้ทรง
ฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล “ไม่มีอำนาจใดที่ถูกสร้างขึ้นในจักรวาลจะเทียบกับความรักที่
ทรงพลังเช่นนี้ พลังที่เป็นไฟบริสุทธิ์ ซึ่งปะทุตลอดเวลาเพื่อเปลี่ยนเราให้มีส่วนในไฟแห่งความรักของพระเจ้า”
       พระคัมภีร์บรรยายลักษณะความรักของพระเจ้าว่า เป็นความหวงแหนอันศักดิ์สิทธิ์และความเมตตา
“พระยาเวห์ พระเจ้าของท่านทรงเป็นดังไฟที่เผาผลาญ ทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ทรงยอมให้มีคู่แข่งใด”
(ฉธบ 4:24) ความรักของพระองค์ไม่นิ่งเฉย เป็นไฟที่เร่าร้อน บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าไม่ได้รัก
เพราะพระองค์ทรงขาดความรัก แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์แห่งความรัก เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก
ความปรารถนาอันศักดิ์สิทธิ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบบัลลังก์ของพระเจ้า “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองดูอยู่นั้น
ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถูกนำมาตั้งไว้ และผู้อาวุโสท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์...บัลลังก์ของเขา
เหมือนเปลวเพลิงมีล้อเหมือนไฟลูกโพลงเบื้องหน้าเขามีธารไฟไหลออกมา” (ดนล 7:9-10) ทูตสวรรค์
เสราฟ ซึ่งแปลว่า “สิ่งที่ลุกเป็นไฟ” และตะเกียงไฟเจ็ดดวงที่ลุกโชนต่อพระพักตร์พระองค์ทั้งกลางวันและ
กลางคืน (อิสยาห์ 6:1-7)
       ไฟหมายถึง “การเปลี่ยนแปลงทางเคมีอย่างรวดเร็วและอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปล่อยความร้อนและแสง
ออกมาพร้อมกับเปลวเพลิง” ทำให้บริสุทธิ์ อบอุ่น แผ่ขยาย ทำลาย ให้พลัง และส่องสว่าง ความรักของ
พระเจ้าสามารถชำระบาป และความไม่บริสุทธิ์ออกจากประชากรของพระองค์ได้ พระองค์ทรงทำให้หัวใจ
ของเราอบอุ่นด้วยเปลวไฟแห่งความรักที่มีชีวิต พระองค์ทรงแผ่ความรักของพระองค์ผ่านทางพระจิตเจ้า
ผู้ประทานไฟแก่ผู้ที่ต้องการ พระองค์ทรงทำลายล้างศัตรู ผู้ที่ต่อต้านและปฏิเสธความรักของพระองค์ทุกคน
พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ทุกคนที่ได้รับความรักของพระองค์ดำเนินชีวิตใหม่ผ่านการสถิตอยู่ของพระจิตเจ้า
นอกจากนี้ ไฟของพระองค์ที่ลุกโชนอยู่ในตัวเรายังส่องสว่างแก่ผู้อื่นที่ต้องการเข้ามาใกล้ชิดพระองค์
       โดยพื้นฐานแล้ว พระเจ้าเปรียบได้กับเพลิง เพราะพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งพระองค์
ปรารถนาจะแบ่งปันกับทุกคนที่เต็มใจรับความรักของพระเจ้าที่มอบให้ในองค์พระจิตเจ้า นั่นคือไฟแห่ง
พระหรรษทาน แต่สำหรับผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับ ไฟนี้จะเป็นไฟแห่งการพิพากษาและ “ไฟร้อนแรงที่จะเผา
ผลาญพวกกบฏให้สิ้นไป” (ฮบ 10:27) พระเจ้าทรงส่งพระบุตรเข้ามาในโลกเพื่อกอบกู้มนุษย์กลับคืนมา
เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผ่านทางพระหรรษทานแห่งพระจิตเจ้า

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 25, 2024 5:18 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 4 )👈🏽

🔹การล้างด้วยไฟ <1>🔹

       พระเยซูเองทรงยอมรับว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้างมาเป็นผู้เตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ ผู้ส่งสาร
และประกาศกคนสุดท้ายในพันธสัญญาเดิม ในฐานะประกาศกที่แท้จริง เอลียาห์คนใหม่
       “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในหมู่ผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์น
ผู้ทำพิธีล้าง ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น ตั้งแต่สมัยของ
ยอห์นผู้ทำพิธีล้างจนถึงวันนี้ อาณาจักรสวรรค์ต้องการความอดทนและความพยายาม ผู้ที่ใช้
ความอดทนและความพยายามเท่านั้นจึงจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ ประกาศกทั้งหลายและ
ธรรมบัญญัติต่างประกาศพระวาจาถึงสมัยของยอห์น ถ้าท่านทั้งหลายยอมเชื่อ ยอห์นนี่เองคือ
ประกาศกเอลียาห์ซึ่งจะต้องมา” (มธ 11:11-14)
       เอลียาห์เป็นประกาศกที่คำอธิษฐานภาวนาของท่าน “เป็นเหมือนไฟ” และ “วาจาของเขาเผา
ผลาญเหมือนคบไฟ” (บสร 48:1) ดังที่ท่านเรียกไฟลงมา เพื่อเผาเครื่องบูชาที่แสดงให้เห็นการ
กราบไหว้พระเท็จเทียมของประกาศกของพระบาอัล และเปิดเผยให้เห็นพระเจ้าแท้จริง
       พระยาเวห์ทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หิน และฝุ่นจนหมด และทำให้น้ำในร่องแห้งไปด้วย
เมื่อประชากรทุกคนเห็นดังนั้นก็ซบหน้าลงจรดพื้นดิน ร้องว่า “พระยาเวห์ทรงเป็นพระเจ้า พระยาเวห์
ทรงเป็นพระเจ้า” (1พกษ 18:38-39)
       ไฟที่ประกาศกเอลียาห์เรียกลงมาเผยให้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
และนำผู้คนมาซบหน้าลงต่อพระองค์ ตามจิตตารมณ์ของเอลียาห์ ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมาเรียกผู้คน
ให้รับพิธีล้างแห่งการกลับใจ เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับพิธีล้างด้วยไฟที่พระเยซูเจ้านำมาให้
       นักบุญยอห์นตอบพวกเขาทั้งหมดว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่ผู้ที่ทรงอำนาจ
ยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่าน
เดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ” (ลก 3:16) “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย เพื่อให้กลับใจ แต่
ผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะถือรองเท้าของเขา
เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและไฟ เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด
จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นเขาจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ” (มธ 3:11-12)
       นักบุญยอห์นพยากรณ์ถึงการล้างด้วยไฟซึ่งมาจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่าท่าน เป็นการล้างด้วย
พระจิตเจ้า การปรากฏในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับไฟที่เผาผลาญของพระเจ้า ซึ่งเปิดเผยพระสิริรุ่งโรจน์
และแสดงให้เห็นถึงการตัดสินของพระองค์ เป็นการบอกล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระเยซูทรงนำไฟ
แห่งพระหรรษทานและไฟแห่งการพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าและไฟ
       “พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศ
ข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลก 4:18-19)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 25, 2024 5:21 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 5 )👈🏽

🔹การล้างด้วยไฟ <2>🔹

     “พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า” (กจ 10:38)
       พระเยซูทรงเป็นพระคริสตเจ้า “พระผู้ทรงรับเจิม” เพราะพระจิตเจ้าทรงเจิมพระองค์ และ
ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ทรงรับสภาพมนุษย์ ก็ล้วนหลั่งไหลมาจากความบริบูรณ์นี้
       พระพันธกิจทั้งหมดของพระบุตรและพระจิตเจ้า เมื่อถึงเวลากำหนดนั้นอยู่ที่พระบุตรทรง
เป็นผู้ที่รับการเจิมโดยพระจิตของพระบิดา นับตั้งแต่การปฏิสนธิ พระเยซูเจ้าจึงทรงเป็น
พระคริสตเจ้า หรือพระเมสสิยาห์
       พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจถึงจุดประสงค์การรับสภาพเป็นมนุษย์ การเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา
เพื่อให้มนุษย์สามารถที่จะรับพิธีล้างในพระจิตเจ้า “ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำพิธีล้างด้วยน้ำ
แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” (กจ 1:4-5)
       สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงบรรยายไว้ดังนี้
พระพันธกิจทั้งหมดของพระคริสตเจ้าสรุปไว้ดังนี้ ทำพิธีล้างเราในพระจิตเจ้า ปลดปล่อยเราจาก
การเป็นทาสของความตาย และ “เปิดสวรรค์ให้เรา” นั่นคือการเข้าถึงชีวิตที่แท้จริงและเต็มเปี่ยม
จะต้อง “จุ่มตัวใหม่อีกครั้งในความกว้างของการเป็นอยู่ ซึ่งในนั้นเรามีความปิติยินดีอย่างท่วมท้น”
       พระเยซูเจ้าทรงมีใจร้อนรนด้วยพระประสงค์อันแน่วแน่ที่จะบรรลุพันธกิจนี้ พระองค์กล่าวว่า
“เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ” (ลก 12:49) เราได้สัมผัสถึง
พระหฤทัยของพระเยซูในข้อความนี้หรือไม่ พระองค์ทรงทราบสาเหตุที่ไฟยังไม่ถูกจุดว่า
       “ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิด ผู้ที่เชื่อในเราจงดื่มเถิด ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ลำธารที่ให้
ชีวิตจะไหลออกมา จากภายในผู้นั้น’ พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์
จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ามิได้ประทานพระจิตเจ้าให้ เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์”
(ยน 7:37-39)
       มีเพียงพระคริสตเจ้าผู้ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์เท่านั้นที่จะ “จุดไฟในโลก” (ลก 12:49) ดังที่พระองค์
ตรัสแก่อัครสาวกว่า พระองค์จะยังไม่ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ จนกว่าพระองค์จะได้รับทรมานและสิ้น
พระชนม์เสียก่อน “เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมาก
จนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ” (ลก 12:50)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:26 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ (6)👈🏽

🔹ผ่านทางแห่งกางเขนก่อนได้รับพระสิริรุ่งโรจน์🔹
       ยากอบและยอห์นบุตรของเศเบดีเข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองปรารถนา
ให้พระองค์ทรงกระทำตามที่ข้าพเจ้าจะขอนี้” พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านปรารถนาให้เราทำสิ่งใด”
ทั้งสองคนทูลตอบว่า “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์
ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม
หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” (มก 10:35-38)
       บรรดาอัครสาวกต้องการมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดร์ของพระเยซูเจ้า แต่พวกเขายังไม่
เข้าใจว่า พระองค์จำเป็นต้องผ่านทางแห่งไม้กางเขนก่อนที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ โดยจุดมุ่งหมาย
ไม้กางเขน การกระทำแห่งความรักที่เราได้รับความรอดพ้น มนุษย์สามารถเข้าถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของ
พระเจ้าได้ นักบุญเปาโลให้คำจำกัดความของปัญหาโดยสังเขปว่า “ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริ
รุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม 3:23) มนุษย์ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ ได้สูญเสียพระสิริรุ่งโรจน์ จึงได้
ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย บาปก่อให้เกิดความตาย ซึ่งพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อจัดการ
       บาปของมนุษย์ที่เป็นผลมาจากบาปกำเนิดมีโทษถึงตาย ด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์มาในรูปแบบ
ของทาส ในรูปแบบของมนุษย์ที่ตกอยู่ในบาป “พระเจ้าจึงทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป
เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า” (2คร 5:21)
       ความรอดของเรามาจากการริเริ่มของพระเจ้าองค์แห่งความรักที่ทรงมีต่อเรา เพราะ “ความรักอยู่ที่ว่า
พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา” (1ยน 4:10)
  การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน ทำลายความตายให้สูญสิ้นไปด้วยอานุภาพแห่งไม้กางเขน
       “ในอดีตท่านตายแล้วเพราะการล่วงละเมิด และไม่ได้เข้าสุหนัตทางกาย แต่พระเจ้าโปรดให้ท่านมีชีวิต
พร้อมกับพระคริสตเจ้า โดยทรงให้อภัยการล่วงละเมิดทั้งหลายของเรา พระองค์ทรงยกเลิกหนี้สินที่เรามีต่อ
บทบัญญัติซึ่งกล่าวหาเรา โดยทรงยกหนี้สินนั้นไปจากเรา และตรึงไว้กับไม้กางเขน” (คส 2:13-14)
       การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเปิดทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ “พระเยซูคริสตเจ้าทรงยอมสละพระชนมชีพเพราะ
บาปของเรา และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม” (รม 4:25)
       พระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกามีเหตุผลสองประการ พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยกอบกู้เราให้พ้น
จากบาป เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ก็ทรงเปิดทางให้เราเข้าไปรับชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่นี้คือ การ
บันดาลความชอบธรรมโดยเฉพาะ ซึ่งกลับทำให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า “เพื่อว่าเมื่อพระคริสตเจ้า
ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตใหม่ด้วยฉันนั้น”
       หลังจากที่พระองค์ทรงถูกยกขึ้นมาจากความตายแล้ว พระเยซูเจ้าถูกรับขึ้นไปในพระสิริรุ่งโรจน์ ที่
พระองค์ทรงได้รับศักดิ์ศรียกย่องให้ประทับเบื้องขวาของพระบิดา “การที่พระคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์หมาย
ถึงที่ที่มนุษยภาพของพระเยซูเจ้าเข้าไปในพระอาณาจักรสวรรค์พระเจ้า” หยุดและคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้สักครู่
ในพระเยซูเจ้าเลือดเนื้อมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ “การที่พระคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์หมายความว่า
สภาพมนุษย์ของพระองค์มีส่วนในอำนาจและพระอานุภาพของพระเจ้า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นองค์
พระผู้นั้นเจ้า ทรงอำนาจทุกอย่างทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน”
       จากตำแหน่งอันสูงส่งนี้ พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในพวกเรา ผู้ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ และบุตร
ของพระนางมารีย์ พระองค์จะทรงจุดไฟลงบนแผ่นดินโลก “เมื่อพระคริสตเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว
พระองค์ก็จะประทับอยู่กับพระบิดา และสามารถส่งพระจิตเจ้ามายังผู้ที่เชื่อในพระองค์ได้ด้วย พระจิตเจ้า
จะทรงแบ่งปันพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่เขา” พระเยซูเจ้าทรงมีพลังและอำนาจทุกอย่างในฐานะองค์
พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงมีพลังอำนาจที่พระบิดาประทานให้ เพื่อนำมนุษย์ออกจากความตายไปสู่ชีวิต
เพื่อส่งต่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่พวกเขา “พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ทรงได้รับจากพระบิดา กลาย
เป็นพลังของพระองค์ พลังในการสร้างชีวิตใหม่ในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์”
       “เรายืนยันได้ว่าธรรมล้ำลึกเรื่องความเคารพเลื่อมใสพระเจ้าของเรานั้นยิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงปรากฏ
ให้แลเห็นได้ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงได้รับการประกาศว่าเที่ยงธรรมในพระจิตเจ้า บรรดาทูตสวรรค์ได้เห็น
พระองค์ทรงได้รับการประกาศให้คนต่างศาสนารู้จัก มนุษย์มีความเชื่อในพระองค์ พระองค์ทรงได้รับ
พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (1ทธ 3:16)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:31 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ (7)👈🏽

🔹การประทานองค์พระจิตเจ้า🔹
       ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาปรากฏแก่บรรดาอัครสาวกหลังการกลับคืนพระชนมชีพ จนถึง
วันที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดา พระเยซูเจ้าเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับพระจิตเจ้า
       “บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอย
อยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพปกคลุมจากเบื้องบน” (ลก 24:49)
       ขณะที่ทรงร่วมโต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำชับว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพร
ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำพิธีล้างด้วยน้ำ แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับ
พิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” (กจ 1:4-5)
       เมื่อถึงเวลาที่พระเยซูเจ้าจะรับพระสิริรุ่งโรจน์เท่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าพระจิตเจ้าจะเสด็จมา
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ จะเป็นการทำให้พระสัญญาแก่บรรดาบรรพ
บุรุษเป็นความจริง พระบิดาจะประทานพระจิตแห่งความจริง พระผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งตามคำอธิษฐาน
ของพระเยซูเจ้า พระบิดาจะประทานในพระนามของพระเยซู พระเยซูจะทรงส่งพระองค์มาจากพระบิดา
เพราะพระองค์ทรงสืบเนื่องมาจากพระบิดา
       ไตร่ตรองสิ่งที่กำลังกล่าวถึงนี้ ความลึกซึ้งของธรรมล้ำลึก ความจริงอันน่าอัศจรรย์ใจแห่งแผนการ
ของพระบิดา เพื่อความรอดพ้นของโลกกำลังถูกเปิดเผย พระเยซูเจ้าทรงบรรลุพันธกิจของพระองค์ใน
ฐานะผู้ที่พระบิดาส่งมาเพื่อไถ่กู้โลก พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ผ่าน
การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ สิ่งสร้างใหม่ได้กำเนิดขึ้นในพระองค์ พระองค์
ทรงเป็น “บุคคลแรกที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” (วว 1:5) มนุษย์ใหม่ซึ่งไม่อยู่ภายใต้อำนาจของบาป
และความตายอีกต่อไป เกิดขึ้นในพระองค์และอาศัยพระองค์ “อาดัมมนุษย์คนแรกถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต
อาดัมคนสุดท้ายเป็นจิตซึ่งประทานชีวิต” (1คร 15:45) พระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจที่จะประทานชีวิตนี้ ซึ่งพระองค์
ทรงครอบครองให้แก่ใครก็ตามที่พระองค์ทรงเลือก “พระบิดาทรงทำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิตและประทานชีวิต
ให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้พอพระทัยฉันนั้น” (ยน 5:21)
          เมื่อเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา จากสถานะอันสูงส่งของพระองค์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซู
สามารถแพร่ขยายเชื้อสายใหม่ของประชากรในพระจิตเจ้า เราสามารถเป็นเหมือนพระองค์ได้ ตามตัวอักษร
ที่ว่า “เข้ามามีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2ปต 1:4) เพราะพระองค์ทรงเป็นเหมือนเรา สังเกตว่า
โดยอาศัยการเสนอวิงวอนแทนเรา และพลังของการอธิษฐานภาวนาของพระองค์ พระบิดาทรงส่งพระจิตใน
พระนามของพระเยซู “พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จเข้าในสักการสถานสวรรค์ครั้งเดียวตลอดไป ทรงอธิษฐาน
ภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อนในฐานะคนกลาง เพื่อประทานพระจิตเจ้าแก่เราอยู่ตลอดเวลา”
       คำตอบสำหรับการอธิษฐานอันทรงพลังของพระเยซูเจ้าเริ่มขึ้นในวันเปนเตกอสเต พระองค์ทรง
“จุดไฟในโลก” (ลก 12:49)
       “เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้น มีเสียงจากฟ้า
เหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะ
ของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด”
(กจ 2:1-4)
       ในรูปของลิ้นไฟ พระจิตเจ้าทรงประทับเหนือบรรดาสานุศิษย์ในวันฉลองเปนเตกอสเต และเติมเต็ม
พวกเขาด้วยพระองค์เอง สัญลักษณ์แห่งไฟนี้ยังคงเป็นหนึ่งในภาพที่แสดงออกถึงการกระทำของพระจิตเจ้า
“อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า” (1ธส 5:19)
       ไฟที่ลุกโชนของพระจิตเจ้าปลดปล่อยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตแก่บรรดาอัครสาวก มอบไฟแห่ง
ความรักที่แผดเผาในดวงพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแก่พวกเขา การเจิมด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์นี้ บรรดาอัครสาวก
ต่างมีความกล้าหาญ และกระตือรือร้นที่จะประกาศความเป็นพระเจ้าของพระเยซูต่อกลุ่มชาวยิว ผู้เคร่งศาสนา
ที่มาชุมนุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม
       “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด...พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืน
พระชนมชีพ เราทุกคนเป็นพยานได้ พระองค์ทรงได้รับการเทิดทูนให้ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์
ทรงได้รับพระจิตเจ้าจากพระบิดาตามพระสัญญา และประทานพระจิตเจ้านี้ให้เราดังที่ท่านได้เห็นและได้ยินอยู่นี้...
ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึง
บนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” (กจ 2:22, 32-33, 36)
       คำพูดของเปโตร “เสียดแทงหัวใจ” ของทุกคนที่ฟัง ทำให้มีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง และปลุกเร้าพวกเขา
ให้เริ่มมีความเชื่อ พร้อมที่จะตอบสนอง "พี่น้องพวกเราจะต้องทำอย่างไร” (กจ 2:37) คำตอบของเปโตรทำ
ให้เรามีขั้นตอนแรก และเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการรับพระจิตเจ้า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจง
รับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับ
พระพรของพระจิตเจ้า” (กจ 2:38)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:35 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ (8)👈🏽

🔹การรับพระจิตเจ้า🔹
       การรับพระจิตเจ้าจำเป็นต้องเลือกที่จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า พระองค์คืองค์
พระผู้เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดพ้น และสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับสภาพจิตใจที่ป่วย
ด้วยบาปของมนุษย์ทุกคน เรียกร้องการกลับใจ เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต และมอบชีวิตทั้งหมดไว้
ในพระหัตถ์ของพระองค์ การกลับใจเป็นขั้นตอนสำคัญประการแรก ประการที่สองคือการรับศีล
ล้างบาป พระเยซูเจ้าเองทรงเน้นถึงลักษณะธรรมชาติสำคัญของการล้างบาป “เราบอกความจริง
แก่ท่านว่า ไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิตเจ้า” (ยน 3:5)
       ตามหลักคำสอนพระศาสนจักร “ศีลล้างบาปเป็นรากฐานชีวิตคริสตชนทั้งหมด เป็นประหนึ่ง
ทางเข้าสู่ชีวิตจิต (vitae spiritualis ianua) และเป็นประตูเปิดเข้าไปยังศีลศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ศีลล้างบาป
ทำให้เรารอดพ้นจากบาปและให้กำเนิดเราในฐานะบุตรของพระเจ้า ทำให้เราเป็นส่วนในพระวรกาย
ของพระคริสตเจ้า เข้ามาเป็นสมาชิก และมีส่วนร่วมในพันธกิจของพระศาสนจักร “ดังนี้ ศีลล้างบาป
จึงรับคำนิยามได้อย่างถูกต้องและเหมาะเจาะว่า เป็นศีลแห่งการเกิดใหม่อาศัยน้ำในพระวาจา”
       นับตั้งแต่วันเปนเตกอสเตแล้ว พระศาสนจักรประกอบพิธีศีลล้างบาปแก่ผู้รับ... บรรดาอัครสาวก
และผู้ร่วมงานประกอบพิธีศีลล้างบาปแก่ใครไม่ว่าที่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้าทั้งชาวยิว ผู้ยำเกรง
พระเจ้า และคนต่างศาสนา เราเห็นว่าศีลล้างบาปปรากฏว่าต้องร่วมกับความเชื่อเสมอ นักบุญเปาโล
ประกาศแก่ผู้คุมคุกที่เมืองฟิลิปปีว่า “จงเชื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านและครอบครัวจะได้
รอดพ้น” เรื่องเล่าต่อไปว่า “ทันทีหลังจากนั้น เขาได้รับศีลล้างบาปพร้อมกับทุกคนในครอบครัว”
       ศีลล้างบาปนอกจากชำระให้พ้นจากบาปทุกประการแล้ว ยังทำให้ผู้ที่เพิ่งรับศีลล้างบาปเป็น
“สิ่งสร้างใหม่” เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า ซึ่งมาเป็นผู้ “มีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า”
เป็นส่วนพระวรกายของพระคริสตเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เป็นพระวิหารของพระจิตเจ้า
       ในศีลล้างบาป ไฟแห่งพระหรรษทาน หัวใจอันเร่าร้อนแห่งความรักที่เปิดเผยในสายพระเนตร
ที่เร่าร้อนของพระเยซู ได้หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของเรา "ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้า
ซึ่งพระเจ้าประทานให้เรา ได้หลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา” (รม 5:5) พระเยซูตรัสว่า
เมื่อพระองค์ส่งพระจิตเจ้ามา “พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้ง
ให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วยดังนั้น เราจึงบอกว่า
พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา” (ยน 16:14-15)
       ดังที่เพื่อนของข้าพเจ้าพูดว่า “พระเจ้ารักเราในแบบที่พระเจ้ารักพระเจ้า” พระเยซูตรัสว่า “พระบิดา
ของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด” (ยน 15:9)
พระเยซูเจ้าทูลพระบิดาว่า “เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่ง
ข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขา เช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า” (ยน 17:23) พระเยซูทรงเป็นหนึ่งเดียว
กับพวกเรา พระองค์ทรงเผยแสดงพระบิดาแก่เรา และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเรา เพื่อเราสามารถ
แบ่งปันในความรักที่พระบิดาและพระบุตรมีร่วมกันจากนิรันดร ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ มีคุณค่า น่าตื่นเต้น
น่าหลงใหล สวยงาม หรือน่าพึงพอใจไปกว่านี้อีกแล้ว

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:40 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ (9)👈🏽

🔹ไฟแห่งการพิพากษา <1>🔹
       องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งในการประกาศเกี่ยวกับวันเปนเตกอสเตของนักบุญเปโตร
มักถูกมองข้าม แต่เป็นแก่นสำคัญต่อสารของท่าน ด้วยความรู้สึกถึงความจำเป็นเร่งด่วน ท่านเตือนฝูงชน
ว่า “จงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนยุคนี้เถิด” (กจ 2:40) ท่านนักบุญเปโตรตำหนิคนในยุคนี้เช่นเดียวกับ
พระเยซูเจ้าว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และเลวร้าย เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีก
นานเท่าใด” (ลก 9:41)
       นักบุญเปโตรประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดพ้น และประกาศว่า
แต่ละคนจำเป็นต้องมีการกลับใจและรับศีลล้างบาป ท่านวินิจฉัยแยกแยะการต่อต้านพระเจ้ามีปรากฏอยู่
ให้เห็น ทั้งในโลกและประชากรอิสราเอล รวมทั้งมิตรภาพพร้อมด้วย ค่านิยม ความประพฤติ และความคิด
ที่หยิ่งจองหองต่อโลกที่ตกอยู่ในบาป ถูกมองผ่านทางพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่าเป็นความไม่
ซื่อสัตย์ การกราบไหว้รูปเคารพ และการให้ความรักต่อโลกของเราก่อนที่จะรักพระเจ้า
       “ท่านที่ไม่ซื่อสัตย์ ท่านไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ผู้ใดต้องการ
เป็นมิตรกับโลก ก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้า” (ยก 4:4)
       “จงอย่ารักโลกและสิ่งที่อยู่ในโลกเลย ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวเขา เพราะทุก
สิ่งที่อยู่ในโลกได้แก่ ความมัวเมาในโลกีย์ ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง และความหยิ่งทะนงโอ้อวดในทรัพย์
สมบัติ ล้วนไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกทั้งสิ้น และโลกพร้อมกับความมัวเมาในโลกีย์ของโลกนั้น
กำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดนิรันดร” (1 ยน 2:15-17)
       นักบุญเปาโลอธิบายอย่างชัดเจนถึงธรรมชาติของโลกที่ต่อต้านพระเจ้า พระศาสนจักรถูกผจญูอย่าง
ต่อเนื่องให้ยอมอ่อนข้อ และการลงโทษของพระเจ้าอย่างเที่ยงตรงต่อผู้ที่ยืนกรานที่จะต่อต้านพระองค์
       “พระเจ้าจากสวรรค์ทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการลงโทษ ความไม่เคารพนับถือพระเจ้า และความอธรรม
ทุกชนิดของพวกเขาที่ปิดบังความจริงในความอธรรมของตนทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับ
พระองค์ปรากฏชัดอยู่แล้ว กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือ
พระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น
คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เคารพบูชาพระองค์เป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณ
พระองค์ ความคิดหาเหตุผลของพวกเขากลับใช้การไม่ได้ และจิตใจที่ไม่ยอมเข้าใจกลับมืดบอดลง พวกเขา
คิดว่าตนเป็นคนฉลาด แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับโง่ จนถึงกับนำพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้เป็นอมตะ
มาแลกกับภาพเลียนแบบ คือภาพมนุษย์ที่ไม่เป็นอมตะ ภาพสัตว์ปีก ภาพสัตว์สี่เท้า หรือภาพสัตว์เลื้อยคลาน”
(รม 1:18-23)
        นักบุญเปาโลระบุว่าสาเหตุของบาปคือความเต็มใจของมนุษย์ที่จะ “ปกปิดความจริง” เกี่ยวกับพระเจ้า
และแม้จะรู้จักอย่างดี แต่ก็ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่งที่จะ “ถวายเกียรติแด่พระองค์ในฐานะพระเจ้าและขอบพระคุณ
พระองค์” นี่คือแก่นแท้ของการต่อต้านของโลก มีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วคือ การปฏิเสธอย่าง
จงใจในการอ้างสิทธิอันชอบธรรมของผู้สร้างเหนือมนุษย์ จิตใจที่แข็งกระด้างและจองหอง เลือกที่จะเป็นพระเจ้า
มากกว่าที่จะรับใช้พระเจ้า นักบุญเปาโลบรรยายว่า “ไม่ใช่แค่เศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์โดยบังเอิญเท่านั้น
แต่รวมถึงสถานการณ์ที่คงอยู่ถาวรของมนุษยชาติ ของมนุษย์ต่อพระพักตร์พระเจ้า”
       การกบฏของมนุษย์นี้เลือกที่จะดำเนินชีวิตตามเงื่อนไขของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงพระเจ้าจะส่งผลตามมา
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จิตใจที่เย่อหยิ่งจะมืดมัว พวกเขากลายเป็นคนโง่เขลา และเป็นทาสกราบไหว้รูปเคารพ
ขอบพระคุณพระเจ้าที่จัดเตรียมทางออกให้กับทุกคน ข้อความที่นักบุญเปโตรเทศนาในวันเปนเตกอสเตเสนอ
วิธีแก้ไข ด้วยการกลับใจ รับศีลล้างบาป และรับพระจิตเจ้า ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงมอบความรัก ไฟแห่ง
พระหรรษทาน ความเมตตา การให้อภัย เสรีภาพ สิ่งสร้างใหม่ และสติสัมปชัญญะ
       หากมนุษย์ยังคงดื้อรั้นกบฏ พระเจ้าจะทรงใช้ไฟแห่งการพิพากษาลงโทษ สิ่งที่นักบุญเปาโลอธิบายว่าเป็น
พระพิโรธของพระเจ้า ประทานแก่มนุษย์ในสิ่งที่เขาปรารถนา และให้เหตุผลของความคิดที่มืดมนของเขาเอง
นักบุญเปาโลกล่าวถึงสามครั้งว่า “พระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขา” ประการแรกคือ การผิดศีลธรรมทางเพศและ
ความไม่บริสุทธิ์ จากนั้น นำไปสู่ความเสื่อมเสีย วิปริตผิดธรรมชาติ และไปสู่จิตใจที่ต่ำทรามในที่สุด (รม 1:24-28)
       ทำไมพระเจ้าถึงละทิ้งพวกเขา “ในพระปรีชาญาณของพระองค์ พระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ได้ลิ้มรสถ้วยอันขมขื่น
ของความชั่วร้าย เพื่อที่เขาจะได้เป็นอิสระจากการหลอกลวงของสิ่งยั่วยวน และกลับไปหาพระบิดาเจ้าสวรรค์ผู้
ทรงรักเขา” พระเจ้าทรงอนุญาตให้มนุษษย์มีประสบการณ์อย่างเต็มที่ในการกบฏของเขา ในความหวังที่จะปลุก
เขาให้ตื่นและรู้สึกตัว ก่อนที่การตัดสินใจของเขาจะถูกกำหนดไว้ชั่วนิรันดร์ ประกาศกอิสยาห์เตือนเราว่า
คำตัดสินของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งดี “เมื่อพระองค์ทรงพิพากษาแผ่นดิน ผู้อาศัยในแผ่นดินจะได้เรียนรู้ความ
ชอบธรรม” (อสย 26:9)
       ไฟแห่งการพิพากษา คือ พระเจ้าที่ดำเนินการเพื่อขจัดทุกสิ่งที่ขัดขวางความรัก ไม่มีความขัดแย้งระหว่าง
ไฟแห่งพระหรรษทานและไฟแห่งการพิพากษา นักบุญเปาโลกล่าวถึง “น้ำพระทัยดีงามและความเคร่งครัด
ของพระเจ้า” (รม 11:22) ซึ่งเป็นพระเมตตาและพระยุติธรรมของพระองค์ “พระยุติธรรมและพระเมตตาของ
พระเจ้าอยู่ในความสมดุลที่ละเอียดอ่อน พระองค์ไม่ทรงปิดกั้นการให้อภัยจากใจที่สำนึกผิด และไม่ทรงมอง
ข้ามความแข็งกระด้างของใจที่ไม่สำนึกผิด” พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ความมืดเข้ามาควบคุมโลก หรือในพระ
ศาสนจักรของพระองค์ พระองค์จะตีสอนด้วยความรักที่มีต่อพระศาสนจักรของพระองค์ เพื่อช่วยเหลือ
และปลดปล่อยพระศาสนจักรจากการดำเนินในความมืดและการยอมอ่อนข้อ

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:44 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 10 )👈🏽

🔹ไฟแห่งการพิพากษา <2>🔹
       “ลูกเอ๋ย อย่าดูถูกการเฆี่ยนตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ทรงตำหนิเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงเฆี่ยนตีทุกคนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร”
(ฮบ 12:5-6)
       “ถึงเวลาแล้วที่การพิพากษาจะเริ่มต้นจากบ้านของพระเจ้า และถ้าการพิพากษาเริ่มจากเรา ผู้ที่ไม่
ยอมเชื่อฟังข่าวดีจากพระเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร” (1ปต 4:17)
       นักบุญเปาโลพูดถึงการลงโทษของพระเจ้าต่อผู้มีความเชื่อที่ไม่กลับใจ
       “ข่าวร่ำลือกันมากว่า มีการผิดประเวณีเกิดขึ้นในหมู่ท่าน เป็นการผิดประเวณีชนิดที่ไม่เคยพบเห็น
แม้ในหมู่คนต่างศาสนา กล่าวคือ มีคนหนึ่งได้แม่เลี้ยงของตนมาเป็นภรรยา และท่านยังภูมิใจแทนที่จะ
เป็นทุกข์เศร้าโศก จงขับไล่คนที่ทำผิดเช่นนี้ไปเสีย ส่วนข้าพเจ้านั้น แม้ว่ากายจะอยู่ห่าง แต่ใจนั้นอยู่กับ
ท่าน ข้าพเจ้าก็ตัดสินลงโทษผู้ที่ทำผิดนั้นแล้ว ประหนึ่งว่าข้าพเจ้าอยู่ด้วย เมื่อท่านทั้งหลายร่วมชุมนุมกัน
ในพระนามพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าก็อยู่ร่วมด้วย พร้อมกับพระอานุภาพของพระเยซู
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงมอบคนประเภทนี้ให้ซาตาน ให้เขามีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เพื่อจิตของเขา
จะรอดพ้นในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (1คร 5:1-5)
       นอกจากนี้ นักบุญเปาโลยังใช้คำพูดที่รุนแรงเกี่ยวกับการรับศีลมหาสนิทอย่างไม่เหมาะสม
       “เพราะผู้ใดที่กินและดื่ม โดยไม่ยอมรับรู้พระกาย ก็กินและดื่มการตัดสินลงโทษตนเอง เพราะเหตุนี้
ในหมู่ท่านทั้งหลายจึงมีหลายคนอ่อนแอ เจ็บป่วย และบางคนก็ตายไปแล้ว ถ้าเราได้พิจารณาตนอย่าง
ละเอียด เราจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินลงโทษเรา พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้
เป็นการตักเตือน แก้ไข เพื่อมิให้เราถูกลงโทษพร้อมกับโลกนี้” (1คร 11:29-32)
       พระเยซูทรงตำหนิพระศาสนจักรในเมืองธิอาทิราที่ยอมอดทน และไม่สามารถที่จะแก้ไขผู้นำที่ไม่กลับใจ
และผิดศีลธรรมที่ส่งเสริมการผิดศีลธรรมทางเพศและการบูชารูปเคารพ พระเยซูเจ้าประกาศว่า พระองค์
จะทรงนำความเจ็บป่วยมาให้ และพิพากษาผู้ที่ติดตามพระศาสนจักรเมืองธิอาทิรา
       “แต่เรามีเรื่องตำหนิท่าน ท่านอนุญาตให้นางเยเซเบลซึ่งอ้างว่าเป็นประกาศกหญิงสอน และหลอกลวง
ผู้รับใช้ของเราให้ล่วงประเวณี และกินเครื่องเซ่นสังเวยรูปเคารพ เราให้เวลาแก่นางที่จะกลับใจ แต่นาง
ไม่ต้องการกลับใจจากการล่วงประเวณี ดังนั้น เราจะทำให้นางป่วยหนักอยู่บนเตียง และให้ผู้ที่ล่วงประเวณี
กับนางมีความทุกข์ยิ่งใหญ่ด้วย เว้นแต่เขาจะกลับใจไม่ทำกิจการของนาง เราจะประหารชีวิตบุตรทั้งหลาย
ของนาง และพระศาสนจักรทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือผู้สำรวจเจตนาและความคิด และจะตอบแทนแต่ละท่าน
ตามกิจการที่ท่านได้ทำ” (วว 2:20-23)
       พระเยซูเจ้าทรงเมตตาและให้เวลานางกลับใจ แต่นางยังดื้อรั้น เธอหลอกประชากรของพระเจ้า และนำ
พวกเขาไปสู่การกราบไหว้รูปเคารพทางศาสนา การไม่บริสุทธิ์ทางเพศ และการกราบไหว้รูปเคารพทางจิตใจ
เพื่อความรอดของเธอเอง ของชุมชนทั้งหมด และพระศาสนจักรโดยรอบ พระองค์จึงลงโทษเธอด้วยการโยน
เธอลงบนเตียงผู้ป่วย และทรงเตือนทุกคนที่ติดตามเธอว่า หากพวกเขาไม่กลับใจ พระองค์จะทรงโยนพวกเขา
เข้าสู่ “ความทุกข์ยากครั้งใหญ่”
       นี่เป็นสารที่มีเหตุผล นี่คือพระเยซูเจ้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า และความ
บริสุทธิ์ของประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ “ข้าพเจ้าโกรธเกรี้ยวคนชั่วร้ายที่ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระองค์”
(สดด 119:53) พระเยซูเจ้า ผู้เลี้ยงแกะที่ดี ทรงมีทุกคนอยู่ในดวงพระหฤทัย ไม่ว่าจะเป็นพระเกียรติมงคลของ
พระบิดาเจ้า ประกาศกหญิงเท็จเทียมที่ไม่กลับใจ ผู้ที่ตกอยู่ใต้มนต์สะกดของเยเซเบล สมาชิกที่เหลือของชุมชน
และพระศาสนจักรรอบข้าง ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากการเพ่งมอง สายพระเนตรแห่งไฟของพระองค์ และพระองค์
จะทำทุกวิถีทางเพื่อชำระประชากรของพระองค์ให้บริสุทธิ์
       พระศาสนจักรในเมืองธิอาทิราหมดความเคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้คนกลายเป็นคนโง่เขลา กลัวประกาศก
หญิงเท็จเทียมมากกว่ายำเกรงพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความยำเกรง
องค์พระผู้เป็นเจ้า ในเมืองธิอาทิราและทุกคนที่เรียนรู้การ กระทำของพระองค์ “ความชั่วร้ายของท่านจะลงโทษท่าน
ความไม่ซื่อสัตย์ของท่านจะกล่าวโทษท่าน จงรู้และเห็นเถิดว่า การละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และการ
ไม่ยำเกรงเรา เป็นความชั่วและความขื่น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ จอมจักรวาลตรัส” (ยรม 2:19)
       การพิพากษาของพระเยซูเจ้าชำระล้างมลทินในประชากรของพระเจ้า เช่นเดียวกับไฟชำระโลหะที่ล้ำค่า
พระองค์ทรงชำระสิ่งที่มีค่า และขจัดสิ่งที่ไร้ประโยชน์และไม่บริสุทธิ์ในชีวิตของเรา
       “เขาจะเป็นเหมือนไฟของช่างถลุงโลหะ และเหมือนสบู่ของคนซักฟอก เขาจะนั่งลงเหมือนช่างหลอมและช่าง
ถลุงเงิน เขาจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ จะถลุงเขาเหมือนถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะถวาย
เครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ด้วยความชอบธรรม” (มลค 3:2-3)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 8:55 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 11 )👈🏽

🔹การเรียกสู่ความศักดิ์สิทธิ์🔹
       บรรดาอัครสาวกมีใจร้อนรนเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า
ทรงเรียกพวกเขาให้ซื่อสัตย์ ทำให้พวกเขาระลึกว่าพวกเขาเป็นใคร และเตือนพวกเขาถึงผลลัพธ์ตลอด
นิรันดร์ที่จะตามมา หากพวกเขาตอบสนองต่อการเรียกสู่ความศักดิ์สิทธิ์
       “ข้าพเจ้าขอพูดและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดอีก
ต่อไปดังที่คนต่างศาสนาทำ เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลาและจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขา
อยู่ห่างจากชีวิตของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก จึงปล่อยตัวในความลามก ทำการน่าบัดสี
ทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนั้น ท่านได้ฟังเรื่องราว และรู้จัก
องค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว” (อฟ 4:17-21)
       “จงหลีกหนีการล่วงประเวณี บาปทั้งหลายนั้นมนุษย์ทำนอกร่างกาย แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีทำบาปต่อ
ร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตในท่าน ท่านได้
รับพระจิตนี้จากพระเจ้า ท่านจึงไม่เป็นเจ้าของของตนเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาแพง ดังนั้น
จงใช้ร่างกายของท่านถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด” (1คร 6:18-21)
       “ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คน
ผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คน
ปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก” (1คร 6:9-10)
       “แต่จงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในความประพฤติทุกประการตามแบบฉบับของพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงเรียกท่าน
เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์’ " (1ปต 1:15-16)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-10 )

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 01, 2025 9:02 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 12 )👈🏽

🔹เครื่องหมายในยุคสมัยของเรา🔹
       พระศาสนจักรในปัจจุบันมีการวินิจฉัยแยกแยะมากมายเกี่ยวกับเรื่องไฟแห่งพระหรรษาทาน และ
ไฟแห่งการพิพากษาของพระเจ้าปรากฏในยุคของเราให้เราทราบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความเชื่อเหล่านั้น
ประการแรก เรากำลังดำเนินชีวิตผ่านช่วงเวลาแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ และการสั่นคลอนครั้งใหญ่
       “จงระวัง อย่าปฏิเสธที่จะรับฟังกระแสพระดำรัสของพระเจ้า ถ้าผู้ที่ไม่ยอมฟังคำตักเตือนในโลกนี้ยัง
หนีไม่พ้นการลงโทษ พวกเราที่หันหลังให้กับผู้ที่ตักเตือนเราจากสวรรค์จะหนีพ้นการลงโทษได้หรือ
ในอดีตพระสุรเสียงทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน แต่บัดนี้ พระองค์ทรงสัญญาว่า จะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
อีกครั้งหนึ่ง มิใช่แผ่นดินเท่านั้นที่สั่นสะเทือน แต่จะทำให้สวรรค์สั่นสะเทือนอีกด้วย คำว่าอีกครั้งหนึ่งหมาย
ความว่า สิ่งที่สั่นสะเทือนจะสูญหายไปเพราะเป็นเพียงสิ่งสร้าง แต่สิ่งที่ไม่สั่นสะเทือนจะคงอยู่ ดังนั้น เมื่อ
ได้รับอาณาจักรที่มั่นคงไม่คลอนแคลนนี้แล้ว เราจงขอบพระคุณ และแสดงคารวกิจรับใช้พระเจ้าตาม
พระประสงค์ด้วยความเคารพยำเกรง เพราะพระเจ้าของเราทรงเป็นประดุจเพลิงที่เผาผลาญทุกสิ่ง”
(ฮบ 12:25-29)
       การพิพากษาของพระเจ้าเริ่มที่สมาชิกในพระศาสนจักร พระองค์เปิดเผยบาปที่ซ่อนเร้นของพระศาสนจักร
ทั้งการประนีประนอมที่มากเกินไป และความไม่ซื่อสัตย์ที่มีอยู่ในพระศาสนจักร เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว
ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งผู้ส่งสารพร้อมคำเตือน และนำเสนอพระหรรษทาน เริ่มจากแม่พระแห่งฟาติมา
นักบุญโฟสตินา และพระเมตตาแห่งพระเจ้า แม่พระที่เมดจุกอเรีย พระหรรษทานที่พระสันตะปาปาองค์
ปัจจุบันเรียกว่า “เพนเตกอสเตใหม่” และการเสด็จมาอย่างมีชีวิตชีวาขององค์พระจิตเจ้า ที่ปลุกผู้คนหลาย
สิบล้านคนทั่วโลกให้มองเห็นการประทับอยู่ และพลานุภาพของพระจิตเจ้า ในการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรง
ยื่นพระหัตถ์แห่งพระเมตตา และหลั่งไฟแห่งพระหรรษทานของพระองค์ลงบนทุกคนที่จะรับ ซึ่งหลายคนได้
รับแล้ว แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่เพิกเฉยต่อการประทานพระหรรษทานเหล่านี้ และยังคงยอมอ่อนข้อ
โดยพยายามปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมของโลก
       พระเจ้ากำลังตัดแต่งพระศาสนจักรของพระองค์ด้วยเช่นกัน จำนวนคริสตชนกำลังลดลงในประเทศ
ตะวันตกที่เคยนับถือศาสนาคริสต์ในอัตราที่น่าตกใจ บางคนออกไปเพราะสูญเสียความไว้วางใจใน
พระศาสนจักรและการเป็นผู้นำ แต่หลายคนกำลังจากไปเพราะคำสอนของพระศาสนจักรไม่เป็นที่นิยม
ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับแนวคิดต่อต้านคริสตชนอย่างชัดเจนที่ครอบงำทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง
ในขณะนี้ พระเยซูตรัสว่า
       “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะ
ทรงตัดทิ้ง กิ่งก้านใดที่เกิดผล... พระองค์จะทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากขึ้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็น
กิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขาก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเราก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้น
จะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา” (ยน 15:1-2,5-6)
       เราเป็นพยานถึงการลิดกิ่งทั้งกิ่งที่ดีและกิ่งที่ตายแล้ว กิ่งก้านที่ตายแล้วจะถูกโค่นลงเพราะไม่มีชีวิต
และไม่เกิดผล เฉพาะผู้ที่ยึดมั่นในพระคริสตเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะสามารถต้านทานแรงกดดันที่
ขยายวงกว้างของวัฒนธรรมได้
       การพิพากษาของพระเจ้าเริ่มที่สมาชิกในพระศาสนจักรของพระองค์ แต่การพิพากษาของพระองค์มี
ในชนชาติต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน พระเจ้ากำลังสั่นคลอนประชาชาติทั้งหลาย เพราะคนจำนวนมากในชาตินั้น ๆ
โดยเฉพาะประชาชาติที่ “เจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ” กำลังสร้างโลกที่ปราศจากพระเจ้าอย่างรุนแรง
การพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อประชาชาติสามารถเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของความบาปในหลายรูปแบบ
อาทิเช่น การแยกโครงสร้างครอบครัวและอัตลักษณ์ของมนุษย์ การแพร่หลายของสื่อลามก และการเผย
แพร่ความวิปริตร้ายแรงจำนวนมากขึ้น การโอบรับวัฒนธรรมแห่งความตายอย่างเต็มที่ การปฏิเสธกฎ
ธรรมชาติ และค่านิยมทางศีลธรรมสากล ความแตกแยกที่ร้าวลึกและเพิ่มมากขึ้นในสังคม ความไร้ระเบียบ
และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ สงครามและข่าวลือแห่งสงคราม การยอมรับและทำให้การหลอกลวง
เป็นเรื่องปกติ การทุจริตของผู้นำในสถาบันสำคัญ ๆ การเป็นปรปักปักษ์อย่างเปิดเผยและเพิ่มมากขึ้นต่อ
ค่านิยมคริสต์ และโลกหลังยุคโควิดที่ถูกครอบงำด้วยความกลัว ความวิตกกังวล และความหดหู่ใจ การ
พิพากษาของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว และถ้ามนุษย์ยังคงพึ่งพา “จิตใจที่มืดมนและไร้สติ” พระองค์จะประทาน
ความจริงที่เรากำลังสร้างขึ้น
       “ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้มีการลงโทษ ซึ่งมนุษย์กระทำต่อตนเองด้วยมือของ
เขาเอง ตัวอย่างเช่น ในสงครามและด้วยสถานการณ์เหล่านั้น ทำให้เกิดจากความผิดปกติทางศีลธรรม
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ก็สามารถเห็นได้ในมุมมองนี้เช่นกัน”
       มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะออกจากความมืดมนในปัจจุบันนี้ นั่นคือ การกลับใจ และหันกลับมาหาพระเจ้า
ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม “แล้วประชากรของเราซึ่งได้ชื่อตามนามของเราจะถ่อมตนลง อธิษฐานภาวนา และ
แสวงหาความโปรดปรานของเรา กลับใจเลิกดำเนินตามทางชั่วร้ายของตน เราก็จะฟังเขาจากสวรรค์
จะอภัยบาปให้เขา และจะบันดาลให้แผ่นดินของเขาอุดมสมบูรณ์อีก” (2พศด 7:14)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-14 ) จบ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 02, 2025 6:50 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 13 )👈🏽

🔹การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า <1>🔹
       แม้จะมีการวินิจฉัยที่น่ากลัวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเรา แต่ก็มีเหตุผลสำหรับความหวัง
ที่แท้จริง เพราะดังที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 (ขณะนั้นเป็นพระคาร์ดินัลคาโรล วอย
ติวา, Karol Wojtyla) กล่าวว่า “การเผชิญหน้านี้อยู่ในแผนการของพระเจ้า”
       ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้ารวมถึงชีวิตของท่านด้วย พระองค์ทรงควบคุมอย่างสมบูรณ์
พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งประชากรของพระองค์ คำสัญญาของพระองค์คือ “เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไป
ตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20) พระองค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม พร้อมและเต็มใจที่จะจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็น
ให้กับคนของพระองค์เพื่อเป็นแสงสว่างในความมืดมิดนี้ ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ พระองค์ทรง
เลือกท่านและข้าพเจ้าในช่วงเวลาและสถานที่นี้ พระองค์จะประทานแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ในผู้ที่
มอบชีวิตให้พระองค์อย่างแท้จริง และผู้ที่ยึดติดกับพระองค์ด้วยหัวใจทั้งหมด แม้ในความอ่อนแอของ
พวกเขา ซึ่งพละกำลังที่พวกเขาต้องการ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์จะบังเกิดกับประชากรของพระองค์
       หากคุณกำลังอ่านข้อความนี้และเป็นผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปแล้ว แต่ไม่มีความกระตือรือร้นหรือนิ่งเฉย
และหากคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ ขั้นตอนแรกคือหันไปหาพระเยซูเจ้า และร้องเรียกพระองค์
ด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง ซื่อสัตย์กับตัวเอง คุณเคยมอบชีวิตของคุณให้กับพระเยซูเจ้าอย่างเต็มที่หรือไม่
คุณเคยสารภาพบาปของคุณอย่างตรงไปตรงมา ถ่อมตน และขอการให้อภัยจากพระองค์หรือไม่ คุณได้เชิญ
พระองค์มาเป็นเจ้าแห่งชีวิตของคุณหรือไม่ คุณต้องการที่จะดำเนินอย่างกับศิษย์ของพระองค์โดยตั้งเป้าหมาย
ที่จะทำให้พระองค์พอพระทัยหรือไม่ คุณต้องการติดตามพระองค์ และทุ่มเทเวลา ความสามารถ และทรัพย์
สมบัติของคุณในช่วงเวลาวิกฤตนี้หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้ภาวนาตามคำอธิษฐานต่อไปนี้ “พระเยซูเจ้าข้า
ลูกเปิดประตูใจและเชื้อเชิญพระองค์ให้เป็นศูนย์กลางชีวิตของลูก โปรดยกโทษบาปทั้งสิ้นของลูก ขอทรง
เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้นและพระเจ้าของลูก โปรดทรงนำทางลูกโดยพระจิตเจ้า และช่วยให้ดำเนินชีวิต
ตามพระวรสารตลอดชีวิตด้วยเทอญ อาแมน”
          พระเจ้าทรงสดับเสียงร้องของคนยากจน พระองค์ทรงพระทัยเมตตาและกรุณา พระองค์ทรงยกย่อง
ผู้มีใจสุภาพที่แสวงหาพระองค์ และพระองค์รักที่จะประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ขอ
       “เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านที่เป็นพ่อ
ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จัก
ให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”
(ลูกา 11:10-13)
          จงวอนขอพระจิตเจ้าจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น และทำให้พระหรรษทานแห่งศีลล้างบาปและศีลกำลัง
มีชีวิตชีวาอย่างเต็มเปี่ยมในตัวคุณ “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอพระองค์โปรดชำระล้างลูกด้วยพระจิตและด้วย
ฤทธานุภาพของพระองค์ เพื่อลูกจะได้ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด และรักพระองค์มากขึ้น ขอให้พระคุณ
ของพระจิตเจ้ามีชีวิตในตัวลูก ลูกภาวนาในพระนามอันล้ำค่ายิ่งของพระองค์ อาแมน”
       จงอธิษฐานภาวนาทุกวันสำหรับพระหรรษทานเพื่อที่จะอ่อนน้อม ยอมจำนน และเหมาะสมกับการสถิต
อยู่ของพระจิตเจ้า ผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าจะส่งมาให้เรา
       “และเราจะวอนขอพระบิดา แล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่าน
ตลอดไปคือพระจิตแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองพระองค์ไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่าน
ทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับท่าน และอยู่ในท่าน... เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังขณะ
ที่เรายังอยู่กับท่าน แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้าที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้นจะทรงสอน
ท่านทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน” (ยน 14:15-17, 25-27)

💠~ โปรดติดตามตอนต่อไป ~💠

Re: การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า ( ตอนที่ 1-14 ) จบ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 03, 2025 10:07 pm
โดย rosa-lee
🔥 การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า 🔥
โดย  คุณปีเตอร์  เฮอร์เบค

👉🏽 ตอนที่ ( 14 )👈🏽 ตอนจบ

🔹การรับไฟแห่งพระจิตเจ้า <2>🔹
          จงยึดมั่นในคำสัญญานี้ สนทนากับพระจิตเจ้า ตื่นตัวต่อการกระตุ้นเตือนของพระองค์
ฟังเสียงและตอบสนองต่อการนำของพระองค์ สถานที่แรกที่คุณสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ยินเสียง
ของพระจิตเจ้า คือ การอ่านพระคัมภีร์ พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นิพนธ์ พระวาจาของพระองค์เป็นดังไฟ
“วาจาของเราเป็นเหมือนไฟมิใช่หรือ” (ยรม 23:29) อ่านพระวาจาของพระเจ้าทุกวัน ในนั้นคุณจะ
พบเนื้อหาสำหรับการสนทนากับพระเจ้า คุณจะได้รับไฟ
       พวกเราขอยืนยันว่า ไฟที่พระคริสตเจ้าทรงส่งออกไปนั้นเพื่อความรอดพ้นและประโยชน์ของ
มนุษยชาติ ขอพระเจ้าทรงโปรดให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยไฟนี้ ไฟคือสารแห่งความรอดแห่ง
พระวรสารและพลังแห่งพระบัญญัติ เรามีท่าทีเย็นชาและเหมือนคนที่ตายแล้วเพราะบาป และใน
ความไม่รู้ถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแท้ พระวรสารจุดไฟในเราทุกคนบนโลกสู่ชีวิตแห่งความศรัทธา
และทำให้เรามีจิตใจกระตือรือร้น ตามความคิดเห็นของนักบุญเปาโล
       ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างลุกร้อนด้วยไฟเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีลมหาสนิท สมเด็จพระสันตะปาปา
นักบุญยอห์นปอลที่ 2 สะท้อนคำพูดของนักบุญเอเฟรม เตือนเราว่า ศีลมหาสนิทคือ
       โดยผ่านการมีส่วนร่วมของเราในพระกายและพระโลหิต พระคริสตเจ้ายังทรงประทานพระจิตเจ้า
ของพระองค์แก่เราด้วย นักบุญเอเฟรมได้เขียนว่า “พระองค์เรียกปังนี้ว่ากายที่มีชีวิต และเติมเต็มด้วย
พระกายและจิตของพระองค์เอง .... ผู้ที่รับปังนี้ด้วยความเชื่อก็ได้รับไฟและพระจิตเจ้า... ท่านทั้งหลาย
จงรับไปกินให้ทั่วกันเถิด และรับปังนี้พร้อมด้วยพระจิต เพราะว่านี่เป็นกายของเรา และใครก็ตามที่
กินแล้วจะมีชีวิตนิรันดร”
       สุดท้ายนี้ ในวันเปนเตกอสเต องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเหนือกลุ่มอัครสาวกที่รวมตัวกัน
ด้วยความเชื่อฟังต่อคำสั่งของพระองค์ ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รอคอยและเฝ้าดูปรารถนาที่จะได้รับ
และกระหายที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ในการหลั่งพระจิตลงมา พระเยซูเจ้าทรงหล่อหลอม
ครอบครัวฝ่ายจิต พวกเขาได้สัมผัสกับหัวใจอันเร่าร้อนของพระเจ้าร่วมกัน ความรักที่เปี่ยมล้นระหว่าง
พระบิดา พระบุตร และพระจิต พวกเขากลายเป็นหมู่คณะที่มีใจร้อนรนไฟแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของ
พระจิตเจ้า รวมพวกเขาเข้าด้วยกันพลังแห่งพระจิต ผลักดันพวกเขาเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย
ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และที่สุด แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต พวกเขาได้ประกาศอย่างเปิดเผย
และกล้าหาญว่าพระเยซูคริสตเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ในการประกาศนั้น ไฟแห่งความรักของพระเจ้า
หลั่งไหลผ่านพวกเขาเพื่อความรอดพ้นของผู้อื่น เราทุกคนต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนดังกล่าว
ชุมชนศิษย์ธรรมทูตของพี่น้องชายหญิงที่ได้รับการให้อภัย ชำระให้บริสุทธิ์ และได้รับพลัง จงแสวงหา
ชุมชนศิษย์ธรรมทูตแบบนี้ เพื่ออุทิศตนที่จะช่วยกันสร้างหมู่คณะที่มีใจร้อนรนแบบนี้ขึ้นมา
          นี่คือวิธีที่พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเติมเต็มโลก มันอยู่ในเปลวไฟในการเปลี่ยนแปลงของ
คริสตชนทุกคนที่ออกไปเพื่อนำความอบอุ่นและแสงสว่างมาสู่โลกที่เย็นชาและมืดมน นี่คือวิธีที่องค์
พระผู้เป็นเจ้าทรงจุดไฟในโลกนี้ นี่คือวิธีที่พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเติมเต็มโลกใบนี้ ในชีวิตของ
บรรดานักบุญ (และในชีวิตของคุณและของข้าพเจ้าเอง)

💠~ จบบริบูรณ์ ~💠

:s002: :s002: :s002: