หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 8:03 pm
โดย rosa-lee
( 1 )

เรื่องสั้น คนตัดฟืนและสัตว์ต่างๆ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Woodcutter and the Animals”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่น้อยที่สวยงามมากมาย สัตว์ต่าง ๆ
พากันเข้ามาอาศัยอยู่ในร่มไม้ของต้นไม้โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ 2 ต้นที่ชื่อ’สัก’ และ ‘มะค่า’
สัตว์ที่มาอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ทั้งสองมีทั้งฝูงลิง หมาป่าที่ฉลาด และหมีตัวโต พวกมันอาศัยอยู่
ใต้ต้นไม้ทั้งสองอย่างมีความสุขและรักกันเหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน
วันหนึ่ง ขณะที่สัตว์เหล่านี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น สักและมะค่า
สังเกตเห็นคนตัดฟืนเดินเข้ามาที่มันแต่ไกล สักและมะค่ารู้ดีว่ามันมีรากติดอยู่กับพื้นดินและ
หนีไปไหนไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากเห็นเพื่อนสัตว์ถูกจับหรือถูกทำร้ายไปด้วยจึงส่งเสียงร้องขึ้นว่า
"ผู้ที่อาศัยอยู่กับเราทั้งหลาย ขอให้รีบหนีไปโดยเร็ว เพราะคนตัดไม้กำลังมาใกล้พวกเราแล้ว"
แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดที่นั่นตื่นตระหนกหรือขยับตัวหนีไปเลย
สักและมะค่าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดวิ่งหนีเอาตัวรอดไปเลย และเมื่อถามว่า
"ทำไมพวกท่านจึงไม่หนีไปกัน?" ก็ได้คำตอบว่า "ท่านให้ที่พักพิงแก่เรา รวมทั้งอาหารและ
อากาศบริสุทธิ์ แล้วเราจะทิ้งให้ท่านตายตามลำพังได้อย่างไร"
สักและมะค่ารู้สึกสะเทือนใจมากเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ขณะเดียวกันเหล่าสัตว์ที่นั่นโดยเฉพาะ
หมาป่าที่ฉลาดก็คิดวางแผนอย่างรวดเร็วและขอให้สัตว์ทุกตัวลงมือปฏิบัติามแผนของมันทันที
เริ่มจากให้สัตว์ทั้งหลายรีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้หรือตามกิ่งไม้ที่มีใบหนาทึบ เมื่อคนตัดฟืน
เดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ทั้งสอง คนตัดฟืนก็หยิบขวานออกมา แต่ก่อนจะทันได้เหวี่ยงขวานฟันต้นไม้
เป็นครั้งแรก สัตว์ทุกตัวก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนของหมาป่าพร้อมกันทันที
ดังนั้น ขณะที่คนตัดฟืนเริ่มเงื้อขวานขึ้น สัตว์ที่นั่นทุกตัวก็ต่างก็พุ่งตัวออกจากซ่อนเข้าโจมตี
คนตัดฟืนจากทุกด้าน ขณะเดียวกันหมาป่าผู้วางแผนก็ไม่เสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว มันวิ่ง
สุดชีวิตไปหาสิงโตราชาแห่งป่า และขอให้สิงโตช่วยรักษาชีวิตของสักและมะค่าไว้ให้ได้
สิงโตเมื่อรับทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ก็ส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัวดังก้องไปทั่วป่าทันที คนตัดฟืน
ตกใจกลัวมากทิ้งขวานและวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต หลังจากสักและมะค่ารอดพ้นจากอันตรายถึงชีวิต
อย่างหวุดหวิดแล้ว สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งสักและมะค่าขอบคุณสิงโตและหมาป่าเป็นพิเศษ
หลังจากเหตุการณ์เฉียดตายในวันนั้น คนตัดฟืนก็เข้าใจถึงความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย
รวมทั้งมวลมนุษย์ เขาตัดสินเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยการเปิดเรือนเพาะชำต้นไม้และปลูกต้นไม้มากมาย
ในหมู่บ้านที่เขาอยู่ และไม่นานต่อมาก็มีสัตว์ต่าง ๆ พากันเข้ามาร่วมอาศัยอยู่ด้วยความสงบสุข

ข้อคิด : จงช่วยกัน “อนุรักษ์ต้นไม้และปกป้องสิ่งแวดล้อม”
: Save trees and protect the environment.
------------------------------

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 8:10 pm
โดย rosa-lee
( 2 )

เรื่องสั้น ปลา 3 ตัว
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Three Different Fish”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
มีปลา 3 ตัวอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง ถึงแม้ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันแต่ก็มีนิสัย
แตกต่างกัน ปลาตัวแรกชื่อเดซี่เป็นปลาที่ฉลาดและคอยดูแลเพื่อน ๆ ของเธออยู่เสมอ
ปลาอีกสองตัวชื่อทิวลิปกับลิลลี่ ทั้งสองเป็นปลาที่สวยงามที่สุดในทะเลสาบ ทิวลิปเป็น
ปลาที่น่ารักและฉลาดมาก ส่วนลิลลี่เชื่อในโชคชะตาและมีนิสัยดื้อรั้น เดซี่ปลาตัวแรกและ
ทิวลิปมักจะตัดสินใจหลังจากได้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบแล้ว
วันหนึ่ง มีชาวประมงกับเพื่อน เดินสำรวจปลาอยู่ริมทะเลสาบแห่งนั้นและพบว่าในทะเลสาบ
มีปลาชุม พวกเขาจึงวางแผนจะมาจับปลาในวันรุ่งชึ้น ยิ่งกว่านั้นเพื่อนของชาวประมงยังได้ชี้ไปที่
ทิวลิปและลิลลี่พร้อมกับบอกว่าพวกเขาจะจับปลา 2 ตัวนี้ไปด้วยเพราะเป็นปลาที่สวยงามมาก
เดซี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชาวประมงได้ยินการสนทนาทั้งหมดของพวกเขา
หลังจากนั้นเดซี่ก็ว่ายไปหาเพื่อนทั้งสองและเล่าทุกอย่างที่ได้ยินมาโดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขา
จะมาจับทิวลิปและลิลลี่ เดซี่ขอให้เพื่อนทั้งสองออกไปจากทะเลสาบพร้อมกับตัวเธอก่อนจะถูก
ชาวประมงจับในวันรุ่งขึ้น

ทิวลิปและลิลลี่รู้สึกหวาดกลัว แต่ทั้งคู่ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกัน คือทิวลิปเห็นด้วยกับเดซี่
และพร้อมที่จะออกจากทะเลสาบโดยจะว่ายไปอยู่ในคลองที่เป็นสายน้ำเล็กแยกออกจากทะเลสาบนั้น
ส่วนลิลลี่จะไม่ไปด้วย เธอให้เหตุผลว่า “ฉันจะไม่ไปจากทะเลสาบนี้เพราะนี่คือบ้านเกิดของฉัน ฉันจะ
ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เพื่อนของลิลลี่ทั้งสองพยายามพูดโน้มน้าวเธอ เดซี่ถึงกับบอกเธอว่า “ถ้าเธอมากับเรา เราจะ
สร้างบ้านใหม่ให้ และเราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันกับเธอตลอดไป” ทิวลิปพยักหน้าพร้อมกับพูดเสริม
อย่างหนักแน่นว่า “ใช่แล้ว เราจะดูแลกันและกันให้มากขึ้น นอกจากนั้น คลองที่เราจะย้ายไปอยู่ใหม่
ยังเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกด้วย” อย่างไรก็ตาม ลิลลี่ที่มีนิสัย
ดื้อรั้นยังคงยืนกรานเหมือนเดิม อีกทั้งยังโกรธเพื่อนทั้งสองที่กำลังจะทิ้งเธอไว้ให้อยู่ตามลำพัง แล้วเธอ
ก็ไล่ให้เพื่อนทั้งสองไปจากเธอ
เมื่อจนปัญญา เดซี่และทิวลิปจึงตัดสินใจว่ายออกไปจากทะเลสาบและย้ายไปอยู่ในคลองใหม่ตาม
แผนที่คิดไว้ ขณะกำลังว่ายจากทะเลสาบไปทั้งสองพูดกันว่า “น่าเศร้านะ ที่เราถูกสถานการณ์บังคับให้
ลิลลี่ต้องเผชิญกับชะตากรรมตามลำพัง”
วันรุ่งขึ้นชาวประมงกับเพื่อนก็มาที่ทะเลสาบ พวกเขาเหวี่ยงแหและวางอวนจับปลาไปได้มากรวมทั้ง
ลิลลี่ด้วย เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหนีออกจากอวนแต่ไม่สำเร็จ และเพิ่งคิดได้ว่าเธอน่าจะไปกับเพื่อนก่อน
หน้านั้น แต่ก็สายไปเสียแล้ว”

ข้อคิด : ความสุขุมรอบคอบและการมีไหวพริบเป็นสิ่งที่ดีเสมอ เพราะการวางแผนล่วงหน้าจะทำ
ให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้เรียบง่ายขึ้น! : It's always good to be thoughtful or at least intelligent
and resourceful because Planning ahead makes life easier!

----------------------

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 8:26 pm
โดย rosa-lee
( 3 )


นิทาน เรื่อง พรวิเศษ
ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กหญิงชื่อ "เมษา" เธอเป็นนักเรียนเรียนดี แต่มักเลือกทางลัด
ด้วยการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น "แค่โกหกนิดหน่อย ไม่เห็นเป็นไร"
เธอมักบอกตัวเอง
...
วันหนึ่ง ขณะที่เมษากำลังโกหกครูว่า ทำการบ้านหาย ทั้งที่ความจริงยังไม่ได้ทำ
เธอได้ยินเสียงแปลกๆ "เจ๊าว..." แมวลายสีรุ้งตัวหนึ่ง นั่งมองเธออยู่ ดวงตาของมัน
เรืองแสงประหลาด "เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่โกหก มีบางอย่างในตัวเธอกำลังแตกสลาย"
แมวพูดขึ้น "ฉันจะให้พรวิเศษเธอ - ตั้งแต่นี้ เธอจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกครั้งที่โกหก"
...
เย็นนั้น เมื่อเธอโกหกแม่ว่าทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอเห็นภาพที่น่าตกใจ เซลล์เม็ดเลือดขาว
ในร่างกายกำลังอ่อนแรงลง เหมือนทหารที่หมดเรี่ยวแรง เธอเห็นสมองของตัวเอง
ทำงานหนักเกินไป มีควันลอยออกมา เหมือนเครื่องจักรที่ร้อนเกิน และที่น่ากลัวที่สุด
หัวใจของเธอมีรอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้น "นี่หรือคือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่โกหก?" เมษาถามแมว
"ใช่ และยังมีอีก" แมวตอบ "ลองสังเกตคนรอบข้างดูสิ"
...
คืนนั้น เมื่อเมษาอยู่คนเดียวในห้อง เสียงความคิดก็ดังขึ้นไม่หยุด "แย่จัง ถ้าใครรู้ความจริง
เราเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครรักเราหรอก" เธอพยายามเปิดเพลงดังๆ เล่นเกม ดูคลิปตลก แต่เสียง
เหล่านั้น ก็ยังดังก้องอยู่ในหัว แม้ตอนนอน ก็ยังต้องเปิดคลิปวิดีโอ ทิ้งไว้ เพราะความเงียบทำ
ให้เธอ ได้ยินเสียงความคิดที่คอยกัดกินหัวใจ "ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?" แมวสีรุ้งปรากฏตัว
ข้างเตียง "หนูอยู่กับความเงียบไม่ได้" เมษาตอบเสียงสั่น "มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
คอยบอกว่าหนูแย่แค่ไหน..."
...
กลางวันก็ไม่ดีขึ้น เมื่อต้องอยู่กับเพื่อนๆ เมษาแทบฟัง ที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง
สมองของเธอวุ่นวายกับการนึก ว่าเมื่อวานโกหกอะไรใครไว้บ้าง
วันนี้ต้องพูดอะไร ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องการบ้าน หัวใจเธอจะเต้นแรง เหงื่อซึม
กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผย แต่เธอก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะต้องการให้คนอื่นชื่นชม
ต้องการได้ยินว่า เธอเก่ง เธอดี แม้จะรู้ว่าคำชมเหล่านั้น เกิดจากภาพลวงตาที่เธอสร้างขึ้น
แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกมีค่า
...
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น
เมื่อครูถามถึงการบ้านที่หายไป เมษายืนอยู่หน้าห้อง สมองกำลังจะสร้างคำโกหกอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นภาพเซลล์ในร่างกายอกำลังจะตายไปอีกกลุ่ม เธอตัดสินใจพูดความจริง
"หนูขอโทษค่ะ ที่จริง หนูยังไม่ได้ทำการบ้าน และที่ผ่านมา หนูโกหกครูมาตลอด"
แทนที่จะโดนลงโทษอย่างที่คิด ครูกลับยิ้มและชมเธอที่กล้าพูดความจริง
"ครูรู้มาตลอดว่าหนูโกหก แต่ครูรอให้หนูพร้อมที่จะยอมรับ เพราะนั่นคือก้าวแรก
ของการเปลี่ยนแปลง" เมษาตัดสินใจ สารภาพความจริงกับทุกคน แม้บางคนจะผิดหวัง
แต่ทุกคนให้อภัยและชื่นชม ความกล้าหาญของเธอ เธอเห็นรอยร้าวในหัวใจ
ค่อยๆ สมานตัว เซลล์ในร่างกายแข็งแรงขึ้น และเงาดำที่เคยกลืนกินตัวตนของเธอ
ก็จางหายไป "เห็นไหม" แมวสีรุ้งปรากฏตัว "ความเจ็บปวดจากการพูดความจริงนั้น
เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ความทุกข์ทรมานจากการโกหก จะกัดกินเธอไปทีละน้อย
จนไม่เหลือตัวตน" อ"แล้วพรวิเศษของฉันล่ะ?" เมษาถาม
"เธอยังต้องการมันอีกหรือ?" แมวยิ้ม "ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นคนพูดความจริงแล้ว"
...
"เธอรู้ไหม" แมวสีรุ้งกล่าวในคืนสุดท้าย"คำชมที่ได้จากความจริงแม้จะเล็กน้อย แต่มีค่า
มากกว่าคำชมมากมายที่ได้จากการหลอกลวง เพราะมันทำให้เราภูมิใจในตัวเอง
ได้อย่างแท้จริง" เมษาพบว่าแมวพูดถูก เมื่อเธอเลิกโกหก เธอไม่ต้องคอยระแวงหรือกังวล
จิตใจโปร่งเบา เธอฟังคนอื่นพูดได้อย่างตั้งใจ เข้าใจและรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจากคน
รอบข้าง ความเงียบกลายเป็นเพื่อนที่แสนสงบ และที่สำคัญที่สุด - เธอรักและภูมิใจในตัวเองได้
โดยไม่ต้องพึ่งพาคำชมจากใคร "ความจริงใจ ไม่เพียงทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
แต่มันทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองด้วยและนั่นคือรากฐานของความสุขที่แท้จริง

Cr : นิทานใจ
Cr ; Fw ĺine
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
นิทานสอนให้รักตัวเอง ให้เป็น
เมื่อรักตัวเองเป็น ก็จะไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเอง ต้องเป็นทุกข์ใจ อย่างเช่นในนิทาน
กล่าวถึงการโกหก เพื่อให้คนมารักและชื่นชมตัวเอง แต่เมื่อใดที่รักตัวเองได้
นั่นคือการได้รับพรวิเศษ อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะเราจะไม่ต้องการ...
เรียกร้องความรักจากใครโดยมีความสุขได้ด้วยตัวเอง แล้วยังแบ่งปันแก่ผู้อื่นได้ด้วย
และเราจะไม่สร้างปัญหาใดๆ เพราะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันจะนำพาความทุกข์กลับมาสู่
ตนเอง นอกจากนี้ การรักตัวเองเป็น จะนำพาให้ตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัว และเดินทาง
ไปสู่หนทางที่ดีมีอนาคตที่เป็น..ของจริง..!ไม่ใช่จากการหลอกผู้อื่น
สรุปว่า....
ถ้ายังไม่รักตัวเอง ไม่เป็น เราอาจหลงทางทำอะไรผิดๆ
การสร้างความทุกข์ให้ตัวเองในที่สุด มารักตัวเองกันค่ะ

#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 8:49 pm
โดย rosa-lee
( 4 )


หญิงล้างถ้วยชามผู้หนึ่ง แปรเปลี่ยนวิถีชีวิต ของท่านประธานกรรมการหลายร้อยล้าน
ป้าซี..เป็นคุณป้าอายุห้าสิบกว่าคนหนึ่ง หลังค่อมนิดหน่อย มีความสูงเพียง140 กว่าเซ็น
ไม่รู้จัก หนังสือสักตัว ทำได้แต่งานที่ใช้แรงงาน อย่างเช่นล้างถ้วยชาม
ป้าซี..เคยรับจ้างล้างถ้วยชาม ให้กับหลายภัตตาคาร ทว่า ไม่เคยเลยที่จะได้รับเงินค่าจ้าง
เต็มจำนวน พวกหัวหน้ามักจะมองดูว่า กลั่นแกล้งเธอได้ง่าย จึงมักจะตะคอกใส่เธอ
อีกทั้ง..หาเหตุผลต่างๆนานา หักเงินค่าแรงของเธอ ที่จริงแล้ว ต้องจ่าย200 กลับโยน
ให้เธอ 100 จากนั้น ก็ขับไสไล่ส่งเธอ ผู้หญิงที่น่าเวทนาคนนี้..ภายในหัวใจเจ็บปวด
รวดร้าวยิ่ง กลับ รู้สึกว่า ตนเองเป็นคนจน ชีวิตราคาถูก ไม่เคยเลยที่จะโต้เถียงตอบกลับ
ได้แต่ยอมรับ อย่างเงียบๆ เหมือนดั่งเป็นใบ้
วันนี้..ป้าซีได้สมัครเข้าทำงานที่ภัตตาคารแห่งใหม่ เธอทำเหมือนดั่งที่เคยทำมา เขย่ง
ปลายเท้า ด้วยความยากลำบาก ล้างจานชามอยู่ในห้องครัว ม่านประตูถูกแหวกออกกะทันหัน..
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง..แต่งตัวด้วยขุดสูทเดินเข้ามา ข้างกายยังห้อมล้อมด้วยระดับหัวหน้า
พนักงาน ตามติดเข้ามาหลายคน..
" ท่านประธานฯ นี่คือห้องครัว " ท่านประธาน..ป้าซีตื่นตกใจ เธอคิดขึ้นมาได้กะทันหัน ก่อนหน้า
พวกที่ดุด่าเธอโดยไร้สาเหตุ พวกที่หักค่าจ้างเธอโดยไร้เหตุผล คล้ายดั่งทุกคนก็เรียกเขาว่า
" ท่านประธานฯ " " สวัสดี..ทุกคน ผมคือจ้ายเซื่นอี้ " ชายวัยกลางคนทักทายทุกคน ที่อยู่ใน
ห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ป้าซี ลุกลี้ลุกลน ซุกซ่อนสองมือที่เปียกปอนไว้ภายใต้ผ้ากันเปื้อน
หวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะเงยหน้า ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ ได้รับความสนใจจากท่านประธานฯ
" เธอทำงานที่หวังพิ่ง นานเท่าไหร่แล้ว "
" ฉัน....ฉัน...."
" ไม่เป็นไร ค่อยๆพูด.."
ป้าซีรู้สึกว่า " ท่านประธานฯ " ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คล้ายดั่งไม่เหมือนท่านประ-ธานฯ ทั่วๆไป
ที่เคยพบเจอ ท่านนี้ใส่ใจเธอเป็นพิเศษ เธอจึงเล่าสิ่งที่เธอเคยประสบพบเจอด้วยความหวาดหวั่น
ที่แท้..ป้าซีทำงานวันละสี่ชั่วโมง ค่าแรงรายวันสี่ร้อยเหรียญ(ไต้หวัน) เดือนหนึ่งเธอจึงได้ประมาณ
หมื่นเหรียญ ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวทั้งครอบครัว เพื่อเสริมรายได้ไว้ใช้จ่ายในครอบครัว
หลังเลิกงาน สี่ทุ่ม ยามที่ทุกคนล้วนดีใจได้กลับบ้าน ป้าซีกลับยังต้องแบกกระสอบผ้าใบใหญ่
ที่สามารถจุคนได้ทั้งคน เก็บขวดเปล่าเพื่อขายให้ได้เงินมา การดิ้นรนในวิถีของชีวิต ก่อนหน้านี้
ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนเคยถามถึง มีแต่คิดจะเอารัดเอาเปรียบเธอ หักเงินของเธอที่ได้มาด้วย
ความเหนื่อยยาก ตั้ง-แต่เข้ามาทำงานในหวังพิ่ง ป้าซีจึงเป็นครั้งแรก ที่ได้รับเงินค่าแรงที่ตนเอง
สมควรจะได้ ฟังเรื่องราวชีวิตที่ขมขื่น ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจ้ายเซิ่นอี้
ทั้งเห็นใจและเสียใจ ตัดสินใจควักเงินตนเองเดือนละ5000เหรียญโอนเข้าบัญชีธนาคารของป้าซี
เข้าใจถึงความเป็นคนตัวเตี้ยของเธอ กำชับเป็นพิเศษ ให้ผู้จัดการสั่งซื้อเก้าอี้เล็กไว้ในห้องครัว
เพื่อให้เธอสะดวกในการล้างถ้วยชาม
" ขอบคุณ..ขอบคุณ..ชั่วชีวิตของของฉัน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าคล้าย "คน"คนหนึ่ง " ป้าซีพูดด้วย
อาการสะอึกสะอื้นกับ " ท่านประธานฯ ที่ไม่เหมือนกับท่านประธานฯทั่วๆไป "ขอบคุณ ขอบคุณ..."
เงินห้าพันเหรียญ..จึงได้โอนเข้าบัญชีของเธอทุกเดือน...หลายเดือน ทว่าจากนั้นไม่ได้ข่าวคราวของ
ป้าซีอีกเลย จ้ายเซิ่นอี้..ทนไม่ไหว จึงได้สอบถามพนักงานภายในภัตตาคาร
" เธอเสียชีวิตแล้ว จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ " พนักงานบอกกับจ้ายเซิ่นอี้ หลังจากที่เขาและเธอ
ทั้งสองได้พูดคุยกันในคืนหนึ่ง เมื่อหลายเดือนก่อน
ป้าซี..เพื่อต้องการเก็บขวดเปล่าบนทางด่วน ถูกรถบรรทุกชนจนเสียชีวิต ข่าวอุบัติเหตุ " บึ้ม "
ได้ระเบิดในหัวของจ้ายเซิ่นอี้ เขามองดูชุดสูทราคาหมื่นกว่าเหรียญ จมปลักกับความรู้สึกผิด
และบาปของตนเองอย่างลึกซึ้ง
ภาพเหตุการณ์หนึ่งในอดีต วนเวียนอยู่ในใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คืนนั้น หลังเลิกงาน เขากับป้าซี
เดินออกจากร้านพร้อมกัน จ้ายเซิ่นอี้..เถ้าแก่ใหญ่ผู้หนึ่งที่มีกำไรต่อปีหลายล้าน สวมชุดสูทที่งามสง่า
ยืนอยู่ริมถนนรอโชเฟอร์ขับรถ เบนซ์มารับ...
ป้าซี...ผู้ที่เสื้อผ้า เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำมัน น้ำสกปรกจากการล้างถ้วยชามเริ่มโค้งงอเอวด้วย
ความยากลำบาก เก็บกระป๋องและขวดพลาสติก จากถัง-ขยะ..
ผมมักจะพูดว่า.." พวกเราเหมือนดั่งคนในครอบครัวเดียวกัน " หากใส่ใจพนักงานเหมือนดั่งคนใน
ครอบครัวจริงๆ เพราะเหตุใด เธอหลังเลิกงานแล้ว ยังต้องไปเก็บของเก่าขาย จึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้
หากเถ้าแก่..พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง พนักงานจะมองเราเป็นคนอย่างไร?
ยามนั้น..จ้ายเซิ่นอี้ ธุรกิจการงาน เพิ่งจะประสบความสำเร็จเล็กน้อย กำลังเพลิดเพลินกับชีวิต
" ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ " ไปไหนมาไหนด้วยรถเบนซ์ ค่าบำรุงรักษา อีกทั้งจ้างพนักงาน
ขับรถ ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำเดือนละแสนห้าหมื่นเหรียญ
งานอดิเรก..คือ เข้าร่วมงานทางสังคม เขาสมัครเข้าร่วมกลุ่มสมาคมทั้งสิ้นสี่แห่ง จ่ายค่าสมาชิก
แต่ละสมาคมปีละสองแสนอีกทั้งยังต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าหนึ่งล้าน เป็นค่าใช้จ่ายของสมาคม
ที่เพื่อการบริจาค ทุกวัน เป๋าฮื้อ..หูฉลาม ไวน์แดงไม่เคยขาด ของกินของใช้..ล้วนต้องปราณีต
บุคคลิกภาพย่อมประมาทไม่ได้ เขาสวมใส่ชุดสูท ที่สั่งตัดเป็นพิเศษ ชุดละสามหมื่นกว่าเหรียญ
เข้าคู่กับเสื้อเชิ๊ตตัวละเจ็ดพันกว่าเหรียญ ทำผมเสริมหล่อ..ครั้งละสี่พันเหรียญ อีกทั้งแทบจะเหมือน
กับประธานาธิบดีมีครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ต่อฤดูกาลช็อบปิ้งสองครั้ง ราคา75,000เหรียญ
จ่ายเป็นค่าปรึกษา
หลังจากป้าซีเสียชีวิตแล้ว จ้ายเซิ่นอี้ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาทำการเลิกจ้างคนขับรถ และ
ครูผู้เชี่ยวชาญด้านบุคคลิกภาพ ขายรถเบนซ์ไปเปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อเชิ๊ต สามตัวหนึ่งพันเหรียญ
ผูกเน็คไทหนึ่งพันเหรียญสี่เส้น เพื่อบรรลุแผนการณ์เพื่อสุขภาพ ด้วยการเดินวันละหมื่นก้าว หลายปี
มานี้จ้านเซิ่นอี้ไม่ว่าออกงานอะไร ล้วนสวมใส่เสื้อยืดคอโปโล กางเกงสบายๆสีดำรองเท้าผ้าใบสีดำ
กับกระเป๋าสะพายหลังที่หนักอึ้ง แต่งตัวด้วยชุดคล้ายดั่ง พร้อมที่จะไปออกกำลังกาย ชุดเหล่านี้
ราคารวมกันไม่ถึงห้าพันเหรียญ ท่ามกลางในหมู่ผู้คน ที่ล้วนสวมใส่สูทสั่งตัดพิเศษ แสดงถึงความ
ขัดนัยตาผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
แรกเริ่ม..จ้ายเซิ่นอี้ก็ไม่สามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่กระทำอยู่ ยามที่ประชุมร่วมกับเถ้าแก่ใหญ่
คนอื่นๆ ต้องรอให้ผู้อื่นลุกจากไปก่อน ตนเองค่อยค่อยแอบๆไปโบกรถรับจ้าง
แต่..ธุรกิจค่อยๆเจริญเติบโต จนเข้ารูปเข้ารอย เป้าหมายของชีวิตโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มมั่นใจ
ยิ่งขึ้นว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพารถหรู ของแบรนด์เนม นอกกาย เพื่ออวดอ้างฐานะของตนเอง
มีครั้งหนึ่ง..เขากับเถ้าแก่ใหญ่กลุ่มใหญ่ ไปประชุมในสถานที่ของทางราช-การ หลังเลิกการประชุม
ออกจากตึกใหญ่ ปากประตูจอดเรียงรายด้วยรถหรูมากมาย เถ้าแก่ใหญ่..ท่านหนึ่ง ถามเขาเป็นพิธีว่า
" ท่านประธานจ้าย รถของคุณ คือคันไหน ?"
" คันที่เป็นสีเหลืองไง "จ้ายเซิ่นอี้ยิ้มๆ แล้วมุดเข้าไปในรถรับจ้างคันหนึ่ง ที่จอดเรียงรายไว้หลายคัน
* นี่คือ..ความเรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจและ ความเป็นอิสระของจ้ายเซิ่นอี้ *

ที่มา :Niwat Rungvicha

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 17, 2025 6:34 pm
โดย rosa-lee
( 5 )

เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวต่อไปนี้ดูเหมือนจะเป็นนิยายเชยๆ แต่อยากเชิญชวนอ่านให้จบ มันคือศาสตร์
และศิลป์แบบง่ายๆที่มักถูกมองข้าม

***************

พรุ่งนี้เขาจะไปร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าสมัยเรียนประถมด้วยกัน ก็เลยซื้อกางเกงขายาวตัวใหม่
จากแผงริมฟุตบาท พอกลับถึงบ้านลองใส่ดู ปรากฏว่าขากางเกงยาวไปร่วม 10 ซม.
จึงไปขอร้องให้แม่ช่วยแก้ขากางเกงให้สั้นหน่อย แต่แม่บอกเขาว่า
"วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย อยากพักผ่อนเช้าหน่อย ไว้วันหลังค่อยแก้ให้นะ"
เขาไปขอร้องภรรยา แต่ภรรยาก็บอกเขาว่า
"วันนี้งานบ้านล้นมือจริงๆ คงไม่มีเวลาแก้ให้หรอก"
ในที่สุดก็ต้องไปไหว้วานลูกสาว แต่ลูกสาวก็จำต้องปฏิเสธเช่นกัน
"เดี๋ยวหนูกำลังจะออกไปงานปาร์ตี้กับเพื่อนชาย กลับถึงบ้านคงดึกมาก
ต้องขอโทษพ่อด้วย คงแก้ให้ไม่ไหวค่ะ"
เขานั่งคิดๆดู ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็ใส่มันไปแบบนี้เลย อย่างมากก็พับขากางเกงให้มัน
สั้นหน่อยก็พอ คืนนั้น แม่ไม่ค่อยสบายใจ คิดทบทวนอยู่ในใจว่า
"ปกติลูกก็เป็นคนกตัญญูมากๆ ขอร้องให้ลูกทำอะไรก็ไม่เคยปฏิเสธ"
เลยตัดสินใจลุกจากเตียง หยิบกางเกงลูกมาแก้ให้สั้นไป 10 ซม. ตามที่ขอร้อง

ตอนดึกหน่อย พอภรรยาเสร็จงานบ้าน คิดถึงเรื่องที่สามีไหว้วานไว้
"ปกติสามีก็เป็นคนแสนขยัน ช่วยเหลือทุกๆเรื่อง แต่เพราะเขาไม่มีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย
จึงต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เรื่องแค่นี้จะปฏิเสธเขาได้ไง"
เลยรีบไปหยิบเอากางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.

ตอนดึกสงัด เมื่อลูกสาวกลับถึงบ้าน คิดในใจว่า
"พ่อไม่ได้ห้ามปรามไม่ให้เราไปงานปาร์ตี้ ปกติก็เป็นพ่อที่แสนดี แล้วจะไม่ยอมทำ
ให้เลยเหรอ" ว่าแล้วก็ไปหยิบกางเกงมาแก้ให้สั้นไปอีก 10 ซม.

วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงทั้งสามคนก็ทยอยบอกเรื่องแก้ขากางเกงให้เขาทราบ พอเขาไปหยิบเอากางเกง
มาใส่ ปรากฏว่าขากางเกงลอยสูงอยู่บริเวณหน้าแข้ง จะไปหากางเกงขายาวตัวอื่นๆที่พอใส่ได้
ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเพิ่งถูกโยนเข้าเครื่องซักผ้าไปทั้งหมด

ปฏิกิริยาจากเขาก็คือ.......หัวเราะชอบใจ พร้อมบอกทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกว่า
"ผมจะใส่กางเกงตัวนี้ไปงานชุมนุมศิษย์เก่าวันนี้ แล้วถ้าใครถามผมว่าทำไมขากางเกงจึงสั้นเต่อ
ได้ขนาดนี้ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆฟัง”

ในงานเลี้ยง เพื่อนๆทุกคนแซวเขาว่า นุ่งกางเกงขาเต่อ ช่างเข้ายุคเข้าสมัยแบบเดียวกับที่วัยรุ่น
กำลังนิยมเปี๊ยบ เขาได้แต่ยิ้ม แต่พอโดนแซวหนักๆเข้า สุดท้ายเขาก็ต้องลุกขึ้นเล่าเรื่องราวที่มา
ที่ไปของกางเกงขาเต่อตัวนี้ให้ทุกคนฟัง แล้วเขาสรุปตอนท้ายไว้ว่า
“สมาชิกในครอบครัวผม ไม่ว่าจะเป็นผม แม่ ภรรยา หรือลูก ล้วนอยู่กันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน
ห่วงใยถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน มีอะไรผิดพลาดก็พยายามแก้ไขไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน
มีความรักที่คอยเติมเต็มกันตลอดเวลา อยู่กันอย่างมีความสุขที่เรียบง่ายในแบบฉบับของ
ครอบครัวของพวกเราทุกคน ผมสบายใจและภูมิใจครับ”

ปรากฏว่า เพื่อนๆทุกคนต่างปรบมือชื่นชมถึงศิลปการอยู่กันอย่างมีความสุขของชีวิต
ครอบครัวของเขา เขากลับออกจากงานเลี้ยงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขอย่างบอกไม่ถูก

เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในงานเลี้ยงให้ทุกคนที่บ้านฟังอีกครั้ง ทุกคนที่บ้านล้วนโล่งอก
และดีใจกับเหตุการณ์ที่จบได้อย่างน่าประทับใจ

****************

หากคุณเป็นเจ้าของกางเกงในเรื่องนี้ คุณจะมีปฏิกิริยาแบบไหน
"หัวเราะชอบใจ" หรือ "อารมณ์เสียเป็นฟืนเป็นไฟ"

คนส่วนใหญ่ เวลาเจอเหตุการณ์แย่ๆ อาจจะมากบ้างหรือน้อยบ้าง ถ้าอยู่กับคนอื่น มักจะ
แสดงออกถึงความใจกว้าง ใจเย็น ให้อภัยกันแบบง่ายดาย แต่พอเกิดกับคนใกล้ตัวหรือคน
ในบ้าน ก็มักหน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์เสีย หรือผรุสวาทด้วยถ้อยคำที่ไม่ยอมถนอมน้ำใจกันเลย

ก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมากับคนใกล้ตัว ลองนิ่งสักครู่ ปรับสภาพจิตใจให้เย็นลง ให้รู้จักอดทน
ให้อภัย หรือแสดงออกด้วยอารมณ์ขันให้พวกเขา อย่าเอาแต่อารมณ์เสีย เพราะถ้าคุณทุกข์
ไม่ใช่คุณทุกข์คนเดียว แต่คนรอบข้างก็พลอยทุกข์ไปด้วย สู้ยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตอยู่กับ
ความสุขสันต์ไม่ดีกว่าเหรอ

เกรี้ยวกราดทุกข์ร้อนกันไปทำไม
แบกทุกข์แก่ง่ายโดยไม่รู้ตัว

ปล. ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบ !!! ส่วนตัวผมอ่านแล้วชอบมาก เลยขออนุญาตนำมาแชร์ต่อ
ยกเครดิตให้กับเจ้าของเรื่องด้วยครับ !!!

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 24, 2025 8:04 pm
โดย rosa-lee
( 6 )


นิทาน เรื่อง เงาของต้นไม้สุดท้าย

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายชราเป็นช่างไม้ผู้มีชื่อเสียง |เขาสร้างโต๊ะ เก้าอี้ และบ้าน
ให้ผู้คนมานานหลายสิบปี แต่สิ่งหนึ่งที่เขารักมากที่สุด คือการปลูกต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน
วันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งเดินผ่าน| และถามว่า “ตาแก่ครับ ทำไมท่าน ยังปลูกต้นไม้อีกล่ะ?
ท่านก็คงไม่ได้อยู่ถึงวันที่ มันเติบโตเป็นร่มเงาหรอก” \ชายชรายิ้มและตอบว่า
“เจ้าหนู ตอนข้ายังเด็ก ข้าก็ได้นั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ ที่ไม่ได้ปลูกโดยมือตัวเอง
.แล้วเหตุใดข้าจะไม่ปลูก ให้คนรุ่นหลังล่ะ?” เด็กชายทำหน้าสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ

กาลเวลาผ่านไป… ชายชรานั่งมองต้นไม้ ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ วันหนึ่ง เขารู้สึกอ่อนล้า
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหลับตา เขามองต้นไม้ที่สูงใหญ่ และคิดว่า “เมื่อถึงเวลา
ของข้า เงาของมันก็จะยังคงอยู่”

หลายปีต่อมา ชาวบ้านมักมานั่งใต้ต้นไม้นั้น หลายคนไม่เคยรู้ว่าใครเป็นคนปลูก
แต่พวกเขายังคงได้รับร่มเงา และผลไม้ของมัน ข้อคิดจากนิทาน:
1. ชีวิตเปรียบเสมือนต้นไม้
– เราปลูกบางสิ่ง แม้อาจไม่ได้เห็นผลลัพธ์ด้วยตาตัวเอง แต่สิ่งที่เราทำจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง
2. ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด
– ร่างกายอาจดับสูญ แต่สิ่งที่เราสร้างไว้ ยังคงอยู่ ในความทรงจำของผู้คน
3. จงทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
– บางสิ่งที่เราทำในวันนี้ อาจกลายเป็นร่มเงาให้คน ในวันข้างหน้า
เพราะสุดท้าย…
เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อให้บางสิ่งยังคงอยู่ แม้เมื่อเราจากไปแล้ว

Cr : Fw Line
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ที่ป้าทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คิดเช่นนี้แหละค่ะ ไม่ว่าจะเหลือเวลาในชีวิตกี่วัน ก็อยากช่วยเหลือ
คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ให้อยู่อย่างเข้าใจ คลายทุกข์ มีความสุขเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลของชีวิตมนุษย์ จะดี - จะร้าย จะสุข - จะทุกข์ จะเจริญ - จะตกต่ำ
ก็อยู่ที่การมี mindset ที่ถูกต้อง
ป้าจึงส่งมอบ "หลักคิด ที่เป็น Mindset" แบบ Growth Mindset ไว้ในเพจนี้
ทุกวันมาหลายปีแล้ว และเชื่อว่า....
แม้ตัวป้าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลักคิดที่ป้าส่งมอบไว้นี้ จะยังคงอยู่
และได้ช่วยผู้คนต่อไป
ส่วนท่านผู้อ่าน ก็สามารถส่งมอบในแบบที่เป็นตัวตนของท่านนะคะ อะไรก็ได้
แม้แต่เรื่องง่ายๆ ตรงตามนิทาน
เช่น
การปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้น ก็ยังได้ เพราะเมื่อต้นไม้เติบใหญ่ ก็จะให้ร่มเงา
ให้เป็นที่อยู่ของสรรพสัตว์ ให้อากาศบริสุทธิ์ แก่มนุษย์และสัตว์ หยั่งรากลึก
ยึดผืนดินไว้ให้คงอยู่ และยังช่วยดูดซึมน้ำที่มากเกินไป ในบางฤดูกาล ไม่ให้ท่วม
ซึ่งเป็นคุณแก่มนุษย์ อีกชั้นหนึ่ง เพียง 1 สิ่ง ที่เราส่งมอบกับโลกไว้ ยังให้คุณประโยชน์
มากมายถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราได้ทำหลายๆ สิ่งทิ้งไว้ จะเป็นอย่างไร
ร่วมด้วยช่วยกัน แบ่งปัน ดูแล โลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกัน
อย่างปลอดภัยดีงาม มีความสุขนะคะ

#มนุษย์ป้าท้าเปลี่ยนโลก

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2025 8:54 pm
โดย rosa-lee
( 7 )

แก่แล้ว ใครๆ ก็เหมือนกัน...
ไอน์สไตน์นั่งรถไฟ ขณะนั้นพนักงานตรวจตั๋วเดินมาตรวจตั๋ว เขาหาตั๋วไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ
พนักงานตรวจตั๋วพูดกับเขาอย่างสุภาพว่า:
“ศาสตราจารย์ ไม่ต้องหาแล้วครับ ผมรู้ว่าคุณคือใคร”
พูดจบ พนักงานก็เดินไปตรวจตั๋วคนอื่นต่อ

หลังจากตรวจตั๋วคนในตู้เสร็จแล้ว เขากำลังจะเดินไปยังตู้ถัดไป
แต่พอหันกลับมา เห็นไอน์สไตน์ยังคงหาตั๋วอยู่ ถึงขนาดคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อหามัน
พนักงานรีบพูดด้วยความห่วงใยว่า:
“ศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์! คุณไม่ต้องหาแล้วจริงๆ ครับ ผมรู้จักคุณดี คุณคือไอน์สไตน์
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผมเชื่อว่าคุณซื้อตั๋วแน่นอน”

ไอน์สไตน์เงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยความเขินอายและลำบากใจว่า:
“ผมก็รู้ว่าผมเป็นใคร แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมจะต้องลงสถานีไหน ผมต้องหาตั๋วให้เจอ
จะได้รู้ว่าต้องลงที่ไหน!”

แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ยังเป็นเช่นนี้
ดังนั้นคุณและฉัน หากหลงลืมอะไรบ้างเป็นบางครั้ง ก็ไม่ต้องเศร้าใจ
ทำใจให้สบายเถอะนะ!

*************

แก่ คือช่วงเวลาหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่าน ในวันที่เราค่อยๆ แก่ลง ขอให้เราใช้ใจที่มองโลกในแง่ดี
เผชิญกับทุกวันอย่างสงบ และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า อย่าให้ชีวิตต้องเสียดายภายหลังเลย !

:s007:

Re: เรื่องสั้นสอนใจ ชุดที่ ( 12 )

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 10, 2025 9:00 pm
โดย rosa-lee
( 8 )


มีอะไรอยากให้ได้อ่านกันสักนิด "ต่ำต้อยจมดิน…ดี 5 ข้อ"
โลกมักยกย่องความสูงส่ง แต่มองข้าม “ความต่ำต้อย” ว่าไร้ค่า ในขณะที่หลายคนพยายาม
ปีนขึ้นไปเพื่อให้คนมอง บางคนกลับเลือก อยู่ต่ำ...แต่มั่นคงและนี่คือ 5 ข้อดีของการ “ต่ำต้อยจมดิน”
อย่างสง่างาม

✅ 1. ไม่สะดุดล้มแรง เพราะอยู่ใกล้พื้นอยู่แล้ว
คนที่ยิ่งสูง พอล้มจะเจ็บ แต่คนที่รู้จักวางตัว รู้จักถ่อมตน ไม่ทะนง ไม่ยกตนเหนือใคร
จะไม่เจ็บจากความคาดหวัง เพราะเขาไม่เคยหลอกใครว่าตัวเองสูงส่ง

✅ 2. เรียนรู้ได้ตลอด เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้หมด
ความต่ำต้อยทำให้ใจ “เปิดรับ” กล้ายอมรับว่าตัวเองยังไม่เก่ง จึงเรียนรู้ได้จากทุกคน
ทุกเรื่อง แม้จากคนที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง

✅ 3. เป็นที่รัก เพราะไม่ทำให้ใครรู้สึกด้อย คนต่ำต้อยถ่อมตน มักไม่อวดเก่ง
ไม่เอาความสำเร็จไปกดใคร จึงอยู่กับใครก็สบายใจ ไม่สร้างศัตรู ไม่แข่งขัน ไม่กดทับใคร

✅ 4. สุขง่าย เพราะไม่ต้องใช้พลังสร้างภาพ ไม่ต้องทำตัวหรู ไม่ต้องรักษาหน้าตา
ไม่ต้องวิ่งตามคำชม ไม่ต้องกลัวคำวิจารณ์ อยู่แบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยอิสระใจ

✅ 5. มั่นคงในชีวิต เพราะยืนบนความจริง ไม่ใช่ภาพลวง คนที่อยู่ติดดิน รู้ว่าตัวเองมาจากไหน
จึงไม่หลง ไม่หลอก ไม่หวือหวา ชีวิตแบบนี้อาจไม่เปรี้ยง แต่ “อยู่ได้นาน” และ “สบายกว่า” มาก
**จำไว้...
ต่ำต้อยไม่ใช่ต่ำค่า จมดินไม่ใช่ไร้ศักดิ์ศรี
แต่คือรากฐานที่มั่นคงของคนที่เข้าใจโลกและใจตัวเอง**

💬เขียนโดย:จานอาม
“ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องดัง แค่อยู่ในที่ของเราอย่างถ่อมตน…ก็เป็นที่จดจำในแบบที่ไม่ต้องอวดอะไรเลย”