หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 9:13 pm
โดย rosa-lee
( 1 )


18 ข้อศิลปะแห่งการมองข้าม 🌈☀️
.
1. มองข้ามคำวิจารณ์ที่ไม่จำเป็น
บางครั้งคนรอบข้างอาจมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่า แต่เราไม่จำเป็นต้องรับทุกคำวิจารณ์
มาใส่ใจ เช่น สมัยที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ ก็มีคนบอกว่าไม่น่าจะสำเร็จ แต่เราก็เลือกที่จะ
ไม่ฟังเสียงนั้น และเลือกเดินตามทางของตัวเอง

2. มองข้ามความคิดลบในหัว
ความคิดลบมักเข้ามากวนใจ แต่การเลือกไม่ฟังมัน จะทำให้เรามีกำลังใจทำสิ่งต่างๆ
ได้ดีขึ้น เช่น ตอนที่ทำเว็บไซต์ครั้งแรก เรามักคิดว่าทำไม่ได้ แต่เมื่อมองข้ามความกลัวนั้น
ก็ทำให้เราผ่านมันไปได้

3. มองข้ามความผิดพลาดเล็กน้อย
ทุกคนทำผิดได้ อย่าจมอยู่กับมันนานเกินไป เช่น การทำโฆษณาที่ไม่ได้ผล แต่เมื่อเรา
มองข้ามความผิดพลาดนั้น ก็ทำให้เราเรียนรู้และทำให้ดีขึ้นในครั้งหน้า

4. มองข้ามความยุ่งเหยิงของชีวิต
บางครั้งชีวิตมันยุ่งเหยิง เราอาจจะต้องเลือกที่จะไม่ให้มันมากวนใจ เช่น เมื่อชีวิตยุ่งกับงาน
ก็ต้องหาวิธีผ่อนคลายด้วยการพักผ่อนบ้าง

5. มองข้ามสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้
บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ควบคุมทุกอย่างได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือ
สถานการณ์ เศรษฐกิจที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็แค่ปรับตัวให้เร็วที่สุด

6. มองข้ามการเปรียบเทียบกับคนอื่น
ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง การเปรียบเทียบจะทำให้เราเหนื่อย เช่น การดูธุรกิจของคนอื่น
แล้วรู้สึกว่าเรายังไม่ไปถึงไหน แต่เมื่อเรามองข้ามมัน เราจะเห็นความสำเร็จของตัวเองมากขึ้น

7. มองข้ามเรื่องเล็กๆ ที่ไม่มีผลอะไร
อย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ส่งผลต่อชีวิต เช่น การมองข้ามคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะทำ
ให้เรารู้สึกไม่ดี แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญอะไร

8. มองข้ามข้อบกพร่องของผู้อื่น
ทุกคนมีข้อบกพร่อง การมองข้ามจุดนี้จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น เช่น เพื่อนที่เคยทำให้เรา
รู้สึกไม่ดี แต่เมื่อเรามองข้ามข้อบกพร่องของเขา เราจะเห็นคุณค่าในตัวเขามากขึ้น

9. มองข้ามความคาดหวังที่ไม่สมจริง
บางครั้งเรามักตั้งความคาดหวังสูงเกินไป แต่การมองข้ามคาดหวังที่ไม่สมจริงจะช่วยให้เรา
มีความสุข กับสิ่งที่มี เช่น ตอนที่เปิดร้านสะดวกซัก เริ่มต้นจากเล็กๆ แต่ไม่หวังผลตอบแทน
มหาศาลในทันที

10. มองข้ามความเครียดจากสิ่งที่ไม่สำคัญ
ความเครียดจากสิ่งเล็กๆ มักทำให้เรารู้สึกหนักใจ เช่น ความเครียดจากการทำงานที่ไม่ได้
ทันเวลา แต่เมื่อเรามองข้ามความเครียดนั้น ก็ทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น

11. มองข้ามสิ่งที่ทำให้เราเสียเวลา
สิ่งที่ทำให้เราทำงานช้า ไม่ต้องให้ความสำคัญ เช่น การมองข้ามสิ่งรบกวนในระหว่าง
การทำงาน จะทำให้เราสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

12. มองข้ามความล้มเหลว
การล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ การมองข้ามมันจะทำให้เราเดินต่อไปได้ เช่น การทำธุรกิจที่ล้มเหลว
ในตอนแรก แต่เมื่อเรามองข้ามมัน ก็ทำให้เราค้นพบวิธีที่ดีกว่า

13. มองข้ามสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามแผน
แผนทุกอย่างอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด แต่เราสามารถปรับตัวได้ เช่น เมื่อเริ่มต้นทำ
เว็บไซต์แล้วมีปัญหาทางเทคนิค การมองข้ามปัญหานั้นและหาทางแก้ไขทำให้เราไม่เสียเวลา

14. มองข้ามการหักหลังหรือการทิ้งเรา
บางครั้งเราจะถูกคนรอบข้างทำร้าย แต่การมองข้ามสิ่งนี้จะทำให้เราไม่จมอยู่กับความเจ็บปวด
เช่น เมื่อคนที่เคยร่วมงานกับเราไม่สนับสนุนเราอีก แต่เราก็ยังคงเดินหน้าต่อไป

15. มองข้ามการไม่สมบูรณ์แบบ
ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ การยอมรับความไม่สมบูรณ์จะทำให้เราผ่อนคลาย เช่น การทำ
การตลาดที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% แต่ก็พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้

16. มองข้ามสิ่งที่ทำให้เราเสียกำลังใจ
สิ่งที่ทำให้เราเสียกำลังใจ เช่น คำพูดลบจากคนอื่น เราต้องเลือกมองข้ามมันเพื่อเดินต่อไป
เช่น เมื่อถูกวิจารณ์ธุรกิจ ก็เลือกที่จะไม่ให้มันมาหยุดเรา

17. มองข้ามปัญหาที่ดูเหมือนจะใหญ่เกินไป
ปัญหาบางครั้งอาจดูใหญ่เกินไป แต่การมองข้ามมัน จะทำให้เราหาวิธีแก้ไขได้ดีขึ้น เช่น
ปัญหาผู้คนในธุรกิจ ถ้าเรามองข้ามความขัดแย้ง ก็จะหาวิธีแก้ไขได้เร็ว

18. มองข้ามความไม่ยุติธรรม
บางครั้งชีวิตก็ไม่ยุติธรรม การมองข้ามมันจะทำให้เราไม่เสียใจและเดินหน้าต่อไป เช่น การที่เรา
ไม่ได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า แต่เมื่อเรามองข้ามมัน ก็ทำให้เรามุ่งมั่นไปข้างหน้า

Cr. FB Read Journey (หนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์)

#มองข้าม #อย่าคิดไปเองหรือต่อยอดเองจะเป็นทุกข์ #ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2025 9:25 pm
โดย rosa-lee
( 2 )

เหนือฮวงจุ้ย

มีเศรษฐีคนหนึ่ง ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งสร้างเป็นที่พักตากอากาศ ในช่วงที่ตบ
แต่งซ่อมแซมนั้นเพื่อนของเขาได้แนะนำให้ หาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาดู เพื่อที่จะได้สร้าง
ไม่ผิด เดิมทีเศรษฐี ก็ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่ครั้งนี้กลับเห็นด้วย จึงเจาะจง
เพื่อเชิญอาจารย์ฮวงจุ้ยท่านหนึ่งจากฮ่องกง ชื่อ อาจารย์แซ่เต๋อ ทำอาชีพนี้มามากกว่า
30 ปี ในวงการนี้จัดว่ามีชื่อเสียงมาก ได้ไปรับอาจารย์เต๋อที่สถานีรถไฟ และร่วมรับ
ประทาน อาหารกลางวันแล้ว ท่านเศรษฐีก็ขับรถพาอาจารย์มายังบ้านของตน

)ระหว่างทาง ถ้ามีรถพยายามจะแซง ท่านก็จะหลีกทางให้เสมอ อาจารย์เต๋อหัวเราะ
แล้วพูดว่า คุณขับรถได้มั่นคง นุ่มนวลดี
เศรษฐีหัวเราะ แล้วพูดว่า ผู้ที่ต้องการจะแซงรถ ย่อมมีธุระเร่งด่วน ไม่ควรทำให้เขาเสียเวลา !!

เมื่อรถเข้าสู่ตัวเมือง ถนนก็เริ่มแคบลง เศรษฐีก็ลดความเร็วลง มีเด็กคนหนึ่งหัวเราะร่าวิ่ง
ออกมาจากซอย เศรษฐีก็สามารถ เหยียบเบรครถได้ทัน เด็กๆหัวเราะคิกๆวิ่งผ่านหน้ารถไป
แต่เขาก็ยังไม่เหยียบคันเร่งเพื่อออกรถ แต่ได้มองไปที่ปากซอย เหมือนกำลัง...รออะไรสัก
อย่างหนึ่ง สักครู่ ก็มีเด็กอีกคนหนึ่งวิ่งออกมา วิ่งไล่ตามเด็กคนที่วิ่งไปก่อนหน้านั้น !!

อาจารย์เต๋อ ถามด้วยความแปลกใจว่า คุณรู้ได้อย่างไร ว่าข้างหลัง ยังมีเด็กอีกคน
เศรษฐีบอก เด็กๆล้วนแต่เล่น ไล่ๆตีๆ กัน ถ้ามีคนเดียว จะไม่หัวเราะเริงร่า เช่นนี้หรอก
อาจารย์เต๋อ ยกหัวแม่โป้งขึ้น หัวเราะพูดว่า คุณช่างมีน้ำจิตน้ำใจจริงๆ
มาถึงบ้านพัก ลงจากรถ หยิบกุญแจเตรียมจะเปิดเข้าบ้าน ทันใดนั้น ที่ลานหลังบ้าน
พลันมีนกบินขึ้นมา 7-8 ตัว เมื่อเห็นดังนั้น เศรษฐีหยุดอยู่หน้าประตู กล่าวขอโทษกับ
อาจารย์เต๋อว่า รบกวนให้ท่าน รอสักครู่หนึ่ง มีเรื่องอะไรหรือ?

อาจารย์เต๋อรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง ที่ลานหลังบ้าน ต้องมีเด็กมาขโมย เด็ดลิ้นจี่ของเรา
แน่นอน ถ้าเราเข้าไปขณะนี้ เด็กๆ ก็จะตกใจ อาจตกลงมา ก็จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น !!
ปล่อยให้พวกเขา เด็ดไปสักครู่หนึ่งก่อน พวกเรายืนดูอยู่ข้างนอกนี้แหละเศรษฐีกล่าวยิ้มๆ
อาจารย์เต๋อ นิ่งเงียบไปสักครู่..และกล่าวว่า คุณส่งผม กลับไปสถานีรถไฟเถอะ
บ้านหลังนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องดูฮวงจุ้ยแล้ว !! แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเป็นผู้แปลกใจ
ถามว่า ท่านอาจารย์ทำไมพูดเช่นนี้ อาจารย์บอกว่า "สถานที่ที่มีท่านอยู่
ล้วนเป็นสถานที่ที่มี ฮวงจุ้ยดีเลิศ"

#แท้จริงแล้ว ความประพฤติของคน ก็คือฮวงจุ้ยและโชคชะตา

บุคคลที่ไม่มีคุณธรรม มีแต่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ถึงแม้จะพากเพียร พยายามวิ่งเต้นไป ก็อาจจะเป็นเพียง ความเหนื่อยเปล่าเท่านั้น

#เพราะตัวคุณเอง คือต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
#ความดีงามของคุณ ก็คือ ใบเซียมซีที่ดี ชั่วนิรันดร์

.: เรื่องนี้สุดยอดมาก

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 10, 2025 8:38 pm
โดย rosa-lee
( 3 )

คุณนาย(ผู้หญิงคนหนึ่ง) เดินเข้าไปถามชายชรา ผู้นั่งขายไข่ไก่อยู่ว่า ขายยังไง พ่อค้าเฒ่า
ก็ตอบว่า ใบละ 5 บาท..คุณนายก็บอกว่า ฉันต้องการซื้อไข่ 6 ฟอง 25 บาทได้ไหม
(ที่จริงควรจะ 30 บาท) ชายชราตอบว่า แล้วแต่คุณนายเถอะ อยากซื้อเท่าไหร่จ่ายเท่าไหร่
ก็ตามสะดวก วันนี้อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของผมก็ได้ เพราะตั้งแต่เช้า ยังขายไข่ไม่ได้เลย
แล้วคุณนายก็หิ้วไข่ 6 ฟอง เดินไปขึ้นรถเก๋งที่มีเพื่อนๆ นั่งอยู่แล้ว ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่า
สามารถซื้อไข่ได้ในราคาถูกกว่าที่พ่อค้าขาย
..
หลังจากนั้นคุณนายและผองเพื่อนก็ไปภัตตาคารแห่งหนึ่ง สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ และกินกันอย่าง
เพลิดเพลิน แต่ก็ไม่หมด ยังเหลืออีกมากมายเยอะแยะ จนในที่สุดก็เรียกทางร้านมาเช็คบิล
ราคาทั้งหมด 1400 บาท คุณนาย ยื่นเงินไปให้ 1500 บาท แล้วบอกว่า ไม่ต้องทอนนะค่ะ...
........................
เงินแค่นี้มันธรรมดามากสำหรับเจ้าของภัตตาคาร แต่สำหรับพ่อค้าไข่ชรา มันอาจจะเป็นความ
เจ็บปวดก็ได้นะ จุดสำคัญคือว่า ทำไมเราชอบโชว์ว่า เวลาเราซื้อของจากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็น
ชาวบ้านลำบากอยู่แล้ว เรามักต่อรองราคาและรู้สึกพึงพอใจ ถ้าหากว่าเราต่อราคาได้ถูกกว่า
ราคาที่เขาขาย..แล้วทำไมเรามักไม่เคยได้ต่อรองราคาสินค้าราคาแพงๆ ที่วางขายในห้าง ใน
ร้านใหญ่ๆ ที่เขาโก่งราคาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แปลกไหมละ?
.........
ลองอ่านนี้ดูอีกหน่อย..
พ่อของผม มักจะชอบซื้อของจากคนจนๆ และให้ราคาสูง ทั้งๆที่พ่อไม่ได้ต้องการสินค้าเหล่านั้น ..
บางทีพ่ออาจจะต้องการให้เงินแก่พวกเขาเพื่อนำไปใช้เลี้ยงครอบครัวเขาก็ได้...
ผมเคยถามพ่อดูว่าทำไมพ่อทำแบบนั้น พ่อตอบว่า "มันเป็นการทำบุญ ที่มีคุณค่ามากนะลูก" ..
(ที่จริงจะแบบว่า มันเป็นการช่วยเขา ที่ทำให้เขาไม่เสียศักดิ์ศรี..ก็ได้นะ)

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 13, 2025 11:27 pm
โดย rosa-lee
. ( 4 )


นานมาแล้ว.....
มี..อากง..แก่ๆ...อยู่คนนึ่ง...อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลานๆ...ตามปะสาคนแก่
อากง...จึงเรียกหลานๆ ทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุม....แล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า
เอาล่ะหลานๆ ..ตอนนี้หลับตา..นะ..หลับตา.....
พอหลานๆ หลับตา...อากง...ก็เดินเข้าไปห้องเก็บของ...แล้วหยิบโคมไฟเก่าๆ มาอันนึ่ง...
อากง...เปิดฝาครอบ...จุดไฟ...แล้วปิดฝาครอบ... แล้ว...อากง...ก็บอกหลานทั้งสี่...ว่า...
ลืมตาขึ้น..แล้วบอก...อากง...ซิว่าโคมไฟสีอะไร...?
เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น....ตอบไล่ๆ กัน....ตอบไม่เหมือนกัน...และเริ่ม...ทะเลาะกัน....
คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า...สีแดง...อีกด้านนึ่งบอกว่า...เขียว...สีเหลือง...และน้ำเงิน....ตาม ลำดับ...
ทั้งสี่ทะเลาะกันพักนึ่ง....ก็มีเด็กคนนึ่งถาม...อากง...ว่า......
อากง....ทำไมของอย่างเดียวกัน...มีตั้งหลายสี...........
อากง...ก็เลยบอกว่า...เดี๋ยวนะ...อากง...จะทำอะไรให้ดู....
อากงเดินมาที่โต๊ะ...หยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู...ปรากฎว่า....7
ฝาครอบสี่ด้าน....สี่สี...แดง...เหลือง...เขียว...น้ำเงิน...
หลังจากนั้น...อากง...ก็บอกว่า....เอ๊าตอนนี้บอกอากงซิ...โคมไฟสีอะไร...?
หลานๆ....ตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ.....
อากง..เลยบอกว่า...เอาล่ะหลาน...อากง..ถามอะไรชักสองข้อนะ....
ข้อที่..1.....เมื่อสักครู่นี้....ครั้งแรก...ไครผิด....
หลานตอบว่า....ไม่รู้.....
อากง...บอกว่า....รึว่า...อากง..ผิด........
อากง...เลยบอกอีกว่า...ฟังนะ..เจ้าทั้งสี่..นั่งอยู่ในที่เดียวกัน....
มองของ อย่างเดียวกัน...ในเวลาเดียวกัน...ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย.....
ทำไม..? ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ....
อากง..เลยบอกว่า...ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมอง...ของตัวเอง...เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น....
แต่..ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น...เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา
แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น....แต่ถ้าลองนึกภาพนะ...เจ้าทั้งสี่ นั่งอยู่ที่เดียวกันมองของอย่าง
เดียวกัน...ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเล๊ย....
ในอนาคต....เวลาที่อยู่ในสังคม...เป็นไปได้มั๊ย... คน..ก็มองสี่งต่างๆ....ไม่เหมือนกัน......
เพราะฉนั้น....เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา....ใครผิด...
ในอนาคตนะ...เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น....อย่าไปโกรธว่าเขาผิด...อย่าไปกลัวว่า...ตัว เองผิด....
เพราะคนแต่ละคน...ก็เห็นสี่งต่างๆ...จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง....
แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่า...ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น....เจ้าก็เดินไปมุมของเขา....
และเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น....อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมา....และเข้าใจเจ้า.....
คำถามที่..2...อากง..บอกว่า....ที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลัง....เป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย..?....
หลานบอกว่า....อย่างเดียวกัน.....
แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย....?....ครั้งแรกเห็นอะไร...?
หลานตอบว่า...ฝาครอบ....และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ....
อากงเลยบอกว่า....หลานๆเอ๊ย...
ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ...อย่ามองสี่งต่างๆ...เพียงแค่ที่เห็น.... จงเข้าใจสิ่งต่างๆ... อย่างที่เป็น

Cr. ฉันว่าดี

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 13, 2025 11:34 pm
โดย rosa-lee
( 5 )

เด็กน้อยคนนึงไปเตะฟุตบอล ที่สนามหญ้าท้ายหมู่บ้าน เขาลงสนาม
เตะฟุตบอลกับเพื่อน ด้วยเท้าเปล่า โดยถอดรองเท้านักเรียนไว้ข้างสนาม
เพราะ มีเพียงคู่เดียว ที่ทั้งใส่ไปโรงเรียน และใส่ไปช่วยพ่อเขา เก็บของเก่า
หาเงินจุนเจือครอบครัว หลังเตะบอลเสร็จ เขาก็พบว่า รองเท้าของเขาหายไป
โดยไม่รู้ว่าใครเอาไป เขาเสียใจ ปนกับหวาดกลัว ที่อาจจะโดนพ่อเขาดุด่า
ว่ากล่าว จิตใจของเขาสับสน กังวล ว่าพรุ่งนี้ จะใส่อะไรไปโรงเรียน
เขาเดินตีนเปล่ากลับบ้าน โดยมือทั้งสองข้าง ปาดน้ำตามาตลอดทาง
ถึงบ้าน คราบน้ำตายังคงอาบสองแก้ม เขาเดินไปบอกเรื่องราวต่างๆกับพ่อ
ด้วยอาการประหม่า และเตรียมใจ ที่จะโดนตำหนิ พ่อวางมือจากงานตรงหน้า
แล้วบอกกับลูกชายว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่ ลูกยังเหลือตีนสองข้าง
พาตัวเองกลับมาบ้านได้ นั่นถือเป็น เรื่องที่ดีแล้ว อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก
เก็บน้ำตาไว้เสียใจกับเรื่องอื่นดีกว่า วันนึง มีเรื่องที่ลูกจะต้องพบเจอ
สูญเสีย ผิดหวัง อีกมากมาย และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าวันนี้ ไปเถอะ ไปอาบน้ำ
แล้วมากินข้าวกับพ่อ พรุ่งนี้เราไป ซื้อรองเท้าใหม่กัน

ถึงพ่อของเขาจะยากจน แต่ร่ำรวย ความคิดดีๆมาก แล้วก็เป็นเช่นนั่นจริงๆ
เมื่อเขาเติบโต ออกไปทำงาน ออกไปอยู่ในสังคม เขาพบว่า เขาต้องสูญเสียอะไร
หลายอย่างไป เลิกกับแฟน หมาที่รักมากตายไป และอีกมากมายในชีวิต
เขาไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะคิดถึงคำสอนพ่อว่า รองเท้าหายแต่ตีนก็ยังอยู่
ไม่ว่าเขาจะสูญเสียอะไรไป เขายังเหลือ ลมหายใจ สองมือ สองขา เหลือความรู้
เหลือสติปัญญา ใช้มันสร้างสิ่งใหม่ได้
และครั้งสุดท้ายที่เขาร้องไห้ คือวันที่เขา เสียพ่อเขาไป วันนั้น เป็นวันที่เขาเข้าใจ
ความหมาย ที่พ่อเคยสอนอย่าง ถ่องแท้ว่า ต่อให้ไม่มีพ่อ เขาต้องอยู่ให้ได้
ชีวิตเราก็เช่นกัน
เรื่องบางเรื่อง มันก็เหมือนรองเท้าที่หายไป แต่อย่าลืม เรายังเหลืออะไรมากมาย
ให้ชีวิต…ก้าวต่อไป

ขอบคุณบทความจาก สิริทัศน์ สมเสงี่ยม
#ที่ว่าการคำคม

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 17, 2025 6:53 pm
โดย rosa-lee
( 6 )

#แก้แค้นแล้วได้อะไร

ในตลาดผักแห่งหนึ่งที่ลอสแองเจลิสอเมริกา แผง ขายผักของหญิงชาวจีนคนหนึ่ง
ขายดีเป็นพิเศษ ทำให้แผงข้างเคียงต่างก็อิจฉาตาร้อน แต่ละคนจึงแกล้งเธอ
ด้วยการกวาดเอาเศษผักที่หล่นๆ ไว้ไปกองไว้หน้าแผงของเธอด้วยความตั้งใจบ้าง
ไม่ตั้งใจบ้าง

หญิงชาวจีนคนนี้ได้แต่ยิ้มๆ ไม่คิดเอาเรื่อง แต่กลับกวาดเอากองขยะไปรวมไว้ที่
มุมหนึ่งของแผง เธอเอง จากนั้นจึงค่อยจัดการให้สะอาดเรียบร้อย ในแต่ละวัน

ข้างแผงของเธอ เป็นหญิงขายผักชาวเมกซิโก แอบสังเกตเธออยู่หลายวัน ทนไม่ไหว
จึงถามว่า “ใครๆ ก็กวาดเอาขยะมาไว้ที่เธอ ทำไมเธอไม่โกรธ”
หญิงชาวจีนหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่ประเทศของเราเวลาตรุษจีนขึ้นปีใหม่ ขยะจะ ไม่กวาด
ออก แต่จะกวาดเข้า ขยะยิ่งมากหมายถึง จะยิ่งมีเงินกำไรมากขึ้นอีก ยิ่งกว่านั้นในภาษาจีน
คำว่าผักกับทรัพย์สินเงินทองออกเสียงก็ใกล้เคียงกัน

菜อ่านว่า ไช่ แปลว่าผัก
财 อ่านว่า ไฉ แปลว่าทรัพย์สินเงินทอง
ทุกวันนี้มีคนส่งเงินทองมาให้ฉันทุกๆ วัน ฉันจะปฏิเสธไปไย คุณดูสิการค้าของฉันยิ่งมา
ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ”ตั้งแต่นั้นมาขยะไม่ปรากฏอีกเลย ปัญญาของหญิงชาวจีนผู้นี้ ทำให้ผู้คนต้อง
ยอมรับนับถือ ที่เธอสามารถแปรความโกรธ แปรการสบถ ให้เป็นคำอวยพรได้ แต่สิ่งที่ทำ
ให้ผู้คนนับถือเธอ มากกว่าก็คือ คุณธรรมดีงามในการปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความใจกว้างและ
มีเมตตาจิต เธอใช้ปัญญาอภัยผู้อื่น และสร้างความปรองดองในมนุษยสัมพันธ์ให้กับตัวเอง

สุภาษิตจีนพูดไว้ว่า
和气生财 “ปรองดองก่อเกิดทรัพย์”
การค้าของเธอยิ่งทำยิ่งดี หากเธอไม่เลือกใช้วิธีนี้ แต่กลับตาต่อตา ฟันต่อฟัน
จุดจบจะเป็นอย่างไร

ความจริงในหลายๆ ครั้ง ที่พวกเรามักจะกำกับการแสดงให้ตนเองจนต้องพบจุดจบเช่นว่า
โดยไม่รู้ตัว ใช้ความโกรธแทนเหตุผลและปัญญา ตาต่อตาฟันต่อฟัน มาไม้ไหนไปไม้นั้น

แก้แค้นกันไปมาไม่สิ้นสุด จนกระทั่งบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย การโกรธแล้วระบายออกนั้น
ง่ายนิดเดียว แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ไม่น้อยเลย เหมือนกับ การที่เราตัดต้นไม้ใหญ่ที่
ร่มครึ้มทิ้งไปเพียงเพื่อจะ ไล่อีกาที่ ส่งเสียงดังหนวกหู ได้ไม่คุ้มเสีย

บางคนขาดสติ ขาดปัญญา มีแต่อารมณ์ชั่ววูบ แก้ แค้นด้วยความโกรธ พอเกิด
ความเสียหายขึ้น จึงค่อยได้คิด และบ่นว่า รู้แบบนี้ไม่น่าทำเลย

จงมีสติ คิดก่อนแล้วค่อยลงมือทำ ผลคือนอกจาก จะชนะใจตนเองได้แล้ว
ยังสามารถที่จะชนะผู้อื่น ได้อีกด้วย
=========
อย่าทำชั่วตอบแทนชั่ว หรืออย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้าม จงอวยพร เพราะพระองค์
ได้ทรงเรียกให้พวกท่านทำเช่นนั้น เพื่อพวกท่านจะได้รับพระพร

1 เปโตร 3:9 THSV11
=========
ที่มา : Blog OK Nation โดยคุณกระเรียนป่า

Cr:เรื่องดีๆมีข้อคิด

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 22, 2025 8:19 pm
โดย rosa-lee
( 7 )
.
………………ห่ออาหารเหลือกลับบ้าน…………

เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีชื่อว่า จางซี แม่ของเขาเสียไป ตั้งแต่จางซียังเล็กๆ พ่อจึงทำงานหนักเลี้ยงดูเขา
มาจนโตเพียงลำพัง จางซีเห็นดังนั้นก็คิดไว้ในใจ มาตลอดว่าเขาจะต้องกตัญญูต่อพ่อให้มาก
พ่อของเขาเป็นคนประหยัด เพราะรู้ว่าการใช้ชีวิต ไม่ง่าย ทุกครั้งที่ไปกินอาหารข้างนอกแล้วกินไม่
หมดจะต้องห่อกลับบ้านเป็นประจำ แถมยังสอนลูกชายว่า : "ลูกเอ๊ย จำไว้นะว่าอย่ากินทิ้งกินขว้าง
ไม่อย่างนั้น วันนึงลูกจะโดนทำโทษให้ไม่มีอะไรกินเลย จางซีเองก็จำไว้จนขึ้นใจตั้งแต่เด็กๆ"

ผ่านไปแป๊ปเดียวจางซีก็อายุ 27 แล้ว เขาเรียน จบมหาวิทยาลัยและกำลังคบหากับแฟนสาวสวย
อาจจะเพราะตัวจางซีเอง ก็ได้รับอิทธิพลจากผู้ เป็นพ่อ เขาเป็นคนแต่งตัวธรรมดา บนร่างกาย
ไม่มีของแบรนด์เนมใด ๆ ดูเหมือนคนบ้านนอก ธรรมดาๆ คนนึง ทุกครั้งเวลามีคนพูดเรื่องนี้
เขาก็จะยิ้มๆ ให้ ไม่เอามาใส่ใจ พริบตาเดียวจางซีกับแฟนสาวก็คบกันมาได้ 4 ปี
แล้ว ทั้งสองคิดว่าถึงเวลาที่ควรคุยเรื่องแต่งงาน เสียที แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวของผู้หญิง
จะดูถูก จางซี คิดว่าเขาเป็นคนบ้านนอกที่ไม่มีอะไรคู่ควร กับลูกสาวตน ปกติเวลาเจอหน้ากัน
แม่ของแฟนก็แทบไม่เห็นเขาในสายตา แต่ครั้งนี้เป็นครอบครัวของแฟน
จางซีเองที่บอกว่าอยากเจอพ่อของเขาเอง ทำให้จางซีดีใจมาก เขารีบไปบอกพ่อ :
“พ่อครับ บ่ายนี้พ่อว่างมั้ย แม่ของแฟนผมอยาก เจอพ่อ เพื่อคุยเรื่องแต่งงานของเรา
นัดเจอกัน ที่โรงแรมหรู” พ่อได้ยินก็ตอบว่า : “แค่คุยกันเองไม่ใช่หรอ ทำไมต้องนัดเจอ
ในโรงแรมดีแบบนั้น เปลืองเงินเปล่าๆ” เนื่องจาก โรงแรมอยู่ใกล้บ้านของแฟนสาวมากกว่า
จางซีกับพ่อจึงไปถึงทีหลัง พอเข้าไปใน ห้องก็เห็นว่าห้องใหญ่เกินไป เห็นครอบครัวแฟน
สาวแต่งตัวมาอย่างดี ดูก็รู้ว่า เป็นคนมีเงิน แต่พอเห็นพ่อของจางซีใส่เสื้อแจ๊กเก็ต
สำหรับออกกำลังกายคลุมมาง่ายๆ ดูก็ รู้ว่าไม่มียี่ห้อ พอบ้านแฟนจางซีเห็น ก็มองด้วย
สายตาดูถูก ทำให้จางซีรู้สึกกระอักกระอ่วน หน้าก็เลยแดงขึ้นมา พ่อของเขานั่งยังไม่ทัน
จะนั่งดี แม่ของแฟนก็พูดว่า : "จะแต่งงานกันก็ได้ แต่ต้องซื้อบ้านขนาด 200ตารางเมตร
ในเมืองหนึ่งหลัง และสินสอด 5แสน" โดยไม่ต้องคิดพ่อของจางซีก็ตอบตกลง ทำให้
ครอบครัวของแฟนสาวเขาประหลาดใจมากคิด ว่าพ่อของจางซีโม้

จากนั้นพ่อของเขาก็พูดต่อว่า :
“จางซีเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องงานแต่งงาน ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องรบกวนบ้านคุณแล้ว”
“ไม่มีปัญหาอะไร ยังไงก็เป็นงานแต่งของลูกสาวฉัน แล้วพวกเราจะไปดูบ้านกันเมื่อไหร่ดี?”
ทางครอบครัวของแฟนสาวถาม พ่อของจางซี : “เมื่อไหร่ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้”
“งั้นโอเค ต้องขอโทษด้วยนะคะ เผอิญที่บ้านมี ธุระต้องไปก่อน มื้อนี้ให้ฉันเลี้ยงก็แล้วกัน
น่าจะหลายพันอยู่” แม่ของแฟนก็พูดขึ้น พ่อของจางซีเห็นอาหารเหลือเต็มโต๊ะ เขาเอง
ก็ไม่มีอารมณ์จะกิน ก็เลยเรียกพนักงานเสิร์ฟ เข้ามา “เอาอาหารใส่ถุงให้ด้วย”
ต่อหน้าครอบครัวของแฟนจางซี ตอนนั้นเองที่พวกเขามองด้วยสายตาดูถูก แล้ว
แม่ของเธอก็พูดว่า :
“ไม่มีเงินก็คือไม่มีเงินจะมาเสแสร้งว่ารวยทำไม พูดมาตั้งนานก็คงโม้ทั้งนั้น”
พูดจบก็สะบัดหน้าจะเดินออกไป ตอนนั้นเองที่ ประตูเปิดออก ผู้จัดการโรงแรมเดินเข้ามา :
“ท่านประธานทำไมจะมาไม่บอกผมสักคำ”
พ่อของจางซี :
“วันนี้นัดกันมาคุยเรื่องส่วนตัวน่ะ ไม่อยากรบกวนเธอ ไปก่อนนะ”แล้วพ่อของจางซีก็
เดินออกมาจากโรงแรมโดย ไม่หันกลับไปมองอีกเลย ได้แต่บอกจางซีว่า :
“รีบๆ เลิกกับแฟนคนนี้เลย ครอบครัวนี้เป็นคน แบบไหนกัน คนแบบนี้ใช้ไม่ได้
รวมถึงแฟนแกด้วย”
ที่แท้เพราะว่าตอนพ่อจางซีเล็กๆ มีอยู่ครั้งนึง เขาหิวมากแล้วก็ได้ข้าวจากขอทานช่วย
ประทังชีวิต เขาถึงได้รอดมาได้ พอถึงวันนี้แม้ว่าจะร่ำรวยก็ยังเป็นคนประหยัดเช่นเดิม!!

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนจนจะยิ่งจน เพราะทำตัวรวย
คนรวยจะยิ่งรวย เพราะทำตัวจน
คนรวยมักไม่อวด คนอวดมักไม่รวย!

Cr. ฉันว่าดี

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 22, 2025 8:43 pm
โดย rosa-lee
( 8 )


. อยู่มันไปตามเรื่องแบบคนแก่ ..."

... ในหนังสือ "ชรากถา" หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนในวัย 74 ปีว่า
"ความแตกต่างของคนหนุ่มกับคนแก่ แตกต่างกันตรงที่ คนหนุ่มนั้นไม่เคยแก่
แต่คนแก่นั้นเคยหนุ่มมาแล้ว ผมอาจจะมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง ก็ตรงที่ผมไม่ติดใจ
ในความเป็นหนุ่ม เมื่อยังหนุ่มก็หนุ่มเต็มที่
ครั้นเมื่อความหนุ่มผ่านพ้นไปก็ไม่อาลัยเสียดาย ยอมรับว่าชราและความแก่เต็มที่
เช่นเดียวกับที่เคยหนุ่มเต็มที่ (เมื่อคิดได้อย่างนี้)
ใจคอมันก็เบิกบานเหมือนกับเมื่อยังหนุ่มเต็มที่ ...และเมื่อรู้ว่าตัวแก่ก็ยอมรับว่าแก่
แล้วก็อยู่มันไปตามเรื่องแบบคนแก่ ไม่ตั้งกฎเกณฑ์จู้จี้กับคนอื่นหรือกับตนเอง
และไม่เรียกร้องอะไรจากคนอื่น ไม่กะเกณฑ์ให้คนอื่นต้องมาสนใจหรือคอยเอาใจ ...
เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆที่ตั้งเอาไว้ให้ตนเองปฎิบัติ หรือกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรอีก
มากมายนั้น พอแก่ต่อไปอีก มันก็จะปฏิบัติไม่ได้ เพราะแก่เกินไป ...
เมื่อปฏิบัติไม่ได้ก็จะเป็นกังวล หงุดหงิด และขมขื่น เพิ่มน้ำหนักแห่งทุกข์ให้กับตนเอง
ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่คนแก่จะทำเรื่องเหล่านั้นให้เกิดขึ้นมา ...
ผมจึงอยากเป็นคนแก่ที่อยู่ตามสบาย ยอมรับความแก่อย่างไม่เป็นกังวล
ความแก่นั้นทำให้ผมนุ่มนวลละมุนละไมกว่าแต่ก่อน เหมือนผลไม้สุกคาต้น
หมดความแข็งกระด้าง มุทะลุดุดันที่เคยมีมา หมดรสเปรี้ยว รสฝาด และหมดยาง"
อีกเรื่องหนึ่ง ...
"แก่ด้วยกัน" (กับหมา) "อยู่กันมาแต่ลืมตาเห็นชีวิต เข้าใกล้ชิดไม่เคยพรากจาก
ไปไหน ถึงสังขารเปลี่ยนแปรไปตามวัย จากลูกหมาเป็นหมาใหญ่ถึงวัยชรา
แต่จิตใจไม่แปรตามสังขาร ยังกล้าหาญจงรักสมศักดิ์หมา
ในยามทุกข์ ทุกข์ร่วมด้วยกันมา ในยามสุขปรีดาด้วยรู้ใจ ยามเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็ช่วยเฝ้า ยามนอนหลับใครจะเข้ามาไม่ได้ กินข้าวช้ามาเรียกด้วยห่วงใย
หากนอนดึกวอนให้เข้าหลับนอน..."

... คมคายทั้งคารมและความคิด หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช
...นำมาฝากเพื่อนนักอ่านทั้งที่ยังไม่แก่และกำลังจะแก่และแก่แล้ว
... คึกฤทธิ์_ปราโมช

Cr : ขอบคุณเจ้าของบทความ ภาพประกอบและขออนุญาตแบ่งปันค่ะ
https://board.postjung.com/board-4306

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 24, 2025 7:20 pm
โดย rosa-lee
. ( 9 )


Shake it off!
.
ผมเคยอ่านหนังสืออ้างถึงรายงานชิ้นหนึ่งว่า จากการศึกษาระบบสมองของมนุษย์เรา
พบว่า ความทรงจำดี ๆ กับความทรงจำแย่ ๆ จะแยกเก็บไว้ในคนละส่วนของสมอง และที่น่าสนใจ
ไปกว่านั้น ความทรงจำที่แย่ กลับใช้เนื้อที่ในการเก็บมากกว่าความทรงจำที่ดี จึงไม่น่าแปลกใจเลย
ที่เรามักจะจำเรื่องแย่ ๆ ได้นานกว่าเรื่องดี ๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำเงินหายไป 1000 บาท เราจะ
จำได้ดีกว่า ตอนที่หามาได้ 1000 บาทเสียอีก... น่าจะจริง!
. . . . .
.เมื่อครั้งผมทำงานที่อเมริกา - - เมโลดี้ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องชาวอเมริกัน เธอชอบร้องเพลง จึงได้รับ
หน้าที่“นักร้อง”ประจำเวทีในงานเลี้ยงของบริษัทเสมอ เธอเคยเล่าว่า พอลงจากเวที มีคนชมเธอเป็นร้อย
ทั้งจากพนักงานด้วยกัน และจากลูกค้าของบริษัท จนแทบจำไม่ได้ว่ามีใครชมบ้าง...
.
แต่เธอกลับจำเสียงหนึ่งได้ดีและแม่นยำชัดเจนมาถึงทุกวันนี้ – เสียงหนึ่งเดียวที่พูดเบา ๆ แต่ลอยมา
เข้าหูเธอว่า “เสียงบี้ยังกะชิพมังค์” (Chipmunk : ตัวการ์ตูนที่เป็นกระรอก)
.
แม้จะเป็นคำพูดแย่ ๆ แค่คนเดียว แต่มันกลับฝังติดในใจเธอมาหลายปี!
.
ผมเชื่อว่าหลายคนก็เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ - - เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งเคยเล่าเมื่อนานมาแล้วว่า
ครั้งหนึ่ง เขาเคยได้รับรางวัลจากการประกวดงานเขียน ขณะที่ใจฟู มีแรงเขียนงานต่อ กลับไปเห็น
คอมเม้นต์ของคนที่เขียนกระแนะกระแหนว่า "อย่างนี้ก็ได้รางวัล?" แค่ 6 คำแต่ฝังใจเขามาตลอด
จำได้นานกว่าคนที่เขียนชม 4-5 ประโยคเสียอีก! และนั่นทำให้เขาเขียนไม่ออกอยู่หลายปี!
.
ตอนที่เมโลดี้เล่าให้พวกเราฟัง... เพื่อนร่วมงานอาวุโสบอกว่า เป็นเรื่องปกติของชีวิต ใคร ๆ
ก็เคยเจอเรื่องแบบนี้ทั้งนั้น แล้วเขาก็สรุปสั้น ๆ ว่า
.
“Shake it off!” - -สลัดมันทิ้งไปเสีย ช่างมันเถอะ อย่าใส่ใจเลย
. . . . .
.ลาตัวหนึ่งพลัดหลงหายไป เจ้าของเดินตามหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบ จนในที่สุดเจอเงาตะคุ่มของมัน
อยู่ในบ่อน้ำร้าง มันคงเดินพลัดตกลงไป บ่อนั้นแคบ และลึกเกินกว่าที่เจ้าของจะช่วยมันขึ้นมาได้
เจ้าของเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นมันนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ก็เข้าใจว่ามันตายแล้ว ด้วย
ความเสียใจ เขาเลยตัดสินใจขนทรายมาถมบ่อน้ำนั้นเพื่อเป็นที่ฝังศพของมัน
.
เมื่อทรายตกลงมาบนไหล่ตามเนื้อตัวของลา มันสะดุ้งตื่น และพยายามสะบัดทรายออกจากหลัง
, จากไหล่ของมันทันที... ทรายตกลงมาครั้งใด มันก็สะบัดทิ้งไปทุกครั้ง จนเมื่อทรายกองหนาอยู่
เต็มพื้น มันก็เหยียบขึ้นไปยืนอยู่บนกองทรายนั้น...
.
เจ้าของลาขนทรายมาถมอย่างไม่หยุดยั้งจนมืดค่ำ ขณะที่เจ้าลาน้อยก็ยังคงสะบัดทรายตามเนื้อตัว
ทิ้งทุกครั้งอย่างไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน แล้วเหยียบขึ้นไปยืนบนกองทรายที่ค่อย ๆ พูนสูงขึ้นทุกที ๆ
ในที่สุด เจ้าลาน้อยก็โผล่พ้นขอบบ่อ และสามารถเดินออกมาเองได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางความ
ตกตะลึงระคนดีใจของเจ้าของ - -
.เจ้าลาน้อยกลับขึ้นมาได้ ก็เพราะใช้หลักการ “Shake it off”นั่นเอง สะบัดทรายออกทุกครั้งที่ตกลงมาใส่ - -
. . . . .
.เช่นเดียวกัน! หากครั้งต่อไป มีใครสาดคำพูดรกหู ความรู้สึกแย่ ๆ มาใส่เราอีก... อย่าปล่อยให้มัน
เป็นก้อนอิฐที่ก่อขอบบ่อขังเราไว้ - ให้จมอยู่ใต้บ่อแห่งความหมดหวังนั้น แต่จงเปลี่ยนมันให้เป็น
แค่เม็ดทรายที่ไม่ระคายผิว แล้ว Shake it off! สลัดมันทิ้งไปกองอยู่ที่พื้น- - เหยียบมันขึ้นไป
แทนที่จะให้กลบฝังเรา!
.
ปะการัง

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 24, 2025 7:40 pm
โดย rosa-lee
( 10 )


ส้ม 9 ลูก
มีผู้ใจดีซื้อส้มชั้นดีคัดพิเศษ 9 ลูก ราคา 45 บาท แล้วจากนั้นก็แจกให้กับคนกลุ่มหนึ่ง ...

ส้มผลแรก
อยู่กับขอทาน ขอทานผู้นั้นแกะทานแค่ครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ ขว้างทิ้งไป
อย่างไม่แยแส แล้วก็บ่นว่า " ทุเรศจัง ... ให้มาได้แค่ส้มผลเดียว "

ส้มผลที่สอง
อยู่กับลูกของผู้ใจดี ลูกของผู้ใจดีนั้นก็แกะทานทันที เมื่อทานหมดผลแล้ว ก็พูดว่า ...
" ส้มนี้อร่อยดีนะ "

ส้มผลที่สาม
อยู่กับแม่ของผู้ใจดี แม่ของผู้ใจดีนี้ นำส้มที่ได้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม แล้วแช่ตู้เย็นไว้
เมื่อกระหาย จึงนำมาดื่ม ... " แหมม..น้ำส้มนี้ชื่นใจดีจริง "

ส้มผลที่สี่
อยู่กับร้านขายของชำ เจ้าของร้านขายของชำก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะ
เกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่ เมื่อมีคนเดิน
ผ่านมาเปิดตู้แช่ แล้วหยิบน้ำส้มแก้วนั้นมาทานเมื่อทานเสร็จ ก็นำแก้วเปล่านั้นวางไว้ที่ตู้แช่ ...
" เท่าไหร่ครับ "
" 10 บาท ครับ "

ส้มผลที่ห้า
อยู่กับพ่อค้าน้ำผลไม้ พ่อค้าน้ำผลไม้ก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาล
หน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่ขวดพลาสติก แช่ไว้ในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น แล้วเดินเข็นจำหน่าย
ไปเรื่อยๆ มีคนหนึ่งเดินสวนมา เรียกให้หยุด เสร็จแล้วก็เปิดตู้น้ำแข็ง ก็ชี้เอาน้ำส้มขวดนั้น
คนขายหยิบ น้ำส้มขวดนั้น เปิดหยิบหลอดพลาสติกเสียบให้ หนึ่งหลอดแล้วส่งให้คนๆนั้น ...
" เท่าไหร่ครับ "
" 20 บาท ครับ " และคน ๆ นั้นก็ถือขวดพลาสติกบรรจุน้ำส้มนั้นเดินจากไป

ส้มผลที่หก
อยู่กับร้านอาหารแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำย่านลาดพร้าว เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้
ก็นำส้มผลนี้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้วแล้ว
แช่ไว้ในตู้เย็น วันนั้นมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา เจ้าของร้านจึงเชื้อเชิญ และหาที่นั่งให้
ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มแก้วหนึ่ง ค่ะ "
ฝ่ายชาย ... " กาแฟ ร้อน ครับ "
เจ้าของร้านจึงนำน้ำส้มที่คั้นไว้นำมาใส่แก้วใบใหม่ แก้วใบนี้มีลักษณะทรงสูง รอบๆ แก้ว
มีรูปหัวใจ ดวงเล็ก ๆ น่ารัก สีแดงติดอยู่ ภายในแก้วใบนั้นมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่ ตรง
ปลายหลอดนั้นงอได้ แต่เจ้าของร้านไม่ได้มาเสริฟเอง แต่มีเด็กเสริฟใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาว
กระโปรง สีดำมาเสริฟ แทน เมื่อทานเสร็จ ... เช็คบิล ...
น้ำส้มแก้วนี้ 50 บาท

ส้มผลที่เจ็ด
อยู่กับภัตตาคารแห่งหนึ่งแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งนี้ส้มผลนี้ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์
มือหนึ่งของร้าน น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี และในวันนั้น
มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้าภัตตาคารนั้นมา และมีความประสงค์ที่จะลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา
เพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งค่ะ " และแล้วน้ำส้มคั้นแก้ว
ที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น ถูกเสริฟโดย บริกรในชุดประจำร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านนั้น
แก้วที่ใช้เป็นทรงสูงมีก้านสำหรับจับ หลอดเป็นหลอดพลาสติกใสตรงปลายหลอดงอได้ สิ่งที่
โดดเด่น นั้นอยู่ตรงที่บริเวณขอบปากแก้วนั้น มีส้มที่ถูกฝานเป็นวงกลมเสียบอยู่ เมื่อเรือจะเข้าเทียบฝั่ง ...
สิ่งที่ปรากฎในบิลนั้น ... 100 บาท
เป็นราคาของน้ำส้มแก้วนี้

ส้มผลที่แปด
อยู่กับคลับเฮาซ์สุดหรูย่านปทุมธานี และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้นเหมือนกัน
ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และเก็บรักษาไว้ในตู้แช่
อย่างดีเช่นเดียวกัน ในค่ำคืนนั้นมีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็สั่ง ...
" น้ำส้มคั้นหนึ่ง " ... น้ำส้มคั้นแก้วนี้ถูกเสริฟโดยบริกรหนุ่มหน้าตาคมสันคนหนึ่ง
มาในชุดทักซิโดที่ตัดด้วยผ้ามูนอย่างดี สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของบริกรหนุ่มคนนั้นคือ ถาดสีเงิน
บนถาดนั้นมีแก้วน้ำส้มคั้นตั้งอยู่ แก้วที่บรรจุน้ำส้มคั้นใบนี้ ป็นแก้วคริสตัลทรงสูงเจียรนัยอย่างดี
เป็นแก้วที่สั่งทำเป็นพิเศษตรงขอบปากแก้ว มีส้มกลีบหนึ่งที่ถูกแกะสลักเป็น รูปนกตัวหนึ่งเกาะ
(เสียบ)อยู่ที่ปากแก้วนั้น หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส บนถาดใบนั้นที่มาพร้อมแก้วคริสตัล
มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย ... 300 บาท. ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป

ส้มผลที่เก้า
อยู่กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็น
น้ำส้มคั้น เหมือนกัน ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และ
เก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี ค่ำคืนนี้ ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับหนุ่มสาวชาวต่า
งประเทศคู่หนึ่ง ที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ดินเนอร์ เนื่องในโอกาสฉลองสมรส และเลือก
เมืองไทยเป็นที่ฮันนีมูน เมื่อหาที่นั่งในห้องอาหารแห่งนี้ได้แล้ว ณ มุมมองตรงนั้น สามารถมอ
งเห็นทิวทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจน ตลอดจนสายน้ำที่ทอดยาวของลำน้ำเจ้าพระยา
เมื่อทอดสายตามองยาวออกไป จะมองเห็นสะพานแขวนที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่าง
สวยงาม นี่หลังจากพักผ่อนอิริยาบทสักพักหนึ่งแล้ว ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า
... " Orangeade " ...
และฝ่ายชายว่า ... " American Expresso " ...
สักพักบริกรที่อยู่ในชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นท่านนั้นกลับมา พร้อมกับกาแฟร้อน และ
น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง แก้วนั้นเป็นแก้วคริสตัลอย่างดี ตรงฐานแก้ว และขอบปากแก้วเคลือบด้วย
ทอง 18 เค ถัดจากฐานรองแก้วตรงขอบที่เคลือบทองขึ้นมา และถัดจากขอบที่เคลือบทองที่
ปากแก้วลงมาถูกเจียรนัยตกแต่งอย่างดี เมื่อแสงไฟตกกระทบถูกแก้วเจียรนัยใบนี้จะเป็น
ประกายแวววับ ยิ่งภายในใช้บรรจุน้ำส้มคั้นด้วยแล้วยิ่งทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ตรงกลาง
ของแก้วใบนี้ มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่ เป็นเคลือบทอง 18 เค เช่นเดียวกัน
หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า
" ช้างเผือก " เสียบอยู่ เมื่อแสงไฟที่เป็นหลอด Black Light ส่องมากระทบกับ " ช้างเผือก " ดอกนี้
จะเกิดเป็นสีขาวเรือง ๆ ขึ้นมาอย่างสวยงาม บริกรโค้งคำนับก่อนที่จะเสริฟ และโค้งคำนับเมื่อเสริฟ
เสร็จแล้ว
หลังจากที่หนุ่มสาวคู่นี้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้พอสมควรแล้ว ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรขึ้นว่า ...
" Cash Please " บริกรโค้งคำนับ ก่อนที่จะเดินไปที่แคชเชียร์ Ticket ที่ออกมา ... Orangeade 500 Baht ...

ส้มเหมือนกัน ราคาโดยเฉลี่ยแล้วผลละ 5 บาทเหมือนกัน อาจจะเป็นพันธุ์เดียวกัน ต้นเดียวกัน
อยู่กิ่งก้านเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่ช่อเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ทำไมมูลค่าของส้มถึงต่างกันมากมาย
หรือว่าเป็นเพราะเวลาและสถานที่ต่างกัน

ครับ ... ช่วงเวลา สถานการณ์ และสถานที่ที่ต่างกันนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดมูลค่าของส้ม และ
... ของตัวคุณเอง !!!!

บ่อยครั้งที่เราเคยท้อแท้กับงาน การตกงาน คนรอบข้าง ครอบครัว หรือแม้กระทั่ง กับ
ตัวเราเอง แต่อยากจะบอกว่า ... ขอให้อดทนเพราะช่วงเวลานี้ ... มันไม่ใช่ของเรา

ส้มนั้นถูกคนเป็นผู้กำหนดจนทำให้มีมูลค่าแบบนั้น แล้วทำไมเราไม่กำหนดมูลค่าของตัวเรา
ขึ้นมาบ้างหละ ณ วันนี้เราอาจจะมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของส้มที่ขอทานกินแล้วโยนทิ้งไป
แต่เชื่อแน่ว่า หากเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ทางเดินเส้นนี้เราได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินแล้ว

จงตั้งมั่นและก้าวต่อไป อดทนเพื่อรอเวลาของเรา
ไม่แน่นะว่า มูลค่าของเราอาจจะมากมายเกินกว่าที่เราจะคาดคิดก็เป็นได้

………เพื่อนในเฟชบุ๊คส่งมา………

Re: บทความที่น่าสนใจ ( 2 )

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2025 9:44 pm
โดย rosa-lee
. ( 11 )

เหตุการณ์เมื่อปี 2019 ในจังหวัดโอกินาวะ ที่กลายเป็นเรื่องราวที่ได้บรรจุลงในหนังสือเรียน...

🌺 เมษายน 2019 เมืองนาฮะ จังหวัดโอกินาวะ
คุณหมอฮิโรชิ อิโนยะ (68 ปี) ศัลยแพทย์ระบบประสาท บ้านเกิดอยู่จังหวัดโอกินาวะ แต่ทำงาน
อยู่ในโรงพยาบาลที่ไซตามะ เขายังคงเดินทางไปโอกินาวะเดือนละครั้งเพื่อติดตามอาการของ
ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัด

🌺 วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟโมโนเรล เขาเห็นเด็กนักเรียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังหาของอะไรบางอย่าง
เมื่อลองถามดู จึงได้รู้ว่าเขาทำกระเป๋าสตางค์หาย และต้องขึ้นเครื่องไปยังเกาะโยนากุนิ เพื่อไปร่วม
งานศพของลุง เที่ยวบินไปเกาะโยนากุนิมีน้อย และชายหนุ่มดูท่าทางลำบากจริงๆ คุณหมอจึงถามว่า
เขาต้องใช้เงินเท่าไหร่ คำตอบคือ 60,000 เยน คุณหมอจึงให้เงินไป

🌺 แม้จะช่วยไปแล้ว แต่คุณหมอรู้สึกติดใจกับจำนวนเงินที่ค่อนข้างเยอะ เมื่อกลับโรงพยาบาลที่ไซตามะ
แล้วเล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คงถูกหลอกแล้วละ” คุณหมอเริ่มคิดว่าเขา
โดนหลอกจริงๆ แต่เหตุผลที่เขาช่วยชายหนุ่มคนนี้ เพราะเหตุการณ์ในอดีต

🌺 ความทรงจำที่เปลี่ยนชีวิต
เมื่อตอนยังหนุ่ม คุณหมอเคยเล่นสกีที่ต่างประเทศแล้วพลัดตกจากลิฟต์ได้รับบาดเจ็บ เดินไม่ได้ หิมะ
ตกหนักจนใกล้จะหลงป่า ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งมาช่วยไว้ คุณหมอเอ่ยขอบคุณ แต่ชายคนนั้นกลับ
พูดภาษาฝรั่งเศสว่า “ไม่เป็นไร” แล้วจากไป

จากเหตุการณ์นั้น จึงตั้งปณิธานจะเป็นหมอที่ช่วยเหลือชีวิตคนให้ได้มากที่สุด จนปัจจุบันเขาทำการ
ผ่าตัดมากกว่า 300 ครั้งต่อปี เขาเชื่อว่าตัวเองมองคนออก และเด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีท่าทีโกหกเลย

🌺 เมื่อความจริงปรากฏ
1 เดือนหลังจากนั้น เพื่อนร่วมงานของคุณหมอมาบอกว่า “เด็กคนนั้นออกข่าวแล้วนะครับ!”

เด็กหนุ่มชื่อ ซากิโมโตะ โซมะ (17 ปี) นักเรียนโรงเรียนเทคนิคโอกินาวะ เกิดและโตที่เกาะโยนากุนิ
ครอบครัวทำฟาร์มวัวและเขาช่วยงานฟาร์มมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะกับคุณลุง เมื่อรู้ข่าวว่าคุณลุงที่
เขารักเสียชีวิต เขาขออาจารย์ลาหยุด และถอนเงิน 60,000 เยนที่พ่อส่งมาให้ใส่กระเป๋าไว้ เดินทาง
จากหอพักเพื่อจะไปสนามบิน แต่กลับพบว่ากระเป๋าสตางค์หายไปแล้ว

🌺 หลังได้รับเงินจากชายแปลกหน้า เขารีบซื้อตั๋วเครื่องบินและบินไปร่วมพิธีศพได้ทัน หลังงานศพ
เขาถึงรู้ตัวว่าไม่ได้ถามชื่อหรือช่องทางติดต่อของผู้มีพระคุณไว้เลย จึงเล่าให้พ่อฟัง พ่อก็สั่งว่า
“ยังไงก็ต้องคืนเงินให้ได้”

🌺 ตามหาผู้มีพระคุณ
พ่อของซากิโมโตะได้ปรึกษากับอาจารย์ที่โรงเรียน และอาจารย์ก็ติดต่อกับสำนักข่าวท้องถิ่นเพื่อ
ช่วยตามหาชายผู้มีพระคุณ ในข่าวเขียนไว้ว่า “ผมรู้สึกดีใจและโล่งใจ แต่เพราะเวลาจำกัดจึงกล่าว
ขอบคุณแค่สั้นๆ แล้วรีบวิ่งไปขึ้นเครื่อง ผมต้องขอโทษจากใจจริง ขอบคุณที่ทำให้ไปทันพิธีศพ
อยากส่งของขวัญเป็นที่ทับกระดาษที่ทำเองในชั้นเรียน และขอคืนเงิน 60,000 เยนครับ”

เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ได้โกหก คุณหมออิโนยะก็รู้สึกดีใจมากที่ได้ช่วยเขาไว้

🌺 หนึ่งเดือนต่อมา
คุณหมอเดินทางไปโอกินาวะ และได้พบกับซากิโมโตะอีกครั้งที่โรงเรียน เงิน 6 หมื่นเยนถูก
ส่งคืนเรียบร้อย พร้อมกับที่ทับกระดาษ ส่วนคุณหมอก็ซื้อกระเป๋าสตางค์ใบใหม่ให้ซากิโมโตะด้วย
พร้อมกับบอกว่า "อย่าทำหายอีกนะ"

ยิ่งไปกว่านั้น กระเป๋าสตางค์ของซากิโมโตะก็มีคนเก็บได้และส่งคืน พร้อมเงินข้างในครบถ้วน

🌺 คุณหมอบอกว่า “ดีใจมากที่เชื่อใจเขาแล้วไม่ผิดหวัง” ส่วนซากิโมโตะนั้น “รู้สึกโล่งใจและ
อบอุ่นใจมาก ดีใจที่ได้ขอบคุณท่านด้วยตัวเอง ผมอยากใช้ ประสบการณ์ครั้งนี้สอนตัวเอง เพื่อจะ
ได้เป็นผู้ใหญ่ที่แบ่งปันความเมตตาแบบเดียวกันให้คนอื่นได้ในอนาคต”

🌺 5 ปีผ่านไป
เรื่องราวของทั้งคู่ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือเรียนจริยธรรมท้องถิ่นของโอกินาวะ
ชื่อเรื่องว่า “สายสัมพันธ์ 6 หมื่นเยน”