บทความพิเศษ
ศัลยา ประชาชาติ
เจาะเซฟ โฆษกเอกตระกูลชิน "สุวรรณ วลัยเสถียร"รวยเฉียด 1,000 ล. เสียภาษีจิ๊บจ๊อย
ในการขายหุ้นชินคอร์ป 49.56% ของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ให้แก่กลุ่มเทมาเส็กจากสิงคโปร์ ด้วยมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท โดยไม่เสียภาษีสักบาท มิใช่แค่ทำให้พ่อ นายพานทองแท้ และ นางสาวพิณทองทา ชินวัตร โดนถล่มอย่างหนักอยู่ในขณะนี้เพียงรายเดียว
หากแต่ว่า นายสุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกเอกตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็โดนอาฟเตอร์ช็อ8ไปด้วย
ทั้งนี้ ในวันแถลงข่าวซื้อขายหุ้นบิ๊กลอต นายสุวรรณปรากฏตัวครั้งแรกนั่งขนาบข้างผู้บริหารกลุ่มชินคอร์ปบนเวที
ต่อมาเมื่อการขายหุ้นสร้างความคลางแคลงใจให้แก่สาธารณชนจากกรณีการโอนหุ้นชินคอร์ป 32.9 ล้านหุ้นไปให้ บริษัท แอมเพิลริช ที่จัดตั้งโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2542 แล้วโอนกลับมาให้ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ นางสาวพิณทองทา ชินวัตร ก่อนขายให้เทมาเส็ก ทำไมไม่เสียภาษี นายสุวรรณรับหน้าที่เป็นโฆษกแถลงข่าวแก้ต่างอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทว่าครั้งนี้สาธารณชนเพิ่มความคลางแคลงใจมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะข้ออ้างที่ว่าการขายหุ้นครั้งนี้ได้รายงานให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทราบแล้ว และ ก.ล.ต. รู้เรื่องมาตลอด แต่ถูก ก.ล.ต. สวนทันควันว่ายังไม่ได้รับรายงาน
และเมื่อนักข่าวตั้งคำถามในเรื่องจริยธรรม นายสุวรรณตอบตามบทว่ามิได้รับมอบหมายให้มาชี้แจงเรื่องจริยธรรม
คำตอบดังกล่าวทำให้ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์เสียหายอย่างหนัก
ในช่วงที่ผ่านมา นายสุวรรณได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวางแผนการเสียภาษี มีดีกรีทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด จบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย จอร์จวอชิงตัน เคยเป็นที่ปรึกษากฏหมายให้เสี่ย เจริญ วัฒนภักดี
ความสัมพันธ์กับนายกฯ นายสุวรรณรู้จักกับ พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่ก่อนปล่อยดาวเทียมไทยคม 1 จึงถูกชักชวนให้มาเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
ตอน พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ สมัยแรก ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อพ้นตำแหน่งกลับมารับเป็นที่ปรึกษากฎหมายอย่างเดิม ชี้ช่องทางการเสียภาษีให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง
แม้กระทั่งบริษัทเบียร์ช้างของเสี่ย เจริญ สิริวัฒนภักดี ก็รู้จักและใช้บริการจากเขามากว่า 20 ปี
"วันที่ผมไปลาท่านนายกฯ ผมเรียนท่านว่ามีอะไรจะใช้ผมก็ได้ ท่านอดิศัย (โพธารามิก) หรือท่านสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) จะใช้อะไรผมก็ได้"
ทางด้านฐานะทางการเงิน นายสุวรรณได้ชื่อว่ารวยระดับพันล้าน
ทั้งนี้ ตอนเป็นรัฐมนตรีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว นายสุวรรณแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีทรัพย์สิน 557.4 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 1 ล้านบาท เงินฝาก 1.5 ล้านบาท เงินลงทุนทหลักทรัพย์และตราสารหนี้ 276.9 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 115.4 ล้านบาท ที่ดิน 12 แปลง 121 ล้านบาท บ้านอาศัย 2 หลัง 35 ล้านบาท รถยนต์ 3 คัน 5.8 ล้านบาท
นางดวงใจ วลัยเสถียร ภรรยา มีทรัพย์สิน 121.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝาก 5 หมื่นบาท เงินฝาก 1.9 หมื่นบาท เงินลงทุน 94.6 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 6.7 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น 20.1 ล้านบาท
รวมสองคนมีทรัพย์สิน 679.2 ล้านบาท
จากการตรวจสอบรายการเสียภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด. 90) ของนายสุวรรณ แจ้งว่าในรอบปี 2543 มีรายได้รวม 6,311,055 บาท คู่สมรส มีรายได้ 2,121,560 บาท เฉพาะนายสุวรรณต้องเสียภาษีเพิ่ม 430,399 บาท
นายสุวรรณเป็นรัฐมนตรีได้ 1 ปีกับ 7 เดือน ตอนพ้นตำแหน่ง วันที่ 3 ตุลาคม 2545 นายสุวรรณแจ้ง ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สิน 554.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 1.2 ล้านบาท เงินฝาก 1.2 ล้านบาท หลักทรัพย์ 276.9 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 115 ล้านบาท ที่ดิน 12 แปลง 121.7 ล้านบาท บ้านอาศัย 2 หลัง 35 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน 3.5 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
นางดวงใจ มีทรัพย์สิน 143.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 4 แสนบาท เงินฝาก 1.4 ล้านบาท หลักทรัพย์ 114 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 6.7 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น 20.5 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
ในรายการเสียภาษีเงินได้ของนายสุวรรณระบุว่ามีรายได้รวม 2,951,646 บาท ชำระภาษีเพิ่ม 154,487 บาท คู่สมรสมีเงินได้ 2,055,810 บาท ชำระภาษีเพิ่ม 17,850 บาท
ตอนพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีวันที่ 2 ตุลาคม 2546 นายสุวรรณแจ้ง ป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สิน 634 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินสด 1.2 ล้านบาท เงินฝาก 3.3 ล้านบาท หลักทรัพย์และเงินลงทุน 354.8 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 115.4 ล้านบาท ที่ดิน 121.7 ล้านบาท บ้านอาศัย 2 หลัง 35 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน 2.5 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
ขณะที่นางดวงใจมีทรัพย์สิน 146.3 ล้านบาท เงินสด 4 แสนบาท เงินฝาก 3.1 ล้านบาท เงินลงทุนและหลักทรัพย์ 115.4 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม 6.7 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น 20 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
ในรายการเสียภาษีเงินได้นายสุวรรณระบุว่ามีรายได้หักค่าใช้จ่าย 2,771,400 บาท คู่สมรส 2,577,413 บาท นายสุวรรณต้องชำระภาษีเพิ่ม 288,400 บาท
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบทรัพย์สินของนายสุวรรณและภรรยาที่แจ้ง ป.ป.ช. ไว้ตอนเข้ารับตำแหน่งวันที่ 12 กุมภาพันธุ์ 2544 จำนวน 679.2 ล้านบาท กับตอนพ้นตำแหน่ง วันที่ 3 ตุลาคม 2545 จำนวน 698.8 ล้านบาท เท่ากับมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 19.6 ล้านบาท
ถ้าเปรียบเทียบตอนพ้นตำแหน่ง กับ ตอนพ้นตำแหน่งแล้ว 1 ปี จำนวน 780 ล้านบาท นายสุวรรณและภรรยามีทรัพย์สินเพิ่ม 82 ล้านบาท ถือว่ามาก
และถ้าเปรียบเทียบตอนเข้าตำแหน่งกับตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี ชั่วเวลาเพียงปีเศษปรากฏว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 101 ล้านบาท ถือว่าไม่ธรรมดา
ภรรยานายสุวรรณไม่ชอบซื้อรถยนต์ แต่ชอบสะสมเครื่องเพชร เพราะรถยนต์มีแต่เสื่อมราคา
ในช่วงเวลา 1 ปีกับ 7 เดือนที่รับตำแหน่งรัฐมนตรี นายสุวรรณต้องสูญเสียรายได้เดือนละหลายสิบล้านบาท เพื่อรับเงินเดือนเพียงไม่กี่หมื่นบาท
ปัจจุบันนายสุวรรณใช้บ้านบนเนื้อที่ 200 ตารางวาบนถนนสุขุมวิทเป็นสำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย ใช้ติดต่อธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้านบาท
ที่เยี่ยมยอดก็คือออฟฟิศของเขาจ้างพนักงานประจำเพียง 5-6 คน ไม่มีป้ายบอกชื่อสำนักงาน เพื่อไม่ต้องเสียภาษีป้าย
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly ... &search=no