ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
พุทธรับเถ้าก็ด้วยนะคะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
นอกจากอดภายนอกแล้ว
LL อยากรณรงค์ให้อดภายในด้วยคะ
คือ ไม่ใช่แค่อดเนื้อ อดอาหาร
แต่อยากให้งดทำบาป แล้วทำบุญด้วย *no1
LL อยากรณรงค์ให้อดภายในด้วยคะ
คือ ไม่ใช่แค่อดเนื้อ อดอาหาร
แต่อยากให้งดทำบาป แล้วทำบุญด้วย *no1
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
coolmoon เขียน: อายุ 14 เอง
แต่ให้อดเนื้อสัตว์คงไม่ได้อ่า
(เพราะว่ามัน... มันไม่มีสลัดขาย :-\ )
สงสัยคงต้องอดอาหารเลย
กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เนื้อ แล้วใส่แต่ผักแทนสิจ๊ะ
กลัวว่าน้ำซุบที่เค้าใส่จะมีเศษเนื้อติดมาอะครับ -O-~@Little lamb@~ เขียน:coolmoon เขียน: อายุ 14 เอง
แต่ให้อดเนื้อสัตว์คงไม่ได้อ่า
(เพราะว่ามัน... มันไม่มีสลัดขาย :-\ )
สงสัยคงต้องอดอาหารเลย
กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เนื้อ แล้วใส่แต่ผักแทนสิจ๊ะ
รับเถ้าคืออะไรคับ วันศุกร์ เขาทำอะไรกัน แต่ที่ผมเข้าใจเขางดเนื้อปลา อธิบายแก่คนโข่งอย่างผมที
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
น้ำซุปไม่เป็นไรหรอกคะ เรื่องเศษเนื้อcoolmoon เขียน:กลัวว่าน้ำซุบที่เค้าใส่จะมีเศษเนื้อติดมาอะครับ -O-~@Little lamb@~ เขียน:coolmoon เขียน: อายุ 14 เอง
แต่ให้อดเนื้อสัตว์คงไม่ได้อ่า
(เพราะว่ามัน... มันไม่มีสลัดขาย :-\ )
สงสัยคงต้องอดอาหารเลย
กินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เนื้อ แล้วใส่แต่ผักแทนสิจ๊ะ
ถ้านิด ๆ หน่อย ๆ มันเขี่ยได้แย่แล้วคะ พี่ทำบ่อย *no1
++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้อกำหนดของพระศาสนจักรว่าด้วยเรื่อง การจำศีลในเทศกาลมหาพรต
เพื่อพี่น้องจะได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามจิตตารม ณ์ของเทศกาลมหาพรต ดังนั้นขอให้พี่น้องได้ปฎิบัติตามจิตตารมณ์ของพระศาสนจักรดังต่อไปนี้
1. ตามบัญญัติของพระเป็นเจ้า คริสตชนทุกคนต้องชดเชยใช้โทษบาปของตนตามวิธีการของแต่ละคน และเพื่อการปฎิบัติร่วมกัน จึงได้กำหนดวันชดเชยใช้โษบาปซึ่งคริสตชนจะได้สวดภาวนาปฎิบัติกิจเมตตาปรานีและความรั กเป็นพิเศษ เสียสละตนเอง และทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์ (ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร มาตรา 1249)
2. ทุกวันศุกร์ตลอดปี และทุกวันในเทศกาลมหาพรต เป็นวันพลีกรรมในพระศาสนจักรทั่วไป (ม. 1250)
3. ทุกวันศุกรตลอดปี ยกเว้นวันฉลองใหญ่ เป็นวันอดเนื้อหรืออาหารอื่นตามข้อกำหนดของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย วันพุธรับเถ้าและวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันอดเนื้อและอดอาหาร (ม. 1251)
4. คริสตชนทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ต้องอดเนื้อ คริสตชนทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป จนถึง 59 ปีบริบูรณ์ ต้องอดอาหาร
เป็นหน้าที่ของผู้อภิบาลและบิดามารดาที่จะต้องอบรมผู้น้อยที่ยัง ไม่ต้องถือกฎการอดเนื้อและอดหารให้เข้าใจจิตตารมณ์ของการพลีกรรม(ม. 1252)
สำหรับประเทศไทย อาศัยอำนาจตามมาตรา 1253 ของกฎหมายพระศาสนจักร สภาพระสังฆราชฯ จึงกำหนดวิธีการอดเนื้อและอดอาหารดังต่อไปนี้
---------------
การอดเนื้อ
ผู้ที่ได้ปฎิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามกำหนดนี้ ถือว่าได้ถือตามกฎการอดเนื้อ คือ
ก. อดเนื้อ
ข. ปฎิบัติกิจศรัทธานอกเหนือไปจากที่เคยปฎิบัติ อาทิ เดินรูป 14 ภาค เฝ้าศีลมหาสนิท สวดสายประคำ ฯลฯ
ค. ปฎิบัติกิจเมตตาปรานี เช่น ให้ทานคนจน เยี่ยมคนเจ็บป่วย ฯลฯ
ง. งดเว้นอาหารหรือสิ่งที่เคยปฎิบัติเป็นประจำ อาทิ งดดื่มสุราและเบียร์ งดสูบบุหรี่
จ. รู้จักอดออมและละเว้นความฟุ้งเฟ้อต่าง ๆ
--------------------------------
การอดอาหาร
หมายถึงการรับ ประทานอาหารอิ่มเพียงมื้อเดียว
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ก.พ. 26, 2006 11:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Nong เขียน: นี่ๆ แล้วรับเถ้าวันพุธ เหมือนกับการอดเนื้อวันศูกร์ปะคับ งง อ่านไม่ค่อยเข้าใจงะ >:( ???
;D ;D เหมือนจ๊ะ ว่าแต่งงตรงไหนหล่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เพราะในวันพุธนั้น เราจะมีการโปรยเถ้าด้วยคะ
เป็นทำเนียบที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณ
เป็นสัญลักษณ์ให้เราละทิ้งบาป กลับใจ
โดยละลึกถึงว่า เราเกิดจากดิน และ จะกลับการเป็นดิน
เวลาคุณพ่อโปรยเถ้า คุณพ่อจะพูดประมาณว่า
"เจ้าเกิดจากดิน และจะกลับกลายเป็นดิน"
หรือ
"จงกลับใจใช้โทษบาป และเชื่อข่าวดีเถิด"
อะไรประมาณนี้คะ
ทำกันปีละครั้ง :D
เป็นทำเนียบที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณ
เป็นสัญลักษณ์ให้เราละทิ้งบาป กลับใจ
โดยละลึกถึงว่า เราเกิดจากดิน และ จะกลับการเป็นดิน
เวลาคุณพ่อโปรยเถ้า คุณพ่อจะพูดประมาณว่า
"เจ้าเกิดจากดิน และจะกลับกลายเป็นดิน"
หรือ
"จงกลับใจใช้โทษบาป และเชื่อข่าวดีเถิด"
อะไรประมาณนี้คะ
ทำกันปีละครั้ง :D
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 27, 2006 2:41 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 659
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 10, 2005 2:01 pm
- ที่อยู่: I believe in God...
บางทีดันลืมว่าเป็นวันศุกร์ เผลอกินไปอ่าครับ แล้วก็บางทีกำลังจาเอาใส่ปากนึกได้ เอาไปให้เพื่อนกินแทนเลยเพราะว่าทิ้งก็เสียดาย+โดนด่า
เมื่อก่อนนี้ทุกวันศุกร์ต้องอดเนื้อ :-X
แต่ภายหลังก็ยังคงกฏข้อนี้เฉพาะวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และ วันพุธรับเถ้า
Because
เด็กฝรั่งจะตั้งตาคอยวันศุกร์เลย
เพราะจะมีอาหารเมนูปลาเป็นอาหารพิเศษ :P :P
ในยุโรปบางประเทศ ขนาดลงทุนขุดบ่อเลี้ยงปลาขนาดเป็นร้อยๆไร่
เพื่อจับปลาส่งขาย เพื่อเมนูปลาวันศุกร์
แปลว่าแทนที่จะได้อดอาหารเพื่อพลีกรรม :'(
กลับเป็นได้กินอาหารอย่างดีไปเสียนี้ :P :P
แต่ภายหลังก็ยังคงกฏข้อนี้เฉพาะวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และ วันพุธรับเถ้า
Because
เด็กฝรั่งจะตั้งตาคอยวันศุกร์เลย
เพราะจะมีอาหารเมนูปลาเป็นอาหารพิเศษ :P :P
ในยุโรปบางประเทศ ขนาดลงทุนขุดบ่อเลี้ยงปลาขนาดเป็นร้อยๆไร่
เพื่อจับปลาส่งขาย เพื่อเมนูปลาวันศุกร์
แปลว่าแทนที่จะได้อดอาหารเพื่อพลีกรรม :'(
กลับเป็นได้กินอาหารอย่างดีไปเสียนี้ :P :P
แม่พระประจักษ์ที่เมจจูกอเรจ ขอร้องให้คริสตชนรื้อฟื้นการถือศีลอด โดยแม่ขอให้อดทุกวันศุกร์และวันพุธ โดยแต่ละมื้อ คือขนมปัง2แผ่นและน้ำเปล่าเท่านั้นครับ และแม่พระยังขอให้การทำพลีกรรมนี้ เพื่ออธิษฐานภาวนาให้คนบาปได้กลับใจและสันติภาพของโลก และคนที่นั่นเขายังทำกันอยู่จนปัจจุบัน(แม่พระยังประจักษ์ที่นั่นอยู่และประทานสารทุกเดือนจนปัจจุบันเช่นกัน) พระคุณเจ้าเทียนชัย เล่าให้ฟังว่าท่านเคยไปที่นั่นขนาดท่านเป็นคนต่างถิ่นก็ต้องอดอาหารไปกับเขาด้วย เพราะวันพุธและศุกร์ที่นั่นเขาไม่ทำกับข้าวอื่น บนโต้ะมีแต่ขนมปังเปล่าๆกับน้ำเปล่าเท่านั้น
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าที่เมจจูกอเรจเป็นการอดอาหารอธิษฐานเพื่อโลกที่มีพลังที่สุดในโลกก็ว่าได้
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าที่เมจจูกอเรจเป็นการอดอาหารอธิษฐานเพื่อโลกที่มีพลังที่สุดในโลกก็ว่าได้
การจำศีลอดอาหารก่อให้เกิดผลดีหลายประการ
1. ช่วยให้เราเป็นนายเหนือตัวเองและเหนือสิ่งอื่น ๆ การปฏิเสธอาหารหรือสิ่งที่ตนเองชอบเป็นการเสริมสร้างวินัยของตนเองให้เข้มแข็ง ทำให้เราไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งของภายนอกจนกลายเป็นว่าพวกมันเป็นนายเหนือตัวเรา หาใช่เราเป็นนายเหนือพวกมันไม่
2. ช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ดังตัวอย่างเรื่องบ้าน เราจะเห็นคุณค่าบ้านของเราดีขึ้นมากก็ต่อเมื่อเราจากบ้านไปสักระยะหนึ่ง เช่นเดียวกัน สิ่งที่อำนวยความสะดวกหรือทำให้เราสนุกสนานชื่นชมยินดีจะยิ่งมีคุณค่าเพิ่มพูนมากขึ้น หากเรารู้จักปฏิเสธหรืองดเว้นพวกมันบ้างเป็นครั้งคราว
จากเว็บไซท์ของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
http://www.thaicatholicbible.com/
1. ช่วยให้เราเป็นนายเหนือตัวเองและเหนือสิ่งอื่น ๆ การปฏิเสธอาหารหรือสิ่งที่ตนเองชอบเป็นการเสริมสร้างวินัยของตนเองให้เข้มแข็ง ทำให้เราไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งของภายนอกจนกลายเป็นว่าพวกมันเป็นนายเหนือตัวเรา หาใช่เราเป็นนายเหนือพวกมันไม่
2. ช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ดังตัวอย่างเรื่องบ้าน เราจะเห็นคุณค่าบ้านของเราดีขึ้นมากก็ต่อเมื่อเราจากบ้านไปสักระยะหนึ่ง เช่นเดียวกัน สิ่งที่อำนวยความสะดวกหรือทำให้เราสนุกสนานชื่นชมยินดีจะยิ่งมีคุณค่าเพิ่มพูนมากขึ้น หากเรารู้จักปฏิเสธหรืองดเว้นพวกมันบ้างเป็นครั้งคราว
จากเว็บไซท์ของคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
http://www.thaicatholicbible.com/
40 วันก่อนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เราคาทอลิกเรียกว่า "เทศกาลมหาพรต"
เทศกาลมหาพรต" มีชื่อเป็นภาษาลาตินว่า "Quadragesima" ซึ่งแปลว่า "ที่สี่สิบ" (ภาษาอังกฤษเรียกเทศกาลนี้ว่า "Lent")
คือช่วงเวลาที่เริ่มตั้งแต่ "วันพุธรับเถ้า (Ash Wednesday)" ไปจนถึง "ช่วงบ่ายของวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งกินเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ (7 สัปดาห์ในพระศาสนจักรตะวันออก) หรือ 42 วัน โดยจะหักวันอาทิตย์ออกเนื่องจากทุกวันอาทิตย์ถือว่าเป็นวันปัสกาเสมอ ทำให้เหลือ 36 วัน ดังนั้น จึงต้องบวกวันให้ครบ 40 วัน เทศกาลมหาพรต จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันพุธรับเถ้า ซึ่งจะบวกถึงวันเสาร์ อีก 4 วัน อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมตัวเข้าสู่เทศกาลมหาพรต รวมเป็น 40 วันพอดี เทศกาลนี้มีขึ้นเพื่อเตรียมสมโภชปัสกา ซึ่งเป็นวันฉลองที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุดในรอบปีของพระศาสนจักร เพราะปัสกา เป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองการที่พระเยซูเจ้าทรงรับทรมาน สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ เพื่อกอบกู้มนุษยชาติให้คืนดีกับพระเจ้ามารับชีวิตร่วมกับพระองค์
ทำไมต้อง 40 วัน?
ตัวเลข 40 มีความหมายต่อคริสตชนในหลายแง่มุม ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอดอาหารของพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดารก่อนที่ปฏิบัติภารกิจของพระองค์ ตลอดจนเรื่องราวอื่นๆในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็น ฝนที่ตกติดต่อกัน 40 วัน 40 คืน ในสมัยโนอาห์ 40 วัน 40 คืน ที่โมเสสจำศีลอดอาหารบนภูเขาซีนาย 40 วัน ที่ประกาศกเอลียาห์เดินทางไปยังภูเขาโฮเร็บ 40 ปี ของการเดินทางของประชากรอิสราเอลในทะเลทรายก่อนเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา และ 40 วัน ของการที่ประกาศกโยนาห์ประกาศการกลับใจแก่ชาวนินะเวห์ ดังนั้น เมื่อมีพัฒนาการเกี่ยวกับการจำศีลในเทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรจึงให้ความสำคัญกับเลข 40 เพื่อให้คริสตชนได้ดำเนินชีวิตร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในพระทรมาน และกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์
ก่อนที่พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงเริ่มดำเนินพระภารกิจการไถ่กู้มวลมนุษย์พระองค์ทรงใช้เวลา 40 วัน ปฏิบัติดังนี้ คือ
1. ทรงเตรียมตัวที่จะอุทิศตนเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ กล่าวคือ ให้ชีวิตของพระองค์เป็นทานไม่ใช่ให้เพียงสิ่งของเป็นทานเท่านั้น
2. ทรงภาวนาติดต่อกับพระบิดาเจ้า เพื่อไตร่ตรองพระประสงค์ของพระองค์ เกี่ยวกับแผนการแห่งการไถ่กู้มนุษยชาติ
3. ทรงอดอาหาร เพื่อยืนยันว่า สิ่งสร้างและปัจจัยสี่ทั้งหลายไม่สำคัญกว่าพระผู้สร้าง
ท่าทีที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น เป็น รูปแบบและแนวทางที่คริสตชนจะต้องพิจารณาไตร่ตรอง และพร้อมที่จะกลับจิตกลับใจเปลี่ยนแปลงชีวิตใน 3 ประเด็นต่อไปนี้คือ :
1. การให้ทาน (ด้วยชีวิต) ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : มนุษย์
2. การภาวนา ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : พระเป็นเจ้า
3. การอดอาหาร ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : สิ่งสร้าง
การเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของคริสตชน คือ ปัสกา เพราะเป็นจุดสุดยอดแห่งการกอบกู้มนุษยชาติของพระคริสตเจ้าด้วยการรับทรมาน สิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระองค์
เนื่องจากมีความสำคัญพิเศษสุดดังกล่าว พระศาสนจักรจึงกำหนดให้คริสตชนเตรียมตัวในช่วงเวลาพิเศษ ก่อนวันฉลองปัสกาประจำปีขึ้นเรียกว่า "เทศกาลมหาพรต" (หรือถือพรต) ตลอด 40 วัน ก่อนถึงวันสมโภชปัสกาโดยเริ่มด้วย "พิธีรับเถ้า" ในวันพุธรับเถ้า
คริสตชนเตรียมฉลองปัสกาด้วยเทศกาลถือพรตนี้อย่างไรบ้าง?
ดังที่เราทราบ มีการเตรียมหลายวิธีด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสวดภาวนา การทำกิจใช้โทษบาปหรือพลีกรรม และการบริจาคทานช่วยเหลือคนยากจน ซึ่งคริสตชนถือปฏิบัติโดยส่วนตัว และโดยส่วนรวมทางพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีรับเถ้า (ในวันเริ่มต้นเทศกาลมหาพรตที่เรียกว่า "วันพุธรับเถ้า") พิธีเดินรูป 14 ภาค ระลึกถึงมหาทรมานของพระคริสตเจ้า เป็นต้น
พิธีรับเถ้า
พิธีรับเถ้า มีกำเนิดมาจากพิธีการใช้โทษบาปของคนบาป "อุกฉกรรจ์" (สอนผิดความเชื่อ ละทิ้งศาสนา ฆ่าคนและล่วงประเวณีที่เรียกว่า "บาปสาธารณะ") ทางยุโรปตะวันตก ก่อนมาถึงกรุงโรมในศตวรรษที่ 11 ที่กรุงโรมเริ่มมีการโรยเถ้าแก่สัตบุรุษทุกคนไม่ใช่เพียงคนบาปอุกฉกรรจ์เท่านั้น และในปลายศตวรรษที่ 11 ในสังคายนาแห่ง Benevento ปี 1091 สมัยพระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 2 ได้ประกาศให้มีการโรยเถ้าให้แก่ทุกคนในพิธีนี้ ซึ่งเรียกวันนั้นว่า "วันพุธรับเถ้า" (Ash Wednesday) : "ในวันพุธรับเถ้าทุกๆ คนไม่ว่าพระสงฆ์นักบวช หรือฆราวาส ไม่ว่าชายหรือหญิงจะไปรับเถ้า"
พิธีรับเถ้าจึงกลายเป็นการให้สัตบุรุษทุกคนมุ่งไปสู่ปัสกาโดยถือว่าเป็นเวลาแห่งการกลับใจ เป็นเวลาแห่งการใช้โทษบาป และเป็นเวลาแห่งการเดินทางไปสู่การเสด็จกลับมาของพระคริสตเจ้า
1. การสวดภาวนา
แม้ว่าคริสตชนหลายคนจะคิดว่าเทศกาลมหาพรต เป็นเทศกาลที่เน้นเรื่องการใช้โทษบาปหรือพลีกรรม จำศีล อดอาหาร แต่ถ้าเรามาดูคำสอนของบรรดาพระสังฆราชสมัยโบราณหรือที่เรียกว่าปิตาจารย์แล้วจะเห็นว่าการจำศีลอดอาหารและการใช้โทษบาปหรือการพลีกรรมต่างๆ นั้นเป็นขั้นรอง และเป็นวิธีการที่จะนำไปพบเป้าหมายเท่านั้น การพลีกรรมดังกล่าวจะมีผลและให้คุณค่าทางวิญญาณก็ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขต่างๆ
เงื่อนไขประการที่สอง คือ การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เป็นพระเจ้า ด้วยการสวดภาวนา ซึ่งขจัดความเห็นแก่ตัว และได้รับพลังทางใจจากการพลีกรรมจำศีลอดอาหาร
หากไม่มีเงื่อนไข 2 ประการดังกล่าว การพลีกรรมจำศีลต่างๆ ก็จะกลับกลายเป็นการเห็นแก่ตัวและหลอกตนเอง มันจะกลายเป็นวิธีการที่ค่อยเบนความสนใจเข้าหาตัวเองโดยไม่รู้ตัว และสร้างบรรยากาศแห่งชีวิตทางจิตใจปลอมๆ ที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น การสวดภาวนาจึงนับเป็นกิจกรรมสำคัญในระหว่างเทศกาลมหาพรต
พระศาสนจักรได้จัดวางวิธีการสวดภาวนาที่ดีเลิศแบบหนึ่งให้สัตบุรุษถือปฏิบัติ ในช่วงเวลาพิเศษเหล่านี้ คือ บทภาวนาและบทอ่านจากพระคัมภีร์ในชีวิตประจำวันบทอ่านเหล่านี้เน้นถึงหัวข้อสำคัญๆ ของคำสอนที่เกี่ยวข้องระหว่างเรามนุษย์กับพระเป็นเจ้า เช่นความเชื่อ การกลับใจจากบาป การสวดภาวนา การพลีกรรมใช้โทษบาป ความรัก เป็นต้น
2. การพลีกรรมใช้โทษบาปและจำศีลอดอาหาร
การสวดภาวนาเป็นหัวใจสำคัญของเทศกาลมหาพรตก็จริง แต่เทศกาลนี้ก็เป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ในขณะภาวนาชีวิตทางจิตใจเป็นเรื่องของตัวตนมนุษย์ทั้งครบ : กาย ใจ วิญญาณ ในขณะที่เราทำการพลีกรรมใช้โทษบาป เราก็ต้องภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าในเวลาเดียวกัน การพลีกรรมใช้โทษบาปที่เป็นการพยายามปลดเปลื้องความเห็นแก่ตัวอันมาจากเนื้อหนัง และเป็นความพยายามที่จะขจัดความเห็นแก่ตัว เพื่อไปหาผู้อื่นด้วยการบริจาคทานอย่างใจกว้างขวางนั้น ก็ทำให้คำภาวนาของเรามีค่ามีพลังสูงส่ง
การจำศีลอดอาหาร หมายถึงอะไร?
นักบุญยอห์น ครีโซสตอม ให้ความหมายที่คมคายแบบเปรียบเทียบเชิงตรงกันข้ามดังนี้ "ในช่วงเวลาที่ท่านกำลังจำศีลอดอาหาร ข้าพเจ้าบอกท่านได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ไม่จำศีลในขณะที่จำศีลอยู่ ข้าพเจ้าบอกท่านได้อีกด้วยว่าเป็นไปได้ที่จำศีลในขณะที่ไม่จำศีล เป็นปริศนาหรือ ขอบอกความจริงที่กระจ่างกว่าหน่อย เป็นไปได้อย่างไรที่ ไม่จำศีลในขณะที่จำศีลอยู่? ก็โดยที่อดอาหารอยู่จริงแต่ไม่อดบาป (งดเว้นอาหารจริง แต่ไม่งดเว้นบาป) และเป็นไปได้อย่างไรที่จำศีลในขณะที่ไม่จำศีล ก็โดยขณะที่กำลังลิ้มรสอาหารอร่อยท่านก็ไม่ได้ลิ้มรสบาป นี่คือวิธีจำศีลอดอาหารที่ดีที่สุดและง่ายกว่าด้วย" (Adversus ebriosos et de resurrection sermo PG 50:433) เพราะฉะนั้นการจำศีลอดอาหารจึงมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือเป็นเครื่องมือที่จะปราบกิเลสหรือบาปเป็นสำคัญ
3. ความรักฉันพี่น้องและการบริจาคทาน
นักบุญเลโอ พระสันตะปาปาได้เน้นสอนเรื่องของการแสดงความรักฉันพี่น้องที่แสดงออกมาทางภาคปฏิบัติที่มองเห็นเด่นชัด คือการบริจาคทานช่วยคนยากจนในช่วงเวลาแห่งเทศกาลมหาพรตนี้ เป็นต้น บทเทศน์ระหว่างเทศกาลมหาพรตทั้ง 12 บทของพระองค์เกือบจะทั้งหมดพูดถึงความรัก การยกโทษและการบริจาคทานช่วยคนยากจน การบริจาคทานให้คนยากจน เป็นรูปแบบทางภาคปฏิบัติที่มองเห็นชัดเจนยิ่งของความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นการถือปฏิบัติที่แยกจากการจำศีลอดอาหารไม่ได้เลย การบริจาคทานควบคู่กับการจำศีลอดอาหาร ทำให้เกิดความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้าในคำภาวนา
น่าสังเกตว่าแม้พระศาสนจักรรวมทั้งบรรดาปิตาจารย์ดังกล่าว จะสอนเรื่องความรักต่อพี่น้องโดยเฉพาะการบริจาคทานช่วยคนยากจนที่ควบคู่ไปกับการภาวนา (Sermo 41,3 bis 99 ; CCL 138 a : 237) แต่คริสตชนส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มความศรัทธาแบบ "ความรอดของปัจเจกชน" (ความรอดส่วนตัว) มาจนถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญของคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักรโดยเฉพาะพระสมณสาสน์ RERUM NOVARUM และสังคายนาวาติกันที่ 2 ที่เปิดตนไปสู่โลก มีการอดออมแบบพลีกรรมในเทศกาลเพื่อช่วยคนยากไร้และมีหน่วยงานรณรงค์เพื่อการนี้มากขึ้น
สรุป เทศกาลมหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาที่คริสตชนจะหันมามองดูตนเอง มองเห็นความผิดระเบียบกฎเกณฑ์แห่งชีวิตของ ตน พยายามเป็นคนใหม่โดยใช้วิธีการต่างๆ ที่พระศาสนจักรสอนและวางไว้ อาทิ การทำกิจใช้โทษบาป การพลีกรรมด้วยการจำศีลอดอาหาร ด้วยการแสดงความรัก เมตตา ให้ทาน ด้วยการละทิ้งบาป ด้วยการภาวนา และด้วยการเข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆ ที่จะนำเราเข้าสู่กิจการเฉลิมฉลองการรอดพ้นจากบาปและหายนะของตน โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพราะบาปของเรา และได้ทรงกลับคืนพระชนม์ และดังนี้เราก็จะผ่านช่วงวันเวลาในเทศกาลมหาพรตนี้อย่างดี อย่างศักดิ์สิทธิ์ เป็นกา รเตรียมฉลองปัสกาอันเป็นจุดสุดยอดแห่งการเฉลิมฉลองทั้งปวงของคริสตชน
โดย : คุณพ่อสำราญ วงศ์เสงี่ยม
จากหนังสือพิมพ์ข่าวสารคาทอลิกรายสัปดาห์
ฉบับที่ 8 ประจำวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2001
แก้ไขล่าสุดโดย Divine Mercy เมื่อ จันทร์ ก.พ. 27, 2006 11:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ผมต้องอดอาหารด้วยไหมครับ ผอมอยู่แล้ว ถ้าอดน้ำหนักลดฮวบ ๆ เลยครับ กลัวจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปกติผมก็ไม่ทานจุบจิบ ไม่ทานน้ำอัดลม ขนมหวาน ทานอาหารน้อยอยู่แล้วครับ
แล้ววันอื่นในเทศกาลมหาพรต นอกจากพุธรับเถ้าและศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ต้องอดเนื้อทุกวันหรือเปล่าครับ
เห็นว่าทุกวันศุกร์ตลอดปี และทุกวันในเทศกาลมหาพรตเป็นวันพลีกรรม ขอบคุณครับ
เห็นว่าทุกวันศุกร์ตลอดปี และทุกวันในเทศกาลมหาพรตเป็นวันพลีกรรม ขอบคุณครับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
วันศุกร์ตลอดปีคะ
แต่อดอาหารเนี่ย เฉพาะพุธรับเถ้า และ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
แต่สมัยก่อนเนี่ย...ทั้งช่วงเลย
ก็แล้วแต่ความตั้งใจของคุณแหละคะ
ว่าจะทำถวายพระได้แค่ไหน :D
มีโอกาสใช้โทษบาปของเราในช่วงนี้
ร่วมทรมานในมหาทรมานของพระเยซู
ถ้าอดเนื้อทั้งช่วงได้ก็ดี เน๊อะ *no1
แต่อดอาหารเนี่ย เฉพาะพุธรับเถ้า และ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
แต่สมัยก่อนเนี่ย...ทั้งช่วงเลย
ก็แล้วแต่ความตั้งใจของคุณแหละคะ
ว่าจะทำถวายพระได้แค่ไหน :D
มีโอกาสใช้โทษบาปของเราในช่วงนี้
ร่วมทรมานในมหาทรมานของพระเยซู
ถ้าอดเนื้อทั้งช่วงได้ก็ดี เน๊อะ *no1